ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานี้เทรนด์กางเต๊นท์กำลังมาแรงมากๆ ด้วยหลายๆ ปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวหันมากางเต๊นท์กันมากขึ้น ทั้งงบประมาณที่ประหยัด ได้ลองเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในการแคมป์ปิ้ง และที่สำคัญคือได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างเต็มที่

ในวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับอีกหนึ่งลานกางเต๊นท์สวยๆ ที่ถือได้ว่าเป็น Hidden Gem ของจังหวัดลพบุรีเลยก็ว่าได้ ที่สวนรุกขชาติน้ำตกวังก้านเหลือง ลานกางเต๊นท์สวยริมน้ำตกสีฟ้า ที่ได้ชื่อว่าเป็นบลูลากูนแห่งลพบุรี

ที่นี่เปิดให้บริการกางเต๊นท์สำหรับนักท่องเที่ยว โดยลานกางเต๊นท์ที่นี่บอกเลยว่าแนบชิดกับธรรมชาติมากจริงๆ เพราะคุณจะสามารถหาจุดกางเต๊นท์ติดริมน้ำตกได้เลย บรรยากาศโดยรอบร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ อากาศเย็นสบาย เงียบสงบเหมาะแก่การมาพักผ่อนจริงๆ

หากร้อนๆ จะลงไปแช่น้ำเล่นน้ำตกกันก็สามารถทำได้ตลอดทั้งวัน หรือใครอยากจะพกเก้าอี้มานั่งชิลฟังเสียงน้ำตกดื่มด่ำกับธรรมชาติก็ทำได้ ที่สำคัญคือค่าบริการกางเต๊นท์นั้นแล้วแต่เลยว่าเราจะบริจาคเท่าไหร่ก็นำเงินไปหยอดใส่ตู้ได้ตามความต้องการ

เรียกได้ว่าเป็นลานกางเต๊นท์ที่เพียบพร้อมไปทุกอย่างสำหรับคนที่ต้องการจะกางเต๊นท์ใกล้ชิดกับธรรมชาติจริงๆ ได้ถ่ายรูปวิวสวยๆ ท่ามกางน้ำตกสีฟ้า และป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์เป็นของฝากติดไม้ติดมือเก็บเป็นความทรงจำกันไปด้วย หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบกางเต๊นท์ ที่นี่เป็นอีกหนึ่งลานกางเต๊นท์ใกล้กรุงเทพฯ ที่คุณไม่ควรพลาด

ข้อมูลเพิ่มเติม

พิกัดสวนรุกขชาติวังก้านเหลือง : https://goo.gl/maps/ZWbyKRgvCczsCTf19

  • ที่นี่ไม่เสียค่าบริการในการกางเต๊นท์แต่จะมีตู้บริจาคแล้วแต่ใครจะบริจาคเท่าไหร่
  • มีร้านค้าสวัสดิการให้บริการ
  • มีห้องน้ำให้บริการ 2 จุด
  • นำสัตว์เลี้ยงเข้าได้
  • ทำอาหารได้

ที่มา : Sanook

ชวนร่วมค้นหาคำตอบ ‘ศรีเทพ-เสมา’ที่ไหนคืออาณาจักรศรีจนาศะ กันแน่?

ย้อนรอยเส้นทางประวัติศาสตร์ ลพบุรี-เพชรบูรณ์-นครราชสีมา ไปกับ ทัวร์ ปริศนา “ศรีจนาศะ” รัฐโบราณที่ถูกลืม ของมติชนอคาเดมี

ทริปนี้เดินทางไปกับ รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ หัวหน้าภาควิชาภาษาเขมร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร วิทยากรที่จะมาให้ความรู้ และร่วมไขปริศนาศรีจนาศะ คอประวัติศาสตร์ห้ามพลาด!!

วันเสาร์-อาทิตย์ที่ 17-18 พ.ย.61

ราคา 5,900 บาท

คลิกอ่านโปรแกรมทัวร์ >>> https://bit.ly/2CAudBB

______________________________________________________________________________

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสำรองที่นั่ง ได้ที่มติชนอคาเดมี >>>ทางไลน์ https://line.me/R/ti/p/%40matichonacademy

หรือ inbox เฟซบุ๊กเพจมติชนอคาเดมี คลิกm.me/Matichon.Academy.Thailand

Tel : 0-2954-3977-84 ต่อ 2115, 2116, 2123, 2124

Mobile : 08-2993-9097, 08-2993-9105

ถึงละครบุพเพสันนิวาสจะอำลาจอ แต่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์จากละครเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่หลายคนยังให้ความสนใจ โดยเฉพาะเรื่องราวในยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่ยังมีสิ่งให้ชวนค้นหาอีกมาก

หนึ่งในนั้นคือคำถามที่ว่า “ทำไมสมเด็จพระนารายณ์ถึงไม่ประทับอยู่ที่อยุธยา แต่ประทับอยู่ที่ละโว้แทน” เพราะจากละครจะเห็นได้ว่าพระองค์ประทับอยู่ละโว้ ออกว่าราชการที่ละโว้ รวมไปถึงเสด็จสวรรคตที่ละโว้ด้วย

การมาประทับอยู่ที่ละโว้ของพระองค์นั้นไม่ได้เพียงชั่วครู่ชั่วคราว แต่ประทับอยู่ถึงปีละ 8 เดือน ในฤดูหนาวและฤดูร้อน มีสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นวัดสันเปาโล สถานที่มีหอดูดาวของคณะบาทหลวงเยซูอิต, พระที่นั่งไกรสรสีหราช หรือพระตำหนักเย็น พระตำหนักที่พระองค์ไว้ใช้เปลี่ยนพระอิริยาบถ และทอดพระเนตรจันทรุปราคาร่วมกับคณะบาทหลวงฝรั่งเศสและขุนนางไทย เป็นต้น จนได้ชื่อว่าละโว้นั้นเป็นราชธานีแห่งที่ 2 ในสมัยอยุธยาเลยก็ว่าได้

คำตอบของคำถามนี้ “รศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี” นักวิชาการประวัติศาสตร์ เล่าให้ฟังระหว่างเป็นวิทยากรในทัวร์ย้อนเวลาพาออเจ้าไปขุนหลวงนารายณ์ที่ละโว้ จ.ลพบุรี กับ “มมติชนอคาเดมี” ว่า รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์เริ่มต้นที่ปี พ.ศ.2199 ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่พระเจ้าปราสาททอง ซึ่งเป็นพระราชบิดา สวรรคต พระเจ้าปราสาททองมีพระราชโอรสที่ประสูติแต่พระอัครมเหสีหลักคือเจ้าฟ้าชัย เพราะฉะนั้นราชบัลลังก์ของพระเจ้าปราสาททองจึงตกไปอยู่ที่เจ้าฟ้าชัย

แต่พระเจ้าปราสาททองยังมีพระอนุชา คือ พระศรีสุทธรรมราชา ส่วนสมเด็จพระนายรายณ์นั้นเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าปราสาททอง แต่มิได้เกิดแต่พระอัครมเหสี เท่ากับว่ายังมีคนที่มีสิทธิที่จะได้ราชบัลลังก์อีกหลายคน ดังนั้น เมื่อพระเจ้าอยู่หัวปราสาททองสวรรคต บัลลังก์ตกตามสิทธิโดยชอบธรรมไปอยู่ที่เจ้าฟ้าชัย แต่พระศรีสุทธรรมราชาและพระนารายณ์ไม่ปรารถนาให้ราชบัลลังก์ไปตกอยู่ที่เจ้าฟ้าชัย จึงร่วมกันปฏิวัติ ขณะที่เจ้าฟ้าชัยขึ้นครองราชย์เพียง 7 วันเท่านั้น จากนั้นยกพระศรีสุทธรรมราชาขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์

รศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี

หลังจากนั้นอีก 3 เดือน สมเด็จพระนารายณ์ก็ปฏิวัติซ้ำ เท่ากับว่าในปี พ.ศ.2199 เกิดการปฏิวัติ 2 ครั้ง เพราะฉะนั้นเมื่อปฏิวัติแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับสมเด็จพระนารายณ์ คือ การกำจัดขุนนางที่รับราชการมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าปราสาททองที่อยุธยาไปมาก ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งหลายทั้งปวงถูกกำจัดไปเกลี้ยง แล้วใช้ขุนนางรุ่นใหม่ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นขุนนางไทย ขุนนางแขก ที่เป็นคนรุ่นใหม่ทั้งหลาย ก็ใช้ขุนนางพวกนี้ เนื่องจากพระองค์ไม่ไว้ใจขุนนางดั้งเดิม แต่ไม่ได้แปลว่าปี พ.ศ.2199 สร้างลพบุรี แต่ท่านทิ้งเวลา 10 ปีแล้วถึงเริ่มมาสร้างเมืองนี้

ลพบุรีมาเกิดเมื่อปี พ.ศ.2209 แต่คำว่าสร้างลพบุรี ไม่ได้แปลว่าสร้างทุกอย่างในเมืองลพบุรี เพราะหลายอย่างในลพบุรีมีมาก่อนหน้านั้นแล้ว ป้อมปราการอาจสร้างขึ้นมาใหม่ แต่พระราชวังมีอยู่แล้ว รวมไปถึงวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พระปรางค์สามยอดก็มีมาอยู่ก่อนแล้ว เพราะลพบุรีเป็นเมืองลูกหลวงที่พระเจ้าแผ่นดินอยุธยาเคยประทับมาก่อนสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เช่น สมเด็จพระราเมศวร ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น เพราะฉะนั้นโดยสรุปคือ

ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เมืองลพบุรีนี้มีอยู่แล้ว พระองค์เพียงแค่มาเสริมสร้างให้มั่นคงขึ้น และด้วยความที่มีปัญหาทางการเมืองในต้นรัชกาล พระองค์จึงพยายามหาเมืองสำรองขึ้นมาอีกหนึ่งเมือง

บางคนอาจสงสัยว่า ทำไม 10 ปีแรกของการครองราชบัลลังก์ของสมเด็จพระนารายณ์ถึงมีปัญหา สาเหตุเป็นเพราะเกิดกบฏขึ้นมาอยู่หลายครั้งที่มาท้าทายอำนาจของพระองค์ โดยกบฏที่สำคัญคือ กบฏของพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ หรือว่าพระองค์ทอง ซึ่งเป็นพระอนุชาต่างพระชนนีของสมเด็จพระนารายณ์ ได้ทรงรวบรวมกองกำลังพลเพื่อก่อการกบฏหลังจากสมเด็จพระนาราย์ขึ้นครองราชย์เพียง 2 เดือน แต่ยังไม่ทันได้ลงมือก็ถูกสอบสวนและจับได้ก่อน โดยพบว่ามีขุนนางชั้นผู้ใหญ่จำนวนมากเข้าร่วมด้วย พระองค์จึงโปรดให้สำเร็จโทษพระไตรภูวนาทิตยวงศ์และขุนนางเหล่านั้นทันที

เพราะฉะนั้น 10 ปีแรก มีกบฏภายใน มีสงครามที่พระนารายณ์ต้องไปทำกับเชียงใหม่ มีเรื่องต่างๆ นานามากมาย แต่ยังไม่มีเรื่องการต่างประเทศ เพราะฉะนั้น 10 ปีแรกจึงเป็น 10 ปีที่พระองค์สร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่พระองค์เอง โดยการหาเมืองใดเมืองหนึ่งในบริเวณอยุธยาให้เป็นที่ประทับแห่งที่ 2 โดยที่พระองค์เองก็ไม่ได้คิดว่าจะเอาที่ประทับนี้ไว้เพื่อจุดประสงค์ใดเป็นหลักแน่ๆ แต่ขอให้มีอยู่อีกสักที่หนึ่ง ถ้ามีอะไรฉุกเฉินที่อยุธยา ต้องมาลพบุรี

การเดินทางจากอยุธยามาละโว้ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์นั้นจะเดินทางโดยขบวนเรือ ล่องมาทางแม่น้ำลพบุรี ซึ่งจะใช้เวลาราว 1 วันครึ่ง แต่จะมาทางม้าแบบพี่หมื่นและแม่การะเกดในละครนั้นก็ได้เช่นกัน แต่คงจะไม่เร็วแบบนั้นแน่นอน เพราะคนคงจะเมื่อยเสียก่อน

สมเด็จพระนารายณ์มหาราชจะเสด็จมาขึ้นที่ท่าน้ำที่ปัจจุบันเรียกว่าท่าพระนารายณ์ เมื่อขบวนเรือทั้งหมดมาถึง จะส่งพระนารายณ์ท่านี้ ส่วนขุนนางทั้งหมดจะไปขึ้นที่ท่าถัดไป ซึ่งเรียกว่าท่าขุนนาง แต่ปัจจุบันเรียกพื้นที่ในแถบนั้นทั้งหมดว่าท่าขุนนาง

เมื่อขึ้นจากเรือ พระองค์จะประทับบนเสลี่ยงแล้วเข้าไปในบริเวณวัง ซึ่งจะผ่านทางเดินขึ้นที่เป็นเนินซึ่งปัจจุบันทำเป็นบันได เรียกว่าบันได 51 ขั้น และกลายเป็น unseen ลพบุรีไปโดยปริยาย

คำถามคือทำไมไม่ไปสุพรรณบุรี คำตอบก็คือเป็นเพราะว่าไปไม่ได้ เนื่องจากแม่น้ำท่าจีนที่ผ่านสุพรรณบุรีนั้นไม่ได้เชื่อมกับอยุธยา ขณะที่แม่น้ำลพบุรีเชื่อมโยงไปถึงอยุธยาได้ บางคนอาจสงสัยว่าทำไมไม่ไปพิษณุโลก นั่นก็เพราะว่าพิษณุโลกไกลมาก และยังมีอำนาจเก่าดั้งเดิมของเมืองสองแควอยู่ เช่นเดียวกับกำแพงเพชรและสุโขทัย เพราะฉะนั้นความปลอดภัยคือต้องมาเมืองที่ใกล้อยุธยาที่สุด คือ ลพบุรี

และที่ไม่ไปกรุงเทพฯ และธนบุรี เพราะสองเมืองนี้ยังไม่มีความเป็นเมือง ธนบุรีในสมัยนั้น หลังรัชกาลพระมหาจักรพรรดิ์ยังเป็นเพียงตลาดอยู่เท่านั้น คือเป็นเพียงคอมมูนิตี้เล็กๆ ที่กระจายอยู่ ไม่ใช่เมืองที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ไม่ใช่เมืองที่มีป้อมปราการแล้ว ไม่ใช่เมืองที่มีพระมหาธาตุปักอยู่เป็นหลักของเมืองแล้ว ซึ่งการจะเลือกเมืองใดเมืองหนึ่งนั้น ท่านจะเลือกต้องเป็นเมืองที่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้

ส่วนสิงห์บุรีก็เป็นเมืองที่ไม่มั่นคงแบบลพบุรี ถ้าจะเปรียบเทียบระหว่างสิงห์บุรีกับลพบุรี ท่านต้องเลือกลพบุรีอยู่แล้ว เพราะแม่น้ำที่จะใช้เดินทางไปสิงห์บุรี หรือ แม่น้ำน้อย เป็นแม่น้ำสายเล็ก และคดเคี้ยวมาก เพราะฉะนั้นถ้าเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นมา จะลำบากเข้าไปอีก ทำให้ท่านเลือกลพบุรีนั่นเอง ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกันกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ตอนที่จะย้ายเมืองหลวงไปเพชรบูรณ์ ซึ่งตอนนั้นจะเลือกขึ้นมาอีกสองเมือง คือ สระบุรี และลพบุรี ให้ลพบุรีเป็นเมืองทหาร จึงเกิดค่ายหารขึ้นมากมาย และให้สระบุรีเป็นเมืองศาสนา

ถึงแม้ละครบุพเพสันนิวาสจะลาจอไปแล้ว แต่เรื่องราวประวัติศาสตร์ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยหลายเรื่องยังเป็นสิ่งที่น่าสนใจและชวนหาคำตอบ

โดยเฉพาะบางคำถามของแม่การะเกด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ทูตฝรั่งเศสไม่หมอบกราบถวายสาส์น หรือเรื่อง พระนารายณ์ตอบเรื่องเข้ารีต และ ลูกพระนารายณ์จริงๆแล้วมีกี่คน? มาฟังคำตอบจาก รศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี ก่อนไป ทัวร์ย้อนเวลาพา “ออเจ้า” ไปเฝ้า “ขุนหลวงนารายณ์” เมืองละโว้ (ลพบุรี) กับ มติชนอคาเดมี 28-29 เม.ย.นี้

แม้ละครดัง“บุพเพสันนิวาส”จบบริบูรณ์ไปเรียบร้อย แต่กระแสฟีเวอร์ยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความสนใจใฝ่รู้ศึกษาประวัติศาสตร์สยามครั้งสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทื่ “เมืองอโยธยา” เป็นราชธานี และเปรียบ“เมืองละโว้”เป็นราชธานีแห่งที่2

ด้วยความเจริญอย่างต่อเนื่องของ“เมืองละโว้” ทำให้เกิดการก่อสร้างใหญ่โตมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พบว่าเมืองละโว้ตั้งอยู่ในที่ดอน ทำให้ฤดูแล้งประสบปัญหาขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ จนมีระบบการจัดการน้ำเกิดขึ้น

เกร็ดความรู้จากหนังสือ “สาระน่าสนใจของประวัติศาสตร์ไทย ครั้งรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช” โดยนายภูธร ภูมะธน สถาบันราชภัฏเทพสตรี ลพบุรี ระบุว่า ปัญหาการขาดแคลนน้ำ นำมาสู่การจัดการน้ำ มีการสร้างระบบเก็บกักน้ำ สร้างถังพักตะกอนและจ่ายน้ำไปตามท่อน้ำดินเผาฝังใต้ดินเพื่อใช้ในพระราชวัง อารามหลวง และบ้านขุนนาง

ระบบการจัดการน้ำเมืองละโว้ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชครั้งแรก คือการใช้ประโยชน์จากอ่างเก็บน้ำโบราณที่มีมาก่อนรัชสมัยพระองค์ คือ ทะเลชุบศร ด้วยการสร้างประตูระบายน้ำปากจั่นและบังคับให้น้ำไหลตามท่อนำไปสู่ถังพักตะกอนคืออ่างแก้วและสระแก้ว จากนั้นจึงจ่ายน้ำตามท่อน้ำดินเผาที่ฝังใต้ดิน เพื่อนำไปใช้ เข้าใจว่าได้รับคำปรึกษาจากวิศวกรชาวเปอร์เซีย-โมกุล ว่ากันว่าระบบประปาเกิดขึ้นครั้งแรกที่นี่

บันทึกของแชรแวส ผู้พำนักในสยามระหว่างพ.ศ.2224-2228 ระบุว่า ระบบน้ำที่เมืองลพบุรีใช้เวลาสร้างนานถึง10 ปี จึงแล้วเสร็จ

ต่อมาช่วง10ปีสุดท้ายของรัชกาล(พ.ศ.2221-2231) เมืองละโว้ ได้รับการก่อสร้างใหญ่โตมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเป็นเวลาการมาเยือนของราชทูตนานาประเทศ ทำให้อาคารขนาดใหญ่เกิดขึ้นจำนวนมาก มีการตกแต่งอาคารให้สวยงามด้วยสวนและน้ำพุตามแบบเปอร์เซีย-โมกุล ทำให้ความจำเป็นของการใช้น้ำยิ่งมากขึ้นอีก

โครงการแหล่งป้อนน้ำใช้สำหรับเมืองละโว้แหล่งใหม่จึงเกิดขึ้น คือ ชักน้ำจากห้วยซับเหล็ก ห่างจากเมืองละโว้ไปทางทิศตะวันออกประมาณ12กิโลเมตร ผ่านลำรางส่งน้ำแบบเปิดรูปตัวยู จนถึงสระพักตะกอนน้ำที่บ้านวังศาลา(ต.ท่าศาลา อ.เมือง จ.ลพบุรี) จากนั้นจึงบังคับน้ำให้ไหลไปตามท่อน้ำดินเผา ฝังใต้ดินผ่านหอระบายแรงกดดันอากาศตรงมายังพระราชวัง โดยมีบาทหลวงฝรั่งเศสและอิตาลีเป็นผู้รับผิดชอบโครงการนี้

โครงการบริหารน้ำให้เกิดประโยชน์ สะดวกและสวยงาม ครั้งรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่เมืองลพบุรี เป็นผลงานสำคัญในฐานะพระองค์ทรงเป็นผู้นำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในสยาม ใช้เวลาก่อสร้างและพัฒนานานเกือบ20ปี

รียกขานกันมานมนานหนักหนาแล้ว สำหรับคำว่า “พระเจ้าเหา” ซึ่งเป็นชื่อมาจากตึกหรืออาคารโบราณสถานตั้งอยู่ในพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ จ.ลพบุรี ที่ตอนนี้กลายเป็นสถานที่สำคัญที่ใครต่อใครต้องเดินทางไปดูให้เห็นกับตา เพื่อตามอย่างละครบุพเพสันนิวาส คราวที่แม่การะเกดเธอทำตาโตบอกคุณพี่หมื่น ว่าอยากเห็นตึกพระเจ้าเหา ประเด็นนี้คุณพี่หมื่นไม่ได้บอกว่าพระเจ้าเหาเป็นใคร แต่มีผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์สมัยพระนารายณ์ “อาจารย์ภูธร ภูมะธน” มาเฉลยให้ทราบกัน

“ผมคิดว่ารูปธรรมทั้งหลายที่สร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ที่ จ.ลพบุรี มีมากมายหลายที่ บางที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ดีงาม บางที่ก็ทรุดโทรม บางที่มีความหมายแต่คนไม่รู้ สำหรับกรณี ตึกพระเจ้าเหา ซึ่งตั้งอยู่ในวังนารายณ์ราชนิเวศน์ อยู่ ณ มุมหนึ่งของพระราชวัง เป็นตึกที่มีสถาปัตยกรรมแบบไทย ซึ่งในวังนารายณ์นั้นจะมีสถาปัตยกรรมในสมัยพระนารายณ์หลายแบบ แบบไทยหรือแบบฝรั่งปนแขก หรืออะไรก็ตาม กรณีของตึกพระเจ้าเหา จะตรงกับตำแหน่งที่ระบุในแผนที่ของชาวฝรั่งเศสว่าเป็น หอพระประจำพระราชวัง…”

อาจารย์ภูธร ภูมะธน

“โดยสถาปัตยกรรมของตึกพระเจ้าเหา จะเห็นว่ามีกำแพงแก้วล้อมรอบอีก เพราะฉะนั้น น่าจะตรงกับที่ฝรั่งเศสระบุไว้ คือเป็นหอพระประจำพระราชวังแน่นอน ถามต่อไปว่าชื่อของตึกที่รู้จักกันในนาม พระเจ้าเหา นั้นคืออะไรกันแน่? ถ้าเป็นหอพระประจำพระราชวัง คำว่าพระเจ้าเหาน่าจะเป็นชื่อพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำอาคารหลังนี้ก็ได้ ทีนี้มีเหรอพระพุทธรูปชื่อ เหา มีการวิเคราะห์ศัพท์นี้ เพราะกังขากันมานับศตวรรษ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการบันทึกไว้ว่าเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินมาที่นี่ ก็ทรงตั้งคำถามนี้เช่นกัน…”

“เหา คืออะไร? มีการตีความกันไปต่างๆ นานา โชคดีที่คนโบราณเมื่อตีความก็มีทางออกหลายทาง หนึ่ง-เหา มาจากคำว่า “House” ที่ฝรั่งอาจเรียกหอพระว่า God’s House สอง-เหา มาจากภาษาเขมรเป็นรากศัพท์มาจากเขมร แปลว่า รวมเข้ามาหากัน เสมือนหนึ่งเป็นที่ประชุม เอาล่ะ..ในระยะหลังที่พบหลักฐานว่าที่ตรงนี้คือหอพระประจำพระราชวัง พระเจ้าเหาก็ต้องเป็นชื่อพระพุทธรูปที่สำคัญประจำพระราชวัง ที่ประดิษฐานอยู่ในอาคารหลังนี้ ถามว่า เหา เป็นชื่อพระพุทธรูปได้ไหม? ต้องผูกโยงไปอีกว่าตอนต้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ได้เสด็จไปตีดินแดนล้านนาก่อนมาสถาปนาเมืองลพบุรีให้มั่นคง แล้วมีไหมพระพุทธรูปในล้านนาที่เริ่มคำแรกว่า พระเจ้า อันนี้ธรรมดามาก ใครไปล้านนาจะรู้ว่าพระพุทธรูปสำคัญของล้านนาขึ้นต้นด้วยคำว่าพระเจ้าทั้งสิ้น อย่างพระเจ้าตนหลวง พระเจ้าเก้าตื้อ คือชื่อพระพุทธรูปสำคัญประจำพื้นที่นั้นๆ…”

“คราวนี้มาถึงพระเจ้าเหา พระเจ้าเหาเป็นชื่อพระพุทธรูปแน่ๆ ส่วนคำว่า เหา มีความหมายว่าเหาบนหัว หรือมีความหมายอื่น สำหรับผมเองสันนิษฐานเลยว่า ด้วยเหตุที่ท่านยกทัพไปตีเชียงใหม่มาก่อนแล้วค่อยมาสถาปนาลพบุรีเป็นเมืองสำคัญ คำว่า เหา เป็นชื่อพระพุทธรูป ซึ่งน่าจะตรงกับคำว่า หาว ก็ได้ ซึ่งแปลว่าสวรรค์หรือท้องฟ้า แต่สำหรับคนภาคกลาง การออกเสียงอาจจะลำบาก จากหาวมาเป็นเหาก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น สรุปชื่อ พระเจ้าเหา คือชื่อพระพุทธรูปสำคัญที่ประดิษฐานในหอพระแห่งนี้ซึ่งเป็นหอพระประจำพระราชวังนารายณ์นั่นเอง”

อย่างไรก็ตาม ยังมีความเห็นต่างไปจากอาจารย์ภูธรอีกหลายแนวคิด อาทิ แนวคิดที่อธิบายโดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อธิบายว่า คำว่า พระเจ้าเหา มาจากชื่อตึกหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ในพระนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี รัชกาลที่ 5 มีพระราชวิจารณ์ว่า ‘คำว่าเหานี้ สันนิษฐานว่าเป็นภาษาเขมร แปลว่าเรียก หมายความว่ารับสั่งให้เข้าหา หรือเข้ามาประชุม นึกสงสัยต่อไปว่า จะมีศาลพระเจ้าเหาหรืออย่างไรทำนองเดียวกันแต่โบราณมาแล้ว เป็นแต่เอาชื่อเดิมมาเรียก มิใช่คิดขนานใหม่สำหรับตึกที่สมเด็จพระนารายณ์ฯทรงสร้างที่ในพระราชวังเมืองลพบุรี ตึกพระเจ้าเหาจึงแปลได้ว่า “ตึกพระเจ้าเรียก” เป็นที่สำหรับขุนนางประชุมปรึกษาราชการ ถ้าจะแปลเป็นฝรั่งก็แปลได้ตรงๆ ตัวว่า “Convocation Hall”

ในสมัยปลายแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ พระเพทราชากับหลวงสรศักดิ์์ได้กระทำรัฐประหารในตึกนี้ กล่าวคือ ในขณะที่ขุนนางทั้งปวงประชุมกันอยู่พร้อมเพรียง ก็ให้ทหารเอาหอกดาบและปืนสอดเข้าไปตามช่องหน้าต่างประตูโดยรอบ แล้วพระเพทราชาก็ประกาศตนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ให้ขุนนางทั้งหลายกระทำสัตย์สาบาน ณ ที่นั้น หลังจากรัฐประหารครั้งนี้แล้วเหตุการณ์ในกรุงศรีอยุธยาและระเบียบวิธีปฏิบัติราชการคงจะเปลี่ยนไปมาก ของอะไรที่เกิดขึ้นใหม่ถ้ามีคนถามว่าเกิดขึ้นเมื่อไร ก็คงจะตอบกันว่า “แต่ครั้งตึกพระเจ้าเหา” ราชวงศ์บ้านพลูหลวงนั้นก็เกิดขึ้น “แต่ครั้งตึกพระเจ้าเหา” ต่อมาคำว่า “ตึก” เห็นจะหายไป คงเหลือแต่คำว่า “ตั้งแต่ครั้งพระเจ้าเหา” แปลว่า ‘ตั้งแต่ครั้งเปลี่ยนแปลงการปกครอง’ หรือ ‘ตั้งแต่ครั้งรัฐประหาร’ นั่นเอง

แนวคิดเรื่องพระเจ้าเหามาจากชื่อตึกนี้ สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เคยระบุไว้เช่นกันว่า เคยทรงสอบถามศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส ได้รับคำตอบว่า เป็นภาษาเขมร แปลว่าที่พระเจ้าแผ่นดินตรัสเรียก เคาน์ซิลออฟแชมเบอร์ (Council of Chamber) มาประชุม

เฉลยกันไปแล้วว่า พระเจ้าเหา คือชื่อพระพุทธรูปสำคัญของพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ ซึ่งเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของอาจารย์ภูธร ภูมะธน ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์สมัยพระนารายณ์ หากยังมีความเห็นต่าง ผิดแผกออกไปอีกหลายแนวคิด ทั้งนี้ ก็เป็นเรื่องของปัญญาชนคนสยามที่จะมาวิสาสา ปรมา ญาติ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและความรู้ที่ทำให้เกิดปัญญาเป็นคุณค่ากับประวัติศาสตร์ของชาติไทยต่อไป

กระแสละครบุพเพสันนิวาส ฮิตไม่เลิก พิพิธภัณฑ์วังนารายณ์คนล้น เล็งขยายเวลาเปิดถึง 19.30 น. ให้บริการแต่งชุดไทยฟรี ผอ.พิพิธภัณฑ์ ถือโอกาสทองเร่งบูรณะ จัดโครงการต่อเนื่องสร้างความรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย ทำหนังสือรวบรวมพันธุ์ไม้ในวังที่ปลูกสมัยสมเด็จพระนารายณ์

นางนิภา สังคนาคินทร์ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จ.ลพบุรี ให้สัมภาษณ์ “มติชนอคาเดมี” ว่า จากกระแสละครเรื่องบุพเพสันนิวาส ซึ่งเป็นละครอิงประวัติศาสตร์ มีผลต่อการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศที่เดินทางมาชมพิพิธภัณฑ์วังนารายณ์อย่างมากในขณะนี้

โดยเฉพาะชาวไทย สิ่งหนึ่งที่ สังเกตเห็นและเป็นความภาคภูมิใจ คือนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นวัยนิสิต นักศึกษา นักเรียน วัยหนุ่มสาว ต่างให้ความสนใจค่อนข้างมากกว่าเดิม ผิดกว่าแต่ก่อนที่มักมากับทางโรงเรียนหรืออาจารย์พามา และยังแต่งชุดไทยมาเที่ยวกันแบบไม่เคอะเขิน

นิภา สังคนาคินทร์

นางนิภากล่าวว่า ใครที่มาเที่ยวพิพิธภัณฑ์วังนารายณ์ตอนนี้ มีกิจกรรมให้บริการชุดไทยสวมใส่ฟรี พร้อมเครื่องประดับครบครัน โดยมีไว้บริการถึง 200 ชุด ซักรีดไว้เรียบร้อย จะมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยราชการ ทั้งจากจังหวัดและบุคลากรของพิพิธภัณฑ์มาช่วยแต่งตัวให้กับนักท่องเที่ยว สอนวิธีนุ่งห่มแบบไทย อีกทั้งยังจัดวิทยากรบรรยายให้ความรู้เพิ่มมากขึ้นให้พอเพียงกับจำนวนนักท่องเที่ยวด้วย

บริการชุดไทยฟรี

“ตอนนี้นักท่องเที่ยวมากันทุกกลุ่ม เป็นอิทธิพลของละคร พอมีละครขึ้นมาคนก็อยากเข้าไปติดตามหาดูพื้นที่จริง อยากรู้ข้อเท็จจริง เมื่อก่อนนี้ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ นักท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 1,000 คนเศษๆ แต่ตอนนี้ตัวเลขเพิ่ม 4-5 เท่าตัว เป็นมากกว่า 10,000 คน ถือว่าเยอะมาก ดังนั้น ทางเราจึงขยายเวลาเข้าชมวังนารายณ์ออกไป จากเดิมปิด 16.00 น. เป็น 18.30 น.  และถ้ายังมีความสนใจอย่างต่อเนื่อง หรือจำนวนนักท่องเที่ยวยังมากขึ้น ก็อาจจะขยายเวลาออกไปถึง 19.30 น.” ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์กล่าว และว่า คนที่เข้ามาชมพิพิธภัณฑ์วังนารายณ์ นอกจากมาดูนิทรรศการที่จัดแสดงเกี่ยวกับพระราชประวัติและเหตุการณ์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ที่พระที่นั่งจันทรพิศาลแล้ว ยังได้รับความสนใจจากผู้คนมาตามหาดูสิ่งที่กล่าวในละคร เช่น ตึกพระเจ้าเหา ท้องพระโรงพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญปราสาท พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เป็นต้น

พระที่นั่งจันทรพิศาล

นางนิภากล่าวต่อว่า ไม่อยากเห็นว่าพอละครจบ กิจกรรมต่างๆ ก็จบ แต่อยากให้มีกิจกรรมมาต่อยอด เพื่อความต่อเนื่องของผู้คนให้รักวัฒนธรรมไทย จึงมีโครงการแบ่งปันความรู้สู่ประชาชน เป็นการให้ความรู้แก่ประชาชนในรูปแบบของการเสวนา ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาได้จัดเสวนาเรื่อง “ใครเป็นใครในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์” ซึ่งมี อาจารย์ภูธร ภูมะธน ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์สมัยพระนารายณ์ เป็นวิทยากร  และในเดือนเมษายนนี้จะมีกิจกรรม “ตามรอยเส้นทางประวัติศาสตร์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ในเมืองลพบุรี”

อีกกิจกรรมหนึ่งที่เห็นว่าดีมากและอยากทำให้เป็นจริงและได้ผล ซึ่งถือโอกาสนี้ทำต่อเนื่อง คือการให้ความรู้สำหรับประชาชนในการเข้าชมโบราณสถาน และพิพิธภัณฑ์ ว่าเข้าชมอย่างไรจึงจะถูกต้องเหมาะสม เป็นระเบียบและไม่ทำลายโบราณ หรือทำให้ชำรุดทรุดโทรม เช่น อย่าปืนป่าย ห้ามขูดขีดโบราณสถาน หรือการแต่งกายไม่เหมาะไม่ควร เพราะที่นี่เป็นพระราชวัง ต้องเป็นไปแบบเหมาะสมหรือถูกต้อง

ตึกพระประเทียบ

นางนิภากล่าวว่า โครงการหนึ่งที่กำลังดำเนินการในปีนี้ เป็นโครงการบูรณะหมู่ตึกพระประเทียบ ซึ่งสร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 มีอยู่ทั้งหมด 8 หลัง เมื่อบูรณะเสร็จแล้วจะพัฒนามาใช้ประโยชน์ในแง่ของงานพิพิธภัณฑ์ เช่น เป็นคลังเก็บโบราณวัตถุ ปรับปรุงเป็นห้องศูนย์สารสนเทศ ห้องสมุด ศูนย์ศึกษาเรื่องเมืองลพบุรี หรือเป็นอาคารจัดแสดงพิเศษของพิพิธภัณฑ์ เป็นต้น เพราะในบริเวณวังนารายณ์ไม่สามารถสร้างอาคารใหม่ได้ เพราะเป็นพื้นที่โบราณสถานและเป็นประวัติศาสตร์ ขณะที่เราต้องพัฒนาพื้นที่ให้เหมาะสมเพื่อเอื้อประโยชน์ในการใช้สอยพิพิธภัณฑ์

“ตอนนี้ได้เริ่มบ้างแล้ว โดยใช้บางอาคารจัดนิทรรศการผลการศึกษาวิจัยแหล่งโบราณคดีในลุ่มน้ำลพบุรี ซึ่งเป็นหัวข้อที่น่าสนใจ เพราะว่าในเมืองลพบุรีมีความสำคัญ โดยเฉพาะในยุคก่อนประวัติศาสตร์ เราเจอข้าวของในไซต์งานโบราณคดีเยอะมาก ตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ศึกษาร่วมกับชาวต่างชาติและนักวิชาการจากกรมศิลปากร เช่น ศึกษาร่วมกับอิตาลี มีข้อมูลข้าวของที่ยังไม่ได้นำมาเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ก็ถือโอกาสนี้ทำเสียเลย”

สำหรับในปี 2562 จะมีโครงการบูรณะอิฐเก่าตามโบราณสถานในวังนารายณ์ให้แข็งแรงคงทน และบูรณะอาคารต่างๆ ที่อยู่ในพระราชวัง ไม่ว่าพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ตึกเลี้ยงรับรองคณะราชทูต และอาคารทิมดาบซึ่งสร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 เวลานี้ทรุดโทรมมาก นอกจากนี้ เรื่องของพื้นที่โดยรอบพระราชวังก็ต้องพัฒนาคู่กันไป เพราะคนมาเที่ยวไม่ได้มาดูแแค่โบราณสถาน แต่ยังดูภูมิทัศน์ สิ่งแวลด้อม สนามหญ้าเขียวๆ ต้นไม้ใหญ่ ถือว่าเป็นต้นไม้ที่อยู่คู่กับวังมาอย่างยาวนาน เช่น ต้นจัน ถือเป็น 1 ใน 65 ต้น ไม้ในโครงการ “รุกขมรดกของแผ่นดิน” ของกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งปีนี้ได้รับงบประมาณจากจังหวัดให้มีการเพาะพันธุ์และขยายพันธุ์ต้นจันจำนวน 1,000 ต้น เพื่อแจกจ่ายไปยังวัดต่างๆ หรือหน่วยงานที่ต้องการอนุรักษ์ต้นไม้สำคัญ

ต้นจันอายุเกือบ 400 ปี

“ต้นจันที่เห็นในวังนารายณ์มีอายุเกือบ 400 ปีแล้ว เชื่อกันว่าปลูกมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ ตอนนี้กำลังให้นักวิชการของกรมทรัพย์มาศึกษาให้ชัดเจนว่ามีอายุเท่าไหร่กันแน่ แต่เท่าที่พบหลักฐานอาศัยจากการเทียบเคียงภาพถ่ายต้นจันต้นนี้มาหลายยุคสมัย และศึกษาเปลือกของต้นไม้ พอจะเทียบเคียงได้ว่าอายุมากกว่า 300 ปี

และไม่ใช่เฉพาะต้นจัน ยังมีต้นไม้อื่นๆ อีกหลายต้น เช่น ต้นพิกุล จามจุรี ปีป มะเกลือ ฯลฯ ที่เกิดในวังนารายณ์และต้นใหญ่มาก จึงอยากเก็บองค์ความรู้เพื่อรวบรวมและจัดพิมพ์เป็นหนังสือร่วมกับโบราณสถานที่อยู่ในจ.ลพบุรี ให้ความรู้และทำเป็นผังเส้นทางเดินสำหรับคนชื่นชอบต้นไม้ ให้เห็นว่าถ้าท่านอยู่ ณ จุดนี้ ถ้าเดินไปทางซ้าย ไปทางขวาจะเจอกับต้นไม้อะไรบ้าง และมีคำอธิบายของต้นไม้เหล่านั้น ซึ่งที่นี่มีความโดดเด่นเรื่องของต้นไม้ใหญ่ ไม่เฉพาะช่วยให้ความร่มรื่น หากแต่เป็นเสน่ห์ของวังพระนารายณ์ราชนิเวศน์”นางนิภากล่าว

ทั้งนี้ พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ เป็นพระราชวังที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช โปรดให้สร้างขึ้น ณ เมืองลพบุรี เมื่อประมาณ พ.ศ.2208-2209 มีพื้นที่ประมาณ 43 ไร่ ออกแบบโดยวิศวกรชาวฝรั่งเศส ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบไทยผสมตะวันตก โดยมีบันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวถึงพระราชวังนี้ว่า “….นอกจากที่กรุงศรีอยุธยาแล้ว ไม่มีที่ใดงดงามเท่าที่นี่” ในการก่อสร้างพระราชวัง และ พระตำหนักที่ลพบุรีในครั้งนั้น พิจารณาจากฝีมือการออกแบบและก่อสร้าง น่าจะเกิดจากการผสมผสานทั้งช่างชาวตะวันตก ช่างหลวงไทย และช่างจากเปอร์เซีย ที่ทำให้สถาปัตยกรรมช่วงนี้มีความพิเศษและน่าอัศจรรย์

สมเด็จพระนารายณ์ทรงโปรดประทับ ณ เมืองลพบุรีถึง 8-9 เดือน ในหนึ่งปี เฉพาะฤดูฝนเท่านั้น จึงเสด็จไปประทับอยู่ ณ กรุงศรีอยุธยา เมืองลพบุรีจึงเป็นศูนย์กลางความเจริญด้านการปกครอง การค้า รวมทั้งด้านภาษา วรรณกรรม และสถาปัตยกรรม สมเด็จพระนารายณ์ได้ใช้สถานที่แห่งนี้ในการเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาอารยประเทศตลอดรัชสมัย

ต่อมาเมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 2231 พระราชวังถูกทิ้งร้าง จนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรด ฯ ให้ซ่อมแซมพระราชวังเดิมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ พ.ศ.2399 โปรดให้สร้างพระที่นั่งเพิ่มขึ้น และพระราชทานชื่อพระราชวังนี้ว่า “พระนารายณ์ราชนิเวศน์”

นอกจากพระที่นั่งและตึกต่างๆ ที่สร้างขึ้นในสมัยพระนารายณ์จะสวยงามและคงคุณค่าด้านประวัติศาสตร์แล้ว ยังมีพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ที่เป็นแหล่งข้อมูลความรู้ที่คนไทยทั้งประเทศจะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติตัวเอง

เรียกได้ว่ายิ่งออกอากาศ เนื้อหาในเชิงประวัติศาสตร์ก็ยิ่งเข้มข้นเข้าไปทุกขณะ สำหรับละครดังที่สร้างกระแสออเจ้าไปทั่วประเทศอย่าง “บุพเพสันนิวาส” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกอากาศในวันที่ 28-29 มีนาคม ที่ละครเริ่มพูดถึง “พระปีย์” และเหตุการณ์ที่คณะราชทูตฝรั่งเศสถวายพระราชสาส์นจากพระเจ้าหลุยส์ ที่ 14 แด่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นต้น

แต่อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือการที่ละครพาผู้ชมไปรู้จัก “เมืองละโว้” มากขึ้น ด้วยการให้ขุนศรีวิสารวาจาพาการะเกดขี่ม้าเที่ยวชมเมืองละโว้เป็นครั้งแรก

ละโว้ หรือปัจจุบันคือ จ.ลพบุรี เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเมืองสำคัญในประวัติศาสตร์ยุคสมเด็จพระนารายณ์เลยก็ว่าได้ ด้วยความที่พระองค์เสด็จมาประทับอยู่ที่ละโว้ จนมีคำกล่าวเปรียบเปรยว่าละโว้เป็นราชธานีแห่งที่ 2 ในยุคสมัยของพระองค์

สถานที่สำคัญในละโว้ที่ยังหลงเหลือมาให้ชมจนถึงปัจจุบันมีมากมายหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น พระที่นั่งไกรสรสีหราช วัดสันเปาโล บ้านหลวงรับราชทูตวิชาเยนทร์ รวมไปถึง “พระนารายณ์ราชนิเวศน์” พระราชวังที่สมเด็จพระนารายณ์โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประทับ ล่าสัตว์ ออกว่าราชการ และต้อนรับแขกเมือง ในพงศาวดารบอกว่าพระองค์มักประทับอยู่ที่เมืองลพบุรี ปีละ 8-9 เดือน

งานนี้ “มติชน อคาเดมี” จัดทริป ย้อนเวลาพา “ออเจ้า” ไปเฝ้า “ขุนหลวงนารายณ์” เมืองละโว้ (ลพบุรี) ที่จะพาไปชมพระราชวังที่มีรูปแบบที่ผสมผสานกันระหว่างศิลปกรรมไทยและตะวันตก รวมไปถึงการวางระบบท่อประปาภายในพระราชวังแบบพระราชวังอาลิคาปู ประเทศอิหร่าน อันแสดงให้เห็นถึงพระราชนิยมแบบเปอร์เซียของสมเด็จพระนารายณ์ พร้อมฟังบรรยายจาก “รศ.ดร.ปรีดีพิศภูมิวิถี” ปรมาจารย์ประวัติศาสตร์กรุงเก่า และร่วมกันวิเคราะห์คำตอบแบบเจาะลึก ทั้งสาเหตุการสร้างลพบุรีเป็นราชธานีแห่งที่ 2, จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์สยาม-ฝรั่งเศส รวมถึงจุดนัดประชุมขุนนางของ 2 พ่อ-ลูก “พระเพทราชา-หลวงสรศักดิ์” ในการวางแผนยึดอำนาจ ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังพาไปชมโบราณสถานอื่นๆ ด้วย เช่น พระที่นั่งไกรสรสีหราช, วัดสันเปาโล, บ้านหลวงรับราชทูตวิชาเยนทร์

 

กำนดการเดินทาง รอบแรก วันเสาร์ที่ 28 เมษายน 2561 รอบสอง วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน 2561 ราคา 2,500 บาท (อ่านรายละเอียดการเดินทางได้ที่ลิงค์นี้ https://www.matichonacademy.com/update/article_9124)

สนใจติดต่อ :

Tel : 0-2954-3977-84 ต่อ 2115, 2116, 2123, 2124
Mobile : 08-2993-9097, 08-2993-9105
inbox facebook : Matichon Academy
line @m.academy