ถ้าไม่นับอาหารไทยแล้ว ที่ยกให้เป็นอันดับหนึ่งในดวงใจตลอดกาล คือ อาหารจีน เมนูแต่ละอย่างล้วนพิถีพิถัน เลือกเฟ้นตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงเทคนิคการทำ ที่เมื่อรังสรรค์ออกมาแล้วมีรสชาติที่อร่อยลึกล้ำ แต่ละจานสร้างความประทับใจให้กับนักกินเสมอมา

นอกจากรสชาติแล้ว ความหมายของอาหารก็สำคัญมากสำหรับชาวจีน ในโอกาสพิเศษต่างๆ บนโต๊ะอาหารมักถูกนำมาผนวกเข้ากับการสร้างขวัญกำลังใจในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะตรุษจีน ที่ถือเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ อาหารการกินจึงมีความหมายสำคัญ เชื่อว่าเมื่อกินของมงคลก็จะเฮงตลอดทั้งปี

ภัตตาคารจีนในเมืองไทยมีมากมายนับไม่ไหว แต่ถ้าให้จัดลำดับความอร่อย หนึ่งในนั้นต้องยกให้ห้องอาหาร “The silk road” โรงแรมดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล

ห้องอาหารที่นี่ได้ “เชง กัม ซิง” หรือเรียกกันว่า เชฟกั๊ม ชาวจีนกวางตุ้งฝีมือจัดจ้านมาเป็นผู้ดูแล

เชฟกั๊มนั้น เป็นชาวจีนกวางตุ้งโดยแท้ เติบโตในจังหวัดทางตอนใต้ของมณฑลกวางตุ้ง ในครอบครัวที่มีบิดาเป็นเชฟ เชฟกั๊มจึงมีทักษะในด้านการทำอาหารและชื่นชอบการทำงานในครัวตั้งแต่วัยเยาว์

ต่อมาได้เข้าทำงานในภัตตาคารที่มีชื่อเสียงหลายแห่งในฮ่องกง และเส้นทางล่าสุด เขาตัดสินใจเดินทางมายังประเทศไทย เลือกที่จะโชว์ความสามารถในการปรุงอาหารจีนกวางตุ้งเสิร์ฟให้คนไทยได้ลิ้มลอง เป็นที่ติดอกติดใจของหลายต่อหลายคน

นอกจากเมนูปกติของห้องอาหารแล้ว โอกาสพิเศษเทศกาลตรุษจีนเชฟกั๊มได้ครีเอตเมนูใหม่ ล้วนเป็นเมนูมงคลที่ใช้สำหรับเสิร์ฟในเทศกาลนี้

เริ่มต้นด้วย “หยี่ซัง” (Yu sheng)” จานนี้เป็นสลัดฉบับกวางตุ้ง ความหมายที่เป็นมงคล คือ ค้าขายร่ำรวย เป็นสลัดที่คัดผักสมุนไพร 16 อย่าง วางด้วยปลาแซลมอนซาชิมิด้านบน มีซอส 4 ชนิด คือ น้ำมะนาว น้ำจิ้มบ๊วย น้ำมันงา และซีอิ๊ว

ความสนุกของการกินจานนี้ คือ ต้องกินเป็นครอบครัว หรือหมู่คณะ โดยให้ผลัดกันเทน้ำซอสราดบนสลัดแล้วเปล่งเสียงด้วยประโยคที่จะสร้างความเฮง เช่น ร่ำรวย สามัคคีปรองดอง การงานรุ่งเรือง จากนั้นทุกคนล้อมวงกันใช้ตะเกียบคีบสลัดทั้งหมดคนให้เข้ากัน โดยใช้วิธีคีบแล้วยกขึ้นให้สูงแล้วปล่อยให้ตกลงมา

บนจาน ยิ่งสูงเท่าไหร่ยิ่งเฮงเท่านั้น ระหว่างที่ทำสิ่งนี้ก็ให้เปล่งเสียงพูดขอพรเหมือนเดิม ซึ่งสุดท้ายอาจจะเลอะโต๊ะบ้างแต่ก็เป็นสีสันของมื้อไม่น้อย ส่วนรสชาตินั้นอร่อยเกินหน้าตาแบบตกตะลึง มีความสดชื่นและกลิ่นหอมอ่อนของผักสมุนไพร เมื่อกินกับแซลมอนมันก็ฟินไม่หยอกค่ะ

สำหรับเมนูนี้ ถ้ามารับประทานที่ห้องอาหาร แบบจานเล็กสำหรับ 2-4 คน ราคา 1,188++ บาท แบบจานใหญ่สำหรับ 5-10 คน ราคา 2,288++ บาท แต่ถ้าเป็นหยี่ซังเป๋าฮื้อ แบบจานเล็ก ราคา 1,888++ บาท แบบจานใหญ่ ราคา 2,888++ บาท

แต่ถ้าเป็นแบบ To Go (ซื้อกลับบ้าน) หยี่ซัง แซลมอน แบบจานใหญ่สำหรับ 5-10 คน ราคา 2,288++ บาท หยี่ซัง เป๋าฮื้อ แบบจานใหญ่สำหรับ 5-10 คน ราคา 2,888++ บาท

และถ้าใครอยากมอบเมนูมงคลนี้ให้คนที่รัก ก็สามารถซื้อเป็นบัตรกำนัลเพื่อมอบเป็นของขวัญได้อีกด้วย

เมนูต่อมา ผู่นชอย (Chinese New Year Poon Choi) 2,000++ บาท มันคือซุปที่อุดมไปด้วยเนื้อสัตว์ต่างๆ ตุ๋น อาทิ กังป๋วยแห้ง, กะเพาะปลา, เป๋าฮื้อ, ปลิงทะเล, เห็ดหอม และผัก ปรุงรสด้วยซอส ในความหมายของจานนี้ คือ ประสบความสำเร็จ

จานถัดมา “ลูกชิ้นกุ้งนึ่งกับสาหร่ายเส้นและบร็อกโคลี” ราคา 380++ บาท ในความหมาย มั่งมีศรีสุข เป็นลูกชิ้นกุ้งชิ้นใหญ่โต 2 ลูก รสชาตินัวจากสาหร่ายจีนที่หากินไม่ได้ง่าย ใครชอบกินกุ้งจะรักเมนูนี้

“ลูกชิ้นปลานึ่งสาหร่ายเส้น” ราคา 180++ บาท รับประกันว่าเป็นลูกชิ้นปลาแบบที่ไม่เคยกินที่ไหน ผสมสาหร่ายตัวเดิมเหมือนลูกชิ้นกุ้ง เนื้อสัมผัสนุ่มหยุ่นละมุน เคี้ยวเพลินเลยค่ะ อร่อยแล้วยังมีความหมายว่ากิจการเจริญรุ่งเรืองอีกด้วยนะ

ต่อมา “ข้าวผัดแบบตรุษจีน” ความหมายคือ อายุยืนยาว ข้าวผัดออร์แกนิคสไตล์ตรุษจีน ใส่กุ้ง-ปลา

มาต่อกันด้วยขนมบ้าง “ขนมแป้งแห้วเจี๋ยน” เป็นการนำแป้งมาทอด เคี้ยวกินหนึบหนับ ความหมาย คือ อยู่ดีกินดี ราคา 120++ บาท

สุดท้ายไฮไลต์ของขนมที่อร่อยเกินคาด “ดอกโบตั๋นสอดไส้คัสตาร์ด” ราคา 150++ บาท แปลว่าทุกอย่างราบรื่น รสชาติมีทีเด็ดตรงที่เชฟบรรจงปั้นแป้งเป็นชั้นๆ ถี่ๆ เหมือนกลีบดอกไม้ที่พลิ้วไหว เมื่อกัดลงไปเจอแป้งกรอบเป็นชั้นบาง สอดไส้ด้วยคัสตาร์ดละมุนลิ้น กินไปหนึ่งจะต้องอยากเบิ้ลต่อลูกที่สองแน่นอนค่ะ

สำหรับเมนูในเทศกาลตรุษจีนที่ว่านี้ เสิร์ฟทั้งมื้อกลางวันและเย็น เริ่มตั้งแต่วันที่ 10-21 กุมภาพันธ์ 2564

นอกจากเมนูตรุษจีน ห้องอาหาร The silk road ยังมีเมนูอีกมากมาย เป็นอาหารจีนกวางตุ้งสไตล์คลาสสิก แต่แทรกความทันสมัยเข้าไปในขั้นตอนการปรุงอาหาร กว่า 40 เมนู อาหารแต่ละจานจึงคงความเป็นต้นตำรับ ที่ได้รับการปรุงแต่งด้วยเทคนิคสมัยใหม่ ด้วยแนวคิด “ความดั้งเดิมอันทันสมัย” เป็นหัวใจหลักของเมนูอาหารทั้งหมด

อาทิ เป็ดปักกิ่ง ที่เป็นเมนูเด่นของห้องอาหาร คัดเฉพาะเป็ดขนาดมาตรฐาน หมักด้วยเหล้าจีน สมุนไพร ขิง น้ำตาล และใช้สีธรรมชาติจากถั่วแดง ก่อนจะนำไปย่างจนหนังบางกรอบ แต่ไม่แห้ง หั่นได้ประมาณ 20 ชิ้นในขนาดที่เท่ากัน ส่วนสไตล์การรับประทานอาหารนั้นยังคงแบบจีน เสิร์ฟชาจีนในรูปแบบดั้งเดิม และมีเมนูไวน์จากทั่วโลกไว้ให้บริการ นอกจากนั้น ยังให้บริการอาหารชุด โดยอาหารชุดมื้อกลางวัน ประกอบด้วย ติ่มซำ ข้าว ซุป และชา

บรรยากาศของห้องอาหารเป็นการตกแต่งในแนวย้อนไปในอดีต โดยใช้ศิลปะแบบอาร์ต เดโค ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในกรุงเซี่ยงไฮ้ ในช่วงปี ค.ศ.1920 บานประตูและฝาตู้ใช้ไม้สีม่วงเข้ม กรุกระจกใสที่มีลวดลายสีทอง พื้นโมเสกหินอ่อน และการให้แสงสไตล์เรโทร ทำให้ห้องอาหารดูโอ่อ่า แต่คงบรรยากาศที่เป็นกันเอง

ห้องอาหารที่นี่ หลักๆ มี 42 ที่นั่ง และห้องส่วนตัว 5 ห้อง สามารถรับรองได้รวม 48 ที่นั่ง

ใครสนใจห้องอาหาร The silk road เปิดให้บริการทุกวัน มื้อกลางวัน 12.00-14.30 น. มื้อเย็น 18.00-22.30 น. แต่ปัจจุบันปรับเวลาเปิดเป็น 11.30-21.00 น. หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 0-2650-8800 อีเมล์ [email protected] หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.marriott.com/hotels/travel/bkkla-the-athenee-hotel-a-luxury-collection-hotel-bangkok/

ที่มา : คอลัมน์เคี้ยวตุ้ย ตะลุยกิน มติชน

กว่าจะผ่านพ้นปี 2563 เล่นเอาหลายคนสะบักสะบอม แม้ว่าจะสาหัส แต่ก็เชื่อว่าทุกคนยังรอดพ้นมาได้

สำหรับใครที่ยังตกงาน ชีวิตเคว้งคว้าง ปีใหม่นี้ขอส่งกำลังใจค่ะ อย่าเพิ่งหมดหวังกัน เพราะในวิกฤตย่อมมีโอกาส อย่างเช่นการขายอาหารที่หลายคนหันมาทำเป็นงานเสริมตอนช่วงโควิด บางคนขายดีจากงานเสริมกลายเป็นงานหลักก็มี แค่ต้องจับให้ถูกจุดก็มีโอกาสไปได้

พื้นที่คอลัมน์ประเดิมปีใหม่ปีนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าอยากจะชี้เป้าหลักสูตรเรียนทำอาหารแบบเร่งรัดแต่ใช้ได้จริงของ “มติชน อคาเดมี” หรือ ศูนย์อาชีพและธุรกิจมติชน

หลายหลักสูตรของที่นี่ ผู้เรียนนำไปปรับใช้ได้ตามสะดวก ไม่ว่าจะเอาไปทำให้คนในครอบครัวได้อิ่มอร่อย หรือเอาไปทำขายส่วนตัวก็ล้วนแต่ประสบความสำเร็จมาแล้วหลายคน

ประเดิมเปิดการสอนวันแรกของปีใหม่ เสาร์ที่ 9 มกราคม 2564 มีให้เลือก 3 หลักสูตร ได้แก่ “กระเพาะปลาน้ำแดง สูตรเมืองทอง” ราคา 2,140 บาท โดย อ.อดุลย์โรจน์ อังสนันท์สุข “ขนมถ้วยมณฑา ตลาดนางเลิ้ง” ราคา 1,605 บาท โดย อ.จิราพรรณ คงเทียน ขนมถ้วยสูตรนี้ใครเคยไปชิมที่ตลาดนางเลิ้งก็จะหมดข้อกังขาว่าทำไมถึงได้ขายดีนัก และหลักสูตรที่กำลังฮิต “หมูปลาร้าเงินล้าน” ราคา 1,605 บาท อ.เต็มสิริ รังหอม เมนูนี้เป็นเมนูที่ขายที่ไหนก็ฮิตที่นั่น และสูตรนี้ก็เด็ดดวงจริงๆ ค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม 2564 “ขาหมูเมืองทอง สูตรใส่โอวัลติน พร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด” 2,140 บาท โดย อ.อดุลย์โรจ์ อังสนันท์สุข ความอร่อยของข้าวขาหมูสูตรนี้ คือ น้ำซุปจะต้องเคี่ยวจนได้กลิ่นหอมกรุ่นของเครื่องเทศนานาชนิด เจือด้วยรสหวานของโอวัลติน ที่สำคัญปราศจากผงชูรส “หมูยอ ไก่ยอ และกวยจั๊บญวน” 2,140 บาท อ.พรดารา เขตต์ทองคำ และ “ขนมปังเนยนมโส๊ดสด” 2,599 บาท โดย อ.กฤษณะ ยุคะลัง ผู้ที่ชำนาญการทำเบเกอรี่ทุกรูปแบบ

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม 2564 “ขนมต้มและขนมนึ่งยอดนิยม” 2,140 บาท โดย อ.พะเยาว์ กฤษแก้ว แค่ชื่อ อ.พะเยาว์ ขนมหวานเจ้าดังเมืองนนท์ก็การันตีสูตรความอร่อยแล้ว

“ก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยา สูตรโบราณดั้งเดิม” 2,140 บาท อ.โอฬาร ศรีสวรรค์ หลักสูตรนี้คนมาเรียนแน่นทุกรอบ เพราะใครได้สูตรไปทำขายปังสุดสุด ถ้าไม่เชื่อดูได้จากร้านก๋วยเตี๋ยวเรือพระนครก็หนึ่งในลูกศิษย์อาจารย์โอฬารค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2564 “ขนมเบื้องโบราณสูตรชาววัง” 2,140 บาท อ.จักรินทร์ นิ่มเนตร

“ขนมถังทองชาววัง” 2,140 บาท อ.ธนวรรณ เทียมทัด และ “บัตเตอร์เค้ก หอมนุ่มชุ่มฉ่ำ” 2,599 บาท อ.กฤษณะ ยุคะลัง

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม 2564 “ข้าวเหนียวมูนคุณพะเยาว์” 2,140 บาท อ.พะเยาว์ กฤษแก้ว “ก๋วยเตี๋ยวน้ำใสป้าเตียง (ต้มยำ เย็นตาโฟ)” 2,140 บาท อ.พจนาถ บูระผลิต และ “ข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่น พร้อมข้าวหน้าหมู ข้าวหน้าเนื้อ สูตรเด็ดร้านอิ่มหมีฟู้ดทรัค” 2,140 บาท อ.นวลปรางค์ วรรณพงษ์ คำชื่นวงศ์

วันอาทิตย์ 24 มกราคม 2564 “กวยจั๊บน้ำข้น เจ้าดังซอยจรัส” 2,140 บาท อ.ชนันพร ชัยประภา

“เปิดตำรับหมูปิ้งเมืองทอง สูตรชุบชีวิต” 2,140 บาท อ.พนัส แย้มสกุล “ไอศกรีมกะทิสด ไอศกรีมมะพร้าวอ่อน ไอศกรีมแต่งกลิ่นผลไม้” 2,140 บาท อ.มานะ พชนะโชติ และ “ขนมปังไส้ทะลัก 5 ไส้” 2,599 บาท อ.กฤษณะ ยุคะลัง

วันเสาร์ 30 มกราคม 2564 “ปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ และสังขยา สูตรเงินล้าน” 2,140 บาท อ.อรรถ ขันสี กาแฟโบราณ “ร้านไฮไซโบราณ” 2,140 บาท อ.พรรณวดี อยู่คง “ขนมเทียน ขนมเข่ง” 2,140 บาท อ.พะเยาว์ กฤษแก้ว และ “หมูทอดเจียงฮาย” 2,140 บาท อ.สุรีย์ แก้วพิลา

วันอาทิตย์ 31 มกราคม 2564 “สุดยอดน้ำยำทำอะไรก็อร่อย” 3,299 บาท เชฟสุรศักดิ์ คงสวัสดิ์ หลักสูตรนี้การันตีว่าใครได้ไปถือเป็นสุดยอดวิชาหากินตลอดชีพค่ะ ใครที่เคยได้ลิ้มลองฝีมือการทำอาหารของเชฟน้อย-สุรศักดิ์ อดีตหัวหน้าเชฟจากห้องอาหารไทยเบญจรงค์ รร.ดุสิตธานี ไม่มีใครไม่ติดใจ ทั้งลีลาการสอนที่สนุก สูตรก็อร่อยเว่อร์ และ วิชาที่ถ่ายทอดแบบมีเท่าไหร่ให้ทั้งหมด เป็นคอร์สที่ขอเชียร์ออกนอกหน้าจริงๆ ค่ะ

“ซาลาเปาออมทรัพย์” 2,140 บาท อ.ศุภชัย สากำสด เป็นหลักสูตรอาหารแบบเรียบง่ายแต่ใครๆ ก็กิน ไม่เพียงแค่ซาลาเปา 3 ไส้ อ.ศุภชัย ยังแถมการทำขนมจีบให้อีกหนึ่งอย่าง คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

“ขนมกุยช่ายหลากไส้” 2,140 บาท อ.อรรถ ขันสี ชื่อชั้น อ.อรรถ เป็นอีกคนที่ทำอะไรก็อร่อย เป็นครูสอนทำอาหารอันเป็นที่รักของลูกศิษย์ เพราะถ่ายทอดให้ด้วยใจจริงๆ

“บะหมี่หัวโต ตลาดศรีย่าน” 2,140 บาท อ.ธีรชัย เจริญวัฒนาเลิศ แค่ชื่อร้านก็คงไม่ต้องโฆษณาอะไรให้มากความค่ะ มาเรียนได้ทั้งการทำเส้นบะหมี่ การทำหมูแดงหมูกรอบ ใครอยากมีธุรกิจทำร้านบะหมี่เล็กๆ มาเริ่มจากตรงนี้ได้เลย และ “ชีสเค้กหน้าไหม้ ทาร์ตชีต” 2,599 บาท อ.กฤษณะ ยุคะลัง

ทั้งหมดนี้คือหลักสูตรอาหารในเดือนมกราคม ใครที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน ให้ลองเลือกหลักสูตรที่ชอบมาสัก 1-2 หลักสูตร แล้วมาลองเรียนกันดูค่ะ คิดว่าถ้าได้ลองเรียนแล้วจะพอมองหนทางข้างหน้าต่อไปได้

สนใจเรียนหลักสูตรต่างๆ ติดต่อ มติชน อคาเดมี โทร 0-2954-3977-84 ต่อ 2115, 2116, 2123, 2124 มือถือ 08-2993-9097, 08-2993-9105 หรือ Inbox Facebook : Matichon Academy – มติชนอคาเดมี คลิก m.me/Matichon.Academy.Thailand และ line : @matichonacademy คลิก https://line.me/R/ti/p/%40matichonacademy

ฉบับนี้จู่ๆ ก็มีลาภปากได้ชิมขนมจากเชฟยอดฝีมือที่เดินทางมาทำเค้กสไตล์ญี่ปุ่นให้ลิ้มลองถึงถิ่นเลยค่ะ

เรื่องของเรื่องก็คือ มติชน อคาเดมี เปิดสอนคอร์สขนมในวันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2563 ที่จะถึงนี้ มิตรสหายเลยโทรตามให้มาชิมด้วยกัน

เห็นรูปร่างหน้าตาแล้วต้องรีบควักโทรศัพท์มือถือออกมาแชะๆ ก็เจ้าขนมสองก้อนสุดแสนจะน่ารัก เรียบง่ายสไตล์มินิมอล และน่ากินขนาดนั้นนี่คะ

อย่างแรก คือ “เจแปนนีส ชีสเค้ก” หรือ “ชีสเค้กนุ่มสไตล์ญี่ปุ่น” อย่างที่สอง คือ “มัทฉะ อะซูกิ แซนด์วิช ครีมเค้ก” หรือ “ชิฟฟ่อนชาเขียวสอดไส้ถั่วแดงญี่ปุ่นและครีมเค้ก” นั่นเอง

ตัวเจแปนนีส ชีสเค้ก เป็นเทรนด์มาหลายปีแล้ว แต่ความนิยมยังไม่หยุดง่ายๆ เราจะเห็นเมนูนี้อยู่ในคาเฟ่แทบทุกแห่ง แล้วแต่จะครีเอตหลากสไตล์ต่างกันไป

สำหรับสูตรที่จะสอนที่มติชน อคาเดมี เป็นชีสเค้กสไตล์ญี่ปุ่น คือ มีความนุ่มเนียนกริบ แต่งหน้าเรียบง่ายด้วยผลไม้สดอย่างสตรอเบอรี่ ตัดแบ่งเป็นก้อนเสิร์ฟ ขอบอกว่าตัวนี้ตอนยกออกจากเตาใหม่ๆ ถือส่ายไปมาเนื้อเค้กเด้งดึ๋งๆ ยั่วน้ำลายสุดสุด ล่ะค่ะ

อีกตัวก็ว้าวไม่แพ้กัน “มัทฉะ อะซูกิ แซนด์วิช ครีมเค้ก” สูตรนี้เชฟครีเอตเค้กชิฟฟ่อนให้เป็นทรงสี่เหลี่ยม ปาดครีมเค้กหนาๆ ขั้นกลางด้วยถั่วแดง วางชิฟฟ่อนประกอบอีกด้าน ท็อปปิ้งด้วยผลไม้รสฉ่ำเปรี้ยวหลายชนิด ทั้งส้ม กีวี สตรอเบอรี่ และ ถั่ว

ลำพังเค้กชิฟฟ่อนก็นุ่มแสนนุ่ม ยังอบอวลไปด้วยกลิ่นและรสชาติชาเขียวเข้มข้น กัดไปเจอความหวานของถั่วแดงและความมันของครีมเค้ก ผสมกับรสเปรี้ยวนิดของผลไม้ ตายๆๆ กินไป 2 ชิ้นรวดไม่รู้ตัวค่ะ

เอาเป็นว่าชอบทั้ง 2 เมนูเลย ดีงามทั้งรสชาติและหน้าตา ใครที่หาคอร์สเบเกอรี่เก๋ๆ แบบนี้อยู่ ก็อยากจะชวนให้มาเรียนกัน เอาไปต่อยอดคาเฟ่ตัวเองก็ได้ หรือ ไว้ทำเป็นงานอดิเรกให้คนที่บ้านกินกันก็เริ่ดค่ะ

กินเสร็จได้คุยกับเชฟพอหอมปากหอมคอ เชฟชื่อ “เชฟโต้ง-วรดนย์ ประสม” อายุ 27 ปี เป็นเชฟหนุ่มไฟแรงเฟร่อร์ โปรไฟล์ไม่ธรรมดา

เชฟโต้งเป็นเด็กหนุ่มจากเชียงราย พออายุ 15 ปี มีโอกาสเข้ามาอยู่กับอาที่กรุงเทพฯ เพื่อเข้าเรียนอาชีวะ อาถามว่าอยากเรียนอะไรระหว่างช่างตัดผม หรือ ทำอาหาร เชฟโต้งตัดสินใจเรียนด้านอาหาร เพราะคิดว่าเอาไปต่อยอดได้มากกว่า ไปสมัครเรียนที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา หลักสูตรอาหารและโภชนาการ เรียนจนจบ ปวช. ได้โควต้าเข้าเรียนต่อที่ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต คณะโรงเรียนการเรือน อุตสาหกรรมอาหาร

เพิ่งจะอยู่ชั้นปีที่ 1 เทอม 2 เชฟโต้งได้รู้จักกับบรรดาเชฟ TCA (Thailand Culinary Academy) ได้เข้าร่วมทีมเพื่อไปแข่งขันทำอาหารเริ่มจากรายการในประเทศก็ขยับไปต่างประเทศ

เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเรื่อยๆ จากทำอาหารคาว ก็เริ่มทำขนมหวาน ครั้งหนึ่งไปคว้าเหรียญทองแดงการทำขนมมาได้จากผู้แข่งขันหลายสิบประเทศ ถือเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับเชฟโต้งในการทำขนม

เชฟโต้ง-วรดนย์ ประสม

“ตั้งแต่เริ่มแข่งขันก็จะเจอขนมมากขึ้น รู้สึกว่ามันสวย ไม่ร้อนเหมือนทำอาหารคาว ที่หน้าเตาผ่าวร้อนใจเราก็ร้อน แต่พออยู่กับขนมใจเริ่มเย็นลง เรามีความลงดีเทล มีรายละเอียดมากขึ้น” เชฟโต้ง เล่าจุดที่ทำให้มาสนใจทำขนมจริงจัง

แต่ถ้าถามว่าจุดที่พัฒนาฝีมือแบบเห็นได้ชัด คือ หลังจากที่ฝึกงานโรงแรมเสร็จได้มีโอกาสไปทำงานที่ร้านขนมของสองเชฟรุ่นพี่ คือ เชฟนัท และ เชฟพลอย ที่ A Baketime Story เป็นร้านขนมชื่อดังย่านเกษตรนวมินทร์

“ตอนนั้นรุ่นพี่ทาบทามให้ไปทำ เราไปเป็นลูกน้องเขา เป็นคาเฟ่ทำขนมเองหมดเลย ที่นี่เป็นแหล่งความรู้ของเราจริงๆ เพราะว่าเขาสอนทุกอย่าง แต่อยู่ประมาณเกือบ 2 ปี ชอบที่นี่ เขาดูแลเราเป็นน้องเลย แต่มาซักพักที่บ้านถามเราอยากให้ทำงานบริษัท ก็ตัดสินใจเข้าเบทาโกร แต่ก็มองว่าในอนาคตเราอาจจะมีโอกาสได้ร่วมกันอีกก็ได้”

ระหว่างที่ทำงานประจำ เชฟโต้งยังใช้เวลาวันเสาร์-อาทิตย์ในการสอนทำขนม แม้จะเหนื่อยแต่เชฟโต้งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขเช่นกัน

“ความยากง่ายของการทำขนม ขึ้นอยู่ที่เบสิกแต่ละคนมากน้อยแค่ไหน และความเข้าใจว่ามีแค่ไหน เราเลยต้องถามตลอดว่าเข้าใจไหมครับ ถ้าไม่เข้าใจก็ต้องพยายามทวนจนเข้าใจขั้นตอนการทำ เช่น เวลาที่คนก็ต้องคน เวลาตีต้องตี พักก็คือพักเก็บไม่ให้โดนอากาศ เพราะจะมีขั้นตอนเล็กๆ น้อยๆ ที่ถ้าเราละเลย หรือ สักแต่จะทำมันไม่ได้ แล้วถ้าสอนคนทำไม่เป็นเลย ก็ต้องใช้อินเนอร์เราบิวท์ให้เขาทำ ก็ใช้พลังเยอะ แต่การพูดเวลาสอนก็มีผลดี คือ มันจะเป็นสกิลติดตัวเรา”

ในยุคสมัยที่ออนไลน์เข้ามามีบทบาทสูง เชฟโต้งก็ยอมรับว่าเคยไปลงเรียนออนไลน์เช่นกัน แต่ไม่ประสบความสำเร็จต้องเอามาปรับเองต่ออีกที เนื่องจากไม่ได้เจอครูโดยตรง เวลาถามใช้การอินบอกซ์ ทำให้มันไม่เต็มที่

“บางอย่างมันถูกกั้น ถูกกั๊กไว้อยู่ ก็มาปรับเอง”

ในฐานะที่เคยอยู่ในแวดวงคาเฟ่ เชฟโต้งยืนยันว่า คาเฟ่ได้กลายเป็นสิ่งที่คนไทยคุ้นชินไปแล้ว ชาวออฟฟิศนิยมไปนั่งเพื่อผ่อนคลาย ถ่ายรูปลงโซเชียล กลายเป็นเทรนด์ในการไปนั่งคาเฟ่ ยิ่งเจอขนมหน้าตาน่ารัก มีสตอรี่ การไปถ่ายรูปลงโซเชียลมันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง

สุดท้าย เชฟโต้งฝากบอกว่า เมนูสองอย่างนี้เหมาะกับทุกกลุ่ม จะนำไปทำเป็นงานอดิเรกก็ได้ หรือถ้าทำคาเฟ่อยู่แล้ว สามารถเอาไปต่อยอดได้เลย มาเรียนในชั้นเรียนรับรองว่าเข้าใจ และ ได้รับความเพลิดเพลินแน่นอน

ใครที่สนใจแล้ว ติดต่อเลยที่ มติชน อคาเดมี โทร 0-2954-3977-84 ต่อ 2115, 2116, 2123, 2124 มือถือ 08-2993-9097, 08-2993-9105 หรือ Inbox Facebook : คลิกที่นี่ m.me/Matichon.Academy.Thailand หรือ line : @matichonacademy คลิก https://line.me/R/ti/p/%40matichonacademy

 

 

 

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]

หันหน้าไปทางไหน ตอนนี้เศรษฐกิจเมืองไทยยังลูกผีลูกคนนะคะ ข่าวการปลดพนักงานยังมีออกมาอย่างต่อเนื่อง เห็นแล้วหดหู่บอกไม่ถูก แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปค่ะ

สำหรับคนที่ตกงานอยู่ หรือกำลังคิดจะทำธุรกิจเล็กๆ เช่น ขายอาหาร อยากบอกว่าให้ลองเข้ามาดูที่ มติชน อคาเดมี กัน เพราะสถาบันสอนหลักสูตรอาหารที่นี่ สร้างเศรษฐีมาแล้วหลายราย

จุดเด่นของ มติชน อคาเดมี คือ สอนให้รู้จริงทำได้ วิทยากรมีทั้งผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จแล้ว หรืออาจารย์ในรั้วมหาวิทยาลัยผู้มีวิชาแก่กล้า ที่สำคัญราคาย่อมเยา คุณภาพความรู้ที่ได้เกินราคาแน่นอน

ฉบับนี้ก็ขอใช้พื้นที่มาบอกเล่าถึงความน่าสนใจของสารพัดหลักสูตรเดือนพฤศจิกายนกันค่ะ

เริ่มจาก น้ำพริก ก่อน คนไทยเราต่อให้ไปไกลสุดขอบโลก แต่สิ่งที่ไม่มีวันลืมและขาดไม่ได้เด็ดขาด คือ น้ำพริกค่ะ ที่มติชน อคาเดมี ก็มีสอนคอร์สน้ำพริกนะคะ ไม่ใช่แค่อย่างสองอย่าง แต่มีสอนเป็นสิบยี่สิบสูตรกันเลย ชื่อว่าหลักสูตร “น้ำพริกเพื่อการค้า” สอนโดย อ.ขนิษฐา ชัยชาญกุล มี 2 หลักสูตรให้เลือกเรียนกันค่ะ แต่ใครจะเรียนทั้ง 2 คอร์สก็ไม่มีปัญหา

คอร์ส 1 เรียน วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน ราคา 3,210 บาท มี 10 เมนู ได้แก่ น้ำพริกนรก น้ำพริกนรกแมงดา น้ำพริกนรกปลาอินทรี น้ำพริกนรกไตปลา น้ำพริกนรกปลาร้า น้ำพริกตาแดง น้ำพริกแมงดา น้ำพริกเผากุ้ง น้ำพริกแจ่วบอง น้ำพริกปลากรอบ

คอร์ส 2 เรียน วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน ราคา 3,210 บาท มี 10 เมนู ได้แก่ น้ำพริกกุ้งเสียบทรงเครื่อง น้ำพริกขิงปลาสลิด น้ำพริกขิงปลาฟู น้ำพริกพริกกับเกลือโบราณ น้ำพริกปลากะตักโรยงา น้ำพริกปลาซิวกรอบแก้ว น้ำพริกกุ้งกรอบเสวย น้ำพริกมะขามสด น้ำพริกนรกข่าหอม น้ำพริกไตปลาแห้ง

แหม่…ไล่ดูรายการน้ำพริกแต่ละอย่างแล้ว น้ำย่อยถึงหลั่งออกมาประท้วงกันเลยทีเดียว

อีกหลักสูตรฮอตเว่อร์ “หมูปลาร้าเงินล้าน ข้าวเหนียวนุ่ม แถมปลาร้าบอง 2 แบบ” อ.เต็มสิริ รังหอม เรียน วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน ราคา 1,605 บาท เท่านั้น

สูตรนี้เชฟเต็ม แอบบอกว่า ไม่เพียงคนนิยมขายเท่านั้น คนกินก็เลิฟมาก ยิ่งถ้าได้สูตรดีรสเด็ดรับประกันขายดีเว่อร์ค่ะ

ส่วนที่กำลังมาแรง หนีไม่พ้น ปาท่องโก๋ ที่สายการบินแห่งชาตินำกลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง ทำให้ใครต่อใครก็พากันอยากกินปาท่องโก๋กันทั้งเมือง ตอนที่เทรนด์ยังไม่ซาเราต้องรีบฉวยโอกาสกันค่ะ กับคอร์ส “ปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ และสังขยา” (สูตรเงินล้าน) โดย อ.อรรถ ขันสี ราคา 2,140 บาท

สูตรปาท่องโก๋ของ อ.อรรถ จะเน้นสูตรแบบโบราณ ตัวใหญ่ ข้างนอกกรอบไม่อมน้ำมัน ข้างในเหนียวนุ่ม ที่สำคัญกรอบนาน วางไว้ทั้งวันตอนเย็นมากินก็ยังกรอบอยู่ ไม่เชื่อมาท้าพิสูจน์กันค่ะ

มาถึงคอร์สใหม่ขอแนะนำ “บราวนี่แฟนซี” สอนโดย เชฟต่อ-กฤษณะ ยุคะลัง คอร์สนี้เป็นคอร์สปฏิบัติ ได้ลงมือทำจริง เรียน วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน ราคา 2,599 บาท

สูตรบราวนี่สูตรนี้ เนื้อบราวนี่จะออกฉ่ำๆ ด้านหน้าเป็นฟิล์มกรอบ ใส่ลูกเล่น เพิ่มท็อปปิ้ง เช่น หน้าโอรีโอ้ หรือบราวนี่บลูเบอรี่ชีสเค้ก บราวนี่มัทฉะ เป็นต้น

ข้อดีของการเรียนแบบปฏิบัติ คือ ได้ลงมือทำจริง ได้เจอปัญหาระหว่างทำจริงๆ เพราะถ้ามาดูอย่างเดียวอาจจะพลาดรายละเอียด เช่น น้ำหนักการกวนแป้งก็เป็นดีเทลที่จะทำให้บราวนี่ออกมาดีหรือไม่ดี

ยิ่งใกล้เทศกาลก็ยิ่งเหมาะมาก เราสามารถทำเป็นของขวัญให้คนที่เรารักได้เอง ที่สำคัญใช้อุปกรณ์ไม่เยอะ ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องตี ใช้แค่เตาอบเท่านั้น

อีกคอร์สน่าสนใจ “ซาลาเปาออมทรัพย์ สูตรแป้งนุ่ม ไส้หมูสับ หมูแดง และไส้ครีม” โดย อ.ออม-ศุภชัย สากำสด เรียน วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน ราคา 2,140 บาท

สูตรซาลาเปาออมทรัพย์ เป็นสูตรของออม เด็กหนุ่มจากสุราษฎร์ฯที่มีความใฝ่ฝันในการเปิดร้านอาหาร หลังเรียนจบอาหารเขาก็ตระเวนไปหาประสบการณ์ตามร้านอาหารใหญ่ๆ แต่พบว่าการได้เป็นเจ้าของธุรกิจเองนั้นมีทั้งความสุขและมีเงินเก็บในกระเป๋ามากกว่าเป็นลูกจ้าง ทำให้หันมาปรับปรุงสูตรซาลาเปาอย่างจริงจัง ทุกวันนี้ก็มีร้านอยู่ที่สุราษฎร์ฯใครผ่านไปแวะอุดหนุนได้ค่ะ

ซาลาเปาสูตรนี้เด่นตรงไส้หมูสับไม่จับเป็นก้อนแข็ง มีความร่วนและฉ่ำ รสชาติกลมกล่อม ซาลาเปาจึงเป็นอีกหนึ่งอาหารง่ายๆ ที่คนนิยมกินกัน ใครมองหาสูตรซาลาเปาอยู่ มาลองเรียนซาลาเปาออมทรัพย์ไม่ผิดหวังแน่นอน

ที่อยากเชียร์อีกคอร์ส คือ “ข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่น พร้อมข้าวหน้าหมู-หน้าเนื้อ” เป็นสูตรเด็ดจาก ร้านอิ่มหมีฟู้ดทรัก โดย อ.เปิ้ล-นวลปรางค์ วรรณพงษ์ คำชื่นวงศ์ คอร์สนี้เรียน วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน เช่นกัน ราคา 2,140 บาท

สูตรของ อ.เปิ้ล จะมีความพลิกแพลงเล็กน้อย คือ มีความเผ็ดกว่าสูตรตามร้านญี่ปุ่นทั่วไป เพราะเชื่อว่าความจัดจ้านนั้นทำให้คนกินไม่มีเบื่อ ส่วนข้าวหน้าหมูหน้าเนื้อก็รสชาติเยี่ยม เรียนแล้วเปิดร้านเล็กๆ ขายอาหารไม่ต้องเยอะ เน้นไม่กี่อย่างแต่อร่อยล้ำจะเป็นเสน่ห์ของร้านเล็กๆ อย่างดีเลยค่ะ

และพิเศษสุดกับ หลักสูตรพิเศษ 12 เชฟ 12 เดือน ประจำเดือนพฤศจิกายน คือ “ก๋วยเตี๋ยวนายหมี วัดหนามแดง” นายหมี อ.อำนาจ พิทยาธร เจ้าของร้านมาสอนด้วยตัวเอง 1 ปีมีแค่หนเดียว เรียน วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน นี้ ใน ราคาคอร์สละ 2,990 บาท เท่านั้น

ยี่ห้อนายหมีวัดหนามแดงคงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณมาก ลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง ที่สำคัญนายหมีเต็มใจอย่างยิ่งเพื่อจะถ่ายทอดวิชาให้คนนำไปใช้ทำมาหากิน เพราะเคยมีประสบการณ์ผิดหวังจากคนหวงวิชามาก่อน นายหมีบอกว่า “รวยคนเดียวไม่สนุก มันต้องรวยด้วยกัน”

ไม่แค่ 7 วิชานี้เท่านั้น ที่จริงตารางเรียนเดือนพฤศจิกายน มีอีกหลายคอร์สที่น่าสนใจ ติดตามดูได้ที่ www.matichonacademy.com ส่วนใครสนใจเรียนคอร์สไหนเลือกได้เลย โทร 0-2954-3977-84 ต่อ 2115, 2116, 2123, 2124 มือถือ 08-2993-9097, 08-2993-9105

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]

อันดับแรกต้องขออภัยคนบ้านไกลไว้ก่อนเลยค่ะ เพราะจะเขียนถึงงาน “ข่าวสดอาหารจานเด็ด 2020” งานรวบรวมร้านอาหารเด็ดๆ ทั้งที่เป็นตำนาน และ ร้านหน้าใหม่มาแรงในงานเดียวกว่า 100 ร้านค้า ที่จัดวันนี้ (วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2563) เป็นวันสุดท้ายแล้ว ที่ชั้น 4 MCC Hall เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน

แต่สำหรับคนบ้านใกล้ หรือ อยู่ไม่ไกลมาก แนะนำให้ออกมาเดินงานกันค่ะ เพราะว่างานนี้ คือ ที่สุดของหมุดหมายความอร่อยจริงๆ

เอาแค่ร้านระดับตำนาน 5-6 ร้านที่มารวมกันในงานเดียวก็คือที่สุดของแจ้แล้วค่ะ

เริ่มจากร้าน “สมบูรณ์โภชนา” ที่มีซิกเนเจอร์ “ปูผัดผงกะหรี่” อันลือลั่น ที่แม้ในงานจะเปลี่ยนจากก้ามปู มาเป็นเนื้อปูเพื่อความสะดวกในการรับประทาน ก็ไม่ทำให้เสียรสชาติดั้งเดิมแต่อย่างไร ที่ร้านรสแบบไหน ที่งานก็รสเดียวกับต้นตำรับเป๊ะค่ะ

ปูผัดผงกะหรี่ของที่ร้านสมบูรณ์โภชนา ถือเป็นระดับตำนาน เพราะอยู่คู่ร้านมานานหลายสิบปีแล้ว เริ่มดังจากชาวญี่ปุ่นที่ได้มาลิ้มลองแล้วติดใจ ไปเขียนรีวิวจนมีคนตามมากินมากมาย กลายเป็นของดีคู่ร้านที่ถ้าใครมาสมบูรณ์โภชนาแล้วต้องสั่งทุกราย

นอกจากปูผัดผงกะหรี่ สมบูรณ์โภชนา ยังได้นำกะเพราทะเล ฮ่อยจ๊อเนื้อปูล้วน ไก่ผัดเม็ดมะม่วง และ อีกหลายรายการยอดนิยมในร้านมาออกงานในครั้งนี้ด้วย

ร้านต่อมา “โรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง” ที่ได้เอาขาหมูเยอรมันตะวันแดง อาหารขึ้นชื่อ ที่มีความพิเศษคือกรอบนอกนุ่มใน และ หอมกลิ่นเครื่องเทศ รับประทานคู่กับมันบด และ ซาวร์เคราต์ หรือ กะหล่ำปลีดองสูตรเฉพาะที่ร้าน บวกกับน้ำจิ้มซีฟู้ดสุดแซ่บ กินคู่กันละก็มันครบเครื่องจริงๆ ในงานสามารถเลือกซื้อได้แบบเป็นคัพ 80 บาท ซื้อแล้วถือเดินกินได้เลย หรือ จะซื้อกลับบ้านไปทั้งขาในราคา 280 บาทเท่านั้น

อีกร้านเด็ดอาหารอีสาน “ไก่ย่างเสือใหญ่” รสชาติอุบลฯแท้ แต่อร่อยระดับพรีเมียม เมนูหลักๆ คือ ไก่ย่าง ที่จะมีเคล็ดลับในการย่างไม่เหมือนใคร เป็นสูตรตกทอดจากรุ่นคุณยายที่ทำกันมา กรรมวิธีจะย่างด้วยเตาอินฟราเรดก่อน จากนั้นจึงนำมาย่างเตาถ่านต่อเพื่อให้หนังมีความกรอบอร่อย ในราคาครึ่งตัว 120 บาท เต็มตัว 220 บาท ส่วนส้มตำก็จะเตรียมเป็นพอร์ชั่นไว้ ใครสั่งอะไรก็หยิบมาตำได้ทันที มีทั้งตำไทย และ ปูปลาร้า จะให้เด็ดแนะนำปูปลาร้าค่ะ

ต่อมา “จกโต๊ะเดียว” ตำนานคู่เยาวราช จัดซิกเนเจอร์มาครบเซต ทั้งเกี๊ยวกุ้งชุดละ 100 บาท และ กระเพาะปลาใส่ก้ามปูใหญ่ๆ สูตรเฮียจกโดยเฉพาะ

อีกร้านตำนาน ภัตตาคาร “ลิ้มกวงเม้ง” คู่สามย่านมากว่า 30 ปี จัดเมนูเด็ด “บะหมี่ขาห่าน” ราคา 120 บาท เมนูนี้คลาสสิกสุดสุด ขาห่านคัดไซซ์จัมโบ้ ที่ผ่านกรรมวิธีการอบกว่า 3 ชั่วโมงถึงจะได้ความนิ่ม ละลายในปาก และ อีกเมนูต้นตำรับ ดั้งเดิมจากแต้จิ๋ว คือ ฮือแซ หรือ ปลาดิบแล่บาง เป็นเมนูที่จำหน่ายมา 70-80 ปีแล้ว คัดประหลาดสดๆ กินกับน้ำจิ้มรสหวาน แกล้มกับผักอร่อยที่หนึ่งค่ะ

นอกจากร้านตำนาน ยังมีร้านอีกมากมายที่มาเสิร์ฟความอร่อยในที่เดียว ที่กำลังฮอตเลยคือ ปาท่องโก๋ ในงานนำมาจากโรงแรมราวินทรา บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดชลบุรี ที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดใน Tripadvisor ที่นำแป้งมานวดกันสดๆ เป็นแป้งสูตรเฉพาะ จุดเด่นคือกรอบนอกนุ่มใน และ เนื้อในเต็มเป็นรูอากาศ ขายในราคา 40 บาทเท่านั้น สามารถเลือกท็อปปิ้งได้ทั้งนมข้นหวาน สังขยาใบเตย และ ช็อกโกแลต

นอกจากนี้ ยังรวมร้านดังทั่วกรุง ที่คัดสรรสุดยอดเมนูอร่อยมาจากทั่วประเทศ ได้แก่ ก๋วยเตี๋ยวบ้านเนิน หมูกรอบอากง ตำปากเปิด หมูสะเต๊ะมังกรทองเยาวราช ส่วนที่มาจากทั่วไทยก็โดดเด่นไม่แพ้กัน อาทิ อาหารทะเลสดๆ จากจังหวัดสมุทรสาคร โรงแรมราวินทรา ของดีของดัง กุยช่ายเจ๊อิม เมนูเด็ดจากฉะเชิงเทรา ครัวข้าวสังข์หยด พัทลุง รวมถึงของดีของดังจากจังหวัดอุบลราชธานี นครราชสีมา ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ ฯลฯ พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์อาหาร OTOP สุดอร่อยจากกรมการพัฒนาชุมชน

เมนูพิเศษจากคนลูกทุ่งก็มี ครูสลา คุณวุฒิ พา ฮ้อน ฮ้อน แบรนด์กวยจั๊บญวนสุดอร่อยจากอุบลราชธานีมาให้คนกรุงได้ลิ้มรส ส่วน สุนารี ราชสีมา มีของดีเมืองย่าโมที่ลงมือปรุงเอง และส่งขายจนฮิตติดลมบนหลากหลายรายการ ทั้งน้ำปลาร้าปรุงรส น้ำพริกปลาฉลาด น้ำพริกปลาป่น ไส้กรอก ไส้อั่ว ปลาร้าผัดไข่ หมี่โคราช ปลาร้าบองสุก-ดิบ ปลาร้าบองแมงดา มาให้ลิ้มลอง

ใครที่สนใจเดินทางมาไม่ไกลนัก ขอเรียนเชิญนะคะ ที่ชั้น 4 เอ็มซีซีฮอลล์ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน งานเปิดตั้งแต่เวลา 11.00-21.00 น.

สำหรับคนที่ไม่สะดวกมาจริงๆ แต่อยากชิมบ้าง งานนี้มีบริการดิลิเวอรีจากข่าวสดค่ะ สามารถสแกนคิวอาร์โค้ด แล้วเลือกสั่งเมนูที่ถูกใจได้เลย หรือโทรสั่งได้ที่ Khaosod Food Delivery โทร 06-1417-4805, 09-8280-2792

รอบนี้อาจจะฉุกละหุกไปหน่อย แต่รับรองว่าเดินงานเดียวคุ้มจริงๆ ค่ะ

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]
ไก่ย่างจากเตาย่างร้อนๆ

ในบรรดาไก่ย่างที่มีชื่อเสียง มั่นใจว่าไก่ย่างจาก “พระราม 9 ไก่ย่าง” ต้องติดอันดับอยู่ในใจของใครหลายคน ด้วยจุดเด่นเรื่องความหอมของเครื่องเทศ ความหนุบของเนื้อไก่ และหนังบางกรอบ ทำให้ร้านยืนหนึ่งเรื่องไก่มายาวนานกว่า 20 ปีแล้ว

ทั้งที่เป็นร้านอาหารอีสาน แต่ใช้ชื่อเจาะจงว่า “พระราม 9 ไก่ย่าง” เพราะจุดเริ่มต้นของร้านอาหารอีสานเริ่มจากไก่ย่างแท้ๆ เลยค่ะ

จากเหตุการณ์ฟองสบู่แตก ทำให้ คุณสุเมธ ต่อสหะกุล ปัจจุบันวัย 70 ปี ซึ่งขณะนั้นเป็นชายหนุ่มรับเหมาก่อสร้างที่เคยรุ่งโรจน์กลับล้มไม่เป็นท่า พอดีกับจังหวะมีเพื่อนที่ทำร้านอาหารให้ช่วยหาทำเลแทนที่เก่าที่ขายไม่ดี ระหว่างที่ตระเวนหาที่เพื่อตั้งร้านอาหารก็บังเอิญไปเจอแผงไก่ย่างที่คนมุงแน่น จึงจอดรถไปซื้อมากิน ผลปรากฏว่าไม่อร่อยเลย

จุดนี้เองที่ทำให้ชายหนุ่มหัวการค้าอย่างคุณสุเมธแล่นปรู๊ด คิดย้อนไปไกลถึงตอนเป็นเด็ก บ้านอยู่อุดรธานี จะมีช่วงที่ต้องเดินทางด้วยรถไฟเข้ากรุงเทพฯ จะมีจุดแวะเติมฟืนเติมน้ำที่หมู่บ้านห้วยสามพาด แล้วได้กินไก่ย่างที่ชาวบ้านนำมาขายมีรสชาติอร่อยมาก

เมื่อคิดได้เขากับเพื่อนบึ่งรถไปอุดรฯ เพื่อไปตามหาผู้เฒ่าบ้านห้วยสามพาด ที่เคยขายไก่ย่างแสนอร่อยในอดีต และก็ได้สูตรมาอย่างใจหวัง ผู้เฒ่าไม่หวงสูตรเพราะเลิกขายไปนานแล้ว

เมื่อทดลองหมักไก่ ปรากฏว่าได้รสชาติที่ดีอย่างที่คิด แต่เป็นสไตล์อีสาน จึงเอามาปรับเองอีกนิดเพื่อให้รสเข้ากับปากคนกรุงเทพฯ แล้วใช้พื้นที่ริมถนนพระรามเก้าใต้ต้นไม้ ซึ่งเป็นทำเลอยู่ใกล้บ้านตั้งโต๊ะขายไก่

อาทิตย์แรกขายได้เพียงวันละ 10 กว่าตัว อดทนทำกันไปได้ประมาณ 1 เดือน เพื่อนเกิดคิดท้อขอเลิก คุณสุเมธที่ไปป่าวประกาศกับเพื่อนฝูงมากมายแล้วจำเป็นต้องแบกภาระนี้ต่อไปด้วยตัวเอง

เพื่อนเลิกไปเพียงอาทิตย์เดียว เรื่องเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น จากยอดขายวันละ 10 กว่าตัว พุ่งไปถึงวันละ 70 ตัว สเต็ปต่อไปลูกค้าเริ่มเรียกร้องขอโต๊ะเก้าอี้นั่งกินริมทาง จากนั้นเริ่มเรียกร้องเมนูอื่นๆ เริ่มจากส้มตำ ข้าวเหนียว ทำไปมาใหญ่โตเปิดเป็นร้านอาหารอีสานเมนูหลากหลาย โดยสาขาแรกเปิดที่พระราม 9 ในปี 2543

ทุกวันนี้ “พระราม 9 ไก่ย่าง” ขยายออกไปรวม 5 สาขา ได้แก่ สาขาพระราม 9 ปากซอย 39 อยู่ห่างจากแยกรามคำแหง 300 เมตร สาขา เดอะแจ๊ส ชั้น 1 ลาดปลาเค้า สาขา เดอะ พรอมานาด ชั้น 3 รามอินทรา สาขา เดอะมาร์เก็ต แบงคอก ชั้น 3 ติดบิ๊กซีราชดำริ และสาขาโลตัส เอ็กซ์ตร้า เลียบด่วนรามอินทรา โดย มีครัวกลางอยู่ที่สาขาพระราม 9 กระจายเครื่องปรุงต่างๆ ออกไป ทำให้ไม่ว่าสาขาไหนก็มีรสชาติเดียวกันเป็นมาตรฐาน

เมนูที่มาแล้วห้ามพลาด แน่นอนว่าคือ “ไก่ย่าง” 160 บาท รสชาติหอมอร่อย เนื้อหนุบหนังกรอบ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม 2 แบบ คือ แบบเผ็ดและหวาน

ไก่ย่างที่นี่คัดไก่ที่ผสม 3 สายพันธุ์ อายุ 3 เดือน หมักด้วยสูตรที่โดดเด่นด้วยเครื่องเทศและเครื่องปรุงอย่างดี หมักไว้จนข้ามคืนเพื่อให้เครื่องเข้าเนื้อ แล้วนำไปย่างด้วยเตาย่างไร้ควันที่อุณหภูมิ 250 องศา ทำให้ไก่ย่างที่ได้สุกเสมอทั่วกัน เนื้อมีความหนุบและนุ่ม หนังกรอบอร่อยไม่มีรอยไหม้แม้แต่น้อย

ไก่ย่างสูตรเด็ด
คอหมูย่าง
ต้มแซ่บกระดูกอ่อน

คุณสุเมธบอกว่า เดิมทีย่างไก่ด้วยเตาถ่าน จนเกิดเรื่องไข้หวัดนก เลยคิดหาวิธีสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า ไปตามหาเครื่องย่างไก่ตามสเปกที่ สวทช.แนะนำ เพื่อนที่ได้ฟังบอกว่ามีเครื่องสเปกแบบที่บอกอยู่ เป็นเครื่องจากอเมริกา ความร้อนคงที่ 250 องศา จึงปลอดภัยจากไข้หวัดนกแน่นอน

“วันแรกลองย่างก็รู้ว่าได้ แต่คุณภาพยังไม่ได้ เนื้อไก่ออกมาแข็ง วันต่อมาเราลองปรับความเร็วสายพาน ปรับไฟ ขยับไปขยับมาจนได้ แล้วเครื่องนี้มีข้อดีคือ ปลอดภัย อุณหภูมิคงที่ ไม่มีควันเลย ไก่ที่ได้ไม่มีรอยไหม้แม้แต่น้อย และหนังกรอบ แล้วทุกตัวสุกเท่ากันหมด”

จานต่อมา “ตำหลวงพระบางกุ้งสด” 105 บาท เป็นส้มตำเส้นใหญ่บาง หอมปลาร้าอย่างดี ชูรสเด่นด้วยกะปิจากระยอง ทำให้รสชาตินัวเข้มข้น ใส่กุ้งสดตัวอวบๆ แซ่บถึงใจ

“ตำไทยถั่วกระจก” 55 บาท จานนี้เป็นอีกหนึ่งความแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร ใช้ถั่วกระจกสินค้าชื่อดังจากขอนแก่นมาตำใส่แทนถั่วลิสงคั่ว รสชาติหวานนำ เปรี้ยวตาม อร่อยเพลินไปอีกแบบ

สุเมธ ต่อสหะกุล

เรื่องส้มตำ มะละกอ คือ สิ่งที่ร้านภูมิใจนำเสนอ เพราะเส้นมะละกอที่นี่ใช้เครื่องตัดทำให้ได้ขนาดมาตรฐานเท่ากัน เน้นเส้นเล็กบาง แต่กรอบอร่อยมาก

“ผมเคยสงสัยว่าทำไมมะละกออย่างขูดกับสับมันถึงได้แตกต่างกัน อย่างสับจะกรอบ อย่างขูดไม่ค่อยกรอบ ผมเลยเอาเส้นมะละกอทั้ง 2 แบบ มางอแล้วใช้กล้องส่องพระส่องดูรายละเอียด ทำให้เห็นว่าอย่างขูดนั้นจะมีเทกเจอร์ร้าวๆ เลยรู้ว่าตรงนี้เองที่ทำให้เส้นไม่กรอบ ผิดกับสับที่ความคมของมีดตัดเนื้อฉับเส้นจึงกรอบ ผมเลยใช้เครื่องที่เป็นใบมีดทำให้เส้นของเรามีขนาดเท่ากัน และมีความกรอบอร่อย” คุณสุเมธเผยเคล็ดลับ

ต่อมา “คอหมูย่าง” 80 บาท เนื้อคอหมูแท้ หมักด้วย 3 สหาย รากผักชี กระเทียม พริกไทย เสริมด้วยเครื่องปรุงรสสูตรเฉพาะ ทำให้เนื้อคอหมูนุ่มและชุ่มมาก มีน้ำจิ้มแจ่วซอสมะขามรสชาติเปรี้ยวหวานลงตัว

“ลาบปลาดุก” 70 บาท อีกหนึ่งจานเด็ด มีความแห้งสไตล์อีสานแท้ และอุดมด้วยสมุนไพร “ลาบเป็ด อุดรฯ” 75 บาท เด็ดขาดเช่นเดียวกัน

“ต้มแซ่บกระดูกอ่อน” 80 บาท ถ้วยนี้รสชาติเข้มข้น แต่ไม่จัดเกินไป เปรี้ยวกำลังดี ซดน้ำซุปได้ทั้งถ้วย กระดูกอ่อนต้มจนเปื่อยนุ่มเคี้ยวกินได้ทั้งคำ ได้ยินว่าเป็นถ้วยโปรดของอดีตนายกฯ สมัคร สุนทรเวช เลยทีเดียว

สุดท้าย “ยำนัวหมูยอไข่แดง” 119 บาท จานนี้เด่นทั้งหมูยอ และน้ำยำ รับประกันความแซ่บ

อ้อ…เครื่องดื่ม ไม่พูดไม่ได้ “น้ำผึ้งมะนาวโซดา” ช่วงนี้ราคาแนะนำแก้วละ 45 บาท รสชาติดีมากแบบเกินคาด ดีกว่าในคาเฟ่เก๋ๆ หลายแห่งเลยค่ะ ไม่เชื่อต้องลอง

ล่าสุดมิชลินร่วมการันตีความอร่อยอีกเสียง มอบรางวัลมิชลิน บีบ กูร์มองต์ หน้าใหม่ประจำปี 2020 ถึง 4 เมนู ได้แก่ ไก่ย่าง ส้มตำกระจก คอหมูย่าง และลาบเป็ด อีกด้วย

 

และในโอกาสที่ร้านพระราม 9 ไก่ย่าง ก้าวเข้าสู่ปีที่ 21 คุณสุเมธเลยตั้งใจคืนกำไรให้ลูกค้า จัดแคมเปญ “10 เดือน 9 วันไก่บ้านย่างฟีเวอร์” คือ ในวันที่ 10 กันยายนนี้ ทุกบิลอาหารที่ใช้จ่ายถึง 300 บาท ทุกสาขา ไม่ว่าจะนั่งกินที่ร้านหรือสั่งดิลิเวอรี จะได้รับไก่ย่างสุญญากาศ ซึ่งเป็นไก่ที่ปรุงสุกแล้วสามารถนำไปเข้าเตาอบ หรือ ไมโครเวฟได้ทันที มูลค่า 170 บาทฟรี 1 ตัว เวลาตั้งแต่ร้านเปิดยันร้านปิด 10.00-21.00 น. ยกเว้นสาขาพระราม 9 ปิด 20.00 น.

ส่วนตัวขอคอนเฟิร์มอีกเสียงว่า “พระราม 9 ไก่ย่าง” คืออีกหนึ่งร้านที่คนรักอาหารอีสานต้องประทับใจค่ะ

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]
ตำไทยถั่วกระจก
ตำหลวงพระบางกุ้งสด
ปลาดุกย่างจากเตาร้อนๆ
ยำหมูยอไข่แดง
ลาบปลาดุก

ในสภาพบ้านเมืองยังไม่คลายจากโรคระบาด ในสภาพที่เศรษฐกิจย่ำแย่ ในสภาพที่คนหาเช้ากินค่ำ คนใช้เงินเดือนชนเดือนยังใจคอไม่ดีกับสถานการณ์ตรงหน้า วันนี้มีของดีมาบอกต่อค่ะ

อย่างที่รู้ว่า “มติชน อคาเดมี” หรือ ศูนย์อาชีพและธุรกิจมติชน ได้กลับมาเปิดสอนกันแล้วหลังมาตรการผ่อนปรนจากรัฐบาล นอกจากคอร์สดั้งเดิมที่มีอยู่แล้ว ล่าสุดมีคอร์สเปิดใหม่น่าสนใจทีเดียว สำหรับคนที่กำลังอยากจะเปิดร้านอาหารอีสาน

คอร์สนี้ชื่อ “เมนูเปิดร้านอีสานแซ่บ” สอนกันทั้งหมด 7 เมนู ล้วนเป็นเมนูพื้นฐานที่แตกไปเป็นเมนูอื่นๆ ได้อีกเป็นสิบอย่าง พูดง่ายๆ ว่าเรียนเท่านี้ก็เปิดร้านได้แล้ว

ความน่าสนใจ คือ อาจารย์ที่สอนคอร์สนี้ ไม่ใช่เป็นแค่คนทำอาหารเป็นทั่วไป แต่ อาจารย์น้ำอ้อย-วิภาดา คำนนท์ วัย 29 ปีคนนี้ คือ คนที่รักและมีแพสชั่นล้นเหลือเรื่องการทำอาหารมาตั้งแต่เด็กๆ ตั้งแต่ชั้น ป.3 การท้าประชันตำส้มตำกับเพื่อนแล้วให้ผู้ใหญ่มาตัดสินว่าของใครแซ่บกว่ากันก็ทำมาแล้ว

อ.น้ำอ้อย ภูมิลำเนาเป็นคนศรีสะเกษ อยู่กับยาย และน้องชาย เพราะแม่มาเปิดร้านส้มตำอยู่ที่ตลาดดวงพลอย ซอยลาซาล ชื่อร้าน “จันทร์ผ่อง” ทุกปิดเทอม น้ำอ้อยและน้องชายจะนั่งรถไฟมาช่วยแม่ทำงานที่ร้านส้มตำทุกครั้ง ตั้งแต่เด็กจนโต ดังนั้นแม้ว่าแม่จะไม่สอนตรงๆ ว่าอะไรทำยังไง น้ำอ้อยก็ซึมซาบทุกอย่างเข้ามาอยู่ในสายเลือดไม่รู้ตัวแล้ว

“ตอนนั้นเรารู้สึกสนุก รู้สึกอยากจะช่วยแม่ มาแรกๆ รู้สึกอยากทำได้ทุกอย่างเลย เราก็มาหัดเอง เริ่มมัดถุงแกง จากนั้นก็เริ่มคนลาบน้ำตกให้แม่ แต่แม่ปรุง เราแค่เอาเนื้อสัตว์ใส่หม้อเอาไปรวน จากนั้นก็เพิ่มสเต็ป แม่เริ่มสอนว่าใส่อะไรบ้าง ใส่เท่าไหร่ เริ่มจากลาบน้ำตกก่อน จนโตขึ้นมาอยู่มหาวิทยาลัย แม่ก็ยังไม่ปล่อย แต่ด้วยที่เราเฝ้าหน้าร้านตลอด แม่ไปเข้าห้องน้ำลูกค้ามา บางคนไม่รอ วันหนึ่งเราตำแทนแม่เลย ลูกค้าก็มองว่าจะกินได้รึเปล่า ตอนนั้นก็ไม่ได้ชิม พอวันต่อมาลูกค้าเห็นแม่ปุ๊บ เราอยู่ข้างหลังดูทีวี ลูกค้ามาบอกว่าให้ลูกสาวตำ ก็ทำให้แม่เริ่มเปิดมากขึ้น เราเองก็มั่้นใจมากขึ้น”

ด้วยความรักในการทำอาหาร ทำให้ อ.น้ำอ้อย ตัดสินใจเลือกเรียนที่คณะโรงเรียนการเรือน สาขาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต พอเรียนจบก็ไปฝึกงานที่อเมริกา 1 ปี แผนกเบเกอรี่ พอกลับมาไทย ทำงานที่โรงแรมเลอ เมอริเดียน สุวรรณภูมิ ได้ประมาณ 6-7 เดือน ก็ออกมาเปิดร้านยำของตัวเองได้ประมาณ 1 ปี แต่ต้องปิดตัวลงเพราะแฟนที่เป็นเชฟเหมือนกันกลับไปทำงานที่อเมริกา จึงกลับมาช่วยแม่ทำร้านส้มตำต่อ ทำได้ 7-8 เดือน กระทั่งแฟนกลับมาจากอเมริกา จึงเริ่มธุรกิจเล็กๆ อีกรอบ ทำไส้กรอกอีสานสูตรของแม่แฟนที่เป็นคนนครศรีธรรมราช ทำได้ 1 ปีกว่าๆ แฟนได้งานใหม่เป็นเชฟโรงแรม ส่วนตัว อ.น้ำอ้อยก็เดินหน้าเปิดร้านส้มตำเป็นของตัวเองเป็นร้านแรก อยู่ในศูนย์อาหารที่อำเภอศรีราชา ชื่อร้าน “ออนซอนส้มตำเด” ด้วยรสมือที่ใครชิมก็ติดใจทำให้มีลูกค้าประจำติดกันงอมแงม เปิดร้านมาได้ราว 2 ปี ก็เกิดโรคระบาดโควิด แต่ยังประคองตัวอยู่ได้เพราะฐานลูกค้าประจำ

ล่าสุด การเปลี่ยนแปลงอีกครั้งของ อ.น้ำอ้อย คือ การกลับไปปักหลักใช้ชีวิตกับแฟนที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงจำเป็นต้องปิดร้านที่ศรีราชา แฟนคลับบ่นคิดถึงกันเป็นทิวแถว โดยจะเปิดให้บริการปลายเดือนกรกฎาคมนี้ ชื่อร้าน “เซิ้งตำยำนัว” ตั้งอยู่ในย่านเศรษฐกิจของนครศรีธรรมราช ตรงข้ามกับโรงแรมทวินโลตัส ใครอยู่แถวนั้นเตรียมไปประเดิมได้เลยค่ะ

น้ำอ้อย-วิภาดา คำนนท์

และอีกบทบาทที่ อ.น้ำอ้อย ตัดสินใจตกปากรับคำมาเป็นอาจารย์สอนให้กับมติชน อคาเดมี ซึ่ง อ.น้ำอ้อย บอกว่า เต็มใจบอกสูตรทุกอย่าง เพราะมีความรู้สึกว่าถ้าใครเอาไปทำแล้วเกิดความเจริญรุ่งเรืองก็รู้สึกยินดีตาม

สำหรับสูตรที่จะเอามาบอกครั้งนี้มี 7 เมนูหลัก ได้ชิมแล้วบอกเลยแซ่บทุกอย่าง ตั้งแต่ ส้มตำไทย ส้มตำปูปลาร้า คอหมูย่าง ไก่ย่าง ซุบหน่อไม้ ต้มแซ่บกระดูอ่อน และอ่อม

อ.น้ำอ้อย บอกว่า เพียงแค่ 7 เมนูนี้ก็สามารถเปิดร้านอาหารได้เลย เพราะทั้ง 7 เมนูที่สอนสามารถแตกออกเป็นเมนูได้อีกนับสิบๆ อย่าง

อ.น้ำอ้อย ยกตัวอย่าง เช่น ตำปูปลาร้า เบสนี้ถ้าจะตำลาวเราก็แค่ตัดปูออก ตัดกระเทียม น้ำตาลออก ใช้พริกแห้ง ส่วนตำซั่วก็แค่ดึงมะละกอออกนิดหน่อยแล้วเพิ่มขนมจีน ถ้าเป็นตำมั่วก็ดึงมะละกอออกแล้วเพิ่มพวกผัก ถ้าเป็นไหลบัว เป็นมะม่วง ก็เหมือนกันหมด แต่ถ้าเป็นผลไม้ที่เป็นรสเปรี้ยวไม่จืดเหมือนมะละกอ เราก็แค่เพิ่มน้ำตาลและความเค็มอีกนิดหนึ่ง แล้วหั่นหอมแขกหอมแดงเพิ่ม

“เมนูต้มเราจะต้มซุปไว้ก่อน ที่จะสอนคือกระดูกอ่อน เบสนี้เราเอามาทำเล้งแซ่บก็ได้ ซุปเปอร์ตีนไก่ก็ได้ นอกจากจะประหยัดเวลายังคงรสชาติให้มาตรฐานเดียวกันทุกชามอีกด้วย อย่างต้มแซ่บกระดูกอ่อน เบสจะมีข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกป่น พริกผัด ถ้าจะทำต้มยำ ก็แค่ดึงพริกป่น และข้าวคั่วออกไป ก็เป็นต้มยำน้ำใส ถ้าน้ำข้นก็เพิ่มนมสด”

อ.น้ำอ้อย อธิบายว่า การทำอาหารอันดับแรกต้องเข้าใจก่อนว่าอาหารแต่ละอย่างเป็นยังไง แล้วจะแตกเป็นอะไรได้บ้าง เช่น ต้องเข้าใจก่อนว่าลักษณะอ่อมเป็นยังไง ต้มยำเป็นยังไง พวกวัตถุดิบบางอย่างไม่ต้องซีเรียส เช่น ต้มยำไม่จำเป็นต้องเป็นเห็ดฟางอย่างเดียว เป็นเห็ดอย่างอื่นก็ได้ แต่รสชาติต้มยำมันต้องใช่

ส่วนลาบก็อาจมีดีเทลที่ต้องเข้าใจ เช่น ลาบเป็ดต้องเพิ่มกระเทียมเจียว หอมเจียว ใบมะกรูดซอย พริกทอด ใบมะกรูดทอด ถ้าเป็นลาบปลาดุกก็ต้องมีข่าสับไปในเนื้อปลาดุก เพราะปลาจะมีความคาวเล็กๆ ซอยใบมะกรูดใส่หน่อย เป็นต้น และ หากเข้าใจลาบแล้วก็ไปต่อยอดทำน้ำตกได้เช่นกัน เพราะมีเบสเดียวกัน

ด้านสูตรหมักไก่ และคอหมู ก็เป็นสูตรหมักที่นำไปต่อยอดหมักอย่างอื่นได้อีก จุดเด่นคือหอมกลิ่นซอส เนื้อนุ่ม มันเคลือบเล็กๆ เค็มหน่อยๆ ถือเป็นรสชาติที่ลงตัวเมื่อสั่งมาพร้อมกับเมนูรสจัดอื่นๆ

“ที่รับปากมาสอน ก็จะบอกทุกอย่างเลยค่ะ เรามองว่าของพวกนี้ถ้าคนอื่นทำแล้วเขาขายดี เปิดร้านแล้วเจริญรุ่งเรืองเรารู้สึกดีใจกับเขา ไม่หวง แล้วแต่ว่าคุณจะสามารถแค่ไหน”

______________________

คอร์ส “เมนูเปิดร้านอีสานแซ่บ” เปิดสอนวันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2563 ราคา 2,140 บาท

สนใจติดต่อที่มติชน อคาเดมี

เฟซบุ๊ก Matichon Academy

โทร : 0-2954-3977-84 ต่อ 2115, 2116, 2123, 2124

มือถือ : 08-2993-9097, 08-2993-9105

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 19 กรกภาคม 2563, หน้า 20
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]
เซต จุ๋ยก้วยปูทะลักรวยล้นฟ้า

'อากู๋จุ๋ยก้วย' ของว่างจากเฉาโจว ปรับโฉมใหม่ทันสมัยและอร่อยมาก

สารภาพตามตรงว่าไม่เคยรู้จักของว่างชาวจีนที่ชื่อว่า “จุ๋ยก้วย” มาก่อนเลย รอบตัวคนจีนที่รู้จักก็ไม่เคยนำพาสิ่งนี้มาให้ได้ลิ้มลอง หรือพูดถึงให้เตะหูซักครั้ง

เพิ่งได้รู้จักจุ๋ยก้วยก็ตอนได้มาชิมที่ร้าน “อากู๋ 88” ของ คุณแมท-สุวิทย์ เอื้อศักดิ์ชัย ที่แวดวงมาร์เก็ตติ้งรู้จักกันดีในนามของนักสร้างแบรนด์มือทองนี่แหละค่ะ

ร้านอากู๋ 88 เพิ่งจะเปิดวันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมานี้เอง แต่ประสบการณ์ทำร้านอาหารเจ้าตัวไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยเปิดร้านอาหารปักษ์ใต้ และขนมสโคนอันลือลั่นสนั่นกรุงมาแล้วภายใต้ชื่อร้าน “Sweet Burgundy Weekend Cafe” แต่ตัดสินใจยุติลงไป เพราะขายดีคนแน่นร้าน แล้วคุณแมทซึ่งมีหน้าที่การงานอีกหลายบทบาทเลยทำต่อไม่ไหว

มาตัดสินใจเปิดร้านครั้งใหม่ล่าสุดนี้ เพราะโชคชะตาได้มาพบกับ “คุณเปิ้ล-กรชนก โรจนโภควาณิชย์” มือทำกุยช่ายมากประสบการณ์จากตลาดพลูที่มาอบรมการสร้างแบรนด์กับคุณแมทช่วงก่อนโควิด-19 จะระบาด ได้ติดต่อเรื่อยมา พูดคุยถูกคอจนตกลงทำธุรกิจจุ๋ยก้วยร่วมกันในที่สุด

ช่วงที่พูดคุยให้คำปรึกษาระหว่างลูกศิษย์อาจารย์นั้น คุณแมทบอกคุณเปิ้ลแบบตรงไปตรงมาว่า จะทำแบรนด์กุยช่ายเป็นเรื่องยากมาก เพราะกุยช่ายก็คือกุยช่าย และมีขายทั่วทุกมุมเมือง เลยโยนไอเดียว่าทำจุ๋ยก้วยได้ไหม เพราะเป็นอาหารโปรดของคุณแมท โปรดปรานขนาดที่รู้จักขนมนี้ดีอย่างทะลุปรุโปร่ง ร้านเด็ดดังในเยาวราชตระเวนกินมาหมดแล้ว ที่สำคัญไปได้สูตรนึ่งแป้งขาว กับวิธีผัดไชโป๊มาจากอาม่าที่เมืองเฉาโจวอีกด้วย

จากนั้นลูกศิษย์อาจารย์จึงได้นำมาฝึกหัดทำกันเองจนได้สูตรเฉพาะของ “อากู๋จุ๋ยก้วย”

“อากู๋จุ๋ยก้วย” คือ จุ๋ยก้วยที่คุณแมทนำมาเสนอในรูปแบบใหม่ คือ มีทั้งแบบออริจินอลที่เป็นแป้งขาวเฉาโจวนึ่งกินกับไชโป๊และเห็ดหอมผัด รสชาติเค็มๆ หวานๆ กินเพลิน

และรูปแบบใหม่ที่นำแป้งมาเติมสี 6 สี ที่สำคัญมาจากธรรมชาติทั้งหมด โดยสีชมพูมาจากแก้วมังกร เหลืองมาจากขมิ้น ส้มจากแครอต สีม่วงจากอัญชันที่ใส่น้ำมะนาว ฟ้าจากอัญชัน เขียวจากใบเตย

ส่วนของแป้งสีนี้เรียกว่าแป้งสีลั่กไช้ เป็นความเชื่อคนจีนเรื่องสีมงคล

ส่วนเครื่องก็มีการเพิ่มความน่าสนใจด้วยการใส่ หมูสับ กุ้งสับคลุกมันกุ้ง เต้าหู้ ลงไปด้วย และอีกอย่างที่คนร้องโอ้โฮ คือ จุ๋ยก้วยปูทะลัก ที่แม่ครัวเล่นโปะปูใส่มาบนแป้งแบบทะลักล้นจริงๆ

ส่วนน้ำจิ้มต่างๆ ก็ล้วนคัดคุณภาพและพิถีพิถันสุดสุด เริ่มจากซีอิ๊วก็เป็นซีอิ๊วปรุงเองเคี่ยวเอง พริกน้ำส้มคัดพริกจินดาแดงนำมาตำไม่ปั่น กระเทียมเจียวนำมาบดและเจียวเองทุกขั้นตอน

ความโดดเด่นของเครื่องจุ๋ยก้วยที่นี่ คือ การผัดแบบแห้งไม่แฉะน้ำมันเหมือนเจ้าอื่นๆ เพราะสิ่งที่เน้นที่สุด คือ  เรื่องสุขภาพ

คุณแมทบอกว่า ดั้งเดิมจริงๆ มีแค่แป้งขาว ส่วนเครื่องมีแค่ไชโป๊กับเห็ดหอม เราก็มาคิดท็อปปิ้งใหม่หมด ซึ่งต้นตำรับบางเจ้าจะเคี่ยวไชโป๊เห็ดหอมจนเหนียวจนแยกไม่ออก แต่เรามองว่าเทกเจอร์มันต้องน่ารับประทาน และต้องเพื่อสุขภาพจึงต้องทำให้น้ำมันแห้งที่สุด ไม่ใช่ตักเข้าปากมีแต่น้ำมัน

คุณเปิ้ลที่ได้รับโจทย์นี้ไปจึงกลับไปทำอยู่หลายรอบจนลงตัวในที่สุด

คุณเปิ้ลบอกว่า ตอนเด็กๆ ที่เราเห็นหรือโตมาจะใช้น้ำมันเยอะ เหมือนต้มในน้ำมัน แล้วจะง่ายในการทำ แต่เราเน้นสุขภาพ เลยใช้น้ำมันรำข้าวในการผัดเครื่อง และไม่ใช้เยอะ อาจจะเสียเวลาหน่อย เพราะต้องใจเย็น ค่อยๆ ผัด ผัดเห็ดให้หอมก่อนแล้วลงไชโป๊ลงไป ผัดจนเรารู้สึกว่าแห้งก็ใช้ได้

ส่วนแป้งก็นุ่มละมุนลิ้นมากๆ เพราะทุกอย่างที่นี่ทำแบบโฮมเมดจริงๆ

คุณแมท-สุวิทย์-เอื้อศักดิ์ชัย
จุ๋ยก้วยแป้งสีที่เพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ
เซตมาเดี่ยวรวยคนเดียว

คุณเปิ้ลบอกว่า แป้งต้องนวดด้วยมือ ทำทีละพอร์ชั่นเล็กๆ เพื่อควบคุมคุณภาพ นำไปผสมน้ำแล้วเทหยอดทีละถ้วยๆ นึ่งด้วยเวลาที่เหมาะสมจนได้แป้งที่นุ่มกินอร่อย

สำหรับเมนูที่ร้านจะเสิร์ฟเป็นเซต โดยมีจุ๋ยก้วยเป็นหลัก และมีอาหารนึ่งอื่นๆ เป็นตัวเสริม ถ้าใครไปรับประทานที่ร้านจะมีให้เลือกทั้งหมด 5 เซต

เซตแรก “มาเดี่ยวรวยคนเดียว” 188 บาท ประกอบด้วย จุ๋ยก้วยแห้งสีลั่กไช้ 8 ชิ้น ไชโป๊เห็ดหอมหมูสับ 1 ถ้วย ขนมจีบสุขภาพหยิบหยางงาดำรำข้าว 3 ชิ้น และน้ำชาจีนร้อน 1 กา

เซตที่ 2 “มาเป็นคู่รวยด้วยกัน” 388 บาท ประกอบด้วย จุ๋ยก้วยแป้งขาว และแป้งสีลั่กไช้ 15 ชิ้น ไชโป๊เห็ดหอม 1 ถ้วย ไชโป๊เห็ดหอมกุ้งสับ 1 ถ้วย ขนมจีบงาดำรำข้าว 2 ชิ้น ก๋วยเตี๋ยวหลอดห่อทรัพย์ 1 ชิ้น น้ำชาจีนร้อน 1 กา และน้ำเก๊กฮวย 2 ขวด

เซตสี่สหายมหามงคล

เซตที่ 3 “สี่สหายมหามงคล” 888 บาท ประกอบด้วย จุ๋ยก้วยแป้งขาว 12 ชิ้น จุ๋ยก้วยแป้งสีลั่กไช้ 12 ชิ้น ไชโป๊เห็ดหอม 1 ถ้วย ไชโป๊เห็ดหอมเต้าหู้ 1 ถ้วย ไชโป๊เห็ดหอมหมูสับ 1 ถ้วย ไชโป๊เห็ดหอมกุ้งสับ 1 ถ้วย ขนมจีบงาดำรำข้าว 8 ชิ้น ก๋วยเตี๋ยวหลอดห่อทรัพย์ 3 ชิ้น กุยช่ายอัญชัน 4 ชิ้น น้ำซุปรากบัว 4 ถ้วย น้ำชาจีนร้อน 1 กา และน้ำเก๊กฮวย 4 ขวด

เซตที่ 4 “จุ๋ยก้วยปูทะลักรวยล้นฟ้า” 888 บาท ประกอบด้วย จุ๋ยก้วยแป้งขาวและจุ๋ยก้วยแป้งสีลั่กไช้รวม 35 ชิ้น ไชโป๊กุ้งสับ 1 ถ้วย เนื้อปูทะเลสดชิ้นใหญ่ 1 ถ้วย น้ำซุปรากบัว 2 ถ้วย น้ำชาจีนร้อน 1 กาและ น้ำเก๊กฮวย 2 ขวด

เซตที่ 5 “กู๋แมทท์พารวย” 388 บาท อาหารในเซตประกอบด้วย จุ๋ยก้วยแป้งลั่กไช้ 8 ชิ้น ไชโป๊เห็ดหอมเนื้อปูก้อน 1 ถ้วย กุยช่ายอัญชัน 2 ชิ้น และน้ำชาจีนร้อน 1 กา

สำหรับที่ร้าน เปิดเพียง 2 วัน คือ วันศุกร์กับเสาร์ เวลา 11.00-15.00 น. มาไม่ยากอยู่ในซอยลาดปลาเค้า 18 บ้านเลขที่ 88 เปิดกูเกิลแมพส์มาได้เลย แต่อาจจะหาที่จอดรถยากหน่อย สามารถจอดแปะได้ตามกำแพงค่ะ แต่ถ้าใครไม่ถนัดเปิดกูเกิล ให้ตรงเข้ามาที่ลาดปลาเค้า 18 เกือบสุดซอย จะเจอแยกระหว่างตึกให้เลี้ยวขวาสุดทางจะเจอร้านเลย สังเกตประตูสีเข้มบานใหญ่ไม่เหมือนใคร

ส่วนดิลิเวอรี สั่งได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 11.00-17.00 น. ดูรายละเอียดได้ที่เฟซบุ๊ก RKU_CHWEEKUEH ไลน์แมน อากู๋ จุ๋ยก้วย ไลน์แอด @rku2465 หรือโทร 09-4956-5965, 09-9222-9956

ก๋วยเตี๋ยวหลอดสูตรเฉพาะชิ้นอวบอ้วน
กุยช่าย
จุ๋ยก้วยแป้งสี และ แป้งขาว โรยหน้าด้วยเนื้อปูชิ้นใหญ่เต็มจาน
ขนมจีบหมูงาดำ
ไขโป๊เห็ดหอมหมูสับ มันกุ้ง และกุ้งสับ
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]
สลัดกุ้งตะกร้าเผือก

ฉบับนี้ชวนไปกินอาหารจีนกันค่ะ อย่างที่บอกว่าสถานการณ์ไวรัสโควิดเริ่มบรรเทา เราก็ควรหาเวลาออกมานั่งกินข้าวนอกบ้านให้อาหารจีนเยียวยา เปลี่ยนบรรยากาศให้จิตใจแช่มชื่นกันบ้าง

ร้านที่จะมาแนะนำวันนี้ ชื่อร้าน HoHo Kitchen ค่ะ อ่านว่า โหว์โหว์ เป็นภาษาจีนกวางตุ้ง แปลว่า ดีๆ ตั้งอยู่ที่โครงการสเตเดียมวัน

แม้จะเพิ่งเปิดร้านเมื่อปลายปี 2561 ที่ผ่านมา แต่โหว์โหว์ไม่ใช่ร้านอาหารจีนน้องใหม่ที่ไหนนะคะ เป็นร้านดั้งเดิมกว่า 20 ปีมาแล้ว สมัยนั้นตั้งอยู่ที่ตึก ยูไนเต็ดเซ็นเตอร์ สีลม เป็นการร่วมหุ้นของชาวฮ่องกง และ คุณปิติ สิทธิอำนวย ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงเทพ ผู้นิยมชมชอบฮ่องกงอย่างมาก แต่มีอันปิดตัวไปด้วยมรสุมเศรษฐกิจลูกแล้วลูกเล่าในอดีต

แต่ด้วยความเชื่อมั่นในรสชาติของอาหาร ทำให้ คุณโบ้-พิเชษฐ สิทธิอำนวย บุตรชาย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท หลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) วัย 55 ปี กลับมาสืบทอดกิจการอันเป็นที่รักของพ่อต่ออีกครั้ง และ ตัดสินใจตั้งเป็นร้านสแตนด์อะโลน ที่ โครงการสเตเดียม วัน แหล่งกินแหล่งแฮงค์เอาต์ใหม่ใจกลางกรุง บรรยากาศร้านตกแต่งเน้นความโปร่ง โล่งสบาย

พลิกเมนูดูมีอาหารหลากหลายและเยอะมากๆ ค่ะ เอาเป็นว่าลองจัดซิกเนเจอร์มาชิมกันก่อน

อันดับแรกไม่สั่งไม่ได้ “สลัดกุ้งตะกร้าเผือก” 390 บาท ซิกเนเจอร์สุดจี๊ดจานนี้ ใช้กุ้งแชบ๊วยตัวเป้งๆ เนื้อกรอบเด้งเข้ากับน้ำสลัดรสชาติจัดจ้าน กินพร้อมตะกร้าเผือกทอดที่กรอบฟูอร่อยมาก เป็นออร์เดิร์ฟที่เพลิดเพลินได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

“ผักโขมผัดกระเทียม” 100 บาท เป็นเมนูง่ายๆ แต่อร่อยเหลือหลายค่ะ ผักนิ่ม ผัดหอมกลิ่นเนยและกระเทียม คนไม่กินผักอยากให้ลองจานนี้ก่อน


“หมูผัดเปรี้ยวหวาน”
180 บาท รสชาติเปรี้ยวหวานแบบกลมกล่อม หมูชุบแป้งทอดกรอบอร่อย ผัดกับพริกหยวกสีต่างๆ และต้นหอม กินกับข้าวสวยร้อนๆ หยุดไม่ได้เลยล่ะค่ะ ยกให้เป็นจานเด็ดในใจอีกจาน ได้ยินว่าคนฮ่องกงมารับประทานก็ติดใจเป็นทิวแถวเหมือนกัน

“ปูนิ่มผัดพริกเกลือ” 350 บาท ปูนิ่มทอดกรอบกำลังดี ผัดกับพริกเกลือรสชาติจัดจ้าน เป็นอีกจานที่กินกับข้าวสวยแบบลืมอิ่ม

“ปลาทับทิมทอดราดต้มยำ” 300 บาท จานนี้เป็นสูตรของท่านประธานกรรมการ ธนาคารกรุงเทพเลย แนวคิดง่ายๆ เอาไว้ตัดความเลี่ยนของอาหารจีน วิธีทำทอดปลาก่อนแล้วค่อยราดต้มยำแบบไทย ซี้ดซ้าดจัดจ้านค่ะจานนี้

ตามด้วยซิกเนเจอร์ของอาหารจานเดียว “ราดหน้ากุ้งไข่” 140 บาท ฟังราคาไม่ผิดนะคะ กุ้งให้เยอะมาก รสชาติกลมกล่อม เส้นหอมกลิ่นกระทะไหม้ เป็นจานที่คุณภาพเกินราคามาก

และ เมนูใหม่เอี่ยม “ผัดเต้าหู้หมูกรอบ” จานนี้กลิ่นหอม รสกลมกล่อมแบบธรรมชาติ ผักมีแครอต เห็ดฟาง ต้นหอม กินกับหมูกรอบเข้ากันดี

ผักโขมผัดกระเทียม
หมูผัดเปรี้ยวหวาน
ราดหน้ากุ้งไข่

สั่งแค่ 7 อย่างนี้ มาสี่คนก็อิ่มจุกๆ แล้วค่ะ ยังมีอีกหลายเมนูที่น่าสนใจมาก ที่คิดไว้ในใจว่ามาคราวหน้าต้องสั่งให้ได้ คือ ก๋วยเตี๋ยวผัดฮ่องกง ถั่วแขกผัดหมูสับ กุ้งสดผัดไข่ เนื้อผัดซอส XO เพราะซอสที่นี่เป็นสูตรลับเฉพาะที่ทำเองทั้งหมดค่ะ

ได้คุยกับ คุณโบ้-พิเชษฐ สิทธิอำนวย ถึงธุรกิจร้านอาหารหลังโควิด ซึ่งคุณโบ้ก็ยอมรับว่าซบเซาลงไปมาก เพราะคนไม่ค่อยอยากออกจากบ้าน แต่ก็ไม่ได้ปิดร้านยังมีดิลิเวอรีให้บริการอยู่ แต่หากสถานการณ์เริ่มคลี่คลายก็อยากจะให้มาลองชิมกันเพราะมีความตั้งใจอยากให้คนได้รับประทานอาหารจีนดีๆ ที่ราคาเอื้อม

“ผมคิดว่าสไตล์ของเรา ไม่ใช่เหลา ไม่ใช่อาหารจีนที่ต้องการความหรูหรา เราอยากให้อาหารพวกนี้เข้าถึงง่าย ซึ่งจริงๆ อาจจะฝืนๆ ขัดๆ กับสิ่งที่คนไทยเห็น บางคนคิดว่ากินอาหารจีนต้องมากิน 10 คน แต่ของเรามา 1 คนก็สั่งธรรมดาได้ แต่ถ้ามากันหลายคน ต่อหัวไม่เกิน 350 บาทก็จุกแล้ว นี่เป็นสาเหตุที่เราสืบเนื่องร้านนี้”

คุณโบ้ ยอมรับว่า ความนิยมอาหารจีนในบ้านเราอาจจะลดลงไป เพราะเด็กวัยรุ่นชอบอาหารอื่นมากกว่า อาหารจีนอาจจะเป็นอาหารที่เป็นคนมีอายุประมาณ 35-40 ปีขึ้นไปชอบ ก็ต้องยอมรับเทรนด์การกินที่เปลี่ยนไป เด็กยุคใหม่กินแต่ญี่ปุ่น เกาหลี อิตาเลียน แต่ถึงอย่างนั้นเรามีลูกค้ามากินตลอด เป็นกลุ่มครอบครัว กลุ่มนักธุรกิจ ทำให้เรารู้สึกว่าอาหารเราดีก็มีคนกิน ใจก็อยากนำเสนออาหารจีนให้กลับมา ช่วงหลังมีอาหารเฉพาะถิ่นมากขึ้น เช่น เสฉวน แต่ร้านเราเป็นสายที่คนไทยคุ้นเคย คือ ฮ่องกง กวางตุ้ง

พิเชษฐ สิทธิอำนวย

สำหรับความโดดเด่นของโหว์โหว์ คือ อาหารรสชาติฮ่องกงแท้ เพราะเชฟใหญ่ที่นี่เรียนรู้งานเป็นสิบปีจากเชฟชาวฮ่องกงแท้ในยุคแรกเริ่ม

“วันเปิดร้านมีเพื่อนคนหนึ่งพาคุณแม่ของเขามาด้วย ก่อนจะกลับเขาบอกว่าแม่เคยอยู่ฮ่องกง และแม่ชมว่าอร่อยมาก ทำให้เรารู้ว่ารสชาติเราใช่ เพราะพ่อครัวชื่อเชฟนายเขาอยู่กับเราตั้งแต่สมัยเปิดร้านใหม่ๆ เรียนรู้เทคนิคจากเชฟฮ่องกงทุกอย่าง อยู่กับเชฟฮ่องกงเป็นสิบปีเขาเรียนรู้ทั้งหมด อยู่กับเราตั้งแต่อายุ 18 ปี ตอนนี้ 38 ปีแล้ว พัฒนาตัวเองตลอด มีเมนูใหม่ๆ ก็พยายามทำออกมาได้ดีมากๆ”

สำหรับคนที่สนใจที่ร้านยังรับจัดเลี้ยงด้วย โดยชั้น 2 มี ห้องแยก 4 ห้อง แต่ถ้าเปิดทะลุ รองรับได้ประมาณ 50 คน

สนใจติดต่อ 0-20777-666 หรือ เฟซบุ๊ก hoho kitchen ร้านเปิดทุกวัน 10.00-21.00 น. หรือจะมาที่ร้านเลยไม่ยากค่ะ ถ้าขับรถมาเข้าทางถนนบรรทัดทอง จุฬาฯ ซอย 6 ประทับตราที่ร้านจอดฟรี 1 ชั่วโมง หรือมารถไฟฟ้าบีทีเอส ลงสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ ถนนพระราม 1 เดินตรงมาทางสี่แยกเจริญผลประมาณ 400 เมตรก็ถึงร้าน

เมนูใหม่เอี่ยม ผัดเต้าหู้หมูกรอบ
ปูนิ่มผัดพริกเกลือ
ปลาทับทิมทอดราดต้มยำ
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]

ในวัยที่อายุมาแตะหลัก 4 หันไปหาใครก็พูดถึงอาหารสุขภาพทั้งนั้นค่ะ

ในวัยเดียวกันบางคนป่วยหนัก บางคนป่วยกระเสาะกระแสะ ฟังแล้วใจหาย เพราะหลักใหญ่ใจความบ่อเกิดโรคก็เกิดจากการกินนี่เอง

เรื่องนี้คนจีนสอนกันมาชั่วลูกหลานว่า “อาหารคือยา” ไม่ใช่กินยาเป็นอาหาร ดังนั้นจะเห็นว่าอาหารการกินในวัฒนธรรมจีนจะมีสมุนไพรเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น

“ซุปไก่ดำตุ๋นยาจีน” เป็นอีกหนึ่งเมนูบำรุงร่างกายของชาวจีนแต่โบราณ แต่เนื่องจากสมุนไพรที่นำมาใช้มีราคาสูง รวมถึงขั้นตอนทำที่ต้องพิถีพิถันใช้เวลานานครึ่งค่อนวันทำให้หากินทั่วไปยากหน่อย

แต่ แต่ แต่ ก็ไม่ยากจนเกินความสามารถนะคะ เพราะตอนนี้มีคนไทยเชื้อสายจีนที่มีสูตรลับเฉพาะแต่ละครอบครัวปรุงมาให้ลองชิมกันบ้างแล้ว และที่กำลังจะแนะนำฉบับนี้ แน่นอนว่าต้องยอดเยี่ยมจริงๆ

เป็นซุปไก่ดำตุ๋นสมุนไพรตำรับฮ่องกง แบรนด์ “Little Kowloon” ค่ะ เจ้าของสูตรเป็นชาวฮ่องกงขนานแท้ดั้งเดิมเลย

ดวงใจ เสกธีระ

ลองสั่งมา 1 เซต ในราคา 1,480 บาท ใน 1 เซตมี 7 ชุด ชุดหนึ่งประกอบด้วย ถ้วยซุปขนาด 200 ซีซี และซองเนื้อไก่และสมุนไพรตุ๋น ส่วนค่าจัดส่งเริ่มต้นที่ 180 บาท ไปถึง 200 กว่าบาท

วิธีกินไม่ยาก แกะฝาถ้วยซุปเข้าไมโครเวฟ ส่วนซองเนื้อไก่ก็ตัดมุมแล้วเข้าไมโครเวฟอีกเช่นกัน เรื่องความปลอดภัยหายห่วงเพราะพลาสติกที่ใช้เป็นฟู้ดเกรดได้มาตรฐาน แต่ถ้าใครไม่อยากเข้าไมโครเวฟก็แกะทั้งสองอย่างเทลงหม้อต้มให้เดือดเป็นใช้ได้ค่ะ

ยังไม่ต้องไปถึงรสชาติ แค่กลิ่นที่มาแตะจมูกก็หอมเย้ายวนเหลือเกิน เป็นกลิ่นที่สูดเข้าไปแล้วรู้สึกผ่อนคลาย พอได้ซดร้อนๆ ความหวานละมุนจากไก่ดำลื่นคอมาก ซดเกลี้ยงชามทั้งเนื้อทั้งน้ำเแบบไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่มเลย ที่สำคัญไม่มีกลิ่นคาวแม้แต่นิด อ้อ..เจ้าของสูตรกระซิบว่าใครอยากให้รสชาติเด่นขึ้นหยิบเกลือใส่ลงไปหน่อยนึงก็ได้ ไม่ทำให้รสชาติเสียแต่เป็นการชูรสขึ้นมาอีกระดับ

ได้คุยกับเจ้าของสูตร “คุณลุ้ย-ดวงใจ เสกธีระ” อดีตเคยเป็นนักข่าวสายสภา จากนั้นไปทำงานที่ “จิมโบรี” สถาบันเด็กและครอบครัว กระทั่งลาออกมาดูแลลูกๆ เต็มตัว ก็เริ่มทำธุรกิจเล็กๆ ซุปไก่ดำตุ๋นสมุนไพร ซึ่งเป็นสูตรที่ทำให้ลูกๆ รับประทานเป็นประจำ

คุณลุ้ย บอกว่า สูตรนี้มาจากคุณแม่ซึ่งเป็นชาวฮ่องกงโดยกำเนิดทำให้ลูกๆ รับประทานตั้งแต่เด็ก ปกติคนฮ่องกงจะกินซุปในทุกมื้ออาหาร เวลากินกับข้าวเขาจะกินบำรุงกันก่อนถ้วยหนึ่ง เหมือนเป็นแอพพิไทเซอร์ ซดทั้งเนื้อและน้ำ ซัก 1 ถ้วย แล้วก็รับประทานข้าวร่วมกัน แล้วพอเราแต่งงานก็ทำให้ลูกกิน ลูกก็ชอบ เป็นเมนูในดวงใจทั้งพ่อทั้งลูกทุกคนชอบหมด

“คนจีนจะใช้อาหารเป็นยา ไม่ต้องรอป่วยแล้วค่อยรักษา เขาจะมีสมุนไพรนู่นนี่นั่นกินตลอดเวลา ไม่ใช่ผักหญ้าทั่วไป แต่เป็นการกินเพื่อบำรุงจริงๆ มันเป็นวิถีของคนจีน เหมือนกับเราโตมาก็รู้อยู่แล้วว่า อ๋อ..เก๋ากี้กินแล้วตาดี แต่จะบอกว่ากินครั้งเดียวแล้วตาดีก็ไม่ใช่ มันก็ต้องกินเรื่อยๆ การกินซุปก็ทำให้สะสมไปเรื่อยๆ อย่างคนป่วยกินเนื้อไม่ไหวก็กินแต่น้ำก็ได้สารอาหารครบ แล้วมันกินง่าย หอม เข้มข้น”

สำหรับแบรนด์ Little Kowloon เริ่มมาได้ประมาณ 1 ปีแล้ว เริ่มจากทำกินเองที่บ้าน แล้วลูกๆ ของคุณลุ้ยจุดประกายว่าของอร่อยน่าจะให้คนอื่นได้กินบ้าง ซุปไก่ดำตำรับฮ่องกงจึงได้เริ่มออกแจกจ่ายเพื่อนฝูง หลายคนไม่เคยกินก็ตื่นเต้นเพราะในห้างร้านก็ไม่มีแบบนี้ มีเสียงชื่นชม ก็เริ่มลองทำเล็กๆ ก่อน จนตอนนี้เริ่มเป็นที่รู้จักและเชื่อมั่น มีการบอกปากต่อปากกันแล้ว

กรรมวิธี คุณลุ้ยตุ๋นด้วยหม้อความดันใช้เวลา 5-6 ชั่วโมง จะเร็วกว่าต้มหม้อปกติที่ต้องต้มกันข้ามวันข้ามคืน วัตถุดิบจะใช้ไก่ดำตัวย่อมๆ ทั้งตัว นำมาตุ๋นกับสมุนไพร 11 อย่างได้แก่ โสมอเมริกัน ปักคี้ ตังเซียม เก๋ากี้ เง็กเต็ก ตังกุย ลำไยแห้ง เม็ดบัว พุทราจีน ฮวยซัว และ เห็ดหอม เพียงเท่านี้ไม่ปรุงรส ไม่เติมสี ไม่แต่งกลิ่นใดๆ ทั้งสิ้น ตุ๋นจนกระทั่งความหวานจากไก่ออกมาจนหมด กระดูกไก่ถ้าได้จับจะเปราะละเอียดเลยทีเดียว

พอตุ๋นเสร็จทิ้งให้เย็น มาคัดแยกน้ำและเนื้อ ส่วนน้ำนำไปเข้าฟรีซจะมีไขมันลอยแข็งอยู่ด้านหน้า ตรงนี้จะปาดออกจนหมดทำให้น้ำซุปไขมันน้อยมาก ใน 1 หม้อนี้ น้ำจะเทได้ 7 ถ้วย ส่วนเนื้อมาแยกได้เป็น 7 พอร์ชั่น

พอดิบพอดี เวลาจะกินก็อุ่นแล้วมารวมกันทั้งน้ำทั้งเนื้อเป็นสไตล์คนฮ่องกง

“ที่เลือกไก่ดำเพราะมีมันน้อย กล้ามเนื้อเยอะ โปรตีนสูงกว่าไก่ธรรมดา บางคนไม่กล้ากินไก่ดำปี๋ เราก็เลยเลือกไก่ดำที่ข้างในขาวนิดหน่อย เราเลือกตัวกำลังดีเป็นไก่รุ่นปลอดสาร ส่วนสมุนไพรคัดของคุณภาพดีๆ บางอย่างซื้อจากฮ่องกง เช่น โสม เราเลือกใช้โสมอเมริกาที่ไม่ร้อนมากเท่าโสมเกาหลี แล้วใส่พอดีๆ ให้เป็นกลางๆ ทุกคนกินได้ ช่วยบำรุง และปรับสมดุล”

ใครที่สงสัยว่าไก่ธรรมชาติขนาดไหน ก็ขนาดที่ฟาร์มเลี้ยงปล่อย ให้อาหารเป็นข้าวโพดบด หยวกกล้วยสับ รำข้าว กากมะพร้าว ผสมสมุนไพรไทย 5 ชนิด ฟ้าทลายโจร บอระเพ็ด ขมิ้นชัน กวาวเครือดำ และ กระชายดำ ดูแลกันขนาดนี้ไม่อร่อยให้รู้ไปค่ะ

หลังจากที่ลองตลาดไปได้ 1 ปี มีเสียงตอบรับค่อนข้างดี ลูกค้าที่สั่งหลายคนเป็นการบอกต่อ บางคนบอกว่าคุณแม่ทานซุปแล้วทานอาหารได้เยอะขึ้น บางคนบอกไปใส่เกลือและพริกป่นบอกอร่อย บางคนเอาน้ำซุปลงไปผัดผักนิดหน่อยก็หอมขึ้น หรือเอาเนื้อไก่ไปผัดกะเพราก็มี

“ตอนนี้ก็เป็นธุรกิจเล็กๆ ของครอบครัว เราทำสิ่งที่คนอื่นทั่วไปไม่ได้ทำ เวลาต้มทุกครั้งจะหอมมาก ข้างบ้านจะมาถามว่าต้มอีกแล้วเหรอ (หัวเราะ)”

ส่วนคนที่รู้สึกว่าซุปเข้มข้นมาก ไม่ชิน สามารถเติมน้ำร้อนลงไปได้ ใครซื้อไปหลายเซตสามารถเก็บในช่องฟรีซได้นาน 2 เดือน ในตู้เย็นธรรมดาได้ 7 วัน ข้อมูลนี้ไม่ใช่ตั้งขึ้นมาเอง แต่ผ่านการวิเคราะห์จากแล็บของคณะวิทยาศาสตร์จุฬาฯ เรียบร้อยแล้ว

เซตซุปไก่ตุ๋นสมุนไพร หนึ่งเซตมี 7 ชุด
เห็ดหอม
ตังเซียม

นอกจากซุปไก่ ก็ยังมีน้ำสมุนไพรสูตรของครอบครัวให้ลองชิมกัน มี 3 แบบ คือ น้ำเก๊กฮวย น้ำหล่อฮั่งก้วย และ น้ำเก๊กฮวยผสมหล่อฮั่งก้วย มีทั้งแบบหวานน้อย และไม่ใส่น้ำตาล ขวดละ 20 บาทเท่านั้น

เนื่องจากเป็นคนชอบจัดเต็ม พอทำน้ำสมุนไพรคุณลุ้ยก็ไม่มีเบามือ ข้อสำคัญกลิ่นต้องเข้มข้น รสชาติพอหวานให้ชุ่มคอชื่นใจ ถูกใจคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพอย่างมาก

ใครอยากลองกินเอง ซื้อเยี่ยมคนป่วย ให้ลูกที่กำลังเตรียมสอบ หรือมอบให้คนที่รัก นอกจากเพื่อบำรุงร่างกายแล้ว ยังสื่อถึงความรักความห่วงใยที่เรามีแด่คนที่เรามอบให้ได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ สนใจโทร 08-6977-5156 Line : @littlekowloon Facebook : little Kowloon IG : little_kowloon

เนื้อไก่ดำและสมุนไพรซีลสุญญากาศอย่างดี
สมุนไพรที่ใช้ตุ๋นไก่
น้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพ
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]