บุโรพุทโธ เป็นมหาสถูปทางพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในศิลปะชวา สร้างขึ้นประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ 14 โดยราชวงศ์ไศเลนทร์ซึ่งนับถือพุทธศาสนามหายาน นอกจากจะเป็นสถาปัตยกรรมที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ที่แห่งนี้ยังแฝงด้วยคติการจำลองจักรวาลในพุทธศาสนามหายานที่ซับซ้อนที่สุดอีกด้วย

สำหรับศาสนาพุทธนั้นเริ่มเจริญรุ่งเรืองในดินแดนชวาภาคกลางเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 14 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ราชวงศ์ไศเลนทร์มีอำนาจปกครองชวาภาคกลางแทนที่ราชวงศ์สัญชัย (มะตะราม) เดิมนั้นราชวงศ์ไศเลนทร์นับถือฮินดู จนกระทั่งเมื่อกษัตริย์นาม ‘ปนังกะรัน’ ขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระราชบิดา พระองค์ได้หันมานับถือศาสนาพุทธนิกายมหายานแบบตันตระ โดยเชื่อกันว่านิกายดังกล่าวเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ปาละ-เสนะของอินเดีย (วราภรณ์ สุวัฒนโชติกุล : 2558)

บุโรพุทโธ สร้างตามคติจักรวาล ซึ่งถือเป็นคติความเชื่อที่เข้ามาพร้อมกับการนับถือพระพุทธศาสนาในชวา ระบบจักรวาลนี้มีเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลาง ล้อมรอบด้วยเขาสัตตบริภัณฑ์และทะเลสีทันดร 7 ชั้น ซึ่งคติจักรวาลนี้แสดงให้เห็นได้อย่างเด่นชัดในการวางผังที่หมายถึงจักรวาลและอำนาจของพระอาทิพุทธเจ้า หรือพระพุทธเจ้าผู้สร้างโลกในพุทธศาสนามหายาน (สุภัทรดิศ ดิศกุล : 2545) ศูนย์กลางที่เป็นเขาพระสุเมรุ ใช้สัญลักษณ์คือสถูปทึบตันบนยอดสูงสุด ที่แผ่อำนาจบารมีไปทั่วทั้งจักรวาล

ในพุทธศาสนามหายานนั้น การจำลองจักรวาลมาอยู่ในสถาปัตยกรรม ประติมากรรม หรือจิตรกรรมนั้นเรียกว่าระบบ “มณฑล” (รองศาสตราจารย์ ดร.เชษฐ์ ติงสัญชลี : 2558) โดยบุโรพุทโธได้แสดงมณฑลที่จำลองภูมิทางจิต 3 ระดับ หรือภูมิ 3 ซึ่งหมายถึงภพภูมิทางจิตของสัตว์โลกในคติมหายาน โดยเรียงจากฐานด้านล่างสู่ยอดด้านบน และระบบอาทิพุทธ-ธยานิพุทธ ดังนี้

  1. กามภูมิ คือ ภพภูมิที่ยังมัวเมาในกิเลสตัณหา จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดและตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม ร่างกายของมนุษย์ที่อยู่ในภูมินี้จะตกอยู่ภายใต้การเกิด แก่ เจ็บ ตาย พระพุทธเจ้าประจำภูมินี้คือ “พระมานุษิพุทธ” หรือพระพุทธเจ้าผู้เป็นมนุษย์ เกิดจากพระธยานิพุทธประจำกัปอีกทีหนึ่ง เป็นพระพุทธเจ้าที่ลงมาตรัสรู้เพื่อสั่งสอนสัตว์โลก เช่น พระศรีศากยมุนี (คนจีนเชื่อว่าคือ พระยูไล) พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
  2. รูปภูมิ คือ ภพภูมิที่ไม่ต้องการกามแล้ว แต่ยังคงปรากฏการมี “รูป” คือหลุดพ้นจากกิเลสหยาบได้ แต่ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลสละเอียด บุคคลที่เกิดในภูมินี้จะไม่เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีร่างกายที่รุ่งเรือง เป็นอมตะและมีความสุขตลอดไป พระพุทธเจ้าประจำภูมินี้คือ “พระธยานิพุทธ” เป็นพระพุทธเจ้าประจำทิศทั้ง 5 เกิดขึ้นจากสมาธิของพระอาทิพุทธ และเป็นพระพุทธเจ้าผู้ผลัดเปลี่ยนดูแลกัปต่างๆ ในระยะเวลาที่ต่างกัน ประกอบด้วย
  • พระไวโรจนะ พระพุทธเจ้าประจำทิศเบื้องกลาง เป็นประธานของพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ มีกายสีขาว ตราประจำพระองค์คือธรรมจักร ทรงแสดงธรรมจักรมุทรา (ปางปฐมเทศนา) มีพาหนะเป็นสิงโตเผือก ทรงเป็นต้นวงศ์ของพระโพธิสัตว์ตระกูลตถาคตโคตร อันได้แก่ พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ และพระมัญชุศรีโพธิสัตว์
  • พระอักโษภยะ พระพุทธเจ้าประจำทิศตะวันออก พระนามของพระองค์แปลว่า ผู้ไม่หวั่นไหว มีกายสีน้ำเงิน ตราประจำพระองค์คือวัชระ ทรงแสดงภูมิสปรรศมุทรา (ปางมารวิชัย) มีพาหนะเป็นช้าง ทรงเป็นต้นวงศ์ของพระโพธิสัตว์ตระกูลวัชรโคตร คือ พระวัชรปาณีโพธิสัตว์ และพระกษิติครรภโพธิสัตว์
  • พระรัตนสัมภวะ พระพุทธเจ้าประจำทิศใต้ พระนามของพระองค์แปลว่า ผู้เกิดมาจากมณี มีกายสีเหลืองทอง ตราประจำพระองค์คือรัตนมณีหรือจินดามณี ทรงแสดงวรทมุทรา (ปางประทานพร) มีพาหนะเป็นม้า ทรงเป็นต้นวงศ์ของพระโพธิสัตว์ตระกูลรัตนโคตร ได้แก่ พระรัตนปาณีโพธิสัตว์
  • พระอมิตาภะ พระพุทธเจ้าประจำทิศตะวันตก เป็นพระพุทธเจ้าประจำกัปปัจจุบัน พระนามของพระองค์แปลว่า ผู้มีแสงสว่างนิรันดร์ (คำว่าอมิตาพุทธ ก็น่าจะเพี้ยนเสียงมาจากชื่อของพระองค์) มีกายสีแดง ตราประจำพระองค์คือดอกบัว ทรงแสดงธยานมุทรา (ปางสมาธิ) มีพาหนะเป็นนกยูง ทรงเป็นต้นวงศ์ของพระโพธิสัตว์ตระกูลปัทมโคตร ได้แก่ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์
  • พระอโมฆสิทธิ พระพุทธเจ้าประจำทิศเหนือ พระนามของพระองค์แปลว่า ผู้สมหวังตลอดกาล มีกายสีเขียว ตราประจำพระองค์คือวิศววัชระ ทรงแสดงอภัยมุทรา (ปางประธานอภัย) มีพาหนะเป็นครุฑ ทรงเป็นต้นวงศ์ของพระโพธิสัตว์ตระกูลกรรมโคตร คือ พระวิศวปาณีโพธิสัตว์

3. อรูปภูมิ คือ ภพภูมิที่ไม่ต้องการทั้ง “กาม” และ “รูป” บุคคลที่เกิดในภพนี้คือผู้บรรลุนิพพาน เป็นผู้ที่เข้าไปรวมแล้วกับความจริงอันสูงสุด ซึ่งไม่ตกอยู่ภายใต้กาลเวลา จึงไม่มีจุดสิ้นสุด เป็นอมตะ พระพุทธเจ้าประจำภูมินี้คือ “พระอาทิพุทธ” เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกของจักรวาล เป็นพระพุทธเจ้าผู้เกิดขึ้นเอง เป็นอมตะ ทรงเป็นผู้สร้างจักรวาลทั้งปวง ทั้งยังสร้างพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ โลก และสรรพสัตว์ทั้งมวล (รองศาสตราจารย์ ดร.เชษฐ์ ติงสัญชลี : 2558)

ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีผู้มากระทำประทักษิณ คือการเดินเวียนขวารอบบุโรพุทโธขึ้นไปนั้น เมื่อเดินขึ้นไปแต่ละชั้นก็จะพ้นจากชั้น “กามธาตุ” ไปยังชั้น “รูปธาตุ” และในที่สุดแล้วก็จะขึ้นไปสู่ชั้น “อรูปธาตุ” ซึ่งถือเป็นชั้นสูงสุดนั่นเอง (วราภรณ์ สุวัฒนโชติกุล : 2558)

จากแนวคิดดังกล่าวนี้เชื่อมโยงกับคติ ตรีกาย อันเป็นพุทธปรัชญาสำคัญประการหนึ่งของมหายานที่เชื่อว่า พระพุทธเจ้านั้นเป็นทิพยภาวะ มีภาวะความเป็นอยู่คู่กับโลกเสมอ การปรินิพพานของพระพุทธองค์เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น โดยความเป็นจริงแล้ว พระพุทธเจ้านั้นเป็นอนาทิ เป็นอนันตะ

นักวิชาการหลายท่านเชื่อว่าตรีกายมีกำเนิดในราวพุทธศตวรรษที่ 11 (พิริยะ ไกรฤกษ์ : 2555) จากนิกายโยคาจารที่เสนอความเป็นนิรันดรของจิต และการแสวงหาการหลุดพ้นของจิตด้วยตนเอง หรืออาจมีเค้ามูลจากนิกายมหาสังฆิกวาทที่กล่าวถึงการดำรงอยู่ของพระตถาคตในฐานะพุทธสภาวะอันเป็นนิรันดร มีพระชนม์เป็นอนันตกาลไม่ดับสูญหรือเสื่อมสลาย พระตถาคตที่ปรากฏพระองค์บนโลกมนุษย์เป็นเพียงการแสดงปาฏิหาริย์ของพระตถาคตผู้ทรงเป็นโลกุตรสภาวะ (พิริยะ ไกรฤกษ์ : 2555)  

ในกายตรยสูตร ของลัทธิมหายาน พระศากยมุนีมีพุทธดำรัสกับพระอานนท์ว่าทรงมีพระกายสามมิใช่กายเดียว (อภิชัย โพธิ์ประสิทธิ์ศาสต์ : 2551) โดยพุทธปรัชญา “ตรีกาย” ประกอบด้วย

  1. นิรมาณกาย (กายเนื้อ) ในอดีตเรียกว่า “รูปกาย” เป็นกายที่ธรรมกายหรือสัมโภคกายเนรมิตขึ้นในรูปของพระมานุษิพุทธะ หรือพระพุทธเจ้าผู้เป็นมนุษย์ที่ยังเผชิญกับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นเดียวกับทุกสรรพสัตว์ เพื่อให้มนุษย์ตระหนักถึงความไม่จีรังยั่งยืนของสังขารและใช้สั่งสอนศาสนาในโลกมนุษย์แทนพระองค์ คำสอนของลัทธิตันตรยานกล่าวว่า “พระศากยมุนีพุทธเจ้าเสด็จลงมายังชมพูทวีปในรูปของนิรมาณกาย ได้ทรงประกอบกิจอันยิ่งใหญ่ 8 ประการ และทรงตรัสรู้ สิ่งทั้งมวลนี้ล้วนเป็นมายาจากองค์พระสมันตภัทรวัชรสัตว์” กายนี้จึงมีทั้งจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ไม่เป็นนิรันดร์

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระอดีตพุทธะ พระปัจจุบันพุทธะคือพระศากยมุนี หรือพระอนาคตพุทธะที่ประสูติและทรงสั่งสอนพระธรรมในโลกมนุษย์จึงล้วนเป็นนิรมาณกาย

  1. สัมโภคกาย (กายทิพย์) คือ สภาวะของพระตถาคตในฐานะร่างเนรมิตของธรรมกาย เพื่อใช้สั่งสอนธรรมแทนพระองค์ สภาวะนี้จึงมีจุดเริ่มต้น ไร้ขีดจำกัด แต่ก็เป็นนิรันดร์ กายเนรมิตนี้มีเพียงพระตถาคต พระโพธิสัตว์ และเทพเจ้าเท่านั้นที่สามารถทอดพระเนตรได้ เช่น มหาบุรุษลักษณะ 32 ประการ และอสีตยานุพยัญชนะ หรือลักษณะย่อยอีก 80 ประการ หรือแม้แต่พระฉัพพัณณรังสี มนุษย์ปุถุชนทั่วไปไม่อาจมองเห็นความพิเศษดังกล่าวได้โดยตรงนอกจากผ่านทางพระพุทธรูปอันเป็นรูปจำลองของสัมโภคกายเท่านั้น

สัมโภคกายเองก็มีความสามารถในการเนรมิตพระตถาคต พระโพธิสัตว์ หรือเทพเจ้าเพื่อสั่งสอนพระธรรมในรูปของสัมโภคกายได้เช่นกัน แต่ในกรณีของพระตถาคตมักปรากฏในรูปของนิรมาณกาย

                     3. ธรรมกาย (กายธรรม) คือ สภาวะของพระตถาคตในฐานะที่เป็นแก่นสารของหลักธรรม ดำรงอยู่ตลอดไปไม่เสื่อมสูญ ดังสาธยายในวิมลเกียรตินิทเทสสูตร ของลัทธิมหายานว่าพระวรกายแท้จริงของพระตถาคตทั้งหลายคือพระธรรมกาย ธรรมกายเป็นสัทธรรมในตนเอง ไม่มีจุดเริ่มต้น และไม่มีจุดสิ้นสุด

ในลัทธิมหายานพระตถาคตทุกพระองค์ล้วนดำรงพุทธสภาวะธรรมกาย ส่วนลัทธิตันตรยานซึ่งแยกพุทธสภาวะตรีกายของพระตถาคตค่อนข้างชัดเจน จัดให้พระตถาคต เช่น พระมหาไวโรจนะ พระวัชรธร และพระสมันตภัทรวัชรสัตว์เป็นธรรมกาย

นอกจากนี้ธรรมกายยังเป็นมูลฐานให้กับกายที่เหลืออีกสองกาย คือ สัมโภคกายและนิรมาณกาย เนื่องจากธรรมกายเป็นพุทธสภาวะไร้ตัวตน ไม่อาจโปรดสรรพสัตว์ได้ แต่ด้วยการดำรงพุทธสภาวะดุจเทวะผู้สร้างสรรค์จึงยังสามารถเนรมิตกายที่เหลืออีกสองกายเพื่อสั่งสอนพระธรรมแทนพระองค์ ในรูปของสัมโภคกายและนิรมาณกาย(พิชญา สุ่มจินดา : 2559)

ขณะที่บางท่านเชื่อว่าตรีกายไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีอยู่แล้วในแนวคิดดั้งเดิมของศาสนาพราหมณ์  (Urban Hammar : 2005) กล่าวคือ สัมโภคกายเทียบได้กับ “เทพเจ้า” และธรรมกายเทียบได้กับ “พรหมัน” นั่นเอง

สาธารณรัฐอินเดียตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียใต้  ทิศเหนือติดกับประเทศจีน  เนปาล และภูฏาน  ทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับปากีสถาน ทิศตะวันออกติดบังกลาเทศ  ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดพม่าหรือเมียนมาร์  ส่วนทิศตะวันตกเฉียงใต้และตะวันออกเฉียงใต้ติดมหาสมุทรอินเดีย  มีกรุงนิวเดลี (New Delhi) เป็นเมืองหลวง

สำหรับ “เมืองโกนารัค” หรือบางคนออกเสียง “เมืองโกนัค” (Konark) เป็นเมืองท่องเที่ยวขนาดกลางในย่านปูรี รัฐโอริสสา ตั้งอยู่บนชายฝั่งของอ่าวเบงกอล ห่างจากเมืองหลวงของรัฐ คือเมือง Bhubaneswar ราวๆ 60 กิโลเมตร  สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญและมีชื่อเสียงของเมืองโกนารัค คือ “วิหารสุริยะ” (Sun Temple) หรือ “เทวสถานโกนัค” (Konark Temple) ได้รับการขนานนามว่าเป็นเจดีย์สีดำ ได้ชื่อว่าเป็นเทวสถานที่มีความงามทางสถาปัตยกรรมแบบโอริสสา อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่ด้วย ใช้เป็นที่สำหรับบูชาสุริยเทพ

ตามประวัติ เทวสถานแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์นรสิงห์ที่ 1 แห่งราชวงศ์คงคา ประมาณคริสศตวรรษที่ 13 ผู้ที่ค้นพบเป็นคนแรกชื่อ “ราชครูปาปะ พรามครี” โดยพบตัววัดอยู่ในป่ารกชัฎ และมีเกลือจากทะเลปกคุลมหนาแน่น ต่อมาชาวอังกฤษ โดย เฟอร์กัสสัน ได้เข้ามาสำรวจในปี พ.ศ. 2380 เริ่มทำการบูรณะในปี พ.ศ.2425  มีการย้ายประติมากรรมบางส่วนไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ในเมืองกัลกัตตา (Kalkata) การบูรณะเสร็จสิ้นในปี พ.ศ.2453  เทวสถานโกนารัค สร้างตามความเชื่อและศรัทธาในองค์สุริยเทพ  มีวิหารแกะสลักภาพร่ายรำบูชาพระอาทิตย์ และภาพแกะสลักประติมากรรม “กามสูตร”  คล้ายที่คชุรโห (Khajuraho) มีมณฑปสร้างอุทิศให้พระนางมายาเทวี ชายาของสุริยเทพ และมีราชรถซึ่งเชื่อว่าองค์สุริยเทพทรงม้าลากราชรถเดินทางสู่สรวงสวรรค์  ส่วนที่โดดเด่นและยังสมบูรณ์ที่สุด คือ วิหารทรงพีรามิด ซึ่งรอบฐานมีกงล้อรถ 12 ล้อ แทน 12 ราศี แต่ละกงล้อสูง 10 ฟุต ที่ฐานกงล้อแกะสลักเป็นรูปช้างรองรับอย่างสวยงาม ส่วนที่เป็นห้องใหญ่ใช้ในการทำพิธียังอยู่ในสภาพสมบูรณ์

ความเชื่อเรื่องสุริยเทพนี้ คนโบราณเชื่อกันว่า “สุริยะ” หรือ “ดวงอาทิตย์” เป็นเทพเจ้าที่มีความสำคัญในอารยธรรมโบราณของโลกหลายแห่ง เช่น กรีก รู้จักกันในนามของ เทพอพอลโล หรือ อียิปต์ รู้จักกันในนามของ เทพเจ้ารา หรือในชนเผ่าต่างๆ ของโลก ก็นิยมบูชาพระอาทิตย์  ในประเทศอินเดียนั้น สุริยเทพปรากฏเป็นพระนามมาตั้งแต่สมัยพระเวท ซึ่งเป็นยุคสมัยแรกของพัฒนาการทางศาสนาพราหมณ์ในอินเดีย  และในยุคต่อมาคือยุคปุราณะฐานะของสุริยเทพก็ค่อยๆ ลดบทบาทลงมา  สำหรับการบูชาสุริยเทพนั้น เริ่มแพร่ขยายอิทธิพลมาจากอิหร่านไปยังแถบตะวันตกและตะวันออกของอินเดียอย่างช้าๆ  หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในยุคแรกๆ เกี่ยวกับการบูชาพระอาทิตย์ของเมืองโอริสสา คือจารึกบนแผ่นทองแดงที่ชื่อว่า “สุมัณฑละ”  มีอายุประมาณ พ.ศ.1142  อยู่ในสมัยของกษัตริย์ “มหาราชาธรรมราชา”  จึงทำให้ความเชื่อที่ว่าการบูชาสุริยเทพในรัฐโอริสสานั้น มีมาตั้งแต่สมัยโบราณสืบต่อมาจากยุคพระเวท

เทวสถานแห่งโกนารัก มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบที่เรียกว่า “โอริเซียนสไตล์”  ซึ่งเป็นลักษณะที่ปรากฏอยู่ในเทวสถานภายในแถบแคว้นโอริสสาเท่านั้น เทวสถานแห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1984  ปัจจุบันก็ยังคงได้รับการบูรณะอย่างต่อเนื่อง วิธีการยังคงใช้วัสดุหินทรายแบบดั้งเดิมก่อเสริมเข้าไปยังส่วนที่หลุดหาย การตัดเหลี่ยมและเข้ามุมวัสดุแต่ละก้อนจัดได้ว่ามีความปราณีต มาตรฐานเดียวกับช่างในอดีต  ลวดลายและประติมากรรมอันอ่อนช้อยของเทวสถานแห่งนี้ จัดได้ว่าสวยงามและยังคงสภาพเดิมค่อนข้างมาก

ในส่วนของการบูรณะวัสดุใหม่แทนที่วัสดุเดิม หากมองอย่างผิวเผินแทบไม่เห็นความแตกต่างระหว่างของเดิมและของใหม่ ยกเว้นส่วนของลวดลายที่ไม่ได้แกะสลักเพิ่มเติม  กระบวนการบูรณะวิธีการดังกล่าวในแวดวงโบราณคดีเรียกว่า Anastylosis เป็นศัพท์ทางโบราณคดีสำหรับเทคนิคการฟื้นฟูอาคารหรืออนุสาวรีย์ที่ถูกทำลาย  โดยใช้องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมดั้งเดิม  ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าวิหารแห่งนี้ ในอดีตอาจถูกทำลายจากสงครามมุสลิมในช่วงพุทธศตวรรษที่15-17  ปัจจุบันชิ้นส่วนของสถาปัตยกรรมวิหารแห่งนี้ได้ผุกร่อน เนื่องจากความเค็มของกรดเกลือจากทะเลเบงกอล

เทวสถานโกนารัก บ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรืองในอดีตได้เป็นอย่างดี แม้ว่าปัจจุบันเทวสถานแห่งนี้จะพังทลายลงไปบางส่วน แต่ก็ยังมีผู้คนเดินทางไปเยือนไม่ขาดสาย โดยเฉพาะช่วงที่เป็นเทศกาลวันกำเนิดแห่งสุริยเทพ

หมายเหตุ:ภาพจากเพจโบราณคดีสัญจร ม.ศิลปากร

จังหวัดตราด อยู่แนวชายแดนกัมพูชา ติดต่อกับ 3 จังหวัด คือ พระตะบอง โพธิสัตว์ และ เกาะกง โดยจังหวัดโพธิสัตว์มีชายแดนติดต่อกันระหว่างบ้านทมอดา อำเภอเวียลเวง จังหวัดโพธิสัตว์ กับบ้านท่าเส้น อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด ระยะทางห่างจากจังหวัดตราดเพียง 37 กิโลเมตร และห่างจากอำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด 45 กิโลเมตร ปลายเดือนพฤศจิกายน 2562 สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดตราดมีโอกาสต้อนรับคณะกลุ่มสตรีและผู้แทนประชาชนจากจังหวัดโพธิสัตว์ จำนวน 26 คน เรียนรู้การท่องเที่ยวชุมชนแบบมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นแนวทางเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยง ตราด-โพธิสัตว์ รองรับการยกระดับเป็นจุดผ่อนปรนทางการค้าเร็วๆ นี้

รูทท่องเที่ยวเรียนรู้ จากจุดที่เริ่มพัฒนา สู่แหล่งท่องเที่ยวที่พัฒนา

คุณวิยะดา ซวง นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดตราด เล่าถึงคณะผู้มาเยือน นำโดย คุณหญิงฮุน จันที (Hun Chanthy) ประธานกิตติมศักดิ์สมาคมสตรีกัมพูชาเพื่อสันติภาพและพัฒนาจังหวัดโพธิสัตว์ คุณเอ็ม พันนา (EM Ponna) ผู้แทนประชาชนจังหวัดโพธิสัตว์ กัมพูชา และคณะ จำนวน 26 คน เข้าศึกษาดูงานการท่องเที่ยวโดยชุมชน โดยจัดให้เรียนรู้โดยการปฏิบัติจริง

เริ่มจากทีมวิทยากร รศ.ดร. พรรณี สวนเพลง จากมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ให้ความรู้เรื่องการบริหารจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน การแปรรูปวัตถุดิบในท้องถิ่นสู่ตลาดของที่ระลึก ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การสาธิตการทำสบู่ก้อนสกัดจากไม้กฤษณาหรือไม้หอม และการให้บริการนวดฝ่าเท้า คณะดูงานได้ลงมือปฏิบัติ การทำสบู่ แชมพู และรับบริการนวดฝ่าเท้าจากผู้ผ่านการฝึกอบรม ซึ่งเป็นผลผลิตของโครงการวิจัย จากนั้นเดินทางไปศึกษาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน เริ่มจากวิสาหกิจชุมชนเล็กๆ ที่กำลังก่อตัวตั้งไข่ที่บ้านตาหนึก อำเภอคลองใหญ่ เรียนรู้การทำปลาเค็ม กะปิ น้ำเคย ผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น ในเส้นทางเดียวกันเยี่ยมชมท่องเที่ยวชุมชนตำบลไม้รูด ที่มีการบริหารจัดการรองรับนักท่องเที่ยวได้แล้ว การทำผลิตภัณฑ์อาหารทะเล ขนมพื้นบ้าน และดูงานยกระดับการผลิตโรงงานอุตสาหกรรรมเครื่องสำอาง ขนาดเล็ก น้ำมันเหลืองใช้สมุนไพร ของ บริษัท โกลเด้น คอสเมติก จำกัด ที่ส่งจำหน่ายกัมพูชา และสัมผัสการร่อนพลอย งานจักสานคลุ้ม แหล่งท่องเที่ยวชุมชนที่อำเภอบ่อไร่ ปิดท้ายด้วยการช็อปปิ้งสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าไทยยอดนิยมที่ห้างแมคโคร สาขาตราด

“คอนเซ็ปต์ของสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดตราด คือ ต้องการให้คณะของจังหวัดโพธิสัตว์ได้เรียนรู้การท่องเที่ยวชุมชนเพื่อนำกลับไปใช้ได้จริง เพราะโพธิสัตว์มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ที่น่าสนใจ เพียงแต่ยังต้องใช้เวลาในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน ผลิตภัณฑ์ การบริการ ให้พร้อมรองรับนักท่องเที่ยว จังหวัดตราด มีโอกาสดีที่มีประวัติศาสตร์เชื่อมโยง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบมราชินีนาถ ทรงให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมชาวกัมพูชาอพยพ ระหว่างปี 2522-2529 จัดทำพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติ ศูนย์ราชการุณย์สภากาชาดไทย เขาล้าน เล่าเรื่องราวไว้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของทริปของคณะท่องเที่ยวกัมพูชาทุกคณะ เพื่อมาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ร่วมกัน ทำให้มีความสัมพันธ์ ความใกล้ชิดกับกัมพูชาแนบแน่นเสมือนญาติสนิท บรรยากาศของการศึกษาดูงานจึงเป็นไปด้วยมิตรภาพและความสนุกสนาน” คุณวิยะดา กล่าว

มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ต่อยอดผลิตภัณฑ์ ค้นหาเอกลักษณ์จากโพธิสัตว์

รศ.ดร. พรรณี สวนเพลง หัวหน้าโครงการวิจัย “การพัฒนานวัตกรรมเชิงสุขภาพ ในกลุ่ม Active Beach (ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด) เพื่อสร้างบริการมูลค่าสูง (High Value) และยกระดับให้เป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของเอเชีย (Wellness hub of Asia)” พร้อมด้วยคณะจากมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพการสอนนวดฝ่าเท้า โดยให้ผู้ผ่านการฝึกอบรมมาให้บริการและสอนให้ทำ Home work เรียนรู้ไปโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะการทำสบู่ก้อนสกัดจากไม้กฤษณาหรือไม้หอมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น การแปรรูปวัตถุดิบในท้องถิ่นเป็นของที่ระลึกสู่ตลาด โพธิสัตว์มีวัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณ์หลายอย่างที่นำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชนได้ เช่น พริกไทย ส้มเช้ง ไม้เทพทาโร ซึ่งต้องทำการศึกษาวิจัยต่อไป เพื่อสร้างความเชื่อมโยงท่องเที่ยวชุมชนกับจังหวัดตราด การลงพื้นที่ครั้งนี้ ทำให้คณะจากโพธิสัตว์ได้รับความรู้ด้านการบริการจัดการด้านการท่องเที่ยว การมีส่วนร่วมของชุมชน เห็นแนวทางที่ดึงเอาจุดเด่นหรือเอกลักษณ์ในชุมชนจังหวัดโพธิสัตว์มาใช้

Home work ทำสบู่สกัดไม้กฤษณา
จักสานคลุ้ม ที่อำเภอบ่อไร่
ช็อปปิ้งแมคโคร สาขาตราด

กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปอาหารทะเล บ้านตาหนึก อำเภอคลองใหญ่

คุณฐิติรัตน์ ไชยวิศาลธนนาถ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปอาหารทะเล บ้านตาหนึก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด กล่าวถึงคณะแม่บ้านโพธิสัตว์ว่า สนใจเรียนรู้วิธีการทำปลาเค็ม น้ำเคย และกะปิมาก เพราะโพธิสัตว์มีวัตถุดิบ ปลาน้ำจืด แต่ยังไม่ได้รับการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าซื้อ ทั้งด้านความสะอาด แพกเกจจิ้ง เห็นว่าการท่องเที่ยวชุมชนเป็นการกระจายรายได้อย่างแท้จริง คณะโพธิสัตว์สนใจจัดทำผลิตภัณฑ์ชุมชน เพราะชุมชนเขามีวัตถุดิบที่น่าจะนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายเช่นเดียวกับไทย เช่น ปลาน้ำจืด

ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากโรงงาน บริษัท โกลเด้น คอสเมติก จำกัด ส่งออกกัมพูชา

“โอกาสของการท่องเที่ยวเชื่อมโยงจังหวัดชายแดน ตราด-โพธิสัตว์ ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนและกลุ่มวิสาหกิจชุมชน คณะมาดูงานผลิตภัณฑ์ ทั้งปลาเค็ม กะปิ น้ำเคย ที่ทำมาจากปลาทะเล ขายได้หมด มียอดเงินซื้อรวมประมาณ 20,000 บาท เพราะเห็นกระบวนการตากปลาในโดมสะอาด น้ำเคยที่ปรุงรสธรรมชาติ 100% น่ารับประทาน ต่อไปสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดตราดมีโครงการให้กลุ่มไปช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ของจังหวัดโพธิสัตว์อีกด้วย อนาคตหากมีการเปิดจุดผ่อนปรนทางการค้า หรือจุดผ่านแดนถาวรกับกัมพูชาเพิ่มขึ้น การท่องเที่ยวเชื่อมโยงจะช่วยกระจายรายได้ให้เศรษฐกิจฐานรากด้วยกันทั้งสองประเทศ” คุณฐิติรัตน์ กล่าว

คุณวิยะดา กล่าวทิ้งท้ายว่า จังหวัดตราด มีภูมิศาสตร์ที่เป็นโอกาส สามารถเชื่อมโยงได้ทั้ง 3 จังหวัด ของกัมพูชา คือ โพธิสัตว์ พระตะบอง เกาะกง และเชื่อมโยงถึงเวียดนาม คณะดูงานจากโพธิสัตว์เป็นจุดเริ่มต้นอันดีสำหรับการสร้างเครือข่ายการค้าชายแดน การส่งเสริมการลงทุน ตลอดจนภาคธุรกิจท่องเที่ยว สอดรับกับนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เชื่อมโยงเส้นทาง R3A ได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังช่วยให้จังหวัดตราดมีรายได้จากการท่องเที่ยวและการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นอีกในอนาคต จากค่าใช้จ่ายจากคณะโพธิสัตว์ครั้งนี้ เฉลี่ยคนละ 5,000 บาท/ทริป (3 วัน 2 คืน) เคล็ดลับคือ การสร้างความประทับใจ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสนใจกลับมาเที่ยวซ้ำ และเชื่อว่าโอกาสมีสำหรับคนที่พร้อม

ณ วันนี้ โพธิสัตว์ เป็นเมืองท่องเที่ยว อันดับ 6 ของกัมพูชา นั่นคือ โอกาสเติบโตของการท่องเที่ยวชุมชนเชื่อมกับจังหวัดตราด ที่พัฒนาไปก่อนและพร้อมจะให้การสนับสนุนเพื่อนบ้านที่เสมือนญาติสนิท

(ซ้าย) รศ.ดร. พรรณี สวนเพลง-(ขวา) คุณวิยะดา ซวง
ต้อนรับที่ชายแดน บ้านท่าเส้น-ทมอดา
นวดฝ่าเท้า
ร่อนพลอย (ขวา) คุณหญิงฮุน จันที (Hun Chanthy)

ที่มา : เทคโนโลยีชาวบ้าน

ผู้เขียน : กาญจนา จินตกานนท์

ช่วงต้นปีหนองคายถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ยังน่าท่องเที่ยว ด้วยสภาพอากาศที่เย็นสบายน้ำท่าอาหารบริบูรณ์ อยู่ติดแม่น้ำโขง ทำให้อากาศโดยเฉพาะในยามเช้าสดชื่นมาก สูดหายใจได้เต็มปอด จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองน่าอยู่อันดับที่ 7 ของโลก จากการคัดเลือกของนิตยสาร Modern Maturity ของสหรัฐอเมริกา

สำหรับคนที่มองหาที่พักเพื่อผ่อนคลาย “วานา เวลเนส รีสอร์ท” คือ ตัวเลือกที่น่าสนใจค่ะ เพราะที่นี่เป็นโรงแรมเดียวในภาคอีสานที่คว้ารางวัลระดับดีเยี่ยม “กรีน โฮเทล” เหรียญทองสูงสุด ประจำปี 2561 จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และได้รับต่อเนื่องในปี 2562

ได้มีโอกาสติดตามทีมทัวร์ของ “มติชน อคาเดมี” กับภารกิจสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดหนองคาย เราได้เลือกพักกันที่รีสอร์ทแห่งนี้ ซึ่งความเป็นกรีนที่ว่านั้น เพียงแค่พ้นประตูทางเข้ามาก็พบเจอแต่ความร่มรื่นจากต้นไม้เขียวครึ้มแล้ว

ส่วนตัวตึกก็ออกแบบได้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างลงตัว ทั้งโถงทางเดินที่มีร่องให้แสงแดดส่องถึงลดการใช้ไฟฟ้า หรือฟังก์ชั่นในที่พักก็ออกแบบมาเพื่อประหยัดพลังงาน การตกแต่งด้านในให้ความรู้สึกเรียบง่ายแบบมีระดับ ในราคารวมอาหารเช้า เริ่มต้นคืนละ 1,100 บาทเท่านั้น

เรื่องของอาหารเช้าเดิมทีเราไม่ได้คาดหวังมากนัก แต่ผิดคาดเลย อาหารของที่นี่อร่อย เน้นความเป็นพื้นถิ่น ทำอย่างพิถีพิถัน แถมยังมีให้เลือกหลากหลาย กลายเป็นมื้ออาหารที่เอ็นจอยมากๆ

ใครที่ชอบกินอาหารเวียดนามน่าจะคุ้นเคยกันดี เริ่มจาก “ข้าวโซย” เป็นอาหารเช้าที่อุดมไปด้วยธัญพืชเพื่อสุขภาพ ตั้งแต่ข้าวโพด ลูกเดือย ข้าวเหนียว หอมเจียว โดยหน้าด้วยถั่วเหลืองบด งาบด และน้ำตาล ถ้าไม่ชอบหวานก็ไม่ต้องใส่ เคี้ยวๆไปรสชาติคล้ายถั่วแป็บอยู่เหมือนกัน

“กวยจั๊บญวนเส้นสด” รับรองจะลืมเส้นอบแห้งแบบในร้านอาหารเวียดนามที่อื่นไปเลย เส้นสดนุ่มมาก น้ำซุปหอมอร่อย หมูยอเกรดเอ โรยหอมเจียว เมนูนี้อุ่นท้องดีจริงๆ ค่ะ

นอกนั้นจะมี ไข่กระทะ บาแกต หรือ ข้าวจี่ฝรั่งเศสไส้ต่างๆ ให้เลือกชิมกันหลากหลาย

อีกเมนูที่ภูมิใจนำเสนอของพนักงานที่นี่ คือ “น้ำพริกวานา” สีสันหน้าตารสชาติคล้ายน้ำพริกอ่อง แต่ไม่มีหมูสับ รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ กินกับผักลวกที่ส่วนมากปลูกเองที่รีสอร์ทแบบปลอดสารพิษ มีตัวเอก คือ ดอกขจรลวก กับ ดอกอัญชัญ ที่นำมาทำเครื่องดื่ม

ส่วนซิกเนเจอร์ ที่ว่ากันว่ามาแล้วต้องสั่ง คือ ผัดกะเพรา ใครมีโอกาสมาต้องมาพิสูจน์นะคะ

ทิพยา บัวพิจิตร ผู้จัดการสาวระดับมือโปรจากโรงแรมชื่อดังในกรุงเทพฯ ดุสิตธานี และพูลแมน เธอให้ความเห็นเรื่องของ “โรงแรมสีเขียว” ว่าสิ่งสำคัญคือการมีส่วนร่วมกับชุมชน ช่วยเหลือชุมชน และต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขณะที่เรื่องอาหารก็เน้นสุขภาพเป็นหลัก โดยเฉพาะผักปลูกเองเกือบทั้งหมด

ข้าวจี่ฝรั่งเศส
ก๋วยจั๊บญวนเส้นสด
ทิพยา บัวพิจิตร

“แปลงผักเราจะมีคนสวนดูแลถึง 3 คน เป็นผักปลอดสารทั้งหลาย ถั่วฝักยาวก็มี ขึ้นอยู่ตามฤดูกาล และเมนูทางโรงแรม อันดับแรกเราต้องดูของในโรงแรมก่อน ถ้าไม่มีก็ไปสั่งชาวบ้านเพิ่ม ส่วนมากจะเป็นช่วงที่ลูกค้าเยอะๆ ทุกศุกร์-เสาร์ เราจะมีลูกค้าเยอะ ช่วงเทศกาลจะเยอะที่สุดเป็นลูกค้ามาทำบุญ พีคสุดจะเป็นธันวาคม มกราคม”

ว่าแล้วก็พากันเดินชมสวนปลอดสารเคมี ไล่ไปตั้งแต่พืชผักสวนครัว พริก หอม ผักกาดหอม คะน้า กระเทียม ใบผักแป้น ผักชี สาระแหน่ ต้นหอม พริกไทยอ่อน ชะอม ดอกขจร ซึ่งพืชผักเหล่านี้ส่วนมากจะนำมาทำเป็นอาหารพื้นบ้าน

นอกจากนี้ ยังมีมะพร้าวน้ำหอมที่ปลูกไว้เอง ใช้ต้อนรับผู้ที่มาพัก น้ำหอมหวานชื่นใจมากๆ นอกจากผลที่นำมาบริโภคแล้ว ทางรีสอร์ทยังได้คิดเพิ่มมูลค่าด้วยการทำ บอนไซมะพร้าว จากเดิมขายได้ลูกละ 50 บาท เมื่อเป็นบอนไซแล้วขายได้หลักร้อยถึงหลักพันขึ้นอยู่กับรูปร่างของต้น

ชินวัฒน์ สกุลตั้งไพศาล

ชินวัฒน์ สกุลตั้งไพศาล ทายาทรุ่นที่ 2 ของตระกูลสกุลตั้งไพศาล เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในหนองคาย ที่เบนเข็มจากที่สนใจการเมือง มาทำธุรกิจ ปลุกปั้นทำโรงแรมสีเขียว บอกว่า เรื่องอาหาร ของเราเป็นอาหารสุขภาพ ใช้ผักออร์แกนิคไม่มีสารเคมีเลย เพราะปลูกเองทุกอย่าง

“อยากให้ลองมาพักกัน เพราะอากาศที่โรงแรมดีมากจริงๆ เคยมีผู้ป่วยโรคปอดมาพัก เขาบอกว่าอยู่กรุงเทพฯ เขาหายใจไม่ออก แต่พอมาอยู่โรงแรมที่นี่อาการดีขึ้น หายใจได้ดีขึ้น ซึ่งสเต็ปต่อไปเราจะเน้นเรื่องของสุขภาพ โดยจะเพิ่มการนวดด้วย มีทั้งนวดที่ห้องพักและนวดกลางสวน พยายามหาความลงตัวอยู่ อยากได้อารมณ์แบบบ้านๆ เป็นบรรยากาศของภาคอีสาน”

คุณชินวัฒน์ บอกว่า โรงแรมของเราเป็นมิตรเชื่อมโยงกับชุมชน ยกตัวอย่างการซื้อผักหรือวัตถุดิบ ไข่ ปลา ข้าว ที่เราปลูกผักเองก็จริง แต่ก็พอใช้ในแต่ละวัน เวลามีกรุ๊ปทัวร์เข้ามาของไม่พอก็สั่งซื้อจากชุมชน วินวินกันไปทั้งสองฝ่าย ชาวบ้านก็แฮปปี้ เรายังจ้างชาวบ้านมาเป็นพนักงานเพิ่มเติม มารับงานพาร์ตไทม์ด้วย

“พนักงานของโรงแรมจะมีสมุดบันทึกเป็นข้อมูล ว่าชาวบ้านคนไหนว่างช่วงไหน สามารถทำงานอะไรได้ ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้เขามีรายได้เพิ่มขึ้นจากปกติ คนที่ไม่ได้ทำงานประจำ แต่มีเวลาว่าง ไม่อยากปล่อยเวลาว่างให้สูญเปล่าก็มาทำงานกับเรา ตั้งแต่ที่เปิดโรงแรมมาชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีชีวิตชีวา เป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชุมชนมากขึ้น”

ใครมีโอกาสมาหนองคายลองมาสัมผัสด้วยตัวเองกันนะคะ ห้องพักมีทั้งหมด 3 แบบ เริ่มต้นที่ 1,100 บาท ไปถึง 5,500 บาท สนใจสอบถามได้ที่ 0-4201-2767 หรือ เพจเฟซบุ๊ก VANA Wellness Resort Nongkhai

ไข่กระทะ
ข้าวโชย
บรรยากาศด้านหน้ารีสอร์ท
พนักงานวานารีสอร์ทยินดีต้อนรับ
ที่มามติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 19 ใกราคม 2563, หน้า 15
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]

เรื่องของเรื่องเกิดจาก “การนัดพบ” เพื่อนฝูงที่เป็นคนสงขลาและมีบ้านอยู่ในจังหวัดสงขลา เผื่อว่าไปแล้วได้เที่ยวด้วย เนื่องเพราะจุดใหญ่ใจความนัดกันเพื่อไป “กินของอร่อย” มากกว่าจะเดินรับลมชมวิวของเมือง ครั้นพอถึงเวลาสรรหาของรับประทานกันเสร็จสิ้นแล้ว เวลาที่เหลืออยู่มากโข เพื่อนจึงเอ่ยปากชักชวนไปเที่ยวเล่นที่ “เมืองเก่าสงขลา”  ฟังเพื่อนว่าจินตนาการเห็นเป็นเมืองเก่าแบบกรุงศรีอยุธยา หรือรัตนโกสินทร์ตอนแม่พลอยกำลังจะแต่งงานกับคุณเปรม ในนิยายสี่แผ่นดิน ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เสาหลักประชาธิปไตยผู้ล่วงลับไปหลายสิบปี  แต่ปรากฏว่าเมืองเก่าที่เพื่อนพาไปเป็นย่านที่ได้รับการปรับปรุงให้ดูทันสมัย และเป็นย่านการค้าและการท่องเที่ยวในปัจุุบัน คือ บริเวณโรงสีที่มีชื่อฟังยากมาก “โรงสี หับ โห้ หิ้น” เอกลักษณ์คือทาสีแดงแปร๊ด สดใส เตะตา

เมื่อเดินผ่านประตูเพื่อจะเข้าชมด้านใน กลับเห็นเรือประมงขนาดใหญ่จอดเทียบท่าหลายลำ อีกทั้งตัวอาคารโรงสีก็เป็นแบบเก่าๆ แสดงถึงโครงสร้างภายในที่มีมาแต่ดั้งเดิม ดูตามประวัติความเป้นมาของโรงสีแห่งนี้ นับว่าน่าสนใจทีเดียว คุยกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลรักษา เขาเล่าว่าเมืองสงขลาในอดีตเป็นเมืองค้าขาย โดยกลุ่มคนจีนหลายแซ่ หลายตระกูล  ทำการค้าขายกับเมืองปีนัง  แต่ที่โรงสีแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อรองรับ

ภาพจาก paikondieow.com

ผลผลิตข้าวจากกลุ่มลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา โดยรองอำมาตย์ตรีขุนราชกิจการี (จุ่นเลี่ยง ลิ้มเสาวพฤกษ์) ต้นตระกูลเสาวพฤษ์ ร่วมหุ้นกับตระกูลโคนันทน์ สร้างขึ้นราวปี พ.ศ.2454 แต่ที่ระบุเป็นประวัติติดไว้ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ของโรงสีเอง ระบุว่า ปี พ.ศ.2457 รองอำมาตย์ตรีขุนราชกิจการี (จุ่นเลี่ยง ลิ้มเสาวพฤกษ์) ได้เปิดกิจการโรงสีข้าวขึ้น ณ บ้านเลขที่ 13 ถนนนครนอก ริมทะเลสาบสงขลา  ชื่อ “โรงสี หับ โห้ หิ้น” เป็นภาษาฮกเกี้ยน หมายถึงความสามัคคี ความกลมเกลียว และความเจริญรุ่งเรือง  ชาวบ้านเรียกว่า “โรงสีแดง” เพราะอาคารทั้งหลังทาด้วยสีแดง

ระยะเริ่มแรก กิจการเป็นโรงสีข้าวขนาดเล็ก สั่งเครื่องจักรที่เป็นมอเตอร์ในการสีข้าวมาจากปีนัง มี “สุชาติ รัตนปราการ” ทำหน้าที่ผู้จัดการ ต่อมาเปลี่ยนมาใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิง ทำให้โรงสีเดินด้วยกำลังไอน้ำ โดยสั่งเครื่องจักรมาจากประเทศอังกฤษ มีคนงานประมาณ 30-50 คน ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง เปลี่ยนการทำงานเป็นกะ  นับได้ว่าเป็นโรงสีข้าวขนาดใหญ่ที่ทันสมัยในยุคนั้น “โรงสี หับ โห้ หิ้น” รับสีข้าวจากพื้นที่ปลูกข้าวรอบๆ ทะเลสาบสงขลา เช่น ระโนด พัทลุง  สามารถผลิตข้าวสารจำหน่ายแก่ประชาชนในสงขลาและจังหวัดใกล้เคียง อีกทั้งยังเหลือพอที่จะส่งไปขายประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมืองเปรัคและอีโป ในประเทศมาเลเซีย

ต่อมาปี พ.ศ. 2490 พื้นที่รอบนอกจังหวัดสงขลาเกิดการสร้างโรงสีขนาดเล็ก ทำให้มีข้าวเปลือกป้อนโรงสีน้อยลง จึงยุติกิจการโรงสีข้าว หับ โห้ หิ้น มาทำกิจการโรงน้ำแข็งขนาดเล็กจำหน่ายในชุมชน ต่อมาเปลี่ยนเป็นโกดังเก็บยางพารา สำหรับลำเลียงขนถ่ายไปยัง

เรือเดินสมุทร ซึ่งจอดอยู่ที่เกาะหนู เพื่อส่งไปยังต่างประเทศ ต่อมาเมื่อมีท่าเรือน้ำลึกสงขลาการขนส่งยางพาราด้วยเรือลำเลียงจึงยุติกิจการ มาเป็นท่าเทียบเรือประมงขนาดเล็กในปัจจุบัน

รกรากของขุนราชกิจจารี เป็นกลุ่มคนจีนที่อพยพมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ มาตั้งรกรากอยู่ที่สงขลา ราวปี พ.ศ.2250 (สมัยพระเจ้าเสือ แห่งกรุงศรีอยุธยา) สุชาติ รัตนปราการ ซึ่งเป็นผู้จัดการของโรงสีแห่งนี้ เป็นหนุ่มนักเรียนปีนัง ต้นสกุล “รัตนปราการ” เป็นคนจีนฮกเกี้ยน แต่เดิมใช้สกุลว่า “แซ่ก๊วย”  คำว่า “ก๊วย” ในภาษาจีนแปลว่า “กำแพงเมือง”  จาก “แซ่ก๊วย” ปลี่ยนมาเป็นภาษาไทย คือ “รัตนปราการ” ซึ่งแปลว่า “กำแพงแก้ว”  ส่วนชื่อ “หับ-โห้-หิ้น” ก็เป็นภาษาจีนฮกเกี้ยนเช่นเดียวกัน

ย้อนเวลาไปสู่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ บริเวณเมืองสงขลา สำนักโบราณคดี กรมศิลปากรที่ 11 ได้ขุดค้นบริเวณพื้นที่เมืองสะบ้าย้อย พบว่าพื้นที่ตรงนั้นแต่เดิมเคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ ตั้งแต่ก่อนยุคประวัติศาสตร์แล้ว ซึ่งก็คือบริเวณ “วัดถ้ำตลอด” ที่มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์อายุเกินกว่า 1,000 ปี และหลักฐานชิ้นสำคัญที่บ่งบอกว่าสงขลามีอายุเก่าแก่มาก คือบริเวณพื้นที่ห่างจากวัดพะโค๊ะ ไปทางทิศเหนือราว 800 เมตร จะพบศาสนสถานโบราณเก่าแก่ อายุเกือบ 1,000 ปี สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่ช่วงอาณาจักรศรีวิชัย และบริเวณศาสนสถานแห่งนี้ ถือได้ว่าเป็นสถานที่โบราณที่สุดในสงขลาก็ว่าได้

ชาวบ้านเรียกศาสนสถานแห่งนี้ ว่า “ถ้ำคูหา” หรือ “เขาคูหา” หลักฐานที่พบบริเวณเนินเขาคูหา เป็นเนินเขาลาดชัน พบถ้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น 2 ถ้ำ ปากถ้ำทั้งสองอยู่ห่างกันประมาณ 10 เมตร ถ้ำสูงจากพื้นดินประมาณ 1-2 เมตร มีลานหน้าถ้ำ ทางเข้าของถ้ำแรกเป็นรูปโค้งสูงประมาณ 2.5 เมตร ขนาดของถ้ำกว้างประมาณ 3.5 เมตร ลึกประมาณ 4.5 เมตร  ภายในถ้ำมีการสกัดหินจนเรียบ  พื้นที่ภายในถ้ำบรรจุคนได้ประมาณ 20 คน และบนลานหน้าถ้ำบรรจุคนได้ไม่น้อยกว่า 50 คน

บริเวณหน้าถ้ำพบแผ่นหินโยนีสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ เคยประดิษฐานศิวลึงค์ แต่ปัจจุบันได้เคลื่อนย้ายไปแล้ว ถ้ำที่สองมีลักษณะและสัดส่วนคล้ายกับถ้ำแรก ชุมชนโบราณได้ใช้ถ้ำคูหาเป็นศาสนสถานเพื่อประกอบพิธีกรรมพุทธศาสนามหายานและศาสนาฮินดู เหมือนกับถ้ำอะชันต้าและเอลโลรา ในประเทศอินเดีย  ซึ่งขุดเจาะภูเขาเข้าไปสลักหินและเขียนภาพเรื่องราวทางศาสนา ซึ่งไม่เคยพบถ้ำลักษณะนี้ในประเทศไทย สันนิษฐานว่าถ้ำคูหามีอายุระหว่างพุทธศตวรรษ ที่ 12-15 เป็นชุมชนโบราณสมัยประวัติศาสตร์ภาคใต้

เมืองเก่าสงขลาเป็นที่รู้จักกันในนาม “สงขลาบ่อยาง” มีพ่อค้าจากนานาประเทศให้ความสนใจเข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐาน ก่อนการก่อตั้งเมืองสงขลาบ่อยาง เมืองสงขลาเดิมตั้งอยู่ในบริเวณ “หัวเขาแดง” และมีชาวมุสลิมเป็นผู้ปกครอง ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการค้าในระดับนานาชาติ จนสามารถผลิตสกุลเงิน    “ซิงกอร่า” ของตนเองได้  ต่อมาภายหลังเมื่อกรุงศรีอยุธยาส่งกองทัพมาปราบปรามเมืองสงขลา ซึ่งขณะนั้นถือเป็นรัฐอิสระ จนกระทั่งเมืองสงขลาแตก ภายหลังชาวสงขลาจึงย้ายถิ่นฐานอีกครั้ง พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองเป็นชาวจีน จึงทำให้สงขลามีความหลากหลายของชาติพันธุ์ ส่งผลต่อลักษณะ

ทางสถาปัตยกรรมในเมืองสงขลา กลายเป็นการผสมผสานระหว่าง 3 วัฒนธรรม ได้แก่ ไทย จีน และอิสลาม

วัฒนธรรมในพื้นที่ย่านเมืองเก่าสงขลา ซึ่งก็คือบริเวณ “ถนนนครใน” และ “ถนนนครนอก” เคยเป็นแหล่งศูนย์กลางทางการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าจากต่างประเทศ โดยมากแล้วประชากรในย่านเมืองเก่าสงขลาปัจจุบัน มาจากครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย เนื่องจากในอดีตกลุ่มคนรุ่นแรกๆ ที่เข้ามาค้าขายกับชาวต่างชาติเป็นกลุ่มคนจีนจากแผ่นดินใหญ่ ซึ่งผลจากการค้าขายกับชาวต่างชาตินี่เองได้ส่งอิทธิพลถึงรูปแบบความเชื่อ รูปแบบการดำรงชีวิต และรูปแบบสถาปัตยกรรมในย่านเมืองเก่าสงขลา โดยสถาปัตยกรรมเมืองสงขลา สามารถแบ่งรูปแบบในพื้นที่ย่านเมืองเก่าได้ ดังนี้

ตึกแถวแบบจีนดั้งเดิม สร้างในช่วง พ.ศ. 2379 เป็นช่วงแรกการตั้งเมืองสงขลาเป็นต้นมา รูปแบบสถาปัตยกรรมจะมีส่วนหน้าเพื่อทำการค้าขาย  ด้านบนใช้เก็บของ มีช่องส่งของเล็กๆ และมีความยาวของอาคารตามที่ดินประมาณ 30-40 เมตร เนื่องจากแปลงที่ดินยาว ผู้ออกแบบจึงได้ออกแบบให้มีช่องเปิดโล่งกลาง ส่วนอาคารด้านหลังมักเป็นที่พักอาศัย กรมศิลปากรระบุว่าห้องแถวแบบจีนหลังแรกของสงขลา ตั้งอยู่บน “ถนนเก้าห้อง” หรือ “ถนนนางงาม” ต่อมาเป็น  ตึกแถวแบบจีนพาณิชย์ มีลักษณะเป็นอาคารถัดมาจากแบบจีนดั้งเดิม การออกแบบอายุประมาณ 70 ปีขึ้นไป รูปแบบจะกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม หน้าตาคล้ายตึกแถวจีนดั้งเดิม แต่ประยุกต์ให้ทันสมัยขึ้น มักมีลักษณะเป็นอาคารที่ตอบสนองทางการค้า ไม่มีองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม ค่อนข้างเรียบง่าย นอกจากนี้ยังมี ตึกแถวแบบจีนสมัยใหม่ ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก อาคารอยู่ในช่วงอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป มีแผงปกปิดหลังคาและจะมีอักษรแสดงปี พ.ศ. ปรากฏบนแผงดังกล่าว บางหลังมีหลังคาจั่วหรือปั้นหยาซ้อนอยู่ บางหลังเป็นหลังคา คสล. ส่วนใหญ่มักมี 2-4 ชั้น

ส่วนตึกแถวแบบสงขลาดั้งเดิม (ชิโน-ยูโรเปี้ยน) จะมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่ประดับตกแต่งด้วยลวดลายแบบจีนและยุโรปผสมกัน คล้ายกับรูปแบบที่เรียกว่า “ชิโน-โปรตุกีส” ซึ่งพบมากที่ภูเก็ต แต่ที่สงขลาจะไม่มีทางเดินใต้อาคารที่เรียกว่า “หงอคากี่” อาคารจะมีช่องเปิดกลางอาคาร และจะเป็นที่ตั้งของบ่อน้ำ ซึ่งในอดีตน้ำดื่มจะมีรสจืด สะอาดจนสามารถดื่มได้

สำหรับถนนนางงามในอดีตรู้จักกันอย่างดีในชื่อ “ถนนเก้าห้อง” มีที่มาจากอาคารชุดเก้าหลังแรกบนถนนสายนี้ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นถนนนางงาม เนื่องจากเป็นการให้เกียรติแก่ นงเยาว์ โพธิ์สาส์น (บุญญาศิวา) ซึ่งชนะเลิศการประกวดได้เป็น “นางสาวสงขลาคนแรก”

และเธอมีบ้านตั้งอยู่บนถนนสายนี้ ดังนั้น ชาวเมืองสงขลาจึงเรียกถนนเก้าห้องว่า “ถนนนางงาม”  ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของย่านเมืองเก่า มีความยาวจากเหนือถึงใต้ประมาณ 3 กม. นอกจากนี้ ตลอดสองข้างทางของถนนสายนี้ ยังประกอบด้วยร้านค้าต่างๆ มากมาย ร้านอาหารชื่อดัง ทั้งอาหารไทย จีน และมุสลิม  ส่วนย่านมุสลิมจริงๆ จะอยู่ที่ “ถนนพัทลุง” ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของพื้นที่ย่านเมืองเก่า มีมัสยิดอุสสาสนะ เป็นศูนย์กลางจิตใจของชาวชุมชน  มัสยิดแห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2393 โดยมีรูปแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างศิลปะไทยและอิสลาม

ฟังเขาเล่าไม่เท่าตาเห็น หากใครมีเวลาหรืออยากเที่ยวพักผ่อน อยากเติมพลังให้ตัวเอง “เมืองสงขลา” เป็นอีกสถานที่ที่น่าสนใจ จัดไว้ในลิสต์ก็จะเป็นการดี เพราะเดี๋ยวนี้การเดินทางนั่งเครื่องบินไปลงหาดใหญ่ต่อรถไปสงขลาไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงจุดหมายปลายทาง ที่สำคัญค่าเครื่องบินเดี๋ยวนี้ถูกกว่าราคารถทัวร์เสียอีก…จริงไหม?

 

****************************

อาหารพื้นเมืองสงขลา

ข้าวยํา

นิยมรับประทานในตอนเช้า กลางวัน หรือตอนเย็น มีส่วนประกอบ คือ ข้าวสุกราดนํ้าบูดู (บางท้องถิ่นเรียก นํ้าเคย) ยำด้วยกุ้งแห้งป่น มะพร้าวคั่ว มะม่วงหรือมะขามอ่อนซอย แตงกวา ถั่วงอก เกสรชมพู่แดง ผักสดหลายชนิดหั่นปนกันเรียกว่า “หมวด” ได้แก่ ตะไคร้  ใบพาโหม ใบมะกรูด ใบดีปลี  ดอกดาหลา

ข้าวสตู

เป็นอาหารประเภทอาหารคาว มีรสชาติมันเค็ม กลมกล่อม สามารถหารับประทานได้ตลอดทั้งปี คนสงขลานิยมรับประทานข้าวสตูหมูกับหมูกรอบ เพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับประทานได้มากขึ้น

ขนมทองเอก

คําว่า “เอก” หมายความถึง “การเป็นที่หนึ่ง” นิยมใช้ขนมทองเอก ประกอบพิธีมงคลสําคัญต่างๆ หรือใช้มอบเป็นของขวัญในงานฉลอง  การเลื่อนยศ เลื่อนตําแหน่ง จึงเปรียบเสมือน “คําอวยพร” ให้เป็น “ที่หนึ่ง”

ขนมค้างคาว

เหมือนขนมไข่หงส์ แต่กรอบนุ่มไม่แข็ง ปั้นเป็นรูปสามเหลี่ยม มีวิธีการทําโดยนําข้าวเหนียวขาวมาล้างให้สะอาดแล้วแช่ให้เมล็ดพองได้ที่ นําไปโม่ให้ละเอียด ใส่ถุงผ้าวางไว้ให้สะเด็ดนํ้า นํามะพร้าวขูดคั้นเอาหัว กะทิผสมเกลือพอมีรสเค็ม ตั้งไฟพอเดือด วางไว้ให้เย็นแล้วนํามานวดกับแป้งให้ได้ที่ เตรียมใส่ไส้ขนมต่อไป

ข้าวฟ่างกวน

เป็นขนมที่รับประทานหลังอาหารคํ่า เป็นของหวานที่หารับประทานยาก และมีราคาแพง เนื่องจากปรุงยากมาก สามารถหาซื้อมารับประทานหรือเป็นของฝากได้ที่ ถนนนางงาม อําเภอเมือง จังหวัดสงขลา

ขนมเทียนสดหรือขนมวุ้นโขย

เป็นขนมที่นิยมรับประทานในตอนคํ่า ตรุษจีน ส่วนประกอบมี แป้งถั่ว ถั่วกวน นํ้าตาล ใบตอง นํ้า มีขายในท้องตลาดทั่วไปในอําเภอเมืองสงขลา และถนนนางงาม อําเภอเมือง จังหวัดสงขลา

ขนมปำจี

เป็นขนมพื้นเมืองของจังหวัดสงขลา แต่ปัจจุบันค่อนข้างหาทานยากแล้ว สําหรับเจ้าอร่อย ที่ขอแนะนํา คือ ขนมปำจี เจ้าอร่อยในถนนวชิรา แถวๆ หน้าร้านยา หรือ อีกหนึ่งที่ ที่จะหาทานขนมปำจีได้ไม่ยาก คือ ถนนคนเดินสงขลา

ขนมสัมปันนี

เป็นขนมไทยโบราณอย่างหนึ่ง บางตํารับใช้แป้งสาลีทําก็มี แต่ส่วนมากใช้แป้งมันทํา ใช้แป้งมันทําจะนุ่มและแทบละลายในปาก ใช้แป้งสาลีจะออกเหนียวนิดหน่อย มีขายในท้องตลาดทั่วไปในอําเภอเมืองสงขลา และถนนนางงาม อําเภอเมือง จังหวัดสงขลา

นนปูด้วยอิฐสีแดงทอดตัวเรียงเป็นแนวยาวรองรับรอยเท้าของผู้คนจากทั่วสารทิศ คนบนถนนยังบางตา อาจเป็นเพราะยังเช้าอยู่ อากาศหนาวเย็นตั้งแต่เมื่อคืนที่ตัวเลขบอกอุณหภูมิอยู่ที่ 10 องศาเซลเซียส ดูเหมือนจะอุ่นขึ้นมาเล็กน้อยจากแสงแดดที่กระจายเต็มท้องฟ้า “ตูลูส” (Toulouse) ที่มองเห็นด้วยตาเวลานี้เป็นเมืองใหญ่เต็มไปด้วยอาคารสิ่งปลูกสร้างจากอิฐสีแดงที่คนแถวนี้เรียก “Yellow Brick” คำว่า “เยลโล่” เขาหมายถึงสีส้มๆ ของอิฐ ที่เป็นแบบอิฐมอญบ้านเรา

“Yellow Brick” เป็นอิฐที่ทำจากดินเหนียวในท้องถิ่น กรรมวิธีการทำอิฐก็ไม่ต่างจากเมืองไทยมากนัก และด้วยความที่ตึกรามบ้านช่องทุกแห่งในเมืองนี้ล้วนสร้างด้วยอิฐเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อโดนแสงแดดสาดส่องจะสะท้อนเห็นเป็นสีส้มอมชมพู คนตูลูสจึงเรียกเมืองนี้ในอีกชื่อว่า “นครสีกุหลาบ” หรือ “La Ville Rose”

ถึงแม้จะเป็นเมืองใหญ่อันดับสี่ของฝรั่งเศส รองจากปารีส ลียง และมาร์กเซย แต่ตูลูสก็ยังดูเงียบสงบ เป็นเพราะผังเมืองที่มีการจัดวางอย่างดี แยกโซนกันอย่างชัดเจน ทั้งโซนที่อยู่อาศัย โซนอุตสาหกรรม โซนธุรกิจย่านการค้า และโซนเมืองเก่า เป็นต้น เทศบาลตูลูสได้แยกพื้นที่อุตสาหกรรมออกมาโดยมีโครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างสาธารณูปโภครองรับ สภาเมืองเองก็สนับสนุนให้มีการขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรมไฮเทค ในส่วนของที่อยู่อาศัยก็มี “กรีน แอเรีย” (green area) ไว้สำหรับชาวเมืองเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ

บริเวณริมแม่น้ำกาโรน (Garonne) เป็นจุดสวยงามของเมืองที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเด็ดขาด นอกจากทิวทัศน์อันสวยงามแล้ว ยังมีร้านอาหารให้ไปลิ้มลองอีกด้วย

“กาโรน” เป็นแม่น้ำสำคัญสายหนึ่งของฝรั่งเศส ไกด์หญิงนำเที่ยวเล่าว่า แม่น้ำกาโรนมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาในประเทศสเปนไหลผ่านเมืองตูลูสไปทางตะวันตก และออกสู่มหาสมุทรแอตแลนติก แม่น้ำนี้ถือเป็น “หัวใจ” ของเมืองตูลูสเลยทีเดียว เพราะทำให้ตูลูสเป็นเหมือนโอเอซิสกลางทะเลทราย

แม่น้ำกาโรนยังมีความแปลกไม่เหมือนแม่น้ำใดในโลก คือช่วงที่ไหลจากเทือกเขาในสเปนก่อนจะเข้าสู่ฝรั่งเศส ลำน้ำไหลผ่านโพรงน้ำใต้ดินเข้าไปใน sink hole หรือหลุมยุบใต้ดินเป็นโพรงหินปูนของหุบเขา Aran Valley ในเขตสเปนก่อน แล้วจึงไปโผล่ออกที่ภูเขาอีกด้านหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไป 4 กิโลเมตรในเขตประเทศฝรั่งเศส ริมแม่น้ำกาโรนเหมาะสำหรับนั่งเล่นตอนเย็นๆ บรรยากาศร่มรื่น มีร้านอาหารเล็กๆ เปิดริมน้ำแม่น้ำนี้มีสะพานข้ามอยู่หลายจุด แต่จุดที่คนนิยมกันว่าดูแล้วสวยที่สุด คือที่สะพาน Le pont neuf เป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดและเป็นเอกลักษณ์ประจำเมือง

บ้านเรือนในตูลูสไม่ว่าของเก่าหรือสร้างขึ้นมาใหม่จะมีความกลมกลืนกัน โดยเฉพาะอาคารในเขตเมืองเก่า เทศบาลจะควบคุมอย่างเข้มงวด ทั้งสีสันและรูปแบบการก่อสร้าง ส่วนมากแล้วนักท่องเที่ยวจะเริ่มต้นชมเมืองกันที่จุดท่องเที่ยวหลัก คือ “จัตุรัสกลางเมือง” (Place du Capitole) เป็นจัตุรัสกว้างใหญ่มาก ตั้งอยู่กลางเมือง สร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อศตวรรษที่ 18 เดิมพื้นที่บริเวณนี้เป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีบ้านเรือนผู้คนอาศัยอยู่เป็นร้อยๆ หลังคาเรือน แต่ถูกทำลายรื้อลงเพื่อสร้างเป็นจัตุรัสใหญ่นี้ขึ้นแทน

 

“ศาลาว่าการ” (Town Hall) ก็ตั้งอยู่บริเวณนี้ด้วย เป็นอาคารที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 ด้านหน้าประตูทางเข้าเป็นหน้าจั่วใหญ่ ตรงกลางของอาคารส่วนบนของหน้าจั่วประดับด้วยเครื่องหมายแสดงถึงอำนาจและความยุติธรรม มีธงสัญลักษณ์ 3 ผืน รวมธงชาติฝรั่งเศสและธงสัญลักษณ์ของเมืองด้วย เมื่อเดินเข้าไป
ข้างในชั้นล่างมีรูปปั้นของเหล่านักบุญตั้งเรียงรายตลอดแนวทางเดิน และเมื่อขึ้นบันไดหินอ่อนไปชั้นสองจะละลานตาด้วยภาพเขียนเฟรสโก้สีสันสดใสสวยงาม ติดตั้งรายรอบห้องโถงทุกห้อง ได้รับการบอกเล่าจากไกด์ว่า ศาลาว่าการแห่งนี้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ตลอดเวลา ยกเว้นกรณีที่มีงานแต่งงาน และหากคุณเป็นชาวตูลูส ยังสามารถใช้สถานที่แห่งนี้จัดงานแต่งงานได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ถือเป็นบริการแก่ชาวเมือง

 

ทุกวันพุธ จัตุรัสแห่งนี้จะมีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งแผงลอยขายของ เปิดเป็นตลาดนัดย่อยๆ สร้างความคึกคักให้กับนักท่องเที่ยวและชาวเมืองที่ออกมาจับจ่ายซื้อของ นั่งดื่มกาแฟตามร้านรายล้อมจัตุรัส ร้านกาแฟรอบๆ จัตุรัสแห่งนี้ หากใครไปนั่งแล้วเงยหน้าขึ้นดูบนเพดาน จะเห็นรูปวาดเกี่ยวกับเมืองตูลูส มีทั้งฝีมือจากจิตรกรสมัยเก่าและสมัยใหม่ให้ชมกันเพลินๆ ระหว่างจิบกาแฟ สิ่งที่น่าสนใจอีกอัน คือ ตรงกลางจัตุรัสเขาจะทำเป็นรูป “จักรราศี” ไว้บนพื้น ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากทีเดียว อย่างน้อยก็ต้องมีสักช็อตถ่ายรูปคู่จักรราศีกลับไปเป็นที่ระลึก

ตูลูสมีความสำคัญอีกด้านหนึ่ง คือเป็นศูนย์กลางการบินและศูนย์การศึกษาอวกาศแห่งชาติ (Centre National d’Etudes Spatiales) ของฝรั่งเศส เพราะมีโรงงานผลิตเครื่องบินแอร์บัส (AIRBUS) ตั้งอยู่ที่นี่ด้วย โรงงานนี้กินเนื้อที่ของเมืองถึง 2,000 กว่าไร่ มีพนักงานในโรงงานมากกว่า 10,000 คน หากรวมพนักงานเกี่ยวข้องกับธุรกิจการบินในเมืองนี้มีถึง 60,000 คน และถ้าใครสนใจเรื่องราวของเครื่องบินสามารถไปชมได้ที่ “พิพิธภัณฑ์เครื่องบิน” เขาจัดแสดงเครื่องบินทั้งในอดีตและปัจจุบันรวมทั้งเรื่องของเครื่องบินแอร์บัสให้ชม

 

ความรู้แบบคร่าวๆ คือ แอร์บัส เป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินของฝรั่งเศส เป็นคู่แข่งสำคัญของ โบอิ้ง แห่งสหรัฐอเมริกา อุตสาหกรรมนี้เกิดขึ้นจากความบังเอิญและความจำเป็นในสงครามโลกครั้งที่ 1 ฝรั่งเศสต้องการเครื่องบินรบจำนวนมาก และต้องการแหล่งผลิตที่ห่างจากเยอรมนีให้มากที่สุด จึงไม่มีที่ไหนดีไปกว่าตูลูส แต่
เมื่อสงครามโลกทั้งสองครั้งสิ้นสุดลง อุตสาหกรรมนี้ไม่ได้ยุติลงด้วย แต่ได้พัฒนาต่อยอดเรื่อยมา กระทั่งขยายตัวไปสู่การผลิตดาวเทียมสำรวจและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ด้านอื่นๆ ในปัจจุบัน

นอกจากนี้แล้ว ตูลูสยังเป็นที่ตั้งของโรงเรียนชั้นนำต่างๆ ของโลก อาทิ โรงเรียนชั้นสูงทางด้านวิศวกรรมการบิน, โรงเรียนชั้นสูงทางด้านอุตุนิยมวิทยา, โรงเรียนชั้นสูงทางด้านการรังวัดที่ดิน, โรงเรียนชั้นสูงทางด้านสัตวแพทยศาสตร์ , โรงเรียนชั้นสูงทางด้านศิลปะ เป็นต้น ใกล้ๆกับจัตุรัสกลางเมืองแห่งนี้ยังมี หอศิลป์
ขนาดใหญ่ที่มีภาพเขียนโบราณอันทรงคุณค่า และโรงละคร National du Capitole

ออกจากย่านศูนย์กลางธุรกิจ เข้าไปในโซนมรดกโลก ตึกสีอิฐสูงตระหง่านสองข้างทางขณะที่ทางเดินเป็นเพียงถนนแคบๆ บรรยากาศสงบ ผู้คนไม่พลุกพล่าน ส่วนมากแล้วจะเป็นนักท่องเที่ยวมากกว่าเป็นคนท้องถิ่นที่เดินไปมา เหตุที่มีโซนมรดกโลกก็เพราะในอดีตตูลูสเคยเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรวิซิกอท ในศตวรรษที่ 5 และเป็นเมืองหลวงของแคว้นล็องก์ด็อกในปลายยุคกลาง สถานที่เป็นมรดกโลกที่ไปเยือนคือ มหาวิหารแซงต์ แซร์แนง (La Basilique Saint-Sernin) สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11-13 เป็นสถาปัตยกรรมโรมันที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปซึ่งได้รับการอนุรักษ์และขึ้นทะเบียนยูเนสโกเป็นมรดกโลก ตั้งแต่ปี 1998

มหาวิหารแห่งนี้เป็นงานสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างศิลปะโรมันและโกธิค กล่าวคือมีหอระฆังสูงทรงแปดเหลี่ยม ซึ่งไกด์อธิบายว่าเป็นศิลปะแบบโกธิค ขณะที่ตัววิหารเป็นศิลปะโรมัน ตามชื่อมหาวิหารแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อบูชานักบุญแชงต์ แซร์แนง และโบสถ์นี้เป็นที่ตั้งศพของเขา เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่นักบุญแชงต์แซร์แนง เป็นบิชอปคนแรกของเมืองตูลูส ถูกพวกนอกรีตจับไปและบังคับให้นับถือรูปเคารพอื่น แต่เขาขัดขืนจึงถูกทรมานด้วยผูกมัดไว้กับวัวกระทิงแล้วให้วิ่งไปทั่วเมืองจนเขาขาดใจตาย ในที่สุดวัวมาหยุดตรงที่เป็นที่ตั้งของโบสถ์นี้ในปัจจุบัน ส่วนถนนที่วัววิ่งไปนั้นมีชื่อว่า “Rue Du Taur” หรือ ถนนวัว ภายในโบสถ์มีการ
บูรณะซ่อมแซมหลายครั้ง แต่ด้านหน้ายังเป็นศิลปะยุคโรมันที่เก่าแก่ที่สุด ส่วนข้างล่างใต้หอระฆังแปดเหลี่ยมเป็นที่ฝังศพของนักบุญ เสียดายที่ไม่ได้ลงไปดู โบสถ์แห่งนี้ไม่เสียค่าเข้าชม ยกเว้นช่วงที่มีพิธีทางศาสนาจะเข้าไม่ได้

รอบๆ จัตุรัสยังมีโบสถ์และวิหารโรมันแคธอลิกอีกหลายแห่ง ล้วนน่าสนใจ เช่น ตูลูส คาทรีเดล (Toulouse Cathedral) ที่เป็นที่ทำงานของอาร์คบิชอปของเมือง ซึ่งถือว่าเป็นสมณศักดิ์ชั้นสูง อาคารก็ถูกจัดให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติด้วย นอกจากนี้แล้วยังมีพิพิธภัณฑ์อีกสองสามแห่งที่น่าแวะไปดู ใครมีเวลาต้องขึ้นลิสต์เอาไว้เลย

 

ออกมาจากโบสถ์แซงต์ แซร์แนง เป็นช่วงเย็นแล้ว ต้องรีบลัดเลาะตึกเก่าๆ เพื่อไปยัง ตลาด Victor Hugo ตลาดสดที่ขึ้นชื่อว่ามีของกินอร่อยของตูลูส ซึ่งเมื่อไปถึงก็ไม่ผิดหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสะอาด สว่างสดใส และเป็นระเบียบ เรียกว่าถ้าให้เดินทั้งวันก็เดินได้โดบไม่บ่น ตลาดวิกเตอร์ ฮูโก มีขายตั้งแต่ของสดไปจนถึงของแห้ง หมักดอง ของที่ผ่านกรรมวิธีถนนอาหารสารพัด ทำใส่ขวดโหลแบบสดๆ ไม่ใส่สารกันบูด ไล่เรียงแทบไม่ถูก ตั้งแต่หอยนางรมสดๆ แฮม เบคอน ไก่สด กระต่ายสด เนื้อสด เนื้อแห้ง ไส้กรอก ไปจนถึงชีสนับร้อยๆ ชนิด และฟัวกราส์ของขึ้นชื่อของตูลูส บรรจุแพ็คเกจอย่างดี มีหลายขนาด หลายราคา น่าซื้อไปเสียทุกอย่าง

ความพิเศษของตลาดวิคเตอร์ ฮูโก ที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวอย่างมากคือร้านขายไวน์ที่นี่ ที่อนุญาตให้ไปซื้อของกินจากร้านอื่นมากินแกล้มไวน์ที่ร้านของเขาได้ด้วย สนนราคาสมเหตุสมผล ไม่ขูดรีดนักท่องเที่ยวจนเกินไป นอกจากตลาดแห่งนี้แล้วยังมีร้านอาหารด้านนอกอีกหลฃายร้าน ส่วนมากแล้วเป็นร้านแบบบิสโทร ขาย
เป็นจานๆ ไม่เป็นคอร์ส และหลากหลายเชื้อชาติ เช่น ร้านอาหารสเปน ร้านอาหารอิตาเลียน ร้านขายเกบัฟ ร้านทาปาส เป็นต้น เสร็จสิ้นการสวมบทพระยาน้อยชมตลาด ท้องอิ่มและได้เวลากลับที่พักพอดี

หนึ่งวันในตูลูส นอกเหนือจากความสนุกสนานเพลิดเพลิน ได้เห็นเรื่องราวของเพื่อนร่วมโลกที่แปลกตาออกไปแล้ว ยังได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกับผู้คนต่างชาติ ต่างภาษาและต่างความคิด นับเป็นการเติมเต็มประสบการณ์ให้กับชีวิต “ตูลูส” จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่เรียงร้อยไว้ในความทรงจำ


 

อ.แก่งคอย จ.สระบุรี : อีกหนึ่งประเพณีสำคัญของ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ที่จัดขึ้นทุกปี สำหรับกิจกรรมที่ย้อนรอยประวัติศาสตร์ในช่วงสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพาหรือ สงครามโลกครั้งที่ 2 กับงานประจำปีเมืองแก่งคอยย้อนรอยสงครามโลก ประจำปี 2561 ระหว่างวันที่ 2-4 เมษายน 2561 ณ วัดแก่งคอย อ.แก่งคอย จ.สระบุรี โดยได้รับเกียรติจาก นายบัณฑิตย์ เทวีทิวารักษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี เป็นประธานในงาน ท่ามกลางบรรยากาศงานที่ คึกคักไปด้วยเหล่าบรรดานักท่องเที่ยว ที่พร้อมใจกันแต่งกายในชุดย้อนยุค อันแสนจะงดงาม และอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญ ของงานคือโชว์ชุดพิเศษจาก ศิลปินแห่งชาติ นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ที่มาร่วมขับกลอนและเป่าขลุ่ย ได้อย่างไพเราะยิ่งนัก สร้างบรรยากาศความเป็นไทย เพื่อให้เข้ากับกิจกรรมต่างๆมากมาย อีกทั้ง การแสดงพื้นบ้าน การออกร้านค้าจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองและกิจกรรมสนุกๆ เมื่อขบวนรถไฟท่องเที่ยวพิเศษถึงสถานีรถไฟชุมทางแก่งคอย บรรดานักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้าร่วมงาน รวมถึงประชาชนท้องถิ่นที่มารออยู่เป็นจำนวนมากนั้น ต่างมีรอยยิ้มและความยินดีที่จะมาร่วมสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญนี้

            นายบัณฑิตย์  เทวีทิวารักษ์  ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ประธานในงาน กล่าวว่า การจัดงาน แก่งคอยย้อนรอยสงครามโลกครั้งที่ 2 ประจำปี 2561 จังหวัดสระบุรี เราจัดกันเป็นประจำทุกปีครับ แต่ปีนี้ได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน รวมถึงประชาชนให้ความสนใจอย่างหนาแน่นเป็นพิเศษ ทุกจุดบริเวณที่จัดงานจะมีผู้คนเข้าร่วมเต็มพื้นที่ มีร้านค้าที่มาจำหน่ายของกินต่างๆ มากมาย ทั้งคาวหวาน ไม่ว่าจะเป็นขนมไทยโบราณ หรือขนมประยุคสมัยใหม่ ล้วนแล้วแต่มีหน้าตาที่น่ารับประทาน คงความเป็นไทย และรสชาติที่อร่อย นุ่มละมุน ในส่วนของการแสดงดนตรีและศิลปวัฒนธรรม แสง สี เสียงและสื่อผสม อันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ “เมืองแก่งคอยย้อนรอยสงครามโลกครั้งที่ 2” ซึ่งเป็นการแสดงที่บ่งบอกถึงความรุ่งเรือง ความรัก ความพลัดพราก ความเศร้าโศก ซึ่งกลายเป็นโศกนาฏกรรมของชาวแก่งคอยในช่วงสงครามโลก ก็มีประชาชนจำนวนมากแห่เข้าชมงานอย่างล้นหลาม  เป็นนิมิตรหมายอันดี ที่จะสืบสานประวัติศาสตร์ อนุรักษ์วัฒนธรรม และส่งเสริมการท่องเที่ยวอำเภอแก่งคอย ให้แพร่หลาย   ให้คนรุ่นหลังได้ตระหนักรู้  กระผมในฐานนะเจ้าบ้าน ก็มีความยินดี และดีใจเป็นอย่างมาก และคาดว่า จังหวัดสระบุรีจะจัดกิจกรรมดีดี ที่จะเป็นประโยชน์และสร้างความสุขต่อทุกท่านอีกอย่างแน่นอนครับ” นายบัณฑิตย์  กล่าวทิ้งท้าย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : ที่ว่าการอำเภอแก่งคอย โทรศัพท์ : 036-251-520 วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 08.30-16.30 น.

ถ้าหากคุณรักในการผจญภัย และชื่นชอบกิจกรรมที่ท้าทายความตื่นเต้น  อย่ารอช้า เพราะในเดือนเมษายนนี้ ประเทศสิงคโปร์อัดแน่นไปด้วยกิจกรรมแอคชั่นสุดมันส์ที่จะมาเติมเต็มแพสชั่นด้านการท่องเที่ยว และกระตุ้นอะดรีนาลีนของชาว Action Seeker อย่างคุณให้สูบฉีด

  1. ชมการแข่งขันสุดมันส์ระหว่างทีมรักบี้ระดับโลกถึง 16 ทีม ณ งาน HSBC Singapore Rugby 7s

วันที่ 28-29 เมษายน 2561

HSBC Singapore Rugby Sevens งานมหกรรมรักบี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยรับรองได้ว่างานนี้คุ้มค่าแก่การรอคอยที่สุดสำหรับแฟนๆ เพราะนอกจากจะได้ชมการแข่งขันรักบี้ที่ดุเดือดและรวดเร็วระหว่างทีมที่เก่งที่สุดในโลกจำนวน 16 ทีม ที่จะมาชิงชัยกันเพื่อความเป็นหนึ่ง ถึง 45 แมทช์แล้ว ผู้ร่วมงานยังสามารถชมการแสดงดนตรีสดชั้นนำ เอร็ดอร่อยไปกับอาหารรสชาติเยี่ยม พร้อมเล่นเกมส์ลุ้นของรางวัลใน FunZone ที่สนุกสนานและเหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัยได้อีกด้วย เรียกได้ว่างาน Singapore Sevens คือโลกแห่งความสุขสนุกสำหรับทั้งครอบครัวอย่างแท้จริง

  1. ร่วมวิ่งไปพร้อมกับจังหวะดนตรีที่จะกระตุ้นอะดรีนาลีนของคุณให้พลุ่งพล่าน ที่ The Music Run by AIA 2018

วันที่ 21 เมษายน 2561

งาน The Music Run by AIA เป็นงานวิ่งระดับนานาชาติแบบระยะ 5 ก.. และ 10 ก.. เพียงงานเดียวเท่านั้นที่เปิดโอกาสให้นักวิ่งได้ออกแรงไปพร้อมๆ กับฟังบีทจากดนตรีสุดมันส์ มาร่วมปล่อยให้เสียงดนตรีเติมเต็มความตื่นเต้นเร้าใจและความสนุกสนานให้ทะลุขีดจำกัด พร้อมฉลองกับงานปาร์ตี้ที่จุดเข้าเส้นชัยแบบสุดเหวี่ยงด้วยกัน ใครไม่อยากพลาดประสบการณ์การวิ่งแบบใหม่ ไม่ควรพลาดอีเว้นท์นี้เด็ดขาด

  1. คุณกล้าพอหรือไม่ที่จะมาโลดโผนบนเครื่องเล่นสวิงที่น่าหวาดเสียว?

ร่วมท้าทายความกลัวของคุณได้ที่ GX-5 Extreme Swing Singapore ณ Clarke Quay มาตื่นเต้นเร้าใจไปกับเครื่องเล่นสุดมันส์ เพราะคุณต้องคาดเข็มขัดติดกับที่นั่งในแคปซูลที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และลอยสูงจากแม่น้ำสิงคโปร์ถึง 50 เมตร!

 

  1. กระตุ้นต่อมรับรสชาติและตามแพสชั่นด้านอาหารของคุณที่ World Gourmet Summit

ระหว่างวันที่  2-29 เมษายน 2561

ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องเตรียมท้องให้ว่างและทำตัวให้พร้อมสำหรับงาน World Gourmet Summit งานเทศกาลอาหารประจำปีที่เน้นอาหารในแบบฉบับของภัตตาคารชั้นหรูและไวน์ที่ถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดีเท่านั้น ซึ่งในปีนี้ งานเทศกาลจะถูกจัดขึ้นในธีม “The Discovery WGS” โดยมีเชฟชั้นนำระดับโลกมาปรุงและเสิร์ฟอาหารรสเลิศที่รับรองได้ว่าคุณอาจจะไม่เคยได้ลิ้มลองที่ไหนมาก่อน

  1. เติมเต็มประสบการณ์ด้านศิลปะพร้อมเสพย์งานศิลป์ที่ Singapore International Festival of Arts

ระหว่างวันที่ 26 เมษายน 12 พฤษภาคม 2018

งาน Singapore International Festival of Arts 2018 เป็นเทศกาลที่นำเสนอผลงานศิลปะอันโดดเด่นในรูปแบบต่างๆ ที่จะมาปลุกจินตนาการและจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ในตัวคุณ ซึ่งผลงานทั้งหมดมาจากศิลปินมากหน้าหลายตา ทั้งจากในประเทศสิงค์โปร์และระดับนานาชาติ เตรียมตัวเตรียมใจของคุณให้พร้อมกับการชมงานแสดงที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงบนเวที การบรรเลงดนตรี โชว์เต้นรำ และวรรณกรรมต่างๆ รวมถึงผลงานทัศนศิลป์ โดยสถานที่ในการจัดงานมีมากกว่า 10 จุด รวมถึง Festival House ที่ The Art House

  1. ชื่นชอบความตื่นเต้นเร้าใจหรือเปล่า? เราขอท้าให้คุณลองเล่นรถไฟเหาะรางคู่ที่สูงที่สุดในโลก ที่ Universal Studios Singapore

รถไฟเหาะที่น่าหวาดเสียวนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากซีรีย์สุดฮิตเรื่อง Battlestar Galactica คุณอาจจะรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ในระหว่างที่รถไฟเหาะทั้งสองขบวนกำลังหมุน ตีลังกา และพุ่งทะยานบนฟ้าด้วยความเร็วสูง เราขอรับประกันว่าผู้เล่นทุกคนจะได้รับประสบการณ์สุดระทึกและตื่นเต้นกลับไปอย่างแน่นอน

 

  1. สุดสัปดาห์แห่งกิจกรรมแอคชั่นโลดโผนคงไม่สามารถจบลงได้ ถ้าหากคุณยังไม่ได้ไปลุ้นและทดสอบความกล้าที่หอคอยบันจี้ หรือ Bungy Tower บนชายหาด Siloso ที่เกาะเซ็นโตซ่า (AJ Hackett Sentosa)

กิจกรรมที่น่าหวาดเสียวนี้มีเลเวลให้คุณเลือกแตกต่างกันออกไป เหล่าผู้เสาะหาประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นสามารถเลือกได้ว่าจะกระโดดจาก Vertical Skywalk ที่ความสูง 42 เมตร หรือร่อนขึ้นลงอย่างรวดเร็ว บนสวิงขนาดใหญ่ The Giant Swing สำหรับผู้กล้า เราขอท้าให้คุณลองไปกระโดดบันจี้ จัมพ์ที่ความสูง 47 เมตรดู!

  1. สร้างประสบการณ์อันสนุกสนานในฉบับ Trollific ได้กับ The TrollsTopia Show ที่ Universal Studios Singapore ในเดือนเมษายนนี้

ระหว่างวันที่ 9 มีนาคม ถึง 29 เมษายน 2018

เอาใจเด็กๆกันบ้าง กับกิจกรรมที่เหมาะสำหรับทั้งครอบครัว มาชมโชว์และร่วมกิจกรรมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโชว์ใหม่จาก Poppy กับ Branch โทรลล์ตัวโปรดขวัญใจของทุกคน กิจกรรมกับ Guy Diamond ที่เต็มไปด้วยกลิตเตอร์ระยิบระยับและจะมากระตุ้นความสดใสในตัวคุณหนูๆ และท่องโลกของเหล่าโทรลล์ด้วยเกมส์ VR เสมือนจริง

 

  1. หวังว่าคุณจะยังไม่เต็มอิ่มกับแอคชั่นมันส์ๆ เพราะอีกหนึ่งกิจกรรมสุดคูลที่อุโมงค์ลมจำลอง iFly หรือ Indoor skydiving ที่ใหญ่ที่สุดในโลกยังรอคุณอยู่

เติมเต็มความฝันที่จะบินได้ของคุณที่อุโมงค์ลมจำลองสำหรับสกายไดฟ์ ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีความกว้าง16.5 ฟุต และความสูงถึง 56.5 ฟุต! ที่นี่ถือว่าเป็นอุโมงค์ลมแห่งเดียวที่สร้างขึ้นและล้อมรอบด้วยกำแพงกระจกอะครีลิกใส ซึ่งคุณสามารถชื่นชมวิวที่งดงามของ South China Sea และชายหาด Siloso ได้ขณะที่คุณกำลังบิน

  1. สนุกสนานและเพลิดเพลินกับครอบครัวของคุณ ที่ Adventure Cove Waterpark

ร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่ที่น่าตื่นเต้นโลกใต้ท้องทะเลที่สวยงามไปพร้อมๆ กันที่ Adventure Cove Waterpark โดยคุณสามารถสร้างช่วงเวลาดีๆ กับครอบครัวได้ด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเล่นเครื่องเล่นสวนน้ำอย่างสไลเดอร์ นอนตากลมชิลล์ๆ แถบริมน้ำ ดำสนอร์กเกิลชมปลาหลากชนิดจากเขตร้อนท่ามกลางปะการังสีสันสดใส หรือจะลุยน้ำและปะทะตัวต่อตัวกับปลาฉลาม!