มาต่อกันในอาทิตย์นี้กับขนมไทยและฝรั่งสุดโปรด เหมาะสำหรับเป็นของกำนัลในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งทั้งสองร้านนี้ ครอบครัวเราคุ้นเคยกันดีและเป็นขาประจำมาตั้งแต่แรก นับเป็นเจ้าโปรดของคุณชายถนัดศรีเลยทีเดียว

เจ้าแรกคือ ลูกจันทร์ ร้านขนมไทย (และฝรั่ง) สารพัดอย่างมากกว่า 100 ชนิด ไม่ค่อยซ้ำใคร สามารถจัดใส่ในกระเช้าได้หลากหลายรูปแบบ ร้านนี้เป็นของคุณลูกจันทร์และคุณประเสริฐ สุวรรณสัญญา คุณลูกจันทร์คือผู้สืบทอดตำรับขนมไทยเก่าแก่จากคุณย่า (ร้านเทียมจันทร์)

ร้านลูกจันทร์ปักหลักขายอยู่ที่ (หน้าบ้านเก่าของปิ่นโตเถาเล็ก) ข้างร้านอาหารช้อนเงินช้อนทอง ริมถนนพระรามที่ 6 คลองประปา สามเสน (ติดศูนย์ป้องกันสนิมคาดูแลค) ตั้งแต่ปี 2532 และยังมีอีกสาขาหนึ่งอยู่ใกล้กัน ข้างร้านสามเสนวิลลา ใกล้กับศูนย์การแพทย์วิชัยยุทธ (ตึกใหม่)

นึกอะไรไม่ออกให้มาที่ลูกจันทร์ มีขนมสารพัดชนิดอัดแน่นเต็มร้าน ของอร่อยที่ห้ามพลาดคือ ข้าวตังเสวย นาบไฟแบบโบราณด้วยแผ่นเหล็กแบนๆ จนได้ข้าวตังแผ่นกลมๆ บางๆ กรอบๆ กินเพลินยั้งไม่อยู่ ขายในกล่องทรงกระบอกใสมี 2 ขนาด (95-190 บาท)

อีกอย่างที่ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยคือ ข้าวตังกรอบ ทำจากข้าวตังทอด ทาน้ำพริกเผาโรยหน้าด้วยหมูหยองและเอาไปอบอีกที มีทั้งชนิดข้าวตังเป็นเม็ดๆ กับชนิดข้าวละเอียด ไม่เป็นเม็ด ใส่ในถุงเล็กกับกล่องกลมใหญ่ (แบบเม็ด ถุงละ 70 บาท กล่องละ 130 บาท และแบบข้าวละเอียด ถุงละ 60 บาท กล่องละ 100 บาท)

ของกินเล่นขึ้นชื่ออีกอย่างคือ เมล็ดบัวผัด คัดเม็ดใหญ่แก่จัดเป็นพิเศษ นำมาทำหลายขั้นตอน คุณลูกจันทร์บอกว่าถ้าไม่จุดธูปทำไม่สำเร็จ เพราะต้องแกะเมล็ดบัวแล้วเอาไปต้ม นึ่ง ล้างน้ำ ทอด อบ แล้วราดน้ำตาลผสมน้ำปลาอีกทีจนหอมกรอบนุ่มอร่อย (ถุงเล็ก 65-130 บาท ถุงครึ่งกิโลกรัม 350 บาท ถุง 1 กิโลกรัม 700 บาท ขวดโหลแก้ว 200-350-650-850-950 บาท)

ยังมีของโปรดของผมที่ไม่ใช่ขนม แต่เป็น ปลาสลิดทอดกรอบ กรอบมัน เคี้ยวเพลินเจริญอาหาร ไม่มีกลิ่นโคลนแม้แต่น้อย ควรจัดเป็นของกำนัลในกระเช้าด้วย (ถุง 160 บาท กล่อง 170-250 บาท)

สิ่งที่ควรซื้อกินเล่นทันทีคือ ขนมเอแคลร์แบบฝรั่ง (กล่องละ 30 บาท) หอมนมเนย แป้งนุ่มนิ่ม ไส้ไม่หวานมาก และมีขนมขบเคี้ยวน่าลิ้มลอง ชีสธัญพืช และผลไม้รวม (ถุงละ 65 บาท กล่องละ 150-260 บาท)

นอกจากนี้ ยังมีขนมอื่นอีกมากมาย ถือเป็นศูนย์รวมขนมไทยดั้งเดิม เช่น ขนมหน้านวล (45 บาท) ที่หากินยาก ข้าวตังอบเนย ขนมปังกรอบโรยหน้าหมูหยอง ขนมปังขาไก่ ขนมเบื้องกรอบ ทองม้วน ทองพับ ลูกหยีคลุก ลูกหยีกวนแบบไม่มีเม็ด ผลไม้แช่อิ่มต่างๆ เช่น มะม่วง มะขาม กระท้อน ตลอดจน คุกกี้เม็ดบัว คุกกี้งา คุกกี้เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ขนมกล้วย ขนมหยกมณี เทียนสลัดงา พายไก่ พายทูน่า

และยังมีขนมของกินใหม่ๆ เช่น ข้าวเม่า เค้กมะตูม (กล่องละ 160 บาท) น้ำพริกสูตรโบราณอย่าง น้ำพริกปลาย่าง น้ำพริกเผากุ้ง และ หลนปูเค็ม ที่มีผักสดให้เสร็จสรรพ กระเทียมโทนดอง ขิงดอง หน้าร้อนยังมีกระท้อนแช่อิ่ม บางวันก็มีไส้กรอกสูตรเยอรมันแท้ๆ ที่สมัยก่อนขายแถวห้างไทยไดมารูมาฝากวางขายอีกด้วย

ขนมเมอร์แรงก์ รสกาแฟ ,ขนมเมอร์แรงก์ รสชาเขียว ,ขนมเมอร์แรงก์ รสดั้งเดิม
ขนมเอแคลร์
ข้าวตังเสวย,ขนมหน้านวล,เมล็ดบัวผัด

ส่วนกระเช้าของขวัญมีให้เลือกหลายแบบทั้งขนาดเล็ก ใหญ่ สูง เตี้ย กว้าง เลือกจัดขนมได้มากน้อยตามใจชอบ ร้านลูกจันทร์เปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 08.45-20.00 น. ส่วนวันอาทิตย์ปิด 6 โมงเย็น

อีกหนึ่งเจ้าโปรดตลอดกาลของครอบครัวปิ่นโตเถาเล็ก พีเอ็น คุกกี้ เฮาส์ (PN Cookies House) กับ ขนมเมอแรงก์ อบกรอบ ทำสดใหม่อยู่เสมอจากไข่ขาว น้ำตาล เม็ดมะม่วงหิมพานต์บด และอัลมอนด์สไลซ์บางๆ อร่อยหอมหวานมัน ด้วยความที่เนื้อบางเบาจึงกินเพลินหยุดไม่ได้จริงๆ

ถ้าแฟนๆ ไม่เชื่อว่าเมอแรงก์ของ PN Cookies กินเพลินแค่ไหน ให้ไปที่สาขาใหม่เพิ่งเปิดมาไม่ถึง 2 ปี ตรง ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามสแควร์วัน ถนนพระรามที่ 1 ที่นี่มีให้ทดลองชิมฟรี 1 ชิ้นด้วย

มีให้เลือกถึง 3 รสชาติคือ รสดั้งเดิม รสกาแฟ และ รสชาเขียว บรรจุอยู่ในห่อสีชมพูสวยหวาน แบ่งเป็น 3 ช่อง ช่องละ 9 ชิ้น รวมทั้งหมด 27 ชิ้น หนักประมาณ 1 ขีดนิดๆ แต่มีน้ำตาลอยู่แค่ 1 ช้อน (รสดั้งเดิมและรสกาแฟ 95 บาท รสชาเขียว 105 บาท / มีกล่องขนาด 2 ห่อ – 4 ห่อ – 10 ห่อ)

ร้านขนมไทยลูกจันทร์

อีกทั้งยังโทรสั่งที่บ้านได้เหมือนเดิม ใช้เบอร์มือถือเดียวกันทั้งที่บ้านและที่ร้าน คือ 09-2098-6565 สั่งได้ทุกวันตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม และไปรับได้ที่ บ้านเลขที่ 406 หมู่บ้านชลนิเวศน์ ซอยชลนิเวศน์แยก 8(4) ถนนประชาชื่น แถวคลองประปา ซึ่งที่บ้านจะเปิดให้รับขนมตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น ซึ่งที่บ้านมีทั้งเมอแรงก์ในถุงและกล่องใสแบบดั้งเดิม (ถุงใส 170-340 บาท / กล่อง 380 บาท) กับในห่อสีชมพูแบบใหม่ด้วย

สุดท้ายนี้ ปิ่นโตเถาเล็กขออวยพรส่งท้ายปีเก่าล่วงหน้า ให้แฟนๆ มีความสุขกายสบายใจ รับมือกับสภาวะเศรษฐกิจปีหน้าได้เป็นอย่างดีถ้วนทั่วทุกตัวคนนะจ๊ะ

ลูกจันทร์

โดย คุณลูกจันทร์-คุณประเสริฐ สุวรรณสัญญา

ที่ตั้ง สาขา 1 – 198/20 ข้างร้านช้อนเงินช้อนทอง ถนนพระรามที่ 6 สามเสนใน พญาไท กรุงเทพฯ 10400

โทร 0-2278-1193, 0-2617-0896

สาขา 2 – เยื้อง รพ.วิชัยยุทธ ฝั่งใต้ 47 ถนนเศรษฐศิริ สามเสนใน พญาไท กรุงเทพฯ 10400

โทร 08-7544-6907

เปิดบริการ 08.45-20.00 น. (อาทิตย์เปิดถึง 18.00 น.) ทุกวัน

แนะนำ ข้าวตังเสวย ข้าวตังกรอบ เมล็ดบัวผัด ปลาสลิดทอดกรอบ ขนมเอแคลร์ ชีสธัญพืชและผลไม้รวม ขนมหน้านวล

พีเอ็น คุกกี้ เฮาส์ (PN Cookies House)

โดย คุณชวนันท์ (นุ่น) กิจสัมพันธ์

ที่ตั้ง ชั้น 5 ห้อง 5008 ศูนย์การค้าสยามสแควร์วัน (Siam Square One) เลขที่ 388 ถนนพระราม 1 ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

โทร 09-2098-6565

เปิดบริการ 11.00-21.00 น. ทุกวัน

แนะนำ เมอแรงก์ (Meringue) คุกกี้

สาขาที่บ้าน เลขที่ 406 หมู่บ้านชลนิเวศน์ แยก 8(4) ถนนประชาชื่น ติดต่อเบอร์เดียวกันได้เลย สั่งได้ตั้งแต่ 08.00-21.00 น.

พีเอ็น คุกกี้ เฮาส์ (PN Cookies House)
ปลาสลิดทอดกรอบ
น้ำพริกปลาทูผัด

อาทิตย์นี้ไปเจอะเจอร้านอาหารไทยพื้นบ้านสุดแสนประทับใจจนอยากรีบบอกต่อ เพิ่งเปิดมาปีกว่า คุณยายคนทำอายุรวมกันมากกว่า 250 ปี ขายเป็นสำรับเมนูตามใจแม่ครัว ไปแล้วเหมือนได้กินข้าวกับญาติผู้ใหญ่ใจดี ร้านนี้มีชื่อว่า บ้านตาเรือง ขอขอบคุณ น้องแทนไร้เทียมทาน ที่แนะนำร้านดีมีเอกลักษณ์เช่นนี้นะครับ

ตาเรืองคือชื่อคุณทวดของน้องหวาย สมิทธิ เกษสกุล ตาเรืองมีลูกๆ มากถึง 10 คน แต่ก่อนนั้นบ้านนี้มีที่ทางมากมาย (ตาพัน พ่อตาเรืองคือเจ้าของที่แถวแฟลตดินแดงในตอนนี้) ทำนาอยู่บริเวณลำรางนาซอง คือซอยสถานทูตจีนในปัจจุบัน สมัยก่อนจูงควายไปเลี้ยงใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิได้

ตัดภาพมายุคไทยแลนด์ 4.0 น้องหวาย เหลนของตาเรือง ลาออกจากงานประจำเพื่อมาดูแลคุณยายคนอื่นๆ เนื่องจากคุณยายขจรคนสุดท้องได้จากน้องหวายไป ก็เลยคิดได้ว่าเวลาของครอบครัวมีค่ามากกว่าสตางค์

หลังจากลาออกมาสักพัก น้องหวายเล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดีว่า ภายหลังรู้ว่าสตางค์ก็มีค่าพอๆ กับครอบครัว จึงเปิดบ้านให้คุณยายขายขนม ทำไปทำมาช่วงแรกจึงเพิ่มเป็นสำรับอาหาร 2 อย่าง คิดแค่ 100 บาท ขายไปสักพักกลัวว่าคุณยายจะเหนื่อยจึงเปิดขายเหลือแค่ วันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น

การมาร้านบ้านตาเรืองต้องโทรจองล่วงหน้าเป็นวันๆ กับ น้องหวาย ที่ เบอร์ 06-3551-6554 โดยจะขายเป็นสำรับอาหารไทยพื้นบ้าน 4 อย่าง (สำรับหนึ่งกินได้ 2-4 คน) หมุนเวียนเปลี่ยนไปในแต่ละวัน (มีประมาณเกือบ 30 อย่าง) ไม่มีเมนูให้สั่งนะจ๊ะ ซึ่งคิวจองไม่ยุ่งยากอะไร (ณ ตอนนี้)

ตัวบ้านจุคนได้หลายสิบคน เปิดขายตั้งแต่ 11 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ขอแนะนำว่าให้ไปตั้งแต่ร้านเปิด หรือไปหลังบ่ายโมงกว่าจะสะดวกสบายไม่แน่นจนเกินไป

พอได้วันนัดแล้ว ให้มาที่ ซอยสถานทูตจีน รัชดาภิเษก 3 ที่อยู่เลยห้างฟอร์จูนไปเพียงเล็กน้อย เลี้ยวเข้าซอยไปแล้วให้มองทางขวาหา ซอยรัชดา 3 แยก 14 จุดสังเกตปากซอยแยกคือร้านสะดวกซื้อ 7-11 ร้านที่ 3 นับจากถนนใหญ่ และมีศาลพระพรหมตั้งอยู่ปากซอยด้วย

ซอยรัชดาฯ 3 แยก 14 นี้เป็นซอยตันสั้นๆ ไม่พลุกพล่าน เข้าไปเกือบท้ายซอยจะเห็นร้านบ้านตาเรืองอยู่ในเรือนหลังคาทรงจั่วใต้ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นทางซ้ายมือ มีป้ายชื่อร้านเล็กๆ ติดอยู่ จอดรถริมซอยได้เลย (ถามกับที่ร้านได้) แถวนั้นเป็นบ้านญาติพี่น้องกันทั้งละแวก

เข้ามาในร้านรู้สึกผ่อนคลายเหมือนอยู่บ้านสวน มีต้นไม้ใหญ่น้อย ตกแต่งด้วยไม้และกระเบื้องดินเผา ประดับประดาด้วยกระด้ง ข้อง หมวกชาวนา ตะกร้าจักสาน โมบายล์ปลาตะเพียนสาน ผ้าขาวม้า และรูปภาพตาเรืองตอนหนุ่มและลูกๆ ตั้งโต๊ะทั้งในห้องปรับอากาศและระเบียงด้านนอก ตรงฝ้าเพดานเหนือเคาน์เตอร์เขียนชื่อคุณตาคุณยายทั้ง 10 คนไว้ด้วย

พอมาถึงร้านก็แจ้งชื่อเราที่จองได้เลย ก่อนอื่นให้สั่งเครื่องดื่มชื่อเก๋ๆ จากในเมนูแผ่นใหญ่ เช่น ชาดำจี๊ดจ๊าด (45 บาท) น้ำมะขามพริกเกลือ (59 บาท) น้ำดอกบ๊วยบานแฉ่ง (59 บาท) จากนั้นเขาก็จะเริ่มเสิร์ฟอาหารเป็นสำรับมี 4 อย่างกับข้าวกล้อง 1 หม้อเล็ก

ในวันนั้นประกอบด้วย น้ำพริกปลาทูผัด เสิร์ฟมาบนกระจาดสาน คล้ายแจ่วแต่ไม่มีปลาร้า ปรุงรสจัดๆ เค็มเปรี้ยวหอม มีมะนาวให้บีบเพิ่ม แกล้มด้วยไข่ต้มยางมะตูม หมูสวรรค์หอมลูกผักชี และผักสด

ครอบครัวตาเรือง
ผัดพริกกุ้งมะพร้าวขูด

ส่วนกับข้าวอีก 3 ชนิดจะเสิร์ฟในจานวางอยู่บนถาดสังกะสีเคลือบ มีตั้งแต่ ต้มไก่ใบมะขามอ่อน เปรี้ยวเค็มหอมรสพื้นบ้านแท้ๆ ชื่นใจ ผัดเขียวหวานสันคอหมู ที่ถูกใจมาก รสมือเหมือนที่ผมกินตอนเด็ก เครื่องแกงหอมๆ นั้นคุณยายซื้อมาปรุงเพิ่ม เติมลูกผักชียี่หร่า ไม่มีรสหวาน ส่วนสันคอหมูจะรวนกับกะทิและน้ำปลา นุ่มหอมมีรสชาติเข้าเนื้อ

และอย่างสุดท้ายในสำรับคือเมนูยอดนิยม กุ้งทอดน้ำปลาหวาน จะมีมาร่วมสำรับบ่อยๆ น้ำปลาหวานปรุงด้วยน้ำตาลปี๊บ ใส่หอมเจียวซึ่งเจียวกับน้ำมันหมู (ซึ่งสมัยก่อนแทบทุกบ้านจะใช้น้ำมันหมูกันเกือบทั้งนั้น) สนนราคาสำรับประจำวันนี้คือ 560 บาท กินได้ 2-4 คน ซึ่งไม่แพงเลย

ปิ่นโตเถาเล็กขอร้องล่วงหน้าให้คุณยายทำอาหารอื่นๆ ในสำรับมาเป็นตัวอย่างอีกหลายจาน มีตั้งแต่ กะปิคั่วแนมด้วยผักสด (ไม่หวานถูกใจมาก) ใช้กะปิสองคลองจากบางปะกงเท่านั้น ผัดพริกกุ้งมะพร้าวขูด คืออาหารของครอบครัว พริกแกงเน้นผิวมะกรูด ใส่กุ้งบุบกับครกเป็นชิ้นเล็กๆ กับมะพร้าวแก่ขูด รสชาติไม่หวานเช่นกัน อีกอย่างคือ หมูตุ๋นซีอิ๊ว หมูสันคอกับสามชั้นติดมัน (คุณยายชอบ) ทำคล้ายต้มเค็มรสเข้มๆ น่าเสียดายที่วันนั้นไม่มีหมูกรอบจึงไม่ได้ลิ้มลอง หมูกรอบคั่วใบกะเพราพริกแห้ง

สำรับอีก3อย่างประจำวัน

สนนราคาสำรับอื่นๆ ก็มีตั้งแต่ 580-600-610-640 บาท (ราคาแพงสุดมีปลากะพงเป็นวัตถุดิบด้วย) เมนูในสำรับหมุนเวียนอื่นๆ ก็มีเช่น แกงเลียง แกงส้ม แกงเผ็ดฟักทอง ต้มกะทิสายบัวใส่ปลาทู

ลืมบอกไปว่าแม่ครัวอาหารคาวคือคุณยายศิริ อายุ 80 ปี (ตอนนี้น้องหวายกับคุณแม่มาช่วยทำอาหารด้วย) การเตรียมวัตถุดิบพิถีพิถันสุดสุด ซื้อมะพร้าวมาคั้นกะทิเอง ปลาดุก ปลาช่อน จะซาวด้วยน้ำมะขามหลายครั้งจนหมดคาว ไม่มีเมือก

นอกจากนี้ยังมีเมนูจานเดียวนอกสำรับ เผื่อสำหรับผู้ที่ยังไม่จุใจ คือ ผัดหมี่ศิริมงคล หมี่ผัดซอสที่ทำจากมะขามเปียก พริกแห้ง หอมแดง น้ำตาลมะพร้าว โปรดสังเกตว่าใช้ชื่อเมนู ศิริมงคล ไม่ใช่สิริมงคล เพราะตั้งชื่อตามคุณยายศิริ ที่ผัดหมี่ให้หวายได้กินตั้งแต่ยังเล็ก

3.ตัวช่วยคนช่างกิน เพราะจิงจูฉ่ายมีสรรพคุณช่วยในเรื่องของการขับลมในลำไส้และกระเพาะอาหาร จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยลดอาการจุกเสียด แน่นเฟ้อ เพราะอาหารไม่ย่อยจากมื้ออาหารแบบจัดหนักได้

4.ต้านมะเร็งร้าย ขอย้ำว่าไม่ใช่การรักษาโรคมะเร็ง! เพียงแต่มีการวิจัยที่นำใบจิงจูฉ่ายประมาณ 1 กำมือ มาปั่นหรือตำคั้นน้ำเพื่อรับประทานเช้า-เย็นก่อนมื้ออาหารสัก 1 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลา 2–3 เดือน ว่ากันว่าจะสามารถช่วยต้านทานต่อเซลล์มะเร็งได้ แต่ยังไงก็ต้องดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย และเลือกกินอาหารที่ดีด้วย

5.สรรพคุณทางยาอื่นๆ ที่น่าสนใจ ว่ากันว่าจิงจูฉ่ายมีสรรพคุณช่วยขับพิษ แก้อาการอักเสบของผิวหนัง ช่วยลดอาการผดผื่นคัน นอกจากนี้ยังเป็นพืชที่มีโซเดียมต่ำเหมาะกับผู้ที่เป็นโรคไต และยังช่วยในการฆ่าไวรัส เพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคมาลาเรียได้อีกทาง

อิ่มของคาวแล้ว ที่ร้านยังมีขนมไทยอีกด้วย ทำเปลี่ยนไปเรื่อยๆ วันนั้นมี ครองแครงน้ำกะทิ ข้าวเหนียวสังขยา กล้วยบวชชี (22 บาทรวด) ตะโก้ (35 บาท) ข้าวเหนียวมะม่วง (80 บาท) และที่ไม่เหมือนใครคือ แตงโมหมูหยองผัด (55 บาท) ซึ่งก็คือปลาแห้งแตงโม แต่คุณยายทวี (พี่ใหญ่สุดอายุ 87 ปี) เปลี่ยนจากปลาแห้งเป็นหมูหยองผัดเพื่อไม่ให้มีรสคาว ส่วนตะโก้นั้นเป็นฝีมือคุณยายสมจิตต์

น้องหวายฝากบอกมาว่าต่อไปอาจจะขยายเวลาเปิดไปจนถึงทุ่ม 2 ทุ่มอีกด้วย จากประสบการณ์ส่วนตัว ใครอยากไปชิมให้รีบตามไป อย่าปล่อยให้เนิ่นนาน เพราะของดีอย่างนี้จะมีคนบอกต่อ ยกโขยงกันไปชิม แต่ตอนนี้ยังจองง่ายอยู่นะจ๊ะ

หมูตุ๋นซีอิ๊ว
คุณยายทวี อายุ 87 ปี
คุณยายทวี อายุ 87 ปี
กะปิคั่ว
กะปิคั่ว
ขนมไทยประจำวัน

บ้านตาเรือง

โดย สมิทธิ (หวาย) เกษสกุล

ที่ตั้ง 1151/3 รัชดาภิเษก ซอย 3 แยก 14 เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร

โทร 06-3551-6554

เปิดบริการ 11.00-17.00 น. เสาร์-อาทิตย์

หยุด จันทร์-ศุกร์ และวันนักขัตฤกษ์

แนะนำ อาหารไทยพื้นบ้านรสมือคุณยาย เป็นสำรับ 4 อย่าง และมีขนมไทยขายเพิ่มต่างหากด้วย

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
เนื้อติดซี่โครงหมักซอส(Yang Nyum Galbi)

เด็กเจเนอเรชั่นใหม่วัยรุ่นยุคนี้รู้จักอาหารเกาหลีกันเป็นอย่างดี ถ้าอยากลิ้มลองรสชาติแท้ๆ ของเกาหลีแล้วล่ะก็ ต้องบุกมาถึงย่านสุขุมวิท

ผมเพิ่งค้นพบร้านอาหารเกาหลีหน้าตาดีทันสมัย อยู่ ตรงข้าม หมู่บ้านญี่ปุ่น นิฮอนมาชิ (Nihonmachi) สุขุมวิท 26 ที่อยู่ด้านหลังโครงการ เค วิลเลจ (K Village) มีชื่อว่า ซอราเบิล (Sorabol) (มาจากชื่อเมืองหลวงเก่าในสมัยอาณาจักรชิลลา) ร้านนี้โด่งดังในหมู่คนเกาหลี เป็นที่สำหรับเลี้ยงต้อนรับบุคคลสำคัญรวมถึงดาราศิลปินเกาหลีอีกด้วย

ตัวร้านอยู่ในตึกที่สร้างขึ้นมาต่างหาก มีที่จอดรถด้านหน้า หรือจะจอดริมถนนโดยรอบ (ซึ่งต้องเสียเงินค่าจอด) ได้ต่างหาก ข้างในร้านสว่างไสวตกแต่งด้วยไม้สลับกับผนังและพื้นสีขาว แบ่งซอยเป็นห้องเล็กใหญ่หลายห้องทั้ง 2 ชั้น

ร้านนี้เจ้าของเป็นคนเกาหลีที่มาตั้งรกรากในเมืองไทย เคยทำร้านรับทัวร์เกาหลี (โคเรียน่า) อยู่ที่พัทยา และย้ายมากรุงเทพฯ (ทำร้านอีกชื่อหนึ่ง) อยู่ที่สุขุมวิท 22 จนในที่สุดมาเปิดร้านซอราเบิลที่นี่นาน 10 กว่าปีแล้ว โดยตอนนี้มีลูกชายชื่อคุณจงซุกซู หรือคุณจอห์น รุ่นที่ 2 มาช่วยดูแลร้านด้วย

วันที่เราไปชิม มีมาดามคนเกาหลีซึ่งสนิทกับคุณแม่ของคุณจอห์นมาคอยต้อนรับ ส่งผู้จัดการชื่อนาย ซึ่งพูดไทยได้คล่องมาแนะนำอาหารเกาหลี

จุดเด่นของร้านซอราเบิล คือพนักงานจะบริการด้วยหน้าตายิ้มแย้ม อัธยาศัยดี และมาช่วยจัดการปิ้งย่างเนื้อบนเตาอันเป็นเมนูหลักประจำร้านให้ทุกโต๊ะ

ข้อดีของการมาร้านเกาหลีเช่นนี้ คือจะมีเครื่องเคียงของกินเล่นใส่ในถ้วยเล็กๆ ให้ฟรี รวมถึงกิมจิที่ร้านนี้ทำเองด้วย มีทั้งกิมจิหัวไชเท้า กิมจิผักกาดขาว ยำผักโขม (หมายถึงยำสไตล์เกาหลีใส่น้ำมันงา) ยำมะเขือยาวซอยเส้นเล็กๆ ยำถั่วงอก ยำต้นหอม สลัด ผัดลูกชิ้นปลา และแพนเค้กผักรวม ซึ่งกิมจิมี 2 ชนิด หมัก 2-3 วันสำหรับกินแกล้ม และหมัก 7-10 วันสำหรับนำมาปรุงเป็นซุปหรือผัดอาหาร ซึ่งลูกค้าเกาหลีนิยมพกกิมจิหมักนานเป็นปีติดตัวมากินที่ร้านเองด้วย

ก่อนอื่นให้สั่งเมนูเสริมมาลอง ได้ความหลากหลายของรสชาติ ร้านซอราเบิลมีเมนูเด่นมากมายทั้ง แพนเค้กใส่ต้นหอมและหมึกกระทะร้อน (Haemulpajeon) (280++) ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบทั้งคนญี่ปุ่นและคนไทย อีกทั้ง ไข่ตุ๋นในชามร้อน หรือไข่ตุ๋นทรงเครื่องเกาหลี คเยรันจิม (Gaelan Jjim) (130++) ใส่ไข่ 2 ฟอง ต้นหอมและปรุงด้วยซีอิ๊วเกาหลี ส่วนคนชอบกินเนื้อให้สั่ง ยำเนื้อดิบเกาหลี ยุค ฮเว (Yukhwe) (380++) ใช้เนื้อออสเตรเลียสดๆ ซอยเป็นเส้นๆ ไม่คาวเลย คลุกงาขาวและต้นหอม กินกับไข่แดงดิบ กระเทียมสด และสาลี่ซอยเป็นเส้นๆ เช่นกัน

แน่นอนว่าเมนูหลักคือบาร์บีคิวปิ้งย่างเกาหลีบนเตาถ่านซึ่งฝังอยู่ในโต๊ะ มีเครื่องดูดควันเสร็จสรรพ ซึ่งที่นี่จะเปลี่ยนตะแกรงให้ตลอดเวลา ไม่มีควันโขมงให้เสียอารมณ์

สารพัดเมนูเนื้อและหมูมีหลากหลาย ที่ห้ามพลาดเลยคือ เนื้อติดซี่โครงหมักซอส (Yang Nyum Galbi) (560++) ซี่โครงเนื้อออสเตรเลียทำเป็นม้วนกว้างๆ หนาๆ พันรอบกระดูก พนักงานจะใช้กรรไกรตัดเป็นชิ้นๆ และนำไปย่าง

ข้าวยำเกาหลีหน้าเนื้อดิบ
ไข่ตุ๋นในชามร้อน
ซุปกิมจิหมูเต้าหู้ กิมจิจิเก

ข้อมูล

Sorabol

โดย คุณจง ซุก ซู (จอห์น)

ที่ตั้ง 12/73 ซอยอรรถกระวี 1 สุขุมวิท 26 คลองตัน คลองเตย กรุงเทพฯ 10110

โทร 0-2204-1203 ถึง 4

เปิดบริการ 11.00-22.00 น. ทุกวัน

แนะนำ

อาหารเกาหลีทั้งบาร์บีคิวปิ้งย่าง และเมนูอื่นๆ

เนื้อติดซี่โครงหมักซอส เนื้อติดซี่โครงแบบไม่หมักซอส เนื้อริบอาย เนื้อสไลซ์หมักซอส (บุลโกกิ) ซี่โครงหมูหมักซอส หมูสามชั้นสไลซ์บาง ซุปกิมจิหมูเต้าหู้ แพนเค้กใส่ต้นหอมและปลากระทะร้อน ไข่ตุ๋นในชามร้อน ยำเนื้อดิบเกาหลี ข้าวยำเกาหลีหน้าเนื้อดิบ

ที่มา : มติชน

ผู้เขียน : ปิ่นโตเถาเล็ก

เนื้อติดซี่โครงแบบไม่หมักซอส (Saeng Galbi)
เนื้อย่างดิบเกาหลี ยุค ฮเว (Yukhwe)
แพนเค้กต้นหอม หมึกกระทะร้อน
กวยจั๊บน้ำข้น

ตั้งแต่คุณชายถนัดศรีเริ่มแนะนำร้านในคอลัมน์เชลล์ชวนชิมเมื่อปี 2504 ผ่านมา 58 ปี ยังมีอีกหลายร้อยร้านดั้งเดิมที่ย้ายหาบไปอยู่ตามที่ต่างๆ ซึ่งปิ่นโตเถาเล็กคงใช้เวลานานเป็นปี ทำภารกิจตามหาร้านตกสำรวจเหล่านี้ว่าไปอยู่แห่งหนใดบ้าง

อาทิตย์นี้มีอีกร้านในตำนานนานกว่าครึ่งศตวรรษมาแนะนำ คือร้านกวยจั๊บน้ำข้นทีเด็ดซึ่งได้ตราเชลล์ชวนชิมการันตีความอร่อยจากคุณชายถนัดศรีเมื่อ พ.ศ.2516 ปัจจุบันนี้ใช้ชื่อว่า กวยจั๊บน้ำข้นเจ้าเก่าโคลีเซี่ยม อันบ่งบอกว่าเจ้านี้เคยอยู่แถวโรงภาพยนตร์โคลีเซี่ยมตรงย่านอุรุพงษ์-ยมราชมาก่อน

โดยตอนนี้ได้ย้ายนิวาสสถานมาอยู่ที่อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ในย่านบางใหญ่ แถว ต้นซอยหมู่บ้านบัวทอง นานเกือบ 20 ปีแล้ว ทำเลที่ตั้งไปมาสะดวกมาก เพราะใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า MRT สุดท้ายของสายสีม่วง ชื่อว่า สถานีคลองบางไผ่

ถ้านำรถมาให้วิ่งมาจนสุดถนนรัตนาธิเบศร์ ขึ้นทาง ต่างระดับบางใหญ่ เข้า ถนนวงแหวนรอบนอก กาญจนาภิเษก (ทางหลวงพิเศษหมายเลข 9) มุ่งหน้าไปทางสุพรรณบุรี พอเข้าถนนวงแหวนรอบนอกแล้วให้อยู่ทางคู่ขนานด้านนอกเลย ผ่านบิ๊กซีบางใหญ่ ปั๊มน้ำมัน ปตท. และพอถึงศูนย์บริการโตโยต้าให้ชิดซ้ายแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยหมู่บ้านบัวทอง ที่อยู่ก่อนถึงสะพานลอยคนข้ามตรงสถานีรถไฟฟ้า เข้าไปประมาณ 250 เมตร ก็จะเห็นร้านกวยจั๊บน้ำข้นเจ้าเก่าโคลีเซี่ยม อยู่ในตึกแถวด้านขวามือ (ตรงข้ามกับร้านก๋วยเตี๋ยวเรือโกแบ๋งบางกร่าง)

ส่วนเรื่องที่จอดรถนั้นให้จอดริมซอยซึ่งยากหน่อย ปิ่นโตเถาเล็กใช้วิธีมาจอดข้าง 7-11 ฝั่งตรงข้ามด้านซ้าย แล้วเข้าไปอุดหนุนซื้อของในร้านสะดวกซื้อ แล้วเดินข้ามมาชิมกวยจั๊บ รีบทำเวลาเร็วๆ ก็สะดวกดีนะจ๊ะ

กวยจั๊บน้ำข้นเจ้าเก่าโคลีเซี่ยม สืบทอดมาถึงรุ่นลูกโดยคุณอัมพร วงศ์คงมั่นสกุล ร้านนี้นับเป็นหนึ่งในร้านโปรดของพ่อ สังเกตได้จากรูปถ่ายที่ติดไว้เต็มร้าน คุณซ้งแห่งข้าวปิ่นเงินได้ส่งกวยจั๊บเจ้านี้มาช่วยงานสวดพระอภิธรรมของพ่อตลอดเกือบทุกคืน

ของอร่อยร้านนี้ย่อมต้องเป็นกวยจั๊บน้ำข้นใส่หมูกรอบและเครื่องสารพัด ซึ่งคุณอัมพรจะตื่นตั้งแต่ตี 4 ครึ่งมาเตรียมล้างทำความสะอาดเครื่องใน ปรุงน้ำกวยจั๊บ ซึ่งสูตรน้ำข้นนั้นจะไม่ใส่เครื่องยาจีน ไม่ใช้ผงพะโล้ แต่เน้นพริกไทย กระเทียม รากผักชี ซีอิ๊วดำและซอสญี่ปุ่น แค่นี้ก็เข้มข้นหอมอร่อยแล้ว

 

ส่วนเส้นกวยจั๊บนั้นก็หนึบอร่อย ใส่เครื่องเคราสารพัดทั้งเต้าหู้ หมูแล่เป็นชิ้นๆ ไส้ ตับหนานุ่มชิ้นโตๆ กระเพาะหอมนุ่ม หัวใจ ไข่ และทีเด็ดที่ห้ามพลาดเลยคือ หมูกรอบ สนนราคาชามละ 50-60 บาท (แนะว่าให้สั่ง 60 บาทไปเลยจึงจะจุใจ) นอกจากนี้เขายังมี กวยจั๊บน้ำใส (50-60 บาท) อีกด้วย หนักพริกไทยหอมๆ เผ็ดๆ เหมือนเวลากินที่เยาวราชเลย

พูดถึงหมูกรอบเจ้านี้มีดีที่เนื้อเยอะ มันน้อย หนังกรอบหอม โดยจะเลือกหมูพื้นท้องส่วนที่ไม่มันมาก ต้มนานชั่วโมงครึ่งและเอาส้อมจิ้มทาเกลือให้มีรสเค็มนิดๆ จากนั้นนำไปทอดไฟอ่อนๆ นานครึ่งชั่วโมง พอหมูเริ่มแห้งก็เร่งไฟแรงเพื่อให้หนังพองกรอบ

หมูกรอบเด็ดขนาดนี้ สมควรสั่งข้าวหน้าหมูกรอบ (50 บาท) ใส่ไข่พะโล้ โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวเยอะๆ มาต่างหากอีก 1 จาน จิ้มกินกับซีอิ๊วดำหวาน ให้ขอน้ำซุปกวยจั๊บน้ำข้นถ้วยเล็กๆ มาซดคู่กันด้วยเข้ากันดี หรือถ้ามาหลายคนให้สั่งหมูกรอบเปล่าๆ เพิ่มอีก 1 จาน (100 บาท) ถ้าติดใจอยากซื้อหมูกรอบกลับบ้านก็คิดกิโลละ 500 บาท ส่วนกระเพาะหมูแสนนุ่มอร่อยคิดใบละ 150-170 บาท

นอกจากกวยจั๊บแล้ว อยากเปลี่ยนเป็นตือฮวนเกี่ยมฉ่ายเปรี้ยวๆ ชื่นใจแทนก็ได้ (60-70 บาท) แต่ร้านนี้ไม่มีจุกบี้หรือข้าวเหนียวยัดไส้นะจ๊ะ

สรุปว่าภารกิจตามหาร้านอร่อยสำเร็จลุล่วงไปอีกหนึ่งร้าน เห็นแล้วน่าชื่นใจที่ยังคงสืบสานความอร่อยจากรุ่นพ่อแม่ไว้ด้วย สังเกตได้ว่าช่วงกลางวันมีขาประจำมานั่งกันเต็มร้าน และยังมีลูกค้าที่ยกกันมาเป็นคณะใหญ่อีกด้วย สมควรที่แฟนๆ จะตามไปลิ้มลอง

ร้านกวยจั๊บน้ำข้นเจ้าเก่าโคลีเซี่ยม เปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมง หยุดทุกวันที่ 16 แล้วอย่าลืมสั่งหมูกรอบด้วยนะจ๊ะ


กวยจั๊บน้ำข้นเจ้าเก่าโคลีเซี่ยม

โดย คุณอัมพร วงศ์คงมั่นสกุล

ที่ตั้ง 93/8 หมู่ 10 บ้านบัวทอง ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี 11110

โทร 08-1585-6414, 09-4959-2526

เปิดบริการ 06.00-1400 น. ทุกวัน

หยุด ทุกวันที่ 16

แนะนำ กวยจั๊บน้ำข้น-น้ำใสใส่เครื่องสารพัด ข้าวหมูกรอบกับหมูกรอบเปล่าๆ

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
ข้าวหน้าหมูกรอบ
กวยจั๊บน้ำใส
ตือฮวนเกี่ยมฉ่าย
หมูกรอบ

วันนี้ขอนำเสนอของอร่อยที่แสนจะดูธรรมดาๆ มีอยู่ทั่วไป มองเผินๆ นึกว่าแต่ละเจ้าที่ทำขายนั้นคงมีรสชาติไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก ของกินที่ว่านี้คือเต้าหู้ทอดและของทอดต่างๆ

เชิญมาท้าพิสูจน์ลองชิมกันได้ที่ร้านเต้าหู้ทอดสวัสดี แม่โอเล่ย์ แล้วจะรู้ซึ้งว่าแค่เต้าหู้ทอด ของทอดจำพวกนี้ ถ้าคนทำมีเคล็ดลับทีเด็ดรายละเอียดในหลากหลายแง่มุม ก็สามารถสร้างสรรค์เต้าหู้ทอดให้อร่อยเลิศเลอ ถึงขนาดที่ว่าใครก็ตามที่ลิ้มลองเข้าไปแล้วจะจดจำฝันถึงมิมีวันลืม กลายเป็นขาประจำติดกันงอมแงมทีเดียว

ผู้ที่แนะนำร้านเต้าหู้ทอดเจ้านี้ไม่ใช่ใครอื่นไกล คือน้องวัฒน์ บล็อกเกอร์เจ้าของเพจชายกางตระเวนกินทั่วถิ่นไทย ที่กุลีกุจอนัดแนะปิ่นโตเถาเล็กให้มาที่ศูนย์บัญชาการผลิตในซอยเรวดี 62 ตั้งแต่ช่วงเช้าๆ

ทางไปร้านนั้นให้มาทางถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรีจากห้างเซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์ (ตรงสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วง แยกนนทบุรี 1) แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเรวดี ไปเพียง 500 เมตร ก็ถึงร้านเต้าหู้ทอดสวัสดี แม่โอเล่ย์ อยู่ในตึกแถวปากซอยเรวดี 62 ทางซ้ายมือ

แม่โอเล่ย์นั้นเป็นลูกสาวคนโตของคุณพ่ออำนวย และคุณแม่สมเกาะ ซึ่งช่วยกันทำร้านทั้งครอบครัว คุณแม่เล่าว่าขายมานาน 36 ปีแล้ว ตั้งแต่อยู่ที่สุทธิสาร ใกล้ซอยอินทามระ 41 จากนั้นได้มาซื้อตึกแถวในซอยเรวดีเมื่อปี 2536

เดิมชื่อเต้าหู้ทอดยอดเฮง โดยผู้ที่แนะนำให้นำนามสกุลสวัสดีของครอบครัวนี้มาตั้งเป็นชื่อร้านแทน ก็คือคุณอาสันติ เศวตวิมล เพราะเห็นว่ามีนามสกุลไพเราะอยู่แล้ว

ตอนนี้มีทั้งหมด 4 สาขา ที่ซอยเรวดี 62 ที่สุทธิสาร (ระหว่างซอยอินทามระ 41-43 ซึ่งคุณแม่กับน้าของโอเล่ย์จะไปขายที่นั่น) ที่ศูนย์อาหารเดอะมอลล์งามวงศ์วาน และเดอะมอลล์บางแค โดยศูนย์ผลิตที่เรวดีนั้นจะเปิดขายตั้งแต่เช้าตรู่ตอน 6 โมงเช้าไปจนถึงบ่าย 2 โมงครึ่ง ทำกันวันต่อวันเลยทีเดียว

ร้านเต้าหู้ทอดสวัสดี แม่โอเล่ย์ นั้นสุดยอดครบเครื่องทั้งตัวเต้าหู้ทอดกรอบนอกนุ่มใน มีรสมีชาติ และของทอดอื่นๆ อร่อยไม่เหมือนใคร รวมไปถึงน้ำจิ้มที่รสจัดอร่อยลงตัวครบทุกรส จิ้มกินแล้วจะหยุดไม่ได้

เต้าหู้ทอดเจ้านี้ไม่อร่อยได้อย่างไร เพราะเขาทำเต้าหู้เอง เนื่องจากเคยซื้อมาทอดแล้วไม่ถูกใจ โดยจะเริ่มทำตอน 2 ทุ่มไปจนถึงตอนเช้า วิธีการทำเหมือนการทำเต้าหู้ทั่วไป ที่นำถั่วเหลืองมาเข้าเครื่องบด แยกกากออก กรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วนำไปต้ม เคล็ดลับความแตกต่างอยู่ตรงที่เขาจะใช้น้ำเค็มหรือน้ำเกลือเข้มข้นที่ได้จากการทำนาเกลือ โดยซื้อมาจากโรงเกลือ (ปีหนึ่งจะมีไม่กี่หน) ทำให้เต้าหู้ตกตะกอนเป็นวุ้นๆ หรือเป็นลิ่ม แล้วเทใส่พิมพ์ เอาของหนักกดทับเป็นบล็อกๆ กลายเป็นเต้าหู้ที่มีรสชาติและเนื้อสัมผัสอร่อย

ทีเด็ดอีกอย่างคือของขายดีคู่กับเต้าหู้ทอด นั่นก็คือเผือกทอด ไสเป็นเส้นๆ แล้วผสมแป้งหมี่ เกลือ และน้ำ ความแตกต่างอยู่ที่เขามีเผือก 2 ชนิด คืออย่างกรอบ และอย่างนุ่มซึ่งจะห่อด้วยฟองเต้าหู้แล้วนำไปทอด กินสลับกันแล้วจะเพลินมาก

นอกจากนี้ ก็มีข้าวโพดทอด ซึ่งต้องฝานข้าวโพดกันสดๆ ผสมแป้งหมี่ ปรุงรสด้วยเกลือ ซึ่งก็มี 2 ชนิด ทั้งอย่างกรอบ และอย่างนุ่มที่ห่อด้วยฟองเต้าหู้เหมือนกัน และก็มีหัวไชเท้าทอด ซึ่งไสเป็นเส้นๆ และใส่เกลือเพื่อลดความขื่น นวดให้นิ่ม ล้างน้ำเปล่า และบีบให้แห้ง จึงจะนำไปผสมแป้งหมี่ และห่อด้วยฟองเต้าหู้เช่นกัน

เต้าหู้ทอดถ้าขาดน้ำจิ้มที่ดีก็จะหมดเสน่ห์ไปมากโข แต่ที่ร้านนี้น้ำจิ้มนั้นคือสุดยอดแห่งน้ำจิ้มทีเดียว มีครบทุกรสลงตัวใส่ถั่วลิสงป่นเยอะๆ คั่วเองหอมๆ ลงทุนเครื่องทุ่นแรงทั้งเครื่องร่อนเปลือกถั่วลิสง เครื่องบด และเครื่องคั่วซึ่งคั่วได้ถึง 50 กิโลกรัม โดยจะเคี่ยวน้ำจิ้มทำจากน้ำมะขามเปียก น้ำตาล เกลือ และน้ำเปล่า นานถึง 4-5 ชั่วโมง ใส่ถั่วลิสงคั่วป่น และพริกสด โรยหน้าด้วยผักชี (ช่วงเจจะไม่ใส่)

อีกอย่างคือไม่น่าเชื่อว่าร้านนี้จะยังขายทุกอย่างชิ้นละ 5 บาท เท่านั้น (ถ้าขึ้นห้างขายชุดละ 5 ชิ้น 45 บาท) เรียกได้ว่าถูกและดีก็มีในโลกจริงๆ

นี่คือสาเหตุที่ว่าทำไมช่วงสายๆ จะมีผู้คนแวะเวียนมาซื้อกันอย่างไม่ขาดสาย แถมยังสามารถสั่งให้มาส่งได้ ทาง LINE MAN Foodpanda และ Grab Food อีกต่างหาก

ตอนนี้ร้านเต้าหู้ทอดสวัสดี แม่โอเล่ย์ กลายเป็นอีกหนึ่งร้านโปรดในดวงใจของปิ่นโตเถาเล็กเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอเชิญแฟนๆตามไปพิสูจน์ความอร่อยกันได้ทุกวันนะจ๊ะ

ของทอดครบชุด

ข้อมูลร้าน

เต้าหู้ทอดสวัสดี แม่โอเล่ย์

โดย คุณสิรีธร (โอเล่ย์) สวัสดี

ที่ตั้ง 706 ซอยเรวดี 62 ถนนเรวดี ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000

โทร 08-3784-7882, 09-8252-2911 (โอเล่ย์) 08-4727-1281 (คุณแม่ที่สุทธิสาร)

เปิดบริการ 06.00-14.30 น. ทุกวัน

แนะนำ เต้าหู้ทอด เผือกทอดอย่างกรอบและอย่างนุ่ม ข้าวโพดทอด หัวไชเท้าทอด

 

ที่มามติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2562
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก

ช่วงงานประเพณีทอดกฐินตลอด 1 เดือนหลังออกพรรษา เชื่อว่าแฟนๆ หลายคนกำลังตระเวนไปทำบุญถึงแดนดินถิ่นอีสาน จึงถือโอกาสแนะนำสุดยอดร้านส้มตำอีสานปนลาวในจังหวัดนครพนม เจ้าของฝ่ายหญิงเป็นสาวสวยจากฝั่งลาวมาแต่งงานกับหนุ่มไทย เปิดร้านส้มตำขายดิบขายดีจนมีสาขาทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง ร้านนี้มีชื่อว่า ส้มตำปองเต เปิดมาได้ 7 ปีแล้ว

คำว่าปองเต นั้นมีที่มาจากชื่อลูกชายลูกสาว ปองๆ และปาเต (ชื่อนี้หมายถึงตับบด ในภาษาฝรั่งเศสนั่นเอง) สาขาที่เรามาชิมคือร้านแรกในตึกแถวหลายคูหาริม ถนนทัศนปทุม ไม่ไกลจากใจกลางเมือง ห่างจากริมโขงเพียง 500 เมตร เจ้าของร้านคือคุณสุดพงษ์และคุณบุญแพง แม่ค้าคนสวย

นอกจากนี้ ยังมีร้านอีกแห่งของพี่สาวคุณแพงในตัวเมืองนครพนม ตรงข้ามโรงแรมบลู และของน้องสาวอยู่ฝั่งลาวตรงกันข้าม อีกทั้งของพี่สาวคนรองที่เวียงจันทน์อีกด้วย

หน้าร้านจะเป็นเคาน์เตอร์สำหรับวางของกินของขายมากมายจนเต็มไปหมด ด้านข้างมีกระดานเมนูขนาดใหญ่ จะยืนสั่งจากข้างหน้าหรือด้านในร้านก็ได้

ดูแค่ส้มตำก็มีให้เลือกมากถึงกว่า 30 เมนู ทีเด็ดอยู่ที่ปลาร้าหมักเอง เป็นปลาร้าปลารวม เคี่ยวด้วยเตาถ่านฝีมือคุณแม่ ส่งมาให้จากฝั่งลาว ถ้าใครติดใจก็มีขายเป็นขวดๆ ด้วย

ตำยอดนิยมคือ ตำปูปลาร้า (40 บาท) โรยด้วยกุ้งฝอยจากแม่น้ำโขงคั่ว ตำไทยไข่เค็ม (60 บาท) ก็รสแซ่บแบบอีสานสุดยอด ไฮไลต์อีกอย่างคือ ตำเส้นข้าวเปียก (50 บาท) ใส่เส้นเล็กที่กินกับต้มเส้นหรือกวยจั๊บญวน และใส่ผักบุ้ง กะหล่ำปลี มะเขือเทศ คลุกเคล้าน้ำปลาร้า โรยถั่วลิสง ใส่หมูยอ หมึก และกุ้งทะเล อร่อยไม่เหมือนใคร และก็มี ตำหลวงพระบาง (50 บาท) ใส่เส้นกวยจั๊บ ผักบุ้งและกะหล่ำ คุณแพงบอกว่าตำที่กำลังมาแรงขายดีคือ ตำหอยแครง (100 บาท) และ ตำกุ้งสด (80 บาท)

วันนั้นเรายังสั่ง ตำถั่ว (40 บาท) โรยด้วยกุ้งฝอยคั่ว และ ตำกล้วย (50 บาท) ใส่กล้วยตานี มะเฟือง มะเขือ ปูเค็ม และปลาร้า เพิ่งเคยลิ้มลองเป็นครั้งแรก ถ้าเป็นหน้ากระท้อน ตำกระท้อน (50 บาท) จะขายดีมาก

ที่นี่มีเมนูอีสานพื้นบ้านยอดฮิต ไข่ทรงเครื่อง (ไม้ละ 3 ฟอง 20 บาท) ด้วย กรรมวิธีคือนำไข่ไก่สดมาเจาะรู เทไข่ขาวไข่แดงออกมาตี ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาล พริกไทย แล้วกรอกใส่เปลือกไข่ใหม่ นำไปนึ่ง และนำมาเสียบไม้ปิ้งต่อ

ส่วนเมนูเผาปิ้งย่าง ห้ามพลาด ปลาเผา (ชุดละ 200 บาท) เป็นอันขาด มีวันละ 10 ตัวเท่านั้น ใช้ปลานิลแม่น้ำโขง เนื้อแน่นสดไม่มีกลิ่นโคลนแม้แต่น้อย แกล้มด้วยผักดอง ตะไคร้กับหอมแดงซอย เส้นขนมจีน และผักสด ราดด้วยน้ำจิ้มหวานใส่ถั่วลิสงกับน้ำจิ้มซีฟู้ดเผ็ดๆ ขอยกมือเชียร์ให้สั่งเมนูปลาเผานี้ให้จงได้

ตำปูปลาร้า
ตำเส้นข้าวเปียก
ตำหลวงพระบาง

อีกอย่างที่ต้องสั่งคือ คอหมูย่าง (70 บาท) นุ่มหอมอร่อยมาก และก็มี หมูกรอบ (80 บาท) ไก่ย่างทั้งไก่บ้านและไก่เนื้อ (70-140 บาท) ไส้อ่อนย่าง (70 บาท) หม่ำทำจากเครื่องใน (100 บาท) และ กุนเชียง (10 บาท) ซึ่งผมโดนแย่งกินจนหมด

เรายังสั่ง หมูยอทอด (แผ่นละ 20 บาท) และ ปลาส้มทอด ทั้งตัวเปรี้ยวหอม ซึ่งเมนูของทอดอื่นๆ มีอีกหลายอย่าง เช่น แหนมซี่โครงทอด ปีกไก่ทอด ไส้กรอกอีสานทอด หมูแดดเดียวทอด นอกจากนี้ ยังมีของกินจานเล็กๆ อย่างเช่น ผัดหมี่ลาว (10 บาท) ใส่น้ำตาลทรายคั่วจนสีเข้มแกล้มไข่เจียวซอยเป็นเส้นๆ และมีหมกปลากับ หมกเครื่องในไก่ (20 บาท) ใส่วุ้นเส้นอีกด้วย ของพวกนี้หากินยากในเมืองกรุง สามารถไปยืนชี้ที่หน้าเคาน์เตอร์ได้เลย

คุณบุญแพง

คุณแพงบอกว่า ยังมี หมกพื้นท้องปลา (100 บาท) อีกอย่าง ซึ่งพอสั่งจะทำจากในครัวร้อนๆ เลย ส่วนของน้ำๆ ซดๆ ให้ลอง ต้มแซ่บตีนไก่ (100 บาท) หรือจะสั่งเป็นต้มแซ่บซี่โครงหมูก็ได้ และมี แกงหน่อใส่ข้าวเบือข้นๆ (30 บาท) เมนูต้มแกงอื่นๆ ที่คนชอบสั่งมีแกงเห็ดสามอย่าง อ่อมเนื้อหรือหมูหรือไก่

ผมยกให้ร้านส้มตำปองเตเป็นสุดยอดแห่งร้านส้มตำกับอาหารอีสานแห่งเมืองนครพนม ไม่ไปลองชิมไม่ได้แล้ว อิ่มบุญแล้วต้องมาอิ่มอร่อยที่นี่กันด้วย ร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงบ่าย 4 โมงเย็น หยุดทุกวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน แต่ถ้าตรงกับเสาร์-อาทิตย์ จะเลื่อนไปหยุดวันธรรมดาแทน โทรสอบถามได้ที่ 09-3362-9142 นะจ๊ะ

 

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
คอหมูย่าง
ไก่บ้านย่าง
ไก่เนื้อย่าง
ปลาส้มทอด
ปลานิลแม่น้ำโขงเผา
หมูกรอบ
ผัดหมี่ลาว
หม่ำ

ไปเยือน นครพนม แล้วจะมีความสุขล้นเหลือ เป็นคำกล่าวที่ไม่ได้เกินจริงแม้แต่น้อย ปิ่นโตเถาเล็กไปพิสูจน์มา 3 วัน 3 คืน เป็นที่เรียบร้อย นครพนมมีโรงแรมเล็กๆ เก๋ๆ ริมแม่น้ำโขงให้เลือกพัก ได้ชมวิวหลักล้านเห็นสายน้ำและภูเขา (ฝั่งลาว) งดงามตระการตา ถนนคนเดินวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ก็น่าตื่นตาตื่นใจ อีกทั้งคนเมืองนี้ช่างมีอัธยาศัยจิตใจงดงาม

มานครพนมแล้วได้ทำกิจกรรมหลากหลาย เช่น ปั่นจักรยานยามเช้าเลียบริมน้ำ ไหว้พระธาตุประจำวันเกิดในสัปดาห์ กราบขอพรจากพญาศรีสัตตนาคราช แลนด์มาร์กสำคัญของตัวเมืองนั่งอ้อยอิ่งกับคาเฟ่เก๋ๆ ในบ้านโบราณ เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ และที่ขาดไม่ได้คือนครพนมมีของกินอร่อยให้เลือกครบทุกรสชาติ

มาเมืองริมฝั่งโขงอย่างนี้ ก็ต้องลิ้มลองของดีคืออาหารจานปลาแม่น้ำโขงสดอร่อย และร้านที่ขึ้นชื่อเรื่องปลาแม่น้ำในยุคนี้ก็คือ เป๋นปลาเป็น เปิดมานาน 6 ปีแล้ว ตอนนี้ได้ย้ายร้านจากที่เก่ามาไม่กี่ร้อยเมตร อยู่ริมถนนเลียบแม่น้ำที่ บ้านอาจสามารถ เช่นเดิม โดยย้ายมาอีกฝั่งถนนเลียบแม่น้ำ ซึ่งยังเห็นวิวทิวเขาฝั่งลาวได้เต็มตา อยู่ห่างจากใจกลางเมืองประมาณ 5 กิโลเมตร และอยู่ก่อนถึงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 ประมาณ 4 กิโลเมตร จุดสังเกตริมถนนใหญ่ใกล้ปากทางเข้าซอยเป็นที่ตั้งของ โรงเรียนกีฬานครพนม

ที่ใหม่นี้โอ่โถงบรรยากาศดีมีทั้งห้องปรับอากาศและโซนเปิดโล่งระเบียงยาวริมโขง คุณเป๋นหรือคุณประเวศ เจ้าของร้านเป็นคนช่างกิน จึงคิดเมนูรสชาติได้ถูกใจหลากหลาย มีขาประจำผู้หลักผู้ใหญ่แวะเวียนมาอุดหนุนเป็นประจำ

ปลาแม่น้ำนั้นแน่นอนว่ามีให้เลือกหลายชนิด โดยรับปลามาจากชาวบ้านที่เลี้ยงในกระชังแถวนั้น สดอร่อยไม่มีกลิ่นโคลนแม้แต่น้อย มีทั้งปลาเนื้ออ่อน ปลาเผาะ ปลาคัง ปลาโจก ปลารากกล้วย และช่วงน้ำหลาก เราจะได้ลิ้มลองปลาแข้เนื้อเหลืองๆ หนังมันๆ อีกด้วย กับเมนูพื้นบ้าน ลาบปลาแข้ (179 บาท) แซ่บๆ

กินปลาสดๆ ต้องสั่ง ปลาจุ่ม มีทั้งชุด ปลาเผาะ เนื้อมันๆ (199 บาท) และ ปลาคัง (299 บาท) ซึ่งจะเพิ่มเนื้อปลาเป็น 2 อย่างเลยก็ได้ (เพิ่มปลาเผาะ 99 บาท ปลาคัง 179 บาท) น้ำซุปนั้นทำจากน้ำสต๊อกกระดูกหมูและไก่ ซึ่งจะมีกระดูกปลาใส่ถ้วยมาให้เติมเพื่อทำให้น้ำซุปหวานยิ่งขึ้นไปอีก จุ่มเนื้อปลาพอสุกจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ดใส่เต้าเจี้ยว ชิมแล้วมีความสุขสุดสุด

ที่ห้ามพลาดอีกอย่างคือ ปลารากกล้วยทอดกระเทียม (150 บาท) ชุบไข่และชุบแป้งทอดตัวเล็กๆ กรอบๆ กินได้ทั้งตัว ปลานี้มาไกลจากอุบลฯ และก็มี ปลาคังผัดฉ่า (179 บาท) รสจัดๆ ใส่พริกไทยอ่อน เนื้อปลาคังชุบแป้งบางๆแล้วนำไปทอด

อีกเมนูปลามาเป็นชุดคือ เมี่ยงปลาทอด (229 บาท) ใช้ปลานิลแม่น้ำโขง แกล้มด้วยขนมจีน ผักดอง ห่อด้วยผักสดมีทั้งผักกาดหอม ผักแพว โหระพา อีตู่ (แมงลัก) และสะระแหน่ ราดน้ำจิ้มได้ 2 แบบ มีน้ำจิ้มหวานๆ ใส่ถั่วลิสงกับกระเทียมเจียวและพริกส้มปั่น และน้ำจิ้มซีฟู้ด

ปลาจุ่ม(ปลาเผาะและปลาคัง)
ปลารากกล้วยทอดกระเทียม
ลาบปลาแข้

แนะว่าให้สั่ง ตำแตงใส่ไข่ต้ม เกือบเป็นยางมะตูม (60 บาท) มากินคู่กัน ส้มตำร้านนี้แซ่บนัวนะจ๊ะ อีกอย่างที่ชอบมากคือ ตำไทย (40 บาท) รสอีสานจัดๆ ถูกใจไม่หวานมาก หรือจะกินตำลาว และ ตำถาด เครื่องจัดเต็ม (99 บาท)ทั้งข้าวเกรียบปลา ไข่ต้ม หมูยอ แคบหมู ขนมจีน ผักดอง

เมนูที่สร้างชื่อให้กับร้านตั้งแต่เริ่มแรกคือ ไก่ทอดตะไคร้ (99 บาท) เสิร์ฟมาในครก ปีกไก่หมักด้วยน้ำปลา พริกไทยดำ แล้วทอดเลย โรยหน้าด้วยตะไคร้ตำละเอียด ปรุงด้วยน้ำปลาแล้วชุบแป้งทอด ให้มาขยุ้มโต

ของทอดน่ากินอื่นๆ ยังมี คอหมูทอด (99 บาท) หมักรสเค็มอมหวานข้ามคืน แล้วแตะแป้งทอดแห้งๆ อร่อยมาก คุณเป๋นบอกว่า ปลาเผาะทอดน้ำปลา ก็เป็นเมนูฮิตเช่นกัน

ของกินพื้นบ้านอีสานมี คั่วเห็ดเผาะใส่ไข่มดแดง ได้กินตลอด เพราะเขาจะต้มเห็ดเผาะและแช่แข็งไว้ อีกทั้งไข่มดแดงก็จะล้างและแช่แข็งเก็บไว้เช่นกัน คั่วกับเกลือและน้ำปลาหอมๆ อีกเมนูที่ต้องสั่งคือ อ่อมพวงไข่กับอ่อมซี่โครงหมู (159 บาท) สั่งให้ใส่ทั้งสองอย่างก็ได้ น้ำข้นๆ ด้วยข้าวคั่วขาวปั่น ต้มนานๆ ใส่ผักชีลาว น้ำปลาร้า และผักอื่นๆ

คุณเป๋นสั่งของกินเล่นมาให้คือ ข้าวจี่ (99 บาท มี 4 ชิ้นใหญ่) ชุบไข่ ปรุงด้วยน้ำปลาและน้ำมันหอย แล้วนำไปทอดไฟแรงๆ ชุบทอด 3 รอบจนหอม นี่คือสิ่งที่ควรลิ้มลองให้จงได้นะจ๊ะ

ส่วนของหวานมีหลายอย่างทั้ง กล้วยไข่เชื่อมราดกะทิ ลอดช่องแตงไทย ทับทิมกรอบ สาคูแคนตาลูป

นี่คือสุดยอดร้านอาหารจานปลาแม่น้ำโขง เป็นร้านที่ควรอยู่ในลิสต์สิ่งที่ต้องทำเวลามานครพนมเลยนะจ๊ะ เป๋นปลาเป็นเปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม ช่วงเย็นควรโทรจองโต๊ะก่อนที่ 08-7634-7467 ด้วย

เป๋นปลาเป็น

โดย คุณประเวศ (เป๋น) ชินะรัก

ที่ตั้ง 115 หมู่ 6 ถ.นครพนม-ท่าอุเทน ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม 48000

โทร 08-7634-7467

เปิดบริการ 10.00 – 21.00 น. ทุกวัน

แนะนำ ปลาจุ่ม (ปลาเผาะและปลาคัง) ตำแตงใส่ไข่ต้ม ไก่ทอดตะไคร้ คอหมูทอด อ่อมพวงไข่กับอ่อมซี่โครงหมู ข้าวจี่ ลาบปลาแข้ ปลารากกล้วยทอดกระเทียม ปลาคังผัดฉ่า เมี่ยงปลาทอด ตำไทย ปลาเผาะทอดน้ำปลา คั่วเห็ดเผาะใส่ไข่มดแดง

ตำแตงใส่ไข่ต้ม
ข้าวจี่
คอหมูทอด
อ่อมพวงไข่กับซี่โครงหมู
ที่มาปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
บะหมี่แห้งพิเศษใส่เครื่องครบ ขอน้ำซุปอีกต่างหาก

กระแสการตามหาของอร่อยในร้านเล็กๆ ตามตรอกซอกซอย ประเภทที่ถ้าไม่ดั้นด้นไปจริงๆ ไม่มีทางหาเจอ กำลังมาแรงมาก สังเกตได้จากเวลาที่ปิ่นโตเถาเล็กโพสต์ลงในโซเชียลเน็ตเวิร์กสังคมออนไลน์ จะมีคนกดไลค์ถึงหลักหมื่นทีเดียว

อาทิตย์นี้ขอแนะนำร้านเก่าแก่ที่นำกลับมาทบทวนใหม่อีกครั้ง อยู่ในย่านบ้านหม้อ พาหุรัด ถ้าไม่ชี้เป้าให้ แฟนๆ ไม่มีทางไปถูกได้เลย แต่ถึงกระนั้นเจ้านี้ก็มีลูกค้าขาประจำดั้งเดิมอยู่มากมาย อีกทั้งยุค 4.0 การสั่งอาหารทางมือถือเป็นสิ่งที่ง่ายดาย เจ้านี้ก็เช่นกัน มีไลน์แมนมายืนรอซื้อเข้าคิวแข่งกับพวกเราจนกลายเป็นเรื่องปกติวิสัย ขอเฉลยเลยว่าร้านนี้คือ เจงคุง ลูกชิ้นปลาบ้านหม้อ

เจงคุง คือร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาระดับตำนาน ขายมาถึง 3 ชั่วอายุคนตั้งแต่ช่วงสมัยสงครามโลกที่ 2 ทำเลที่ตั้งลึกลับมาก อยู่ในตรอกเล็กๆ ซึ่งคนพื้นที่เรียกว่าตรอกไก่ (แต่ไม่มีชื่อซอย) และแต่ก่อนไม่มีป้ายชื่อร้านอีกด้วย แต่ตอนนี้เขาทำแผ่นป้ายที่เรียกว่าสแตนดี้ สูงเท่าตัวคน มาตั้งหน้าร้านไว้สำหรับเป็นจุดสังเกตให้แล้ว

ก่อนอื่นขอบอกทางไปเสียก่อน ถ้านำรถส่วนตัวมา สะดวกที่สุดคือให้ไปจอดรถที่ ดิ โอลด์สยาม ถ้าใครอยากจะตามรอย ขอให้ไปถึงตั้งแต่ 10 โมงเช้า ข้อดีก็คือที่จอดรถชั้นใต้ดินของดิ โอลด์สยามยังไม่เต็ม แต่ถ้าไปหลัง 11 โมงแล้ว อาจจะต้องย้ายไปจอดบนตึกสูง วนกันเป็นสิบกว่ารอบทีเดียว อีกอย่างคือร้านเจงคุง เปิดขายวันละ 4 ชั่วโมง ตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึงบ่าย 2 โมงเท่านั้น จึงควรรีบไปตั้งแต่ตอนสายๆ จะได้ยังมีของกินทุกอย่างครบถ้วน

จอดรถแล้วให้เดินออกมาตรงหัวมุมดิ โอลด์สยาม หาจุดตั้งต้นที่ แยกพาหุรัด (มีป้ายติดไว้เบ้อเริ่มเทิ่ม ส่วนแยกบ้านหม้ออยู่ถัดไปอีกแยกหนึ่ง) เสร็จแล้วข้ามไฟแดงไปตามถนนพาหุรัด (พอข้ามไปแล้ว รถจะวิ่งทางเดียวสวนทางมาหาเรา) ประมาณ 100 เมตร จนถึง ธ.กรุงเทพสาขาพาหุรัด จากนั้นหันหลังให้ธนาคาร แล้วข้ามถนนมายังฝั่งตรงข้าม เดินเข้าไปในตรอกเล็กๆ ที่ปากตรอกอยู่ระหว่าง ห้างเพชรสุณี กับ ร้านเบ๊ย่งจั๊ว เพียงไม่กี่สิบก้าว ก็จะถึงร้านห้องแถวเล็กๆ สีฟ้าๆ ดูขลังด้วยความโบราณเก่าแก่ทางขวามือ

อีกทั้งตอนนี้เราสามารถขึ้น รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน จากสถานีหัวลำโพง มาอีก 2 สถานี แล้วมาขึ้นที่ สถานีสามยอด เดินทะลุดิ โอลด์สยามไปที่ร้านเจงคุง ใช้เวลา 10 นาทีได้แล้วด้วย ถ้าหิวก็แวะซื้อ ทอดมันปลากรายบ้านหม้อ ที่ขายอยู่ในตรอกก่อนถึงร้านเจงคุง ชิมรองท้องเสียก่อนก็ย่อมได้ (น่าเสียดายที่วันนี้ร้านหยุด)

เจงคุงนั้นคือชื่อพ่อของคุณสุรเดช ผู้สืบทอดกิจการรุ่นที่ 3 (ขายมาตั้งแต่รุ่นปู่) ซึ่งแต่ก่อนนั้นจะหาบลูกชิ้นปลาใส่ตู้ไม้ไปเร่ขายตามที่ต่างๆ (เชิญดูรูปหาบตู้ไม้และบัตรเร่ขายที่ติดอยู่ตรงฝาผนังได้) แต่รุ่นนี้จะปักหลักขายอยู่ในร้าน ซึ่งเจ๊ที่ยืนชงก๋วยเตี๋ยวยิ้มร่าอยู่หน้าร้านนั้นคือศรีภรรยาของคุณสุรเดชนั่นเอง

เจ้านี้ขยันตื่นแต่ตี 4 มานวดปลาและปั้นลูกชิ้นเอง พร้อมขายตอน 10 โมงเช้า และขายไปจนถึงบ่าย 2 โมงก็หมดแล้ว แนะว่าให้ไปตอนสายๆ ไม่เกิน 11 โมงเช้า จะได้มีของทุกอย่างครบถ้วน

เครื่องเคราต่างๆ ล้วนแล้วแต่สุดยอดทั้งนั้น มี ลูกชิ้นปลา ทำจากปลา 3 ชนิดผสมกัน คือ ปลาอินทรี ปลาดาบ และ ปลาหางเหลือง เหนียวนุ่มไม่มีกลิ่นคาวแม้แต่น้อย เกี๊ยวกุ้งทะเล เป็นตัวๆ ผสมหมูสับที่แสนจะนุ่ม ฮื่อก้วยทอด หอมอร่อยรสชาตินุ่มนวล และที่ขาดไม่ได้อีกอย่างคือลูกชิ้นกุ้งหอมมัน

มีของหายากซึ่งนานๆ จะทำที ก็คือ เกี๊ยวปลา แบบโบราณ ตัวเกี๊ยวหนาหนึบเหมือนกินเส้นปลาหนาๆ เพราะทำจากเนื้อปลาล้วนจริงๆ (แค่แตะแป้งเพื่อให้ปั้นเป็นตัวเกี๊ยวได้) ถ้ามีให้รีบตะครุบรีบสั่งเลยนะจ๊ะ ถ้าวันไหนมีเกี๊ยวปลาก็จะมี เส้นปลา อีกต่างหากด้วย

สูตรสำเร็จของผมคือ บะหมี่แห้งลูกชิ้นปลา เส้นเหนียวนุ่มหอมอร่อย แล้วขอ น้ำซุป มาต่างหาก ซดน้ำซุปหอมหวานตาม รับรองเห็นสวรรค์รำไร สนนราคาชามละ 60 บาท ให้ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นกุ้งและฮื่อก้วย นานๆ มาทีควรสั่งพิเศษชามละ 80 บาทเสียเลย จะได้กินอร่อยครบเครื่อง ซึ่งจะเพิ่มเกี๊ยวกุ้งหรือเกี๊ยวปลากับเส้นปลาให้อีกด้วย และผมเห็นมีบางคนสั่งชามละ 100 บาทก็มีด้วย

นอกจากบะหมี่กับเกี๊ยวแล้ว เขายังมีเส้นใหญ่ เส้นเล็ก เกี้ยมอี๋ เส้นหมี่ อีกด้วย ถ้าติดใจอยากซื้อกลับบ้าน ก็จะคิดลูกชิ้นปลากับลูกชิ้นกุ้งลูกละ 8 บาท ฮื่อก้วยเส้นละ 80 บาท เกี๊ยวกุ้งลูกละ 12 บาท

นี่คือร้านลูกชิ้นปลาที่ยังทำกันในครอบครัวด้วยกรรมวิธีดั้งเดิม สมควรแก่การมาลิ้มลองให้รู้ว่าของกินดีๆ สมัยก่อนนั้นเป็นอย่างไร แต่แฟนๆ อ่านจบแล้วอย่าเพิ่งเผลอไปเพราะเขาหยุดวันอาทิตย์ นะจ๊ะ ยังมีซีรีส์ของอร่อยๆ ให้เชยชมอีกมาก แล้วพบกันใหม่อาทิตย์หน้าครับ

เกาเหลาต้มยำ
เกี๊ยวปลาหนึบอร่อย
เกี๊ยวปลาหนึบอร่อย
เส้นเล็กแห้งพิเศษ

ข้อมูล

เจงคุง ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาบ้านหม้อ

โดย คุณสุรเดช คล่องบุญจิต

ที่ตั้ง 102 ตรอกไก่ ตรงข้าม ธ.กรุงเทพ พาหุรัด ถ.พาหุรัด พระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทร 08-7082-5142

เปิดบริการ 10.00 -14.00 น.(ปกติจะหมดก่อนเวลา) จันทร์-เสาร์

หยุด ทุกวันอาทิตย์ และเทศกาลต่างๆ (ปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ สารทจีน เทศกาลกินเจ 10 วัน วันเฉลิมพระชนมพรรษา)

แนะนำ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาทำเอง

บัตรเร่ขาย
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก

ปิ่นโตเถาเล็กรับใช้แฟนๆ ตามรอยพ่อไปชิมและตามรอยเพื่อนไปชิมนับพันร้าน จนกระทั่งสามารถนำมาประมวลผล กลายเป็นซีรีส์ร้านอร่อยที่ปิ่นโตเถาเล็กชื่นชอบได้เป็นร้อยๆ เจ้า ซึ่งแต่ละร้านต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวพิเศษกว่าใคร เช่น เป็นร้านคิวยาวเหยียด ร้านจองนานข้ามปี ร้านในตำนาน ร้านเมนูแปลกแต่อร่อย รวมถึงร้านเล็กๆ อยู่ในชุมชนค่อนข้างลับตาคน แต่ใครๆ ก็ต้องดั้นด้นไปลิ้มลอง ดังเช่นเจ้าที่เพิ่งไปทบทวนและขอแนะนำซ้ำในวันนี้ มีชื่อว่า ส้มตำเจ๊นกกำแพงเอียง

เคยแนะนำร้านส้มตำเจ๊นกครั้งแรกเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน อยู่ในย่านซอยชินเขต หลัง ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ ถือเป็นร้านขวัญใจนักศึกษาและคนทำงานในย่านนี้ ทำเลที่ตั้งอยู่ในซอยรอง ถ้าไม่รู้จักมาก่อน คงผ่านเลยไปโดยไม่ได้ชายตามองแม้แต่น้อย หารู้ไม่ว่าของย่างและส้มตำของเจ๊นกอร่อยเหลือหลาย

ถ้ามาจากทาง ถ.วิภาวดีรังสิตขาออก พอเลยแยก ม.เกษตร ให้เข้าทางคู่ขนานแล้วเลี้ยวซ้ายลอดอุโมงค์วิ่งทะลุโครงการนอร์ธ ปาร์ค ที่มีสนามกอล์ฟราชพฤกษ์ ผ่านตึกที่ทำงานแล้วมาออกประตูหลัง เข้าซอยงามวงศ์วาน 47 แยก 39 จากนั้นวิ่งตรงต่อไปอีกนิดเดียวจนถึงสี่แยกที่มี 7-11 อยู่ตรงหัวมุมสี่แยกฝั่งตรงข้ามด้านขวา เลี้ยวขวาเข้าซอยนี้ได้เลยอีกอึดใจเดียวจะเห็นร้านส้มตำกำแพงเอียงอยู่ในซอกข้างตึกแถวทางซ้ายมือ จุดสังเกตฝั่งตรงข้ามร้านด้านขวาคือซอยงามวงศ์วาน 47 แยก 46 (ซอยชินเขต 2/44)

ถ้ามาจาก ถ.ประชาชื่น (ตรงท่าทราย) ให้เลี้ยวเข้าซอยประชาชื่น 12 ตรงมาจนสุดแล้วเลี้ยวขวาที่สามแยกผ่านด้านหลัง ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ จากนั้นถนนซอยจะเป็นทางบังคับเลี้ยวซ้ายซึ่งก็คือซอยงามวงศ์วาน 47 แยก 39 นั่นเอง ถ้ามาด้านนี้ 7-11 จะอยู่ทางซ้ายมือ ให้เลี้ยวซ้ายที่สี่แยกนี้ ก็จะเห็นร้านเจ๊นกอยู่ทางด้านซ้ายมือเช่นกัน

เจ๊นกเป็นคนกรุงเทพฯโดยกำเนิด แต่รักการกินส้มตำเป็นชีวิตจิตใจ จึงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารอีสาน เปิดร้านส้มตำมาร่วม 22 ปีแล้วกับคุณอเนก คู่ชีวิต

ตัวร้านเล็กๆ อยู่ในซอกข้างตึกแถว อีกด้านหนึ่งคือกำแพงบ้านที่เอนเข้าหาตัวร้านอย่างพองาม (ตอนนี้เอียงมากขึ้นแล้ว) จึงกลายเป็นที่มาของชื่อร้านส้มตำเจ๊นกกำแพงเอียง สมควรที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจะโปรโมตให้คนมากินกันมากๆ จนกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์คู่กับหอเอนแห่งเมืองปิซ่า

ของอร่อยเจ้านี้มีมากมายหลายอย่าง สนนราคาอาหารแต่ละจานนั้นถูกแสนถูก จึงไม่น่าแปลกใจที่บรรดาผู้คนจะแห่กันมาลิ้มลองช่วง 11 โมงครึ่งไปจนถึงบ่ายโมงกว่าๆ เพราะฉะนั้นจงโปรดหลีกเลี่ยงช่วงเวลามื้อกลางวันด้วยนะจ๊ะ

เจ๊นก
เจ๊นก
ตำกะปิกุ้งสด
ส้มตำไข่เค็ม
ส้มตำไข่เค็ม

มาแล้วต้องสั่งส้มตำที่มีให้เลือกนับสิบชนิด อ่านรายการอาหารที่กระดานได้เลย ส้มตำเจ้านี้เขาใส่มะนาวแท้ หน้าร้อนมะนาวแพงแค่ไหนก็ยังใจป้ำใช้มะนาวสดอยู่ดี ปิ่นโตเถาเล็กชอบสั่งส้มตำ 2 แบบมาประชันกัน ทั้งส้มตำไข่เค็ม (40 บาท) ที่เขาตำแบบตำไทย ใส่ไข่เค็มครึ่งลูกขยี้รวมกับมะละกอ ส่วนอีกครึ่งลูกวางเคียงข้างไว้ให้ในจาน รสชาติสดใสซาบซ่าหอมมันกินแล้วชื่นใจ

ส่วนอีกอย่างคือตำซั่วใส่ปูเค็มกับปลาร้า (40 บาท) ที่ผสมขนมจีนเส้นเล็กๆ คลุกเคล้ารวมกับตัวมะละกอ ใส่ปลาร้าหอมๆ กับปูเค็มเข้าไปด้วย หอมหวนอย่าบอกใคร ถ้าเป็นส้มตำธรรมดา เช่น ตำไทย ตำปู ตำปลาร้า จะคิดจานละ 30 บาท เท่านั้น

เมนูเด็ดที่ห้ามพลาดเป็นอันขาดคือคลุกฝุ่น (เนื้อ) (60 บาท) จานนี้รสจัดสุดสุด คล้ายกับเนื้อน้ำตกแต่รสจัดกว่า ใช้เนื้อติดมันนุ่มๆ คลุกกับเครื่องต่างๆ รวมทั้งน้ำจิ้มแจ่วที่ใส่ข้าวคั่ว บีบมะนาวลงไปตอนคั่วเพื่อให้มีกลิ่นหอมจรุงใจ ปรุงรสให้เผ็ดจัดๆ เมนูนี้ทำทีไรก็จะเกิดอาการไอจามกันทุกคนไม่มีเว้น ถ้าไม่กินเนื้อก็มีคลุกฝุ่นไก่ หมู และคอหมู อีกด้วย

คลุกฝุ่นเนื้อ

อาหารจำพวกปิ้งย่างมีมากมายหลายสิ่ง แต่ที่ต้องรีบจอง ช้าหมดอดกินคือตับย่าง (ไม้ละ 10 บาท ที่เห็นในรูปคือ 2 ไม้) นุ่มๆ หอมๆ อย่าบอกใคร ถ้าชอบกินไก่ก็มีทั้งปีกกลางย่าง (ไม้ละ 15 บาท มี 2 ชิ้น) และสะโพกไก่ย่างหอมๆ (ชิ้นละ 40 บาท) อีกอย่างที่ต้องลองให้ได้ก็คือ ไส้อ่อนย่าง (50 บาท) นุ่มและหอมอร่อยเป็นที่สุด นอกนั้นยังมีคอหมูย่าง หมูย่าง ปลาดุกย่าง กับกึ๋นและหัวใจไก่ อีกด้วย

ถ้าชอบซดน้ำต้องลองต้มแซ่บเอ็นแก้วกับซี่โครงหมู (60 บาท) ใส่เห็ดฟาง รสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดสดใสซาบซ่าผสมกับรสเค็มนิดๆ นี่ก็เผ็ดร้อนอีกเช่นกัน หรือจะกินแกงอ่อมซี่โครงหมู (50 บาท) ใส่ผักสารพัดรวมทั้งผักชีลาว

นอกจากนี้ ยังมี ลาบ (ควรสั่งลาบเป็ด (50 บาท) ใส่กึ๋นเป็ดจะหอมอร่อยเป็นที่สุด) น้ำตก ยำ ตับหวาน ซุบหน่อไม้ เรียกได้ว่าครบเครื่องเรื่องอีสาน ขอแนะนำเมนูใหม่ ลาบหน่อไม้ (50 บาท) เหมือนซุบหน่อไม้แต่ใส่หมูสับด้วย และตำกะปิกุ้งสด (80 บาท) ที่ใส่กะปิแทนปลาร้า กินกับกุ้งทะเลสดๆ

อ่านจบแล้วอย่าเพิ่งไปเพราะร้านนี้เขาปิดเสาร์-อาทิตย์ รอวันจันทร์ค่อยตามไปนะจ๊ะ และอย่าลืมพกทิชชูไปเต็มห่อด้วย รับรองได้ใช้แน่ๆ เลย

ร้านเปิด 9 โมงครึ่งถึงบ่าย 3 โมงครึ่ง โทรสอบถามทางได้ที่ 08-2960-8578


ส้มตำเจ๊นกกำแพงเอียง

โดย คุณอเนก-สแกวัลย์ (เจ๊นก) เอี่ยมโบราณ

ที่ตั้ง ซอกข้างตึกแถวเลขที่ 5/66 ซอยงามวงศ์วาน 47 (ชินเขต 2) ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กรุงเทพฯ 10210

โทร 08-2960-8578

เปิดบริการ 09.30-15.30 น. จันทร์-ศุกร์

หยุด เสาร์-อาทิตย์ ปีใหม่ สงกรานต์ เข้าพรรษา

 

 

แนะนำ ส้มตำไข่เค็ม ตำซั่วปูปลาร้า คลุกฝุ่น (เนื้อ) ตับย่าง ไส้อ่อนย่าง ต้มแซ่บเอ็นแก้วกับซี่โครงหมู ปีกกลางย่าง ลาบเป็ด แกงอ่อม (ต่างๆ) ลาบหน่อไม้

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
ของย่างสารพัด
ของย่างสารพัด
ตับย่าง
หมูย่าง
หมูย่าง
สุดยอดโรสุแห่งประวัติศาสตร์

ตอนนี้กรุงเทพฯมีแหล่งรวมร้านอาหารญี่ปุ่น (และชาติอื่นๆ) แห่งใหม่ ซึ่งทำให้ปิ่นโตเถาเล็กตื่นตาตื่นใจเป็นอันมาก อยู่ที่ กินซ่า ทองหล่อ (Ginza Thonglor) บนชั้น 2-3 ของ โรงแรมนิกโก้ กรุงเทพฯ (Hotel Nikko Bangkok) สุขุมวิท 55 (ทองหล่อ) เลี้ยวจากถนนสุขุมวิทเข้ามาเพียง 200 เมตร อยู่ทางซ้ายมือ

แต่ละร้านนั้นไม่ธรรมดาเลย มีทั้งร้านที่โด่งดังอยู่แล้วมาเปิดใหม่ที่นี่ และมีร้านดังจากญี่ปุ่นมาเปิดตัวในไทย คือร้านที่ผมขอเชียร์สุดสุด มีชื่อว่า โตเกียว ยากินิกุ โชไทอัน (Tokyo Yakiniku Shoutaian)

ร้านนี้เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคม มีถึง 9 สาขาในญี่ปุ่น (เช่น ชิบะ โตเกียว) อยู่บนชั้น 3 ข้างบันไดเลื่อน รับรองว่าต้องสะดุดตาเพราะเขาจำลองเตาถ่านไว้หน้าร้าน ดูเก๋และเหมือนจริงมาก

ตัวร้านภายในกะทัดรัดมีไม่กี่โต๊ะ ตกแต่งสุดเนี้ยบในโทนสีแดงและสีทอง และมีห้องส่วนตัว 4 ห้อง (ห้องละ 4 คน) ซึ่งสามารถเปิดต่อกันกลายเป็นห้อง 8-10 คน 2 ห้องได้ด้วย

หัวเรือใหญ่คือคุณ Noriyoshi Hara ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อย่าง อีกทั้ง คุณชาเรฟ หรือ น้องลิป ผู้จัดการชาวไทยผู้อยู่ในญี่ปุ่นนานนับ 10 ปี ทั้งสองคนนี้อารมณ์ดีมากๆ และบริการเป็นเลิศจริงๆ

ร้านปิ้งย่างยากินิกุนั้นมีอยู่มากมายที่นำเข้าเนื้อดีๆ จากญี่ปุ่น แต่ร้านนี้มีทีเด็ดหลากหลายไม่เหมือนใครจนต้องร้องว้าว สามารถครองใจลูกค้าได้ในเวลาอันรวดเร็ว จากตอนแรกที่มีลูกค้าญี่ปุ่น 100% ตอนนี้พวกเราชาวไทยแซงหน้าแล้วนะจ๊ะ

ที่นี่เชี่ยวชาญเรื่องการคัดสรร เนื้อคุโรเกะวากิวเฉพาะเกรดสูงสุด A5 เท่านั้น เน้นจากจังหวัดเซนได (Sendai) กุนมะ (Gunma) คุมาโมโตะ (Kumamoto) และฮอกไกโด (Hokkaido) จุดเด่นคือเชฟฮาระควบคุมการแล่เนื้อ เลือกเฟ้นแต่เนื้อวากิวส่วนดีๆ มาให้ลิ้มลอง และมีหลายส่วนที่ผมไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าจะอร่อยชุมฉ่ำในปากจนตะลึงขนาดนี้

ใครๆ ก็มาที่โตเกียว ยากินิกุ โชไทอัน เพราะสิ่งนี้ แฮมเบิร์กเนื้อวัวคุโรเกะวากิว เมนูสุดฮิตโด่งดังข้ามประเทศ ทำจากสันคอคุโรเกะวากิวผสมมันเนื้อเซอร์ลอยน์วากิว 20% หน้าตาเหมือนก้อนเนื้อแฮมเบอร์เกอร์ อบและย่างเสิร์ฟมาในจานร้อนควันฉุย (ปรุงนาน 15 นาที) แหวกด้านในมีเนื้อสีชมพูสวยหอมนุ่มชุ่มฉ่ำแทบละลายในปาก จนอยากจะวิ่งกู่ร้องรอบตึกด้วยความสะใจ

แฮมเบิร์กนี้เน้น เฉพาะมื้อกลางวัน เป็นชุดราคาสบายกระเป๋า มีทั้งออเดิร์ฟของกินเล่น สลัด ซุป ข้าว ผมชอบซอสดั้งเดิม พอนสึกับหัวไชเท้าฝน รสอมเปรี้ยว เลือกเนื้อได้ 3 ขนาด 200-300-400 กรัม (360-460-560 บาท++) และยังมี ซอสเดมิเกลส (demi-glace) (380-480-580++) สีน้ำตาลเข้มหอมกลิ่นเนื้อและ ซอสชีสเดมิเกลส (400-500-600++) อีกด้วย

ตอนกลางวันนี้ยังมีชุดปิ้งย่างสุดคุ้มอีกด้วย มีเนื้อวากิวส่วนพิเศษให้ด้วย มีตั้งแต่ชุดยากินิคุ (420++) ชุดคัดพิเศษ (680++) และไหนๆ จะกินทั้งทีต้อง ชุดโชไทอัน (880++) ไปเลย ให้เนื้อวากิวคัดพิเศษย่างเกลือ 3 ชนิด 6 ชิ้น และย่างซอสอีก 2 ชนิด 4 ชิ้น ที่สุดของที่สุดจริงๆ

แฮมเบิร์กเนื้อวัวคุโรเกะวากิว จานเด็ดของร้าน
แฮมเบิร์กเนื้อวัวคุโรเกะวากิว จานเด็ดของร้าน
ยุกเกะYukke ราชาเนื้อวากิว
ซูชิเนื้อวากิว3รสชาติ โปะหน้าด้วยไข่หอยเม่น ไข่ปลาแซลมอน และคาเวียร์
ซูชิเนื้อวากิว3รสชาติ โปะหน้าด้วยไข่หอยเม่น ไข่ปลาแซลมอน และคาเวียร์

อยากอลังการหลากหลายให้มาตอนเย็น สำหรับผู้ที่เพิ่งมาครั้งแรก อย่ารีรอรีบบอกทางร้านว่า ขอ add line@ ของที่ร้าน เพราะทุกคนจะได้ ซูชิเนื้อวากิว 3 รสชาติ (แบบกินดิบ) คนละคำ โปะหน้าด้วยอูนิหรือไข่หอยเม่นจากฮอกไกโด ไข่ปลาแซลมอนจากอาโอโมริ และคาเวียร์ (630++) สุดยอดจริงๆ

เมนูของกินเล่นที่ห้ามพลาด คือ ยุกเกะ (Yukke) ราชาเนื้อวากิว A5 (780++) ใช้เนื้อสะโพกวากิว (Uchi Momo) ซึ่งจะแล่สไตล์ใหม่เป็นชิ้นบางๆ ทาด้วยไข่สด เป็นเนื้อดิบกินสดๆ ให้ม้วนเนื้อเข้าด้านในจานเพื่อคลุกกับต้นหอมและงาขาว

ต่อกันด้วยเมนูเนื้อปิ้งย่าง ซึ่งจะมีพนักงานมาปิ้งย่างให้ที่โต๊ะ จะกินให้อร่อยต้องมีความสุกไม่มาก ระดับ medium rare เท่านั้น แต่ถ้าชอบสุกกว่านั้นก็บอกเขาได้

สุกี้ยากี้เนื้อลายหินอ่อน

ร้านนี้มีเมนูปิ้งย่างอร่อยไม่เหมือนใคร เรียกว่า สุกียากี้เนื้อลายหินอ่อน (1 ชิ้นโตๆ 580++) ความจริงคือเนื้อวากิว A5 ลายไขมันเป็นหินอ่อน ทาซอสทาเระสุกียากี้ ซึ่งจะย่างให้บนเตา แล้วม้วนเนื้อ เสิร์ฟในถ้วยที่มีไข่ดิบกับข้าวญี่ปุ่นพอดีคำ แนะว่าให้จุ่มไข่ดิบกินครึ่งชิ้นเปล่าๆ ก่อน และที่เหลือกินกับข้าวญี่ปุ่นที่มีปริมาณ 1 คำโตกำลังพอเหมาะ ให้ความรู้สึกเข้มข้นมาก

อารัมภบทของดีๆ มาตั้งนาน ทีนี้ก็ถึงคราวพระเอกออกโรงบ้าง ซึ่งเย็นนี้เราสั่งเมนูปิ้งย่างแบบตามสั่ง เริ่มต้นกันด้วย ลิ้นวัวบุปผาย่างเกลือ (700++) ซึ่งใช้ส่วนโคนลิ้นจึงชิ้นหนาสะใจมาก และบั้งเป็นแฉกๆ มาเหมือนดอกไม้ เวลาย่างก็จะแบ่งเป็นชิ้นๆ ให้พวกเราได้ชิมสะใจกัน เมนูนี้ให้บีบเลมอนเปรี้ยวสดชื่น และจิ้มกินกับวาซาบิฉุนๆ เล็กน้อย จะได้รู้ซึ้งถึงความหอมของลิ้นวัวเต็มที่

มาต่อกันด้วยเมนูเนื้อคุโรเกะวากิว มีของดีให้สั่งหลายอย่าง ไหนๆ จะกินทั้งที ถ้ามากัน 3-4 คน ขอแนะนำให้สั่ง เนื้อที่เสิร์ฟมาในหีบสมบัติ โชไทอัน โมริอาวาเสะ 4 ชนิด 8 ชิ้น (เบอร์ 62 ราคา 1,750++) เวลาเปิดฝาจะมีควันน้ำแข็งแห้งพวยพุ่งออกมา ดูอลังการมาก ซึ่งจะมีเนื้อส่วนพิเศษที่ไม่เหมือนกันในแต่ละวันด้วย ขึ้นอยู่ว่าวันนั้นมีอะไรดี

อย่างวันนั้นได้ส่วนหายากที่เรียกว่า Rib Maki (มากิ) คือส่วนของเนื้อที่หุ้มเนื้อริบอายอีกที หอมและมีมันแทรกรสชาติดีมากๆ กินแล้วขึ้นสวรรค์ ชิ้นส่วนถัดมาคือ Kinomi สันในส่วนที่มีแค่ 300 กรัมต่อวัว 1 ตัว ต่อด้วย อิชิโบะ (Ichibo) เนื้อสะโพกส่วนนอกเป็นส่วนที่นุ่มที่สุด และ สุดยอดโรสุแห่งประวัติศาสตร์ เนื้อส่วนตรงกลางของเซอร์ลอยน์ ได้กลิ่นรสหอมของเนื้อชัดเจน หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเคี้ยวได้เต็มคำ ซึ่งถ้าติดใจเมนูนี้ก็สั่งต่างหากเพิ่มได้อีก (830++) ซึ่งที่ร้านมีลูกเล่น ให้จิ้มกับ โฟมโชยุ ฉีดจากกระบอกเอสพูม่า อัดก๊าซจนเป็นโชยุเนื้อครีมเนียนเบามากๆ

ยังมีเมนูเนื้อเลิศๆ อีกหลากหลาย อย่างเช่น โจโรสุ Jo Rosu ย่าง 5 วินาที (600++) เนื้อส่วนไหล่ และซี่โครง อร่อยอีกเหมือนกัน ให้ถามที่ร้านได้เลย

ใครไม่กินเนื้อก็มี เนื้อหมูดำสันนอกคุโรบูตะ (400++) ปูทาราบะ (ท่อนละ 1,000++) หอยเป๋าฮื้อ อวาบิ (1,200++) หอยเชลล์โฮตาเตะ (120++) ล็อบสเตอร์ (ตัวละ 1,800++) และ กุ้งลายเสือธรรมชาติ (150++) ลืมบอกไปว่าขนาดข้าวญี่ปุ่นยังใช้ของดีคือข้าวจากจังหวัดนีงาตะอีกด้วย

ปิดท้ายด้วยขนมหวานอร่อยจนเก็บไปฝันถึงทั้งคืน คากิโกริสตรอเบอรี (300++) ที่ร้านตั้งชื่อว่าน้ำแข็งใสหิมะขาว

สำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์พิเศษสุดให้สั่งคอร์สเนื้อต่างๆ ตอนค่ำโดยจะทยอยเสิร์ฟเป็นชุด มีของดีที่บอกไปแล้วมากมาย ซึ่ง ต้องโทรจองคอร์สล่วงหน้า 2 วัน (คิดเป็นต่อคน หัวละ 3,200-3,600-4,200++)

เอาเป็นว่าร้านยากินิกุเจ้านี้ไม่ไปไม่ได้แล้ว เป็นร้านที่ผมชื่นชอบมากที่สุดในตอนนี้ ควรโทรจองโต๊ะล่วงหน้า 1 วัน ที่เบอร์ 06-2554-2981 นะจ๊ะ

เนื้อที่เสิร์ฟมาในหีบสมบัติ โชไทอัน โมริอาวาเสะ
เนื้อที่เสิร์ฟมาในหีบสมบัติ โชไทอัน โมริอาวาเสะ
คากิโกริสตรอว์เบอร์รี น้ำแข็งใสหิมะขาว
02TokyoYakiniku

ข้อมูล

Tokyo Yakiniku Shoutaian

(โตเกียว ยากินิกุ โชไทอัน)

ที่ตั้ง ชั้น 3 โครงการกินซ่าทองหล่อ (Ginza Thonglor) Hotel Nikko Bangkok 27

ถ.สุขุมวิท 55 คลองตันเหนือ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110

โทร 06-2554-2981

เปิดบริการ 11.30-14.00 และ 17.00-23.00 น. ทุกวัน

แนะนำ ยากินิกุเนื้อคุโรเกะวากิวเฉพาะเกรดสูงสุด A5

มีเมนูต่างๆ ดังนี้ แฮมเบิร์กเนื้อวัวคุโรเกะวากิว ซูชิเนื้อวากิว 3 รสชาติ ยุกเกะ (Yukke) สุกียากี้เนื้อลายหินอ่อน ลิ้นวัวบุปผาย่างเกลือ เนื้อเสิร์ฟในหีบสมบัติ โชไทอัน โมริอาวาเสะ ขนมคากิโกริสตรอเบอรี

หมายเหตุ จอดรถในโครงการ

Facebook : facebook.com/Shoutaianbkk

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก