นำหน้าก่อนใครเพื่อน “จังหวัดน่าน” จังหวัดหนึ่งในภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ที่ได้รับยกย่องว่ามีธรรมชาติสวยสดงดงาม ประกาศปลดล็อกธุรกิจโรงแรมและที่พัก ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป ทำให้นักท่องเที่ยวและนักเดินทางทั้งหลายสามารถเดินทางไปเที่ยวและพักผ่อนรับอากาศดีๆ ได้แล้ว พร้อมชมธรรมชาติอันสวยงาม ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  ส่วนสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19  จังหวัดน่านมีมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดเป็นอย่างดี อีกทั้งผู้ประกอบการก็คำนึงถึงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว จัดการระบบให้เกิดความสบายใจและให้เป็นมาตรฐานในการให้บริการ

นักเดินทางทั้งหลายต่างรู้กันดีว่าน่านมีสภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา วางตัวในแนวเหนือ-ใต้ โดยเฉพาะบริเวณชายแดนด้านเหนือและตะวันออก ซึ่งเป็นรอยต่อกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มี “ภูเข้” ในเขตอำเภอบ่อเกลือ เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในจังหวัด ความสูงถึง 2,079 เมตร และมี “ดอยภูคา” ในเขตอำเภอปัว เป็นยอดเขาที่สำคัญของจังหวัด ความสูง 1,980 เมตร ส่วนพื้นที่ราบจะอยู่บริเวณตอนกลางของจังหวัด และตามลุ่มน้ำต่างๆ แหล่งน้ำที่สำคัญของน่าน คือ แม่น้ำน่าน มีต้นกำเนิดจากทางตอนเหนือของจังหวัด แล้วไหลลงไปยังเขื่อนสิริกิติ์ในจังหวัดอุตรดิตถ์ ไปบรรจบกับแม่น้ำปิงที่จังหวัดนครสวรรค์ กลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา นอกจากนี้ ยังมีลำน้ำสาขาต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ลำน้ำสา ลำน้ำว้า ลำน้ำสมุน ลำน้ำปัว ลำน้ำย่าง ลำน้ำแหง เป็นต้น น่านมีพื้นที่กว้างใหญ่ เต็มไปด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน ทั้งยังมีประชากรหลายชาติพันธุ์ นับว่าเป็นดินแดนของความหลากหลายอีกแห่งหนึ่งของประเทศ

แม่น้ำน่าน

จังหวัดน่านนับเป็นเมืองโบราณเมืองหนึ่ง เดิมชื่อ “เมืองน่าน” หรือ “เมืองนันทบุรี” ตามประวัติศาสตร์เกิดขึ้นเมื่อประมาณต้น พ.ศ.1800  พญาภูคา เจ้าเมืองย่าง มีราชบุตรบุญธรรมอยู่ 2 องค์ นามว่า ขุนนุ่น และ ขุนฟอง พญาภูคาได้สร้างเมืองใหม่ ขนานนามเมืองนี้ว่า “วรนคร”  สถาปนาให้ขุนฟองเป็นเจ้าผู้ครองเมือง  ต่อจากขุนฟองมีเจ้าผู้ปกครองนครสืบต่อมาเรื่อยๆ  จนถึง พญาการเมือง ในสมัยนั้นเมืองวรนครตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงสุโขทัย ต่อมาได้อพยพผู้คนมาสร้างเมืองใหม่ประมาณ พ.ศ.1902 ขนานนามเมืองว่า “เมืองภูเพียงแช่แห้ง” หรือ “เวียงแช่แห้ง”

พญาการเมืองครองเมืองได้ 5 ปีก็ถึงแก่พิราลัย พญาผากอง ผู้บุตรจึงสืบต่อครองเมืองแทน 6 ปีให้หลัง พญาผากองได้พิจารณาทางฝั่งแม่น้ำทิศตะวันตกมีความอุดมสมบูรณ์  จึงไปสร้างเมืองใหม่ที่นั้น ในปี พ.ศ. 1911  เรียกขานกันว่า “เมืองนันทบุรี” มาถึงสมัยที่อาณาจักรล้านนารุ่งเรือง มีเมืองเชียงใหม่เป็นราชธานี  ราวปี พ.ศ. 2004 เมืองน่านก็ขึ้นต่อเชียงใหม่และรวมเป็นอาณาจักรล้านนาด้วย ต่อมาเมื่ออาณาจักรล้านนาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า เมืองน่านก็รวมอยู่ด้วย ในปี พ.ศ.2099 ถึง พ.ศ.2317  เมืองเชียงใหม่เอาชนะพม่าได้  จึงรวมเมืองต่างๆ เข้าด้วยกันอีกครั้งเป็นอาณาจักรล้านนา ซึ่งก็มีเมืองน่านอยู่ด้วย ในปี พ.ศ.2352 อาณาจักรล้านนาถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรไทย เมืองน่านถูกแบ่งออกจากล้านนา มีฐานะเป็นเมืองประเทศราช เจ้าเมืองขึ้นตรงกับกรุงรัตนโกสินทร์เรื่อยมา

ในรัชกาลที่ 2  เมืองน่านถูกน้ำท่วม ตัวเมืองได้รับความเสียหายอย่างมาก พญาสุมนเทวราช เจ้าครองนครน่านในสมัยนั้นได้อพยพชาวเมืองไปสร้างเมืองใหม่บนที่ดอนเพื่อกันน้ำท่วม อยู่ที่นั่นนานถึง 36 ปี จนปลายรัชกาลที่ 4 แม่น้ำน่านได้เปลี่ยนเส้นทางห่างไปมาก เจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าครองเมืองน่าน ได้ขอพระบรมราชานุญาตจากสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ย้ายเมืองมาตั้ง ณ ที่เดิม  มีการซ่อมแซมเมืองเก่าที่ทิ้งร้างไปให้กลับคืนมา แล้วสร้างกำแพงเมืองขึ้นใหม่ก่อด้วยอิฐถือปูน ในปี พ.ศ.2400  นครเมืองน่านกลายเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยอย่างสมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 7 หลังจากเจ้ามหาพรหมสุรธาดาเจ้าเมืองน่านองค์สุดท้ายถึงแก่กรรมในปีพ.ศ. 2474 จึงยกเลิกระบบการปกครองโดยเจ้าผู้ครองนครนับแต่นั้นเป็นต้นมา

เมื่อเกิดโรคระบาดโควิด-19 น่านเป็นจังหวัดหนึ่งที่ต้องปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล โดยการปิดเมืองเพื่อป้องกันโรคระบาดนับตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคมจนถึง 30 เมษายน 2563 กระทั่งล่าสุด 20 พฤษภาคม 2563 จังหวัดน่านได้ประกาศเปิดตัวให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเยือนได้ โดยประกาศเปิดโรงแรม ที่พัก ในชุดแรกจำนวน 60 แห่ง ให้เข้าไปใช้บริการตามปกติได้  ทั้งนี้รายชื่อโรงแรม ที่พัก ชุดแรก มีดังนี้  1.โรงแรมน้ำทองน่าน  2.บ้านสวนสักรีสอร์ท  3.โรงแรมน่านบูติกโฮเทล  4.ปลาบปลื้มรีสอร์ท  5.น่านโนเบิ้ลเฮ้าส์ การ์เด้น รีสอร์ท  6.โรงแรมเวียงแก้ว  7.โรงแรมมีมีอาร์น่าน รีสอร์ทแอนด์โฮเท็ล  8.ภูพิพัฒน์ รีสอร์ท  9.โรงแรมริมสวนเพลส  10.แดนเมืองฮิลล์ รีสอร์ท  11.โรงแรมโซน่าเฮ้าส์

12.โรงแรมแสงดาวสวีท  13.โรงแรมดอกไม้ป่า  14.โรงแรมภูมินทร์เพลส  15.โรงแรมบ้านย่า  16.โรงแรมมีโชค  17.โรงแรมเฮือนคำน่าน  18.โรงแรมน่านเทรชเชอร์  19.โรงแรมวินเฮ้าส์  20.โรงแรมกรีนฮิลล์รีสอร์ท  21.โรงแรมปาโกด้าไซด์ เรดซิเด้นท์  22.เรือนไม้งามรีสอร์ท  23.โรงแรมเควัน  24.โรงแรมเควันอินน์  25.โรงแรมน่านนครา บูทีค  26.โรงแรมเวียงภูมินทร์  27.น่านนภารีสอร์ท  28.ชมนารีสอร์ท  29.รพีพงศ์ โฮเทล  30.บ้านรพีพงศ์ บูติก โฮเทล

31.โรงแรม ซี แอนด์ ซี น่าน โฮเทล  32.โรงแรมชนาสิน  33.ดวงดาวรีสอร์ท  34.โรงแรมน่านสุวารินทร์  35.โรงแรมภัทร์จรัสโฮมสเตย์  36.โรงแรมพันธ์ทิพย์ เรสซิเด้นซ์  37.โรงแรมข้าหลวงเพลส  38.โรงแรมช้างเผือกเกสต์เฮ้าส์39.โรงแรมภูระฟ้า เพลส  40.โรงแรมน่านฟ้าชลธี รีสอร์ท 41.น่านรอยัลรีสอร์ท  42.โรงแรมชมน่านเพลส  43.ภูเพียงเคียงฟ้ารีสอร์ท  44.โรงแรมเอื้องคำ  45.โรงแรม 107 ทาวเวอร์น่าน  46.โรงแรม SP เกสต์เฮ้าส์  47.โรงแรมเพิ่มพูล 1  48.โรงแรมเพิ่มพูล 2  49.โรงแรมน่านกรีนเพลส

50.โรงแรมภูนานลอฟท์น่าน  51.โรงแรมฮักน่าน  52.ชิคอินน์น่าน  53.โรงแรม The one house  54.โรงแรมน่านธาราเพลส  55.ทุ่งช้างฮิลล์รีสอร์ท  56.อนงค์นาถ ห้องพัก  57.โรงแรมน่านศรีปันนนา รีสอร์ท  58.โรงแรมพรพงษ์วิลเลจ  59.โรงแรมโกโก้วัลเลย์ รีสอร์ท  60.โรงแรมภูเพียงเดือน

ส่วนการเดินทางเข้าและออกพื้นที่จังหวัดน่านในหนึ่งวัน ให้ปฏิบัติดังนี้  แสดงบัตรประจําตัวประชาชน  แสดงหนังสือรับรอง  วัดอุณหภูมิร่างกาย  กรณีไม่มีหนังสือรับรองที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐ  ให้แสดงบัตรประจําตัวประชาชน วัดอุณหภูมิร่างกาย  รับใบผ่านด่าน รายงานตัวต่อผู้ใหญ่บ้าน / หัวหน้าบ้าน

กรณีผู้ที่เข้าพักโรงแรมให้ดาวน์โหลดแอพฯ “ไทยชนะ” และทำการ CHECK in และ CHECK OUT ก็ถือว่ารายงานแล้ว  หากมีข้อสงสัย สอบถามข้อมูลการเดินทางจังหวัดน่านได้ที่  1.ด่านห้วยน้ำอุ่น อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน นายอำเภอเกรียงไกร เวชนุรักษ์  โทร 081 867 2547  หัวหน้าด่าน ปลัดจวน จันเครื่อง  โทร 063 902 1168  2.ด่านบ้านนาหวายใหม่ อำเภอบ้านหลวง  นายอำเภอ ชัยพล โรจวิสิฐ  โทร 081 867 2575  หัวหน้าด่านปลัดรัฐวิชญ ตันแก้ว  โทร 063 902 1888   3.ด่านบ้านสะเกิน ตำบลยอด  อำเภอสองแคว  นายอำเภอ สมเกียรติ อาจสังข์  โทร 081 867 2592  หัวหน้าด่านปลัดสิทธิศักดิ์ วงค์ชูแก้ว  โทร 063 902 1188 

หรือสอบถามข้อมูลท่องเที่ยวเพิ่มเติม ได้ที่  ททท.สำนักงานน่าน  โทร 054 711 217-8 ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.  ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการและวันนักขัตฤกษ์ หรือ  FB:TAT NAN ททท.สำนักงานน่าน  Twitter:@tatnanofficial    IG:tatnan_office

เทรนด์ท่องเที่ยวใหม่ – นับเป็นเวลาหลายเดือนด้วยกัน ที่คนทั่วโลกต้องอยู่กับสภาวะ “ล็อกดาวน์” หยุดกิจกรรมต่างๆ ที่เคยทำทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน อย่างการเดินทางออกไปทำงาน การออกไปกินข้าวนอกบ้าน ช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้า ดูภาพยนตร์ คอนเสิร์ต หรือการเดินทางท่องเที่ยว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

จนถึงปัจจุบันนี้ สถานการณ์ในหลายประเทศเริ่มคลี่คลายลง หลายคนก็เริ่มคิดถึงบรรยากาศเดิมๆ และในหลายประเทศ ก็เริ่มคลายมาตรการล็อกดาวน์ให้คนออกไปใช้ชีวิตประจำวันได้มากขึ้น โดยเฉพาะกับการท่องเที่ยวที่จะเป็นสิ่งแรกๆ ที่คนนึกถึง สายการบินต่างๆ เริ่มจะกลับมาให้บริการอีกครั้ง แต่แน่นอนว่า ไลฟ์สไตล์ของคนเหล่านั้น ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อวิถีชีวิตของคนต้องปรับใหม่แบบนิว นอร์มอล เว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อป้องกันการติดเชื้อและกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง

นั่นทำให้ รูปแบบการท่องเที่ยวของคนทั่วโลกจากนี้ เปลี่ยนไปอย่างแน่นอน

อลิซาเบธ โมนาฮัน โฆษกของ ทริปแอดไวเซอร์ เว็บไซต์ท่องเที่ยวชื่อดัง เปิดเผยกับซีเอ็นบีซีว่า การท่องเที่ยวจากนี้จะเริ่มจากท้องถิ่น หรือเที่ยวในประเทศเป็นหลัก นักท่องเที่ยวจะเลือกเที่ยวที่ใกล้บ้าน ไปกินอาหารท้องถิ่น หรือท่องเที่ยวท้องถิ่นในช่วงวันหยุด และเลือกเที่ยวในประเทศก่อนจะเดินทางไปต่างประเทศ เห็นสอดคล้องกันกับคนในแวดวงโรงแรมที่พัก ที่มองว่าคนจะเลือกเที่ยวในประเทศก่อน

ซีเอ็นบีซียังรายงานว่า “ที่พักที่สะอาด” จะเป็นปัจจัยสำคัญในการออกเดินทางแต่ละครั้ง โดยที่พักประเภทวิลล่า หรือบ้านพักส่วนตัวจะเพิ่มขึ้น เพราะมีความหนาแน่นน้อยกว่าโรงแรม ที่จะมีคนเข้าเช็กอินเช็กเอาต์จำนวนมาก ซึ่งหากเสิร์ชที่พักในแอพพลิเคชั่นอย่างแอร์บีเอ็นบี จะพบว่า “สะอาดมาก-โควิด เฟรนด์ลี่” เป็นสิ่งที่เหล่าเจ้าของที่พักใช้เพื่อบอกว่าเป็นสถานที่ปลอดภัยในการเข้าพัก

“ความยืดหยุ่น” นับเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจเที่ยวจากนี้เช่นกัน ที่พัก หรือตั๋วเครื่องบิน รวมทั้งตารางการเที่ยวที่ยกเลิกได้ฟรี ถือเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจ หลักจากที่หลายคนต้องยกเลิกทริปหลังจากโควิดมาเยือน และนั่นจะทำให้ประกันการเดินทาง ที่รวม “ยกเลิกได้ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม” กลายเป็นสิ่งสำคัญ

และในอนาคต การท่องเที่ยวแบบโร้ดทริปจะกลายเป็นสิ่งที่คนนิยม เพื่อเป็นการเลี่ยงการเดินทางโดยเครื่องบิน ที่จะต้องเจอกับคนจำนวนมาก การขับรถท่องเที่ยวกับคนสนิทๆ จะเป็นตัวเลือกที่ดี ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ หรือรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแผนได้ตลอดเวลาด้วย

การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นแบบซาฟารี ดูชีวิตสัตว์ หรือการเข้าป่า สัมผัสกับธรรมชาติ จะได้รับความนิยมมากขึ้น แน่นอนว่าเที่ยวแบบรักษาระยะห่างจะเป็นการเที่ยวแบบใหม่อีกอย่างหนึ่ง กิจกรรมที่ต้องเจอคนหมู่มากอย่างพิพิธภัณฑ์ งานเทศกาล โชว์ต่างๆ บาร์ ไนต์คลับ จะเป็นตัวเลือกหลังๆ เมื่อเลือกจะท่องเที่ยว

อีกสิ่งหนึ่งของการเดินทาง ที่จะเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ ก็คือการเลือกเอเยนซี่ทัวร์ หรือที่ปรึกษาด้านท่องเที่ยว เพื่อจะช่วยจัดการปัญหาต่างๆ ให้ง่ายขึ้น หลังจากที่หลายคนต้องติดต่อสายการบินขอเงินคืนอย่างยากลำบาก หรือยุ่งยากในการประสานงานเลื่อนการเดินทางต่างๆ

ที่มา : มติชนออนไลน์

“พิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดิน” สถานที่จัดแสดงผลงานศิลปหัตถกรรมของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ใน “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระราชชนนีพันปีหลวง” เป็นผลงานจากฝีมือของช่างสถาบันสิริกิติ์ สวนจิตรลดา ซึ่งตั้งอยู่ที่ ตำบลเกาะเกิด อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ได้นำผลงานซึ่งสร้างสรรค์จากวิสัยทัศน์และพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯ  พระบรมราชชนนีพันปีหลวง  เผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ อินสตาแกรม เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ และยูทูบ ภายใต้ชื่อ “artsofthekingdom” เพื่อให้ประชาชนคนไทยและชาวต่างชาติได้ชื่นชมความงดงามของงานศิลป์ไทยอย่างต่อเนื่อง

สีวิกากาญจน์
วานเรศบวรอาสน์หรือพระที่นั่งกง
พระที่นั่งพุดตานถมทอง

1.สีวิกากาญจน์

พระราชยานสำหรับเจ้านายฝ่ายในที่สูงศักดิ์ สถาบันสิริกิติ์จัดสร้างโดยนำต้นแบบมาจากสีวิกา ที่ประดิษฐานอยู่บนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท สร้างด้วยทองคำผสานเทคนิคจากช่างในสถาบันสิริกิติ์หลายแผนก เช่น แผนกเครื่องเงิน เครื่องทอง ช่างลงยาสี เป็นต้น ตกแต่งด้วยปีกแมงทับ

2.ผอบถมตะทองคำประดับเพชร 

ลายพุดตานใบเทศ ยอดปริกทองคำ ตกแต่งทองคำประดับเพชร

3.วานเรศบวรอาสน์หรือพระที่นั่งกง

พระราชอาสน์หรือพระที่นั่งขนาดเล็ก ใช้เป็นทั้งพระราชบัลลังก์ และพระราชยาน

4.พระที่นั่งพุดตานถมทอง

สร้างจำลองแบบพระที่นั่งพุดตานจำหลักไม้วังหน้า ทรงชั้นพระที่นั่งสร้าง

ด้วยเงินถมตะทอง ท้องไม้สองชั้น ชั้นล่างตกแต่งด้วยครุฑยุดนาคเป็นระยะ ชั้นสองรายรอบด้วยรูปเทพยดาประนมกร

5.สัปคับคร่ำ

ใช้เทคนิคคร่ำเป็นหลัก ความพิเศษอยู่ที่ช่างฝีมือบรรจงฉลุเหล็กให้โปร่งเป็นลูกไม้จนมองเห็นทะลุได้ชัดเจน 

พระที่นั่งพุดตานถมทอง
สัปคับคร่ำ

สามารถชมภาพความงดงามเหล่านี้ได้ทุกช่องทางออนไลน์ของ  artsofthekingdom ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ผอบถมตะทองคำประดับเพชร
วานเรศบวรอาสน์หรือพระที่นั่งกง
สัปคับคร่ำ

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยึดตัวเลขรายได้จากภาคการท่องเที่ยวอยู่ที่ 1.23 ล้านล้านบาท เป็นรายได้รวมทั้งตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ และตลาดไทยเที่ยวไทย ซึ่งน่าจะสามารถทำได้ใกล้เคียง เนื่องจากขณะนี้ทั้งในแง่จำนวนและรายได้ติดลบ 60% โดยแบ่งเป็นรายได้จากตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 8.28 แสนล้านบาท รายได้จากตลาดไทยเที่ยวไทย 4.02 แสนล้านบาท จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามาเที่ยวในประเทศอยู่ที่ประมาณ 14-16 ล้านคน ส่วนไทยเที่ยวอยู่ที่ 100 ล้านคน-ครั้ง ซึ่งเบื้องต้นประเมินว่าจะสามารถทำได้มากกว่านี้ เพราะเชื่อว่าความต้องการในการเดินทางท่องเที่ยวจะมีสูงมากขึ้น แม้ยังมีความกังวลในส่วนของอำนาจซื้อที่ชะลอตัวลง เพราะภาวะเศรษฐกิจไม่สดใสมากนัก แต่ยังหวังว่าคนไทยกลุ่มที่นิยมเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่ไม่สามารถไปได้ในขณะนี้ จะกลับมาท่องเที่ยวในประเทศแทน และเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันและขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวในประเทศต่อไป

นายยุทธศักดิ์กล่าวว่า การประมาณการตัวเลขดังกล่าว สอดคล้องกับที่องค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ได้คาดการณ์ออกมาว่า ภาพการท่องเที่ยวระหว่างประเทศทั่วโลกในไตรมาส 1/2563 จะติดลบที่ 22% เฉพาะเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ติดลบ 57% โดยได้คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศในปี 2563 ไว้ 3 กรณีคือ ปลดล็อกการเดินทางระหว่างประเทศได้ภายในเดือนกรกฎาคม หรือภายในเดือนกันยายน หรือสุดท้ายเดือนธันวาคม ซึ่งตัวเลขดีที่สุดจะติดลบ 58% ส่วนแย่ที่สุดจะติดลบ 78% ซึ่งตัวเลขที่ททท.คาดการณ์ไว้ว่าจะติดลบ 60% ก็ถือว่าเป็นตัวเลขติดลบในกรณีที่ดีอยู่ โดยจาการสำรวจของดับเบิลยูทีโอ คาดว่าการท่องเที่ยวภายในประเทศจะฟื้นตัวกลับมาได้เร็วกว่าการเดินทางระหว่างประเทศ ซึ่งท่องเที่ยวในประเทศจะฟื้นได้ภายในไตรมาส 3 ส่วนท่องเที่ยวระหว่างประเทศจะกลับมาได้เร็วที่สุดภายในไตรมาส 4

นายยุทธศักดิ์กล่าวว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้มอบหมายให้จัดทำแผนการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวไทย โดยจะใช้นโยบายประเทศไทยที่คุณวางใจ ชูจุดขาย 3 เรื่องคือ 1.ความปลอดภัย ระบบสาธารณสุขและการจัดการที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงเป็นที่ยอมรับ 2.ความคุ้นเคย เน้นอาหารและวัฒนธรรมที่โดดเด่น มีเอกลักษณะเฉพาะตัว และ 3.ความสวยงาม ทั้งทางธรรมชาติและผู้คน ซึ่งเป็นจุดขายที่ต้องรักษาไว้เพื่อความยั่งยืน โดยจะมุ่งเน้นในการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวอย่างเป็นขั้นเป็นตอนด้วยความระมัดระวัง เพื่อให้เศรษฐกิจขยับและเริ่มฟื้นตัว โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1.ระยะที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการควบคุมให้สามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ ได้บ้าง แต่ยังมีข้อจำกัดในการเดินทาง การเคลื่อนย้ายผู้คน และสถานที่ชุมนุม โดยในระยะนี้จะมุ่งเตรียมความพร้อมเรื่องบุคลากร ซ่อมสร้างอุปทานเพื่อปรับตัวสู่การท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ แบบความปกติใหม่หรือนิวนอร์มอล ยกระดับคุณภาพสินค้าและบริการ ปรับภาพลักษณ์ เน้นการทำตลาดแบบนุ่มนวล ให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติยังนึกถึงเสมอ 2.ช่วงเปิดเมืองหรือเปิดประเทศ เพื่อการท่องเที่ยวแบบจำกัดประมาณไม่เกิน 60% ของพื้นที่ที่อนุญาตให้เดินทาง การเคลื่อนย้ายของผู้คน และสถานที่ชุมนุม ให้ความสำคัญกับการเที่ยวภายในประเทศเป็นอันดับแรก โดยอาจอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติบางประเทศที่มีการควบคุมโรคได้ดีแล้วเดินทางเข้ามาเที่ยวในไทยได้ อยู่ภายใต้การควบคุมเพื่อความปลอดภัยและป้องกันการระบาดซ้ำ

“หากมีการอนุญาตให้เดินทางท่องเที่ยวและทำกิจกรรมอื่นๆ ได้มากขึ้นแล้ว รูปแบบการเดินทางท่องเที่ยวที่เป็นไปได้จะต้องอาศัยความยินยอมของประชาคมในพื้นที่ ประกอบด้วย 1.การท่องเที่ยวภายในกลุ่มที่ 1 พื้นที่ที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยมาก่อนเลย หรือภายในกลุ่มที่ 2 พื้นที่ที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยในช่วง 28 วันที่ผ่านมา 2.การท่องเที่ยวระหว่างกันของกลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 และ 3.การเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติไปยังกลุ่มที่ 1 และ 2 ซึ่งทั้งหมดจะต้องเป็นไปตามแนวทางการเฝ้าระวังและสอบสวนโรคโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) อย่างเคร่งครัด โดยททท.จะพิจารณาเลือกพื้นที่ปลอดโควิด-19 จากนั้นจะประสานกับคนในพื้นที่ เพื่อสร้างความเข้าใจและเกิดความเชื่อใจขึ้น ซึ่งเบื้องต้นอาจจะเลือกเป็นพื้นที่เกาะก่อน พร้อมทำประชาคมหรือสอบถามความคิดเห็นจากคนในพื้นที่ เบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มดำเนินแผนระยะที่ 2 ในเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมในเชิงพื้นที่ รองรับความต้องการมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่คาดว่าน่าจะเริ่มกลับมาเที่ยวไทยในเดือนตุลาคมนี้ โดยจะต้องลบภาพเดิมในการต้อนรับนักท่องเที่ยวออกไปก่อน การสร้างความรู้สึกเชิงบวกในการต้อนรับนักท่องเที่ยว เพราะขณะนี้เกิดการต่อต้านนักท่องเที่ยวขึ้น แม้แต่การเดินทางของคนไทยข้ามจังหวัด ก็เกิดการไม่ต้อนรับกันเองขึ้น เพราะกลัวการนำเชื้อไวรัสเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งต้องสื่อสารและทำความเข้าใจกันมากขึ้น” นายยุทธศักดิ์กล่าว

นายยุทธศักดิ์กล่าวว่า ส่วน 3.เป็นการเปิดเมืองเปิดประเทศสู่ความยั่งยืน ภายใต้นิวนอร์มอล กระตุ้นไทยเที่ยวไทยด้วยรูปแบบการเดินทางท่องเที่ยวที่ปลอดภัยต่อสุขภาพและบริการที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง เน้นตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติระดับบนด้วยภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก ขยายฐานนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มเที่ยวซ้ำและกลุ่มการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ เพื่อให้ภาคท่องเที่ยวไทยกลับมาอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน พร้อมถือโอกาสนี้รีแบรนด์ภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทยไปในตัว ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของแผนฟื้นฟูร่วมกับกลยุทธ์อื่นๆ อาทิ การสร้างงาน สร้างรายได้ เสริมสภาพคล่องของภาคธุรกิจ กระตุ้นให้คนออกไปจับจ่ายท่องเที่ยว ปรับสมดุลในมิติต่างๆ อาทิ การกระจายนักท่องเที่ยว สร้างสมดุลเชิงโครงสร้างของตลาด ลดการพึ่งพิงตลาดต่างประเทศ และหันมาให้น้ำหนักกับตลาดในประเทศมากขึ้น

ที่มา : มติชนออนไลน์

ธนินท์ เจียรวนนท์

นายธนินท์ เจียรวนนท์  ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กล่าวว่าวิกฤตโควิด-19ทำให้โลกเปลี่ยนอย่างมหาศาลไม่เฉพาะในประเทศไทย เช่นองค์กรต่าง ๆ มีการทำงานจากที่บ้านเพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อในช่วงที่ผ่านมาจึงคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีทำให้ต่อไปสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ

และเชื่อว่าวิถีชีวิตปกติใหม่ (New Normal) นี้จะทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับมาเติบโตมากขึ้นเช่นกันกับการศึกษาออนไลน์ การซื้อสินค้าออนไลน์ และสังคมไร้เงินสด

“ถ้าคนทำงานที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศก็หมายความว่าไปเที่ยวก็ทำงานได้ วิกฤตเป็นแค่สิ่งชั่วคราว ไม่ได้อยู่ตลอด สิ่งที่เราต้องทำคือ   เตรียมพร้อมสำหรับโอกาสใหม่ที่จะมีเข้ามา เช่นเรื่องการท่องเที่ยวจะฟื้นเศรษฐกิจได้เร็วที่สุด ถ้าทำให้คนเชื่อมั่นว่ามาเมืองไทยแล้วปลอดภัย ไม่ต้องรอจนมีวัคซีน ต้องทำเดี๋ยวนี้ ถ้าทุกอย่างสงบทำไมเขาต้องมาบ้านเรา เพราะไทยน่าจะเป็นโควิดมากกว่าหลายประเทศ แต่เราติดน้อยที่สุด และเสียชีวิตน้อยที่สุด แสดงว่าหมอไทย การแพทย์ไทยเก่งที่สุด”

นายธนินท์กล่าวว่าการฟื้นการท่องเที่ยวไทยอาจเริ่มได้จากการเจาะกลุ่มมหาเศรษฐีในประเทศต่าง ๆ เช่น ในจีน, อเมริกา และยุโรป ให้มาท่องเที่ยวในเมืองไทยโดยใช้จุดแข็งเรื่องการแพทย์ทำให้เห็นว่ามาเมืองไทยปลอดภัยและสะดวกสบาย ซึ่งรัฐบาลต้องมีมาตรการอำนวยความสะดวก 

“โรงแรมห้าดาวในบ้านเราอาจไปลิงก์กับบริษัททัวร์ห้าดาวให้เขาไปชักชวนมหาเศรษฐีอเมริกา จีน และยุโรปมาเที่ยว เหมาเครื่องบินทั้งลำมาเลย เราก็เตรียมพร้อมทั้งโรงแรมห้าดาว ดิวกับโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียง มาแล้ว ก็ให้พักผ่อนอยู่ในโรงแรมอย่างดี ผมเชื่อว่ามีคนที่อยากมาถ้าเขาเห็นว่ามาแล้วเขาปลอดภัยกว่า ถ้าเราดึงมาได้สักล้านคนก็เท่ากับ 4-5 ล้านคน คนมีเงินมาอยู่ได้เป็นเดือน บางคนสองสามเดือนยังได้ เป็นกลุ่มหนีตาย เพราะอยู่บ้านเขาเตียงไม่พอ ยาไม่พอ ”

อย่างไรก็ตามในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ประเทศสูญเสียรายได้เฉลี่ยวันละหมื่นกว่าล้านบาท เดือนละ 4-5 แสนล้านบาท จากการปิดประเทศแต่ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของรัฐบาลเพื่อลดการระบาดของเชื้อไวรัสจนสถานการณ์เริ่มคลี่คลายทำให้เริ่มคลายล็อกได้บ้างแล้ว

“รัฐบาลควรออกพันธบัตร อายุ 30 ปี กู้มาสัก 3 ล้านล้านก็ได้ รัฐบาลนำมารักษากำลังซื้อ ให้ธุรกิจก็พออยู่ได้ เพื่อไปขายต่างประเทศ นำเงินมาช่วยบริษัทไทยที่ดี ๆ ให้เขาทำธุรกิจต่อได้อาจให้กู้ดอกเบี้ยต่ำ 10 ปี เพื่อให้ธุรกิจเขาไปต่อได้ ถ้าบริษัทปิดโรงงานปิดเครื่องจักร กว่าจะกลับมาฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ไม่ง่าย เหมือนการสร้างบ้านสร้างตึกต้องใช้เวลาหลายปีแต่ระเบิดทิ้ง่ายนิดเดียวแค่ไม่กี่วินาที หากธุรกิจไปต่อได้รัฐบาลก็จะยังได้กลับคืนเป็นภาษี”

นายธนินท์ย้ำว่า เครดิตด้านการเงินการคลังของประเทศไทยถือว่าอยู่ในระดับท็อปของโลกและดีกว่าหลายประเทศในโลก รัฐบาลจึงควรใช้ เครดิตที่ดีไปนำดอกเบี้ยถูก ๆ มาจากทั่วโลก ไม่ใช่ออกพันธบัตรมาเอาเงินของคนไทยด้วยกัน ซึ่งไม่ได้เพิ่มเติม เหมือนอยู่ในบ่อเดียวกัน ทำไมไม่เอาบ่อคนอื่นมาเติมให้น้ำเราเต็ม และถ้าบริษัทต่างๆ สามารถประคองธุรกิจให้ผ่านช่วงวิกฤตไปได้ ไม่ต้องปลดพนักงานยังจ่ายเงินเดือนได้ก็ทำให้มีกำลังซื้อในตลาด

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

บุโรพุทโธ เป็นมหาสถูปทางพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในศิลปะชวา สร้างขึ้นประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ 14 โดยราชวงศ์ไศเลนทร์ซึ่งนับถือพุทธศาสนามหายาน นอกจากจะเป็นสถาปัตยกรรมที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ที่แห่งนี้ยังแฝงด้วยคติการจำลองจักรวาลในพุทธศาสนามหายานที่ซับซ้อนที่สุดอีกด้วย

สำหรับศาสนาพุทธนั้นเริ่มเจริญรุ่งเรืองในดินแดนชวาภาคกลางเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 14 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ราชวงศ์ไศเลนทร์มีอำนาจปกครองชวาภาคกลางแทนที่ราชวงศ์สัญชัย (มะตะราม) เดิมนั้นราชวงศ์ไศเลนทร์นับถือฮินดู จนกระทั่งเมื่อกษัตริย์นาม ‘ปนังกะรัน’ ขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระราชบิดา พระองค์ได้หันมานับถือศาสนาพุทธนิกายมหายานแบบตันตระ โดยเชื่อกันว่านิกายดังกล่าวเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ปาละ-เสนะของอินเดีย (วราภรณ์ สุวัฒนโชติกุล : 2558)

บุโรพุทโธ สร้างตามคติจักรวาล ซึ่งถือเป็นคติความเชื่อที่เข้ามาพร้อมกับการนับถือพระพุทธศาสนาในชวา ระบบจักรวาลนี้มีเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลาง ล้อมรอบด้วยเขาสัตตบริภัณฑ์และทะเลสีทันดร 7 ชั้น ซึ่งคติจักรวาลนี้แสดงให้เห็นได้อย่างเด่นชัดในการวางผังที่หมายถึงจักรวาลและอำนาจของพระอาทิพุทธเจ้า หรือพระพุทธเจ้าผู้สร้างโลกในพุทธศาสนามหายาน (สุภัทรดิศ ดิศกุล : 2545) ศูนย์กลางที่เป็นเขาพระสุเมรุ ใช้สัญลักษณ์คือสถูปทึบตันบนยอดสูงสุด ที่แผ่อำนาจบารมีไปทั่วทั้งจักรวาล

ในพุทธศาสนามหายานนั้น การจำลองจักรวาลมาอยู่ในสถาปัตยกรรม ประติมากรรม หรือจิตรกรรมนั้นเรียกว่าระบบ “มณฑล” (รองศาสตราจารย์ ดร.เชษฐ์ ติงสัญชลี : 2558) โดยบุโรพุทโธได้แสดงมณฑลที่จำลองภูมิทางจิต 3 ระดับ หรือภูมิ 3 ซึ่งหมายถึงภพภูมิทางจิตของสัตว์โลกในคติมหายาน โดยเรียงจากฐานด้านล่างสู่ยอดด้านบน และระบบอาทิพุทธ-ธยานิพุทธ ดังนี้

  1. กามภูมิ คือ ภพภูมิที่ยังมัวเมาในกิเลสตัณหา จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดและตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม ร่างกายของมนุษย์ที่อยู่ในภูมินี้จะตกอยู่ภายใต้การเกิด แก่ เจ็บ ตาย พระพุทธเจ้าประจำภูมินี้คือ “พระมานุษิพุทธ” หรือพระพุทธเจ้าผู้เป็นมนุษย์ เกิดจากพระธยานิพุทธประจำกัปอีกทีหนึ่ง เป็นพระพุทธเจ้าที่ลงมาตรัสรู้เพื่อสั่งสอนสัตว์โลก เช่น พระศรีศากยมุนี (คนจีนเชื่อว่าคือ พระยูไล) พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
  2. รูปภูมิ คือ ภพภูมิที่ไม่ต้องการกามแล้ว แต่ยังคงปรากฏการมี “รูป” คือหลุดพ้นจากกิเลสหยาบได้ แต่ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลสละเอียด บุคคลที่เกิดในภูมินี้จะไม่เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีร่างกายที่รุ่งเรือง เป็นอมตะและมีความสุขตลอดไป พระพุทธเจ้าประจำภูมินี้คือ “พระธยานิพุทธ” เป็นพระพุทธเจ้าประจำทิศทั้ง 5 เกิดขึ้นจากสมาธิของพระอาทิพุทธ และเป็นพระพุทธเจ้าผู้ผลัดเปลี่ยนดูแลกัปต่างๆ ในระยะเวลาที่ต่างกัน ประกอบด้วย
  • พระไวโรจนะ พระพุทธเจ้าประจำทิศเบื้องกลาง เป็นประธานของพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ มีกายสีขาว ตราประจำพระองค์คือธรรมจักร ทรงแสดงธรรมจักรมุทรา (ปางปฐมเทศนา) มีพาหนะเป็นสิงโตเผือก ทรงเป็นต้นวงศ์ของพระโพธิสัตว์ตระกูลตถาคตโคตร อันได้แก่ พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ และพระมัญชุศรีโพธิสัตว์
  • พระอักโษภยะ พระพุทธเจ้าประจำทิศตะวันออก พระนามของพระองค์แปลว่า ผู้ไม่หวั่นไหว มีกายสีน้ำเงิน ตราประจำพระองค์คือวัชระ ทรงแสดงภูมิสปรรศมุทรา (ปางมารวิชัย) มีพาหนะเป็นช้าง ทรงเป็นต้นวงศ์ของพระโพธิสัตว์ตระกูลวัชรโคตร คือ พระวัชรปาณีโพธิสัตว์ และพระกษิติครรภโพธิสัตว์
  • พระรัตนสัมภวะ พระพุทธเจ้าประจำทิศใต้ พระนามของพระองค์แปลว่า ผู้เกิดมาจากมณี มีกายสีเหลืองทอง ตราประจำพระองค์คือรัตนมณีหรือจินดามณี ทรงแสดงวรทมุทรา (ปางประทานพร) มีพาหนะเป็นม้า ทรงเป็นต้นวงศ์ของพระโพธิสัตว์ตระกูลรัตนโคตร ได้แก่ พระรัตนปาณีโพธิสัตว์
  • พระอมิตาภะ พระพุทธเจ้าประจำทิศตะวันตก เป็นพระพุทธเจ้าประจำกัปปัจจุบัน พระนามของพระองค์แปลว่า ผู้มีแสงสว่างนิรันดร์ (คำว่าอมิตาพุทธ ก็น่าจะเพี้ยนเสียงมาจากชื่อของพระองค์) มีกายสีแดง ตราประจำพระองค์คือดอกบัว ทรงแสดงธยานมุทรา (ปางสมาธิ) มีพาหนะเป็นนกยูง ทรงเป็นต้นวงศ์ของพระโพธิสัตว์ตระกูลปัทมโคตร ได้แก่ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์
  • พระอโมฆสิทธิ พระพุทธเจ้าประจำทิศเหนือ พระนามของพระองค์แปลว่า ผู้สมหวังตลอดกาล มีกายสีเขียว ตราประจำพระองค์คือวิศววัชระ ทรงแสดงอภัยมุทรา (ปางประธานอภัย) มีพาหนะเป็นครุฑ ทรงเป็นต้นวงศ์ของพระโพธิสัตว์ตระกูลกรรมโคตร คือ พระวิศวปาณีโพธิสัตว์

3. อรูปภูมิ คือ ภพภูมิที่ไม่ต้องการทั้ง “กาม” และ “รูป” บุคคลที่เกิดในภพนี้คือผู้บรรลุนิพพาน เป็นผู้ที่เข้าไปรวมแล้วกับความจริงอันสูงสุด ซึ่งไม่ตกอยู่ภายใต้กาลเวลา จึงไม่มีจุดสิ้นสุด เป็นอมตะ พระพุทธเจ้าประจำภูมินี้คือ “พระอาทิพุทธ” เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกของจักรวาล เป็นพระพุทธเจ้าผู้เกิดขึ้นเอง เป็นอมตะ ทรงเป็นผู้สร้างจักรวาลทั้งปวง ทั้งยังสร้างพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ โลก และสรรพสัตว์ทั้งมวล (รองศาสตราจารย์ ดร.เชษฐ์ ติงสัญชลี : 2558)

ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีผู้มากระทำประทักษิณ คือการเดินเวียนขวารอบบุโรพุทโธขึ้นไปนั้น เมื่อเดินขึ้นไปแต่ละชั้นก็จะพ้นจากชั้น “กามธาตุ” ไปยังชั้น “รูปธาตุ” และในที่สุดแล้วก็จะขึ้นไปสู่ชั้น “อรูปธาตุ” ซึ่งถือเป็นชั้นสูงสุดนั่นเอง (วราภรณ์ สุวัฒนโชติกุล : 2558)

จากแนวคิดดังกล่าวนี้เชื่อมโยงกับคติ ตรีกาย อันเป็นพุทธปรัชญาสำคัญประการหนึ่งของมหายานที่เชื่อว่า พระพุทธเจ้านั้นเป็นทิพยภาวะ มีภาวะความเป็นอยู่คู่กับโลกเสมอ การปรินิพพานของพระพุทธองค์เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น โดยความเป็นจริงแล้ว พระพุทธเจ้านั้นเป็นอนาทิ เป็นอนันตะ

นักวิชาการหลายท่านเชื่อว่าตรีกายมีกำเนิดในราวพุทธศตวรรษที่ 11 (พิริยะ ไกรฤกษ์ : 2555) จากนิกายโยคาจารที่เสนอความเป็นนิรันดรของจิต และการแสวงหาการหลุดพ้นของจิตด้วยตนเอง หรืออาจมีเค้ามูลจากนิกายมหาสังฆิกวาทที่กล่าวถึงการดำรงอยู่ของพระตถาคตในฐานะพุทธสภาวะอันเป็นนิรันดร มีพระชนม์เป็นอนันตกาลไม่ดับสูญหรือเสื่อมสลาย พระตถาคตที่ปรากฏพระองค์บนโลกมนุษย์เป็นเพียงการแสดงปาฏิหาริย์ของพระตถาคตผู้ทรงเป็นโลกุตรสภาวะ (พิริยะ ไกรฤกษ์ : 2555)  

ในกายตรยสูตร ของลัทธิมหายาน พระศากยมุนีมีพุทธดำรัสกับพระอานนท์ว่าทรงมีพระกายสามมิใช่กายเดียว (อภิชัย โพธิ์ประสิทธิ์ศาสต์ : 2551) โดยพุทธปรัชญา “ตรีกาย” ประกอบด้วย

  1. นิรมาณกาย (กายเนื้อ) ในอดีตเรียกว่า “รูปกาย” เป็นกายที่ธรรมกายหรือสัมโภคกายเนรมิตขึ้นในรูปของพระมานุษิพุทธะ หรือพระพุทธเจ้าผู้เป็นมนุษย์ที่ยังเผชิญกับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นเดียวกับทุกสรรพสัตว์ เพื่อให้มนุษย์ตระหนักถึงความไม่จีรังยั่งยืนของสังขารและใช้สั่งสอนศาสนาในโลกมนุษย์แทนพระองค์ คำสอนของลัทธิตันตรยานกล่าวว่า “พระศากยมุนีพุทธเจ้าเสด็จลงมายังชมพูทวีปในรูปของนิรมาณกาย ได้ทรงประกอบกิจอันยิ่งใหญ่ 8 ประการ และทรงตรัสรู้ สิ่งทั้งมวลนี้ล้วนเป็นมายาจากองค์พระสมันตภัทรวัชรสัตว์” กายนี้จึงมีทั้งจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ไม่เป็นนิรันดร์

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระอดีตพุทธะ พระปัจจุบันพุทธะคือพระศากยมุนี หรือพระอนาคตพุทธะที่ประสูติและทรงสั่งสอนพระธรรมในโลกมนุษย์จึงล้วนเป็นนิรมาณกาย

  1. สัมโภคกาย (กายทิพย์) คือ สภาวะของพระตถาคตในฐานะร่างเนรมิตของธรรมกาย เพื่อใช้สั่งสอนธรรมแทนพระองค์ สภาวะนี้จึงมีจุดเริ่มต้น ไร้ขีดจำกัด แต่ก็เป็นนิรันดร์ กายเนรมิตนี้มีเพียงพระตถาคต พระโพธิสัตว์ และเทพเจ้าเท่านั้นที่สามารถทอดพระเนตรได้ เช่น มหาบุรุษลักษณะ 32 ประการ และอสีตยานุพยัญชนะ หรือลักษณะย่อยอีก 80 ประการ หรือแม้แต่พระฉัพพัณณรังสี มนุษย์ปุถุชนทั่วไปไม่อาจมองเห็นความพิเศษดังกล่าวได้โดยตรงนอกจากผ่านทางพระพุทธรูปอันเป็นรูปจำลองของสัมโภคกายเท่านั้น

สัมโภคกายเองก็มีความสามารถในการเนรมิตพระตถาคต พระโพธิสัตว์ หรือเทพเจ้าเพื่อสั่งสอนพระธรรมในรูปของสัมโภคกายได้เช่นกัน แต่ในกรณีของพระตถาคตมักปรากฏในรูปของนิรมาณกาย

                     3. ธรรมกาย (กายธรรม) คือ สภาวะของพระตถาคตในฐานะที่เป็นแก่นสารของหลักธรรม ดำรงอยู่ตลอดไปไม่เสื่อมสูญ ดังสาธยายในวิมลเกียรตินิทเทสสูตร ของลัทธิมหายานว่าพระวรกายแท้จริงของพระตถาคตทั้งหลายคือพระธรรมกาย ธรรมกายเป็นสัทธรรมในตนเอง ไม่มีจุดเริ่มต้น และไม่มีจุดสิ้นสุด

ในลัทธิมหายานพระตถาคตทุกพระองค์ล้วนดำรงพุทธสภาวะธรรมกาย ส่วนลัทธิตันตรยานซึ่งแยกพุทธสภาวะตรีกายของพระตถาคตค่อนข้างชัดเจน จัดให้พระตถาคต เช่น พระมหาไวโรจนะ พระวัชรธร และพระสมันตภัทรวัชรสัตว์เป็นธรรมกาย

นอกจากนี้ธรรมกายยังเป็นมูลฐานให้กับกายที่เหลืออีกสองกาย คือ สัมโภคกายและนิรมาณกาย เนื่องจากธรรมกายเป็นพุทธสภาวะไร้ตัวตน ไม่อาจโปรดสรรพสัตว์ได้ แต่ด้วยการดำรงพุทธสภาวะดุจเทวะผู้สร้างสรรค์จึงยังสามารถเนรมิตกายที่เหลืออีกสองกายเพื่อสั่งสอนพระธรรมแทนพระองค์ ในรูปของสัมโภคกายและนิรมาณกาย(พิชญา สุ่มจินดา : 2559)

ขณะที่บางท่านเชื่อว่าตรีกายไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีอยู่แล้วในแนวคิดดั้งเดิมของศาสนาพราหมณ์  (Urban Hammar : 2005) กล่าวคือ สัมโภคกายเทียบได้กับ “เทพเจ้า” และธรรมกายเทียบได้กับ “พรหมัน” นั่นเอง

สาธารณรัฐอินเดียตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียใต้  ทิศเหนือติดกับประเทศจีน  เนปาล และภูฏาน  ทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับปากีสถาน ทิศตะวันออกติดบังกลาเทศ  ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดพม่าหรือเมียนมาร์  ส่วนทิศตะวันตกเฉียงใต้และตะวันออกเฉียงใต้ติดมหาสมุทรอินเดีย  มีกรุงนิวเดลี (New Delhi) เป็นเมืองหลวง

สำหรับ “เมืองโกนารัค” หรือบางคนออกเสียง “เมืองโกนัค” (Konark) เป็นเมืองท่องเที่ยวขนาดกลางในย่านปูรี รัฐโอริสสา ตั้งอยู่บนชายฝั่งของอ่าวเบงกอล ห่างจากเมืองหลวงของรัฐ คือเมือง Bhubaneswar ราวๆ 60 กิโลเมตร  สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญและมีชื่อเสียงของเมืองโกนารัค คือ “วิหารสุริยะ” (Sun Temple) หรือ “เทวสถานโกนัค” (Konark Temple) ได้รับการขนานนามว่าเป็นเจดีย์สีดำ ได้ชื่อว่าเป็นเทวสถานที่มีความงามทางสถาปัตยกรรมแบบโอริสสา อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่ด้วย ใช้เป็นที่สำหรับบูชาสุริยเทพ

ตามประวัติ เทวสถานแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์นรสิงห์ที่ 1 แห่งราชวงศ์คงคา ประมาณคริสศตวรรษที่ 13 ผู้ที่ค้นพบเป็นคนแรกชื่อ “ราชครูปาปะ พรามครี” โดยพบตัววัดอยู่ในป่ารกชัฎ และมีเกลือจากทะเลปกคุลมหนาแน่น ต่อมาชาวอังกฤษ โดย เฟอร์กัสสัน ได้เข้ามาสำรวจในปี พ.ศ. 2380 เริ่มทำการบูรณะในปี พ.ศ.2425  มีการย้ายประติมากรรมบางส่วนไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ในเมืองกัลกัตตา (Kalkata) การบูรณะเสร็จสิ้นในปี พ.ศ.2453  เทวสถานโกนารัค สร้างตามความเชื่อและศรัทธาในองค์สุริยเทพ  มีวิหารแกะสลักภาพร่ายรำบูชาพระอาทิตย์ และภาพแกะสลักประติมากรรม “กามสูตร”  คล้ายที่คชุรโห (Khajuraho) มีมณฑปสร้างอุทิศให้พระนางมายาเทวี ชายาของสุริยเทพ และมีราชรถซึ่งเชื่อว่าองค์สุริยเทพทรงม้าลากราชรถเดินทางสู่สรวงสวรรค์  ส่วนที่โดดเด่นและยังสมบูรณ์ที่สุด คือ วิหารทรงพีรามิด ซึ่งรอบฐานมีกงล้อรถ 12 ล้อ แทน 12 ราศี แต่ละกงล้อสูง 10 ฟุต ที่ฐานกงล้อแกะสลักเป็นรูปช้างรองรับอย่างสวยงาม ส่วนที่เป็นห้องใหญ่ใช้ในการทำพิธียังอยู่ในสภาพสมบูรณ์

ความเชื่อเรื่องสุริยเทพนี้ คนโบราณเชื่อกันว่า “สุริยะ” หรือ “ดวงอาทิตย์” เป็นเทพเจ้าที่มีความสำคัญในอารยธรรมโบราณของโลกหลายแห่ง เช่น กรีก รู้จักกันในนามของ เทพอพอลโล หรือ อียิปต์ รู้จักกันในนามของ เทพเจ้ารา หรือในชนเผ่าต่างๆ ของโลก ก็นิยมบูชาพระอาทิตย์  ในประเทศอินเดียนั้น สุริยเทพปรากฏเป็นพระนามมาตั้งแต่สมัยพระเวท ซึ่งเป็นยุคสมัยแรกของพัฒนาการทางศาสนาพราหมณ์ในอินเดีย  และในยุคต่อมาคือยุคปุราณะฐานะของสุริยเทพก็ค่อยๆ ลดบทบาทลงมา  สำหรับการบูชาสุริยเทพนั้น เริ่มแพร่ขยายอิทธิพลมาจากอิหร่านไปยังแถบตะวันตกและตะวันออกของอินเดียอย่างช้าๆ  หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในยุคแรกๆ เกี่ยวกับการบูชาพระอาทิตย์ของเมืองโอริสสา คือจารึกบนแผ่นทองแดงที่ชื่อว่า “สุมัณฑละ”  มีอายุประมาณ พ.ศ.1142  อยู่ในสมัยของกษัตริย์ “มหาราชาธรรมราชา”  จึงทำให้ความเชื่อที่ว่าการบูชาสุริยเทพในรัฐโอริสสานั้น มีมาตั้งแต่สมัยโบราณสืบต่อมาจากยุคพระเวท

เทวสถานแห่งโกนารัก มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบที่เรียกว่า “โอริเซียนสไตล์”  ซึ่งเป็นลักษณะที่ปรากฏอยู่ในเทวสถานภายในแถบแคว้นโอริสสาเท่านั้น เทวสถานแห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1984  ปัจจุบันก็ยังคงได้รับการบูรณะอย่างต่อเนื่อง วิธีการยังคงใช้วัสดุหินทรายแบบดั้งเดิมก่อเสริมเข้าไปยังส่วนที่หลุดหาย การตัดเหลี่ยมและเข้ามุมวัสดุแต่ละก้อนจัดได้ว่ามีความปราณีต มาตรฐานเดียวกับช่างในอดีต  ลวดลายและประติมากรรมอันอ่อนช้อยของเทวสถานแห่งนี้ จัดได้ว่าสวยงามและยังคงสภาพเดิมค่อนข้างมาก

ในส่วนของการบูรณะวัสดุใหม่แทนที่วัสดุเดิม หากมองอย่างผิวเผินแทบไม่เห็นความแตกต่างระหว่างของเดิมและของใหม่ ยกเว้นส่วนของลวดลายที่ไม่ได้แกะสลักเพิ่มเติม  กระบวนการบูรณะวิธีการดังกล่าวในแวดวงโบราณคดีเรียกว่า Anastylosis เป็นศัพท์ทางโบราณคดีสำหรับเทคนิคการฟื้นฟูอาคารหรืออนุสาวรีย์ที่ถูกทำลาย  โดยใช้องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมดั้งเดิม  ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าวิหารแห่งนี้ ในอดีตอาจถูกทำลายจากสงครามมุสลิมในช่วงพุทธศตวรรษที่15-17  ปัจจุบันชิ้นส่วนของสถาปัตยกรรมวิหารแห่งนี้ได้ผุกร่อน เนื่องจากความเค็มของกรดเกลือจากทะเลเบงกอล

เทวสถานโกนารัก บ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรืองในอดีตได้เป็นอย่างดี แม้ว่าปัจจุบันเทวสถานแห่งนี้จะพังทลายลงไปบางส่วน แต่ก็ยังมีผู้คนเดินทางไปเยือนไม่ขาดสาย โดยเฉพาะช่วงที่เป็นเทศกาลวันกำเนิดแห่งสุริยเทพ

หมายเหตุ:ภาพจากเพจโบราณคดีสัญจร ม.ศิลปากร

จังหวัดตราด อยู่แนวชายแดนกัมพูชา ติดต่อกับ 3 จังหวัด คือ พระตะบอง โพธิสัตว์ และ เกาะกง โดยจังหวัดโพธิสัตว์มีชายแดนติดต่อกันระหว่างบ้านทมอดา อำเภอเวียลเวง จังหวัดโพธิสัตว์ กับบ้านท่าเส้น อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด ระยะทางห่างจากจังหวัดตราดเพียง 37 กิโลเมตร และห่างจากอำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด 45 กิโลเมตร ปลายเดือนพฤศจิกายน 2562 สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดตราดมีโอกาสต้อนรับคณะกลุ่มสตรีและผู้แทนประชาชนจากจังหวัดโพธิสัตว์ จำนวน 26 คน เรียนรู้การท่องเที่ยวชุมชนแบบมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นแนวทางเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยง ตราด-โพธิสัตว์ รองรับการยกระดับเป็นจุดผ่อนปรนทางการค้าเร็วๆ นี้

รูทท่องเที่ยวเรียนรู้ จากจุดที่เริ่มพัฒนา สู่แหล่งท่องเที่ยวที่พัฒนา

คุณวิยะดา ซวง นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดตราด เล่าถึงคณะผู้มาเยือน นำโดย คุณหญิงฮุน จันที (Hun Chanthy) ประธานกิตติมศักดิ์สมาคมสตรีกัมพูชาเพื่อสันติภาพและพัฒนาจังหวัดโพธิสัตว์ คุณเอ็ม พันนา (EM Ponna) ผู้แทนประชาชนจังหวัดโพธิสัตว์ กัมพูชา และคณะ จำนวน 26 คน เข้าศึกษาดูงานการท่องเที่ยวโดยชุมชน โดยจัดให้เรียนรู้โดยการปฏิบัติจริง

เริ่มจากทีมวิทยากร รศ.ดร. พรรณี สวนเพลง จากมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ให้ความรู้เรื่องการบริหารจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน การแปรรูปวัตถุดิบในท้องถิ่นสู่ตลาดของที่ระลึก ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การสาธิตการทำสบู่ก้อนสกัดจากไม้กฤษณาหรือไม้หอม และการให้บริการนวดฝ่าเท้า คณะดูงานได้ลงมือปฏิบัติ การทำสบู่ แชมพู และรับบริการนวดฝ่าเท้าจากผู้ผ่านการฝึกอบรม ซึ่งเป็นผลผลิตของโครงการวิจัย จากนั้นเดินทางไปศึกษาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน เริ่มจากวิสาหกิจชุมชนเล็กๆ ที่กำลังก่อตัวตั้งไข่ที่บ้านตาหนึก อำเภอคลองใหญ่ เรียนรู้การทำปลาเค็ม กะปิ น้ำเคย ผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น ในเส้นทางเดียวกันเยี่ยมชมท่องเที่ยวชุมชนตำบลไม้รูด ที่มีการบริหารจัดการรองรับนักท่องเที่ยวได้แล้ว การทำผลิตภัณฑ์อาหารทะเล ขนมพื้นบ้าน และดูงานยกระดับการผลิตโรงงานอุตสาหกรรรมเครื่องสำอาง ขนาดเล็ก น้ำมันเหลืองใช้สมุนไพร ของ บริษัท โกลเด้น คอสเมติก จำกัด ที่ส่งจำหน่ายกัมพูชา และสัมผัสการร่อนพลอย งานจักสานคลุ้ม แหล่งท่องเที่ยวชุมชนที่อำเภอบ่อไร่ ปิดท้ายด้วยการช็อปปิ้งสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าไทยยอดนิยมที่ห้างแมคโคร สาขาตราด

“คอนเซ็ปต์ของสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดตราด คือ ต้องการให้คณะของจังหวัดโพธิสัตว์ได้เรียนรู้การท่องเที่ยวชุมชนเพื่อนำกลับไปใช้ได้จริง เพราะโพธิสัตว์มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ที่น่าสนใจ เพียงแต่ยังต้องใช้เวลาในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน ผลิตภัณฑ์ การบริการ ให้พร้อมรองรับนักท่องเที่ยว จังหวัดตราด มีโอกาสดีที่มีประวัติศาสตร์เชื่อมโยง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบมราชินีนาถ ทรงให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมชาวกัมพูชาอพยพ ระหว่างปี 2522-2529 จัดทำพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติ ศูนย์ราชการุณย์สภากาชาดไทย เขาล้าน เล่าเรื่องราวไว้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของทริปของคณะท่องเที่ยวกัมพูชาทุกคณะ เพื่อมาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ร่วมกัน ทำให้มีความสัมพันธ์ ความใกล้ชิดกับกัมพูชาแนบแน่นเสมือนญาติสนิท บรรยากาศของการศึกษาดูงานจึงเป็นไปด้วยมิตรภาพและความสนุกสนาน” คุณวิยะดา กล่าว

มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ต่อยอดผลิตภัณฑ์ ค้นหาเอกลักษณ์จากโพธิสัตว์

รศ.ดร. พรรณี สวนเพลง หัวหน้าโครงการวิจัย “การพัฒนานวัตกรรมเชิงสุขภาพ ในกลุ่ม Active Beach (ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด) เพื่อสร้างบริการมูลค่าสูง (High Value) และยกระดับให้เป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของเอเชีย (Wellness hub of Asia)” พร้อมด้วยคณะจากมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพการสอนนวดฝ่าเท้า โดยให้ผู้ผ่านการฝึกอบรมมาให้บริการและสอนให้ทำ Home work เรียนรู้ไปโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะการทำสบู่ก้อนสกัดจากไม้กฤษณาหรือไม้หอมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น การแปรรูปวัตถุดิบในท้องถิ่นเป็นของที่ระลึกสู่ตลาด โพธิสัตว์มีวัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณ์หลายอย่างที่นำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชนได้ เช่น พริกไทย ส้มเช้ง ไม้เทพทาโร ซึ่งต้องทำการศึกษาวิจัยต่อไป เพื่อสร้างความเชื่อมโยงท่องเที่ยวชุมชนกับจังหวัดตราด การลงพื้นที่ครั้งนี้ ทำให้คณะจากโพธิสัตว์ได้รับความรู้ด้านการบริการจัดการด้านการท่องเที่ยว การมีส่วนร่วมของชุมชน เห็นแนวทางที่ดึงเอาจุดเด่นหรือเอกลักษณ์ในชุมชนจังหวัดโพธิสัตว์มาใช้

Home work ทำสบู่สกัดไม้กฤษณา
จักสานคลุ้ม ที่อำเภอบ่อไร่
ช็อปปิ้งแมคโคร สาขาตราด

กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปอาหารทะเล บ้านตาหนึก อำเภอคลองใหญ่

คุณฐิติรัตน์ ไชยวิศาลธนนาถ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปอาหารทะเล บ้านตาหนึก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด กล่าวถึงคณะแม่บ้านโพธิสัตว์ว่า สนใจเรียนรู้วิธีการทำปลาเค็ม น้ำเคย และกะปิมาก เพราะโพธิสัตว์มีวัตถุดิบ ปลาน้ำจืด แต่ยังไม่ได้รับการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าซื้อ ทั้งด้านความสะอาด แพกเกจจิ้ง เห็นว่าการท่องเที่ยวชุมชนเป็นการกระจายรายได้อย่างแท้จริง คณะโพธิสัตว์สนใจจัดทำผลิตภัณฑ์ชุมชน เพราะชุมชนเขามีวัตถุดิบที่น่าจะนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายเช่นเดียวกับไทย เช่น ปลาน้ำจืด

ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากโรงงาน บริษัท โกลเด้น คอสเมติก จำกัด ส่งออกกัมพูชา

“โอกาสของการท่องเที่ยวเชื่อมโยงจังหวัดชายแดน ตราด-โพธิสัตว์ ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนและกลุ่มวิสาหกิจชุมชน คณะมาดูงานผลิตภัณฑ์ ทั้งปลาเค็ม กะปิ น้ำเคย ที่ทำมาจากปลาทะเล ขายได้หมด มียอดเงินซื้อรวมประมาณ 20,000 บาท เพราะเห็นกระบวนการตากปลาในโดมสะอาด น้ำเคยที่ปรุงรสธรรมชาติ 100% น่ารับประทาน ต่อไปสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดตราดมีโครงการให้กลุ่มไปช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ของจังหวัดโพธิสัตว์อีกด้วย อนาคตหากมีการเปิดจุดผ่อนปรนทางการค้า หรือจุดผ่านแดนถาวรกับกัมพูชาเพิ่มขึ้น การท่องเที่ยวเชื่อมโยงจะช่วยกระจายรายได้ให้เศรษฐกิจฐานรากด้วยกันทั้งสองประเทศ” คุณฐิติรัตน์ กล่าว

คุณวิยะดา กล่าวทิ้งท้ายว่า จังหวัดตราด มีภูมิศาสตร์ที่เป็นโอกาส สามารถเชื่อมโยงได้ทั้ง 3 จังหวัด ของกัมพูชา คือ โพธิสัตว์ พระตะบอง เกาะกง และเชื่อมโยงถึงเวียดนาม คณะดูงานจากโพธิสัตว์เป็นจุดเริ่มต้นอันดีสำหรับการสร้างเครือข่ายการค้าชายแดน การส่งเสริมการลงทุน ตลอดจนภาคธุรกิจท่องเที่ยว สอดรับกับนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เชื่อมโยงเส้นทาง R3A ได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังช่วยให้จังหวัดตราดมีรายได้จากการท่องเที่ยวและการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นอีกในอนาคต จากค่าใช้จ่ายจากคณะโพธิสัตว์ครั้งนี้ เฉลี่ยคนละ 5,000 บาท/ทริป (3 วัน 2 คืน) เคล็ดลับคือ การสร้างความประทับใจ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสนใจกลับมาเที่ยวซ้ำ และเชื่อว่าโอกาสมีสำหรับคนที่พร้อม

ณ วันนี้ โพธิสัตว์ เป็นเมืองท่องเที่ยว อันดับ 6 ของกัมพูชา นั่นคือ โอกาสเติบโตของการท่องเที่ยวชุมชนเชื่อมกับจังหวัดตราด ที่พัฒนาไปก่อนและพร้อมจะให้การสนับสนุนเพื่อนบ้านที่เสมือนญาติสนิท

(ซ้าย) รศ.ดร. พรรณี สวนเพลง-(ขวา) คุณวิยะดา ซวง
ต้อนรับที่ชายแดน บ้านท่าเส้น-ทมอดา
นวดฝ่าเท้า
ร่อนพลอย (ขวา) คุณหญิงฮุน จันที (Hun Chanthy)

ที่มา : เทคโนโลยีชาวบ้าน

ผู้เขียน : กาญจนา จินตกานนท์

ช่วงต้นปีหนองคายถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ยังน่าท่องเที่ยว ด้วยสภาพอากาศที่เย็นสบายน้ำท่าอาหารบริบูรณ์ อยู่ติดแม่น้ำโขง ทำให้อากาศโดยเฉพาะในยามเช้าสดชื่นมาก สูดหายใจได้เต็มปอด จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองน่าอยู่อันดับที่ 7 ของโลก จากการคัดเลือกของนิตยสาร Modern Maturity ของสหรัฐอเมริกา

สำหรับคนที่มองหาที่พักเพื่อผ่อนคลาย “วานา เวลเนส รีสอร์ท” คือ ตัวเลือกที่น่าสนใจค่ะ เพราะที่นี่เป็นโรงแรมเดียวในภาคอีสานที่คว้ารางวัลระดับดีเยี่ยม “กรีน โฮเทล” เหรียญทองสูงสุด ประจำปี 2561 จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และได้รับต่อเนื่องในปี 2562

ได้มีโอกาสติดตามทีมทัวร์ของ “มติชน อคาเดมี” กับภารกิจสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดหนองคาย เราได้เลือกพักกันที่รีสอร์ทแห่งนี้ ซึ่งความเป็นกรีนที่ว่านั้น เพียงแค่พ้นประตูทางเข้ามาก็พบเจอแต่ความร่มรื่นจากต้นไม้เขียวครึ้มแล้ว

ส่วนตัวตึกก็ออกแบบได้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างลงตัว ทั้งโถงทางเดินที่มีร่องให้แสงแดดส่องถึงลดการใช้ไฟฟ้า หรือฟังก์ชั่นในที่พักก็ออกแบบมาเพื่อประหยัดพลังงาน การตกแต่งด้านในให้ความรู้สึกเรียบง่ายแบบมีระดับ ในราคารวมอาหารเช้า เริ่มต้นคืนละ 1,100 บาทเท่านั้น

เรื่องของอาหารเช้าเดิมทีเราไม่ได้คาดหวังมากนัก แต่ผิดคาดเลย อาหารของที่นี่อร่อย เน้นความเป็นพื้นถิ่น ทำอย่างพิถีพิถัน แถมยังมีให้เลือกหลากหลาย กลายเป็นมื้ออาหารที่เอ็นจอยมากๆ

ใครที่ชอบกินอาหารเวียดนามน่าจะคุ้นเคยกันดี เริ่มจาก “ข้าวโซย” เป็นอาหารเช้าที่อุดมไปด้วยธัญพืชเพื่อสุขภาพ ตั้งแต่ข้าวโพด ลูกเดือย ข้าวเหนียว หอมเจียว โดยหน้าด้วยถั่วเหลืองบด งาบด และน้ำตาล ถ้าไม่ชอบหวานก็ไม่ต้องใส่ เคี้ยวๆไปรสชาติคล้ายถั่วแป็บอยู่เหมือนกัน

“กวยจั๊บญวนเส้นสด” รับรองจะลืมเส้นอบแห้งแบบในร้านอาหารเวียดนามที่อื่นไปเลย เส้นสดนุ่มมาก น้ำซุปหอมอร่อย หมูยอเกรดเอ โรยหอมเจียว เมนูนี้อุ่นท้องดีจริงๆ ค่ะ

นอกนั้นจะมี ไข่กระทะ บาแกต หรือ ข้าวจี่ฝรั่งเศสไส้ต่างๆ ให้เลือกชิมกันหลากหลาย

อีกเมนูที่ภูมิใจนำเสนอของพนักงานที่นี่ คือ “น้ำพริกวานา” สีสันหน้าตารสชาติคล้ายน้ำพริกอ่อง แต่ไม่มีหมูสับ รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ กินกับผักลวกที่ส่วนมากปลูกเองที่รีสอร์ทแบบปลอดสารพิษ มีตัวเอก คือ ดอกขจรลวก กับ ดอกอัญชัญ ที่นำมาทำเครื่องดื่ม

ส่วนซิกเนเจอร์ ที่ว่ากันว่ามาแล้วต้องสั่ง คือ ผัดกะเพรา ใครมีโอกาสมาต้องมาพิสูจน์นะคะ

ทิพยา บัวพิจิตร ผู้จัดการสาวระดับมือโปรจากโรงแรมชื่อดังในกรุงเทพฯ ดุสิตธานี และพูลแมน เธอให้ความเห็นเรื่องของ “โรงแรมสีเขียว” ว่าสิ่งสำคัญคือการมีส่วนร่วมกับชุมชน ช่วยเหลือชุมชน และต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขณะที่เรื่องอาหารก็เน้นสุขภาพเป็นหลัก โดยเฉพาะผักปลูกเองเกือบทั้งหมด

ข้าวจี่ฝรั่งเศส
ก๋วยจั๊บญวนเส้นสด
ทิพยา บัวพิจิตร

“แปลงผักเราจะมีคนสวนดูแลถึง 3 คน เป็นผักปลอดสารทั้งหลาย ถั่วฝักยาวก็มี ขึ้นอยู่ตามฤดูกาล และเมนูทางโรงแรม อันดับแรกเราต้องดูของในโรงแรมก่อน ถ้าไม่มีก็ไปสั่งชาวบ้านเพิ่ม ส่วนมากจะเป็นช่วงที่ลูกค้าเยอะๆ ทุกศุกร์-เสาร์ เราจะมีลูกค้าเยอะ ช่วงเทศกาลจะเยอะที่สุดเป็นลูกค้ามาทำบุญ พีคสุดจะเป็นธันวาคม มกราคม”

ว่าแล้วก็พากันเดินชมสวนปลอดสารเคมี ไล่ไปตั้งแต่พืชผักสวนครัว พริก หอม ผักกาดหอม คะน้า กระเทียม ใบผักแป้น ผักชี สาระแหน่ ต้นหอม พริกไทยอ่อน ชะอม ดอกขจร ซึ่งพืชผักเหล่านี้ส่วนมากจะนำมาทำเป็นอาหารพื้นบ้าน

นอกจากนี้ ยังมีมะพร้าวน้ำหอมที่ปลูกไว้เอง ใช้ต้อนรับผู้ที่มาพัก น้ำหอมหวานชื่นใจมากๆ นอกจากผลที่นำมาบริโภคแล้ว ทางรีสอร์ทยังได้คิดเพิ่มมูลค่าด้วยการทำ บอนไซมะพร้าว จากเดิมขายได้ลูกละ 50 บาท เมื่อเป็นบอนไซแล้วขายได้หลักร้อยถึงหลักพันขึ้นอยู่กับรูปร่างของต้น

ชินวัฒน์ สกุลตั้งไพศาล

ชินวัฒน์ สกุลตั้งไพศาล ทายาทรุ่นที่ 2 ของตระกูลสกุลตั้งไพศาล เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในหนองคาย ที่เบนเข็มจากที่สนใจการเมือง มาทำธุรกิจ ปลุกปั้นทำโรงแรมสีเขียว บอกว่า เรื่องอาหาร ของเราเป็นอาหารสุขภาพ ใช้ผักออร์แกนิคไม่มีสารเคมีเลย เพราะปลูกเองทุกอย่าง

“อยากให้ลองมาพักกัน เพราะอากาศที่โรงแรมดีมากจริงๆ เคยมีผู้ป่วยโรคปอดมาพัก เขาบอกว่าอยู่กรุงเทพฯ เขาหายใจไม่ออก แต่พอมาอยู่โรงแรมที่นี่อาการดีขึ้น หายใจได้ดีขึ้น ซึ่งสเต็ปต่อไปเราจะเน้นเรื่องของสุขภาพ โดยจะเพิ่มการนวดด้วย มีทั้งนวดที่ห้องพักและนวดกลางสวน พยายามหาความลงตัวอยู่ อยากได้อารมณ์แบบบ้านๆ เป็นบรรยากาศของภาคอีสาน”

คุณชินวัฒน์ บอกว่า โรงแรมของเราเป็นมิตรเชื่อมโยงกับชุมชน ยกตัวอย่างการซื้อผักหรือวัตถุดิบ ไข่ ปลา ข้าว ที่เราปลูกผักเองก็จริง แต่ก็พอใช้ในแต่ละวัน เวลามีกรุ๊ปทัวร์เข้ามาของไม่พอก็สั่งซื้อจากชุมชน วินวินกันไปทั้งสองฝ่าย ชาวบ้านก็แฮปปี้ เรายังจ้างชาวบ้านมาเป็นพนักงานเพิ่มเติม มารับงานพาร์ตไทม์ด้วย

“พนักงานของโรงแรมจะมีสมุดบันทึกเป็นข้อมูล ว่าชาวบ้านคนไหนว่างช่วงไหน สามารถทำงานอะไรได้ ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้เขามีรายได้เพิ่มขึ้นจากปกติ คนที่ไม่ได้ทำงานประจำ แต่มีเวลาว่าง ไม่อยากปล่อยเวลาว่างให้สูญเปล่าก็มาทำงานกับเรา ตั้งแต่ที่เปิดโรงแรมมาชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีชีวิตชีวา เป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชุมชนมากขึ้น”

ใครมีโอกาสมาหนองคายลองมาสัมผัสด้วยตัวเองกันนะคะ ห้องพักมีทั้งหมด 3 แบบ เริ่มต้นที่ 1,100 บาท ไปถึง 5,500 บาท สนใจสอบถามได้ที่ 0-4201-2767 หรือ เพจเฟซบุ๊ก VANA Wellness Resort Nongkhai

ไข่กระทะ
ข้าวโชย
บรรยากาศด้านหน้ารีสอร์ท
พนักงานวานารีสอร์ทยินดีต้อนรับ
ที่มามติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 19 ใกราคม 2563, หน้า 15
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]

เรื่องของเรื่องเกิดจาก “การนัดพบ” เพื่อนฝูงที่เป็นคนสงขลาและมีบ้านอยู่ในจังหวัดสงขลา เผื่อว่าไปแล้วได้เที่ยวด้วย เนื่องเพราะจุดใหญ่ใจความนัดกันเพื่อไป “กินของอร่อย” มากกว่าจะเดินรับลมชมวิวของเมือง ครั้นพอถึงเวลาสรรหาของรับประทานกันเสร็จสิ้นแล้ว เวลาที่เหลืออยู่มากโข เพื่อนจึงเอ่ยปากชักชวนไปเที่ยวเล่นที่ “เมืองเก่าสงขลา”  ฟังเพื่อนว่าจินตนาการเห็นเป็นเมืองเก่าแบบกรุงศรีอยุธยา หรือรัตนโกสินทร์ตอนแม่พลอยกำลังจะแต่งงานกับคุณเปรม ในนิยายสี่แผ่นดิน ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เสาหลักประชาธิปไตยผู้ล่วงลับไปหลายสิบปี  แต่ปรากฏว่าเมืองเก่าที่เพื่อนพาไปเป็นย่านที่ได้รับการปรับปรุงให้ดูทันสมัย และเป็นย่านการค้าและการท่องเที่ยวในปัจุุบัน คือ บริเวณโรงสีที่มีชื่อฟังยากมาก “โรงสี หับ โห้ หิ้น” เอกลักษณ์คือทาสีแดงแปร๊ด สดใส เตะตา

เมื่อเดินผ่านประตูเพื่อจะเข้าชมด้านใน กลับเห็นเรือประมงขนาดใหญ่จอดเทียบท่าหลายลำ อีกทั้งตัวอาคารโรงสีก็เป็นแบบเก่าๆ แสดงถึงโครงสร้างภายในที่มีมาแต่ดั้งเดิม ดูตามประวัติความเป้นมาของโรงสีแห่งนี้ นับว่าน่าสนใจทีเดียว คุยกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลรักษา เขาเล่าว่าเมืองสงขลาในอดีตเป็นเมืองค้าขาย โดยกลุ่มคนจีนหลายแซ่ หลายตระกูล  ทำการค้าขายกับเมืองปีนัง  แต่ที่โรงสีแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อรองรับ

ภาพจาก paikondieow.com

ผลผลิตข้าวจากกลุ่มลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา โดยรองอำมาตย์ตรีขุนราชกิจการี (จุ่นเลี่ยง ลิ้มเสาวพฤกษ์) ต้นตระกูลเสาวพฤษ์ ร่วมหุ้นกับตระกูลโคนันทน์ สร้างขึ้นราวปี พ.ศ.2454 แต่ที่ระบุเป็นประวัติติดไว้ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ของโรงสีเอง ระบุว่า ปี พ.ศ.2457 รองอำมาตย์ตรีขุนราชกิจการี (จุ่นเลี่ยง ลิ้มเสาวพฤกษ์) ได้เปิดกิจการโรงสีข้าวขึ้น ณ บ้านเลขที่ 13 ถนนนครนอก ริมทะเลสาบสงขลา  ชื่อ “โรงสี หับ โห้ หิ้น” เป็นภาษาฮกเกี้ยน หมายถึงความสามัคคี ความกลมเกลียว และความเจริญรุ่งเรือง  ชาวบ้านเรียกว่า “โรงสีแดง” เพราะอาคารทั้งหลังทาด้วยสีแดง

ระยะเริ่มแรก กิจการเป็นโรงสีข้าวขนาดเล็ก สั่งเครื่องจักรที่เป็นมอเตอร์ในการสีข้าวมาจากปีนัง มี “สุชาติ รัตนปราการ” ทำหน้าที่ผู้จัดการ ต่อมาเปลี่ยนมาใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิง ทำให้โรงสีเดินด้วยกำลังไอน้ำ โดยสั่งเครื่องจักรมาจากประเทศอังกฤษ มีคนงานประมาณ 30-50 คน ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง เปลี่ยนการทำงานเป็นกะ  นับได้ว่าเป็นโรงสีข้าวขนาดใหญ่ที่ทันสมัยในยุคนั้น “โรงสี หับ โห้ หิ้น” รับสีข้าวจากพื้นที่ปลูกข้าวรอบๆ ทะเลสาบสงขลา เช่น ระโนด พัทลุง  สามารถผลิตข้าวสารจำหน่ายแก่ประชาชนในสงขลาและจังหวัดใกล้เคียง อีกทั้งยังเหลือพอที่จะส่งไปขายประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมืองเปรัคและอีโป ในประเทศมาเลเซีย

ต่อมาปี พ.ศ. 2490 พื้นที่รอบนอกจังหวัดสงขลาเกิดการสร้างโรงสีขนาดเล็ก ทำให้มีข้าวเปลือกป้อนโรงสีน้อยลง จึงยุติกิจการโรงสีข้าว หับ โห้ หิ้น มาทำกิจการโรงน้ำแข็งขนาดเล็กจำหน่ายในชุมชน ต่อมาเปลี่ยนเป็นโกดังเก็บยางพารา สำหรับลำเลียงขนถ่ายไปยัง

เรือเดินสมุทร ซึ่งจอดอยู่ที่เกาะหนู เพื่อส่งไปยังต่างประเทศ ต่อมาเมื่อมีท่าเรือน้ำลึกสงขลาการขนส่งยางพาราด้วยเรือลำเลียงจึงยุติกิจการ มาเป็นท่าเทียบเรือประมงขนาดเล็กในปัจจุบัน

รกรากของขุนราชกิจจารี เป็นกลุ่มคนจีนที่อพยพมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ มาตั้งรกรากอยู่ที่สงขลา ราวปี พ.ศ.2250 (สมัยพระเจ้าเสือ แห่งกรุงศรีอยุธยา) สุชาติ รัตนปราการ ซึ่งเป็นผู้จัดการของโรงสีแห่งนี้ เป็นหนุ่มนักเรียนปีนัง ต้นสกุล “รัตนปราการ” เป็นคนจีนฮกเกี้ยน แต่เดิมใช้สกุลว่า “แซ่ก๊วย”  คำว่า “ก๊วย” ในภาษาจีนแปลว่า “กำแพงเมือง”  จาก “แซ่ก๊วย” ปลี่ยนมาเป็นภาษาไทย คือ “รัตนปราการ” ซึ่งแปลว่า “กำแพงแก้ว”  ส่วนชื่อ “หับ-โห้-หิ้น” ก็เป็นภาษาจีนฮกเกี้ยนเช่นเดียวกัน

ย้อนเวลาไปสู่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ บริเวณเมืองสงขลา สำนักโบราณคดี กรมศิลปากรที่ 11 ได้ขุดค้นบริเวณพื้นที่เมืองสะบ้าย้อย พบว่าพื้นที่ตรงนั้นแต่เดิมเคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ ตั้งแต่ก่อนยุคประวัติศาสตร์แล้ว ซึ่งก็คือบริเวณ “วัดถ้ำตลอด” ที่มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์อายุเกินกว่า 1,000 ปี และหลักฐานชิ้นสำคัญที่บ่งบอกว่าสงขลามีอายุเก่าแก่มาก คือบริเวณพื้นที่ห่างจากวัดพะโค๊ะ ไปทางทิศเหนือราว 800 เมตร จะพบศาสนสถานโบราณเก่าแก่ อายุเกือบ 1,000 ปี สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่ช่วงอาณาจักรศรีวิชัย และบริเวณศาสนสถานแห่งนี้ ถือได้ว่าเป็นสถานที่โบราณที่สุดในสงขลาก็ว่าได้

ชาวบ้านเรียกศาสนสถานแห่งนี้ ว่า “ถ้ำคูหา” หรือ “เขาคูหา” หลักฐานที่พบบริเวณเนินเขาคูหา เป็นเนินเขาลาดชัน พบถ้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น 2 ถ้ำ ปากถ้ำทั้งสองอยู่ห่างกันประมาณ 10 เมตร ถ้ำสูงจากพื้นดินประมาณ 1-2 เมตร มีลานหน้าถ้ำ ทางเข้าของถ้ำแรกเป็นรูปโค้งสูงประมาณ 2.5 เมตร ขนาดของถ้ำกว้างประมาณ 3.5 เมตร ลึกประมาณ 4.5 เมตร  ภายในถ้ำมีการสกัดหินจนเรียบ  พื้นที่ภายในถ้ำบรรจุคนได้ประมาณ 20 คน และบนลานหน้าถ้ำบรรจุคนได้ไม่น้อยกว่า 50 คน

บริเวณหน้าถ้ำพบแผ่นหินโยนีสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ เคยประดิษฐานศิวลึงค์ แต่ปัจจุบันได้เคลื่อนย้ายไปแล้ว ถ้ำที่สองมีลักษณะและสัดส่วนคล้ายกับถ้ำแรก ชุมชนโบราณได้ใช้ถ้ำคูหาเป็นศาสนสถานเพื่อประกอบพิธีกรรมพุทธศาสนามหายานและศาสนาฮินดู เหมือนกับถ้ำอะชันต้าและเอลโลรา ในประเทศอินเดีย  ซึ่งขุดเจาะภูเขาเข้าไปสลักหินและเขียนภาพเรื่องราวทางศาสนา ซึ่งไม่เคยพบถ้ำลักษณะนี้ในประเทศไทย สันนิษฐานว่าถ้ำคูหามีอายุระหว่างพุทธศตวรรษ ที่ 12-15 เป็นชุมชนโบราณสมัยประวัติศาสตร์ภาคใต้

เมืองเก่าสงขลาเป็นที่รู้จักกันในนาม “สงขลาบ่อยาง” มีพ่อค้าจากนานาประเทศให้ความสนใจเข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐาน ก่อนการก่อตั้งเมืองสงขลาบ่อยาง เมืองสงขลาเดิมตั้งอยู่ในบริเวณ “หัวเขาแดง” และมีชาวมุสลิมเป็นผู้ปกครอง ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการค้าในระดับนานาชาติ จนสามารถผลิตสกุลเงิน    “ซิงกอร่า” ของตนเองได้  ต่อมาภายหลังเมื่อกรุงศรีอยุธยาส่งกองทัพมาปราบปรามเมืองสงขลา ซึ่งขณะนั้นถือเป็นรัฐอิสระ จนกระทั่งเมืองสงขลาแตก ภายหลังชาวสงขลาจึงย้ายถิ่นฐานอีกครั้ง พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองเป็นชาวจีน จึงทำให้สงขลามีความหลากหลายของชาติพันธุ์ ส่งผลต่อลักษณะ

ทางสถาปัตยกรรมในเมืองสงขลา กลายเป็นการผสมผสานระหว่าง 3 วัฒนธรรม ได้แก่ ไทย จีน และอิสลาม

วัฒนธรรมในพื้นที่ย่านเมืองเก่าสงขลา ซึ่งก็คือบริเวณ “ถนนนครใน” และ “ถนนนครนอก” เคยเป็นแหล่งศูนย์กลางทางการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าจากต่างประเทศ โดยมากแล้วประชากรในย่านเมืองเก่าสงขลาปัจจุบัน มาจากครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย เนื่องจากในอดีตกลุ่มคนรุ่นแรกๆ ที่เข้ามาค้าขายกับชาวต่างชาติเป็นกลุ่มคนจีนจากแผ่นดินใหญ่ ซึ่งผลจากการค้าขายกับชาวต่างชาตินี่เองได้ส่งอิทธิพลถึงรูปแบบความเชื่อ รูปแบบการดำรงชีวิต และรูปแบบสถาปัตยกรรมในย่านเมืองเก่าสงขลา โดยสถาปัตยกรรมเมืองสงขลา สามารถแบ่งรูปแบบในพื้นที่ย่านเมืองเก่าได้ ดังนี้

ตึกแถวแบบจีนดั้งเดิม สร้างในช่วง พ.ศ. 2379 เป็นช่วงแรกการตั้งเมืองสงขลาเป็นต้นมา รูปแบบสถาปัตยกรรมจะมีส่วนหน้าเพื่อทำการค้าขาย  ด้านบนใช้เก็บของ มีช่องส่งของเล็กๆ และมีความยาวของอาคารตามที่ดินประมาณ 30-40 เมตร เนื่องจากแปลงที่ดินยาว ผู้ออกแบบจึงได้ออกแบบให้มีช่องเปิดโล่งกลาง ส่วนอาคารด้านหลังมักเป็นที่พักอาศัย กรมศิลปากรระบุว่าห้องแถวแบบจีนหลังแรกของสงขลา ตั้งอยู่บน “ถนนเก้าห้อง” หรือ “ถนนนางงาม” ต่อมาเป็น  ตึกแถวแบบจีนพาณิชย์ มีลักษณะเป็นอาคารถัดมาจากแบบจีนดั้งเดิม การออกแบบอายุประมาณ 70 ปีขึ้นไป รูปแบบจะกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม หน้าตาคล้ายตึกแถวจีนดั้งเดิม แต่ประยุกต์ให้ทันสมัยขึ้น มักมีลักษณะเป็นอาคารที่ตอบสนองทางการค้า ไม่มีองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม ค่อนข้างเรียบง่าย นอกจากนี้ยังมี ตึกแถวแบบจีนสมัยใหม่ ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก อาคารอยู่ในช่วงอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป มีแผงปกปิดหลังคาและจะมีอักษรแสดงปี พ.ศ. ปรากฏบนแผงดังกล่าว บางหลังมีหลังคาจั่วหรือปั้นหยาซ้อนอยู่ บางหลังเป็นหลังคา คสล. ส่วนใหญ่มักมี 2-4 ชั้น

ส่วนตึกแถวแบบสงขลาดั้งเดิม (ชิโน-ยูโรเปี้ยน) จะมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่ประดับตกแต่งด้วยลวดลายแบบจีนและยุโรปผสมกัน คล้ายกับรูปแบบที่เรียกว่า “ชิโน-โปรตุกีส” ซึ่งพบมากที่ภูเก็ต แต่ที่สงขลาจะไม่มีทางเดินใต้อาคารที่เรียกว่า “หงอคากี่” อาคารจะมีช่องเปิดกลางอาคาร และจะเป็นที่ตั้งของบ่อน้ำ ซึ่งในอดีตน้ำดื่มจะมีรสจืด สะอาดจนสามารถดื่มได้

สำหรับถนนนางงามในอดีตรู้จักกันอย่างดีในชื่อ “ถนนเก้าห้อง” มีที่มาจากอาคารชุดเก้าหลังแรกบนถนนสายนี้ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นถนนนางงาม เนื่องจากเป็นการให้เกียรติแก่ นงเยาว์ โพธิ์สาส์น (บุญญาศิวา) ซึ่งชนะเลิศการประกวดได้เป็น “นางสาวสงขลาคนแรก”

และเธอมีบ้านตั้งอยู่บนถนนสายนี้ ดังนั้น ชาวเมืองสงขลาจึงเรียกถนนเก้าห้องว่า “ถนนนางงาม”  ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของย่านเมืองเก่า มีความยาวจากเหนือถึงใต้ประมาณ 3 กม. นอกจากนี้ ตลอดสองข้างทางของถนนสายนี้ ยังประกอบด้วยร้านค้าต่างๆ มากมาย ร้านอาหารชื่อดัง ทั้งอาหารไทย จีน และมุสลิม  ส่วนย่านมุสลิมจริงๆ จะอยู่ที่ “ถนนพัทลุง” ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของพื้นที่ย่านเมืองเก่า มีมัสยิดอุสสาสนะ เป็นศูนย์กลางจิตใจของชาวชุมชน  มัสยิดแห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2393 โดยมีรูปแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างศิลปะไทยและอิสลาม

ฟังเขาเล่าไม่เท่าตาเห็น หากใครมีเวลาหรืออยากเที่ยวพักผ่อน อยากเติมพลังให้ตัวเอง “เมืองสงขลา” เป็นอีกสถานที่ที่น่าสนใจ จัดไว้ในลิสต์ก็จะเป็นการดี เพราะเดี๋ยวนี้การเดินทางนั่งเครื่องบินไปลงหาดใหญ่ต่อรถไปสงขลาไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงจุดหมายปลายทาง ที่สำคัญค่าเครื่องบินเดี๋ยวนี้ถูกกว่าราคารถทัวร์เสียอีก…จริงไหม?

 

****************************

อาหารพื้นเมืองสงขลา

ข้าวยํา

นิยมรับประทานในตอนเช้า กลางวัน หรือตอนเย็น มีส่วนประกอบ คือ ข้าวสุกราดนํ้าบูดู (บางท้องถิ่นเรียก นํ้าเคย) ยำด้วยกุ้งแห้งป่น มะพร้าวคั่ว มะม่วงหรือมะขามอ่อนซอย แตงกวา ถั่วงอก เกสรชมพู่แดง ผักสดหลายชนิดหั่นปนกันเรียกว่า “หมวด” ได้แก่ ตะไคร้  ใบพาโหม ใบมะกรูด ใบดีปลี  ดอกดาหลา

ข้าวสตู

เป็นอาหารประเภทอาหารคาว มีรสชาติมันเค็ม กลมกล่อม สามารถหารับประทานได้ตลอดทั้งปี คนสงขลานิยมรับประทานข้าวสตูหมูกับหมูกรอบ เพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับประทานได้มากขึ้น

ขนมทองเอก

คําว่า “เอก” หมายความถึง “การเป็นที่หนึ่ง” นิยมใช้ขนมทองเอก ประกอบพิธีมงคลสําคัญต่างๆ หรือใช้มอบเป็นของขวัญในงานฉลอง  การเลื่อนยศ เลื่อนตําแหน่ง จึงเปรียบเสมือน “คําอวยพร” ให้เป็น “ที่หนึ่ง”

ขนมค้างคาว

เหมือนขนมไข่หงส์ แต่กรอบนุ่มไม่แข็ง ปั้นเป็นรูปสามเหลี่ยม มีวิธีการทําโดยนําข้าวเหนียวขาวมาล้างให้สะอาดแล้วแช่ให้เมล็ดพองได้ที่ นําไปโม่ให้ละเอียด ใส่ถุงผ้าวางไว้ให้สะเด็ดนํ้า นํามะพร้าวขูดคั้นเอาหัว กะทิผสมเกลือพอมีรสเค็ม ตั้งไฟพอเดือด วางไว้ให้เย็นแล้วนํามานวดกับแป้งให้ได้ที่ เตรียมใส่ไส้ขนมต่อไป

ข้าวฟ่างกวน

เป็นขนมที่รับประทานหลังอาหารคํ่า เป็นของหวานที่หารับประทานยาก และมีราคาแพง เนื่องจากปรุงยากมาก สามารถหาซื้อมารับประทานหรือเป็นของฝากได้ที่ ถนนนางงาม อําเภอเมือง จังหวัดสงขลา

ขนมเทียนสดหรือขนมวุ้นโขย

เป็นขนมที่นิยมรับประทานในตอนคํ่า ตรุษจีน ส่วนประกอบมี แป้งถั่ว ถั่วกวน นํ้าตาล ใบตอง นํ้า มีขายในท้องตลาดทั่วไปในอําเภอเมืองสงขลา และถนนนางงาม อําเภอเมือง จังหวัดสงขลา

ขนมปำจี

เป็นขนมพื้นเมืองของจังหวัดสงขลา แต่ปัจจุบันค่อนข้างหาทานยากแล้ว สําหรับเจ้าอร่อย ที่ขอแนะนํา คือ ขนมปำจี เจ้าอร่อยในถนนวชิรา แถวๆ หน้าร้านยา หรือ อีกหนึ่งที่ ที่จะหาทานขนมปำจีได้ไม่ยาก คือ ถนนคนเดินสงขลา

ขนมสัมปันนี

เป็นขนมไทยโบราณอย่างหนึ่ง บางตํารับใช้แป้งสาลีทําก็มี แต่ส่วนมากใช้แป้งมันทํา ใช้แป้งมันทําจะนุ่มและแทบละลายในปาก ใช้แป้งสาลีจะออกเหนียวนิดหน่อย มีขายในท้องตลาดทั่วไปในอําเภอเมืองสงขลา และถนนนางงาม อําเภอเมือง จังหวัดสงขลา