กวยจั๊บน้ำข้น

ตั้งแต่คุณชายถนัดศรีเริ่มแนะนำร้านในคอลัมน์เชลล์ชวนชิมเมื่อปี 2504 ผ่านมา 58 ปี ยังมีอีกหลายร้อยร้านดั้งเดิมที่ย้ายหาบไปอยู่ตามที่ต่างๆ ซึ่งปิ่นโตเถาเล็กคงใช้เวลานานเป็นปี ทำภารกิจตามหาร้านตกสำรวจเหล่านี้ว่าไปอยู่แห่งหนใดบ้าง

อาทิตย์นี้มีอีกร้านในตำนานนานกว่าครึ่งศตวรรษมาแนะนำ คือร้านกวยจั๊บน้ำข้นทีเด็ดซึ่งได้ตราเชลล์ชวนชิมการันตีความอร่อยจากคุณชายถนัดศรีเมื่อ พ.ศ.2516 ปัจจุบันนี้ใช้ชื่อว่า กวยจั๊บน้ำข้นเจ้าเก่าโคลีเซี่ยม อันบ่งบอกว่าเจ้านี้เคยอยู่แถวโรงภาพยนตร์โคลีเซี่ยมตรงย่านอุรุพงษ์-ยมราชมาก่อน

โดยตอนนี้ได้ย้ายนิวาสสถานมาอยู่ที่อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ในย่านบางใหญ่ แถว ต้นซอยหมู่บ้านบัวทอง นานเกือบ 20 ปีแล้ว ทำเลที่ตั้งไปมาสะดวกมาก เพราะใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า MRT สุดท้ายของสายสีม่วง ชื่อว่า สถานีคลองบางไผ่

ถ้านำรถมาให้วิ่งมาจนสุดถนนรัตนาธิเบศร์ ขึ้นทาง ต่างระดับบางใหญ่ เข้า ถนนวงแหวนรอบนอก กาญจนาภิเษก (ทางหลวงพิเศษหมายเลข 9) มุ่งหน้าไปทางสุพรรณบุรี พอเข้าถนนวงแหวนรอบนอกแล้วให้อยู่ทางคู่ขนานด้านนอกเลย ผ่านบิ๊กซีบางใหญ่ ปั๊มน้ำมัน ปตท. และพอถึงศูนย์บริการโตโยต้าให้ชิดซ้ายแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยหมู่บ้านบัวทอง ที่อยู่ก่อนถึงสะพานลอยคนข้ามตรงสถานีรถไฟฟ้า เข้าไปประมาณ 250 เมตร ก็จะเห็นร้านกวยจั๊บน้ำข้นเจ้าเก่าโคลีเซี่ยม อยู่ในตึกแถวด้านขวามือ (ตรงข้ามกับร้านก๋วยเตี๋ยวเรือโกแบ๋งบางกร่าง)

ส่วนเรื่องที่จอดรถนั้นให้จอดริมซอยซึ่งยากหน่อย ปิ่นโตเถาเล็กใช้วิธีมาจอดข้าง 7-11 ฝั่งตรงข้ามด้านซ้าย แล้วเข้าไปอุดหนุนซื้อของในร้านสะดวกซื้อ แล้วเดินข้ามมาชิมกวยจั๊บ รีบทำเวลาเร็วๆ ก็สะดวกดีนะจ๊ะ

กวยจั๊บน้ำข้นเจ้าเก่าโคลีเซี่ยม สืบทอดมาถึงรุ่นลูกโดยคุณอัมพร วงศ์คงมั่นสกุล ร้านนี้นับเป็นหนึ่งในร้านโปรดของพ่อ สังเกตได้จากรูปถ่ายที่ติดไว้เต็มร้าน คุณซ้งแห่งข้าวปิ่นเงินได้ส่งกวยจั๊บเจ้านี้มาช่วยงานสวดพระอภิธรรมของพ่อตลอดเกือบทุกคืน

ของอร่อยร้านนี้ย่อมต้องเป็นกวยจั๊บน้ำข้นใส่หมูกรอบและเครื่องสารพัด ซึ่งคุณอัมพรจะตื่นตั้งแต่ตี 4 ครึ่งมาเตรียมล้างทำความสะอาดเครื่องใน ปรุงน้ำกวยจั๊บ ซึ่งสูตรน้ำข้นนั้นจะไม่ใส่เครื่องยาจีน ไม่ใช้ผงพะโล้ แต่เน้นพริกไทย กระเทียม รากผักชี ซีอิ๊วดำและซอสญี่ปุ่น แค่นี้ก็เข้มข้นหอมอร่อยแล้ว

 

ส่วนเส้นกวยจั๊บนั้นก็หนึบอร่อย ใส่เครื่องเคราสารพัดทั้งเต้าหู้ หมูแล่เป็นชิ้นๆ ไส้ ตับหนานุ่มชิ้นโตๆ กระเพาะหอมนุ่ม หัวใจ ไข่ และทีเด็ดที่ห้ามพลาดเลยคือ หมูกรอบ สนนราคาชามละ 50-60 บาท (แนะว่าให้สั่ง 60 บาทไปเลยจึงจะจุใจ) นอกจากนี้เขายังมี กวยจั๊บน้ำใส (50-60 บาท) อีกด้วย หนักพริกไทยหอมๆ เผ็ดๆ เหมือนเวลากินที่เยาวราชเลย

พูดถึงหมูกรอบเจ้านี้มีดีที่เนื้อเยอะ มันน้อย หนังกรอบหอม โดยจะเลือกหมูพื้นท้องส่วนที่ไม่มันมาก ต้มนานชั่วโมงครึ่งและเอาส้อมจิ้มทาเกลือให้มีรสเค็มนิดๆ จากนั้นนำไปทอดไฟอ่อนๆ นานครึ่งชั่วโมง พอหมูเริ่มแห้งก็เร่งไฟแรงเพื่อให้หนังพองกรอบ

หมูกรอบเด็ดขนาดนี้ สมควรสั่งข้าวหน้าหมูกรอบ (50 บาท) ใส่ไข่พะโล้ โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวเยอะๆ มาต่างหากอีก 1 จาน จิ้มกินกับซีอิ๊วดำหวาน ให้ขอน้ำซุปกวยจั๊บน้ำข้นถ้วยเล็กๆ มาซดคู่กันด้วยเข้ากันดี หรือถ้ามาหลายคนให้สั่งหมูกรอบเปล่าๆ เพิ่มอีก 1 จาน (100 บาท) ถ้าติดใจอยากซื้อหมูกรอบกลับบ้านก็คิดกิโลละ 500 บาท ส่วนกระเพาะหมูแสนนุ่มอร่อยคิดใบละ 150-170 บาท

นอกจากกวยจั๊บแล้ว อยากเปลี่ยนเป็นตือฮวนเกี่ยมฉ่ายเปรี้ยวๆ ชื่นใจแทนก็ได้ (60-70 บาท) แต่ร้านนี้ไม่มีจุกบี้หรือข้าวเหนียวยัดไส้นะจ๊ะ

สรุปว่าภารกิจตามหาร้านอร่อยสำเร็จลุล่วงไปอีกหนึ่งร้าน เห็นแล้วน่าชื่นใจที่ยังคงสืบสานความอร่อยจากรุ่นพ่อแม่ไว้ด้วย สังเกตได้ว่าช่วงกลางวันมีขาประจำมานั่งกันเต็มร้าน และยังมีลูกค้าที่ยกกันมาเป็นคณะใหญ่อีกด้วย สมควรที่แฟนๆ จะตามไปลิ้มลอง

ร้านกวยจั๊บน้ำข้นเจ้าเก่าโคลีเซี่ยม เปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมง หยุดทุกวันที่ 16 แล้วอย่าลืมสั่งหมูกรอบด้วยนะจ๊ะ


กวยจั๊บน้ำข้นเจ้าเก่าโคลีเซี่ยม

โดย คุณอัมพร วงศ์คงมั่นสกุล

ที่ตั้ง 93/8 หมู่ 10 บ้านบัวทอง ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี 11110

โทร 08-1585-6414, 09-4959-2526

เปิดบริการ 06.00-1400 น. ทุกวัน

หยุด ทุกวันที่ 16

แนะนำ กวยจั๊บน้ำข้น-น้ำใสใส่เครื่องสารพัด ข้าวหมูกรอบกับหมูกรอบเปล่าๆ

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
ข้าวหน้าหมูกรอบ
กวยจั๊บน้ำใส
ตือฮวนเกี่ยมฉ่าย
หมูกรอบ

วันนี้ขอนำเสนอของอร่อยที่แสนจะดูธรรมดาๆ มีอยู่ทั่วไป มองเผินๆ นึกว่าแต่ละเจ้าที่ทำขายนั้นคงมีรสชาติไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก ของกินที่ว่านี้คือเต้าหู้ทอดและของทอดต่างๆ

เชิญมาท้าพิสูจน์ลองชิมกันได้ที่ร้านเต้าหู้ทอดสวัสดี แม่โอเล่ย์ แล้วจะรู้ซึ้งว่าแค่เต้าหู้ทอด ของทอดจำพวกนี้ ถ้าคนทำมีเคล็ดลับทีเด็ดรายละเอียดในหลากหลายแง่มุม ก็สามารถสร้างสรรค์เต้าหู้ทอดให้อร่อยเลิศเลอ ถึงขนาดที่ว่าใครก็ตามที่ลิ้มลองเข้าไปแล้วจะจดจำฝันถึงมิมีวันลืม กลายเป็นขาประจำติดกันงอมแงมทีเดียว

ผู้ที่แนะนำร้านเต้าหู้ทอดเจ้านี้ไม่ใช่ใครอื่นไกล คือน้องวัฒน์ บล็อกเกอร์เจ้าของเพจชายกางตระเวนกินทั่วถิ่นไทย ที่กุลีกุจอนัดแนะปิ่นโตเถาเล็กให้มาที่ศูนย์บัญชาการผลิตในซอยเรวดี 62 ตั้งแต่ช่วงเช้าๆ

ทางไปร้านนั้นให้มาทางถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรีจากห้างเซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์ (ตรงสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วง แยกนนทบุรี 1) แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเรวดี ไปเพียง 500 เมตร ก็ถึงร้านเต้าหู้ทอดสวัสดี แม่โอเล่ย์ อยู่ในตึกแถวปากซอยเรวดี 62 ทางซ้ายมือ

แม่โอเล่ย์นั้นเป็นลูกสาวคนโตของคุณพ่ออำนวย และคุณแม่สมเกาะ ซึ่งช่วยกันทำร้านทั้งครอบครัว คุณแม่เล่าว่าขายมานาน 36 ปีแล้ว ตั้งแต่อยู่ที่สุทธิสาร ใกล้ซอยอินทามระ 41 จากนั้นได้มาซื้อตึกแถวในซอยเรวดีเมื่อปี 2536

เดิมชื่อเต้าหู้ทอดยอดเฮง โดยผู้ที่แนะนำให้นำนามสกุลสวัสดีของครอบครัวนี้มาตั้งเป็นชื่อร้านแทน ก็คือคุณอาสันติ เศวตวิมล เพราะเห็นว่ามีนามสกุลไพเราะอยู่แล้ว

ตอนนี้มีทั้งหมด 4 สาขา ที่ซอยเรวดี 62 ที่สุทธิสาร (ระหว่างซอยอินทามระ 41-43 ซึ่งคุณแม่กับน้าของโอเล่ย์จะไปขายที่นั่น) ที่ศูนย์อาหารเดอะมอลล์งามวงศ์วาน และเดอะมอลล์บางแค โดยศูนย์ผลิตที่เรวดีนั้นจะเปิดขายตั้งแต่เช้าตรู่ตอน 6 โมงเช้าไปจนถึงบ่าย 2 โมงครึ่ง ทำกันวันต่อวันเลยทีเดียว

ร้านเต้าหู้ทอดสวัสดี แม่โอเล่ย์ นั้นสุดยอดครบเครื่องทั้งตัวเต้าหู้ทอดกรอบนอกนุ่มใน มีรสมีชาติ และของทอดอื่นๆ อร่อยไม่เหมือนใคร รวมไปถึงน้ำจิ้มที่รสจัดอร่อยลงตัวครบทุกรส จิ้มกินแล้วจะหยุดไม่ได้

เต้าหู้ทอดเจ้านี้ไม่อร่อยได้อย่างไร เพราะเขาทำเต้าหู้เอง เนื่องจากเคยซื้อมาทอดแล้วไม่ถูกใจ โดยจะเริ่มทำตอน 2 ทุ่มไปจนถึงตอนเช้า วิธีการทำเหมือนการทำเต้าหู้ทั่วไป ที่นำถั่วเหลืองมาเข้าเครื่องบด แยกกากออก กรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วนำไปต้ม เคล็ดลับความแตกต่างอยู่ตรงที่เขาจะใช้น้ำเค็มหรือน้ำเกลือเข้มข้นที่ได้จากการทำนาเกลือ โดยซื้อมาจากโรงเกลือ (ปีหนึ่งจะมีไม่กี่หน) ทำให้เต้าหู้ตกตะกอนเป็นวุ้นๆ หรือเป็นลิ่ม แล้วเทใส่พิมพ์ เอาของหนักกดทับเป็นบล็อกๆ กลายเป็นเต้าหู้ที่มีรสชาติและเนื้อสัมผัสอร่อย

ทีเด็ดอีกอย่างคือของขายดีคู่กับเต้าหู้ทอด นั่นก็คือเผือกทอด ไสเป็นเส้นๆ แล้วผสมแป้งหมี่ เกลือ และน้ำ ความแตกต่างอยู่ที่เขามีเผือก 2 ชนิด คืออย่างกรอบ และอย่างนุ่มซึ่งจะห่อด้วยฟองเต้าหู้แล้วนำไปทอด กินสลับกันแล้วจะเพลินมาก

นอกจากนี้ ก็มีข้าวโพดทอด ซึ่งต้องฝานข้าวโพดกันสดๆ ผสมแป้งหมี่ ปรุงรสด้วยเกลือ ซึ่งก็มี 2 ชนิด ทั้งอย่างกรอบ และอย่างนุ่มที่ห่อด้วยฟองเต้าหู้เหมือนกัน และก็มีหัวไชเท้าทอด ซึ่งไสเป็นเส้นๆ และใส่เกลือเพื่อลดความขื่น นวดให้นิ่ม ล้างน้ำเปล่า และบีบให้แห้ง จึงจะนำไปผสมแป้งหมี่ และห่อด้วยฟองเต้าหู้เช่นกัน

เต้าหู้ทอดถ้าขาดน้ำจิ้มที่ดีก็จะหมดเสน่ห์ไปมากโข แต่ที่ร้านนี้น้ำจิ้มนั้นคือสุดยอดแห่งน้ำจิ้มทีเดียว มีครบทุกรสลงตัวใส่ถั่วลิสงป่นเยอะๆ คั่วเองหอมๆ ลงทุนเครื่องทุ่นแรงทั้งเครื่องร่อนเปลือกถั่วลิสง เครื่องบด และเครื่องคั่วซึ่งคั่วได้ถึง 50 กิโลกรัม โดยจะเคี่ยวน้ำจิ้มทำจากน้ำมะขามเปียก น้ำตาล เกลือ และน้ำเปล่า นานถึง 4-5 ชั่วโมง ใส่ถั่วลิสงคั่วป่น และพริกสด โรยหน้าด้วยผักชี (ช่วงเจจะไม่ใส่)

อีกอย่างคือไม่น่าเชื่อว่าร้านนี้จะยังขายทุกอย่างชิ้นละ 5 บาท เท่านั้น (ถ้าขึ้นห้างขายชุดละ 5 ชิ้น 45 บาท) เรียกได้ว่าถูกและดีก็มีในโลกจริงๆ

นี่คือสาเหตุที่ว่าทำไมช่วงสายๆ จะมีผู้คนแวะเวียนมาซื้อกันอย่างไม่ขาดสาย แถมยังสามารถสั่งให้มาส่งได้ ทาง LINE MAN Foodpanda และ Grab Food อีกต่างหาก

ตอนนี้ร้านเต้าหู้ทอดสวัสดี แม่โอเล่ย์ กลายเป็นอีกหนึ่งร้านโปรดในดวงใจของปิ่นโตเถาเล็กเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอเชิญแฟนๆตามไปพิสูจน์ความอร่อยกันได้ทุกวันนะจ๊ะ

ของทอดครบชุด

ข้อมูลร้าน

เต้าหู้ทอดสวัสดี แม่โอเล่ย์

โดย คุณสิรีธร (โอเล่ย์) สวัสดี

ที่ตั้ง 706 ซอยเรวดี 62 ถนนเรวดี ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000

โทร 08-3784-7882, 09-8252-2911 (โอเล่ย์) 08-4727-1281 (คุณแม่ที่สุทธิสาร)

เปิดบริการ 06.00-14.30 น. ทุกวัน

แนะนำ เต้าหู้ทอด เผือกทอดอย่างกรอบและอย่างนุ่ม ข้าวโพดทอด หัวไชเท้าทอด

 

ที่มามติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2562
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก

ช่วงงานประเพณีทอดกฐินตลอด 1 เดือนหลังออกพรรษา เชื่อว่าแฟนๆ หลายคนกำลังตระเวนไปทำบุญถึงแดนดินถิ่นอีสาน จึงถือโอกาสแนะนำสุดยอดร้านส้มตำอีสานปนลาวในจังหวัดนครพนม เจ้าของฝ่ายหญิงเป็นสาวสวยจากฝั่งลาวมาแต่งงานกับหนุ่มไทย เปิดร้านส้มตำขายดิบขายดีจนมีสาขาทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง ร้านนี้มีชื่อว่า ส้มตำปองเต เปิดมาได้ 7 ปีแล้ว

คำว่าปองเต นั้นมีที่มาจากชื่อลูกชายลูกสาว ปองๆ และปาเต (ชื่อนี้หมายถึงตับบด ในภาษาฝรั่งเศสนั่นเอง) สาขาที่เรามาชิมคือร้านแรกในตึกแถวหลายคูหาริม ถนนทัศนปทุม ไม่ไกลจากใจกลางเมือง ห่างจากริมโขงเพียง 500 เมตร เจ้าของร้านคือคุณสุดพงษ์และคุณบุญแพง แม่ค้าคนสวย

นอกจากนี้ ยังมีร้านอีกแห่งของพี่สาวคุณแพงในตัวเมืองนครพนม ตรงข้ามโรงแรมบลู และของน้องสาวอยู่ฝั่งลาวตรงกันข้าม อีกทั้งของพี่สาวคนรองที่เวียงจันทน์อีกด้วย

หน้าร้านจะเป็นเคาน์เตอร์สำหรับวางของกินของขายมากมายจนเต็มไปหมด ด้านข้างมีกระดานเมนูขนาดใหญ่ จะยืนสั่งจากข้างหน้าหรือด้านในร้านก็ได้

ดูแค่ส้มตำก็มีให้เลือกมากถึงกว่า 30 เมนู ทีเด็ดอยู่ที่ปลาร้าหมักเอง เป็นปลาร้าปลารวม เคี่ยวด้วยเตาถ่านฝีมือคุณแม่ ส่งมาให้จากฝั่งลาว ถ้าใครติดใจก็มีขายเป็นขวดๆ ด้วย

ตำยอดนิยมคือ ตำปูปลาร้า (40 บาท) โรยด้วยกุ้งฝอยจากแม่น้ำโขงคั่ว ตำไทยไข่เค็ม (60 บาท) ก็รสแซ่บแบบอีสานสุดยอด ไฮไลต์อีกอย่างคือ ตำเส้นข้าวเปียก (50 บาท) ใส่เส้นเล็กที่กินกับต้มเส้นหรือกวยจั๊บญวน และใส่ผักบุ้ง กะหล่ำปลี มะเขือเทศ คลุกเคล้าน้ำปลาร้า โรยถั่วลิสง ใส่หมูยอ หมึก และกุ้งทะเล อร่อยไม่เหมือนใคร และก็มี ตำหลวงพระบาง (50 บาท) ใส่เส้นกวยจั๊บ ผักบุ้งและกะหล่ำ คุณแพงบอกว่าตำที่กำลังมาแรงขายดีคือ ตำหอยแครง (100 บาท) และ ตำกุ้งสด (80 บาท)

วันนั้นเรายังสั่ง ตำถั่ว (40 บาท) โรยด้วยกุ้งฝอยคั่ว และ ตำกล้วย (50 บาท) ใส่กล้วยตานี มะเฟือง มะเขือ ปูเค็ม และปลาร้า เพิ่งเคยลิ้มลองเป็นครั้งแรก ถ้าเป็นหน้ากระท้อน ตำกระท้อน (50 บาท) จะขายดีมาก

ที่นี่มีเมนูอีสานพื้นบ้านยอดฮิต ไข่ทรงเครื่อง (ไม้ละ 3 ฟอง 20 บาท) ด้วย กรรมวิธีคือนำไข่ไก่สดมาเจาะรู เทไข่ขาวไข่แดงออกมาตี ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาล พริกไทย แล้วกรอกใส่เปลือกไข่ใหม่ นำไปนึ่ง และนำมาเสียบไม้ปิ้งต่อ

ส่วนเมนูเผาปิ้งย่าง ห้ามพลาด ปลาเผา (ชุดละ 200 บาท) เป็นอันขาด มีวันละ 10 ตัวเท่านั้น ใช้ปลานิลแม่น้ำโขง เนื้อแน่นสดไม่มีกลิ่นโคลนแม้แต่น้อย แกล้มด้วยผักดอง ตะไคร้กับหอมแดงซอย เส้นขนมจีน และผักสด ราดด้วยน้ำจิ้มหวานใส่ถั่วลิสงกับน้ำจิ้มซีฟู้ดเผ็ดๆ ขอยกมือเชียร์ให้สั่งเมนูปลาเผานี้ให้จงได้

ตำปูปลาร้า
ตำเส้นข้าวเปียก
ตำหลวงพระบาง

อีกอย่างที่ต้องสั่งคือ คอหมูย่าง (70 บาท) นุ่มหอมอร่อยมาก และก็มี หมูกรอบ (80 บาท) ไก่ย่างทั้งไก่บ้านและไก่เนื้อ (70-140 บาท) ไส้อ่อนย่าง (70 บาท) หม่ำทำจากเครื่องใน (100 บาท) และ กุนเชียง (10 บาท) ซึ่งผมโดนแย่งกินจนหมด

เรายังสั่ง หมูยอทอด (แผ่นละ 20 บาท) และ ปลาส้มทอด ทั้งตัวเปรี้ยวหอม ซึ่งเมนูของทอดอื่นๆ มีอีกหลายอย่าง เช่น แหนมซี่โครงทอด ปีกไก่ทอด ไส้กรอกอีสานทอด หมูแดดเดียวทอด นอกจากนี้ ยังมีของกินจานเล็กๆ อย่างเช่น ผัดหมี่ลาว (10 บาท) ใส่น้ำตาลทรายคั่วจนสีเข้มแกล้มไข่เจียวซอยเป็นเส้นๆ และมีหมกปลากับ หมกเครื่องในไก่ (20 บาท) ใส่วุ้นเส้นอีกด้วย ของพวกนี้หากินยากในเมืองกรุง สามารถไปยืนชี้ที่หน้าเคาน์เตอร์ได้เลย

คุณบุญแพง

คุณแพงบอกว่า ยังมี หมกพื้นท้องปลา (100 บาท) อีกอย่าง ซึ่งพอสั่งจะทำจากในครัวร้อนๆ เลย ส่วนของน้ำๆ ซดๆ ให้ลอง ต้มแซ่บตีนไก่ (100 บาท) หรือจะสั่งเป็นต้มแซ่บซี่โครงหมูก็ได้ และมี แกงหน่อใส่ข้าวเบือข้นๆ (30 บาท) เมนูต้มแกงอื่นๆ ที่คนชอบสั่งมีแกงเห็ดสามอย่าง อ่อมเนื้อหรือหมูหรือไก่

ผมยกให้ร้านส้มตำปองเตเป็นสุดยอดแห่งร้านส้มตำกับอาหารอีสานแห่งเมืองนครพนม ไม่ไปลองชิมไม่ได้แล้ว อิ่มบุญแล้วต้องมาอิ่มอร่อยที่นี่กันด้วย ร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงบ่าย 4 โมงเย็น หยุดทุกวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน แต่ถ้าตรงกับเสาร์-อาทิตย์ จะเลื่อนไปหยุดวันธรรมดาแทน โทรสอบถามได้ที่ 09-3362-9142 นะจ๊ะ

 

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
คอหมูย่าง
ไก่บ้านย่าง
ไก่เนื้อย่าง
ปลาส้มทอด
ปลานิลแม่น้ำโขงเผา
หมูกรอบ
ผัดหมี่ลาว
หม่ำ

ไปเยือน นครพนม แล้วจะมีความสุขล้นเหลือ เป็นคำกล่าวที่ไม่ได้เกินจริงแม้แต่น้อย ปิ่นโตเถาเล็กไปพิสูจน์มา 3 วัน 3 คืน เป็นที่เรียบร้อย นครพนมมีโรงแรมเล็กๆ เก๋ๆ ริมแม่น้ำโขงให้เลือกพัก ได้ชมวิวหลักล้านเห็นสายน้ำและภูเขา (ฝั่งลาว) งดงามตระการตา ถนนคนเดินวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ก็น่าตื่นตาตื่นใจ อีกทั้งคนเมืองนี้ช่างมีอัธยาศัยจิตใจงดงาม

มานครพนมแล้วได้ทำกิจกรรมหลากหลาย เช่น ปั่นจักรยานยามเช้าเลียบริมน้ำ ไหว้พระธาตุประจำวันเกิดในสัปดาห์ กราบขอพรจากพญาศรีสัตตนาคราช แลนด์มาร์กสำคัญของตัวเมืองนั่งอ้อยอิ่งกับคาเฟ่เก๋ๆ ในบ้านโบราณ เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ และที่ขาดไม่ได้คือนครพนมมีของกินอร่อยให้เลือกครบทุกรสชาติ

มาเมืองริมฝั่งโขงอย่างนี้ ก็ต้องลิ้มลองของดีคืออาหารจานปลาแม่น้ำโขงสดอร่อย และร้านที่ขึ้นชื่อเรื่องปลาแม่น้ำในยุคนี้ก็คือ เป๋นปลาเป็น เปิดมานาน 6 ปีแล้ว ตอนนี้ได้ย้ายร้านจากที่เก่ามาไม่กี่ร้อยเมตร อยู่ริมถนนเลียบแม่น้ำที่ บ้านอาจสามารถ เช่นเดิม โดยย้ายมาอีกฝั่งถนนเลียบแม่น้ำ ซึ่งยังเห็นวิวทิวเขาฝั่งลาวได้เต็มตา อยู่ห่างจากใจกลางเมืองประมาณ 5 กิโลเมตร และอยู่ก่อนถึงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 ประมาณ 4 กิโลเมตร จุดสังเกตริมถนนใหญ่ใกล้ปากทางเข้าซอยเป็นที่ตั้งของ โรงเรียนกีฬานครพนม

ที่ใหม่นี้โอ่โถงบรรยากาศดีมีทั้งห้องปรับอากาศและโซนเปิดโล่งระเบียงยาวริมโขง คุณเป๋นหรือคุณประเวศ เจ้าของร้านเป็นคนช่างกิน จึงคิดเมนูรสชาติได้ถูกใจหลากหลาย มีขาประจำผู้หลักผู้ใหญ่แวะเวียนมาอุดหนุนเป็นประจำ

ปลาแม่น้ำนั้นแน่นอนว่ามีให้เลือกหลายชนิด โดยรับปลามาจากชาวบ้านที่เลี้ยงในกระชังแถวนั้น สดอร่อยไม่มีกลิ่นโคลนแม้แต่น้อย มีทั้งปลาเนื้ออ่อน ปลาเผาะ ปลาคัง ปลาโจก ปลารากกล้วย และช่วงน้ำหลาก เราจะได้ลิ้มลองปลาแข้เนื้อเหลืองๆ หนังมันๆ อีกด้วย กับเมนูพื้นบ้าน ลาบปลาแข้ (179 บาท) แซ่บๆ

กินปลาสดๆ ต้องสั่ง ปลาจุ่ม มีทั้งชุด ปลาเผาะ เนื้อมันๆ (199 บาท) และ ปลาคัง (299 บาท) ซึ่งจะเพิ่มเนื้อปลาเป็น 2 อย่างเลยก็ได้ (เพิ่มปลาเผาะ 99 บาท ปลาคัง 179 บาท) น้ำซุปนั้นทำจากน้ำสต๊อกกระดูกหมูและไก่ ซึ่งจะมีกระดูกปลาใส่ถ้วยมาให้เติมเพื่อทำให้น้ำซุปหวานยิ่งขึ้นไปอีก จุ่มเนื้อปลาพอสุกจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ดใส่เต้าเจี้ยว ชิมแล้วมีความสุขสุดสุด

ที่ห้ามพลาดอีกอย่างคือ ปลารากกล้วยทอดกระเทียม (150 บาท) ชุบไข่และชุบแป้งทอดตัวเล็กๆ กรอบๆ กินได้ทั้งตัว ปลานี้มาไกลจากอุบลฯ และก็มี ปลาคังผัดฉ่า (179 บาท) รสจัดๆ ใส่พริกไทยอ่อน เนื้อปลาคังชุบแป้งบางๆแล้วนำไปทอด

อีกเมนูปลามาเป็นชุดคือ เมี่ยงปลาทอด (229 บาท) ใช้ปลานิลแม่น้ำโขง แกล้มด้วยขนมจีน ผักดอง ห่อด้วยผักสดมีทั้งผักกาดหอม ผักแพว โหระพา อีตู่ (แมงลัก) และสะระแหน่ ราดน้ำจิ้มได้ 2 แบบ มีน้ำจิ้มหวานๆ ใส่ถั่วลิสงกับกระเทียมเจียวและพริกส้มปั่น และน้ำจิ้มซีฟู้ด

ปลาจุ่ม(ปลาเผาะและปลาคัง)
ปลารากกล้วยทอดกระเทียม
ลาบปลาแข้

แนะว่าให้สั่ง ตำแตงใส่ไข่ต้ม เกือบเป็นยางมะตูม (60 บาท) มากินคู่กัน ส้มตำร้านนี้แซ่บนัวนะจ๊ะ อีกอย่างที่ชอบมากคือ ตำไทย (40 บาท) รสอีสานจัดๆ ถูกใจไม่หวานมาก หรือจะกินตำลาว และ ตำถาด เครื่องจัดเต็ม (99 บาท)ทั้งข้าวเกรียบปลา ไข่ต้ม หมูยอ แคบหมู ขนมจีน ผักดอง

เมนูที่สร้างชื่อให้กับร้านตั้งแต่เริ่มแรกคือ ไก่ทอดตะไคร้ (99 บาท) เสิร์ฟมาในครก ปีกไก่หมักด้วยน้ำปลา พริกไทยดำ แล้วทอดเลย โรยหน้าด้วยตะไคร้ตำละเอียด ปรุงด้วยน้ำปลาแล้วชุบแป้งทอด ให้มาขยุ้มโต

ของทอดน่ากินอื่นๆ ยังมี คอหมูทอด (99 บาท) หมักรสเค็มอมหวานข้ามคืน แล้วแตะแป้งทอดแห้งๆ อร่อยมาก คุณเป๋นบอกว่า ปลาเผาะทอดน้ำปลา ก็เป็นเมนูฮิตเช่นกัน

ของกินพื้นบ้านอีสานมี คั่วเห็ดเผาะใส่ไข่มดแดง ได้กินตลอด เพราะเขาจะต้มเห็ดเผาะและแช่แข็งไว้ อีกทั้งไข่มดแดงก็จะล้างและแช่แข็งเก็บไว้เช่นกัน คั่วกับเกลือและน้ำปลาหอมๆ อีกเมนูที่ต้องสั่งคือ อ่อมพวงไข่กับอ่อมซี่โครงหมู (159 บาท) สั่งให้ใส่ทั้งสองอย่างก็ได้ น้ำข้นๆ ด้วยข้าวคั่วขาวปั่น ต้มนานๆ ใส่ผักชีลาว น้ำปลาร้า และผักอื่นๆ

คุณเป๋นสั่งของกินเล่นมาให้คือ ข้าวจี่ (99 บาท มี 4 ชิ้นใหญ่) ชุบไข่ ปรุงด้วยน้ำปลาและน้ำมันหอย แล้วนำไปทอดไฟแรงๆ ชุบทอด 3 รอบจนหอม นี่คือสิ่งที่ควรลิ้มลองให้จงได้นะจ๊ะ

ส่วนของหวานมีหลายอย่างทั้ง กล้วยไข่เชื่อมราดกะทิ ลอดช่องแตงไทย ทับทิมกรอบ สาคูแคนตาลูป

นี่คือสุดยอดร้านอาหารจานปลาแม่น้ำโขง เป็นร้านที่ควรอยู่ในลิสต์สิ่งที่ต้องทำเวลามานครพนมเลยนะจ๊ะ เป๋นปลาเป็นเปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม ช่วงเย็นควรโทรจองโต๊ะก่อนที่ 08-7634-7467 ด้วย

เป๋นปลาเป็น

โดย คุณประเวศ (เป๋น) ชินะรัก

ที่ตั้ง 115 หมู่ 6 ถ.นครพนม-ท่าอุเทน ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม 48000

โทร 08-7634-7467

เปิดบริการ 10.00 – 21.00 น. ทุกวัน

แนะนำ ปลาจุ่ม (ปลาเผาะและปลาคัง) ตำแตงใส่ไข่ต้ม ไก่ทอดตะไคร้ คอหมูทอด อ่อมพวงไข่กับอ่อมซี่โครงหมู ข้าวจี่ ลาบปลาแข้ ปลารากกล้วยทอดกระเทียม ปลาคังผัดฉ่า เมี่ยงปลาทอด ตำไทย ปลาเผาะทอดน้ำปลา คั่วเห็ดเผาะใส่ไข่มดแดง

ตำแตงใส่ไข่ต้ม
ข้าวจี่
คอหมูทอด
อ่อมพวงไข่กับซี่โครงหมู
ที่มาปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
บะหมี่แห้งพิเศษใส่เครื่องครบ ขอน้ำซุปอีกต่างหาก

กระแสการตามหาของอร่อยในร้านเล็กๆ ตามตรอกซอกซอย ประเภทที่ถ้าไม่ดั้นด้นไปจริงๆ ไม่มีทางหาเจอ กำลังมาแรงมาก สังเกตได้จากเวลาที่ปิ่นโตเถาเล็กโพสต์ลงในโซเชียลเน็ตเวิร์กสังคมออนไลน์ จะมีคนกดไลค์ถึงหลักหมื่นทีเดียว

อาทิตย์นี้ขอแนะนำร้านเก่าแก่ที่นำกลับมาทบทวนใหม่อีกครั้ง อยู่ในย่านบ้านหม้อ พาหุรัด ถ้าไม่ชี้เป้าให้ แฟนๆ ไม่มีทางไปถูกได้เลย แต่ถึงกระนั้นเจ้านี้ก็มีลูกค้าขาประจำดั้งเดิมอยู่มากมาย อีกทั้งยุค 4.0 การสั่งอาหารทางมือถือเป็นสิ่งที่ง่ายดาย เจ้านี้ก็เช่นกัน มีไลน์แมนมายืนรอซื้อเข้าคิวแข่งกับพวกเราจนกลายเป็นเรื่องปกติวิสัย ขอเฉลยเลยว่าร้านนี้คือ เจงคุง ลูกชิ้นปลาบ้านหม้อ

เจงคุง คือร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาระดับตำนาน ขายมาถึง 3 ชั่วอายุคนตั้งแต่ช่วงสมัยสงครามโลกที่ 2 ทำเลที่ตั้งลึกลับมาก อยู่ในตรอกเล็กๆ ซึ่งคนพื้นที่เรียกว่าตรอกไก่ (แต่ไม่มีชื่อซอย) และแต่ก่อนไม่มีป้ายชื่อร้านอีกด้วย แต่ตอนนี้เขาทำแผ่นป้ายที่เรียกว่าสแตนดี้ สูงเท่าตัวคน มาตั้งหน้าร้านไว้สำหรับเป็นจุดสังเกตให้แล้ว

ก่อนอื่นขอบอกทางไปเสียก่อน ถ้านำรถส่วนตัวมา สะดวกที่สุดคือให้ไปจอดรถที่ ดิ โอลด์สยาม ถ้าใครอยากจะตามรอย ขอให้ไปถึงตั้งแต่ 10 โมงเช้า ข้อดีก็คือที่จอดรถชั้นใต้ดินของดิ โอลด์สยามยังไม่เต็ม แต่ถ้าไปหลัง 11 โมงแล้ว อาจจะต้องย้ายไปจอดบนตึกสูง วนกันเป็นสิบกว่ารอบทีเดียว อีกอย่างคือร้านเจงคุง เปิดขายวันละ 4 ชั่วโมง ตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึงบ่าย 2 โมงเท่านั้น จึงควรรีบไปตั้งแต่ตอนสายๆ จะได้ยังมีของกินทุกอย่างครบถ้วน

จอดรถแล้วให้เดินออกมาตรงหัวมุมดิ โอลด์สยาม หาจุดตั้งต้นที่ แยกพาหุรัด (มีป้ายติดไว้เบ้อเริ่มเทิ่ม ส่วนแยกบ้านหม้ออยู่ถัดไปอีกแยกหนึ่ง) เสร็จแล้วข้ามไฟแดงไปตามถนนพาหุรัด (พอข้ามไปแล้ว รถจะวิ่งทางเดียวสวนทางมาหาเรา) ประมาณ 100 เมตร จนถึง ธ.กรุงเทพสาขาพาหุรัด จากนั้นหันหลังให้ธนาคาร แล้วข้ามถนนมายังฝั่งตรงข้าม เดินเข้าไปในตรอกเล็กๆ ที่ปากตรอกอยู่ระหว่าง ห้างเพชรสุณี กับ ร้านเบ๊ย่งจั๊ว เพียงไม่กี่สิบก้าว ก็จะถึงร้านห้องแถวเล็กๆ สีฟ้าๆ ดูขลังด้วยความโบราณเก่าแก่ทางขวามือ

อีกทั้งตอนนี้เราสามารถขึ้น รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน จากสถานีหัวลำโพง มาอีก 2 สถานี แล้วมาขึ้นที่ สถานีสามยอด เดินทะลุดิ โอลด์สยามไปที่ร้านเจงคุง ใช้เวลา 10 นาทีได้แล้วด้วย ถ้าหิวก็แวะซื้อ ทอดมันปลากรายบ้านหม้อ ที่ขายอยู่ในตรอกก่อนถึงร้านเจงคุง ชิมรองท้องเสียก่อนก็ย่อมได้ (น่าเสียดายที่วันนี้ร้านหยุด)

เจงคุงนั้นคือชื่อพ่อของคุณสุรเดช ผู้สืบทอดกิจการรุ่นที่ 3 (ขายมาตั้งแต่รุ่นปู่) ซึ่งแต่ก่อนนั้นจะหาบลูกชิ้นปลาใส่ตู้ไม้ไปเร่ขายตามที่ต่างๆ (เชิญดูรูปหาบตู้ไม้และบัตรเร่ขายที่ติดอยู่ตรงฝาผนังได้) แต่รุ่นนี้จะปักหลักขายอยู่ในร้าน ซึ่งเจ๊ที่ยืนชงก๋วยเตี๋ยวยิ้มร่าอยู่หน้าร้านนั้นคือศรีภรรยาของคุณสุรเดชนั่นเอง

เจ้านี้ขยันตื่นแต่ตี 4 มานวดปลาและปั้นลูกชิ้นเอง พร้อมขายตอน 10 โมงเช้า และขายไปจนถึงบ่าย 2 โมงก็หมดแล้ว แนะว่าให้ไปตอนสายๆ ไม่เกิน 11 โมงเช้า จะได้มีของทุกอย่างครบถ้วน

เครื่องเคราต่างๆ ล้วนแล้วแต่สุดยอดทั้งนั้น มี ลูกชิ้นปลา ทำจากปลา 3 ชนิดผสมกัน คือ ปลาอินทรี ปลาดาบ และ ปลาหางเหลือง เหนียวนุ่มไม่มีกลิ่นคาวแม้แต่น้อย เกี๊ยวกุ้งทะเล เป็นตัวๆ ผสมหมูสับที่แสนจะนุ่ม ฮื่อก้วยทอด หอมอร่อยรสชาตินุ่มนวล และที่ขาดไม่ได้อีกอย่างคือลูกชิ้นกุ้งหอมมัน

มีของหายากซึ่งนานๆ จะทำที ก็คือ เกี๊ยวปลา แบบโบราณ ตัวเกี๊ยวหนาหนึบเหมือนกินเส้นปลาหนาๆ เพราะทำจากเนื้อปลาล้วนจริงๆ (แค่แตะแป้งเพื่อให้ปั้นเป็นตัวเกี๊ยวได้) ถ้ามีให้รีบตะครุบรีบสั่งเลยนะจ๊ะ ถ้าวันไหนมีเกี๊ยวปลาก็จะมี เส้นปลา อีกต่างหากด้วย

สูตรสำเร็จของผมคือ บะหมี่แห้งลูกชิ้นปลา เส้นเหนียวนุ่มหอมอร่อย แล้วขอ น้ำซุป มาต่างหาก ซดน้ำซุปหอมหวานตาม รับรองเห็นสวรรค์รำไร สนนราคาชามละ 60 บาท ให้ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นกุ้งและฮื่อก้วย นานๆ มาทีควรสั่งพิเศษชามละ 80 บาทเสียเลย จะได้กินอร่อยครบเครื่อง ซึ่งจะเพิ่มเกี๊ยวกุ้งหรือเกี๊ยวปลากับเส้นปลาให้อีกด้วย และผมเห็นมีบางคนสั่งชามละ 100 บาทก็มีด้วย

นอกจากบะหมี่กับเกี๊ยวแล้ว เขายังมีเส้นใหญ่ เส้นเล็ก เกี้ยมอี๋ เส้นหมี่ อีกด้วย ถ้าติดใจอยากซื้อกลับบ้าน ก็จะคิดลูกชิ้นปลากับลูกชิ้นกุ้งลูกละ 8 บาท ฮื่อก้วยเส้นละ 80 บาท เกี๊ยวกุ้งลูกละ 12 บาท

นี่คือร้านลูกชิ้นปลาที่ยังทำกันในครอบครัวด้วยกรรมวิธีดั้งเดิม สมควรแก่การมาลิ้มลองให้รู้ว่าของกินดีๆ สมัยก่อนนั้นเป็นอย่างไร แต่แฟนๆ อ่านจบแล้วอย่าเพิ่งเผลอไปเพราะเขาหยุดวันอาทิตย์ นะจ๊ะ ยังมีซีรีส์ของอร่อยๆ ให้เชยชมอีกมาก แล้วพบกันใหม่อาทิตย์หน้าครับ

เกาเหลาต้มยำ
เกี๊ยวปลาหนึบอร่อย
เกี๊ยวปลาหนึบอร่อย
เส้นเล็กแห้งพิเศษ

ข้อมูล

เจงคุง ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาบ้านหม้อ

โดย คุณสุรเดช คล่องบุญจิต

ที่ตั้ง 102 ตรอกไก่ ตรงข้าม ธ.กรุงเทพ พาหุรัด ถ.พาหุรัด พระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทร 08-7082-5142

เปิดบริการ 10.00 -14.00 น.(ปกติจะหมดก่อนเวลา) จันทร์-เสาร์

หยุด ทุกวันอาทิตย์ และเทศกาลต่างๆ (ปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ สารทจีน เทศกาลกินเจ 10 วัน วันเฉลิมพระชนมพรรษา)

แนะนำ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาทำเอง

บัตรเร่ขาย
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก

ปิ่นโตเถาเล็กรับใช้แฟนๆ ตามรอยพ่อไปชิมและตามรอยเพื่อนไปชิมนับพันร้าน จนกระทั่งสามารถนำมาประมวลผล กลายเป็นซีรีส์ร้านอร่อยที่ปิ่นโตเถาเล็กชื่นชอบได้เป็นร้อยๆ เจ้า ซึ่งแต่ละร้านต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวพิเศษกว่าใคร เช่น เป็นร้านคิวยาวเหยียด ร้านจองนานข้ามปี ร้านในตำนาน ร้านเมนูแปลกแต่อร่อย รวมถึงร้านเล็กๆ อยู่ในชุมชนค่อนข้างลับตาคน แต่ใครๆ ก็ต้องดั้นด้นไปลิ้มลอง ดังเช่นเจ้าที่เพิ่งไปทบทวนและขอแนะนำซ้ำในวันนี้ มีชื่อว่า ส้มตำเจ๊นกกำแพงเอียง

เคยแนะนำร้านส้มตำเจ๊นกครั้งแรกเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน อยู่ในย่านซอยชินเขต หลัง ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ ถือเป็นร้านขวัญใจนักศึกษาและคนทำงานในย่านนี้ ทำเลที่ตั้งอยู่ในซอยรอง ถ้าไม่รู้จักมาก่อน คงผ่านเลยไปโดยไม่ได้ชายตามองแม้แต่น้อย หารู้ไม่ว่าของย่างและส้มตำของเจ๊นกอร่อยเหลือหลาย

ถ้ามาจากทาง ถ.วิภาวดีรังสิตขาออก พอเลยแยก ม.เกษตร ให้เข้าทางคู่ขนานแล้วเลี้ยวซ้ายลอดอุโมงค์วิ่งทะลุโครงการนอร์ธ ปาร์ค ที่มีสนามกอล์ฟราชพฤกษ์ ผ่านตึกที่ทำงานแล้วมาออกประตูหลัง เข้าซอยงามวงศ์วาน 47 แยก 39 จากนั้นวิ่งตรงต่อไปอีกนิดเดียวจนถึงสี่แยกที่มี 7-11 อยู่ตรงหัวมุมสี่แยกฝั่งตรงข้ามด้านขวา เลี้ยวขวาเข้าซอยนี้ได้เลยอีกอึดใจเดียวจะเห็นร้านส้มตำกำแพงเอียงอยู่ในซอกข้างตึกแถวทางซ้ายมือ จุดสังเกตฝั่งตรงข้ามร้านด้านขวาคือซอยงามวงศ์วาน 47 แยก 46 (ซอยชินเขต 2/44)

ถ้ามาจาก ถ.ประชาชื่น (ตรงท่าทราย) ให้เลี้ยวเข้าซอยประชาชื่น 12 ตรงมาจนสุดแล้วเลี้ยวขวาที่สามแยกผ่านด้านหลัง ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ จากนั้นถนนซอยจะเป็นทางบังคับเลี้ยวซ้ายซึ่งก็คือซอยงามวงศ์วาน 47 แยก 39 นั่นเอง ถ้ามาด้านนี้ 7-11 จะอยู่ทางซ้ายมือ ให้เลี้ยวซ้ายที่สี่แยกนี้ ก็จะเห็นร้านเจ๊นกอยู่ทางด้านซ้ายมือเช่นกัน

เจ๊นกเป็นคนกรุงเทพฯโดยกำเนิด แต่รักการกินส้มตำเป็นชีวิตจิตใจ จึงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารอีสาน เปิดร้านส้มตำมาร่วม 22 ปีแล้วกับคุณอเนก คู่ชีวิต

ตัวร้านเล็กๆ อยู่ในซอกข้างตึกแถว อีกด้านหนึ่งคือกำแพงบ้านที่เอนเข้าหาตัวร้านอย่างพองาม (ตอนนี้เอียงมากขึ้นแล้ว) จึงกลายเป็นที่มาของชื่อร้านส้มตำเจ๊นกกำแพงเอียง สมควรที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจะโปรโมตให้คนมากินกันมากๆ จนกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์คู่กับหอเอนแห่งเมืองปิซ่า

ของอร่อยเจ้านี้มีมากมายหลายอย่าง สนนราคาอาหารแต่ละจานนั้นถูกแสนถูก จึงไม่น่าแปลกใจที่บรรดาผู้คนจะแห่กันมาลิ้มลองช่วง 11 โมงครึ่งไปจนถึงบ่ายโมงกว่าๆ เพราะฉะนั้นจงโปรดหลีกเลี่ยงช่วงเวลามื้อกลางวันด้วยนะจ๊ะ

เจ๊นก
เจ๊นก
ตำกะปิกุ้งสด
ส้มตำไข่เค็ม
ส้มตำไข่เค็ม

มาแล้วต้องสั่งส้มตำที่มีให้เลือกนับสิบชนิด อ่านรายการอาหารที่กระดานได้เลย ส้มตำเจ้านี้เขาใส่มะนาวแท้ หน้าร้อนมะนาวแพงแค่ไหนก็ยังใจป้ำใช้มะนาวสดอยู่ดี ปิ่นโตเถาเล็กชอบสั่งส้มตำ 2 แบบมาประชันกัน ทั้งส้มตำไข่เค็ม (40 บาท) ที่เขาตำแบบตำไทย ใส่ไข่เค็มครึ่งลูกขยี้รวมกับมะละกอ ส่วนอีกครึ่งลูกวางเคียงข้างไว้ให้ในจาน รสชาติสดใสซาบซ่าหอมมันกินแล้วชื่นใจ

ส่วนอีกอย่างคือตำซั่วใส่ปูเค็มกับปลาร้า (40 บาท) ที่ผสมขนมจีนเส้นเล็กๆ คลุกเคล้ารวมกับตัวมะละกอ ใส่ปลาร้าหอมๆ กับปูเค็มเข้าไปด้วย หอมหวนอย่าบอกใคร ถ้าเป็นส้มตำธรรมดา เช่น ตำไทย ตำปู ตำปลาร้า จะคิดจานละ 30 บาท เท่านั้น

เมนูเด็ดที่ห้ามพลาดเป็นอันขาดคือคลุกฝุ่น (เนื้อ) (60 บาท) จานนี้รสจัดสุดสุด คล้ายกับเนื้อน้ำตกแต่รสจัดกว่า ใช้เนื้อติดมันนุ่มๆ คลุกกับเครื่องต่างๆ รวมทั้งน้ำจิ้มแจ่วที่ใส่ข้าวคั่ว บีบมะนาวลงไปตอนคั่วเพื่อให้มีกลิ่นหอมจรุงใจ ปรุงรสให้เผ็ดจัดๆ เมนูนี้ทำทีไรก็จะเกิดอาการไอจามกันทุกคนไม่มีเว้น ถ้าไม่กินเนื้อก็มีคลุกฝุ่นไก่ หมู และคอหมู อีกด้วย

คลุกฝุ่นเนื้อ

อาหารจำพวกปิ้งย่างมีมากมายหลายสิ่ง แต่ที่ต้องรีบจอง ช้าหมดอดกินคือตับย่าง (ไม้ละ 10 บาท ที่เห็นในรูปคือ 2 ไม้) นุ่มๆ หอมๆ อย่าบอกใคร ถ้าชอบกินไก่ก็มีทั้งปีกกลางย่าง (ไม้ละ 15 บาท มี 2 ชิ้น) และสะโพกไก่ย่างหอมๆ (ชิ้นละ 40 บาท) อีกอย่างที่ต้องลองให้ได้ก็คือ ไส้อ่อนย่าง (50 บาท) นุ่มและหอมอร่อยเป็นที่สุด นอกนั้นยังมีคอหมูย่าง หมูย่าง ปลาดุกย่าง กับกึ๋นและหัวใจไก่ อีกด้วย

ถ้าชอบซดน้ำต้องลองต้มแซ่บเอ็นแก้วกับซี่โครงหมู (60 บาท) ใส่เห็ดฟาง รสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดสดใสซาบซ่าผสมกับรสเค็มนิดๆ นี่ก็เผ็ดร้อนอีกเช่นกัน หรือจะกินแกงอ่อมซี่โครงหมู (50 บาท) ใส่ผักสารพัดรวมทั้งผักชีลาว

นอกจากนี้ ยังมี ลาบ (ควรสั่งลาบเป็ด (50 บาท) ใส่กึ๋นเป็ดจะหอมอร่อยเป็นที่สุด) น้ำตก ยำ ตับหวาน ซุบหน่อไม้ เรียกได้ว่าครบเครื่องเรื่องอีสาน ขอแนะนำเมนูใหม่ ลาบหน่อไม้ (50 บาท) เหมือนซุบหน่อไม้แต่ใส่หมูสับด้วย และตำกะปิกุ้งสด (80 บาท) ที่ใส่กะปิแทนปลาร้า กินกับกุ้งทะเลสดๆ

อ่านจบแล้วอย่าเพิ่งไปเพราะร้านนี้เขาปิดเสาร์-อาทิตย์ รอวันจันทร์ค่อยตามไปนะจ๊ะ และอย่าลืมพกทิชชูไปเต็มห่อด้วย รับรองได้ใช้แน่ๆ เลย

ร้านเปิด 9 โมงครึ่งถึงบ่าย 3 โมงครึ่ง โทรสอบถามทางได้ที่ 08-2960-8578


ส้มตำเจ๊นกกำแพงเอียง

โดย คุณอเนก-สแกวัลย์ (เจ๊นก) เอี่ยมโบราณ

ที่ตั้ง ซอกข้างตึกแถวเลขที่ 5/66 ซอยงามวงศ์วาน 47 (ชินเขต 2) ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กรุงเทพฯ 10210

โทร 08-2960-8578

เปิดบริการ 09.30-15.30 น. จันทร์-ศุกร์

หยุด เสาร์-อาทิตย์ ปีใหม่ สงกรานต์ เข้าพรรษา

 

 

แนะนำ ส้มตำไข่เค็ม ตำซั่วปูปลาร้า คลุกฝุ่น (เนื้อ) ตับย่าง ไส้อ่อนย่าง ต้มแซ่บเอ็นแก้วกับซี่โครงหมู ปีกกลางย่าง ลาบเป็ด แกงอ่อม (ต่างๆ) ลาบหน่อไม้

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
ของย่างสารพัด
ของย่างสารพัด
ตับย่าง
หมูย่าง
หมูย่าง

ไม่พูดพร่ำทำเพลง ปฏิบัติการตามรอยพ่อไปชิมได้เริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ปิ่นโตเถาเล็กขอยกมือเชียร์แนะนำร้านต้มเครื่องในวัวเจ้าตำนาน ซึ่งคุณชายถนัดศรีเคยแนะนำในคอลัมน์ยุคแรกเมื่อเกือบ 60 ปีที่แล้ว ความจริงพ่อชิมต้มเครื่องในวัวเจ้านี้มาตั้งแต่ยังไม่มีคอลัมน์เชลล์ชวนชิม (เริ่ม พ.ศ.2504) ปัจจุบันใครๆ รู้จักกันในชื่อว่า หม่อง ราชบพิธ (หรือวัดราชบพิธ) ต้มเครื่องในวัว

ร้านนี้ไม่มีป้ายชื่อหน้าร้านให้เป็นที่สังเกต ทางไปร้านให้ตั้งต้นที่ วัดราชบพิธฯ ซึ่งอยู่ถัดจาก กระทรวงมหาดไทย ร้านหม่อง ต้มเครื่องในวัวจะอยู่ในตึกแถวไม้แบบโบราณ 2 คูหา ประตูไม้บานเฟี้ยมริม ถนนราชบพิธ ซึ่งถนนเส้นนี้จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับวัดราชบพิธฯอีกที ซึ่งมี โรงเรียนราชบพิธกับ ศึกษาภัณฑ์ อยู่เยื้องออกไปไม่ไกลด้วย จะจอดรถริมทางก็ได้ (แต่มักจะหายากมาก) หรือไปจอดที่ ศูนย์การค้าดิ โอลด์สยาม หรือ ที่ศาลเจ้าพ่อเสือ และเดินมาประมาณ 10 นาที ก็สะดวกดี

นายหม่องผู้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับปิ่นโตเถาเล็ก คือเจ้าของร้านรุ่นที่ 3 ต่อจากพ่อและอา เมื่อราว 20 ปีก่อนที่ผมมาชิมนั้นยังมีแม่และอาร่วมด้วย ตอนนี้มีแค่คุณหม่องกับภรรยาและลูกน้องอีก 3 คน ช่วยกันทำมือเป็นระวิง

กิจวัตรประจำวันเริ่มต้นตั้งแต่ตี 4 เพื่อมาล้างทำความสะอาด ซึ่งต้มเครื่องในวัวจะเสร็จพร้อมขายตอนประมาณ 8 โมงเช้า พอได้เวลาบรรดาลูกค้าซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้ชายต่างก็มาจับจองที่นั่งกันสลอนจนเต็มร้านไปหมด มีทุกสาขาอาชีพตั้งแต่ตำรวจ ทหาร เด็กส่งเอกสาร คนขับสามล้อ แท็กซี่ ข้าราชการ พ่อค้า ฯลฯ นับได้ว่าเป็นร้านขวัญใจประชาชนโดยแท้ ลูกค้าบางคนก็มานั่งรอกินตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าทีเดียว ซึ่งตอนนี้ทันสมัยมากเพราะที่ร้านรับสั่งอาหารทางไลน์แมนอีกต่างหากด้วย แฟนๆสามารถสั่งอาหารแล้วนั่งสบายอารมณ์รอกินที่บ้านได้เลย

คุณชายถนัดศรีเคยบอกไว้ว่าเครื่องในวัวจะอร่อยชวนกิน อยู่ที่การล้างน้ำเกลือทำความสะอาดเป็นสำคัญ กว่าจะได้ที่นั้นเป็นเรื่องจุกจิกกินเวลามาก ต้องลงมือทำเองทุกอย่าง ครั้นจะล้างแบบสังเขปต้มออกมาก็เหม็นกินไม่ลง เครื่องในต้องสะอาด เคี่ยวเปื่อยพอดีด้วยความชำนาญว่าอย่างไหนควรเคี่ยวนานแค่ไหนจึงจะได้ที่ ไม่ต้มสำรวมไปหมดทุกอย่าง ดังนั้น ร้านเครื่องในวัวจึงร่อยหรอลงไปทีละเจ้า จนกระทั่งเหลือเพียงไม่กี่เจ้า

ซึ่งต้มเครื่องในวัวเจ้านี้ยังครองใจลูกค้าได้นานแสนนานก็เพราะว่ามีเครื่องให้เลือกสารพัด ต้มเปื่อยได้ที่ ไม่มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์แม้แต่น้อย ต้องชมเชยผู้รับคำสั่งที่สามารถจำได้หมดว่าใครจะเอาอะไรไม่เอาอะไร โดยไม่ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ลองคิดดูก็แล้วกันว่าเครื่องในวัวมีเยอะแยะให้จดจำทั้ง เนื้อเปื่อย เอ็น ขอบกระด้ง ดอกจอก ม้าม ไส้เล็ก ไส้ใหญ่ ปอด หลอดคอกรุบๆ สามสิบกลีบ (ส่วนนี้อร่อยมาก) กระเพาะ ตัวเดียวอันเดียว จะไม่มีก็แค่ตับ เนื้อสด หัวใจและผ้าขี้ริ้วเท่านั้น

เท่านี้ยังไม่พอ วันไหนถ้าโชคดีก็จะมี “น้องนาง” อีกด้วย ถ้าอยากรู้ว่าคืออะไรให้ไปถามที่ร้านกันเอาเอง เพียงแต่ขอบอกไว้ว่าถ้าวันไหนมีน้องนางขาย ก็จะขายหมดไปภายในชั่วพริบตาเดียว

สำหรับผู้ชื่นชอบเครื่องใน แนะนำว่าให้สั่งชามพิเศษ 80 บาท สั่งให้ใส่ทุกอย่างไปเลย ชามธรรมดา 50 บาท ไม่พอยาไส้หรอก และถ้าอยากกินสองชามให้สั่งมาคราวเดียวจะได้ไม่ต้องกลับไปตั้งคิวใหม่ให้เสียเวลา ระหว่างที่นั่งคอยก็ให้ผสมน้ำจิ้ม ใส่น้ำส้มพริกเหลืองตำสูตรเก่าแก่ น้ำปลา น้ำตาล และพริกป่น สำหรับเอาไว้จิ้มเครื่องในกินกับข้าวร้อนๆ แล้วซดน้ำแกงตามเข้าไป

 

คุณหม่อง-เจ้าของร้าน
ต้มเครื่องในวัวพิเศษ
กระเทียมต้มกินคู่กับต้มเครื่องในวัว
กระเทียมต้มกินคู่กับต้มเครื่องในวัว

ความดีงามของต้มเครื่องในวัวร้านหม่องอีกอย่างก็คือน้ำซุปใสๆ หอมกลิ่นตะไคร้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่มีเวลาหั่นฝอยทีละชาม แต่จะต้มลงในหม้อไปเลย และก็มีกระเทียม ข่า ลูกมะกรูดต้มและเผาอีกด้วย ควรขอ กระเทียมต้ม มากินแกล้มกับต้มเครื่องในวัวเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย กินกับข้าวสวยร้อนๆ (5 บาท) ลืมบอกไปว่าที่นี่ยังใช้เตาถ่านต้มเครื่องในวัวจึงร้อนระอุอร่อยเป็นทวีคูณ

ถ้าต้องการกินเครื่องในวัวครบทุกสิ่ง ควรไปแต่เช้า ตอน 8 โมงยิ่งดี แต่ถ้าต้องการให้ต้มเครื่องในวัวน้ำงวดได้ที่ ให้ไปตอน 10 โมงดีที่สุด แต่เวลานั้นของบางอย่างอาจจะหมดแล้วนะจ๊ะ แต่ไม่ควรไปเกิน 11 โมงเช้าก็แล้วกัน มิฉะนั้นอาจจะต้องช่วยเขาปิดร้านแทน ของหมดอดกินเป็นแน่ ข้อควรระวังอีกอย่างก่อนไปร้านนี้ควรเปิดปฏิทินวันพระให้ดี เพราะร้านหม่องเขาหยุดทุกวันอาทิตย์และทุกวันพระใหญ่นะจ๊ะ

หม่อง ราชบพิธ ต้มเครื่องในวัว
(ไม่มีป้ายชื่อร้าน)

โดย คุณพรชัย (หม่อง) ฐิติภาณุเวช

ที่ตั้ง 36-38 ถ.ราชบพิธ แขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทร 08-1835-1170

เปิดบริการ 08.00-11.00 น. หรือขายจนหมดไม่เกิน 12.00 น. จันทร์-เสาร์

หยุด อาทิตย์ วันพระใหญ่ เทศกาลปีใหม่ สงกรานต์

แนะนำ ต้มเครื่องในวัว

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)

วันอาทิตย์สบายๆ อย่างนี้เหมาะสำหรับตื่นสายๆ แล้วออกไปกินข้าวกับครอบครัวญาติสนิทมิตรสหาย ขอแนะนำ ร้านอาหารเช้าสไตล์ออสซี่ กินได้ตลอดทั้งวัน เรียกว่า All-Day Breakfast มีเมนูครบเครื่องเรื่องอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม ร้านนี้มีชื่อว่า โทบี้ส์ (Toby’s) อยู่ท้ายซอยสุขุมวิท 38 ทางด้านซ้ายมือ

โทบี้ส์เปิดมาเพียง 4 ปี (15 สิงหาคม 2558) แต่ได้รับความนิยมมากๆ ทั้งคนไทยรุ่นใหม่และชาวต่างชาติ จนตอนนี้ขยายเวลาเปิดไปจนถึง 4 ทุ่ม และมีเมนูอาหารเย็นน่าสนใจเพิ่มอีกมากมาย ปิ่นโตเถาเล็กจึงขอนำเสนอแฟนๆ อีกครั้งหนึ่ง

เริ่มกันด้วย เมนูไข่ยอดนิยมสไตล์ออสซี่ แต่ละจานมีของดีหลากหลาย ของโปรดปิ่นโตเถาเล็กยังมีอยู่ครบถ้วน สั่งได้จนถึงบ่าย 4 โมงเย็น มี เบรกฟาสต์บอร์ด (Breakfast Board) (350+ ค่าบริการ 10%) ให้ไข่ 2 ฟองสั่งปรุงได้ตามใจชอบ วางบนขนมปังซาวเออร์โดห์ (Sourdough) ขึ้นฟูด้วยยีสต์มีรสชาติในตัว กินกับแฮมรมควัน แซลมอนสดที่หมักเอง อโวคาโด้ เบอรี่ต่างๆ สลัดผัก และซัลซ่ามะเขือเทศลูกเล็กๆ

อีกทั้งไข่กระทะออสซี่ เบ๊คเอ้ก (Baked Egg)(295+) อบมาในกระทะร้อนๆ ใส่ไส้กรอกโชริโซ่ (Chorizo) รสจัดๆ เบคอน มะเขือเทศเชอรี่ และเห็ด หรือจะลอง เอ้กมิกาโดะ (Egg Mikado) (320+) มีทั้งไข่โพ้ชเอ้กนุ่มเนียนเยิ้มๆ ราดซอสฮอลแลนเดสรสส้ม พันด้วยแซลมอนหมักสดๆ กินกับขนมปัง Sourdough และอโวคาโด้ และ เมนูไข่คน (Scrambled Eggs) (290+) คู่กับเห็ดพอร์ทโทเบลโล่ชิ้นหนาๆ และมะเขือเทศเชอรี่

ใครอยู่สายสุขภาพให้สั่ง คอมพลิเคตเท็ดอโวคาโด้ (Complicated Avocado) (295+) มีไข่โพ้ชเอ้ก ขนมปัง Sourdough อโวคาโด้และข้าวโพดซัลซ่า พริกเม็กซิกันฮาลาเพญโญ (Jalapeno) และครีมบีตรูตนุ่มๆ ที่ผสมชีสเฟต้านมแพะ

เมนูใหม่ๆ มี ขนมปังหน้ากุ้ง (Prawn Toast)(320+) ขนมปังชิ้นหนาๆ หน้ากุ้งย่าง และไข่ดาว รากบัว จิ้มน้ำจิ้มบ๊วย โดยเมนูอาหารเช้าทั้งหมดนั้นสามารถสั่งเครื่องเคียงทุกตัวเพิ่มได้อีกตามใจชอบ

ส่วนเมนูกึ่งคาวหวานมี คริสปี้เฟรนช์โทสต์ (Crispy French Toast) (280+) ขนมปังบริยอชชุบไข่ทอด กรอบนอกนุ่มในมีรสอมหวานในตัว กับเบอรี่ต่างๆ และวอลนัท โปะหน้าด้วยไอศกรีมวานิลลาหรือจะเลือกเป็นกรีกโยเกิร์ตเบาๆ ตอนนี้มีเมนูแฟนตาซีเพิ่มขึ้นมาอีกคือ เดอะแฟรี่ฟลอส (The Fairy Floss) (280+) ขนมปังบริยอชกับกล้วย เบอรี่ ราดคาราเมล ช็อกโกแลต โปะด้วยไอศกรีมวานิลลา และท็อปปิ้งอีกชั้นด้วย สายไหมสีชมพู

หลังบ่าย 4 โมงไปจนถึง 4 ทุ่ม เป็นเวลาของมื้อเย็น จะเปลี่ยนเมนูใหม่แบ่งตามประเภท เริ่มจาก สลัด ขอแนะนำ Tomato-Herbs-Cheese (270+) ใส่ของดีๆ มีทั้งมะเขือเทศ ลูกมะเดื่อ (Fig) ถั่ววอลนัท มะกอกดำ เฟต้าชีสกับชีสนมแพะ ราดน้ำสลัดบัลซามิกรีดักชั่นเข้มข้น ใครชอบบีทรูตอมเปรี้ยว ให้สั่ง Baby root & Nuts (270+) มีหัวบีทรูทย่าง เฟต้าชีส วอลนัท และลูกเดือย

ต่อด้วยเมนู ของกินเล่น เรียกว่า Smaller Plate มีหลากหลาย เราเลือกสั่ง กุ้งลายเสือผัดกับพริกกระเทียม (Spicy Tiger Prawn) (300+) ราดซอสเนยกับลูกเคเปอร์ และ หมึกเอ็กซ์โอ (XO Squid) (270+) จิ้มซอสเอ็กซ์โอมาโย

ส่วน ของกินจริง หรือ Bigger Plate มีหมวดพาสต้าจานเส้น ขอแนะนำ ลิงกวินี่เชลล์ฟิช (Linguine Shellfish) (390+) คือลิงกวินี่เส้นแบนผัดกับหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์และกุ้ง อีกทั้ง ลิงกวินี่ผัดกับเบย์ล็อบสเตอร์ใส่ไวน์ขาว (390+) และ สปาเกตตี้แบล๊กทรัฟเฟิล (390+) ผัดกับครีมซอสผสมน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิล

เบ็คเอ้ก
เบ็คเอ้ก
ไข่คน กับเห็ดพอร์ทโทเบลโล่ชิ้นหนาๆ
คอมพลิเคตเท็ดอโวคาโด้
คอมพลิเคตเท็ดอโวคาโด้

ข้อดีคือสลัด พาสต้า และของกินเล่นที่ผมเลือกนี้ สามารถสั่งได้ทั้งวันก่อนบ่าย 4 โมงได้ด้วย เนื่องจากได้รับความนิยมมาก (โปรดดูในเมนู ยังมีอีกมากที่สั่งได้ทั้งวัน)

และก็มีเมนูอีกหลายอย่างที่สั่งได้เฉพาะตอนเย็น เช่นของกินเล่น หอยเชลล์จี่ในกระทะ (Seared Scallop) (450+) 3 ตัว วางมาบนมันบดผสมหอมใหญ่ ส่วน Bigger Plate เมนูฮิตคือ คริสปี้สกินบริกชิกเก้น (Crispy Skin Brick Chicken) ไก่หนังกรอบ ซึ่งมีให้เลือก 2 ซอส คือ น้ำเกรวี่กับซอสเผ็ด สั่งได้ทั้งครึ่งตัวและทั้งตัว (550/950+)

นอกจากนี้ที่โทบี้ส์มีเครื่องดื่มดีๆ หลากหลาย สำหรับคอกาแฟขอแนะนำ แฟลตไวท์ (Flat White)(100+) กาแฟเอสเปรสโซ่หอมๆ ผสมกับนมร้อนนุ่มๆ ดุจกำมะหยี่ ใช้เมล็ดกาแฟคั่วระดับปานกลาง มีให้เลือกทั้งแบบ Toby”s คือกาแฟจากเอธิโอเปีย โคลอมเบีย และลาว กับแบบ Bryce”s คือกาแฟไทยผสมอินโดนีเซีย อินเดีย และเอธิโอเปีย

เดอะแฟรี่ฟลอส

คนชอบเครื่องดื่มแนวสุขภาพ ต้องชิม น้ำผลไม้ที่ได้จากการสกัดเย็น (Cold Pressed Juice) (180 บาท+) มี 6 สูตร ผมชอบ Heart Beets มีส่วนผสมของหัวบีทรูทสีแดงๆ (BeetRoot) แอปเปิลแกรนนี่สมิธ แตงกวา และมะนาวเหลือง ไม่นับเมนูพิเศษ เช่น น้ำชมพู่เมืองเพชร (Rose Apple) อีกต่างหาก และยังมี น้ำผลไม้ปั่นหลายชนิดรวมกันผสมน้ำแข็ง (Fruit Juice) มี 3 สูตร 3 สี (150+) คือ Lean Green สีเขียว Jungle Juice สีม่วง และ ฟีลกู๊ด (Feel Good) สีชมพู

ถ้าชอบความหอมมันสดชื่น ต้องสั่ง มิลค์เชครส Salted Caramel (120+) ใส่ไอศกรีมวานิลลา รสเค็มนิดๆ ผสมความหอมของคาราเมล เสิร์ฟมาในขวดแก้วน่ารัก เมนูนี้ยกนิ้วให้ 2 ข้างเลย

โอ๊ยยังมีของดีอีกเยอะทั้งเมนูธัญพืช เบเกอรี่ขนมต่างๆ หมุนเวียนเปลี่ยนไปเช่น บราวน์นี่ มัฟฟิน แอปเปิลครัมเบิ้ล และคาราเมลช็อกชั้งค์ ขอให้แฟนๆ รีบมาเติมพลังความสดชื่นรับวันใหม่ได้ตลอดทั้งวันจนถึง 4 ทุ่มที่โทบี้ส์ รับรองว่าจะสดใสไปทั้งวันทีเดียว ร้านหยุดทุกวันจันทร์นะจ๊ะ

โทบี้ส์ (Toby’s)

โดย คุณเต้ ชนพ บูรณตระกูล และคุณณัฐ คุณฟอร์ด คุณเคลลี่

ที่ตั้ง 75 สุขุมวิท 38 พระโขนง คลองเตย กรุงเทพฯ 10110

โทร 0-2712-1774

เปิดบริการ 09.00-22.30 น. (ครัวปิด 4 ทุ่ม) อังคาร-อาทิตย์

หยุด ทุกวันจันทร์

แนะนำ เบรกฟาสต์บอร์ด (Breakfast Board) เบ๊คเอ้ก (Baked Egg) เอ้กมิกาโดะ (Egg Mikado) ไข่คน (Scrambled Eggs) คอมพลิเคตเท็ดอโวคาโด้ (Complicated Avocado) ขนมปังหน้ากุ้ง (Prawn Toast) คริสปี้เฟรนช์โทสต์ (Crispy French Toast) เดอะแฟรี่ฟลอส (The Fairy Floss) สลัด Tomato-Herbs-Cheese สลัด Baby root & Nuts กุ้งลายเสือผัดกับพริกกระเทียม (Spicy Tiger Prawn) หมึกเอ็กซ์โอ (XO Squid) ลิงกวินี่เชลล์ฟิชลิงกวินี่ผัดกับเบย์ล็อบสเตอร์ใส่ไวน์ขาว สปาเก็ตตี้แบล๊กทรัฟเฟิล หอยเชลล์จี่ในกระทะ (Seared Scallop) คริสปี้สกินบริกชิกเก้น (Crispy Skin Brick Chicken) กาแฟแฟลตไวท์ น้ำผลไม้สกัดเย็นสูตร Beets น้ำผลไม้ปั่น Lean Green กับ Jungle Juice และ Feel Good มิลค์เชครส Salted Caramel

ลิงกวินี่เชลล์ฟิช
กุ้งลายเสือผัดกับพริกกระเทียม
กุ้งลายเสือผัดกับพริกกระเทียม
คริสปี้สกินบริกชิกเก้น-ไก่หนังกรอบ
หอยเชลล์จี่ในกระทะ
หอยเชลล์จี่ในกระทะ
สลัด Tomato Herbs Cheese
เอ๊กมิกาโดะ
เอ๊กมิกาโดะ
Toby's New Baby root & Nuts
คริสปี้เฟรนช์โทสต์
คริสปี้เฟรนช์โทสต์
น้ำผลไม้ปั่น
บรรยากาศร้าน
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
โคคอต ฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery)

เป็นธรรมเนียมสำหรับวันแม่ที่ครอบครัวจะมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา พาบุพการีลูกหลานออกไปกินข้าวนอกบ้าน ปีนี้ปิ่นโตเถาเล็กขอแนะนำร้านแนวสบายๆ ผ่อนคลายแต่ดูโก้ เป็นร้านสเต๊กเฮาส์ ปิ้งย่างในบรรยากาศฟาร์มชนบทของฝรั่งเศส มีชื่อว่า โคคอต ฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery) เรียกสั้นๆ ได้ว่า โคคอต (Cocotte) เปิดมาได้ 3 ปีกว่า (เมษายน 2559) นี่คืออีกหนึ่งร้านดังของกรุงเทพฯที่ชมรมคนรักเนื้อ (ทุกประเภท) นิยมไปอุดหนุน

ร้านโคคอตอยู่ใจกลางเมืองตรงโครงการ 39 บูเลอวาร์ด (39 Boulevard) ฝั่งขวาของเส้นทางเดินรถทางเดียวของซอยพร้อมจิต ที่มุ่งหน้าจากซอยสุขุมวิท 39 ไปสุขุมวิท 31

เชฟที่ดูแลร้านอาหารในเครือโคคอตทั้งหมด เป็นเชฟหนุ่มหล่อชาวฝรั่งเศสในวัยหนุ่มแน่น ชื่อว่า เชฟเจริโก้ แวนเดอร์วูล์ฟ (Jeriko Van Der Wolf) เห็นอายุแค่นี้แต่เคยผ่านประสบการณ์กับร้านมิชลิน 3 ดาวในฝรั่งเศสมาแล้ว

โคคอตคัดสรรวัตถุดิบชั้นดีทั้งจากในประเทศและจากทั่วโลก อีกทั้งยังสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าของฟาร์มและผู้ผลิตวัตถุดิบในเมืองไทย ที่นี่ใช้วัตถุดิบหลายอย่างจากโครงการหลวงอีกด้วย จุดเด่นอีกอย่างของโคคอตคือจะใช้เตาถ่านบาร์บีคิวปิ้งย่างและรมควันชั้นดีจากออสเตรเลีย ชื่อว่า Komado Joe จึงมั่นใจได้ว่าสเต๊กที่ได้จะนุ่มและชุ่มฉ่ำหอมอร่อยทุกชิ้น

แน่นอนว่ามาร้านโคคอตก็ต้องลิ้มลองเมนูปิ้งย่างต่างๆ ที่สุดของที่สุดต้องยกให้ สเต๊กโทมาฮอว์ค ชิ้นโตๆ หนาๆ มีกระดูกติดเหมือนรูปขวานของอินเดียนแดง ที่นี่ใช้ สเต๊กโทมาฮอว์ค ออสเตรเลียนวากิว (Tomahawk Australian Wagyu) ที่มีลายไขมันหรือมาร์เบิ้ลสกอร์เบอร์ 6 ซึ่งถือว่ามีมันแทรกเยอะเพียงพอ ให้ความนุ่มชุ่มฉ่ำดีนักแล พอย่างในเตาบาร์บีคิวแล้ว ก็จะนำไปอบให้ข้างในชุ่มฉ่ำอีกที เลือกได้หลายขนาดมีตั้งแต่ ขนาด 1.4 กิโลกรัม (3,980 บาท++) ที่เราชิมซึ่งสามารถแบ่งกัน 2-3 คนได้สบาย หรือถ้าต้องการชิ้นยักษ์กว่านี้ก็มี 1.6-1.8-2.0 กิโลกรัมให้เลือกด้วย (4,480-5,120-5,610 บาท++)

ข้อดีอีกอย่างคือเราสามารถเลือกซอสที่มากินคู่กับโทมาฮอว์คได้ถึง 3 ชนิด จากทั้งหมด 8 ชนิด ซอสยอดนิยมคือ ซอสพริกไทยเสฉวน หอมๆ ซอสแบร์เนส (Bearnaise) ข้นๆ น้ำจิ้มแจ่ว ถูกปากคนไทย และ ซอสเนยกระเทียมสมุนไพร นอกจากนี้ ยังมีซอสบลูชีส ซอสไทยวิสกี้บาร์บีคิว ซอสชิมิชูรีสีเขียวๆ ทำจากพาร์สลีย์ของฝรั่ง และมีซอสศรีราชาทำเองอีกด้วย ส่วนเครื่องเคียงก็มีให้เลือกมากมาย ของโปรดผมคือ มันบดทรัฟเฟิล (190++) ทั้งเนียนและหอมมากๆ

สำหรับคนที่ต้องการเนื้อชิ้นกำลังดีและนุ่มสุดสุดแล้วล่ะก็ ขอแนะนำ เนื้อริบอาย ออสเตรเลียน วากิว (Ribeye Wagyu “Infinite”) สายพันธุ์แท้ 100% ลายไขมันเบอร์ 8 มีมันแทรกเยอะจนนุ่มหอมมาก มีทั้งขนาด 300 กรัม (2,890 บาท++) สำหรับกินคนเดียวกำลังดี และ 500 กรัม (4,690 บาท++) แบ่งกันได้ 2 คน

เนื้อรมควันกับชีสบูราต้า
เนื้อรมควันกับชีสบูราต้า
สเต๊กโทมาฮอว์ค-ออสเตรเลียนวากิว
มันบดทรัฟเฟิล
มันบดทรัฟเฟิล

นอกจากนี้ ยังมีเนื้อส่วนที่หากินในร้านอื่นค่อนข้างยาก เป็นเนื้อ Hanger Steak หรือ เนื้อกะบังลม ซึ่งจะมีกลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเข้มข้นเป็นพิเศษ แค่ปรุงด้วยเกลือ พริกไทย ก็นุ่มหอมแล้ว ที่นี่ใช้เนื้อออสเตรเลียนวากิว ลายไขมันเบอร์ 6 (300-500 กรัม 1,380-2,290 บาท++)

สำหรับคนไม่กินเนื้อ ก็มีเมนูยอดนิยมที่ผมชื่นชอบมากด้วย คือ ไก่ย่าง เบบี้ชิคเก้น (Baby Chicken) ย่างบนเตาโรติสซารี่หมุนๆ ของฝรั่งเศส เสิร์ฟมาทั้งตัว ขนาด 900 กรัม (790 บาท++) บนถาดหลุมไม้ รองด้วยหญ้าอัลฟัลฟ่า ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในฟาร์มจริงๆ ไก่ที่ใช้เป็นไก่เลี้ยงปล่อยที่หมักจนนุ่มและหอม ย่างจนหนังกรอบ เนื้อในนุ่มชุ่มฉ่ำ จิ้มน้ำจิ้มแจ่วเข้ากันดี ห้ามพลาดเลยเป็นอันขาด

เนื้อกะบังลม

นอกจากนี้ โคคอตยังมีซี่โครงแกะย่าง (300-800 กรัม 1,380-2,690 บาท++) สันในหมูย่างที่เขาตั้งชื่อว่า Wagyu of Pork 2.0 (650 บาท++) อีกทั้งเมนูอาหารทะเล เช่น หอยเชลล์ ล็อบสเตอร์ และแซลมอน รวมถึงพาสต้า และสลัด รับรองว่าทุกคนที่มาด้วยกันต้องมีเมนูถูกใจแน่นอน

ลืมบอกไปว่ามีเมนูเรียกน้ำย่อยที่ไม่ควรพลาดเช่นกันคือ เนื้อรมควันกับชีสบูราต้า (Smoked Beef & Burrata) (390 บาท++) เนื้อรมควันชิ้นบางๆ นุ่มหอม ม้วนเป็นแท่งสอดไส้ชีสบูราต้าหอมมันถึงใจ โปะหน้าด้วยแยมมะเขือเทศเชอรี่หวานๆ เหยาะบัลซามิคเข้มข้นลงไปด้วย นี่ก็ห้ามพลาดอีกแล้วสำหรับคนชอบกินเนื้อ

อย่าเพิ่งอิ่มนะจ๊ะ โคคอตมีของหวานแบบฝรั่งเศสที่เข้มข้นอีกหลายอย่าง ให้ลอง ปารีส์เบรสท์ (Paris-Brest) (340 บาท++) แป้งชูว์เพสตรี้ไส้พราลีน เฮเซลนัทครีม รูปกลมเหมือนวงล้อ และอีกเมนู Valrhona Chocolate x Caramel (390 บาท++) ใช้ช็อกโกแลตชั้นเลิศของฝรั่งเศส มีองค์ประกอบที่ทำจากช็อกโกแลตหลายอย่างในจานเดียว เข้มข้นถึงใจ

ร้านโคคอต ฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery) เปิดบริการทุกวัน มื้อกลางวัน 11 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมง มื้อค่ำ 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน สำหรับมื้อค่ำควรจองล่วงหน้า ที่เบอร์ 09-2664-6777 เพราะมักจะแน่นอย่าบอกใครเลยนะจ๊ะ

โคคอต ฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery)


ที่ตั้ง
โครงการ 39 Boulevard ซ.พร้อมจิต สุขุมวิท 39 คลองเตย กรุงเทพฯ 10110

โทร 09-2664-6777

เปิดบริการ 11.00-15.00 น. และ 18.00-24.00 น. ทุกวัน (ครัวปิด 22.30 น. และ 23.00 น.เสาร์-อาทิตย์)

แนะนำ สเต๊กโทมาฮอว์ค ออสเตรเลียนวากิว เนื้อริบอายออสเตรเลียนวากิว Hanger Steak หรือเนื้อกะบังลม ไก่ย่าง เบบี้ชิคเก้น เนื้อรมควันกับชีสบูราต้า ปารีส์เบรสท์ (Paris-Brest) ขนม Valrhona Chocolate x Caramel

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
ไก่ย่าง เบบี้ชิคเก้น
ปารีส์เบรสท์
ปารีส์เบรสท์

ปิ่นโตเถาเล็กกลับไปเยือนสกลนคร จังหวัดในภาคอีสานตอนบนอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าเมืองนี้อุดมไปด้วยร้านอาหารอร่อยทั้งที่เปิดขายมานมนานหรือเพิ่งขายมาไม่กี่ปี ทั้งร้านเล็กร้านใหญ่ ทุกๆ ร้านล้วนแล้วแต่ทำเอาปิ่นโตเถาเล็กติดใจในความอร่อย เดี๋ยวจะแนะนำแฟนๆ 2 สัปดาห์ติดกัน รวม 4 ร้านของดีสกลนครเลยทีเดียว

ครั้งนี้คณะเราเลือกเที่ยวบินตอนเช้าเช่นเคย เพื่อที่จะได้ทันไปร้านอาหารเช้าสไตล์เวียดนามชื่อดังประจำเมือง มีชื่อว่า เลิศรสไข่กระทะ ร้านนี้เปิดมา 3 ชั่วอายุคนเกือบ 60 ปีแล้ว อยู่ในตึกแถวเก่าแก่ครึ่งปูนครึ่งไม้ ริม ถนนสุขเกษม ใกล้กับ สี่แยกที่ตัดกับถนนกำจัดภัย

แรกเริ่มเดิมทีเจ้าของร้านรุ่นปู่ย่าทำร้านเลิศรสขายไก่ย่าง และเปลี่ยนมาขายไข่กระทะในปี 2518 นานเกือบ 45 ปีแล้ว ตอนนี้สืบทอดมาถึงรุ่นพ่อชื่อ เฮียอ้วนกับภรรยาชื่อ พี่น้อย โดยมีน้องคมสันต์ ลูกชายช่วยทำร้านด้วยกัน

ที่นี่ผู้คนจะคึกคักตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อมาเติมพลังยามเช้ากันด้วยไข่กระทะ หอมมัน 2 ฟอง ทอดในน้ำมันและเนย ทอดมาชนิดไข่แดงยังเยิ้มๆ หอมมัน ใส่หมูสับผักต้นหอม กุนเชียง หมูยอ แครอตกับแตงกวา (30-40 บาท) แต่ถ้าชอบไข่แดงสุกๆ ก็บอกเขาได้ กุนเชียงหอมๆ นี้รับมาจากเจ้าประจำตั้งแต่เปิดร้าน

ไข่กระทะก็ต้องกินคู่กับ ขนมปังยัดไส้ (10-15 บาท) ที่ร้านทำเอง ปิ้งเตาถ่านแบบโบราณจนกรอบนอกนุ่มใน ไส้หมูยอกับกุนเชียง และสั่งพิเศษให้ใส่หมูสับผักต้นหอมเพิ่มได้ อีกอย่างที่ห้ามพลาดเลยคือ ขนมปังเนยน้ำตาล หอมหวานมันอย่าบอกใคร นอกจากนี้ ก็มีขนมปังเนย-นม ขนมปังพริกเผาหมูหยอง และขนมปังเนยแยม (10 บาทรวด)

ที่ร้านเลิศรสมีของอร่อยแบบเวียดนามอีกอย่างคือ ข้าวเปียกเส้น (40-50 บาท) หรือกวยจั๊บญวน ใส่หมูยอ หมูยอทอด ลูกชิ้นหมู และเนื้อหมูติดกระดูกต้มจนเปื่อยอร่อยมาก โรยผักแพว ผักชีฝรั่ง ต้นหอม น้ำซุปหวานหอมนั้นทำจากน้ำต้มกระดูกหมูและขาหมู เวลากินให้ปรุงด้วยพริกผัดน้ำมันเผ็ดหอม และไม่นานมานี้เขาเพิ่มเมนู ข้าวเปียกเส้นปลากะพง (70-90 บาท) อีกทั้งข้าวเปียกเส้นปลาอินทรี (60-80) สำหรับผู้ที่ชอบอาหารทะเล ซึ่งข้าวเปียกเส้นนี้จะเปลี่ยนเป็นข้าวต้มแทนได้ อาหารเช้าอื่นๆ มีอีกหลายอย่าง มีแม้กระทั่งข้าวไข่เจียว

ส่วนเครื่องดื่มร้อนเย็นนั้นก็มีให้เลือกเยอะทั้ง ชา กาแฟ โกโก้ มีครบถ้วน ถ้าชอบเข้มๆ ให้สั่ง กาแฟเวียดนาม (40-50 บาท) ใส่นมข้นหวาน มีทั้งร้อนและเย็น และอีกเมนูที่คนสั่งเยอะคือ น้ำส้มคั้นผสม (40 บาท)

ขนมปังยัดไส้
ขนมปังยัดไส้
กาแฟเวียดนาม

ร้านเลิศรสไข่กระทะเปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงเที่ยงทุกวัน ถ้ามีคนนั่งต่อก็อาจจะขายถึงบ่ายโมงด้วย นี่คือร้านยอดนิยมของคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว อาจจะต้องเล่นเก้าอี้ดนตรีรอคิวหน่อยนะจ๊ะ แต่ที่นี่บริการรวดเร็วทันใจดีมาก

อีกเจ้าเป็นร้านส้มตำบ้านๆ เล็กๆ ประเภทยายทำคนเดียว อยู่ในตรอกซอกซอยใจกลางเมือง ถ้าไม่มีคนพื้นที่พามาไม่มีทางไปถูก ขายอยู่ใต้ถุนบ้านพักอาศัยใน เจริญเมืองซอย 5 ซึ่งเป็นซอยสั้นๆ แคบๆ ใกล้กับ โรงพยาบาลศูนย์สกลนคร ถ้าเป็นคนต่างถิ่นคงจะผ่านเลยไป โดยไม่ชายตามองแม้แต่น้อย หารู้ไม่ว่า นี่แหละคือ ร้านดังขวัญใจพยาบาลและคุณหมอ อีกทั้งชาวสกลนครเลยทีเดียว ร้านนี้มีชื่อว่า ส้มตำยายเรือง

ยายเรืองหรือนางเรืองจิตร วงศ์กาฬสินธุ์ อายุ 74 ปี ขายส้มตำคนเดียวเป็นหลักมานานกว่า 40 ปี โดยใช้ทุนตั้งต้นตอนเปิดร้านปีแรกแค่ 100 บาท อาศัยที่ว่าเป็นส้มตำที่แซ่บหลายสะใจ อีกทั้งยังทำสะอาด ใช้ปลาร้าต้มสุก จึงมีลูกค้าติดใจในรสมือของยายเรืองกันงอมแงม

ตำลาวใส่เม็ดกระถิน

ยายเรืองทำอาหารขายอยู่ไม่กี่อย่าง มีส้มตำเป็นตัวหลัก ขอแนะนำ ตำลาว ใส่ปลาร้าหอมๆ และเม็ดกระถิน ยิ่งกินยิ่งเผ็ดแซ่บหยุดไม่ได้ อีกทั้ง ตำซั่ว ใส่ขนมจีน ปลาร้า เม็ดกระถิน ผักชีฝรั่ง มะเขือส้มลูกเล็กๆ และใส่ผักกาดดองที่รสดีมาก ไม่เปรี้ยวจนเกินไป ทั้ง 2 อย่างนี้แค่จานละ 40 บาทเท่านั้น ส่วนผู้ที่ไม่กินปลาร้า ก็สั่งส้มตำใส่มะนาวแทน ทำแบบอีสานไม่ใช่ส้มตำไทย กินแล้วสดชื่นแซ่บไม่แพ้กัน

มีข้อควรระวังคือ ยายเรืองตำส้มตำใส่พริกแห้งกับพริกสดไม่ยั้ง ขนาดเราสั่งว่าไม่เผ็ดมากยังเผ็ดร้อนเหงื่อไหลชุ่มโชกตลอดเวลา แต่ยิ่งกินยิ่งหยุดไม่ได้

ให้แกล้มด้วย หมูยอ (12 บาท) กับของดีหากินยากในเมืองกรุง ไข่ข้าว (5 บาท) คือไข่ที่ผสมแล้ว รสชาติหอมมันมาก ซึ่งของที่ร้านยายเรืองยังเป็นชนิดไม่ฟักเป็นตัว

นอกจากนี้ ก็มีแกงพื้นบ้าน เช่น แกงหน่อไม้ น้ำข้นคลั่กด้วย ข้าวเบือ คือ ข้าวสารที่เป็นข้าวเหนียวแช่น้ำทิ้งไว้ แล้วตำในครกจนละเอียด แกงหน่อไม้นี้รสจัดมาก ใส่ทั้งฟักทอง ข้าวโพดอ่อน ใบอีตู่หรือใบแมงลัก เห็ดหูหนู ปรุงด้วยน้ำปลาร้า และน้ำใบย่านาง อร่อยอย่าบอกใคร

แกงอีกอย่างคือ แกงหอยขม ใส่หอยขม ใบชะพลู ปรุงด้วยน้ำปลาร้า และน้ำใบย่านาง เช่นกัน ดูสีดำๆ เข้มๆ อมเขียวไม่น่ากิน แต่รสชาติสุดยอด แล้วก็มี ขนมจีนน้ำยา อีกอย่างหนึ่งด้วย

จะเห็นได้ว่ายายเรืองขายไม่กี่อย่างแค่นี้ก็มัดใจคนกินได้แล้ว ใครอยากตามมาชิม ขอเตือนว่าร้านนี้ขายดีและหมดเร็วมาก เวลาเปิด-ปิดก็ไม่แน่นอน ควรมาตั้งแต่ช่วงเปิดร้านประมาณ 11 โมงเช้า บางวันแค่บ่ายโมงก็หมดแล้ว บางวันก็ขายถึงบ่าย 4 โมง ขายหมดก่อนก็ปิดร้านก่อน โทรสอบถามยายเรืองได้ที่ 0-4271-4092 นะจ๊ะ

เดี๋ยวคราวหน้ายังมีของดีสกลนครมาบอกต่ออีก โปรดอดใจอีกไม่นานเกินรอนะจ๊ะ

แกงหน่อไม้ข้นๆ
แกงหอยขม
แกงหอยขม
ขนมจีนน้ำยา
ข้าวเปียกเส้นปลากะพง
ข้าวเปียกเส้นปลากะพง

ส้มตำยายเรือง

โดยนางเรืองจิตร วงศ์กาฬสินธุ์

ที่ตั้ง 1095 เจริญเมืองซอย 5 ถนนเจริญเมือง ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร 47000

โทร 0-4271-4092

เปิดบริการ เปิด-ปิดไม่แน่นอน โดยมากจะเปิด 11.00 – 13.00 น. ทุกวัน

แนะนำ ตำลาว ตำซั่ว หมูยอ ไข่ข้าว แกงหน่อไม้ แกงหอยขม

_________________________________________________

เลิศรสไข่กระทะ

โดยคุณแก้วมณี (พี่น้อย) ชัยมุงคุณ

ที่ตั้ง 620/2 ถ.สุขเกษม ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร 47000

โทร 0-4271-3949, 08-7149-3171

เปิดบริการ 06.00-12.00 น. ทุกวัน

หยุด หลังเทศกาลตรุษจีน

แนะนำ ไข่กระทะ ขนมปังยัดไส้ ขนมปังเนยน้ำตาล ข้าวเปียกเส้นหมู ข้าวเปียกเส้นปลากะพง

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก