ปัญหาขยะจากอาหารเป็นประเด็นที่ต่างประเทศกำลังให้ความสำคัญอย่างมาก และพยายามจะหาทาง “ประนีประนอม” ในการที่จะหาจุดกึ่งกลางของผู้ผลิตและผู้บริโภค ทำให้ที่ผ่านมา เราได้ยินเรื่องการนำอาหารที่ยังรับประทานได้ แต่ต้องทิ้งเพื่อให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ด้านคุณภาพ มาหาทางออกกัน

ล่าสุด เรามีกรณีน่าสนใจ พาไปดูร้านค้าสหกรณ์ในอังกฤษที่ขายอาหารแห้งและอาหารกระป๋องที่เลยช่วงประทับตราวันที่ “best before” หรือเลยช่วงวันที่ระบุว่า “ดีที่สุดควรบริโภคภายในวันที่”

ร้านสหกรณ์ลักษณะนี้มีอยู่ราว 125 แห่ง ในอังกฤษ ปรากฎว่า บรรดาของแห้งอย่างข้าวสาร มันฝรั่งอบกรม เส้นพาสต้า สามารถขายได้หลังเวลา 22.00 น. เล็กน้อยเป็นต้นไป ถือว่าเป็นการทดลองที่ประสบผลสำเร็จ

อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้จะไม่ทำกับอาหารที่เสียง่ายอย่างผัก ผลไม้หรือเนื้อสัตว์

ทั้งนี้ ที่ผ่านมากลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ตเชนใหญ่ๆจะเป็นค้าปลีกเจ้าแรกๆที่สามารถวางขายสินค้าที่เกินวันที่ “best before” ได้ก่อน

แต่ปรากฎว่าขณะนี้มีการทดลองนำอาหารกระป๋อง อาหารแห้งที่เลยตีตรา “best before” มาวางขายในร้านค้าสหกรณ์ในย่านฝั่งตะวันออกของประเทศอังกฤษจำนวน 125 แห่ง โดยจะขายสินค้าเหล่านี้ลดราคา หลังช่วงเวลา 22.00 น.เป็นต้นไป เพื่อลดปัญหาจากขยะจากอาหารที่ต้องทิ้งไป

โรเจอร์ กรอสเวเนอร์ ผู้บริหารกลุ่มสหกรณ์ฝั่งตะวันออก กล่าวว่า ผลการทดลองเป็นเวลา 3 เดือน ในร้านค้า 14 แห่ง ประสบความสำเร็จอย่างดี เพราะเมื่อถึงเวลา 22.00 น. สินค้าทั้งหมดสามารถขายออกไปได้หมดภายในไม่กี่ชั่วโมง

“ผู้ซื้อส่วนใหญ่เข้าใจ และพวกเขาพอใจที่จะรับประทานผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ซึ่งก็เป็นสินค้าที่เขาชอบอยู่แล้วเป็นทุน”กรอสเวเนอร์ ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ East Anglian Daily Times

“การนำอาหารที่เลยช่วงเวลาที่ตีตราว่าช่วงเวลาที่ควรบริโภคดีที่สุดภายในวันที่เท่าไหร่ และนำอาหารที่เลยมาขาย การทำเช่นนี้ไม่ใช่การบริหารจัดการเพื่อสร้างรายได้ แต่เป็นการบริหารจัดการที่เหมาะสมเพื่อลดขยะอาหารและยังเป็นการมองถึงอาหารที่ยังสามารถเก็บไว้กินได้ เป็นการมองถึงระยะยาวของห่วงโซ่อาหาร”เขากล่าว

ทั้งนี้ ใครที่กังวลเรื่องความปลอดภัย แนวคิดนี้จะไม่ใช้กับอาหารที่เน่าเสียง่าย เช่น เนื้อสัตว์และผักผลไม้สด ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อการกินเมื่อเกินวันที่ best before

สำหรับการตีตรา best before บนผลิตภัณฑ์อาหารนั้น ในด้านหนึ่ง เป็นการระบุให้ผู้ซื้อเล็งเห็นถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ว่าจะยอดเยี่ยมที่สุดภายในช่วงเวลาไหน มากกว่าการพูดถึงเรื่องความปลอดภัยของอาหาร

สำนักงานมาตรฐานอาหารของอังกฤษ ระบุว่าภาคการผลิตและค้าปลีกของอังกฤษ ต้องทิ้งผลิตภัณฑ์จากอาหารสูงถึง 1.9 ล้านตันต่อปี ทั้งที่สามารถหลีกเลี่ยงกรณีเช่นนี้ได้ถึง 1.1 ล้านตัน

อาหารเหลือทิ้งทั่วโลกปีละ 1.3 ล้านตัน

“ลิซ่า ไทเลอร์” ผู้ผันตัวจากผู้สื่อข่าวสายท่องเที่ยว หันมาปลูกพืชผัก เกษตรอินทรีย์ที่มาเลเซีย และ ลาว เพื่อจำหน่ายสู่ภัตตาคารต่างๆ เคยให้ข้อมูลที่น่าสนใจไว้เมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ระหว่างเตรียมร่วมงาน (Re) Food Forum ซึ่งจัดที่กรุงเทพฯช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า จากการค้นคว้าพบว่าในทุกๆปี จะมีการผลิตพลาสติก 400 ล้านตัน โดย 40% ผู้บริโภคใช้ครั้งเดียวทิ้ง นอกจากนี้ ถุงพลาสติก 1 ใบ ใช้เวลาแค่ 20 วินาทีในการผลิต และ ผู้บริโภคใส่ของเพียง 1 นาทีแล้วทิ้ง แต่ใช้เวลาถึง 400 ปี ในการย่อยสลาย หรือ 5 ชั่วอายุคน

[คลิกอ่าน เอาอะไรเข้าปากต้องรู้ต้นทาง เพียงหนึ่งคำก็สะเทือนระบบนิเวศโลก]

[ลิซา ไทเลอร์ คนกลาง]

ไทเลอร์ กล่าวต่อว่า เรื่องของอาหาร เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากๆ เนื่องจาก 1 ใน 3 ของอาหารวันนี้ถูกเอาไปใช้แบบสูญเปล่าเป็นอาหารเหลือทิ้งถึง 1.3 ล้านตัน/ปี โดยผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้มากที่สุด คือ อุตสาหกรรมให้บริการที่เกี่ยวกับธุรกิจท่องเที่ยวต่างๆ ไม่ว่าร้านอาหาร โรงแรม ธุรกิจการให้บริการต่างๆ ซึ่งธุรกิจเหล่านี้มีการบริหารจัดการทรัพยากรที่เหลือยังไม่มีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นเราต้องนำเอาโอกาสนี้มาสร้างการตระหนักรู้ให้เกิดการบริหารจัดการที่ดีขึ้น เพราะถ้าระดับนี้บริหารดีแล้ว ระดับประชาชนก็จะได้รับผลดีด้วย

“อาหารที่เหลือทิ้ง ส่วนหนึ่งเพราะหน้าตาไม่ถึงมาตรฐานที่สามารถจำหน่ายได้ เรามีสถิติอาหารที่ต้องทิ้งทุกปี หากนำมาวางที่ประเทศไทย จะสามารถปกคลุมประไทยได้ถึง 2 ประเทศ”ไทเลอร์กล่าวในที่สุด


 

Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111

ใครๆ ก็รู้ดีว่า “อิเกีย” นั้นเป็นดินแดนมหัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่น่าสนใจ, ทันสมัย และข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ที่มีความเก๋ จนเชื่อว่าหากใครได้ไปเดินอิเกียคงจะมีของล็กๆ น้อยๆ ติดมือมาบ้าง ถึงแม้จะมีของที่มีประโยชน์แบบเดียวกันนี้อยู่ที่บ้านแล้วก็ตาม

ซึ่งนอกจากเรื่องการออกแบบเฟอร์นิเจอร์แล้ว อิเกียยังกำลังพยายามคาดการณ์และออกแบอาหาร “ฟาสต์ฟู้ดแห่งอนาคต” ด้วย

โดยอิเกียมีห้องแล็บนวัตกรรมลับในโคเปนเฮเกน ซึ่งเรียกว่า สเปซ 10 สถานที่ที่อิเกียใช้ทำวิจัยและพัฒนาสินค้า รวมถึงการวิจัยโครงการที่เรียกว่า “การอยู่อาศัยแห่งอนาคต” ซึ่งก่อนหน้านี้โครงการดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการทำ 3D printing เมนูมีทบอล

แน่นอนว่ามีทบอลของอิเกียเป็นจานเด็ดของใครหลายคน แต่อิเกียระบุว่า อาหารฟาสต์ฟู้ดในอนาคตนั้นต้องเป็นหรือควรจะเป็นอาหารที่ยั่งยืนและดีต่อสุขภาพ โดยที่ผ่านมามีทบอลจากการพิมพ์สามมิติก็เป็นส่วนหนึ่งของการทดลองนำส่วนผสมอื่น เช่น แมลง, สาหร่าย และเนื้อที่เพาะในห้องทดลองมาใช้ แต่จากข้อมูลล่าสุดพบว่า โครงการสเปซ 10 จะเกี่ยวข้องกับการ “คิดใหม่” ในอาหารฟาสต์ฟู้ด ที่ยังคงความอร่อยแต่ว่าดีต่อสุขภาพ ดีต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อม

ภาพจาก SPACE10

เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา สเปซ 10 ได้ภูมิใจนำเสนอเมนูที่มีชื่อว่า “ฮอตด็อกไร้ไส้กรอก” ซึ่งแทนที่ด้วยแครอทอ่อนตากแห้งและเคลือบ ราดด้วยซอสบีทและเบอร์รี่, มัสตาร์ด และครีมขมิ้น, หัวหอมซอย และแตงกวาซอย

ภาพจาก SPACE10

สิ่งที่แตกต่างไปจากฮอตด็อกแบบเดิมยังอยู่ที่ “ขนมปัง” ที่จะทำมาจากสไปรูลินา นั่นหมายความว่าขนมปังจะมีสีเขียว อุดมไปด้วยธาตุเหล็กและเบต้าแคโรทีน และมีโปรตีนมากกว่าฮอตด็อกธรรมดา

อีกเมนูจากสเปซ 10 ของอิเกียก็คือ “เบอร์เกอร์แมลง” ซึ่งเป็นเมนูที่พยายามจะชักชวนให้คนหันมากินโปรตีนจากแมลงมากขึ้น เนื่องจากแมลงเป็นแหล่งโปรตีนที่ยั่งยืน และคนหลายล้านคนบนโลกก็กินแมลงอยู่แล้ว แต่คนสหรัฐฯยังสะดุดใจกับแนวคิดนี้ เพราะมองว่าแมลงเป็นอาหารที่ไม่น่ากิน

ภาพจาก SPACE10

เพื่อแสดงให้เห็นว่าอาหารจากแมงนั้นไม่ได้น่ากลัว อิเกียจึงรังสรรค์เมนู “เบอร์เกอร์แมลง” ขึ้น ซึ่งเบอร์เกอร์แต่ละอันจะประกอบด้วยบีทรูท 100 กรัม, หัวผักกาด 60 กรัม, มันฝรั่ง 60 กรัม และหนอนนก 60 กรัม ซึ่งทำให้ได้เบอร์เกอร์ที่มีสีแดงเข้มและดูคล้ายเนื้อ ย่างให้พอดี เสิร์ฟพร้อมบีทรูทและซอสแบล็คเคอร์แรนท์, ซอสกระเทียม และพืชพวกไมโครกรีน

ภาพจาก SPACE10
ภาพจาก SPACE10

เป้าหมายของอิเกียในการพัฒนาฟาสต์ฟู้ดแห่งอนาคตนั้นก็เพื่อ “เปลี่ยนความคิดของผู้คนเกี่ยวกับอาหาร” และ “สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนลองกินส่วนผสมใหม่ๆ” รวมถึงทำอาหารที่กินได้จริงและอร่อย

น่าเสียดายที่เมนูเหล่านี้เป็นเพียงงานวิจัยเท่านั้น และอิเกียยังไม่มีแผนที่จะนำเบอร์เกอร์แมลงจำหน่ายในร้าน แต่ยังสนใจว่าอาหารในอนาคตควรจะเป็นแบบไหน หรือไม่แน่ว่าในอนาคตอันใกล้ เราอาจจะได้ไปซื้อขนมปังสไปรูลิน่าและมีทบอลหนอนนกที่อิเกียก็ได้!

 

เครดิตภาพจาก SPACE10


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเดินขบวนรถเที่ยวปฐมฤกษ์เส้นทาง กรุงเทพ – พัทยา –
บ้านพลูตาหลวง – กรุงเทพ เริ่มให้บริการเที่ยวแรก 17 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสาร นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่จะเดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันหยุด

โดยจะมีให้บริการเป็นประจำทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ ในระยะแรกเปิดทดลองเป็นระยะเวลา 6 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม – 30 กันยายน 2561

“พื้นที่ในจังหวัดชลบุรีที่มีแหล่งท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก เช่น ตลาดน้ำ 4 ภาค พัทยา
สวนนงนุช เรือหลวงจักรีนฤเบศร หาดนางรำ หาดนางรอง สวนน้ำการ์ตูนเน็ทเวิร์ค อเมโซน ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลกองทัพเรือ เพอร์คูล่าฟาร์ม ฟาร์มปลาการ์ตูน ฯลฯจึงได้เปิดเดินขบวนรถพิเศษโดยสาร กรุงเทพ – พัทยา – บ้านพลูตาหลวง – กรุงเทพ ซึ่งเป็นรถดีเซลราง นั่งปรับอากาศชั้น 2 รองรับการเดินทาง และอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยจะมีให้บริการเป็นประจำทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ ในระยะแรกเปิดทดลองเป็นระยะเวลา 6 เดือน มีให้บริการวันละ 2 ขบวน ไป/กลับ เริ่มให้บริการวันเสาร์ที่ 17 มีนาคม – วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน 2561” อานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นประธานในพิธีเปิดเดินขบวนรถเที่ยวปฐมฤกษ์เส้นทาง กรุงเทพ – พัทยา – บ้านพลูตาหลวง – กรุงเทพ อธิบาย

นายอานนท์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การรถไฟฯ ได้รับความร่วมมือจากสมาคมผู้ประกอบการขนส่งจังหวัดชลบุรี ในการอำนวยความสะดวกจัดรถโดยสารให้บริการรับ – ส่ง ผู้โดยสารจากสถานีรถไฟเชื่อมต่อไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ

นอกจากนี้ การรถไฟฯ ยังได้จับมือกับสมาคมแหล่งท่องเที่ยวพัทยา มอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้โดยสารที่เดินทางไปกับขบวนรถโดยสารพิเศษนี้ เพียงแสดงตั๋วโดยสารรถไฟที่แหล่งท่องเที่ยว

อาทิ สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล ม.บูรพา สวนเสือศรีราชา ปราสาทสัจธรรม PATTAYA DOLPHIN WORLD & RESORT ART IN PARADISE PATTAYA TEDDY BEAR MUSEUM PATTAYA CARTOON NETWORK AMAZON RAMAYANA WATER PARK บ้านกลับหัว พัทยา เมทัล อาร์ท แกลลอรี่ ศิลปะจากเหล็ก ก็สามารถรับสิทธิพิเศษ หรือส่วนลดต่าง ๆ มากมาย

ทั้งนี้ คาดว่าเมื่อเปิดให้บริการขบวนรถพิเศษดังกล่าวแล้วจะมียอดผู้ใช้บริการรถไฟเพิ่มขึ้น และหากมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะมีการพิจารณาขยายเวลาการให้บริการต่อไป

สำหรับตารางเวลาขบวนรถ

– เที่ยวไป ขบวน 997 กรุงเทพ – บ้านพลูตาหลวง “เดินเฉพาะวันเสาร์/อาทิตย์”
กรุงเทพ – 06.45 น.
มักกะสัน – 06.59 น.
คลองตัน – 07.07 น.
หัวหมาก – 07.15 น.
ลาดกระบัง – 07.28 น.
หัวตะเข้ – 07.33 น.
ชุมทางฉะเชิงเทรา – 08.01 น.
ชลบุรี – 09.13 น.
ชุมทางศรีราชา – 08.54 น.
พัทยา – 09.13 น.
ตลาดน้ำสี่ภาค – 09.24 น.
ญาณสังวราราม – 09.33 น.
สวนนงนุช – 09.38 น.
บ้านพลูตาหลวง – 09.50 น.

– เที่ยวกลับ ขบวน 998 บ้านพลูตาหลวง – กรุงเทพ “เดินเฉพาะวันเสาร์/อาทิตย์”
บ้านพลูตาหลวง – 15.50 น.
สวนนงนุช – 16.00 น.
ญาณสังวราราม – 16.05 น.
ตลาดน้ำสี่ภาค – 16.15 น.
พัทยา – 16.26 น.
ชุมทางศรีราชา – 16.45 น.
ชลบุรี – 17.03 น.
ชุมทางฉะเชิงเทรา – 17.37 น.
หัวตะเข้ – 18.05 น.
ลาดกระบัง – 18.11 น.
หัวหมาก – 18.25 น.
คลองตัน – 18.32 น.
มักกะสัน – 18.38 น.
กรุงเทพ – 18.55 น.

ด้านราคาค่าโดยสาร

– กรุงเทพ ไปสถานีชลบุรี – สถานีบ้านพลูตาหลวง : 170 บาท
– กรุงเทพ ไปสถานีชุมทางฉะเชิงเทรา : 80 บาท
– ชุมทางฉะเชิงเทรา ไปสถานีชลบุรี – สถานีบ้านพลูตาหลวง : 90 บาท
ชุมทางศรีราชา ถึงสถานีพัทยา – สถานีบ้านพลูตาหลวง : 50 บาท

สำหรับผู้โดยสารที่จะเดินทางกับขบวนรถดังกล่าว สามารถติดต่อซื้อตั๋วโดยสารล่วงหน้าได้ที่สถานีรถไฟทุกแห่งทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับนักท่องเที่ยวหลายคน การได้กินอาหารแบบที่คนท้องถิ่นกินกันจริง ๆ จัดเป็นกิจกรรมที่พลาดไม่ได้ เพราะนอกจากจะได้ลิ้มลองรสชาติแปลกใหม่ ยังได้เรียนรู้วัฒนธรรมและเรื่องราวของผู้คน แต่การเสาะหาร้านที่คนท้องถิ่นนิยมกัน ต้องใช้เวลาคลำทาง

FoodieTrip จึงกำเนิดขึ้น ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้นักชิมได้เจอกับ food guide ซึ่งเป็นคนท้องถิ่นที่เชี่ยวชาญด้านอาหาร พร้อมจะพาตะลุยกินร้านเด็ด

ปัจจุบัน FoodieTrip มี food guides อยู่ใน 70 เมือง (รวม กทม.ด้วย) จาก 46 ประเทศทั่วโลก

“มาธาน แมคกริว” ซีอีโอและผู้ก่อตั้งได้ไอเดียนี้จากประสบการณ์ที่เคยซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของไกด์ท้องถิ่นในฮานอยเพื่อตระเวนชิมอาหารที่คนท้องถิ่นโปรดปราน และพบว่าเขายังได้เรียนรู้วิถีชีวิตของคนท้องถิ่นและได้เพื่อนเพิ่มขึ้นมากมายจากการเที่ยวแบบนี้

ความประทับใจนั้น ทำให้เขาตัดสินใจก่อตั้ง FoodieTrip ขึ้น เพื่อเป็นศูนย์กลางให้คนที่มีใจรักอาหารของบ้านเมืองตัวเองกับนักท่องเที่ยวที่ชอบลองอาหารที่หลากหลาย ได้มีโอกาสเจอะเจอกัน

หลังสมัครใช้งานแล้ว ฝ่ายไกด์สามารถนำเสนอโปรแกรมทัวร์พร้อมรายละเอียดต่าง ๆ ได้เลย ส่วนนักท่องเที่ยว/นักชิมก็แค่คลิกเลือกเมืองที่ตนเองจะไป เลือกโปรแกรมของไกด์ที่เข้าตา จากนั้นก็จ่ายเงินเป็นอันเสร็จ (FoodieTrip ไม่โอนให้ไกด์จนกว่าทัวร์จะเสร็จสิ้น กันการเบี้ยวกลางอากาศ)

ข้อดีของ FoodieTrip คือ มีโปรแกรมหลากหลาย ตั้งแต่ตะลอนกินอาหารข้างทางในไชน่าทาวน์ ดื่มด่ำรสชาติกาแฟหอมกรุ่นถึงแหล่ง ไปจนถึงตระเวนราตรีจิบเครื่องดื่มเย็น ๆ ตามสไตล์คนท้องถิ่น ไกด์คนไหนจัดทัวร์ดี ตรงเวลา มีคนชมเยอะ และมีประสบการณ์ออกรอบไม่ต่ำกว่า 30 ครั้ง จะได้เลื่อนขั้นเป็น “ซูเปอร์ ไกด์” ได้รับการโปรโมตเป็นพิเศษ ทั้งมีโปรไฟล์แนะนำเป็นลำดับแรก ๆ เวลานักท่องเที่ยวคลิกเข้ามา

รายได้ของ FoodieTrip มาจากทั้งนักท่องเที่ยวและไกด์ นักท่องเที่ยวต้องจ่ายค่าบริการเพิ่มจากค่าทัวร์อีก 15% ส่วนไกด์ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้บริษัทอีก 5% หลังจบงานเบ็ดเสร็จหลังหักค่าการโอน 3% บริษัทจะได้กำไรทั้งหมด 17%

หลังจากเปิดให้บริการไปเมื่อราวต้นปี 2016 บริษัทจัดทัวร์ไปแล้วกว่า 1,000 ครั้ง ในกว่า 70 เมืองทั่วโลก มีผู้ใช้งานประมาณ 12,000 คน และมีคนเข้าเยี่ยมชมเว็บเดือนละ 25,000 คน

อนาคต “มาธาน” วางแผนจะขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมบริษัททัวร์ท้องถิ่นขนาดเล็กและจับมือเป็นพันธมิตรกับสายการบินด้วย เมื่อดูจากกระแสการท่องเที่ยวที่เน้นการหาประสบการณ์ด้านอาหาร (culinary tourism) ที่เงินสะพัดถึงปีละ 1.7 แสนล้านเหรียญ โอกาสที่ธุรกิจของเขาจะเติบโตก็มีสูง

สำหรับใครที่รักอาหารและอยากหารายได้พิเศษจากการเป็น food guide จะลองสมัครดูก็ไม่เสียหายนะคะ ไหน ๆ อาหารไทยเราก็ขึ้นชื่อลือชาไม่แพ้ใครอยู่แล้ว หรือใครมีแผนจะไปเที่ยวต่างแดนและอยากหาคนท้องถิ่นพาชิมอาหาร ลองแวะเข้าไปดูโปรแกรมทัวร์ใน FoodieTrip

ก็น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว


ที่มา คอลัมน์ สตาร์ตอัพปัญหาทำเงิน
โดย มัชฌิมา จันทร์สว่างภูวนะ
นสพ.ประชาชาติธุรกิจ

ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม หลังกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ไทย และ กรมส่งเสริมการค้าลาว จัดงานมหกรรมแสดงสินค้า TOP THAI BRANDS 2018 สปป.ลาว ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาค AEC ผู้ประกอบการไทย- ลาว กว่า 200 บูท สินค้าคุณภาพครบครัน ทั้งสินค้า วัสดุก่อสร้าง ของใช้ภายในบ้าน ธุรกิจบริการ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารและเครื่องดื่ม สุขภาพและความงาม ร่วมออกงาน เหล่าดาราเซเลบคนดังทั้งไทย-ลาว ร่วมงานคับคั่ง ณ ศูนย์การค้า LAO ITECC นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว

โดยปีนี้วัตถุประสงค์หลักคือการสร้างเครือข่ายของผู้ประกอบการไทยและ ผู้ประกอบการลาวให้มีการค้าขายกันมากยิ่งขึ้น ดำเนินการสร้างเครือข่าย สร้างเน็ตเวิรค์กิ้ง ไปด้วยกัน ขยายมูลค่าการค้าทั้ง 2 ประเทศให้เพิ่มมากขึ้นตามนโยบายของท่านรองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ร่วมทั้งสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพของสินค้าไทย ซึ่งได้รับเกียรติจาก “นายชัชวรรณ สาครสินธุ์” อุปทูตรักษาการ สถานเอกอัครราชทูตแห่งราชอาณาจักรไทย ณ นครหลวงเวียงจันทน์ “นางสาวยานี ศรีมีชัย” อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายพาณิชย์) สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เวียงจันทน์ ฯลฯ เป็นประธานในพิธีเปิดงานครั้งนี้

ภายในงานนอกจากจะเป็นการรวมตัวกันของผู้ประกอบการจำนวนคูหากว่า 200 บูธ ที่ได้มาสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการ สปป.ลาว มากที่สุดกว่าที่เคยมีมา ด้าน “กิจกรรม Business Matching ระหว่างนักธุรกิจไทย-ลาว” ที่ดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม สถานบันเทิง ธุรกิจ Wholesale ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า ก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ร่วมทั้งกิจกรรมทั้ง “การสัมมนา” ในเรื่องของธุรกิจทีสร้างแรงบันดาลใจ จากผู้ทรงคุณวุฒิของประเทศไทย, “กิจกรรมบันเทิง” ที่มีทั้ง “ขวัญ อุษามณี” ซึ่งเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ , “ตั๊ก-มยุรา” “นนท์ เดอะวอยท์”, “แจ๊คกี้ เดอะวอยท์”, “ซาร่า เอเอฟ”, “NET IDOL” และ “หนึ่ง อภิวัฒน์” หน้ากากแพนเค้ก ฯลฯ ทำให้งานครั้งนี้มีสีสันและคึกคักสร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างดี

จากหนังสือ บันทึกของแผ่นดิน ๖ สมุนไพรท้องไส้ในวิถี…ASEAN โดย ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร
บัวเป็นพืชที่คนอาเซียนรู้จักใช้ รู้จักกินร่วมกัน ไม่มีชาติไหนในอาเซียนที่ไม่รู้จักบัว คนอาเซียนรู้ดีว่าทุกส่วนของบัวเป็นอาหารได้และเป็นยาได้เช่นเดียวกัน และมีการใช้ประโยชน์จากบัวคล้ายๆ กันทุกประเทศ โดยเฉพาะสรรพคุณเด่นๆ คือ การใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ สงบประสาท เป็นยาเย็นลดความร้อน แก้ไข้ แก้ร้อนใน รักษาแผลภายในท้อง แก้อาเจียนเป็นเลือด หยุดเลือด ริดสีดวง รักษาบิดและท้องเสีย รักษาอาการปัสสาวะบ่อย การหลั่งอสุจิกลางคืน แก่เร็ว เป็นต้น

ปัจจุบันมีงานวิจัยสนับสนุนสรรพคุณของบัวในการบำรุงหัวใจ สงบประสาท รักษาอาการทางท้องไส้ โดยพบว่าทุกส่วนของบัวมีคุณสมบัติในการสงบประสาท ช่วยในการนอนหลับ คลายเครียด ทำให้บัวได้รับการคัดเลือกให้เป็นยานอนหลับในบัญชียาสาธารณสุขมูลฐานของกลุ่มประเทศอาเซียน นอกจากนี้ยังมีสารช่วยลดการเต้นผิดปกติของหัวใจ สารช่วยขยายหลอดเลือดหัวใจได้ด้วย ช่วยหยุดเลือด ต้านการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

เนื่องจากเซลล์ประสาทกว่าครึ่งหนึ่งของร่างกายอยู่ในระบบทางเดินอาหาร จึงเปรียบเสมือนมีสมองที่สองของร่างกายอยู่ในท้องไส้ ทำให้ระบบอาหารโดยเฉพาะกระเพาะจะไวต่ออารมณ์ความรู้สึก ดังนั้น เมื่อเกิดความเครียด จึงเกิดอาการอาหารไม่ย่อย ท้องอืด ปวดท้อง หรือมีกรดในกระเพาะตามมา การที่บัวช่วยคลายเครียดจึงมีประโยชน์ต่อท้องไส้อย่างยิ่ง

ใบบัว เกสรบัว รากบัว อาหารสุขภาพ

ใบบัวอ่อนเป็นอาหารที่คนปราจีนกินป็นหลัก จะเป็นผักสดหรือลวกจิ้มน้ำพริกก็ได้ รวมทั้งนำไปใส่แกงคั่ว ใบบัวอ่อนมีสาร nelumbine, nornucuferine, nuciferine ที่มีคุณสมบัติทำให้หลับสบายคลายเครียด สารดังกล่าวมีในเกสรบัวและดีบัวด้วยเช่นเดียวกัน เกสรบัวนั้นจัดอยู่ในเกสรทั้ง 5 ในตำรายาไทย ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง แก้อาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ สำหรับดีบัวไม่ค่อยใช้แพร่หลายในหมู่คนไทย แต่ในเวียดนามนิยมใช้เป็นชาชงเพื่อช่วยให้คลายเครียดและนอนหลับ

ส่วนรากบัวช่วยแก้ร้อนในอันเป็นสรรพคุณที่คนไทยและคนจีนรู้จักกันดี ในสรรพคุณยาไทยกล่าวว่า รากบัวเป็นยาเย็น แก้พิษอักเสบ จึงเหมาะกับการเป็นอาหารของผู้ป่วยโรคกระพาะ เพราะเป็นโรคที่มีความร้อนภายใน ต้องใช้สมุนไพรที่มีคุณสมบัติเย็น ในรากบัวยังอุดมไปด้วยใยอาหารที่จะเป็นประโยชน์ต่อโปรไบโอติกส์และช่วยในการขับถ่าย

ในระยะหลังรากบัวได้รับความสนใจใช้เป็นอาหารสุขภาพมากขึ้น เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินบีรวม และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย เช่น ทองแดง เหล็ก สังกะสี มีรายงานการศึกษาพบว่าสารสกัดจากรากบัวช่วยบำรุงสมอง ลดน้ำตาลในเลือด ต้านสภาวะน้ำหนักเกิน รวมทั้งมีสารพวกโพลีฟีนอล ซึ่งช่วยลดการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้สาร liensinine ในรากบัวยังมีคุณสมบัติในการรักษาลมแดด ท้องเสีย วิงเวียน และปัญหาของระบบทางเดินอาหาร

มาถึงยุคนี้คนรุ่นใหม่รู้แต่ว่าบัวเป็นดอกไม้ไหว้พระ แต่ไม่คุ้นกับบัวในฐานะที่เป็นอาหารและยา บัดนี้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มายืนยันคุณค่าของบัวแล้ว คนไทยควรหันมารื้อฟื้นการใช้บัวให้สมกับคุณค่า อย่าให้น้อยหน้าเพื่อนบ้านอาเซียนของเรา

ชวนย้อนรอยแม่การะเกดไปกับทัวร์ “ดูละครบุพเพสันนิวาส ดูประวัติศาสตร์อยุธยา” ที่นอกจากจะพาไปชมโบราณสถาน โบราณวัตถุ ฟังประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยาแบบมันส์หยดกับ รศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี มื้อกลางวันยังพาไปอิ่มหนำด้วยสำรับไทยโบราณ และของกินเล่นสุดแซ่บอย่าง “มะม่วงน้ำปลาหวาน” ที่ร้านอาหารบ้านวัชราชัย (อ่านรายละเอียดตารางโปรแกรมทัวร์ได้ที่นี่ https://www.matichonacademy.com/update/article_8526)

กำหนดการเดินทางรอบ 2 วันที่ 31 มีนาคมนี้ ราคา 2,200 บาท ใครสนใจรีบจองเข้ามาได้เลยที่ Tel : 0-2954-3977-84 ต่อ 2115, 2116, 2123, 2124
Mobile : 08-2993-9097, 08-2993-9105
inbox facebook : Matichon Academy
line @m.academy

“เห่าดง” เมนูนี้ฟังแล้วดุเดือด เหมือนอาหารป่า แต่ไม่ได้เอาเนื้อสัตว์ป่ามาปรุงแต่อย่างใด เดาว่าเมื่อก่อนคงทำจากเนื้องูเห่าจริงๆ แต่เมนูนี้เด็ดที่กลิ่นของใบกะเพราและความหอมของมะนาวสด ส่วนเนื้อสัตว์จะใช้เนื้อวัวหรือเนื้อหมูแทนก็ได้ แต่ขอให้เป็นส่วนที่นุ่มที่สุดคือเนื้อสันใน

ส่วนผสม

-เนื้อวัวหรือเนื้อหมูสันใน
-ใบกะเพรา ต้นหอม
-น้ำปลา มะนาว พริกป่น พริกไยป่น น้ำตาล

วิธีทำ

-แล่เนื้อเป็นชิ้นบาง แล้วหมักกับน้ำปลาสักครู่
-เด็ดใบกะเพราะเป็นใบๆต้นหอมต้องหั่นท่อน
-ตั้งน้ำให้เดือด นำเนื้อลงลวกเร็วๆ อย่าลวกนานเพราะจะทำให้เนื้อแข็งไม่อร่อย
-ตักเนื้อขึ้นมา แล้วบีบมะนาวลงไป ตามด้วยน้ำปลา พริกป่น และพริกไทย ใส่น้ำตาลแค่ปลายช้อนเพื่อชูรสเท่านั้น ไม่ได้ต้องการให้มีรสหวาน คลุกให้เข้ากัน
-ตักใส่จาน โรยหน้าด้วยข้าวคั่ว ใบกะเพรา และต้นหอม

รู้สูตรแล้วอย่ารอช้า คว้ากระทะ ตะหลิว มาทำกันเลยดีกว่าจ้า!

จากหนังสือ ปลูกเองกินเอง เมนูอร่อยจากสวนครัวคนเมือง สนพ.มติชน

หากพูดถึงการจับคู่เครื่องดื่มกับอาหาร เครื่องดื่มที่ใครๆ นึกถึงเป็นอย่างแรกเลยก็คือเครื่องดื่มที่มีอายุสองพันปีอย่าง “ไวน์” เพราะเป็นเครื่องดื่มที่มีหลายประเภท ทำให้สามารถจับคู่กับอาหารได้หลากหลายชนิด

แต่ทุกวันนี้เริ่มมีการนำเครื่องดื่มอื่นๆ มาจับคู่กับอาหารมากขึ้น ทั้งชา, เบียร์, ค็อกเทล ไปจนถึง “วิสกี้” เครื่องดื่มที่มีความผูกพันกับวิถีชีวิตของมนุษย์มาอย่างยาวนาน

Food Pairing ถือเป็นหนึ่งศิลปะการรับประทานอาหารคู่กับเครื่องดื่มเพื่อสร้างสุนทรียะทางการกินให้เกิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในมื้ออาหาร

จับคู่เครื่องดื่มกับอาหาร ต้องอาศัยศาสตร์และศิลป์

การจะจับคู่เครื่องดื่มกับอาหารสักอย่างไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ แต่ต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ ซึ่ง “ปิ๊ก-ประวิทย์ บุญนิธิไพสิฐ” แบรนด์แอมบาสเดอร์ บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DMHT เผยเทคนิคให้ฟัง “มติชน อคาเดมี” ว่า หลักการจับคู่อาหารและเครื่องดื่ม คือ ต้องทำให้อาหารและเครื่องดื่มส่งเสริมกัน คือเป็นการกินที่กินแล้วอยากกินทั้งอาหารและเครื่องดื่มไปพร้อมกัน

วิธีการกินวิสกี้กับอาหารมีด้วยกันหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นจิบวิสกี้ก่อนแล้วค่อยกินอาหาร, กินอาหารพร้อมวิสกี้, กินอาหารก่อนแล้วค่อยจิบวิสกี้ หรือเติมวิสกี้ลงในน้ำซุป เป็นต้น ซึ่งแล้วแต่ว่านักรังสรรค์การจับคู่จะตั้งใจให้ออกมาเป็นอย่างไร

“ดังนั้น คนที่จะมาจับคู่อาหารได้จะต้องรู้เรื่องวิสกี้ดีและรู้เรื่องอาหารดี แต่โดยส่วนมากจะใช้คนจาก 2 ฝั่งมาร่วมกันมากกว่า เพราะคงไม่มีใครรู้เรื่องดีทั้ง 2 อย่าง เลยเป็นการเอาเชฟและแบรนด์แอมบาสเดอร์มานั่งคุยกันเมื่อจะทำการจับคู่”

ปิ๊ก-ประวิทย์ กล่าวอีกว่า คนไทยอาจจะคุ้นชินกับไวน์แพริ่ง เพราะไวน์มีหลายประเภท จึงจับคู่กับอาหารได้หลายอย่าง ส่วนวิสกี้นั้นโดยปกติทั่วไปจะไม่ได้มีหลายประเภทนัก มีแต่จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ หรือดิอาจิโอฯที่มีวิสกี้หลากหลาย เข้ากับอาหารหลายๆ อย่างได้ จึงทำให้เป็นเทรนด์ใหม่ที่เพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อ 2-3 ปีก่อน และมีคนสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนรู้สึกว่าแปลก และอยากลอง

ทั้งนี้ ดิอาจิโอฯถือเป็นผู้นำในการจัดอีเวนต์จับคู่อาหารกับเครื่องดื่มในไทย เริ่มจากโรงแรม สู่ร้านอาหารใหญ่ๆ ล่าสุดมีการจับมือกับร้านเลอบูชอง ร้านอาหารฝรั่งเศสที่ตึกมหานคร รวมถึงจะมีโปรเจ็กต์ร่วมกับร้านอาหารอื่นๆ อยู่เรื่อยๆ

วิสกี้กับอาหารไทย ความสนุกที่แตกต่าง

สำหรับการจับคู่อาหารไทยกับวิสกี้นั้น ปิ๊ก-ประวิทย์ กล่าวว่า ทำได้สนุกกว่าอาหารอื่นๆ เนื่องจากอาหารไทยเป็นอาหารที่มีรสจัด กินกับวิสกี้แล้วสนุกกว่า ง่ายกว่าอาหารต่างชาติ เพราะอาหารฝรั่งส่วนใหญ่รสชาติจะออกมาทางเค็มกับมัน ต้องใช้วิธีรังสรรค์ซอสค่อนข้างยอะ

“ส่วนความยากของอาหารไทย คือ อาหารไทยเด่นอยู่แล้ว การจะเอาวิสกี้ไปอยู่กับอาหารไทยก็ยากเหมือนกัน ยากคนละแบบ วิสกี้จะมีรสชาตินำอาหารฝรั่งส่วนใหญ่ เพราะรสชาติหนักหน่วงกว่า เข้มข้นกว่า อาหารฝรั่งจะรสชาติเบากว่า แต่อาหารไทยส่วนใหญ่จะรสชาตินำ ดังนั้นวิสกี้จะตามอย่างไรให้ไม่โดนกลบจนหมด ซึ่งจะมีวิธีคิดในการลอง เช่น กินก่อน กินหลัง หรือกินพร้อมกัน อาหารลดความเปรี้ยวลงได้ไหม เปลี่ยนจากน้ำใสเป็นน้ำข้นได้ไหม จะเป็นการเปลี่ยนเพื่อดูว่าแบบไหนที่เหมาะสมที่สุดกับวิสกี้ของเรา” แบรนด์แอมบาสเดอร์ DMHT กล่าว

เริ่มต้นด้วยเมนูแรกที่ถูกถูกใจชาวไทยอย่าง “เป็ดอบซอสส้ม” เนื้อเป็ดนุ่มกำลังดี มาพร้อมซอสส้มเปรี้ยวละมุน วิธีการคือกินเป็ดพร้อมซอส เคี้ยวและกลืนลงไปก่อน จากนั้นจิบสก็อตช์ วิสกี้ สูตรพิเศษ ที่ผ่านการหมักบ่มในถังไวน์ ซึ่งวิสกี้สูตรพิเศษนี้มีกลิ่นหอมผลไม้และรสชาติฟรุตตี้ ทำให้สามารถดึงรสชาติซอสส้มให้เด่นขึ้นมาได้ ทิ้งท้ายด้วยรสเผ็ดซ่าของวิสกี้ที่ช่วยตัดเลี่ยน ทำให้กินอาหารได้มากขึ้น

เมนูที่ 2 เป็นเมนูประเภทเนื้อย่างอย่าง “ซี่โครงหมูย่างบาร์บีคิว” เนื้อหมูร่อน นุ่ม มาพร้อมรสชาติเปรี้ยวหวานของซอสมะเขือเทศ กินคู่กับสก็อตช์ วิสกี้ ที่มีอายุการหมักบ่มไม่ต่ำกว่า 12 ปี โดยวิธีการเหมือนเมนูแรกคือเคี้ยวอาหารให้หมดก่อน แล้วจิบวิสกี้ตาม รสชาติแรกที่ได้เลยคือมีความเผ็ดวาบขึ้นมา ทิ้งท้ายด้วยกลิ่นหอมรมควันขึ้นมาผสมกับรสบาร์บีคิวของซี่โครงหมู

ตบท้ายด้วยเมนูที่อยู่กับคนจีนมายาวนานอย่าง “ไก่ตุ๋นเห็ดหอมยาจีน” เนื้อไก่นุ่มมาพร้อมน้ำซุปรสชาติกลมกล่อม หอมกลิ่นเห็ดหอมอบอวล จับคู่กับวิสกี้ที่รังสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษ สูตรเฉพาะที่ได้รับการหมักบ่มเป็นเวลานานถึง 21 ปี วิธีการกินจับคู่คือเติมวิสกี้ลงในถ้วยซุป ทำให้น้ำซุปมีรสชาติเข้มขึ้น มีมิติ

 

ถือเป็นเทรนด์ไลฟ์สไตล์ใหม่ที่ช่วยยกระดับประสบการณ์ และสร้างสุนทรียะที่แตกต่างให้กับการกินดื่ม

 


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111