กิมจิ เป็นของกินตามประเพณีในอาหารเกาหลี ประกอบด้วย ผัก เช่น ผักกาดขาวและหัวไชเท้า ที่หมักดองด้วยเกลือและเครื่องปรุงอื่นๆ เช่น ผงพริกที่เรียกว่าโกชูการู ต้นหอม กระเทียม ขิง และอาหารทะเลหมักเค็มที่เรียกช็อตกัล มักรับประทานเป็นเครื่องเคียงแทบทุกมื้อ และมักใช้เป็นส่วนผสมในอาหารประเภทต้มและตุ๋น
กิมจินั้นมีหลายร้อยรูปแบบ ซึ่งทำด้วยผักที่ต่างกันออกไป ตามประเพณีแล้ว กิมจิมักเก็บไว้ในโอ่งดินขนาดใหญ่ที่เรียกว่า องกี แล้วฝังไว้ใต้ดินเพื่อไม่ให้แข็งตัวในช่วงฤดูหนาว และเพื่อรักษาอุณหภูมิไม่ให้เน่าเปื่อยเร็วไปในช่วงฤดูร้อน โอ่งดังกล่าวบางทีก็เก็บไว้นอกบ้านตรงชานที่ทำขึ้นพิเศษ เรียกว่า ชังดกแด ส่วนในยุคปัจจุบัน หันไปใช้ตู้แช่กิมจิกันมากขึ้น
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2022/03/kimchi-ready-eat-bowl.jpg)
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2022/03/kimchi-ready-eat-black-plate.jpg)
ประโยชน์ของกิมจิ
สารอาหารที่ถูกอัดแน่นในผักที่นำมาทำกิมจิ ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วย วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี 6 แร่ธาตุ และกรดอะมิโนมากกว่า 34 ชนิด ซึ่งสารอาหารเหล่านั้นอาจมีปริมาณมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับกระบวนการทำเครื่องปรุงของแต่ละสูตร แต่โดยรวมแล้ว การรับประทานกิมจิในปริมาณที่เหมาะสมอาจเข้ามาช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้ ดังนี้
1. ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี
ด้วยโพรไบโอติก (Probiotics) ในกิมจิ และแบคทีเรียชนิดดีอย่างแลคโตบาซิลลัส อาจเข้าไปมีส่วนช่วยสร้างให้ระบบย่อยอาหารมีการทำงานที่ดีมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งยังอาจป้องกันโรคท้องร่วง ท้องผูก และปรับปรุงสุขภาพในช่องทางเดินอาหารให้มีความสมดุลยิ่งขึ้น
2. สุขภาพหัวใจแข็งแรงขึ้น
จากการศึกษาผู้เข้าร่วมทดสอบจำนวน 100 คน ที่รับประทานกิมจิ 15-210 กรัมต่อวัน ผลสรุปออกมาว่าระดับน้ำตาลในเลือด และระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ที่เชื่อมโยงกับการก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคหัวใจนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด
3. เสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
การรับประทานผักที่ผ่านการหมักดอง ทำให้เกิดการก่อตัวของแลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) ซึ่งเป็นแบคทีเรียในเชิงบวกที่ดีต่อสุขภาพ จากการศึกษากับหนูทดลองที่ได้รับการฉีดแลคโตบาซิลลัสชนิด Plantarum ที่ถูกค้นพบในกิมจิจำนวนมาก พบว่าระดับของ Tumor necrosis factor (TNF)-alpha ที่สร้างความอักเสบของภายในร่างกายลดลง จึงทำให้ไม่เข้าไปขัดขวางการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันมีการทำงานเป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพ
4. ปรับปรุงระบบความจำ
ในการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองกับหนูทดลอง โดยให้หนูบริโภคผัก หรือวัตถุดิบที่นำมาทำกิมจิ พบว่าอาจทำให้ระบบความจำและทักษะที่ดีขึ้น จึงทำให้นักวิจัยได้ดำเนินการพัฒนา และวิเคราะห์ไปถึงการนำมารักษาโรคอัลไซเมอร์ได้ในอนาคต
5. บรรเทาอาการอักเสบ
จากการตรวจสอบสารอาหารในกิมจิ นักวิจัยได้พบสารประกอบชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า HDMPPA ซึ่งอาจมีส่วนช่วยในเรื่องของการต้านการอักเสบ และบำรุงหลอดเลือดให้มีการไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น ถึงอย่างไร ยังคงต้องมีการวิเคราะห์ ศึกษาเพิ่มเติมถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสารประกอบนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง
6. ลดน้ำหนัก
การรับประทานผักหรืออาหารหมักดอง มักทำให้ร่างกายได้รับแคลอรี่ในปริมาณที่น้อย จึงอาจทำให้น้ำหนักลดลงได้ อย่างไรก็ตาม การรับประทานกิมจิควรรับประทานคู่กับเมนูอื่นๆ ที่มีสารอาหารอย่างครบถ้วนตามหลักโภชนาการ เพื่อเป็นการเพิ่มพลังงานในร่างกายในแต่ละวัน และควรออกกำลังกายอย่างเป็นประจำต่อเนื่อง โดยสามารถเข้ารับคำปรึกษาจากนักโภชนาการ หรือเทรนเนอร์ควบคู่กันไปด้วย
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2022/03/kimchi-ready-eat-white-plate.jpg)
![](https://www.matichonacademy.com/wp-content/uploads/2022/03/kimchi-ready-eat-bowl1.jpg)
ผลข้างเคียงของกิมจิต่อสุขภาพ
แม้ว่าการรับประทานกิมจิอาจจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ในขณะเดียวกันอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน เนื่องจากอาหารหมักดอง มักประกอบไปด้วยเกลือ หรือโซเดียมอยู่จำนวนมาก ทำให้ผู้ที่รับประทานเกินกว่าปริมาณ 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน อาจได้รับความเสี่ยงที่จะทำให้กระเพาะอาหาร ลำไส้แปรปรวน และเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากต้องการจะรับประทานกิมจิอย่างปลอดภัย ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานแบบสดๆ และหันมารับประทานควบคู่กับข้าวสวยร้อนๆ หรือนำมาปรุงในเมนูอื่นๆ ทดแทน
นอกจากนั้นแล้ว สำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพเกี่ยวกับความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดในสมอง โรคหัวใจ ควรขอรับคำปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการรับประทาน และท้ายนี้ต้องขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก Hello คุณหมอด้วยนะคะ