พืชผักสมุนไพรไทยหลากหลายชนิด มีส่วนช่วยในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้เป็นอย่างดี บางชนิดก็สามารถหาซื้อหรือปลูกกินเองได้อย่างง่ายดาย วันนี้เราจึงขอนำเอา 8 พืชผักสมุนไพรไทยที่ช่วยต้านโรคเบาหวานมาแนะนำให้ทุกคนได้ทราบกันค่ะ เพื่อที่จะช่วยให้หลายคนที่เป็นกังวลกับการเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน ได้ศึกษาและหามาทานเพื่อป้องกันได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

1. มะระจีน
ในมะระจีนอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีส่วนช่วยในการดูดซึมน้ำตาลกลูโตสได้เป็นอย่างดี และยังช่วยลดปัญหาของการเกิดต้อกระจก ซึ่งต้อกระจกคือหนึ่งในอาการข้างเคียงของผู้ป่วยเบาหวานนั่นเอง

2. ฟักทอง
การทานฟักทอง แนะนำให้ทานพร้อมเปลือก เนื่องจากในเปลือกฟักทองนั้น อุดมไปด้วยสารอาหารชนิดต่างๆ ที่ช่วยในการกระตุ้นการหลั่งสารอินซูลิน ซึ่งจะส่งผลต่อการควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นจึงช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้

3. ใบมะยม
การนำใบมะยมมาทานเป็นผัก หรือนำมาประกอบอาหารทานเป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินเอและวิตามินซีสูง อีกทั้งใบมะยมยังมีส่วนช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

4. ขมิ้น
ขมิ้นจัดเป็นสมุนไพรที่มีสารช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี ซึ่งสรรพคุณของขมิ้นจะมีความเหมือนกับอบเชย ดังนั้นใครที่ไม่ชอบทานขมิ้น สามารถทานอบเชยแทนได้เช่นกัน

5. กระเทียม
กระเทียมและหัวหอม นอกจากจะเป็นพืชผักสมุนไพรไทยที่ขาดไม่ได้ในการทำอาหารแต่ละเมนูแล้ว ผักทั้งสองชนิดนี้ยังมีสรรพคุณที่เหมือนกันอีกด้วย คือช่วยในการละลายลิ่มเลือด ลดปัญหาหลอดเลือดตีบ และช่วยลดระดับไขมันในกระแสเลือดได้เป็นอย่างดี

6. สะตอ
หนึ่งในผักที่มีกลิ่นแรง แต่ก็ให้รสชาติอร่อยไม่เบาอย่างสะตอ ก็มีส่วนช่วยในการต้านโรคเบาหวานได้เช่นกัน เพราะสะตอมีสรรพคุณช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือด พร้อมทั้งช่วยลดภาวะความดันโลหิตสูง

7. ตำลึง
ผักที่สามารถหามาทานได้ง่ายๆ ตามรั้ว หรือมีขายตามท้องตลาดอย่างมากมายอย่างเช่น ตำลึง ก็มีส่วนช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้เช่นกัน ซึ่งในทุกส่วนของตำลึงไม่ว่าจะเป็นลำต้น ราก ผล และใบ ล้วนมีสรรพคุณช่วยต้านโรคเบาหวาน อีกทั้งยังมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยต้านมะเร็งและชะลอความแก่ได้เป็นอย่างดี

8. ผักบุ้ง
จะนำมาต้ม ผัด หรือกินสดๆ ก็อร่อยได้ทั้งนั้น ที่สำคัญผักบุ้งยังมีสารคล้ายอินซูลิน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด จึงช่วยต้านโรคเบาหวาน และยังเป็นผักที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา ช่วยลดอาการร้อนใน และแก้อาการท้องผูกได้ด้วย

จะเห็นได้ว่าพืชผักสมุนไพรหลากหลายชนิดที่เราคุ้นเคย และบางครั้งก็ทานแทบทุกวัน ล้วนมีส่วนช่วยในการต้านโรคเบาหวานได้ดี อีกทั้งยังมีสารอาหารหลากหลายชนิดที่ล้วนช่วยต้านโรคหลากหลายชนิดได้ ดังนั้นจึงอยากให้ทุกๆ คน หันมาใส่ใจในการทานพืชผักสมุนไพรกันให้มากๆ พยายามบาลานซ์การกินให้ดี เพื่อการมีสุขภาพที่ดีในระยะยาวนั่นเองค่ะ

ที่มา : Sanook.com

ในยามที่อากาศร้อน การได้จิบน้ำกระเจี๊ยบแดงเย็นๆ สักแก้วจะเป็นอะไรที่ฟินมาก และก็เป็นเครื่องดื่มที่หาดื่มได้ง่ายทั่วไปราคาก็ถูกแสนถูก โดยเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยดับกระหายได้เป็นอย่างดี และนอกจากความอร่อยของน้ำกระเจี๊ยบแดงแล้ว กระเจี๊ยบแดงยังมีประโยชน์อีกหลายอย่างต่อร่างกาย ถือว่าเป็นสมุนไพรสารพัดประโยชน์อีกชนิดหนึ่ง ลองมาดูกันว่าประโยชน์ของน้ำกระเจี๊ยบแดงมีดียังไง ไปติดตามกันดังนี้เลย

1. แก้กระหาย
การดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงเย็นๆ จะช่วยให้ร่างกายสดชื่นขึ้น ป้องกันการเกิดภาวะขาดน้ำในร่างกาย วิธีการทำ เพียงใช้ดอกกระเจี๊ยบแห้ง มาต้มในน้ำร้อน เพียงแค่นี้ก็จะได้น้ำกระเจี๊ยบสุดแสนอร่อยแล้ว

2. บรรเทาอาการไข้
การรับประทานใบกระเจี๊ยบตอนที่เราเป็นไข้ จะช่วยให้ร่างกายดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยไม่ต้องพึ่งยาเลย นอกจากนี้ยังช่วยละลายเสมหะในลำคอได้อีกด้วย

3. ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ
กระเจี๊ยบแดงถือเป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติพิเศษ เพราะมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ เนื่องจากสารแอนโธไซยานินในกระเจี๊ยบแดง เป็นสารที่จะช่วยทำให้เลือดไม่แข็งตัว และไม่ไปเกาะกับหลอดเลือดที่จะเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ จึงทำให้ระบบไหลเวียนเลือดมีความสมดุล

4. รักษาแผล
หากมีแผลตามร่างกายที่เป็นแผลสด เพียงแค่นำใบสดของต้นกระเจี๊ยบแดงมาล้างทำความสะอาด จากนั้นก็บดให้ละเอียดจนเป็นน้ำ แล้วก็นำมาพอกที่แผล จะช่วยให้เลือดแข็งตัวแล้วก็ช่วยทำให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้น เป็นสมุนไพรที่เอามาใช้ทาแทนยาได้เลย

5. ป้องกันการเกิดนิ่ว
การรับประทานกระเจี๊ยบแดง จะช่วยให้ร่างกายสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในท่อปัสสาวะ และโรคไตได้ เพราะในกระเจี๊ยบจะมีสารที่ช่วยขับกรดบางชนิด ที่เป็นสาเหตุของการเกิดนิ่วได้ เช่น กรดยูริก แคลเซียม และโพแทสเซียม

6. ป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง
โรคชนิดนี้สามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย การทานกระเจี๊ยบแดง จะช่วยป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ เพราะสรรพคุณของกระเจี๊ยบ มีธาตุเหล็กที่เป็นแร่ธาตุสำคัญต่อร่างกาย ในการช่วยไม่ให้เกิดภาวะโลหิตจาง

7. ลดไขมัน
คนที่มีน้ำหนักตัวมาก มีไขมันเยอะ ควรรับประทานกระเจี๊ยบแดงเป็นประจำ เพราะจะช่วยในการป้องกันไม่ให้คอเลสเตอรอลในร่างกายสูงเกิน อีกทั้งยังบำรุงเลือดได้ด้วย

เห็นไหมว่ากระเจี๊ยบแดง มีประโยชน์แทบจะทุกส่วนของลำต้นเลย ฉะนั้นเราจึงควรรับประทานกระเจี๊ยบแดงเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายไม่เสี่ยงต่อการเกิดโรคร้าย หากไม่อยากจะทำเอง ก็สามารถซื้อรับประทานได้ เพราะราคาก็ไม่แพงเกินไป

ที่มา : Sanook.com

ว่ากันด้วยเรื่องของสมุนไพรที่หลายคนมักจะคุ้นชื่อกันมานานแสนนาน และมีหลากหลายชนิดที่ต่างก็ให้ประโยชน์และให้สุขภาพที่ดีกับตัวคุณ ซึ่งวันนี้เราอยากมาแนะนำ 5 สมุนไพรที่ไม่เคยตกยุคสมัย เพราะมีดี หาง่ายในบ้านเรา ที่สำคัญคือช่วยรักษาและบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บได้นานาชนิดกันเลย อยากรู้ว่าจะมีพืชสมุนไพรชนิดไหนที่คุณชอบกันบ้าง ตามมาดูกัน

ขิง
ถือเป็นพืชสมุนไพรอันดับต้นๆ ที่คนนึกถึง และนำมาประกอบอาหารหรือทานได้หลากหลายรูปแบบ มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้าน เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อร่างกาย อาทิ วิตามินเอ บี1 บี2 บี3 ซี เบต้าแคโรทีน แคลเซียม ฟอสฟอรัสและธาตุเหล็ก โดยเราสามารถนำทั้งราก ต้น ใบ ดอกของขิงมาใช้ปรุงเป็นส่วนผสมและประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป โดยประโยชน์ของขิงมีมากมาย อาทิ

  • ต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่และการเกิดริ้วรอย
  • ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
  • ช่วยแก้อาการร้อนใน โดยเลือกใช้ลำต้นสดๆ ของขิงมาทุบแหลกแล้วต้มกับน้ำสะอาด
  • ลดระดับไขมัน และดูดซึมคอเลสเตอรอลจากลำไส้ และให้ร่างกายกำจัดออกทางอุจจาระ
  • รักษาอาการปวดหัวไมเกรน ด้วยการดื่มน้ำขิงร้อนๆ
  • บรรเทาอาการหวัด แก้ไอ ด้วยการใช้ขิงสดฝนกับน้ำมะนาวแล้วใส่เกลือเข้าไปเล็กน้อย

กระเทียม
กระเทียมเป็นวัตถุดิบหลักๆ ในการประกอบอาหารจานอร่อยเลยก็ว่าได้ นอกจากจะมีกลิ่นหอม ชวนให้รับประทานแล้ว ประโยชน์ของกระเทียมก็มีมากมายที่รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวัง

  • ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและคอเลสเตอรอล
  • ช่วยขับสารพิษอันตรายที่ปนเปื้อนในเม็ดเลือด
  • บรรเทาอาการไอ ไข้หวัด คัดจมูกน้ำมูกไหล ได้ดี
  • ยับยั้งไม่ให้น้ำย่อยอาหารมาทำให้เกิดแผลในกระเพาะ ควบคุมการเป็นโรคกระเพาะ
  • ช่วยรักษาอาการจุกเสียดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ บำรุงกระดูกและข้อต่อในร่างกาย

กระวาน
กระวานเป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ “ขิง” โดยกระวานที่เรามักคุ้นหน้าคุ้นตาแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือกระวานไทยและกระวานเทศ มีสรรพคุณมากมายตั้งแต่ราก ใบ และเมล็ด

  • ผลแก่ของกระวานช่วยแก้อาการวิงเวียน คลื่นไส้ได้ดี
  • ผลกระวานใช้เป็นส่วนผสมกับสมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นยาขับถ่าย เช่นมะขามแขก
  • หัวและหน่อของกระวานช่วยขับพยาธิในเนื้อให้ออกทางผิวหนัง
  • ผลแก่ของกระวานช่วยในเจริญอาหารยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สบายหรือเบื่ออาหาร
  • เปลือกของกระวานช่วยแก้ไข้สูงได้

พริกไทย
พืชชนิดไม้เลื้อย ที่นับเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยพริกไทยนิยมปลูกกันมากในจังหวัดจันทบุรี ตราดและระยอง เป็นพืชอีกหนึ่งชนิดที่นิยมนำมาเป็นส่วนประกอบในอาหารจานหลักของไทย โดยพริกไทยมีสรรพคุณดีๆ มากมายอาทิ

  • ช่วยให้เจริญอาหาร โดยเฉพาะในผู้สูงอายุจะสามารถรับรสพริกไทยได้ดี
  • เมล็ดพริกไทยช่วยเพิ่มความอบอุ่น และสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย
  • เมล็ดพริกไทยช่วยขับเหงื่อในร่างกาย เมื่อระเหยออกจากผิวหนัง จะช่วยทำให้ร่างกายเย็นสบายยิ่งขึ้น
  • เถาของพริกไทยช่วยรักษาอาการท้องร่วง
  • รากพริกไทยช่วยแก้อาหารวิงเวียนศีรษะ
  • เถาของพริกไทยยังมีวิตามินซีสูง ทำให้ช่วยในการปกป้องผิวจากแสงแดดได้เป็นอย่างดี
  • พริกไทยช่วยถนอนเนื้อสัตว์ให้สามารถเก็บไว้ได้นานยิ่งขึ้น

ตะไคร้
ขาดไม่ได้กับพืชสมุนไพรชนิดนี้ “ตะไคร้” จัดเป็นพืชตระกูลหญ้า มักเป็นสมุนไพรที่นิยมในการประกอบอาหารเช่นเดียวกับพืชสมุนไพรหลายๆ ชนิด โดยตะไคร้สามารถเป็นทั้งยารักษาโรคและบำรุงร่างกายด้วยวิตามินต่างๆ ที่อยู่ในตะไคร้อีกมากมาย มีสรรพคุณหลากหลายดังนี้

  • ช่วยในการขับเหงื่อในร่างกาย
  • สารสกัดจากตัวตะไคร้ ช่วยในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • น้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากตะไคร้ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้
  • ใบสดของตะไคร้ช่วยในการรักษาอาการความดันโลหิตสูง
  • หัวตะไคร้ช่วยรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • รากตะไคร้ช่วยแก้อาการแน่นเสียดบริเวณหน้าอก
  • ตะไคร้เป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยให้ร่างกายเจริญอาหารได้ดียิ่งขึ้น

เป็นสมุนไพร 5 ชนิดที่มีประโยชน์มหาศาล และดีต่อสุขภาพมากๆ ลองนำสมุนไพรไปใช้ให้เหมาะกับอาการที่ต้องการรักษา รับรองว่าสุขภาพดีกันถ้วนหน้าแน่นอนค่ะ

ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

ปัญหาสุขภาพและโรคภัยต่างๆ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยนะคะ วันนี้เราชวนคุณมาดูแลอวัยวะสำคัญอย่าง “หัวใจ” ด้วยการรับประทานพืชผักสมุนไพร ที่มีประโยชน์ในการดูแลหัวใจเป็นเลิศ มาดูกันว่า ผักและสมุนไพรชนิดใดบ้าง ที่จะช่วยบำรุงหัวใจของคุณให้แข็งแรง

“กระเทียม” ยอดเยี่ยมสำหรับหัวใจ
หากพูดถึงสมุนไพรที่ช่วยบำรุงหัวใจ ต้องนึกถึงกระเทียมเป็นอันดับแรกๆ เลยนะคะ เพราะการรับประทานกระเทียมช่วยลดโอกาสการอุดตันของไขมันในหลอดเลือดได้  เนื่องจากสารในกระเทียมช่วยให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิตได้ดี อีกทั้งการใส่กระเทียมลงไปในอาหารที่มีน้ำมันสูง ยังช่วยลดการอุดตันของไขมันหลอดเลือดลงได้ถึง 50% เลยทีเดียว แค่เพียงรับประทานกระเทียมบ่อยๆ ก็ดีต่อใจแล้วล่ะค่ะ

เพิ่มธาตุเหล็กบำรุงหัวใจด้วย “ใบบัวบก”
ใบบัวบกไม่ได้เอาไว้กินแค่ตอนช้ำในเท่านั้นนะคะ เพราะถ้าเป็นเรื่องของหัวใจ ใบบัวบกก็ช่วยบำรุงได้เหมือนกัน เนื่องจากใบบัวบกมีปริมาณธาตุเหล็กสูง ซึ่งธาตุเหล็กเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยบำรุงหัวใจ และยังมีช่วยในการบำรุงเลือดอีกด้วย

“หัวหอม” จอมบำรุง
ไม่ว่าจะเป็นหอมหัวแดง หรือ หอมหัวใหญ่ ต่างก็มีข้อดีในการช่วยบำรุงเลือดและหัวใจได้เหมือนกันค่ะ เนื่องจากในหัวหอมมีสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยยับยั้งไม่ให้เกล็ดเลือดรวมตัวจนแข็งแล้วไปอุดตันตามเส้นเลือด จึงทำให้ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจได้ อีกทั้งหัวหอมยังช่วยลดระดับของ แอลดีแอล คอเลสเตอรอล (LDL cholesterol) ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดเลว ที่เป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจอีกด้วย ใครที่รู้ตัวว่ามีคอเลสเตอรอลในร่างกายสูง ก็อย่าลืมรับประทานหัวหอมกันบ่อยๆ นะคะ

บำรุงหัวใจได้จริงต้อง “ขิง” เลย
เป็นสมุนไพรสารพัดประโยชน์ที่มีฤทธิ์อุ่น จึงช่วยกระตุ้นให้การไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น นอกจากนี้ขิงยังช่วยลดโอกาสการก่อตัวของ fibrin ที่เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ทำให้เลือดแข็งตัว หรือจับตัวเป็นลิ่มเลือด ซึ่งอาจจะไปอุดหลอดเลือดได้ นอกจากนี้ขิงยังมีฤทธิ์บำรุงหัวใจ ช่วยลดความดันเลือด และคอเลสเตอรอลอีกด้วย

เสริมหัวใจให้แข็งแรงด้วย “ดอกคำฝอย”
น้ำต้มจากดอกคำฝอยสามารถนำมาดื่มเพื่อช่วยป้องกันโรคหัวใจ และรักษาหลอดเลือดได้เช่นกัน เนื่องจากน้ำมันดอกคำฝอยจะช่วยลดการจับตัวของเกล็ดเลือดได้ค่ะ  และจากการศึกษายังพบว่าดอกคำฝอยมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่สนับสนุนในการรักษาโรคหัวใจ เช่น ช่วยทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจมากขึ้น ป้องกันหัวใจเต้นผิดจังหวะ การขาดเลือดของหัวใจ และสภาวะหัวใจตีบแคบลง ดอกคำฝอยจึงเป็นสมุนไพรที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ดีค่ะ

“พริก” เม็ดเล็กแต่ประโยชน์ยิ่งใหญ่
ใครชอบทานเผ็ดอยู่แล้วต้องแฮปปี้แน่นอน เพราะสารแคปไซซินในพริกที่เป็นตัวให้ความเผ็ด มีส่วนช่วยทำให้หลอดเลือดขยาย ช่วยละลายลิ่มเลือด ลดการหดตัวของเส้นเลือด ลดการจับกลุ่มของเกล็ดเลือด และยับยั้งการดูดซึมไขมันในเส้นเลือด ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลให้หัวใจสามารถสูบฉีดเลือดไปใช้ได้สะดวก และยังช่วยลดการอุดตันตามหลอดเลือดด้วยค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับพืชผักสมุนไพรดีๆ ที่ช่วยบำรุงหัวใจของเราให้แข็งแรง แถมยังหาไม่ยากอีกด้วย แต่นอกเหนือจากนี้ เรายังต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ และหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพที่ดีนะคะ

ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

ซูเปอร์สมุนไพร ใกล้ตัวในครัว หมอคอนเฟิร์มเสริมภูมิคุ้มกันดี๊ดี ไม่ต้องพลิกแผ่นดินหาแต่ ฟ้าทะลายโจร เพราะสมุนไพรไทยดีๆ มีอีกเพียบ

ซูเปอร์สมุนไพร “นพ.กฤษดา ศิรามพุช” ผู้อำนวยการ ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เปิดใจกับทีมข่าว บิวตี้ ถึงกระแสความสนใจของสมุนไพรที่ช่วยต้านเชื้อไวรัส หรือโควิด-19 ได้ ผลจึงมาตกอยู่ที่ ฟ้าทะลายโจร ซึ่งต้องยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมานี้ประชาชนต่างแห่ซื้อสมุนไพรที่ว่าจนแน่นร้าน

“ก่อนอื่นเลย ต้องรู้ไว้ก่อนนะครับว่า ถ้าเราจะกินฟ้าทะลายโจรนั้นไม่ได้กินเพื่อรักษาโควิด-19 นะครับ แต่ว่าเป็นในลักษณะของการกินเพื่อประโยชน์ในสุขภาพด้านอื่นๆ ที่เราคุ้นเคย ฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรกลางบ้าน เป็นสมุนไพรทั่วๆ ไป

ซึ่งจริงๆ แล้วมันมีสมุนไพรดีๆ อื่นๆ ของคนไทยเยอะมากมายเลยครับ เรียกว่าไม่ต้องมีแต่ฟ้าทะลายโจรอย่างเดียว พูดง่ายๆ ว่าชีวิตนี้ถ้าขาดฟ้าทะลายโจร ฉันก็อยู่ได้ครับ สมุนไพรไทยอย่างอื่นมีอีกเยอะมาก”

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ด้านอายุรวัฒน์ ยังอธิบายถึงข้อเสียของสมุนไพรฟ้าทะลายโจรอีกว่า ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการแข็งตัวของเลือด หากอยากรับประทานสมุนไพรฟ้าทะลายโจรควรปรึกษาแพทย์ก่อน

“มี 2 ด้านเสมอนะครับ ของทุกอย่างในโลก ต้องบอกอย่างนั้นเลย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะสมุนไพรอะไรก็ตามนะครับ หรือว่าเรื่องของฟ้าทะลายโจรก็ตามมีข้อดีแล้วก็ต้องมีข้อเสียด้วย ต้องเข้าใจ ถ้าพูดแบบแฟร์ๆ นะครับ

 

หนึ่งเลย ถ้าเกิดว่าเราจะกินสมุนไพร หรือจะกินฟ้าทะลายโจร เราต้องรู้ก่อนนะครับว่าเราไม่มีข้อห้ามอะไร หรือว่าตับกับไตเราปกติดี ในส่วนของสมุนไพรหลายชนิดจะมีวิตามิน เค ซึ่งวิตามิน เค เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด

เพราะฉะนั้น ในคนที่มีปัญหาเรื่องของเลือดแข็งตัวผิดปกติ หรือกินยาที่ป้องกันการแข็งตัวของเลือด หรือว่ากินยาต้านเม็ดเลือดอยู่

ยกตัวอย่าง คนที่กิน แอสไพริน อยู่นะครับ คนที่กินยาป้องกันการแข็งตัวของเลือดที่ชื่อว่า วาร์ฟาริน (Warfarin) ท่านเหล่านี้ถ้าจะกินสมุนไพร จะกินฟ้าทะลายโจรอยากให้ปรึกษาคุณหมอก่อนนะครับ ไม่ใช่เรื่องกังวลหรือไม่ใช่เรื่องที่น่าเครียดอะไรนะครับ แค่ปรึกษากันก่อนจะได้รอบคอบแค่นั้นเอง”

แน่นอนว่าแม้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรจะยังไม่ตอบโจทย์เรื่องการป้องกันโควิด-19 ได้แบบร้อยเปอร์เซ็น แต่ในฐานะแพทย์อายุรวัฒน์ชะลอวัยได้แนะนำสมุนไพรไทยที่สามารถทานทดแทนฟ้าทะลายโจรได้ แถมสรรพคุณจัดว่าเด็ด

“มีซูเปอร์วาเลนไทน์แล้ว เราก็มีซูเปอร์สมุนไพรบ้าง ในครัวของเรานี่แหละครับมีซูเปอร์สมุนไพรอยู่ครบเลย ครัวไทยทุกครัวต้องมี คือ พริก หอม กระเทียม บางบ้านอาจจะมีกะเพรา โหระพา ขิง ขมิ้น มะขาม และสมุนไพรใกล้ตัวในครัวไทยทั้งหลายนะครับ

พวกนี้ถือเป็นสมุนไพรที่ช่วยเสริมภูมิ ช่วยต้านการอักเสบได้นะครับ และหลายตัวช่วยฆ่าเชื้อได้ หรือเรียกง่ายๆ ว่ามันอาจจะเป็นยาปฏิชีวนะอ่อนๆ แบบธรรมชาติได้ด้วยซ้ำนะครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ ครับ อย่าง พริก ก็มีทั้งวิตามินซีนะครับ มีกรดเผ็ดที่ชื่อแคปไซซินนะ (Capsaicin) ครับ มีสารที่เป็นกลุ่มของตัวที่ต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบได้

กระเทียม มีออร์แกนิกซัลเฟอร์ หรือแปลเป็นไทยง่ายๆ ก็คือว่ามีกำมะถันนะครับ มีกำมะถันเป็นตัวที่ช่วยในการต้านเชื้อได้ เป็นสารประกอบตัวหนึ่งที่ดีมากเลยครับ ช่วยในการที่ป้องกันเชื้อ ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ได้ เพราะฉะนั้นกระเทียมถึงเปรียบได้กับยาปฏิชีวนะที่อร่อยและกินได้ง่ายๆ นะครับ

รวมไปถึง ขิงและขมิ้น ขมิ้นใช้ทำข้าวหมกสีเหลืองๆ นะครับ ใช้ทำแกงส้ม แกงเหลืองอย่างนี้เป็นต้น ขมิ้นก็มีสารพวกกลุ่มที่ช่วยได้ เป็นสารที่ช่วยลดการอักเสบได้ อย่าลืมว่าเวลาที่เราไม่สบาย เป็นหวัด เจ็บคอทั้งหลายพวกนี้ มันมีการอักเสบเกิดขึ้น ถ้าเราได้สารต้านการอักเสบไปก็ช่วยได้

ผมกำลังจะบอกว่าสมุนไพรไม่ได้มีแค่ฟ้าทะลายโจร ไม่ต้องเศร้าใจไปครับ ไม่ต้องหาแต่ฟ้าทะลายโจร อย่างอื่นที่อยู่ในครัวเรามีเยอะมากมายนะครับ”

ที่มา : ข่าวสดออนไลน์

จากกรณีที่กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงประเทศไทย มีคุณภาพอากาศที่แย่เป็นอันดับ 9 ของโลก จากการสะสมของฝุ่นละอองในจำนวนมากจนเกินมาตรฐาน เกิดผลกระทบต่อสุขภาพเป็นวงกว้าง และไม่เพียงเฉพาะในกรุงเทพมหานครเท่านั้น หัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศไทยก็ส่อเค้าจะเกิดปัญหาเช่นเดียวกัน

ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว หัวหน้าศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า จากข้อมูลความน่ากลัวของสถานการณ์ PM 2.5 ต่อระบบทางเดินหายใจ และปัญหาสุขภาพโดยรวม ซึ่งเกิดขึ้นกับประชาชนชาวกรุงเทพมหานครในขณะนี้  หากไม่หาทางรับมือและป้องกันอาจจะก่อให้เกิดภาวะเสี่ยงในโรคระบบทางเดินหายใจและหากสะสมระยะยาวอาจก่อให้เกิดมะเร็งปอดได้  ทั้งนี้ในการใช้สมุนไพรพื้นบ้าน พบว่ามีสมุนไพรหลายชนิดที่ช่วยในการดูแลปอด ฟอกปอด ตัวที่นิยมและใช้กันมากในบ้านเรา คือ หญ้าดอกขาว

ทั้งนี้จากการสืบค้นข้อมูลพบว่า มีงานวิจัยรองรับหลายชิ้นในไทย พบว่า หญ้าดอกขาว มีสารออกฤทธิ์และฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา เช่น ขับปัสสาวะ ป้องกันไม่ให้ไตถูกทำลาย ต้านแบคทีเรีย ต้านมาลาเรีย

ลดไข้ แก้ปวด แก้อักเสบ คลายกล้ามเนื้อเรียบ ต้านการเกิดแผล ต้านเบาหวาน ต้านการกระจายของมะเร็ง ต้านไม่ให้รังสีแกมมาทำลายเซลล์  และมีการศึกษาใช้เป็นยาอดบุหรี่ จากข้อมูลความปลอดภัยทำให้สมุนไพรหญ้าดอกขาวถูกบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2554

“มีงานวิจัยพบว่าสารสกัดหญ้าดอกขาวความเข้มข้น 10.09% มีฤทธิ์ลดการอักเสบในหนู ที่ได้รับนิโคตินเป็นเวลายาวนานกว่า 6 เดือน พบว่าช่วยฟื้นฟูพยาธิสภาพของปอด ให้กลับมาเป็นปกติได้  นอกจากนี้ยังพบว่าข้อมูลหญ้าดอกขาวจากงานวิจัยในปัจจุบันที่ทำในมนุษย์เพื่อใช้อดบุหรี่ เป็นเวลา 8-12 สัปดาห์ พบว่ามีความปลอดภัยสูง จึงอยากแนะนำสมุนไพรชนิดนี้ให้ประชาชนได้ใช้เป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพในช่วงที่ต้องเผชิญ

ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว
หญ้าดอกขาว

กับมลพิษจากฝุ่นละอองในปัจจุบัน เพราะเป็นสมุนไพรที่หาง่ายและมีความปลอดภัย สามารถใช้ร่วมกับการใช้หน้ากาก N95 และเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานาน” ภญ.ผกากรอง กล่าว

ผู้เขียน : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

ภญ.อาสาฬา เชาวน์เจริญ เภสัชกรชำนาญการศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า ปัจจุบันโรคซึมเศร้า กำลังเป็นปัญหาสำคัญในสังคมไทย และทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น การป้องกันจึงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่จะสามารถบรรเทาอาการดังกล่าวได้ด้วยสมุนไพร 4 ชนิด ที่สามารถหาซื้อได้ง่ายในบ้านเรา

1.ขมิ้นชัน มีการศึกษาทางคลินิกในผู้ป่วยซึมเศร้าเปรียบเทียบการใช้ ขมิ้นชัน 500 มก. หลังอาหารเช้าและเย็น และยาต้านซึมเศร้า (Fluoxetine 20 mg) เป็นเวลา 6 สัปดาห์ เปอร์เซ็นต์การตอบสนองผลการรักษา Fluoxetine 64.7% ขมิ้นชัน 62.5% และเมื่อใช้ร่วมกันทั้ง Fluoxetine และขมิ้นชัน ให้ผล 77.8% ขนาดการรับประทาน

2.บัวบก ถูกใช้เป็นยามาแต่โบราณ ทั้งในศาสตร์อายุรเวท และการแพทย์แผนจีน บัวบกสามารถบรรเทาอาการโรควิตกกังวลได้ จากการศึกษาการใช้บัวบก 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร ในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรควิตกกังวล อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 33 คน พบว่าเริ่มเห็นผลการรักษาที่ 1 เดือน และเห็นผลชัดเจนขึ้นที่ 2 เดือน

จากผลการศึกษานี้ จะเห็นได้ว่า บัวบกช่วยลดความผิดปกติที่เกิดจากความกังวล ลดความเครียดและลดอาการซึมเศร้าได้ ทำให้ความเต็มใจที่จะปรับตัวและเรียนรู้ดีขึ้น บัวบก จึงมีศักยภาพที่จะนำมาใช้ในผู้ป่วยโรควิตกกังวล สำหรับผู้ที่สะดวกจะใช้ใบบัวสด ก็สามารถ  คั้นน้ำจากใบบัวบกสดที่ล้างสะอาด รับประทานแบบเข้มข้น วันละ 1-2 ช้อนชา การใช้ใบบัวบกแห้ง เป็นยารับประทาน  ใบแห้ง ใช้ครั้งละ 1-2 ช้อนชา (5-10 กรัม) ชงกับน้ำเดือด 150 ซีซี รอจนอุ่นหรือประมาณ 10-15 นาที แล้วจิบดื่ม สามารถรับประทานได้วันละ 2-3 เวลา หากเป็นชนิด แคปซูล รับประทานวันละ 2-3 แคปซูล ทั้งนี้ หากหวังผลบำรุงสมองคลายเครียด ควรรับประทานต่อเนื่องอย่างน้อย 2 เดือน

“ข้อควรระวัง คือ บัวบก เป็นยาเย็น ไม่ควรกินทีละเยอะๆ ทุกวัน อย่างกรณีที่กินเป็นกําๆ จะต้องกินๆ หยุดๆ ไม่กินติดต่อกันทุกวัน ถ้ากินสดทุกวัน ควรกินแต่น้อย ประมาณ 3-6 ใบก็พอ คนที่อ่อนเพลียหรือร่างกายอ่อนแอมากไม่ควรกิน ถ้ากินแล้วมีอาการเวียนหัว ใจสั่น ให้หยุดกินทันที คนที่ม้ามเย็นพร่อง มีอาการท้องอืดแน่นเป็นประจํา ไม่ควรกิน และหลีกเลี่ยงการรับประทานในหญิงที่ให้นมบุตร หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ที่วางแผนจะตั้งครรภ์ เพราะมีการศึกษาพบว่าการรับประทานต่อเนื่องติดต่อกันนานๆ พบว่าอาจยับยั้งการตั้งครรภ์ได้” ภญ.อาสาฬา ย้ำ

3.น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว น้ำมันรำข้าว มีสารสำคัญที่ช่วยทำให้นอนหลับได้ คือ ฤทธิ์ผ่อนคลาย คลายกังวล ช่วยให้นอนหลับ. ด้วยสาร GABA (Gamma-aminobutyric acid) เป็นสารสื่อประสาท พบในระบบประสาทส่วนกลาง คือสมองและไขสันหลัง มีฤทธิ์ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย คลายกังวล และทำให้หลับสบาย ยานอนหลับส่วนใหญ่ที่ใช้ในแผนปัจจุบันก็ออกฤทธิ์โดยจับกับตัวรับ GABA และสาร N-Acetylserotonin เป็นสารที่พบตามธรรมชาติของน้ำมันรำข้าว เป็นสารตั้งต้นในการสร้างสารเมลาโทนิน ซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมวงจรการนอนของคนเรามีส่วนช่วยในการนอนหลับ สารตัวนี้ยังมีฤทธิ์คลายความเครียด คลายกังวล ต้านซึมเศร้า ต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องสมอง และปกป้องเซลล์รับแสงจากจอประสาทตา

4.ฟักทอง มีการศึกษา พบว่าฟักทองช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าได้ โดยทำการสังเกตพฤติกรรมถูกบังคับให้ว่ายน้ำในหนูทดลองที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะซึมเศร้าซึ่งจะมีพฤติกรรมลอยตัวนิ่งเสมือนว่าอยากตาย แต่การให้ฟักทองอบและสารเบต้าแคโรทีนมีผลทำให้ระยะเวลาลอยตัวนิ่งลดลง และยังมีผลเพิ่มระดับเซโรโทนิน (serotonin) และนอร์อิพิเนฟริน (norepinephrine: NE) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทในสมอง ซึ่งจะลดลงเนื่องจากภาวะซึมเศร้าให้กลับสู่ระดับปกติ นอกจากนี้ทั้งฟักทองและเบต้าแคโรทีน ยังช่วยลดสารก่อการอักเสบในสมองได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม

“การศึกษาเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของฟักทองและเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารสำคัญในฟักทองในการช่วยรักษาภาวะซึมเศร้า ในยุคที่คนไทยเป็นโรคซึมเศร้ากันมากขึ้น ฟักทอง จึงเป็น อาหารเป็นยา ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการซึมเศร้าได้” ภญ.อาสาฬา กล่าว

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

ภญ.อาสาฬา เชาวน์เจริญ
ปัจจุบันมีผู้คนจำนวนมากหันมาตระหนักเรื่องของการกินเพื่อสุขภาพเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะอาหารคาวหรือหวาน แม้กระทั่งเครื่องดื่ม โดยเฉพาะอาหารและเครื่องดื่มที่ทำจากสมุนไพร เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยทำให้มีสุขภาพดีเท่านั้น แต่ยังช่วยทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นอีกด้วย

หนึ่งในพืชที่คนนิยมนำมาทำอาหารหรือเครื่องดื่มก็คือ “อัญชัน” ด้วยให้สีสวยงาม นำมาทำเป็นเครื่องดื่มก็ให้ความสดชื่น ดับกระหาย อย่างไรก็ตาม ในโลกโซเชียลมีเดียมีหลายคนแชร์เตือนให้ระวังการกินดอกอัญชัน เพราะส่งผลให้ไตทำงานหนัก หน้ามืดหมดสติ หรือมีอันตรายต่อผู้ป่วยโลหิตจาง

ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท. ได้ทำการสอบถามเภสัชกรชำนาญการ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร พบว่าดอกอัญชันนั้นจะมีความปลอดภัยสูง ถ้าหากกินในรูปแบบของอาหาร เช่น อาจจะนำดอกอัญชันมาทำเป็นยำ หรือนำเอาดอกอัญชัน 2-3 ดอก มาทำเป็นน้ำชงกับชา เป็นต้น

เภสัชกรระบุว่า โดยทั่วไปจะเห็นว่ามีการนำดอกอัญชันมาทำเป็นเครื่องดื่มเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งไม่ได้ใช้ดอกอัญชันในปริมาณที่เยอะ จะใช้เพียง 2-3 ดอกเท่านั้น เพราะหากใช้ในปริมาณที่เยอะเกินจะทำให้น้ำมีสีเข้มเกินไป ดูไม่น่ากิน และอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย ฉะนั้นจากที่ได้มีการเตือนว่าอาจทำให้ไตทำงานหนักนั้นก็มีส่วนจริงอยู่บ้าง หากกินในที่ปริมาณมากหรือกินแทนน้ำเปล่า เพราะของทุกอย่างที่กินเข้าไปภายในร่างกายจะต้องผ่านตับกับไต จึงมีความเสี่ยงถ้าหากกินเยอะมากจนเกินไป

อย่างไรก็ตาม สีของดอกอัญชันเป็นสารแอนโทไซยานินซึ่งเป็นสีที่ละลายน้ำได้ และไม่เป็นอันตรายหากกินอย่างพอเหมาะ เพราะฉะนั้นจึงสามารถขับออกมาในรูปแบบของปัสสาวะได้ นอกจากนี้ สารแอนโทไซยานินยังสามารถช่วยต้านอนุมูลอิสระได้อีกด้วย

ประโยชน์ของดอกอัญชันนั้นไม่ได้มีเพียงเท่านี้ สมัยโบราณจะนำดอกอัญชัญมากินเพื่อช่วยในเรื่องของการเพิ่มความจำ และมีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าเป็นไปได้ที่ดอกอัญชันสามารถเพิ่มความจำได้ และยังเป็นยานอนหลับแบบอ่อนๆ ที่ได้ทำการทดลองในหนูอีกด้วย แต่ก็ยังไม่ได้มีการนำมาทดลองในคน

ในด้านคำเตือนที่บอกว่าผู้ป่วยโรคความดันสูงหรือความดันต่ำนั้นควรงด เพราะทำให้หน้ามืด หมดสติได้ง่าย จึงเข้าใจว่าคำเตือนนี้นั้นอาจจะมีความเชื่อมโยงกับงานวิจัยที่บอกว่าดอกอัญชันมีส่วนช่วยในเรื่องของการหลับ แต่ถ้าหากกินในปริมาณที่น้อยก็ไม่สามารถทำให้ถึงกับหลับได้

สำหรับผู้ป่วยโลหิตจาง ที่มีการเตือนว่าดอกอัญชันมีฤทธิ์ในการละลายลิ่มเลือด ต้องทำความเข้าใจไว้ก่อนว่าดอกอัญชันนั้นไม่ได้ทำให้เลือดจางลง แต่จะทำให้เลือดไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้นหากกินในปริมาณที่พอเหมาะ 2-3 ดอก กินไม่ต่อเนื่อง อาจจะเป็นกินสลับวันก็ได้ แต่ถ้าหากกินในปริมาณที่เยอะ 10-15 ดอก โดยหากกินอย่างต่อเนื่องทุกวันจะเป็นอันตรายได้ เพราะได้มีการวิจัยแล้วว่าถ้ากินยาละลายลิ่มเลือดควบคู่อยู่ด้วยแล้วเกิดมีบาดแผลก็จะทำให้เลือดหยุดไหลได้ยาก

นอกจากนี้ ดอกอัญชันนั้นเวลาเด็ดจะมียางสีขาวอยู่ หากจะกินดอกอัญชันแบบสดหรือนำไปปรุงเป็นอาหาร ก็ควรล้างให้สะอาดก่อน เพราะอาจทำให้ระคายเคืองระบบทางเดินอาหารได้ และในตัวเมล็ดของดอกอัญชันจะมีฤทธิ์เบื่อเมาอยู่ หากกินเข้าไปอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ได้ แต่โดยปกติแล้วก็ไม่ค่อยมีใครกินเมล็ดของดอกอัญชันกันอยู่แล้ว

ดังนั้น คำเตือนที่ได้มีการแชร์บนโลกโซเชียลนั้นจึงมีส่วนที่ตรงตามคำเตือนอยู่บ้าง ดอกอัญชันนั้นเป็นสมุนไพรที่มีทั้งประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมากหากกินในปริมาณที่พอเหมาะ 2-3 ดอกต่อวัน แต่ดอกอัญชันนั้นก็มีโทษอันตรายอยู่ หากกินในปริมาณที่มากจนเกินไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าอะไรที่กินมากจนเกินความต้องการของร่างกายนั้นจะมีโทษอันตรายอยู่เสมอ ดังนั้นจึงควรกินแต่พอเหมาะพอประมาณ

เพชรสังฆาต พิฆาตริดสีดวง ไม่ต้องห่วงกระดูก

เพชรสังฆาตเป็นสมุนไพรที่คนรู้จักกันดีว่าใช้รักษาริดสีดวงทวาร หมอยาพื้นบ้านเรียกชื่อต่างกันไป เช่น ตำลึงทอง ย่าพลู ร้อยข้อ สามร้อยข้อ ขันข้อ ต่อกระดูก เพชรสังฆาตมีสรรพคุณเด่นๆ อยู่ 2 อย่าง คือ รักษากระดูกหัก กระดูกแตก กับริดสีดวงทวาร นอกจากนี้ยังใช้แก้หวัด บำรุงร่างกาย และรักษามะเร็ง

คนสมัยก่อนชอบปลูกเพชรสังฆาตไว้ตามบ้าน เพราะเป็นสมุนไพรที่ไม่ต้องดูแลมาก ในหมู่บ้านต่างๆ อย่างน้อยต้องมีสักสามสี่บ้านที่ปลูกต้นนี้ไว้ใช้รักษาริดสีดวงทวาร ที่ต้องมีติดบ้านเพราะโรคนี้มักเป็นๆ หายๆ อยู่เสมอ

ถ้าจัดประกวดสมุนไพรที่กินยุ่งยากที่สุด เพชรสังฆาตคงได้ขึ้นแท่นรับรางวัล เพราะถ้าเอามาเคี้ยวกินหรือสัมผัสเถาโดยตรงจะระคายคัน เนื่องจากมีผลึกแคลเซียมอ๊อกซาเลทสูง ทั้งหมอยาและชาวบ้านจะคิดหาวิธีกินเพชรสังฆาตกันหลายแบบ แต่โดยทั่วไปจะแนะนำให้ใช้เถาสด 2-3 องคุลี หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่แตงกวาหรือกล้วย กลืนลงไป หรือนำผงแห้งมาคลุกกับมะขามเปียก (มะขามมีฤทธิ์เป็นกรดจะฆ่าพิษผลึกแคลซียมอ๊อกซาเลท) ปั้นเป็นลูกกลอน แต่ตอนบดเป็นผงก็ต้องสวมถุงมือป้องกัน อย่าสัมผัสโดยตรงเพราะคันมาก

ส่วนตำรับของพ่อหมอประกาศ ใจทัศน์ ที่ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร จะนำไปใส่กล้วยตีบเอาไปนึ่ง แล้วนำไปตากแดด จึงค่อยเอามากิน ฟังดูยุ่งยากกว่าวิธีอื่น แต่ถึงแม้จะกินยากกินเย็นก็ยังอุตส่าห์ทำกินกัน แสดงว่าเพชรสังฆาตต้องดีจริงๆ คนสมัยก่อนถึงได้ลงทุนกันขนาดนั้น โดยส่วนตัวเคยแนะนำให้คนที่เป็นริดสีดวงทวารหลายคนลองใช้เพชรสังฆาต ส่วนใหญ่จะบอกว่าได้ผลดี

เพชรสังฆาต จากรั้วบ้านผ่านห้องยา

จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร หันมาใช้เพชรสังฆาตแทนยาปัจจุบันในการรักษาโรคริดสีดวงทวาร คือ ในปี 2543 นายแพทย์เปรม ชินวันทนานนท์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลในขณะนั้น เสนอว่าให้ลองหายาสมุนไพรมาใช้ทดแทนยาแผนปัจจุบัน ทำให้นึกถึงเพชรสังฆาตทันที เนื่องจากในการประชุมทางวิชาการของกองวิจัยการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีรายงานว่า โรงพยาบาลโคกสำโรงนำเพชรสังฆาตมาบดเป็นผงผสมมะขามเปียกมาทอดลองทางคลินิกในคนไข้ ในปี 2530-2532 พบว่าได้ผลดี และที่โรงพยาบาลบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก ก็มีการนำเพชรสังฆาตมาใช้ในการรักษาริดสีดวงทวารด้วย นอกจากนี้มีการทดสอบความเป็นพิษกึ่งเรื้อรังของสมุนไพรชนิดนี้ก็พบว่าปลอดภัย บวกกับประสบการณ์ที่เห็นเพชรสังฆาตเป็นยาในดวงใจของหมอยาทั้งหลายในการรักษาริดสีดวงทวาร ซึ่งในทางการแพทย์แผนปัจจุบันจะเรียกว่า drug of choice หรือยาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับโรคนั้นๆ คือ ยาที่เป็นตัวเลือกแรก เพราะมีประสิทธิภาพมากที่สุด และผลข้างเคียงน้อย

นอกจากนี้ ยอดอ่อนเพชรสังฆาตยังเอามาแกงกินได้เหมือนแกงบอน เพราะมีวิธีทำกินที่แก้เอาความคันออกไป อาหารเมนูนี้กินได้ทั้งคนเป็นริดสีดวงและคนทั่วไป แถวราชบุรียังมีการทำน้ำเพชรสังฆาตขายคู่กับน้ำเก๊กฮวย คล้ายกับที่คุณแม่ซิ่ว จันทร์สูรย์ อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี ปลูกเพชรสังฆาตไว้ต้มน้ำกินแก้หวัด บำรุงร่างกาย บำรุงกระดูก การที่เพชรสังฆาตสามารถนำมาทำเป็นอาหารและเครื่องดื่มได้ ก็ช่วยให้มั่นใจขึ้นว่าน่าจะนำมาทำเป็นยาได้อย่างปลอดภัย

แม้ว่าในขณะนั้นจะยังไม่มีการส่งเสริมการปลูก แต่วัตถุดิบเพชรสังฆาตก็หาได้ไม่ยาก เพราะมีหมู่บ้านต่างๆ ส่งวัตถุดิบมาสนับสนุน ดังนั้นคณะกรรมการเภสัชกรรมและการบำบัดของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จึงมีมติให้ใช้ยาแคปซูลเพชรสังฆาตทดแทนยาแผนปัจจุบันรักษาริดสีดวงทวารที่มีราคาแพงกว่า โดยตัดยาแผนปัจจุบันดังกล่าวออกจากบัญชีไปเลยจนกระทั่งปัจจุบัน

ยาบำรุงกระดูก สมุนไพรยอดฮิตตัวใหม่

เพชรสังฆาตจะขึ้นกระจายในเขตร้อนของทวีปเอเชียและแอฟริกา ตามบริเวณชายป่าหรือที่ชื้น ที่ระดับความสูงไม่เกิน 600 เมตร ดังนั้นคนพื้นเมืองในเอเชียและแอฟริกาจึงมีประสบการณ์ช่ำชองในการใช้ประโยชน์จากต้นเพชรสังฆาตนี้

ในอินเดียจะเรียกชื่อเพชรสังฆาตว่า Asthi sringhala ซึ่งแปลว่า สมานกระดูก (Asthi หรือ อัฐิ ในภาษาไทย) คนอินเดียใช้สมุนไพรชนิดนี้ในการรักษาเกี่ยวกับกระดูก โดยนำไปผสมกับแป้งและสมุนไพรบางชนิดทำเป็นยาพอกรักษากระดูกหัก หรือกระดูกแตก มีบางตำรับทำเป็นยากิน รักษาอาการปวดหลัง

สำหรับสรรพคุณด้านนี้ของเพชรสังฆาต ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดจากเพชรสังฆาตที่ใช้รักษาโดยการกินและทามีฤทธิ์ทำให้การรักษากระดูกหักได้ผลดีขึ้นจริง ทำให้เกิดกระแสการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพชรสังฆาตในตลาดโลก โดยใช้เป็นยาเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก เอ็น และข้อต่อ สมกับชื่อเรียกอื่นๆ ของเพชรสังฆาต เช่น ขันข้อ ร้อยข้อ ต่อกระดูก จริงๆ

นอกจากการรักษากระดูกแล้ว คนอินเดียยังดื่มน้ำคั้นจากต้นสดของเพชรสังฆาต ในการรักษาประจำเดือนผิดปกติ การใช้ในสรรพคุณนี้ยังพบในปากีสถาน ฟิลิปปินส์ มีข้อสังเกตว่าสมุนไพรที่ใช้รักษาประจำเดือนผิดปกติจะใช้กับหญิงมีครรภ์ได้หรือเปล่า จากการค้นคว้าตำราพบว่า เพชรสังฆาตไม่มีข้อห้ามใช้ในคนท้อง และมีการทดลองว่าเพชรสังฆาตทำให้แท้งในหนูหรือไม่ ก็พบว่าไม่มีฤทธิ์ทำให้แท้งหรือฤทธิ์ต้านการฝังตัวของตัวอ่อนแม้แต่อย่างใด ในประเทศกลุ่มอาหรับใช้ต้นแห้งทั้งต้นต้มน้ำดื่มรักษาทุกโรค ถือเป็นยาครอบจักรวาล ทั้งยังคั้นเอาน้ำจากต้นนี้รักษาแผลให้อูฐด้วย

ปัจจุบันการศึกษาวิจัยของเพชรสังฆาตมุ่งไปที่การบำรุงกระดูกเสียมากกว่า รวมทั้งใช้เป็นสมุนไพรควบคุมน้ำหนัก เพราะทำการตลาดได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาพบว่าเพชรสังฆาตมีฤทธิ์แก้ปวด แก้อักเสบ พบสารฟลาโวนอยด์ที่อาจช่วยทำให้เส้นเลือดแข็งแรงขึ้น ข้อมูลนี้สนับสนุนสรรพคุณการรักษาริดสีดวงของเพชรสังฆาต นอกจากนี้เพชรสังฆาตยังมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยย่อยอาหาร ขับลมในลำไส้ เป็นสมุนไพรที่ให้พลังกับชีวิต จนได้ชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าตำลึงทอง เพราะมีใบคล้ายตำลึง แต่มีค่าดั่งทองคำนั่นเอง

ตำรับยา

ยาริดสีดวงทวาร ขนานที่ 1

เพชรสังฆาตหั่นตากแห้งบดให้เป็นผงละเอียด มาคลุกกับน้ำมะขามเปียก ทำเป็นยาลูกกลอน ขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย รับประทานประมาณครั้งละ 5 เม็ด วันละ 3 ครั้ง ประมาณ 10-15 วัน จึงจะเห็นผล (ต้องระวังอย่าสัมผัสเนื้อเพชรสังฆาตโดยตรง)
ยาริดสีดวงทวาร ขนานที่ 2

ใช้เพชรสังฆาตครั้งละ 2-3 องคุลี (หนึ่งข้อนิ้วกลาง) เป็นเวลา 14 วัน ติดต่อกัน โดยหั่นบางๆ ใช้เนื้อมะขามเปียก หรือเนื้อกล้วยสุกหุ้ม กลืนทั้งหมด

ยารักษาริดสีดวงทวาร ตำรับพ่อประกาศ ใจทัศน์

พ่อประกาศเรียกเพชรสังฆาตว่า ย่าพลู แต่ก่อนจะปลูกอยู่บนค้างพลู เอากล้วยตีบมาตัดหัวท้ายเอาไม้เจาะกล้วย เอาเพชรสังฆาตผ่า 4 ซีก เอา 1 ซีก และเอาว่านชักมดลูก 1 เสี้ยวลงไปด้วย เอาไปนึ่งและแกะเปลือกออก นำกล้วยไปตากแดดจนแห้ง เอาเชือกร้อยเก็บไว้ เวลาร้อยให้ลูกกล้วยห่างกัน ถ้าชิดกันจะอับชื้นขึ้นราได้ วิธีกินคือ กินทั้งลูก ครั้งละ 2 ลูก วันละ 2 ครั้ง กินทั้งหมด 3 หวี พ่อบอกหายทุกคน

ตำรับอาหาร

แกงเพชรสังฆาต

ส่วนประกอบ

เพชรสังฆาต น้ำมะขามเปียก น้ำปลาร้า น้ำตาลปี๊บ ใบมะกรูด เครื่องแกง ข่า ตะไคร้ กระชาย พริกแห้ง หอมแดง กระเทียม ปลาย่าง เกลือ
วิธีทำ

เลือกเอาเพชรสังฆาตเฉพาะปล้องที่อ่อนๆ นำมาปลอกเปลือกออก เคี่ยวในน้ำเดือดจนนิ่ม ใส่กระชอนพักไว้ ทำพริกแกงโดยโขลกข่า ตะไคร้ กระชาย พริกแห้ง หอมแดง กระเทียม กับเกลือให้ละเอียด แล้วใส่ปลาย่างลงไปโขลกรวมกับน้ำพริกแกง ตั้งน้ำให้เดือดใส่พริกแกงลงไปละลาย ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำปลา น้ำปลาร้า น้ำตาล เกลือ จากนั้นใส่เพชรสังฆาตที่สะเด็ดน้ำแล้วลงไป เคี่ยวไฟอ่อนไปเรื่อยๆ จะเพชรสังฆาตเปื่อยนิ่ม จากนั้นใส่ใบมะกรูดฉีกลงไป ปิดไฟแล้วยกลง

น้ำสมุนไพรเพชรสังฆาต

ส่วนประกอบ

เพชรสังฆาตสดยาว 1 วา น้ำ 3 ลิตร น้ำตาลกรวด

วิธีทำ

นำเพชรสังฆาตสดมาล้างให้สะอาด ขดเป็นวงใส่ลงในหม้อ เติมน้ำ ต้มน้ำจาก 3 ลิตร ให้เหลือ 1 ลิตร น้ำจะออกสีเหลือง ให้ตักเพชรสังฆาตออก กรองให้น้ำสะอาด นำตั้งไฟ ใส่น้ำตาลกรวด ชิมรสตามชอบ


ที่มา หนังสือบันทึกของแผ่นดิน ๖ สมุนไพรท้องไส้…ในวิถี ASEAN โดย ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร

สมุนไพรดีมีประโยชน์ที่หลายคนอาจยังไม่รู้!! แม้จะเคยผ่านลิ้นมาบ้างในต้มเลือดหมูเพราะบางร้านนิยมใส่แทนใบตำลึงหรือผักกาดหอม เนื่องจากจิงจูฉ่ายมีกลิ่นหอมจึงใช้ดับกลิ่นคาวของเครื่องในได้ดี แต่รู้มั้ยว่าสมุนไพรเชื้อสายจีนชนิดนี้ยังมีสิ่งดีๆ ให้เราอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น…

1.ปรับสมดุลในร่างกาย จิงจูฉ่ายเป็นสมุนไพรที่นิยมมากของชาวจีน เพราะมีคุณสมบัติเป็นหยินหรือสมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นยาเย็น หากกินจิงจูฉ่ายในช่วงหน้าหนาวจะช่วยปรับสมดุลให้ร่างกาย แก้พิษไข้ ลดอาการร้อนใน อีกทั้งยังช่วยบำรุงปอดและฟอกเลือดด้วย

2.ช่วยเรื่องความดัน น้ำมันหอมระเหยในลำต้นและใบของจิงจูฉ่ายมีสารไลโมนีน ซิลนีน และสารไกลโคไซด์ มีสรรพคุณช่วยปรับสมดุลความดันเลือด ทำให้เส้นเลือดขยายตัวและเลือดไหลเวียนได้สะดวก ใครที่มีปัญหาเรื่องความดันหรือสตรีที่เลือดลมไม่ปกติ ลองกินจิงจูฉ่ายอาจจะช่วยปรับความดันเลือดให้คงที่ได้

3.ตัวช่วยคนช่างกิน เพราะจิงจูฉ่ายมีสรรพคุณช่วยในเรื่องของการขับลมในลำไส้และกระเพาะอาหาร จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยลดอาการจุกเสียด แน่นเฟ้อ เพราะอาหารไม่ย่อยจากมื้ออาหารแบบจัดหนักได้

4.ต้านมะเร็งร้าย ขอย้ำว่าไม่ใช่การรักษาโรคมะเร็ง! เพียงแต่มีการวิจัยที่นำใบจิงจูฉ่ายประมาณ 1 กำมือ มาปั่นหรือตำคั้นน้ำเพื่อรับประทานเช้า-เย็นก่อนมื้ออาหารสัก 1 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลา 2–3 เดือน ว่ากันว่าจะสามารถช่วยต้านทานต่อเซลล์มะเร็งได้ แต่ยังไงก็ต้องดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย และเลือกกินอาหารที่ดีด้วย

5.สรรพคุณทางยาอื่นๆ ที่น่าสนใจ ว่ากันว่าจิงจูฉ่ายมีสรรพคุณช่วยขับพิษ แก้อาการอักเสบของผิวหนัง ช่วยลดอาการผดผื่นคัน นอกจากนี้ยังเป็นพืชที่มีโซเดียมต่ำเหมาะกับผู้ที่เป็นโรคไต และยังช่วยในการฆ่าไวรัส เพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคมาลาเรียได้อีกทาง

6.ปรุงคาวก็ได้ ปรุงหวานก็ดี ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าเจ้าผักสมุนไพรชนิดนี้ใช้ทำอาหารได้สารพัด ตั้งแต่ต้มจืด ผัดผัก แกงเผ็ด ทอดกรอบ หรือใส่ในยำแซบๆ แต่ที่เริ่ดกว่านั้นยังสามารถพลิกแพลงใส่ในขนมอบ เช่น คุกกี้หรือขนมปังช่วยเพิ่มความหอมและคุณค่าทางอาหาร รวมถึงทำเป็นเครื่องดื่มร้อนๆ อย่างใบชาจิงจูฉ่ายก็ไม่ผิดกติกา

7.กินสดช่วยลดโรค จิงจูฉ่ายในปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงานถึง 392 กิโลแคลอรี่ มีเส้นใยและคุณค่าสารอาหารสูง โดยเฉพาะแคลเซียมและวิตามินซี แต่จะให้ได้คุณค่าสูงสุดก็ต้องกินสดๆ ไม่ว่าจะกินเป็นผักเคียงกับเมนูลาบ สาคูไส้หมู จิ้มน้ำพริก หรือจะกินแบบน้ำผักคั้นสดๆ ผสมน้ำผึ้งนิด น้ำมะนาวหน่อยก็ได้

8.แต่งบ้านสวย ปลูกขายก็รวย จิงจูฉ่ายเป็นไม้ล้มลุกที่เลี้ยงง่าย ทรงพุ่มสวย ใบหยักสีเขียวเข้มชวนมอง สามารถปลูกเป็นไม้คลุมดินเพื่อตกแต่งบ้านก็ได้ ปลูกไว้กินเป็นสมุนไพรก็ดี ขณะเดียวกันยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่ปลูกขายได้กำไรงาม นับเป็นพืชสารพัดประโยชน์จริงๆ

ได้รู้จักประโยชน์ดีๆ ที่ชวนให้หลงรักเจ้าจิงจูฉ่ายกันแล้ว ก็ลองไปหาทานกันดู จะเลือกแบบซื้อจากตลาดมาทำอาหารทานเอง หรือหาทานตามร้านต่างๆ ที่ใช้จิงจูฉ่ายมาเป็นส่วนประกอบในการทำอาหาร เช่น ร้านต้มเลือดหมู หรือถ้าจะหาทานจิงจูฉ่ายในร้านขึ้นห้าง ตอนนี้เห็นจะมีร้านฌานา ร้านอาหารสุขภาพใจกลางห้างสยามเซ็นเตอร์ ที่นำเอาจิงจูฉ่ายออร์แกนิคมาใช้เป็นส่วนประกอบของหม้อซุปสมุนไพร เมนูซิ๊กเนเจอร์ประจำร้าน มีให้เลือกทั้งแบบซุปไก่สมุนไพร และ ซุปแซ่บสมุนไพร ช่วยเพิ่มรสชาติความอร่อยและสารพัดคุณประโยชน์ แถมกินแล้วสบายใจหายห่วงเพราะปลอดสารพิษ นอกจากนี้ร้านฌานา ยังมีการนำจิงจูฉ่ายมาสกัดเย็นพร้อมกับผลไม้กับเมนูเครื่องดื่ม Cold Pressed Juice รสชาติ Charna Longevity ดื่มแล้วสดชื่น ดีต่อใจและดีต่อร่างกายแน่นอน หากอยากลองลิ้มชิมรสชาติจิงจูฉ่าย เพื่อประโยชน์ต่อร่างกายแวะไปได้ที่ร้านฌานา พิกัดร้านตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ เปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 10.00–21.00 น.