ในวัยที่อายุมาแตะหลัก 4 หันไปหาใครก็พูดถึงอาหารสุขภาพทั้งนั้นค่ะ

ในวัยเดียวกันบางคนป่วยหนัก บางคนป่วยกระเสาะกระแสะ ฟังแล้วใจหาย เพราะหลักใหญ่ใจความบ่อเกิดโรคก็เกิดจากการกินนี่เอง

เรื่องนี้คนจีนสอนกันมาชั่วลูกหลานว่า “อาหารคือยา” ไม่ใช่กินยาเป็นอาหาร ดังนั้นจะเห็นว่าอาหารการกินในวัฒนธรรมจีนจะมีสมุนไพรเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น

“ซุปไก่ดำตุ๋นยาจีน” เป็นอีกหนึ่งเมนูบำรุงร่างกายของชาวจีนแต่โบราณ แต่เนื่องจากสมุนไพรที่นำมาใช้มีราคาสูง รวมถึงขั้นตอนทำที่ต้องพิถีพิถันใช้เวลานานครึ่งค่อนวันทำให้หากินทั่วไปยากหน่อย

แต่ แต่ แต่ ก็ไม่ยากจนเกินความสามารถนะคะ เพราะตอนนี้มีคนไทยเชื้อสายจีนที่มีสูตรลับเฉพาะแต่ละครอบครัวปรุงมาให้ลองชิมกันบ้างแล้ว และที่กำลังจะแนะนำฉบับนี้ แน่นอนว่าต้องยอดเยี่ยมจริงๆ

เป็นซุปไก่ดำตุ๋นสมุนไพรตำรับฮ่องกง แบรนด์ “Little Kowloon” ค่ะ เจ้าของสูตรเป็นชาวฮ่องกงขนานแท้ดั้งเดิมเลย

ดวงใจ เสกธีระ

ลองสั่งมา 1 เซต ในราคา 1,480 บาท ใน 1 เซตมี 7 ชุด ชุดหนึ่งประกอบด้วย ถ้วยซุปขนาด 200 ซีซี และซองเนื้อไก่และสมุนไพรตุ๋น ส่วนค่าจัดส่งเริ่มต้นที่ 180 บาท ไปถึง 200 กว่าบาท

วิธีกินไม่ยาก แกะฝาถ้วยซุปเข้าไมโครเวฟ ส่วนซองเนื้อไก่ก็ตัดมุมแล้วเข้าไมโครเวฟอีกเช่นกัน เรื่องความปลอดภัยหายห่วงเพราะพลาสติกที่ใช้เป็นฟู้ดเกรดได้มาตรฐาน แต่ถ้าใครไม่อยากเข้าไมโครเวฟก็แกะทั้งสองอย่างเทลงหม้อต้มให้เดือดเป็นใช้ได้ค่ะ

ยังไม่ต้องไปถึงรสชาติ แค่กลิ่นที่มาแตะจมูกก็หอมเย้ายวนเหลือเกิน เป็นกลิ่นที่สูดเข้าไปแล้วรู้สึกผ่อนคลาย พอได้ซดร้อนๆ ความหวานละมุนจากไก่ดำลื่นคอมาก ซดเกลี้ยงชามทั้งเนื้อทั้งน้ำเแบบไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่มเลย ที่สำคัญไม่มีกลิ่นคาวแม้แต่นิด อ้อ..เจ้าของสูตรกระซิบว่าใครอยากให้รสชาติเด่นขึ้นหยิบเกลือใส่ลงไปหน่อยนึงก็ได้ ไม่ทำให้รสชาติเสียแต่เป็นการชูรสขึ้นมาอีกระดับ

ได้คุยกับเจ้าของสูตร “คุณลุ้ย-ดวงใจ เสกธีระ” อดีตเคยเป็นนักข่าวสายสภา จากนั้นไปทำงานที่ “จิมโบรี” สถาบันเด็กและครอบครัว กระทั่งลาออกมาดูแลลูกๆ เต็มตัว ก็เริ่มทำธุรกิจเล็กๆ ซุปไก่ดำตุ๋นสมุนไพร ซึ่งเป็นสูตรที่ทำให้ลูกๆ รับประทานเป็นประจำ

คุณลุ้ย บอกว่า สูตรนี้มาจากคุณแม่ซึ่งเป็นชาวฮ่องกงโดยกำเนิดทำให้ลูกๆ รับประทานตั้งแต่เด็ก ปกติคนฮ่องกงจะกินซุปในทุกมื้ออาหาร เวลากินกับข้าวเขาจะกินบำรุงกันก่อนถ้วยหนึ่ง เหมือนเป็นแอพพิไทเซอร์ ซดทั้งเนื้อและน้ำ ซัก 1 ถ้วย แล้วก็รับประทานข้าวร่วมกัน แล้วพอเราแต่งงานก็ทำให้ลูกกิน ลูกก็ชอบ เป็นเมนูในดวงใจทั้งพ่อทั้งลูกทุกคนชอบหมด

“คนจีนจะใช้อาหารเป็นยา ไม่ต้องรอป่วยแล้วค่อยรักษา เขาจะมีสมุนไพรนู่นนี่นั่นกินตลอดเวลา ไม่ใช่ผักหญ้าทั่วไป แต่เป็นการกินเพื่อบำรุงจริงๆ มันเป็นวิถีของคนจีน เหมือนกับเราโตมาก็รู้อยู่แล้วว่า อ๋อ..เก๋ากี้กินแล้วตาดี แต่จะบอกว่ากินครั้งเดียวแล้วตาดีก็ไม่ใช่ มันก็ต้องกินเรื่อยๆ การกินซุปก็ทำให้สะสมไปเรื่อยๆ อย่างคนป่วยกินเนื้อไม่ไหวก็กินแต่น้ำก็ได้สารอาหารครบ แล้วมันกินง่าย หอม เข้มข้น”

สำหรับแบรนด์ Little Kowloon เริ่มมาได้ประมาณ 1 ปีแล้ว เริ่มจากทำกินเองที่บ้าน แล้วลูกๆ ของคุณลุ้ยจุดประกายว่าของอร่อยน่าจะให้คนอื่นได้กินบ้าง ซุปไก่ดำตำรับฮ่องกงจึงได้เริ่มออกแจกจ่ายเพื่อนฝูง หลายคนไม่เคยกินก็ตื่นเต้นเพราะในห้างร้านก็ไม่มีแบบนี้ มีเสียงชื่นชม ก็เริ่มลองทำเล็กๆ ก่อน จนตอนนี้เริ่มเป็นที่รู้จักและเชื่อมั่น มีการบอกปากต่อปากกันแล้ว

กรรมวิธี คุณลุ้ยตุ๋นด้วยหม้อความดันใช้เวลา 5-6 ชั่วโมง จะเร็วกว่าต้มหม้อปกติที่ต้องต้มกันข้ามวันข้ามคืน วัตถุดิบจะใช้ไก่ดำตัวย่อมๆ ทั้งตัว นำมาตุ๋นกับสมุนไพร 11 อย่างได้แก่ โสมอเมริกัน ปักคี้ ตังเซียม เก๋ากี้ เง็กเต็ก ตังกุย ลำไยแห้ง เม็ดบัว พุทราจีน ฮวยซัว และ เห็ดหอม เพียงเท่านี้ไม่ปรุงรส ไม่เติมสี ไม่แต่งกลิ่นใดๆ ทั้งสิ้น ตุ๋นจนกระทั่งความหวานจากไก่ออกมาจนหมด กระดูกไก่ถ้าได้จับจะเปราะละเอียดเลยทีเดียว

พอตุ๋นเสร็จทิ้งให้เย็น มาคัดแยกน้ำและเนื้อ ส่วนน้ำนำไปเข้าฟรีซจะมีไขมันลอยแข็งอยู่ด้านหน้า ตรงนี้จะปาดออกจนหมดทำให้น้ำซุปไขมันน้อยมาก ใน 1 หม้อนี้ น้ำจะเทได้ 7 ถ้วย ส่วนเนื้อมาแยกได้เป็น 7 พอร์ชั่น

พอดิบพอดี เวลาจะกินก็อุ่นแล้วมารวมกันทั้งน้ำทั้งเนื้อเป็นสไตล์คนฮ่องกง

“ที่เลือกไก่ดำเพราะมีมันน้อย กล้ามเนื้อเยอะ โปรตีนสูงกว่าไก่ธรรมดา บางคนไม่กล้ากินไก่ดำปี๋ เราก็เลยเลือกไก่ดำที่ข้างในขาวนิดหน่อย เราเลือกตัวกำลังดีเป็นไก่รุ่นปลอดสาร ส่วนสมุนไพรคัดของคุณภาพดีๆ บางอย่างซื้อจากฮ่องกง เช่น โสม เราเลือกใช้โสมอเมริกาที่ไม่ร้อนมากเท่าโสมเกาหลี แล้วใส่พอดีๆ ให้เป็นกลางๆ ทุกคนกินได้ ช่วยบำรุง และปรับสมดุล”

ใครที่สงสัยว่าไก่ธรรมชาติขนาดไหน ก็ขนาดที่ฟาร์มเลี้ยงปล่อย ให้อาหารเป็นข้าวโพดบด หยวกกล้วยสับ รำข้าว กากมะพร้าว ผสมสมุนไพรไทย 5 ชนิด ฟ้าทลายโจร บอระเพ็ด ขมิ้นชัน กวาวเครือดำ และ กระชายดำ ดูแลกันขนาดนี้ไม่อร่อยให้รู้ไปค่ะ

หลังจากที่ลองตลาดไปได้ 1 ปี มีเสียงตอบรับค่อนข้างดี ลูกค้าที่สั่งหลายคนเป็นการบอกต่อ บางคนบอกว่าคุณแม่ทานซุปแล้วทานอาหารได้เยอะขึ้น บางคนบอกไปใส่เกลือและพริกป่นบอกอร่อย บางคนเอาน้ำซุปลงไปผัดผักนิดหน่อยก็หอมขึ้น หรือเอาเนื้อไก่ไปผัดกะเพราก็มี

“ตอนนี้ก็เป็นธุรกิจเล็กๆ ของครอบครัว เราทำสิ่งที่คนอื่นทั่วไปไม่ได้ทำ เวลาต้มทุกครั้งจะหอมมาก ข้างบ้านจะมาถามว่าต้มอีกแล้วเหรอ (หัวเราะ)”

ส่วนคนที่รู้สึกว่าซุปเข้มข้นมาก ไม่ชิน สามารถเติมน้ำร้อนลงไปได้ ใครซื้อไปหลายเซตสามารถเก็บในช่องฟรีซได้นาน 2 เดือน ในตู้เย็นธรรมดาได้ 7 วัน ข้อมูลนี้ไม่ใช่ตั้งขึ้นมาเอง แต่ผ่านการวิเคราะห์จากแล็บของคณะวิทยาศาสตร์จุฬาฯ เรียบร้อยแล้ว

เซตซุปไก่ตุ๋นสมุนไพร หนึ่งเซตมี 7 ชุด
เห็ดหอม
ตังเซียม

นอกจากซุปไก่ ก็ยังมีน้ำสมุนไพรสูตรของครอบครัวให้ลองชิมกัน มี 3 แบบ คือ น้ำเก๊กฮวย น้ำหล่อฮั่งก้วย และ น้ำเก๊กฮวยผสมหล่อฮั่งก้วย มีทั้งแบบหวานน้อย และไม่ใส่น้ำตาล ขวดละ 20 บาทเท่านั้น

เนื่องจากเป็นคนชอบจัดเต็ม พอทำน้ำสมุนไพรคุณลุ้ยก็ไม่มีเบามือ ข้อสำคัญกลิ่นต้องเข้มข้น รสชาติพอหวานให้ชุ่มคอชื่นใจ ถูกใจคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพอย่างมาก

ใครอยากลองกินเอง ซื้อเยี่ยมคนป่วย ให้ลูกที่กำลังเตรียมสอบ หรือมอบให้คนที่รัก นอกจากเพื่อบำรุงร่างกายแล้ว ยังสื่อถึงความรักความห่วงใยที่เรามีแด่คนที่เรามอบให้ได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ สนใจโทร 08-6977-5156 Line : @littlekowloon Facebook : little Kowloon IG : little_kowloon

เนื้อไก่ดำและสมุนไพรซีลสุญญากาศอย่างดี
สมุนไพรที่ใช้ตุ๋นไก่
น้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพ
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]
ซัลมอนย่างแบบโพลีนีเซียน

หลังจากมาตรการปลดล็อกระยะที่ 2 ของสถานการณ์โควิด-19 กลุ่มอาหารเครื่องดื่มเริ่มกลับมาจำหน่ายกันบ้างแล้ว ดังนั้นใครที่เบื่อการสั่งกลับมากินที่บ้าน เราควรออกมาเปลี่ยนบรรยากาศหาข้าวกินนอกบ้านกันแล้วค่ะ

มาประเดิมที่แรกที่ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น

โรงแรมมิราเคิลก่อนหน้าที่จะกลับมาเปิดให้บริการ เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่จัดแจกอาหารและมอบเงินสดให้กับชาวบ้านชุมชนบริเวณใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ถึง 3 รอบแล้ว เห็นแล้วก็ดีใจแทนชาวบ้าน เพราะโรงแรมเองก็ได้รับผลกระทบไม่ใช่น้อยเหมือนกัน แต่ ดร.อัศวิน อิงคะกุล เจ้าของโรงแรมก็ยังมีน้ำใจแบ่งปันให้กับคนที่เดือดร้อนทุกข์ยาก เป็นการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขกันไป

ถ้าใครเคยมาที่นี่จะรู้ว่ามีห้องอาหารไฟน์ ไดนิ่งหลายห้อง ทั้งอาหารฝรั่ง ไทย จีน ญี่ปุ่น เรียกว่าแหล่งรวมเชฟยอดฝีมือทั้งนั้น

แต่ที่นี่ไม่ได้มีแค่ห้องอาหารไฟน์ ไดนิ่ง แต่ยังมีห้องอาหารที่เสิร์ฟทั้งวันเป็นอาหารนานาชาติ ชื่อ ห้องอาหารเปรมประชากร พื้นที่เป็นแบบเปิด อยู่ใกล้กับบริเวณล็อบบี้ด้านหน้าโรงแรม ที่ตอนนี้มีการจัดโต๊ะเก้าอี้ใหม่ทิ้งระยะห่างเพื่อความปลอดภัย พนักงานก็สวมถุงมือมิดชิด ใส่แมสก์กันทุกคน

ความน่าสนใจของห้องเปรมประชากร คือ ความหลากหลายของอาหาร ตั้งแต่อาหารสตรีท

ข้าวขาหมู ราดหน้า ก๋วยเตี๋ยวต่างๆ ข้าวมันไก่ ไปจนถึงอาหารคาวจานเด็ดอีกมากมาย ที่ได้ชิมแล้วน่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้ภัตตาคารชั้นเลิศเลยล่ะค่ะ ที่สำคัญ คือ ราคายังเอื้อมถึงด้วย

ลองสั่งออเดิร์ฟมาก่อน “กุ้งม้วนทอดกรอบ” ราคา 150 บาท คล้ายๆ ทอดมันกุ้งไปม้วนกับแผ่นเปาะเปี๊ยะ อารมณ์เหมือนกินกุ้งกระเบื้อง จิ้มกับน้ำจิ้มไก่กินเพลินดี

ต่อมา “สลัดมิราเคิล กับปูนิ่มกรอบ” ราคา 220 บาท จานนี้ต่อยอดมาจากเฮาส์สลัด เอาผักใบเขียวมาใส่ความฉ่ำของผลไม้อย่าง สาลี่ แพร แอปเปิล พร้อมซอสงาวาซาบิที่คิดค้นขึ้นมาเป็นพิเศษ เป็นซอสข้น สไตล์เอเชีย ใส่พริกชี้ฟ้า กระเทียม ขิง งาคั่ว วาซาบิ ผสมเข้าไปให้รสจัดจ้านขึ้น ส่วนปูนิ่มเอาไปทอดแบบเทมปุระ จะกรอบและหอมมาก

“เกาเหลาบก” ราคา 190 บาท มาในชาม

ไซซ์บิ๊ก อันประกอบไปด้วย หมูตุ๋นเนื้อนุ่ม ไส้หมูตุ๋น ลูกชิ้นหมู หมูสับ หมูต้ม ถั่วงอก แคบหมู เสิร์ฟมากับซอสต้มยำแห้ง ราดใส่ให้พอขลุกขลิก จานนี้แซ่บซี้ดค่ะ

“ซัลมอนย่างแบบโพลีนีเชียน” ราคา 460 บาท โพลีนีเชียน เป็นสไตล์ชาวเกาะ หมักด้วยเครื่องเทศเพิ่มรสชาติและให้กลิ่นหอม เน้นเครื่องปรุงที่ไม่ดัดแปลง ชูความสดของวัตถุดิบ กินแล้วสดชื่นจนอยากไปนั่งจิบน้ำผลไม้บนเกาะกันเลย

มิราเคิลสลัด กับ ปูนิ่มกรอบ
เกาเหลาบก
พอร์คช้อปย่าง ราดซอส “มองโกเลียน” เสิร์ฟพร้อมข้าวกระเทียม เห็ดหอม พริกสามสี ยอดคะน้าฮ่องกง

“พอร์คช้อปย่าง ราดซอสมองโกเลียน” ราคา 360 บาท จานนี้สไตล์กึ่งเอเชียกึ่งเวสเทิร์น หมูหมักให้นุ่ม ซอสพริกไทยดำสไตล์จีน เสิร์ฟพร้อมเห็ดหอม พริกสามสี ยอดคะน้าฮ่องกงที่นำไปย่างจนหอม

และ ข้าวกระเทียม ที่นำข้าวหอมมะลิมาทำแบบรีซอตโต้ ด้วยการใช้ข้าวหอมมะลิสุก ปล่อยให้เย็นแล้วเอาไปผัดกับกระเทียมให้หอม ใส่ผักชี ใส่เกลือ พริกไทยดำ วิปปิ้งครีมจืด และใส่ชีส จะหนืด รับประทานกับซอสและเข้ากับหมูมาก ได้ยินว่าเป็นเมนูใหม่เอี่ยมของห้องอาหารเลย

“ข้าวผัดฮาวายเอี้ยนในสับปะรด” ราคา 220 บาท เสิร์ฟมาในลูกสับปะรดเลยจ้า อัดแน่นไปด้วยข้าวที่ผัดด้วยผงกะหรี่อ่อนๆ พร้อมกับซีฟู้ดแน่นๆ ลูกเกด และถั่ว โรยหมูหยองเพิ่มรสชาติไทยๆ เข้าไป ไม่ธรรมดาค่ะ

แต่ถ้าใครอยากลองอาหารสตรีทอย่าง ข้าวขาหมู ราดหน้า ก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่ ก็แนะนำว่าควรได้ชิม เพราะเป็นสตรีทที่สะอาด วัตถุดิบดี และรสชาติอร่อยจัดจ้านมากๆ ทุกอย่างราคาเท่ากัน 160 บาท

ข้าวขาหมู,ราดหน้า,ก๋วยเตี๋ยวน้ำตก

“ราดหน้าหมูหมัก” หมูนุ่มมาก เส้นได้กลิ่นหอมของกระทะไหม้ชัดเจน ทุกจานเหมือนกันหมด เพราะผัดใหม่ทุกครั้ง ผัดออกไว้ทีละ 5-6 จานเท่านั้น เพื่อความสดใหม่และกลิ่นยังคงอยู่

“ข้าวขาหมู” ตุ๋นสูตรโบราณ ขาหมูจะเลือกเฉพาะขาหน้า เอามาเผาขูดหนังขูดขน หมักซีอิ๊วดำ

ทอดไล่มันออก เพื่อให้เนื้อรัดตัวและนุ่ม เวลาตุ๋นก็จะเติมเครื่องเทศตลอดเวลาเพื่อความเข้มข้น ความหวานใช้อ้อยควั่น น้ำอ้อย น้ำตาลปี๊บ ไส้นุ่ม อร่อยมาก ส่วนไข่ก็ตุ๋นจนเป็นสีดำเข้ากับสีของน้ำ กินรวดเดียวหมดจาน อิ่มและอร่อยมาก

แนะนำว่าใครเบื่อข้าวกลางวันแถวออฟฟิศขับรถมามิราเคิล จ่าย 160 บาท อร่อยแตกต่างจากชีวิตประจำวันทั่วไปแน่นอน ที่สำคัญถ้าใครสั่งอาหารสตรีท จะมีน้ำผลไม้ และขนมไทยแถมให้ฟรีๆ ด้วย โรงแรมจะผลัดเปลี่ยนเมนูขนมวนกันไป ขอบอกว่าขนมถ้วยเด็ดมาก เพราะใส่น้ำมะพร้าว และเนื้อมะพร้าวอ่อนลงไปด้วย

“ข้าวมันไก่” ทีเด็ดอยู่ที่น้ำจิ้ม แต่ไก่ก็ไม่เป็นรอง เนื้อตึงนุ่มและฉ่ำ เพราะกรรมวิธีการต้ม

สูตรลับ ต้องมาลองกันเองค่ะ

ส่วนเมนูก๋วยเตี๋ยวจะหมุนเวียน มีพวก เย็นตาโฟ ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย หมูน้ำตก หมูตุ๋น ไก่มะระ เป็นต้น วัตถุดิบคือของดีทั้งหมด

ทั้งหมดนี้ควบคุมคุณภาพโดย เชฟจิรนัน สังข์เงิน Executive chef โรงแรมมิราเคิล ที่พก

ประสบการณ์เชฟโรงแรมกว่า 18 ปี มาดูแลทั้งหมด

 

เชฟจิรนัน บอกว่า ห้องอาหารเปรมประชากร เป็นห้องอาหารนานาชาติ ชื่ออิงกับพื้นที่ท้องถิ่น เป็นออลเดย์ไดนิ่ง ตอนเช้ามีเบรกฟาสต์ มีอาหารกลางวัน และทานอาหารเย็นได้ด้วย เราเปิดรับทั้งแขกภายในและแขกข้างนอกที่วอล์กอินเข้ามา อาหารส่วนใหญ่เราทำขึ้นเอง มีสูตรพิเศษของเราเอง ผักผลไม้บางส่วนใช้จากสวนของผู้บริหารที่หุบกะพง ดังนั้นปลอดสารพิษแน่นอน

เชฟจิรนัน บอกว่า จากประสบการณ์ที่อยู่ในแวดวงอาหารมานานพบว่าเทรนด์เปลี่ยนแปลงตลอด อย่างช่วงนี้เน้นที่การพรีเซนเตชั่นและรสชาติ เพราะทุกคนใช้โซเชียล บอกเรื่องราวด้วยรูปภาพและคลิปวิดีโอ ดังนั้นอาหารของเราต้องมีเอกลักษณ์ มีกิมมิกของตัวเอง หน้าตาก็ต้องทันสมัย เราจึงพยายามทำอาหารที่หน้าตาดี รสชาติยอดเยี่ยม แต่ราคาจับต้องได้

ตอนนี้ใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศแล้ว ขอเชิญมาลองที่ห้องเปรมประชากร รร.มิราเคิล ค่ะ อาหารอร่อย บรรยากาศดี รับรองว่าจิตใจที่เหี่ยวแห้งอยู่จะกลับมาสดชื่นแน่นอน

เชฟจิรนัน สังข์เงิน
ข้าวมันไก่พร้อมน้ำจิ้มรสเด็ดและน้ำซุปฟัก
กุ้งม้วนทอดกรอบ
ข้าวผัดฮาวาเอี้ยนในสับปะรด
ขนมถ้วยมะพร้าวอ่อน
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]

ตูน บอดี้สแลม พักไมค์ชั่วคราว ช่วยที่บ้านขาย ‘น้ำพริกเผา’ โดยโพสต์ลงอินสตาแกรม เมื่อวันที่ 1 เมษา เนื่องในวันเกิดคุณแม่ เป็นภาพคุณแม่กับกระปุกน้ำพริก และข้อความว่า  “วันนี้ 1 เมษาฯ วันเกิดแม่…ผมเองก็ไม่มีอะไรจะให้แม่…นอกจากจะบอกแม่ว่า…ขอบคุณน้ำพริกเผาที่อร่อยที่สุดของแม่…ที่ทำให้ลูกคนนี้เติบโตมาได้ สั่งที่ Line @ : sangachan รักแม่ #ขายเก่ง #มือใหม่หัดรีวิวครับโผม ล่าสุดออร์เดอร์เพียบทำไม่ทันเลยทีเดียว”

เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ สัมภาษณ์ คุณณฐพล คงมาลัย หรือ คุณต็อก น้องชาย ตูน บอดี้ สแลม (อาทิวราห์ คงมาลัย) ปัจจุบันอายุ 39 ปี ได้รับข้อมูลว่า น้ำพริกเผาผัด “สง่าจันทร์” เป็นธุรกิจครอบครัว มีคุณแม่เป็นแม่ครัวหลัก และทีมงานอีก 3 คน เริ่มขายเมื่อเดือนตุลาคม 62 ทำสดใหม่วันต่อวัน ขายออนไลน์อย่างเดียว ลูกค้าส่วนใหญ่บอกปากต่อปาก กำลังการผลิตวันละ 120 กระปุก

ก่อนหน้านี้ผมเป็นครูสอนดำน้ำ ที่จังหวัดภูเก็ต ด้วยความที่อยากอยู่ใกล้ชิดครอบครัว เลือกมาทำธุรกิจส่วนตัวที่กรุงเทพฯ ด้วยการเปิดร้านขายแฮมเบอร์เกอร์ ชื่อว่า สคูบา เบอร์เกอร์ (Scuba Burger) เป็นเบอร์เกอร์สไตล์โฮมเมด ขายบนรถฟู้ดทรัก เน้นออกงานอีเว้นต์  งานแฟร์ ส่วนน้ำพริกเผาผัดเริ่มขายจริงจังเมื่อเดือนตุลาคม 62

“คุณแม่ได้สูตรน้ำพริกเผาผัดมาจากคุณอา จุดเด่นของน้ำพริกเผาชนิดนี้ คือ เป็นน้ำพริกเผาโบราณ สูตรจากตำบลไผ่ขวาง จังหวัดสุพรรณบุรี  มีกลิ่นหอมมากของพริก  กระเทียม หอมเจียว และกะปิ ตัวน้ำพริกไม่เละ ยังคงมีเนื้อพริก นอกจากนั้นยังมีวัตถุดิบอื่นๆ ที่เป็นสูตรเฉพาะของร้าน ซึ่งบอกไม่ได้ ใช้ทานกับผักจิ้ม ข้าวเกรียบ แคบหมู ใช้ใส่ต้มยำ ผัดกับเนื้อสัตว์ต่างๆ ใส่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป”

น้ำพริกเผาผัด สง่าจันทร์ สามารถเลือกระดับความเผ็ดได้ตามต้องการ  เผ็ดน้อย (เด็กๆ ทานได้) เผ็ดกลาง และ เผ็ดมาก ส่วนทางด้านยอดขาย คุณต็อก บอกว่า กำลังการผลิต 120 กระปุกต่อวัน เพราะเนื่องจากเป็นโฮมเมด มีทีมงาน 3 คน คุณแม่เป็นแม่ครัวหลัก ส่วนตัวเองอยู่ฝ่ายการตลาดจัดส่งสินค้า  ส่วนพี่ตูนคอยช่วยซัพพอร์ตทีมงาน ให้แนวคิดการทำงาน รวมถึงล่าสุดช่วยลงประชาสัมพันธ์อินสตาแกรมส่วนตัวไปเมื่อวันที่ 1 เมษายน ลูกค้าสั่งออร์เดอร์น้ำพริกเข้ามามาก เรียกว่าทำไม่ทันเลยทีเดียว ล่าสุด ทะลุวันละ 300 กระปุกไปแล้ว

ถามถึงกระแสช่วงวิกฤตโควิด-19 หลายคนหันมาขายอาหารกันเยอะ คุณต็อก บอกว่า ช่วงนี้หลายคนอยู่บ้านเพื่อช่วยส่วนรวม ทำให้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น บางท่านก็ทำอาหารทาน เเล้วค้นพบว่ามีพรสวรรค์ทางด้านนี้ ทำให้เกิดธุรกิจอาหารใหม่ๆ ขึ้นมากมาย 

ใครสนใจสั่งน้ำพริกเผาผัด “สง่าจันทร์” ติดต่อได้ที่  เบอร์โทร (081) 4266-442 หรือ IG : sangachanchilipaste  FB : sangachanchilipaste Line : natapolkongmalai 

คุณณฐพล คงมาลัย

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

เมื่อเดือนก่อนปิ่นโตเถาเล็กพาไปทบทวนร้านสำราญโอชา ใกล้ตลาดสามชุกมาแล้ว คราวนี้ขอพามาทบทวนความอร่อยกันที่ร้านเล็กๆ ในตัวเมืองสุพรรณบุรี ขวัญใจคนสุพรรณฯบ้าง อย่างที่เคยบอกไว้ว่าส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวต่างถิ่นมักจะผ่านเลยไป ไม่ค่อยได้แวะเที่ยวเล่นชิมอาหารในตัวเมืองขุนแผนสักเท่าไหร่ แต่หารู้ไม่นี่คือสุดยอดร้านอร่อยของสุพรรณบุรีทีเดียว ร้านนี้มีชื่อเสียงเรียงนามไม่เหมือนใครว่า ขัวะ

คุณจิรา ศรีภรรยาของคุณขัวะเฉลยที่มาของชื่อนี้ว่า คุณสามีตอนเด็กๆ ร้องไห้ปากกว้างอยู่เป็นนิตย์ เลยได้ฉายาปากกว้างตามภาษาจีนว่า ฉุ่ยขัวะ คุณขัวะนั้นเป็นน้องชายของร้านสุพรรณโอชา ร้านดังในยุคก่อน จึงมีฝีมือในการทำอาหารมาก และได้แยกมาเปิดร้านเองตั้งแต่ 38 ปีก่อน

ร้านขัวะอยู่ในตึกแถว 1 คูหาใจกลางเมืองริมถนนนางพิม ห่างจากโรงแรมศรีอู่ทองแกรนด์ ไม่เกิน 200 เมตร ฝั่งเดียวกัน ถนนเส้นนี้ไม่จอแจจึงจอดรถริมถนนได้เลย

เฮียขัวะทำอาหารแบบวันแมนโชว์ได้อร่อยล้นเหลือ ขนาดที่กำลังนั่งเขียนบทความนี้ ยังกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ รู้สึกอยากไปกินอีก ตอนนี้ลูกชายทั้งสองคนโตเป็นหนุ่มมาช่วยที่ร้านยามว่างได้แล้ว

ได้กลับมาร้านขัวะครั้งนี้มีความสุขที่สุดเพราะมีเมนูอร่อยไม่เหมือนใครมากมาย เริ่มด้วยสลัดหมูน้ำใส (150-180 บาท) สไตล์ร้านจีน หมูสับชิ้นใหญ่ๆ ชุบแป้งทอดอร่อยเด็ด กินกับสลัดผักกาดหอม หัวหอม กะหล่ำม่วง กะหล่ำปลี มะเขือเทศ และแครอต ราดน้ำสลัดใสๆ ปรุงด้วยน้ำมัน เกลือ น้ำตาล น้ำส้มสายชู เปรี้ยวนิดหวานหน่อยเค็มเล็กน้อย หอมสดชื่นถูกใจ

ซี่โครงหมูทอด (150-180 บาท) เมนูง่ายๆ แต่อร่อยขั้นเทพ ชุบแป้งทอดเคลือบผิวนอก ข้างนอกแห้งๆ ข้างในอร่อยนุ่มชุ่มฉ่ำ แทะมันสุดสุด อีกจานห้ามพลาดเลยเป็นอันขาด ยำแซ่บเนื้อสันในหรือยำเนื้อลวก (150-180 บาท) เนื้อสันในหมักจนนุ่ม สุกกำลังดี ปรุงรสแซ่บจี๊ดจ๊าดด้วยมะนาวกับกระเทียม พริกเหลือง พริกขี้หนู ผักชีฝรั่ง แกล้มด้วยผักกาดหอม และมีสุดยอดเมนูเนื้ออีกอย่างที่เพิ่งได้ลองชิมคราวนี้ เนื้อตุ๋นผัดกะเพรา (150-180 บาท) ตุ๋นเอง 4 ชั่วโมงจนเปื่อยเข้าเนื้อ มีทั้งเนื้อและเอ็นตุ๋น คอเนื้อได้ชิมแล้วต้องขึ้นสวรรค์ ซึ่งเนื้อตุ๋นนี้ ลูกค้าขาประจำยังชอบสั่งให้ทำเป็นต้มยำเนื้อตุ๋น (150-180 บาท) อีกด้วย

อีกจานที่ห้ามพลาดเช่นกันคือ เห็ดโคนผัดน้ำมันหอยกับกุ้ง เห็ดโคนของดีหายาก ราคาจึงแพงหน่อย (500 บาท) แต่อร่อยจนยกให้ 2 นิ้วโป้ง เห็ดโคนอวบๆ มีมันกุ้งจากหัวกุ้งออกมาผสมด้วย เลยหอมมันยกกำลังสอง ถ้ามาหน้าฝนให้สั่งต้มยำพุงไข่ปลาช่อน (150-180 บาท หม้อไฟ 250 บาท) รสชาติพื้นบ้านขนานแท้ นี่คือของดีที่ห้ามพลาด

4

จำพวกแกงเผ็ดๆ ต่างๆ น่าลิ้มลองมีอีกหลายอย่าง ทั้งแกงส้มปูทะเลใส่หน่อไม้ดอง (400 บาท) ไม่ต้องติดทะเลก็ได้กินอร่อย และเมนูใหม่คราวนี้ที่สมาชิกลงเสียงเป็นเอกฉันท์ว่าอร่อยไม่เหมือนใครก็คือ แกงป่ากุ้งก้ามกราม (150-180 บาท) สูตรนี้ใส่หน่อไม้ดองด้วย ซึ่งจะดองไม่เปรี้ยวมาก เข้ากันดีอย่างน่าอัศจรรย์ ส่วนเครื่องแกงนั้นหอมผิวมะกรูดและกระชาย ส่วนผัดผักแค่ผัดปวยเล้ง (80-170 บาท) ง่ายๆ ก็หอมอร่อยอีกเช่นกัน

ยังอิ่มไม่ได้ ให้ปิดท้ายด้วยอาหารจานเส้นเหมือนภัตตาคารจีน ผัดมี่สั้ว (80-150 บาท) ซื้อจากเจ้าประจำในตลาด ไม่มียี่ห้อ นุ่มเหนียวหอมไม่มีกลิ่นใดๆ อันไม่พึงประสงค์แม้แต่น้อย ผัดใส่กะหล่ำปลี แครอต และเห็ดหอม แบบหมี่เจ ปรุงด้วยซอสปรุงรสแค่นี้ก็กลายเป็นเมนูอันโอชะ อิ่มแค่ไหนก็ต้องลิ้มลอง
ร้านขัวะเปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม นี่คือหนึ่งในสุดยอดร้านอาหารของจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นร้านกับข้าวไทย-จีน-พื้นบ้านเมนูไม่ซ้ำใคร อร่อยทุกเมนูจริงๆ ผ่านไปสุพรรณบุรีอย่าลืมแวะร้านขัวะด้วยนะจ๊ะ

ขัวะ
โดย คุณวัฒนวงษ์(ขัวะ)-คุณจิรา สมอดิศร
ที่ตั้ง 51/3 ถ.นางพิม ต.ท่าพี่เลี้ยง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี 72000
โทร 0-3552-1045, 08-8224-5578
เปิดบริการ 10.00-22.00 น. ทุกวัน
หยุด ตรุษจีน (วันไหว้) 1 วัน สารทจีน 1 วัน
แนะนำ สลัดหมูน้ำใส ซี่โครงหมูทอด ยำแซ่บเนื้อสันใน แกงป่ากุ้งก้ามกราม เห็ดโคนผัดน้ำมันหอยกับกุ้ง เนื้อตุ๋นผัดกะเพรา กุ้งทอดเกลือ ต้มยำพุงไข่ปลาช่อน แกงส้มปูทะเลใส่หน่อไม้ดอง ผัดปวยเล้ง ผัดมี่สั้ว
ช่วงคนแน่น ไม่แน่นอน
Facebook ร้านอาหารขัวะ

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563, หน้า 15
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก

วันนี้มีของกินเล่นอร่อยเจ้าเก่ามาบอกต่อ อยู่ที่ตัวจังหวัดชลบุรี ของกินเล่นที่ว่านี้คือซาลาเปา ฟังดูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา เพราะเจ้านี้คือต้นตำรับซาลาเปารูปทรงไม่เหมือนใคร ลูกใหญ่ไส้เยอะอัดแน่นไปด้วยไส้ 4 ชนิด ร้านนี้มีชื่อว่า ซาลาเปาสี่สหาย

สมัยที่ซาลาเปาสี่สหายเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2541 นั้น บิดาข้าพเจ้า คุณชายถนัดศรีมาค้นพบ เขียนแนะนำในคอลัมน์ และชวนไปออกงานครบรอบ 39 ปี เชลล์ชวนชิม หน้าลานเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์หรือเซ็นทรัลเวิลด์ในปัจจุบัน ยังจำภาพติดตาได้ดีว่าหน้าร้านซาลาเปาสี่สหายมีคนมารอเข้าคิวซื้อเป็นแถวยาวเหยียดทบไปทบนับร้อยๆ คน ในยุคนั้นซาลาเปาสี่สหายคือผู้บุกเบิกการทำซาลาเปารูปทรงแปลกแตกต่างไปจากรายอื่นๆ ทีเดียว

ผู้คิดค้นสูตรซาลาเปานี้คือคุณสอาด ภรรยาของคุณกฤตชัย จิรพัฒน์ธำรงกุล จากที่เคยขายเสื้อผ้า สองสามีภรรยาเปลี่ยนมาทำซาลาเปาขายดิบขายดีได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งถึงขนาดที่ว่าไปจดสิทธิบัตรรูปลักษณ์ของซาลาเปาสี่สหาย ลูกรีๆ ยาวๆ ใหญ่ๆ ไว้แล้ว

ส่วนที่มาของชื่อสี่สหายนั้นคือครอบครัวนี้มีลูก 4 คน อีกทั้งซาลาเปามี 4 ไส้นั่นเอง โดยตอนนี้มีลูกๆ มาสืบทอดการทำซาลาเปาไว้ได้ 2 คน คือคุณวีรศักดิ์ จิรพัฒน์ธำรงกุล (โต้ง) และน้องชายคนเล็ก พรพจน์ (โต๊ด)

ซาลาเปาสูตรนี้ใช้ยีสต์ให้ขึ้นฟู ผสมกับแป้งสาลี น้ำ น้ำตาล ตีส่วนผสมเสร็จแล้วพักไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นปั้นเป็นก้อนๆ ผ่าครึ่งและใส่ไส้ นำไปนึ่ง ซึ่งจะทำขายวันต่อวัน

ความอร่อยของ ซาลาเปาสี่สหาย ลูกรีๆ ยาวๆ ใหญ่ๆ อยู่ที่แป้งนุ่มเหนียวไม่ติดลิ้น และอยู่ที่ตัวไส้ 4 ชนิด ประกอบไปด้วยหมูสับหอมรากผักชีกระเทียมพริกไทย ปรุงรสด้วยน้ำตาล เกลือและซีอิ๊ว ไส้กรอกคอกเทล ไส้กรอกโบโลญญา (ที่คนไทยชอบเรียกโบโลน่า) กลมแบน และ ไข่นกกระทา สนนราคาลูกละ 35 บาท กินเข้าไปเพียง 1 หรือ 2 ลูกก็อิ่มท้องไปทั้งวันแล้ว ซื้อกลับบ้านสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานเป็นอาทิตย์

นอกจากนี้ยังมี ซาลาเปาไส้หมูสับ หมูแดง ครีม งาดำ (ลูกละ 15 บาทเท่ากัน) หมั่นโถว (มี 3 สีคือ สีขาว สีเหลืองฟักทอง สีเขียวใบเตย) เหนียวนุ่ม ขนมจีบไส้หมูสับ (กระทงละ 40 บาท 10 ลูก) และ บ๊ะจ่าง (45 บาท) ไส้แปะก๊วย เห็ดหอม กุนเชียง ถั่วลิสง กุ้งแห้งและหมูหมัก ซึ่งควรซื้อติดไม้ติดมือไปลองชิมให้ครบ

ปัจจุบันถ้าใครอยากลิ้มลองซาลาเปาสี่สหาย ต้องไปที่จังหวัดชลบุรีเท่านั้น สาขาดั้งเดิมอยู่ที่ แม็คโคร (Makro) ชลบุรี ถนนสุขุมวิท ถ้ามาจากตัวเมืองชลบุรีจะอยู่ริมถนนสุขุมวิทฝั่งขวามือก่อนถึงสามแยกทางเข้าอ่างศิลา โดยร้านซาลาเปาสี่สหายจะอยู่ในศูนย์อาหาร ตรงหัวมุมประตูทางเข้าศูนย์อาหารเลย

นอกจากนี้ยังมีสาขาอยู่ที่ ศูนย์อาหารในห้างโลตัส (Lotus) ชลบุรี ริมถนนสุขุมวิท อยู่ในตัวเมืองข้างตึกคอม โลตัสบ้านสวน ริมถนน 344 จากแยกบ้านสวนไป จะอยู่ใกล้แยกบายพาสชลบุรีทางฝั่งขวามือ ตรงข้าม ร.ร.บ้านสวนจั่นอนุสรณ์ โลตัสบ้านบึงที่อำเภอบ้านบึง บิ๊กซี ชลบุรี หลังห้างเซ็นทรัลชลบุรี ซึ่งสาขานี้ตั้งอยู่ที่ลานจอดรถใต้บิ๊กซี หน้าประตูทางเข้า และ พลัสมอลล์ (Plus mall) อมตะนคร ที่ในนิคมอมตะนคร รวมทั้งหมด 6 สาขา

10SalapaoSeeSahai

ผ่านมาชลบุรี ต้องแวะไปลิ้มลองซาลาเปาสี่สหาย ซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้าน รับรองว่าจะติดใจกลายเป็นลูกค้าประจำไปเลยแน่นอน

ซาลาเปาสี่สหาย

โดย คุณวีรศักดิ์ จิรพัฒน์ธำรงกุล (โต้ง)

ที่ตั้ง 1.แม็คโคร (Makro) ชลบุรี ถ.สุขุมวิท (ก่อนถึงแยกอ่างศิลา) 55/3 หมู่ 2 ถ.สุขุมวิท ต.เสม็ด อ.เมือง ชลบุรี 20000 2.โลตัส (Lotus) ชลบุรี (ริมถนนสุขุมวิท ข้างตึกคอม) 3.โลตัส บ้านสวน (ริมถนน 344 จากแยกบ้านสวนไปอยู่ใกล้แยกบายพาสชลบุรี) 4.โลตัส บ้านบึง 5.บิ๊กซี หลังห้างเซ็นทรัลชลบุรี (อยู่ที่ลานจอดรถใต้บิ๊กซี หน้าประตูทางเข้า) 6.พลัสมอลล์ (Plus mall) อมตะนคร

เปิดบริการ 08.30-19.00 น.(แม็คโคร) 08.30-20.00 น.(โลตัสและพลัสมอลล์) 08.30-21.00 น.(บิ๊กซี)

โทร 08-1861-3265

แนะนำ ซาลาเปาสี่สหาย

Facebook ซาลาเปาสี่สหาย

สถานที่ผลิต (ที่บ้าน) 112/180-181 หมู่ 7 ถ.พระยาสัจจา ปากซอยสวนหลวงวิลล่า 2 ต.เสม็ด อ.เมือง ชลบุรี

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
ซุปต้มยำโฮมเมด

อะไรใหม่ๆ ที่ผุดขึ้นมาแล้วมีคนพูดปากต่อปากอย่างต่อเนื่องนี้แสดงว่าของนั้นต้องน่าสนใจไม่น้อย

ฉบับนี้เรามาว่ากันด้วยเรื่องของร้าน “Bar Mee Noodles by Chef Willment” ที่คนรักเส้นพูดถึงกันมากจนต้องไปลองกันซักที เอาเป็นว่าจะขอเรียกง่ายๆ ว่าร้านบะหมี่แล้วกันนะคะ

ร้านบะหมี่เป็นไอเดียของเชฟฝีปากคม “วิลแมนต์ ลีออง” ชาวสิงคโปร์ จากรายการ “Top Chef Thailand” และ เชฟเอก ชาตตระกูล เชฟอาหารจีนชื่อดัง ร่วมหุ้นกับบริษัท ดีดี ฟู้ดส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในเครือ SVL Group นั่นเองค่ะ

พิกัดร้านตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคาร SVL House ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า BTS สุรศักดิ์ประมาณ 300 เมตร เยื้อง สน.ยานนาวา ถือว่าเป็นย่าน CBD ที่มีหนุ่มสาวออฟฟิศเดินกันคึกคักพอสมควร

แม้ร้านจะเพิ่งเปิดได้ประมาณ 4 เดือน แต่เรียกเสียงฮือฮาไม่น้อย พูดถึงกันทั้งในแง่รสชาติ คุณค่าสารอาหาร และราคาที่จับต้องได้

ความน่าสนใจอีกอย่าง คือ ก๋วยเตี๋ยวไม่ใช่สไตล์ไทยจ๋า และห้ามปรุง (เพราะไม่มีเครื่องปรุงให้) จะออกแนวเอเชียที่มีความพิถีพิถันยกระดับเป็นไฟน์ไดนิ่งเลยทีเดียว

เรื่องรสชาติต้องมาลองกัน แต่ได้ข้อมูลมาว่ากว่าจะออกมาเป็น 8 เมนูไม้ตายได้ ต้องผ่านทั้งการทดลอง ทำวิจัย กระทั่งใช้นวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาพัฒนาจนได้รสชาติที่เป๊ะ เหมือนกันเด๊ะทุกชาม เสิร์ฟเวลาไหนก็รสชาติเดิม แม้แต่สั่งดิลิเวอรีก็เหมือนกันทุกประการ ถือเป็นการปฏิวัติวงการก๋วยเตี๋ยวในประเทศไทยเลยทีเดียว

มาดูเมนูกันค่ะ ว่า 8 เมนู มีอะไรบ้าง เริ่มจากซิกเนเจอร์ “ซุปต้มยำโฮมเมด” 150 บาท ที่ร้านนี้อะไรที่เป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำ จะเสิร์ฟแบบแยกน้ำซุปมาให้เทใส่เอง ทำให้เห็นเครื่องเคราในชามก๋วยเตี๋ยวชัดเจน เมนูนี้ที่ร้านเลือกใช้เส้นเล็ก กุ้ง ฮื่อก๊วย ลูกชิ้นปลา เนื้อมะพร้าว พอเทน้ำซุปลงไปกลิ่นต้มยำหอมสมุนไพรมากระทบจมูกจนน้ำลายสอ รสชาติไม่เผ็ดมาก แต่จัดจ้าน เพราะน้ำซุปต้มยำนี้ที่ร้านไม่ใช่แค่นำสมุนไพรมาต้ม แต่เลือกใช้วิธีปั่นสมุนไพร เครื่องเทศจนละเอียด ไม่เหลือทิ้ง เน้น Zero waste นโยบายคนยุคใหม่ ผลที่ได้คือคุณค่าสารอาหารเต็มๆ เมนูต้มยำนี้จะสั่งแบบแห้ง “ซอสต้มยำโฮมเมด” ก็ได้ในราคา 120 บาท

ต่อด้วย “ซุปเพสโต้เขียวหวาน” 150 บาท ชามนี้เลือกใช้พาสต้าเส้นดำ เครื่องมี เป็ดชาชูชิ้นหนานุ่ม ไข่เค็มแดง และ มะพร้าวอ่อน ยังอีกหนึ่งชามที่เครื่องเทศสมุนไพรจัดเต็ม ที่สำคัญไม่เคยคิดว่าจะซดน้ำซุปแกงเขียวหวานได้แบบนี้มาก่อน ใครอยากชิมแห้งก็มีเหมือนกัน เป็น “ซอสเพสโต้เขียวหวาน” 120 บาท เครื่องเคราเหมือนกันเปี๊ยบ

“ซุปมิโสะหมู” 150 บาท ชามนี้คอราเมงกรี๊ดสลบ ร้านเลือกใช้เส้นราเมง หมูชาชู กากหมู และ หน่อไม้ ไฮไลต์ คือ หมูชาชูชิ้นหนาเคี้ยวมันสะใจ และที่ไม่เหมือนใคร คือ มีกากหมูด้วยเข้ากันเหลือเชื่อ ซุปกลมกล่อม ไม่เค็มมากเกินไป มีความหวานเพราะเคี่ยวนาน แว่วๆ ว่าเป็นเมนูยอดฮิตของเหล่าเด็กกรุงเทพคริสเตียนที่มาสั่งกันประจำหลังเลิกเรียน

“ซุปเนื้อตุ๋นสมุนไพรจีน” 150 บาท เลือกใช้เส้นบะหมี่เส้นแบน เครื่องมีเนื้อตุ๋น ลูกชิ้นเนื้อ ลูกชิ้นเอ็นเนื้อ ชามนี้ดีงามที่เนื้อตุ๋นก้อนเบ้อเริ่ม ตุ๋นนานกว่า 6 ชั่วโมงทำให้เนื้อนุ่มเปื่อย น้ำซุปหวาน และหัวไชเท้านุ่มๆ ที่บอกเลยว่าเทคเจอร์ไม่เหมือนร้านไหนๆ ที่เคยกินมา

เชฟวิลแมนต์ ลีออง
ซอสซีอิ๊วสูตรพิเศษ
ซุปเนื้อตุ๋นสมุนไพรจีน

“ซอสฮอยซินสูตรโบราณ” 120 บาท ใช้เส้นบะหมี่หยก เครื่องมีหมูแดง ฮื่อก๊วย เกี๊ยวกรอบ ชามนี้รสชาติกลมกล่อม เชฟวิลแมนต์พูดเองว่า ถ้าอากงอาม่าได้กินต้องร้องไห้!

“บะหมี่รสชาติแบบนี้ที่เมืองไทยเคยมีประมาณ 40 ปีที่แล้ว ถ้าพ่อแม่คนจีนได้กินจะร้องไห้ ที่หายไปเพราะวัยรุ่นอาจจะไม่กินมั้ง หมูแดงเราทำเอง ไม่อร่อยไม่ต้องจ่ายตังค์นะ (หัวเราะ)” เชฟหนุ่มสิงคโปร์คอนเฟิร์มหนักแน่น

ต่อมา “ซอสซีอิ๊วสูตรพิเศษ” 120 บาท เลือกใช้เส้นบะหมี่เส้นแบน เครื่องมีเป็ดพะโล้ กากหมู เกี๊ยวกรอบ ชามนี้เป็นอีกหนึ่งสูตรโบราณที่อากงอาม่าได้กินก็อาจจะร้องไห้อีกเช่นกัน เส้นบะหมี่ที่คลุกซีอิ๊วสูตรเฉพาะ เป็ดพะโล้เนื้อนุ่ม มีกากหมูเพิ่มความฟิน ได้รสชาติที่ถ้าอากงอาม่าได้กินแล้ว อดีตอันสวยงามจะผุดพรายขึ้นมาในความทรงจำเต็มไปหมด

ทั้ง 8 เมนูนี้ถือว่ากลั่นออกมาจากเชฟแถวหน้าของไทย ถ้าใครยังไม่จุใจก็สามารถสั่งท้อปปิ้งเพิ่มได้ มี ซีฟู้ดรวมจานพิเศษ 60 บาท เป็ดรวมจานพิเศษ 60 บาท หมูรวมจานพิเศษ 60 บาท เนื้อรวมจานพิเศษ 80 บาท

ซุปเพสโต้เขียวหวาน

เชฟวิลแมนต์ บอกว่า ตนเองเป็นคนชอบกินก๋วยเตี๋ยว แต่รู้สึกว่าก๋วยเตี๋ยวหรือบะหมี่ที่ไทยน่าจะทำให้ดีกว่านี้เป็นที่มาในการเปิดร้านบะหมี่ ยกระดับให้เทียบเท่าไฟน์ ไดนิ่ง มีระบบครัวกลาง มีห้องแอร์ให้นั่งสบายๆ มีปลั๊กไฟบริการ ราคาไม่ถูกแต่ไม่แพงโอเวอร์ คือ 120-150 บาท ทุกอย่างมีมาตรฐานทั้งวัตถุดิบ และ รสชาติ ต้องเหมือนเดิมทุกชาม แม้แต่ที่สั่งดิลิเวอรีรสชาติก็ต้องเหมือนที่ร้าน

“ดิลิเวอรีของเราไม่เหมือนชาวบ้านนะครับ เราเสิร์ฟเย็น จะมีหัวเชื้อเป็นก้อน นี่คืออินโนเวชั่นล้วนๆ แล้วเราจะมีน้ำพิเศษไปให้เรียกว่ามิกเซอร์ที่เราคำนวณปริมาณไปแล้ว สามารถเทน้ำเอาเข้าไมโครเวฟได้เลย จะซื้อใส่ตู้เย็นไว้ดึกๆ หิวมาก็ใส่น้ำเข้าไมโครเวฟ 2 นาทีก็อร่อยเหมือนเดิม หรือจะช้อนทุกอย่างใส่กระทะใส่น้ำอุ่นกินก็ได้เหมือนกัน”

เรื่องของนวัตกรรมที่นำมาใช้ เชฟวิลแมนต์ บอกว่า เครื่องปรุงทุกอย่างคือสกัดทำเอง ต้มเอง ทำเป็นหัวเชื้อขึ้นมา ทุกชามจะได้รสชาติเหมือนกันทั้งหมด ต่างจากก๋วยเตี๋ยวข้างถนนที่เรากิน เช้าไปน้ำซุปกำลังต้มอยู่ กินไม่เข้มข้น ช่วงบ่ายไปกินกำลังดี ใกล้ปิดแล้วเค็มมาก นี่คือไม่มีมาตรฐาน ดังนั้นเราตัดสินใจสร้างครัวกลางขึ้นมา

“ร้านเรา มี Blast freezer ด้วยนะครับ ก็คือ ของร้อนๆ อัดเข้าไปแป๊บเดียวแข็งเลย ขั้นตอนที่เชื้อโรคเติบโตจะน้อยมาก จะไม่มีโอกาสเติบโต ประโยชน์มันป้องกันเชื้อโรค เราพยายามรักษาคุณค่าอาหารด้วย”

คอก๋วยเตี๋ยวถ้ายังไม่ได้ลอง บอกเลยว่าต้องลองนะคะ ทุกจานจัดว่าเป็นจานด่วนที่ได้รสชาติและคุณค่าอาหารครบถ้วน เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00-21.00 น. สนใจเข้าไปดูเพจเฟซบุ๊ก Bar Mee หรือ ไลน์ @barmeenoodle โทร 09-1723-2650

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]
ซุปมิโสะหมู แบบดิลิเวอรี
ลูกค้าเทน้ำซุปมิโสะหมูจากกาด้วยตัวเอง

คนเรามักนึกถึงของอร่อยกินกันทุกวัน ร้าน Street Food จึงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่หลายคนนึกถึง เพราะกินได้บ่อยๆ และมีให้เลือกกันหลากหลายตั้งแต่เช้าจรดค่ำ คล้ายกับเป็นสวรรค์ของนักกินอย่างจริงแท้ ทั่วทุกมุมเมืองต่างมีร้านอร่อยมากมาย บางร้านไม่เคยว่างเว้นจากผู้คนที่แวะเวียนมารอชิมอาหารรสชาติดี

ดังนั้นความอร่อยและได้สุขภาพของแต่ละร้านก็จะต่างกัน

ทาง รพ.สมิติเวช เปิดบริการ “หมอ(สมิติเวชช่วย)ดู เมนูเสริม (ดวง) สุขภาพ ” แนะนำอาหารสุขภาพที่ ได้รับการการันตีคุณภาพจากคุณหมอโรงพยาบาลสมิติเวช โดยให้บริการผ่านไลน์ @samitivej และทาง

แอพพลิเคชั่นแกร็บ  ที่ช่วยกันสร้างแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่ง เป็นทางเลือกสุขภาพที่ดีให้กับผู้ใช้บริการ สามารถนำคะแนน Grab Rewards มาแลกเป็นส่วนลดค่าเวชภัณฑ์ 10 % (เฉพาะค่ายา ค่าตรวจทางห้องปฎิบัติการบางรายการ และค่าฉายรังสี โดยยกเว้นค่ายา ค่าตรวจทางห้องปฎิบัติการ และค่าฉายรังสีบางรายการ) สุดท้ายยังมีส่วนลดพิเศษค่าส่ง หากสั่งอาหารมาส่งที่โรงพยาบาลสมติเวช (สุขุมวิท ศรีนครินทร์ ไชน่าทาวน์ และธนบุรี) ทั้งหมดนี้จะเริ่มให้บริการในเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป

อร่อยได้สุขภาพจาก Street Food ร้านดัง
  1. สุกี้ทะเล จากร้าน เอลวิสสุกี้

    “เอลวิสสุกี้” ร้านแนวสตรีทฟู้ดที่ได้การแนะนำจาก มิชลินไกด์  เมนูเด็ดของที่นี่คือ “สุกี้ทะเล” พร้อมกับเสริมดวงสุขภาพด้วยเส้นใยอาหารจากผัก และโปรตีนดีจากอาหารทะเลหลากหลาย ซึ่งเรียกได้ว่าใหญ่ที่สุด มีของดีและเมนูหลากหลายที่สุด กว่าสาขาอื่น ๆ เลยทีเดียว

2.สุกี้ไก่ จากร้าน เอลวิสสุกี้

อีกหนึ่งเมนูจากร้าน “เอลวิสสุกี้” ร้าน Street food ร้านดัง ที่ได้รับการแนะนำจาก มิชลินไกด์ ส่วนใหญ่ได้รับการตอบกลับดีมากจากลูกค้า โดยเฉพาะเมนู “สุกี้ไก่” ที่เป็นแหล่งของโปรตีนดีที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้ออย่างดี

3.สเต็กปลาย่าง จากร้าน สเต็กสามย่าน ทูเดย์สเต็ก

ขึ้นชื่อว่าสเต็กสามย่านส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงร้าน “สเต็กสามย่าน ทูเดย์สเต็ก” ซึ่งตั้งอยู่ในตลาดสามย่านชั้นสอง มีเมนูสเต๊กให้เลือกมากมาย เมนูเด็ดจะเป็นเมนู “สเต็กปลาย่าง”  รวมทั้งเสริมสุขภาพด้วยโปรตีนดีและกรดไขมันดีจากปลาย่างหอมๆ อีกด้วย

4.สเต็กไก่สไปซี่ จากร้าน สเต็กสามย่าน ทูเดย์สเต็ก

อีกเมนูที่ทุกคนพลาดไม่ได้ของร้าน สเต็กสามย่าน ทูเดย์สเต็ก กับเมนู “สเต็กไก่สไปซี่” สูตรเด็ดจากทางร้าน ทั้งอร่อยและแซ่บแบบได้โปรตีนดีจากสเต็กไก่ ยิ่งถ้าเลาะหนังออกได้จะยิ่งผอม

5.บะหมี่ก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ จากร้าน ก๋วยเตี๋ยวไก่มะระกล้วยน้ำไทย

อีกหนึ่งร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ ในกรุงเทพฯ ที่พลาดไม่ได้เลย ก็คือร้านก๋วยเตี๋ยวไก่มะระกล้วยน้ำไทย เมนูไก่ตุ๋นก็มีให้เลือกมากมาย รสชาติเข้มข้น หอมกลิ่นเครื่องเทศสมุนไพรสุดๆ โดยเฉพาะบะหมี่ก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ ถึงแม้มะระจะขม แต่ก็มีคุณสมบัติต้านมะเร็ง ดังที่โบราณว่าไว้ หวานเป็นลม ขมเป็นยาอีกนั่นเอง

เนื้อปูแกะไซส์ XL

ในยุคข้อมูลข่าวสารแล่นปรู๊ดปร๊าดชั่วพริบตา สมัยนี้อยากกินอะไรช่างง่ายดาย จิ้มมือถือไม่กี่ครั้ง นอนกระดิกเท้าเล่นสบายใจ รอไม่นานเดี๋ยวก็มีของกินมาส่งถึงหน้าบ้านสมใจอยาก

ขอแนะนำของอร่อยสุดยอดอาหารทะเลอยู่รายหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นผู้บุกเบิกพวกแรกในธุรกิจดิลิเวอรีมาตั้งแต่ปี 2555 เจ้านี้มีชื่อว่า JQ ปูม้านึ่ง

JQ ปูม้านึ่งเป็นของ คุณโอ๋ สุรีรัตน์ ศรีพรหมคำ กับ คุณอี๊ด ประเสริฐ สมบูรณ์ ผู้เป็นสามี เริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้างทำงานกินเงินเดือนเหมือนคนทั่วไป ในที่สุดหันมาประกอบอาชีพส่วนตัว รับอาหารทะเลจากคุณแม่ของคุณโอ๋ที่อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี มาส่งร้านอาหารกับโรงแรมที่กรุงเทพฯ โดนกดราคา โดนยกเลิกรับของ จึงเกิดไอเดียเร่งด่วนคือปรุงอาหารทะเล ปิ้งๆ ย่างๆ นึ่งๆ ผัดๆ ส่งให้ตามบ้านเสียเลย มิฉะนั้นของที่ส่งมาอาจจะเน่าเสียได้

ผ่านมา 9 ปี ธุรกิจเติบใหญ่ มีปูสดๆ มาจากแพปูของแม่ที่สุราษฎร์ทุกวันนับร้อยกิโล นำมานึ่งที่กรุงเทพฯ มีสาขาสำหรับกระจายของถึง 8 แห่ง สั่งล่วงหน้า 1-2 ชั่วโมง ปรุงให้เดี๋ยวนั้นร้อนๆ ส่งตรงถึงหน้าบ้าน อีกทั้งตอนนี้สั่งได้ทุกบ้าน ทุกอำเภอทั่วไทย (โดยต่างจังหวัดให้สั่งล่วงหน้า 1 วัน)

เท่านี้ยังไม่พอ ยังมีอาหารทะเลให้เลือกสั่งหลากหลายอีกเพียบ ทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา บางอย่างก็เป็นของตามฤดูกาล โดยจะแจ้งเป็นวันๆ ไป

แล้วจะเข้าไปดูที่ไหนล่ะ ช่องทางแรกคือเฟซบุ๊กแฟนเพจ (Facebook Fanpage) เจคิว ปูม้านึ่ง Delivery เปิดเข้าไปดูมีเมนูอาหารทะเลประจำวันนั้นๆ อีกทั้งโปรโมชั่น (ถ้ามี) ด้วย สั่งผ่านเพจได้เลย

ช่องทางถัดมาคือทาง Line @JQPUUMANUNG (มี @ ข้างหน้าด้วย) ซึ่งผมใช้ช่องทางนี้ในการสั่ง สามารถโต้ตอบกันได้เลยว่าวันนี้มีอะไรที่หมดหรือไม่มีขายบ้าง สะดวกรวดเร็ว ส่วนช่องทางสุดท้ายคือทำแบบดั้งเดิม โทรสั่งที่ 0-2105-4205

ทั้ง 3 ช่องทางนี้จะสั่งได้ตั้งแต่ 10 โมงเช้าเป็นต้นไปจนถึง 2 ทุ่ม แต่ช้าก่อน ขอเตือนว่า ควรสั่งจองกันตั้งแต่ตอนสายๆ เสียเลย เพราะวันก่อนผมมีบทเรียน จะสั่งช่วง 5 โมงเย็น ปรากฏว่าของหมดไปหลายอย่างแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือปูม้า แต่นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าที่ JQ ปูม้านึ่ง ขายปูกันวันต่อวันจริงๆ ข้อดีอีกอย่างของเจ้านี้คือรับบัตรเครดิตด้วย ไม่มีขั้นต่ำในการสั่ง หรือจะโอนเงินก็ได้

ของดีเชียร์ให้ลิ้มลองที่ห้ามพลาดเลยคือ กุ้งแม่น้ำเผา ตัวใหญ่ขนาด 4 ตัวต่อกิโล ผ่าครึ่งซีก เผามาร้อนๆ มันเยิ้มๆ เต็มหัว เนื้อสดหวานจริงๆ สนนราคา 1 ตัว 450 บาท แต่ถ้าสั่ง 2 ตัว เหลือแค่ 850 บาท แล้วจะสั่งแค่ 1 ตัวทำไมล่ะจ๊ะ นอกจากนี้ยังมีกุ้งแม่น้ำเผา จำนวน 4-5 ตัวต่อชุด ราคา 550 บาท ใช้กุ้งแม่น้ำขนาด 8 ตัวต่อกิโล

ทีเด็ดอยู่ที่ น้ำจิ้มซีฟู้ด ที่ให้มาด้วยคู่กัน รสจัด เผ็ดกำลังดี หอมอร่อย ใช้มะนาวแท้ๆ ถึงขนาดที่ว่ามีบริษัททัวร์สั่งน้ำจิ้มซีฟู้ดบรรจุขวดพกติดไปเมืองนอกบริการลูกทัวร์ เก็บในตู้เย็นอยู่ได้นาน 7-10 วัน (บรรจุในคลีนรูม มีตรา อย.) ขวดละ 120 บาท

กุ้งแม่น้ำขนาดแปดตัวต่อกิโล
กรรเชียงปู
เนื้อปูแกะให้ทั้งตัว มีไข่ปูติดมาด้วย

แน่นอนว่าดีที่หนึ่งอันดับหนึ่งย่อมต้องเป็น ปูม้านึ่ง สั่งมากี่ครั้งก็สดหวานอร่อยทุกครั้ง (ผมเคยแอบสั่งในชื่อเพื่อนคนอื่นด้วยต่างหาก) มี ปูม้านึ่งขนาด 3-4 ตัวต่อกิโล สนนราคากิโลละ 900 บาท ซึ่งสามารถสั่งให้แกะหรือทุบเรียงเป็นชิ้นส่วนใส่กล่องให้ได้เลย โดยต้องบอกตอนสั่งว่าจะให้ทุบให้แกะหรือไม่ให้ทำ เพราะบางคนต้องการนำไปถ่ายรูปเป็นตัวๆ ก่อนกินเพื่อความสวยงาม ซึ่งถ้าให้แกะด้วยที่ร้านจะเรียกว่า เนื้อปูแกะไซซ์ XL (900 บาท) นอกจากนี้ยังมี เนื้อปูแกะไซซ์ M (550 บาท) อีกด้วย ขอบอกว่าเนื้อปูม้าสุราษฎร์นี่อร่อยอย่าบอกใคร

ยังไม่จบเรื่องปูๆ ยังมี กรรเชียงปูล้วนๆ (250 กรัม 650 บาท) เคี้ยวกร้วมๆ เต็มคำ และอีกทั้งบางวันก็มี ปูไข่นึ่ง 2 ตัวต่อชุด (550 บาท) ถ้ามีให้รีบตะครุบ อีกอย่างที่สุดยอดคือ หอยจ๊อโคตรปู (5 ลูก 420 บาท) แต่ละลูกนั้นอัดแน่นด้วยเนื้อปูชิ้นเท่านิ้วเด็ก นอกจากปูนึ่งก็มี ปูไข่ดองทรงเครื่องไซซ์ L (650 บาท) ดองน้ำปลาแล้วแช่ช่องแข็ง ถ้ายังไม่จุใจก็มีกรรเชียงปูชิ้นโตๆ บรรจุกระป๋อง จำนวน 45-50 ชิ้น เก็บในตู้เย็น (ยังไม่เปิดกระป๋อง) ได้นาน 18 เดือน (1,450 บาท) อีกด้วย

ของทะเลอื่นๆ มี หมึกย่าง (ตัวละ 300-750 บาท ที่เห็นในรูป ตัวหนัก 9 ขีด 650 บาท) เป็นหมึกกระดองสดๆ ไม่แช่น้ำไม่แช่เกลือ ย่างทั้งตัวโตๆ จะสั่งให้หั่นเลยก็ได้ รวมถึง หมึกไข่แดดเดียว ตัวเล็กๆ พอดีคำ (350 บาท) และก็มี หอยหวานลวกหรือเผา (กิโลละ 400 บาท) หน้าตาเหมือนหอยหมาก แต่พอกินแล้วเหมือนหอยหวานเลย ซึ่งคุณโอ๋บอกว่าเป็นหอยมาจากประเทศปากีสถาน ลวดลายอย่างนี้ ซึ่งนานๆ จะมีที อีกทั้ง ปลากะพงทอดน้ำปลา (ทั้งตัว 385 บาท) ปลากะพงทอดน้ำปลาเป็นชิ้นๆ ซึ่งถ้าเป็นชิ้นจะนำไปนึ่งซีอิ๊วได้ด้วย (250 บาท) ต่อด้วย กุ้งแช่น้ำปลา (250 บาท) ใช้กุ้งขาวสดๆ ข้าวผัดปู (350 บาท) ข้าวผัดกุ้ง (250 บาท) บรรยายเท่าไหร่ก็ไม่หมดเสียที มีแม้กระทั่งปูขายเป็นชุด เรียกว่า ชุด Mega ปู มี 4 เมนู (1,600 บาท กินได้ 4-6 คน) เชิญสอบถามกันเอาเอง

สรุปได้ว่า JQ ปูม้านึ่งคือผู้ชำนาญเรื่องอาหารทะเลอย่างแท้จริง อย่าลืมว่าแต่ละวันควรรีบสั่งแต่ตอนสายๆ อย่ารอช้าจนเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเทศกาลวันพ่อ วันแม่ ปีใหม่ คิวสั่งจองแน่นอย่าบอกใคร ก็ของเขาดีจริงๆ นี่นา

ปูม้านึ่งเป็นตัว

JQ ปูม้านึ่ง

โดย คุณสุรีรัตน์ (โอ๋) ศรีพรหมคำ

ที่ตั้ง ไม่มีหน้าร้าน ดิลิเวอรีได้ทุกบ้านทั่วไทย

ช่องทางการสั่ง 1.เฟซบุ๊กแฟนเพจ (Facebook Fanpage) เจคิว ปูม้านึ่ง Delivery

2.Line @JQPUUMANUNG

3.โทร 0-2105-4205

 

เปิดบริการ 10.00-20.00 น. ทุกวัน

แนะนำ กุ้งแม่น้ำเผา ปูม้านึ่ง เนื้อปูแกะไซซ์ XL กรรเชียงปูล้วน หอยจ๊อโคตรปู ปูไข่ดองทรงเครื่องไซซ์ L หมึกย่าง หมึกไข่แดดเดียว หอยหวานลวกหรือเผา

ช่วงคนแน่น ช่วงเทศกาลวันพ่อ วันแม่ ปีใหม่

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
หมึกกระดองย่างทั้งตัว
ข้าวผัดกุ้ง
ข้าวผัดปู
คุณโอ๋ สุรีรัตน์ ศรีพรหมคำ
ปูไข่ดองทรงเครื่องไซซ์L
หมึกไข่แดดเดียว
หอยจ๊อโคตรปู
หอยหวานเผาหรือลวก
กรรเชียงปูชิ้นโตๆบรรจุกระป๋อง
น้ำจิ้มซีฟู้ดบรรจุขวด

คนบางคนเกิดมาก็มีพรสวรรค์ติดตัวมาด้วยเลย ถ้าโชคดีได้ค้นพบว่าตัวเองถนัดเรื่องอะไร ก็จะเปล่งประกายในชีวิตขึ้นมาทันที ดังเช่นคุณสำราญ เจ้าของร้านกับข้าวสไตล์ไทยปนจีนแห่งอำเภอสามชุก ร้านสำราญโอชา นี่คือร้านที่ภายนอกอาจจะดูธรรมดา แต่ขอท้าให้รีบมาลอง เพียงได้ชิมคำแรก รับรองจะรู้ซึ้งว่าขึ้นสวรรค์นั้นเป็นฉันใด

สำราญคือชื่อเล่นของคุณเด่น ธัญญเจริญ (แปลกดีชื่อเล่นยาวกว่าชื่อจริง) เริ่มทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟตั้งแต่อายุ 14 ปีที่ ร้านซ้งอาหาร ร้านดังในตลาดสามชุกสมัยก่อน นับเป็นร้านดังประจำอำเภอ และเป็นร้านโปรดของคุณชายถนัดศรีเมื่อครั้งยังหนุ่มแน่น

พออายุได้ 18 ปี คุณสำราญก็ขยับขึ้นมาเป็นลูกมือช่วยพ่อครัว ต่อจากนั้นก็เป็นกุ๊กประจำร้าน จึงได้รับถ่ายทอดวิชาทำอาหารอร่อยๆ มาเพียบ คุณชายถนัดศรีเคยเล่าให้ฟังว่า ซ้งอาหารนั้นถือเป็นต้นตำรับปลาบู่นึ่งซีอิ๊ว เมื่อ 50 กว่าปีก่อนทีเดียว

จนกระทั่ง พ.ศ.2535 คุณสำราญได้ออกมาเปิดร้านสำราญโอชาเอง โดยช่วงแรกยังอยู่ในตลาดสามชุก ต่อมาได้ย้ายออกมาเปิดร้านที่ด้านนอกตลาดในปี 2550 จนถึงปัจจุบัน

ปัจจุบันนี้การเดินทางไปตลาดสามชุกจากกรุงเทพฯเพียง 1 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้ว ต่างกับในอดีตที่เน้นการคมนาคมทางเรือเท่านั้น

ทางไปร้านง่ายมาก จากถนนสายบางบัวทอง-สุพรรณบุรี (สาย 340) เลี้ยวซ้ายเข้า อ.สามชุก ตรงมาเรื่อยๆ นิดเดียวก็ข้ามแม่น้ำท่าจีน เมื่อถึงแยกที่จะเลี้ยวขวาเข้าตลาดสามชุก ให้ตรงต่อไป (ไม่ต้องเลี้ยว) อีกอึดใจเดียวจะผ่านวงเวียนแล้วข้าม คลองชลประทาน ไปสุดทางที่โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอชื่อ โรงเรียนสามชุกรัตนโภคาราม แล้วเลี้ยวขวาเลียบถนนริมคลองชลประทานไปไม่ถึง 300 เมตร ก็ถึงร้านสำราญโอชาทางซ้ายมือ ฝั่งเดียวกับตัวโรงเรียน

ตัวร้านเป็นตึกแถวห้องหัวมุมขนาด 2 คูหา มีโต๊ะหินอ่อนตั้งอยู่หน้าร้าน มีตู้แช่ของสดกับเตาปรุงอาหารตั้งอยู่ด้านหน้า ส่วนด้านในเป็นที่กินข้าวมีทั้งห้องปรับอากาศและห้องธรรมดา จุคนรวมกันได้ราว 70 คน

สำราญโอชาเป็นร้านกับข้าวกับปลาเต็มรูปแบบ ขึ้นชื่อเรื่องปลาแม่น้ำและเมนูพื้นบ้านหลากหลาย คล้ายกับร้านแม่บ๊วยแห่งอำเภอบางปลาม้า ปลาที่นี่สดมาก ไม่มีกลิ่นโคลน รับมาจากแม่น้ำท่าจีนและเขื่อนกระเสียวที่อำเภอด่านช้าง

ดังนั้น มาที่นี่ต้องชิมเมนูหากินยากยิ่งในปัจจุบัน ปลาบู่นึ่งซีอิ๊ว (กิโลละ 600 บาท) ให้จงได้ ปลาบู่เนื้อแน่นเป็นก้อนๆสดๆ หวานๆ เอาไปนึ่งซีอิ๊วญี่ปุ่น ปรุงด้วยเห็ดหอม ต้นหอมซอย ขิงซอย รสกลมกล่อมหอมซีอิ๊วอย่าบอกใคร จิ้มด้วยน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวยำใส่พริกปรุงรสเปรี้ยวๆ เข้ากันดีเป็นที่สุด

มาคราวนี้ได้ชิมเมนูเด็ดที่ยกให้เป็นที่สุดในดวงใจไปแล้ว นั่นก็คือ หมูกรอบคั่ว (120 บาท) ที่นำมาต้มแล้วผึ่งให้แห้ง ทอดเก็บไว้ พอใครสั่งนำมาคั่วกับซีอิ๊วท้องถิ่นตรากวางและซอสปรุงรส กรอบฟูหอมอร่อยสุดยอด ห้ามพลาดเลยเป็นอันขาด

ลูกชิ้นปลากรายผัดขึ้เมา
กบทอดกระเทียม
คะน้าหมูกรอบ

ส่วนของอร่อยพื้นบ้านสุพรรณรสจัดถึงเครื่อง ต้อง ต้มยำปลาม้า (250 บาท) เสิร์ฟมาในหม้อไฟ ใส่ทั้งพริกสด พริกแห้งและหอมแดง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ผักชีฝรั่ง รสชาติคล้ายกับต้มโคล้ง เนื้อปลาม้าสดหวานอร่อย นี่แหละคือรสมือชาวบ้านแท้ๆ ที่ผมชื่นชอบ ถ้าชอบครบทุกรสให้สั่ง ปลาม้าสามรส (180 บาท) ปลาม้าชิ้นโตๆ เคลือบน้ำสามรส เปรี้ยวเค็มหวานและเผ็ด กลมกล่อม ปรุงด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา

มีของกินเล่นง่ายๆ ปลาซิวทอด (120 บาท) ปลาซิวแม่น้ำที่นี่ตัวโตได้ใจ ทอดกรอบๆ เค็มๆ นิดๆ กำลังดี กินได้ทั้งตัวไม่เหลือแม้แต่ก้าง นอกจากนี้ยังมีอาหารจานปลาอื่นๆ อีกหลากหลาย เช่น ปลาเค้าทอดน้ำปลา ฉู่ฉี่ปลาเนื้ออ่อน ปลาคังลวกและผัดฉ่า

อย่าลืมสั่ง ลูกชิ้นปลากรายผัดขี้เมา (140 บาท) ใส่พริกมาแบบไม่ยั้ง ถึงเครื่องเผ็ดร้อน ลูกชิ้นปลากรายตีเองนวดเอง นำไปทำ แกงเขียวหวาน แกงป่า หรือลวกจิ้มก็ได้

ต้มยำปลาม้า

ของเผ็ดๆ ที่หากินในเมืองกรุงได้ยากอีกอย่างก็คือ ไส้อ่อนผัดพริกแกง (100 บาท) หอมกลิ่นเครื่องแกง คุณสำราญบอกว่าสั่งเครื่องแกงจากเจ้าเก่าแก่ แม่กิมลั้ง ใช้มาตั้งแต่สมัยร้านซ้งอาหาร เมนูนี้ใส่ถั่วพูกับมะระขี้นกชิ้นเล็กๆ ด้วย เข้ากันดีมาก หรือจะกินเป็นไส้อ่อนลวกจิ้มหรือทอดกรอบก็ได้

เมนูพื้นบ้านอีกอย่างคือ กบทอดกระเทียม (120 บาท) ที่ทอดมาจนกรอบ ต้องบอกว่ากรอบจริงๆ กินได้ทั้งตัว มีหนังกบทอดซึ่งกรอบพอๆ กับหนังปลาเลย ทอดมาร้อนๆ ไม่อมน้ำมัน มีรสมีชาติ

ปิดท้ายด้วย ผัดแขนงคะน้าหมูกรอบ ใส่พริกใส่เห็ด (80 บาท) มาอีกจาน อร่อยอีกแล้ว ไม่เห็นมีจานไหนไม่อร่อยเลย

เมนูอื่นๆ ยังมีอีกมาก ไม่ว่าจะเป็น กุ้งแม่น้ำทอดเกลือ (ที่นี่ตัวไม่ใหญ่มากแต่เนื้อแน่นสด) ไข่เค็มผัดพริกขิง (อีกหนึ่งเมนูขึ้นชื่อ) ผัดกุยช่ายขาวเต้าหู้หมูกรอบ ฯลฯ

นี่คือร้านดีฝีมือขั้นเทพที่คนต่างถิ่นไม่ค่อยรู้จัก ผมยกให้เป็นร้านอร่อยแห่งปีเลยก็ว่าได้ ทำอะไรก็อร่อย มาแล้วรับรองไม่ผิดหวัง เชิญมาชิมได้ทุกวันไม่มีวันหยุด ร้านจะเปิด 2 ช่วง 11 โมงเช้าถึงบ่าย 2 โมง และบ่าย 4 โมง ถึง 4 ทุ่ม โทรสอบถามได้ที่ 08-6093-7618

สำราญโอชา

โดย นายเด่น(สำราญ) ธัญญเจริญ

ที่ตั้ง 888/14 ถ.ริมคลองชลประทาน ต.สามชุก อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี 72130

โทร 08-6093-7618

เปิดบริการ 11.00-14.00 และ 16.00-22.00 น. ทุกวัน ไม่มีวันหยุด

แนะนำ หมูกรอบคั่ว ปลาบู่นึ่งซีอิ๊ว ต้มยำปลาม้า ไส้อ่อนผัดพริกแกง ลูกชิ้นปลากรายผัดขี้เมา ปลาม้าสามรส ปลาซิวทอด กบทอดกระเทียม ผัดแขนงคะน้าหมูกรอบ

ช่วงคนแน่น 18.00-22.00 น.

Facebook สำราญโอชา สามชุก

คุณสำราญ ธัญญเจริญ
ปลาซิวทอด
ปลาม้าสามรส
ปลาบู่นึ่งซีอิ๊ว
หมูกรอบคั่ว
ไส้อ่อนผัดพริกแกง
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)

วุ้น ขนมหวานคลายร้อนที่หาทานได้ทั่วไป เมื่อก่อนมีอยู่ไม่กี่รสให้เลือกทาน เช่น วุ้นน้ำแดง วุ้นกะทิ และวุ้นมะพร้าวน้ำหอม แพ็กเกจของวุ้น จะเป็นถ้วยเล็กๆ ทรงเรขาคณิตบ้าง ทรงรูปสัตว์บ้าง ซึ่งเป็นแบบธรรมดาทั่วไป

ปัจจุบัน ผู้ประกอบการหลายคน เกิดไอเดียนำส่วนผสมต่างๆ อาทิ ขนมไทย ผลไม้ไทย มาเป็นส่วนผสม เกิดเป็นรสชาติใหม่ๆ ให้ผู้บริโภคได้ลอง อีกทั้งมีการคิดพัฒนาแพ็กเกจให้มีความโดดเด่น  เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้แก่ผู้บริโภค และเพิ่มมูลค่าของสินค้า

ที่ตลาดนัดแถวศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หน้าร้านร้านหนึ่ง มีลังโฟมใส่กล่องลูกชิ้น แต่ที่แปลกคือ ทำไมถึงแช่ไว้บนน้ำแข็ง จึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ กลับไม่ใช่ลูกชิ้นอย่างที่คิด เป็นวุ้นเสียบไม้แทนเสียนี่

“วุ้น*ชิ้น*สด” คือชื่อของวุ้นหน้าตาแปลกใหม่นี้ มีสองสามีภรรยาเป็นเจ้าของแบรนด์ คือ คุณนุ่น-วิภาดา มินาลัย อายุ 43 ปี และ คุณก๊อก-เจษฎา โยธาปาน อายุ 44 ปี

คุณนุ่นเล่าให้ “เส้นทางเศรษฐีออนไลน์” ฟังว่า เธอจบนิเทศศาสตร์ ส่วนสามีจบบริหารธุรกิจ เมื่อก่อนทำงานประจำ แต่ตอนนี้เป็นฟรีแลนซ์ทั้งคู่ โดยคุณก๊อก สามีของคุณนุ่นเป็นคนชอบทำอาหาร ทำขนมจุกจิก จึงคิดอยากจะทำวุ้นขายเนื่องจากชอบทาน

คุณก๊อกได้ไปเรียนทำขนม และมาแกะสูตรเองว่า ส่วนผสมเท่านี้ รสชาติจะออกมาเป็นแบบไหน จนได้เป็นวุ้นสูตรของตัวเอง ในตอนแรกจะทำขายเป็นรูปแบบทั่วไป อย่าง ทรงสี่เหลี่ยม รูปหัวใจ หรือแบบถ้วย แต่คุณนุ่นมองต่าง เสนอให้ทำเป็นลูกกลมๆ แล้วนำมาเสียบไม้เหมือนลูกชิ้นแทน แต่เนื่องจากเป็นวุ้นรูปแบบใหม่ แรกๆที่ทำ วุ้นยังไม่เป็นลูกกลม เนื่องจากวุ้นเกิดการแยกตัวบ้าง ไส้กับวุ้นแยกกันบ้าง ใช้เวลาปรับสูตรพักใหญ่ จนออกมาเป็นรูปเป็นร่างอย่างที่คิด

เมื่อทำเป็นรูปร่างได้แล้ว จึงลองให้คนรู้จักชิม ผลตอบรับค่อนข้างดี และเริ่มเปิดเป็นเพจขาย แต่ตอนนั้นไม่ได้ขายจริงจังนัก เพราะทำกันแค่สองคนสามีภรรยาเท่านั้น ทำให้วันหนึ่งผลิตสินค้าได้ประมาณ 150 กล่อง พอเริ่มมีคนสนใจ มาชวนไปออกบู๊ธ งานโคโค่นัท พาราไดซ์ ที่เดอะมอลล์บางกะปิ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา จึงเป็นจุดที่ทำให้คิดต่อยอดอยากทำเป็นธุรกิจจริงจัง

 

คุณนุ่น-วิภาดา มินาลัย อายุ 43 ปี และ คุณก๊อก-เจษฎา โยธาปาน อายุ 44 ปี
F0CB80C7-7875-4AB6-BA73-AB3DB2CCE8CB
3C332BC7-A0EA-4559-B6B8-5ADD2954B766

“นุ่นได้ไอเดียมาจากความคิดที่ว่า อยากให้เป็นของทานสะดวกๆ เพราะเวลาเราซื้อวุ้นมาทาน มันจะต้องใช้ช้อน ซึ่งบางเจ้าก็มีช้อนให้ บางเจ้าก็ไม่มี ทำให้ทานลำบาก เลยคิดว่าลองนำมาเสียบไม้เหมือนลูกชิ้นดูไหม น่าจะสะดวกและทานง่าย ไม่เลอะมือด้วย แล้วก็ยังไม่เห็นใครทำวุ้นเสียบไม้แบบนี้ เลยคุยกันและลงมือทำกับสามี แบ่งทำ 4 รอบในหนึ่งวัน จะผลิตได้ประมาณวันละ 150 กล่อง ถ้าขายหมดทั้ง 150 กล่อง รายได้เฉลี่ยก็ได้ประมาณหกพันกว่าบาทต่อวัน”

วุ้น*ชิ้น*สด” มีอยู่ด้วยกัน 10 รสชาติ ได้แก่ รสกะทิมะพร้าวอ่อน, กะทิมันม่วง, กะทิเผือกหอม, กะทิข้าวโพดหวาน, กะทิกล้วยบวชชี, กะทิฟักทองแกงบวด, กะทิลูกเดือย, กะทิขนุน, กะทิลำไยลูกเกด และ กะทิทับทิมกรอบ รสที่นิยมซื้อทานกันเป็นรสกะทิมะพร้าวน้ำหอม

โดยขายเป็น 1 กล่อง ( 3 ไม้ ) 1 รสชาติ ราคากล่องละ 50 บาท ลูกค้าที่มาซื้อมีทุกเพศทุกวัย สามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่เพจ วุ้นชิ้นสด, โทร. (081) 719-5129 และบู๊ธงานอาหารต่างๆ

“ในอนาคตก็อยากขยายตลาดเพิ่มนะ แต่ไม่คิดอยากจะขายเป็นแฟรนไชส์ อาจจะเอาไปวางขายตามร้านอาหาร หรือ สวนอาหาร แต่จะใช้วิธีการแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ สำหรับผู้ที่สนใจจะขาย วุ้น*ชิ้น*สด โดยลงทุนแค่ทำเลในการขาย ค่าไฟ และค่าเช่าตู้แช่วุ้นที่ทางเราจะซื้อไปวางที่ร้านให้เท่านั้น” คุณนุ่น กล่าว