คนอุษาคเนย์ในอาเซียน กินข้าวเป็นอาหารหลักในชีวิตประจำวันเมื่อหลายพันปีมาแล้วก่อนรู้จักกินข้าว คนทั้งหลายกินพื ชและสัตว์ที่หาได้จากธรรมชาติ เช่น เผือก, มัน, กลอย และกุ้ง, หอย, ปู, ปลา ฯลฯ

ข้าวเก่าแก่สุดในไทย
คนกินข้าวครั้งแรก ราว 7,000 ปีมาแล้ว (บางคนว่านานมากกว่านี้) พบหลักฐานในไทยเป็นเมล็ดข้าวจากถ้ำปุงฮุง จ.แม่ฮ่องสอน

เป็นประเภทข้าวไร่ที่เจริญงอกงามบนที่สูง มีทั้งข้าวเหนียวเมล็ดใหญ่ (Large Type) จัดเป็นพวกชวานิคา (Javanica) และข้าวเจ้าเมล็ดเรียว (Slender Type) จัดเป็นพวกอินดิคา (Indica)

ข้าวเหนียว หรือ ข้าวนึ่ง
เป็นข้าวเมล็ดป้อม ตระกูลข้าวเก่าแก่ในไทยและสุวรรณภูมิในอาเซียน เป็นอาหารหลักของคนทุกชาติพันธุ์ในอาเซียนอุษาคเนย์ เมื่อรับศาสนาจากอินเดียสมัยหลังๆ ยังเป็นอาหารหลักของพระสงฆ์ในวัดด้วย
ราวหลัง พ.ศ. 1000 พบแกลบข้าวเหนียวผสมดินเหนียวในแผ่นอิฐสร้างเจดีย์แบบทวารวดีทั่วลุ่มน้ำเจ้าพระยา และที่อื่นๆ ทั่วประเทศ
[ดูบทความเรื่อง แหล่งกำเนิดและการแพร่กระจายของข้าวที่ปลูกในทวีปเอเชีย ของ วาตาเบะ ทาดาโยะ แปลโดย สมศรี พิทยากร พิมพ์ในหนังสือ ญี่ปุ่น-ไทย-อุษาคเนย์ บรรณาธิการโดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และฮายาโอะ ฟูกุย จัดพิมพ์โดยโครงการ Core University ธรรมศาสตร์-เกียวโต ร่วมกับมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2541 หน้า 75-109]
ราวหลัง พ.ศ. 1800 พบเมล็ดข้าวเหนียวที่หุงหรือนึ่งแล้วปนอยู่ในดินบริเวณศาลาโถง (เนินปราสาท) หน้าวัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัย จ.สุโขทัย น่าจะเป็นข้าวเหนียวที่คนเอามาถวายพระสงฆ์เมื่อทำบุญเลี้ยงพระ

ข้าวเจ้า หรือ ข้าวจ้าว

เป็นข้าวเมล็ดเรียว พบพร้อมข้าวเมล็ดป้อมทั้งในไทยและอาเซียน แต่การแพร่กระจายและความต่อเนื่องต่างกัน

เจ้า, จ้าว ในคำว่า ข้าวเจ้า, ข้าวจ้าว มีความหมายหลายอย่าง ดังนี้
แปลว่า ผี เช่น เจ้าฟ้า คือ ผีฟ้า มีคำพูดในชีวิตประจำวันว่าไหว้ผี ไหว้เจ้า
ภาษาไทยอาหมและไทใหญ่ หมายถึง ร่วน, ซุย, ไม่เหนียว, หุง
[จากหนังสือ เทศกาลจีนและการเซ่นไหว้ ของ ถาวร สิกขโกศล สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2557]
มีคำบอกเล่าว่า ข้าวเจ้า เป็นคำกร่อนจากคำเรียกว่าข้าวเหลือเจ้า หมายถึงข้าวที่เจ้านายเสวยก่อน แล้วเหลือไว้ให้พวกไพร่กินทีหลัง นานเข้าก็เรียก ข้าวเจ้า ส่วนข้าวที่เจ้าเสวย เพี้ยนเสียงเป็นข้าวสวย

เฮ็ดไฮ่-เฮ็ดนา-เฮ็ดข้าว
ข้าวเป็นพืชตระกูลหญ้าอย่างหนึ่ง มีขึ้นทั่วไปเป็นธรรมชาติเหมือนหญ้าชนิดอื่นๆ ในโลก แต่สมมุติเรียกกันว่าข้าวป่า เช่นเดียวกับพืชผลธรรมชาติชุดแรกๆ ก็เรียกด้วยคำว่าป่าทั้งนั้น เพราะมีมากในป่า และมีมากเป็นป่า เช่น มะม่วงป่า, ขนุนป่า ฯลฯ
คนสุวรรณภูมิรู้จักข้าวป่า แล้วคิดทำข้าวปลูกตั้งแต่เมื่อไร? ยังกำหนดแน่นอนไม่ได้
แต่นักโบราณคดีขุดพบซากเมล็ดข้าวปลูก (ถ้ำผีแมน จ.แม่ฮ่องสอน) มีอายุราว 10,000 ปีมาแล้ว

นาตาแฮก แรกนาขวัญ
ภาพเขียนสีที่ผาหมอนน้อย ราว 2,500 ปีมาแล้ว มีรูปคนกับควายหรือวัว คล้ายกำลังเฮ็ดไฮ่เฮ็ดนา อยู่ท่ามกลางลายเส้นคล้ายจะเป็นต้นข้าว

โดยมีรูปอื่นแวดล้อม เช่น คนถืออาวุธทำท่าล่าสัตว์, ลายมือประทับทำแนวโค้ง, ลายขีดข่วนรูปแบบต่างๆ
น่าเชื่อว่ารูปคนกับควายและต้นข้าวกลุ่มนี้ ที่เป็นศูนย์กลางของภาพทั้งหมด หมายถึงพิธีนาตาแฮกยุคแรกเริ่มราว 2,500 ปีมาแล้ว (ตามอายุภาพเขียนสี)

นาตาแฮกเป็นประเพณีราษฎร์ ที่บรรดาไพร่บ้านต้องทำเมื่อถึงฤดูทำนา เพื่อวิงวอนร้องขอแกมบงการธรรมชาติบันดาลความอุดมสมบูรณ์

ความเชื่อถือแบบดั้งเดิมเก่าแก่ ที่เชื่อว่าถ้าเราจำลองเลียนแบบธรรมชาติขึ้นแล้ว ก็จะบันดาลหรือบังคับให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้จริงดังใจปรารถนา

ชาวนาแต่ก่อนเมื่อจะลงมือดำนา จะต้องสร้างนาจำลองขนาดสักหนึ่งตารางเมตรขึ้นก่อน แล้วดำกล้าลงในนานั้นห้าหกกอ นาจำลองนั้นเรียกว่า ตาแรก หรือ ตาแฮก (ตา = ตาราง ; แรก คือ แรกเริ่มดำ) ถ้าบำรุงข้าวในนาตาแรกนั้นได้งาม ข้าวในนาทั้งหมดก็จะงามตามไปด้วย

[สังคมไทยลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนสมัยศรีอยุธยา ของ จิตร ภูมิศักดิ์ สำนักพิมพ์ไม้งาม พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2526 หน้า 350]

เมื่อมีพัฒนาการเป็นบ้านเมือง กระทั่งมีราชสำนักขึ้น ก็ทำนาตาแฮกเป็นประเพณีหลวง แล้วเรียกชื่อด้วยภาษาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นว่า “จรดพระนังคัล แรกนาขวัญ” สืบมาจนทุกวันนี้

ปลูกข้าว
วิธีปลูกข้าวมีนักวิชาการทั่วโลกกำหนด จำแนกตามลักษณะภูมิประเทศ 3 อย่าง คือ เฮ็ดไฮ่ (ทำไร่) เฮ็ดนา (ทำนา) เฮ็ดข้าว (ทำข้าวหรือปลูกข้าว)

[เฮ็ด เป็นคำพื้นเมืองของตระกูลภาษาไทย-ลาว หมายถึง ทำ, ร่วมเพศ ฯลฯ ตรงกับคำไทยปัจจุบันว่าเย็ด, เยียะ, ยะ]
1. เฮ็ดไฮ่ หรือดรายไรซ์ (dry rice) หมายถึง ทำไร่หมุนเวียนบนที่สูง โดยอาศัยน้ำค้างและน้ำฝน ทำคราวหนึ่งราว 4-5 ปี ต้องย้ายที่ไปบ่อนอื่น เพราะดินเก่าจืด
2. เฮ็ดนา หรือเวตไรซ์ (wet rice) หมายถึง ทำนาทดน้ำบนที่ลุ่ม ทำได้ต่อเนื่องยาวนานไม่ต้องโยกย้ายไปไหน เพราะถึงฤดูน้ำหลากจะมีน้ำท่วมพัดพาเอาโคลนตมเป็นปุ๋ยมาให้ตามธรรมชาติ
3. เฮ็ดข้าว หรือฟลัดไรซ์ (flooded rice) หมายถึง ปลูกข้าวหว่านบนพื้นที่โคลนตมเมื่อน้ำท่วมตามธรรมชาติใกล้ๆ แหล่งที่อยู่อาศัย เป็นการปลูกอย่างง่ายๆ โดยอาศัยรอน้ำท่วมที่นา แล้วก็หว่านข้าวลงไป (เป็นผลการศึกษาวิจัยของ อ.ศรีศักร วัลลิโภดม ดูในบทความเรื่อง อีสานมีพัฒนาการเป็น “รัฐ” พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2527)

ข้าวเปลือก
ต้นข้าว มีเมล็ดข้าวอยู่ในช่อเป็นรวง เรียกรวงข้าว
เมื่อเมล็ดข้าวสุกได้ที่แล้วต้องเกี่ยวข้าว เอาไปนวดให้เมล็ดข้าวหลุดจากรวง เป็นข้าวที่ยังมีเปลือกหุ้มเมล็ด เรียกข้าวเปลือก

ข้าวสาร
เอาข้าวเปลือกไปบดหรือตำให้เปลือกหลุดจากเมล็ด เรียกข้าวสาร แต่ยังหลุดไม่หมดทุกเมล็ด บางทีเรียกข้าวกล้อง
แต่ยังดิบ เมื่อจะกินต้องเอาไปทำให้สุกด้วยไฟ เรียกหลาม, นึ่ง, หุง

หลาม
หมายถึง ข้าวสารเหนียว ทำให้สุกด้วยการหลามในกระบอกไม้ไผ่ (เรียกบั้งข้าวหลาม) เป็นข้าวเหนียวล้วนๆ ไม่ปรุงแต่งด้วยวัสดุอื่นใด เช่น กะทิ
โดยตั้งกระบอกขึ้น แล้วก่อไฟเป็นแถวขนาบให้เผาล้อมรอบ แต่ต้องคอยหมุน หรือกลับกระบอกหลบไฟเผาไหม้ ขณะเดียวกันก็ให้โดนความร้อนรอบกระบอกจนสุก
หลาม หมายถึง ทำให้สุกภายในกระบอกไม้ไผ่ เช่น ข้าวหลาม, ปลาหลาม ฯลฯ
[หลาม แปลว่า มากขึ้น, ขยายขึ้น, ล้นออกมา]

หุง, นึ่ง
หมายถึง ข้าวสารเหนียวทำให้สุกด้วยการหุง หรือนึ่งในภาชนะ
หุงข้าว หรือ นึ่งข้าว ต้องมีภาชนะดินเผา เรียกหม้อดินหรือหม้อดินเผา ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีพัฒนาการก้าวหน้าขึ้นจากภาชนะธรรมชาติ เช่น กะลา, กระบอกไม้ไผ่, เครื่องจักสาน
ในยุคแรกเริ่ม คนที่กินข้าวเหนียวด้วยวิธีหุงหรือนึ่ง จึงต้องเป็นคนชั้นสูงระดับหมอผีหัวหน้าเผ่าพันธุ์ ผู้เป็นเจ้าของเทคโนโลยีภาชนะดินเผา
ส่วนคนทั่วไปกินข้าวหลามจากกระบอกไม้ไผ่

ข้าวเหนียวในพิธีกรรม
อาหารในพิธีกรรมดั้งเดิมดึกดำบรรพ์ นับพันปีมาแล้ว ล้วนทำจากข้าวเหนียว
เป็นพยานว่าข้าวเหนียวเป็นอาหารก่อนข้าวเจ้า ในชีวิตประจำวันของคนในอุษาคเนย์และสุวรรณภูมิ

ข้าวหมัก
ของกินทำจากข้าวเหนียวนึ่งหรือหุงสุกแล้ว หมักกับแป้งหัวเชื้อห่อด้วยใบตองเป็นข้าวหมัก แต่เรียกเพี้ยนเสียงเป็นข้าวหมาก

อุ
เหล้าหมักชนิดหนึ่งใช้ข้าวเหนียวนึ่งผสมแป้งหัวเชื้อใส่ไห โดยมีแกลบอัดกลบไว้ข้างบน
เมื่อจะดูดดื่มต้องใช้น้ำเติมลงไปในไห แล้วใช้หลอดดูดทำจากก้านไผ่เล็กๆ ที่มีปล้องกลวง
อาหารที่ปรุงใส่น้ำแต่น้อย เช่น อุกบ, อุเขียด, อุหน่อไม้ ฯลฯ (คล้ายอ่อม)
อุ แปลว่า โอ่งหรือไหใส่น้ำ

ขนมจ้าง
ขนมจ้างเป็นชื่อคำลาว แต่จีนเรียก บ๊ะจ่าง ทำจากข้าวเหนียว
เดิมเรียก ถ่งจ้ง แปลว่า ขนมจ้างกระบอก คือข้าวหลาม เพราะเอาข้าวเหนียวใส่กระบอกไผ่ย่างไฟให้สุก ยุคต่อมาหลังจากนั้นใช้ใบไผ่ห่อข้าวเหนียวใส่หม้อต้ม

บ๊ะจ่าง ก็คือ ขนมจ้างไส้เค็มมีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบ
บ๊ะ เป็นภาษาพูดแต้จิ๋ว แปลว่า เนื้อ, จ่าง สำเนียงแต้จิ๋วว่า จั่ง สำเนียงจีนกลางว่า จ้ง แปลว่า ข้าวห่อใบหลู (พืชตระกูลอ้อหน่อไม้น้ำชนิดใบใหญ่ ใช้ห่ออาหารได้)
(จ่าง แปลว่า ถ่าง, กาง จ้าง หมายถึง ชื่อเครื่องมือยิงสัตว์ทำด้วยไม้แก่น แล้วมีสายยิงลูกดอก เรียกหน้าจ้าง หรือ หน้าไม้ คล้ายรูปสามเหลี่ยม)

ประเพณีสารทบ๊ะจ่าง มีกำเนิดจากข้าวเหนียวซึ่งเป็นธัญพืชทางใต้ แล้วแพร่จากภาคใต้ (ลุ่มน้ำแยงซี) ขึ้นไปภาคเหนือ (ลุ่มน้ำฮวงโห)
มีนิทานกำกับว่าเริ่มจากปั้นข้าวเหนียว ใช้เซ่นพลีโยนใส่ปากมังกร (นาค), จระเข้, งู ซึ่งล้วนเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ผู้พิทักษ์แหล่งน้ำ (ในอุษาคเนย์)

ข้าวเหนียว เป็นธัญพืชหลักของจีนภาคใต้ ทางลุ่มน้ำแยงซี
ข้าวฟ่าง เป็นธัญพืชหลักของจีนภาคเหนือ ทางลุ่มน้ำฮวงโห

ขนมเข่ง
ขนมเข่ง มาจากขนมไหว้ตรุษจีน เรียก เหนียนเกา (แปลว่า ขนมประจำปี) ทำด้วยแป้งจากข้าวชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น ข้าวฟ่าง

แต่จีนภาคใต้ใช้ข้าวเหนียว (เพราะประชากรดั้งเดิมกินข้าวเหนียว)
เหนียนเกา นึ่งในถาดขนาดใหญ่น้อย โดยยกไหว้ทั้งถาด เมื่อจะกินต้องตัดแบ่งเป็นชิ้น
ครั้นเข้าเมืองไทยก็ดัดแปลงวัสดุใช้ใบตองทำกระทงเป็นเข่งเล็กใส่เหนียนเกาข้าวเหนียวนึ่งออกมาแล้วเรียก ขนมเข่ง
[จากหนังสือ เทศกาลจีนและการเซ่นไหว้ ของ ถาวร สิกขโกศล สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2557]
จีนภาคใต้ทางลุ่มน้ำแยงซีเกียง มีบรรพชนคนกลุ่มหนึ่ง เมื่อ 3,000 ปีมาแล้ว พูดตระกูลภาษาไทย-ลาว สืบเนื่องถึงทุกวันนี้ ในยูนนาน, กวางสี, กวางตุ้ง และกินข้าวเหนียว ปลูกข้าวเหนียวในชีวิตประจำวัน จึงมีประเพณีสำคัญเกี่ยวข้องกับข้าวเหนียว


ที่มา : หนังสืออาหารไทย มาจากไหน? ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ สำนักพิมพ์นาตาแฮก

ทรัฟเฟิล เห็ดที่แพงที่สุดในโลก อาศัยรากพืชในการเจริญเติบโต ซึ่งทรัฟเฟิลเป็นดอกเห็ดที่ฝังอยู่ใต้ดิน โดยมีความมาตั้งแต่ยุคบาบิโลน อียิปต์โบราณ ส่วนชื่อทรัฟเฟิลมาจากภาษาฝรั่งเศสขณะที่ความนิยมทรัฟเฟิลเริ่มมาจากฝรั่งเศสตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 และนำมาใช้เป็นเครื่องเทศจนเป็นที่นิยม

ปัจจุบันนิยมนำทรัฟเฟิลขาว และทรัฟเฟิลดำมาปรุงเมนูอาหารในรูปแบบต่างๆ

สำหรับ “ทรัฟเฟิลทะเลทราย” เป็นประวัติศาสตร์การกินของคนโรมัน ซึ่งนำมาใช้เป็นเหมือนเครื่องปรุงเพิ่มกลิ่นอาหารเช่นกัน

และแน่นอน ทรัฟเฟิลทะเลทราย ถือเป็นหนึ่งในวัตถุดิบล้ำค่าที่หาได้ยาก หนึ่งในสถานที่ขายทรัฟเฟิลทะเลทรายที่โด่งดัง คือ ตลาดในประเทศคูเวต และฤดูกาลสำคัญของการซื้อขายคือ ฤดูหนาว อย่างไรก็ตามปัจจุบันสามารถหาซื้อได้ตลอดปี เพราะมีการวางจำหน่ายแบบอบแห้งด้วย

ขอให้นึกภาพบรรยากาศหนึ่งที่คุ้นตาในเขตชานเมืองคูเวต มีกระบวนการจำหน่ายทรัฟเฟิลทะเลทรายในเขตอุตสาหกรรม Rai ซึ่งจะเริ่มขึ้นในเช้าแต่ละวันที่จะมีผู้ค้าออกมาสำรวจทรัฟเฟิลให้ได้ขนาดและสีที่ต้องการ ส่วนวิธีการเลือกใช้วิธีดมเพื่อเลือกชิ้นที่ดีที่สุด หรือบางคนก็ใช้วิธีแลกเปลี่ยนสินค้า

ลูกค้าจากอิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย โมร็อคโค ตูนีเซีย ลิเบีย เป็นลูกค้าหลักที่เข้ามาเลือกซื้อทรัฟเฟิลทะเลทรายในคูเวต ราคาตั้งแต่ 7-20 คูเวตดินาร์ หรือราว 23-27 เหรียญสหรัฐต่อกิโลกรัม ราคาขึ้นอยู่กับคุณภาพ

ทรัฟเฟิลทะเลทราย ถือเป็นเมนูยอดนิยมในคูเวต

“ชาวคูเวตรักจะกินทรัฟเฟิลทะเลทรายมาก เพราะเป็นวัตถุดิบหายาก และมีรสชาติที่แตกต่าง” ยูเซฟ โมฮัมเหม็ด คาเหล็ด นักตามหาทรัฟเฟิล ผู้บอกว่าเขาสามารถแยกแยะรายละเอียดปลีกย่อยของทรัฟเฟิลได้อย่างละเอียด โดยปีๆหนึ่งเขาต้องจ่ายเงินถึง 10,000 ดอลลาร์ ในการซื้อ

อย่างไรก็ตามด้วยครึ่งทศวรรษมานี้ ปัญหาพิพาทของคูเวตกับอิรัก และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้ส่งผลต่อคุณภาพของทรัฟเฟิลทะเลทราย ทำให้กลายเป็นวัตถุดิบที่ “โด่งดังน้อยลง” และราคาที่เคยแพงระยับก็ลดลงเช่นกัน

ทรัฟเฟิลทะเลทรายถือเป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับชาวเบดูอิน ที่นำทรัฟเฟิลทะเลทรายมาเป็นส่วนผสมหลักในอาหารแบบดั้งเดิมของชาวอาหรับทะเลทราย ซึ่งจะนำมาเป็นส่วนผสมในข้าวและเนื้อ หรือส่วนผสมในซอส

ทรัฟเฟิลทะเลทรายนั้นมีความต้องการสูงในตลาดของกลุ่มประเทศอาหรับ ในแต่ละปีพ่อค้าหลายร้อยคนจะมากันในช่วงฤดูหนาวเพื่อเลือกซื้อทรัฟเฟิลกันที่คูเวต ความหนาแน่นและคึกคักนี้ ส่งผลให้เทศบาลเมือง Al-Ral ทางตะวันตกเฉียงเหนือของคูเวตเปิดตลาดซื้อขายทรัฟเฟิลทะเลทรายตั้งแต่ปี 2549 เพื่อจัดระเบียบการซื้อขาย และเป็นผู้ดูแลควบคุมคุณภาพ

 


Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111

บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) เปิดตัวแสตมป์พระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สำหรับใช้งานทั่วไป 12 ชนิดราคา ประเดิมจองวันแรก ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติฯ 29 มีนาคม 2561 พร้อมที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศและทางออนไลน์ โดยเปิดจองได้ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2561

โดยรายการสั่งจอง จะมีให้เลือกทั้งแบบรวมชุดแสตมป์ เต็มแผ่น (20 ดวงต่อแผ่น) ราคา 4,400 บาท แสตมป์ดวงเดี่ยวครบชุด ราคา 220 บาท พร้อมสิ่งสะสมพิเศษซึ่งมีจำนวนจำ กัด คือ แผ่นชีทที่ระลึก (คละแบบในแผ่นเดียวกัน) ราคา 250 บาท และซองวันแรกจำหน่าย ราคา 265 บาท (3 ซอง) โดยจะจัดส่งให้ตามที่อยู่ที่ระบุ ไว้ในใบสั่งจองตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป ฟรีค่าฝากส่ง

นางสมร เทิดธรรมพิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) กล่าวว่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้ทรงพระราชทานพระราชานุญาตให้ นำพระฉายาลักษณ์ครึ่งพระองค์ ทรงประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ มาเป็นแบบตราไปรษณียากรสำหรับใช้งานทั่วไปชุดล่าสุด ซึ่งจะออกจำหน่ายในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร 28 กรกฎาคม 2561 เป็นวันแรก


ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เวลาเดินข้าร้านอาหารญี่ปุ่นหลายคนต้องรู้จัก “มิโซะ” แน่นอน พูดง่ายๆ ตามความเข้าใจของคนกินก็คือ “ซุปเต้าเจี้ยว” ที่จัดมาให้ซดกับอาหารญี่ปุ่น มีทั้งแบบชามเดี่ยวๆ และจัดมาคู่กับเซ็ต ซึ่งแท้จริงแล้วมิโซะเป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์และมีประโยชน์อย่างยิ่ง

อธิบายแบบง่ายๆ ก่อนว่า “มิโซะ” ได้จากการเอาถั่วเหลืองไปนึ่งแล้วบดให้ละเอียด จากนั้นนำข้าวมอลต์และเกลือมาผสม หมักทิ้งไว้ ในสมัยโบราณทำมิโซะเป็นก้อนตากแห้งไว้ เพื่อไม่ให้เสียง่าย แต่ปัจจุบันมักจะบรรจุกล่องแช่เย็น เป็นวิธีถนอมอาหารไว้กินได้นานๆ ในซุปมิโซะหนึ่งถ้วยจะอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย อาทิ คาร์โบไฮเดรต, โปรตีน, ไขมัน ฯลฯ

วงการแพทย์ยืนยันถึงความมหัศจรรย์ของคุณสมบัติเชิงยาของมิโซะ เปี่ยมด้วยคุณค่า ให้พลังงานสูง ช่วยบำรุงสุขภาพและความกระฉับกระเฉง เนื่องจากการหมักที่ก่อให้เกิดจุลินทรีย์แล็กติก มิโซะจึงเป็นมากกว่าแค่องค์ประกอบย่อย ระหว่างขั้นตอนการหมักโปรตีน ไขมันและคาร์โบไฮเดรตในข้าวและถั่วเหลือง จะแตกตัวจนกลายเป็นกรดอะมิโน กรดไขมัน และน้ำตาลที่ย่อยง่ายกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้ “ซุปมิโซะ” จึงเป็นอาหารที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ระบบย่อยอาหารไม่ดี และผู้หญิงญี่ปุ่นยังใช้ซุปมิโซะเพื่อให้ทารกหย่านมด้วย

ปัจจุบันบางภาคของจีนและญี่ปุ่นยังคงเชื่อว่าการดื่มซุปมิโซะทุกวันจะช่วยให้ชีวิตยืนยาวและแข็งแรง ว่ากันว่าการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยซุปมิโซะ จะปรับสภาพความเป็นด่างของร่างกายและช่วยลดการสะสมของกรดที่เกิดจากการกินเนื้อสัตว์ น้ำตาล และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ภาวะเลือดเป็นด่างยังช่วยถนอมสุขภาพด้วย  

“มิโซะ” เป็นเหมือนยาลดกรดแบบดั้งเดิม เพื่อบรรเทาอาการแบบฉับพลัน และเมื่อจุลินทรีย์ที่พบมากในมิโซะชนิดหวาน สีอ่อน ซึ่งไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ (ส่วนใหญ่จะหมักเป็นเวลา 2-8 สัปดาห์) เข้าไปอยู่ในลำไส้ จุลินทรีย์ที่ชอบกรดเหล่านั้นจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพและความแข็งแรง สำหรับผู้ที่สูบบุหรี่เชื่อกันว่ามิโซะช่วยขับนิโคตินออกจากร่างกายได้อย่างรวดเร็ว และชาวญี่ปุ่นในชนบทยังคงใช้น้ำต้มมิโซะเพื่อล้างคราบน้ำมันดินออกจากกล้องยาสูบ มิโซะถือเป็นอาหารประจำวันที่มีประสิทธิผลทางการแพทย์สูงสุด แถมยังรสชาติดีอีกด้วย

วิธีทำมิโซะ

มี  2 วิธีด้วยกัน คือ วิธีการสมัยใหม่ และ วิธีการแบบดั้งเดิม

กระบวนการแบบสมัยใหม่ จะเร่งการหมักด้วยการควบคุมอุณหภูมิในถังพลาสติกหรือถังสแตนเลส ข้าวและเกลือที่ใช้มักจะผ่านกระบวนการมาแล้ว และมีคุณค่าทางอาหารน้อยกว่า ส่วนวิธีการแบบดั้งเดิมจะช้ากว่า และมีผู้ผลิตมิโซะไม่กี่รายที่ใช้วิธีนี้กันอยู่ เขาจะปรุงโคจิด้วยมือและหมักบ่มแบบธรรมชาติในถังไม้ใบใหญ่ด้วยอุณหภูมิตามธรรมชาติ ผู้ผลิตแบบดั้งเดิมยังใช้ส่วนผสมแบบองค์รวมและเกลือทะเลธรรมชาติอีกด้วย

การเลือกซื้อมิโซะ

มิโซะอาจแบ่งได้ 2 ประเภท ตามสีสันและรสชาติ  ได้แก่ หนึ่ง- “มิโซะหวาน” หรือ “มิโซะหมักไม่นาน” มักจะมีสีอ่อน (สีน้ำตาลจางๆ หรือสีเหลือง) และคาร์โบไฮเดรตสูง จำหน่ายโดยเรียกว่า “มิโซะรสนุ่มนวล”  “มิโซะหวาน” หรือ “มิโซหวานสีขาว”  เนื่องจากมีโคจิปริมาณมาก ขณะที่ปริมาณถั่วเหลืองและเกลือต่ำ มิโซะหวานจะหมักราว 2-8 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสูตรและอุณหภูมิในการหมัก มิโซะประเภทนี้ผ่านการพัฒนาและกลายเป็นที่นิยมอยู่รอบๆ เมืองเกียวโต เขตทางใต้ของญี่ปุ่น และภายหลังแพร่ไปยังฮาวาย มิโซะหวานหรือมิโซะสีอ่อนนี้ ผสมกับมิโซสีเข้ม เหมาะสำหรับการทำซุปฤดูร้อน เครื่องจิ้มหน้าขนมปัง ซอส แลน้ำสลัด

สอง-มิโซะหมักนาน จะใส่เกลือมากกว่าโคจิน้อยกว่า และมีปริมาณถั่วเหลืองมากกว่า เป็นมิโซะที่สีเข้มและรสเค็มกว่ามิโซหวานหรือมิโซะสีขาว มิโซะชนิดนี้ต้องหมักอย่างน้อยหนึ่งฤดูร้อน แต่อาจหมักนานถึง 2-3 ปีถ้าอากาศเย็นจัด มิโซะชนิดนี้จำหน่ายโดยใช้ชื่อว่า “มิโซะแดง”  “มิโซะข้าวกล้อง”  หรือ  “มิโซะข้าวบาร์เลย์” “มิโซะถั่วเหลือง” เช่น นาเมะ และ ฮัทโช ก็มีสีเข้มและรสจัดจ้านเช่นกัน มิโซะหมักนานเป็นที่นิยมในภาคกลางและภาคเหนือของญี่ปุ่น สำหรับชาวตะวันตก มิโซะชนิดนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับซุปฤดูหนาว สตูว์ และซอสต่างๆ

เมื่อจะซื้อมิโซะ ให้มองหาคำว่า “ผลิตด้วยกรรมวิธีดั้งเดิม” หรือ “หมักบ่มแบบธรรมชาติ” บนบรรจุภัณฑ์ มิโซะคุณภาพดีที่สุดนั้นทำจากส่วนผสมที่ปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ 100% และเกลือทะเลที่ได้จากนาเกลือเกษตรอินทรีย์ ที่ด้านหน้าผลิตภัณฑ์ให้หาคำว่า “เกลือทะเล” จะมีบอกไว้ในรายการส่วนผสม 

ควรซื้อมิโซะที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ ซึ่งมักจะจัดเก็บในตู้เย็น มากกว่ามิโซะผ่านการฆ่าเชื้อ ซึ่งบรรจุถุงพลาสติกปิดสนิทและไม่ได้เก็บในตู้เย็น  มิโซะควรจับตัวเป็นก้อน ไม่แฉะหรือเหลว มิโซะแช่เย็นไม่ควรมีกลิ่นแอลกอฮอล์รุนรง มิโซะหวานหรือมิโซะรสนุ่มนวล ควรมีสีเหลืองอ่อนหรือสีน้ำตาลจางๆ ไม่ใช่สีส้ม ยกเว้นแต่มิโซะที่ใช้ถั่วเหลือง 100% อย่างมิโซฮัทโช หรือมิโซะนาเมะ ซึ่งมีสีน้ำตาลเข้มเป็นปกติ  มิโซะหมักนานที่ทำจากข้าวเจ้าและข้าวบาร์เลย์ไม่ควรจะมีสีน้ำตาลเข้ม แต่ควรเป็นสีน้ำตาลอมแดง น้ำตาลอ่อน หรือสีออกแดง มิโซะสีเข้มแบบไม่ผ่านการฆ่าเชื้อที่วางขายตามร้านขายอาหารธรรมชาติ แสดงว่าผ่านการหมักบ่มนานเกินควร ทำให้รสชาติและกลิ่นด้อยลง

หลังจากรู้จักมิโซะกันแล้ว ก็ถึงเวลามาทำมิโซะกินกัน…ขอเสนอ “ซุปมิโซะแบบเกียวโต” ลองทำดูปริมาณสำหรับ 4 ที่  เวลาเตรียม 5 นาที  เวลาปรุง 6-8 นาที

ซุปชนิดนี้จะมีสีสันชวนกินก็ต่อเมื่อใช้มิโซะขาวรสนุ่มนวลที่ยังสดใหม่เท่านั้น อาจใส่ผักอื่นๆ เพิ่มเติมหรือทดแทนได้ แต่น้ำซุปที่เรียบง่ายและเปี่ยมรสชาติ คือหัวใจของซุปมิโซะขนานแท้สูตรนี้

วัตถุดิบ

น้ำสต๊อกสาหร่ายคอมบุใส่ปลาโอแห้ง  4 ถ้วย (1 ลิตร)
เต้าหู้หั่นสีเหลี่ยมลูกเต๋าขนาดครึ่งนิ้ว (1ซม.)  4 ออนซ์ (125 กรัม)
ต้นหอมซอยบางๆ 1-2 ต้น
ใบผักโขมอ่อน 1/2 ถ้วย (25 กรัม)
มิโซะขาวรสนุ่มนวล 4 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

ใส่น้ำสต๊อกสาหร่ายในหม้อ ตั้งไฟพอเดือด ใส่เต้าหู้และต้นหอม ต้มอีก 2 นาที ใส่ผักโขม ต้มอีก 30 วินาที ยกขึ้นจากเตา ผสมน้ำซุป 1 ทัพพีกับมิโซะในถ้วยใบเล็ก คนจนละลายดี แล้วเทกลับลงในหม้อ พักไว้สักครู่ก่อนเสิร์ฟ

คราวนี้ก็ไม่ต้องเสียสตางค์ไปเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นทุกครั้งแล้ว อยากจะลิ้มรสเมื่อไหร่ก็เข้าครัวลงมือได้ทันที ไม่กี่นาทีก็ได้กินสมใจ!!

เลม่อนกับมะนาวเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในส่วนผสมที่สุดแสนจะสำคัญในการทำอาหารเลยก็ว่าได้ ด้วยรสชาติเปรี้ยวที่กินแล้วรู้สึกสดชื่น จนเป็นส่วนผสมหนึ่งที่มักจะใส่เมนูอาหารหลายชนิด

หลายคนอาจจะเป็นเหมือนกันคือ มะนาวที่ซื้อมาบางครั้งก็น้ำน้อย บางครั้งก็เป็นมะนาวแข็งๆ บีบยาก ทำให้ต้องใช้มะนาวหลายลูก ถ้าเป็นช่วงที่มะนาวถูกก็คงจะไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นช่วงมะนาวแพงก็คงจะไม่ไหว อยากจะกินน้ำมะนาวให้ชื่นใจหรือบีบมะนาวใส่ต้มยำให้แซ่บๆ ก็คงต้องคิดแล้วคิดอีก

การจะบีบมะนาวให้ได้น้ำ วิธีแบบไทยๆ ของเราก็คงนวดๆ คลึงๆ ลูกมะนาวก่อนแล้วค่อยหั่นแล้วบีบ แต่ต่างประเทศเขาก็มีอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้ได้มะนาวมากขึ้นด้วยเช่นกัน

นิตยสาร Good Housekeeping สหราชอาณาจักร เผยทริคเล็กๆ น้อยๆ ไว้ว่า วิธีการที่จะได้น้ำมะนาวมากขึ้นก็คือ “การนำเข้าไมโครเวฟ” โดยโมนาซ ดูมาเซีย ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงอาหาร กล่าวกับนิตยสารดังกล่าวว่า การนำมะนาวหรือเลม่อนเข้าไมโครเวฟ 20 วินาที ก่อนจะนำมาหั่นและบีบ ซึ่งการนำเข้าไมโครเวฟก่อนจะทำให้มะนาวคลายตัวและทำให้มีน้ำออกมามากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้มะนาวนุ่มขึ้น ทำให้ง่ายต่อการบีบ ดังนั้น นี่จะเป็นวิธีที่ทำให้คุณไม่ต้องรู้สึกว่าการบีบมะนาวเพื่อให้ได้น้ำหยดสุดท้ายเป็นเรื่องแสนยากเย็น

แมรี่ เบอร์รี่ ผู้ทดลองใช้วิธีดังกล่าว ระบุว่า เธอได้ทดลองนำมะนาวเข้าไมโครเวฟ 20 วินาที ก่อนจะนำไปหั่นและบีบ ซึ่งพอนำออกมาแล้วพบว่าการบีบน้ำมะนาวทำได้งายขึ้น ใช้แรงน้อยลง โดยยังได้น้ำมะนาวมากกว่า 3 ช้อนโต๊ะ ขณะที่การบีบมะนาวแช่เย็นธรรมดาได้น้ำเพียง 2 ช้อนโต๊ะเท่านั้น

ถือเป็นทริคเล็กๆ น้อยๆ ที่ลองนำไปใช้กันได้!

ที่มา หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียน พนิดา สงวนเสรีวานิช

เสียงเพลงบุพเพสันนิวาส ที่ขับร้องโดย ไอซ์-ศรัณยู ดังกระหึ่มไปทั่วคุ้งน้ำวัดไชยวัฒนาราม ปลุกบรรยากาศการท่องเที่ยวเมืองกรุงเก่าให้ดูขลังยิ่งขึ้น

ราวกับต้องมนต์กฤษณะกาลี ภาพของออเจ้าทั้งหลายชาย-หญิง ทั้งเด็กแลผู้ใหญ่ตรงหน้า แต่งกายด้วยชุดไทยกระจายตัวอยู่เต็มพื้นที่โบราณสถาน เป็นประจักษ์พยานให้เห็นถึงกระแสของละครย้อนยุคเรื่องนี้ที่สร้างปรากฏการณ์อย่างแท้จริง

ที่สำคัญคือ เป็นอานิสงส์ให้กับเศรษฐกิจโดยรอบสะพัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่เพียงการค้าขายอาหาร-เครื่องดื่ม ยังรวมกิจการให้เช่าชุดไทย พร้อมแต่งหน้าทำผม

ชุดออเจ้า ผู้ใหญ่ 250 บาท เด็ก 200 บาท สนนราคานี้รวมทั้งเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ หรือจะเป็นพัดก็มีให้บริการพร้อมสรรพ

ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่วัดไชยวัฒนารามในวันธรรมดาเพิ่มขึ้นจากหลักร้อยเป็นหลักพันคน ยิ่งในวันเสาร์-อาทิตย์ พุ่งทะยานขึ้นเป็นหลักหมื่นคน ทำให้ต้องมีการขยายเวลาเข้าชม (ตั้งแต่ 8 โมงเช้า) จากที่เคยปิดบริการ 1 ทุ่ม เป็น 3 ทุ่ม

ไม่ต่างจากที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ที่นี่เป็นฉากภายในห้องเรียนคณะโบราณคดีของเกศสุรางค์และเพื่อนสนิท-เรืองฤทธิ์


ศาลิสา จินดาวงษ์ ผอ.พิพิธภัณฑ์ เจ้าสามพระยา

ศาลิสา จินดาวงษ์ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานเจ้าสามพระยา บอกว่ากระแสของละครย้อนยุคเรื่องนี้ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

จากสถิติ 6 เดือนก่อนออนแอร์ มีนักท่องเที่ยว 3 หมื่นกว่าคน เฉพาะเดือนนี้ (มีนาคม 2561) มีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้ว 3,000 กว่าคน


พิพิธภัณฑ์ เจ้าสามพระยา มีนักท่องเที่ยวคึกคัก

นอกจากฉากห้องเรียนนางเอกของเรื่อง ผอ.ศาลิสาบอกว่า “เครื่องกรองน้ำ” ที่เรือนไทย เป็นอีกจุดเรียกแขก โดยเฉพาะช่วงเสาร์-อาทิตย์ มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่แต่งชุดไทยกันสวยงามเข้ามาเยี่ยมชมที่นี่ ส่วนใหญ่จะมาถามว่าห้องเรียนอยู่ที่ไหน เครื่องกรองน้ำอยู่ที่ไหน ซึ่งเมื่อเข้ามาแล้วก็ไม่ได้มาดูแค่ 2 สิ่งนี้เท่านั้น แต่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้ในสิ่งต่างๆ ที่เป็นความรู้นอกห้องเรียนอีกมากมาย และทำให้ความคิดเดิมที่บางคนอาจคิดว่าพิพิธภัณฑ์เป็นสิ่งที่เก่าๆ โบราณๆ เป็นที่เก็บสมบัติเปลี่ยนไป

ถือได้ว่าพิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยาเป็นพิพิธภัณฑ์ในภูมิภาคแห่งแรกของกรมศิลปากร ซึ่งมีการจัดตั้งขึ้นจากเหตุการณ์ใหญ่ 2 เหตุการณ์ คือ ตอนกรุแตกปี 2500 และพบโบราณวัตถุล้ำค่า คือเครื่องทองในกรุวัดราชบูรณะ และพบพระบรมสารีริกธาตุที่วัดมหาธาตุ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำริว่า “ของที่เจอที่ไหนสมควรได้จัดแสดงที่นั่น” และเสด็จฯมาเปิดพิพิธภัณฑ์ด้วยพระองค์เอง

ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน

เมื่อกระแสตามรอยออเจ้าหนุนนำให้นักท่องเที่ยวไม่เกี่ยงเพศและวัยเดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่ที่ปรากฏในฉากละครกันอย่างถล่มทลาย นี่จึงเป็นโอกาสที่จะสอดแทรกนำเสนอเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของสถานที่แต่ละแห่ง ดังที่ ผอ.ศาลิสาเล่าว่า ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยาจึงทำป้ายเชิญชวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนพระนครศรีอยุธยาให้แวะเข้ามาเรียนรู้ประวัติศาสตร์นอกห้องเรียนที่ไม่ได้มีแค่ “เครื่องกรองน้ำโบราณ”

สะพานป่าดินสอ หรือ “สะพานวานร” อยู่ภายในบริเวณมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา มีวัดสำคัญคือ วัดบรมพุทธาราม วัดของพระเพทราชา

“มติชนอคาเดมี” ซึ่งเป็นสถาบันที่นำเสนอเส้นทางท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ โดยเชิญวิทยากรผู้ทรงความรู้ร่วมบรรยายให้ความรู้ตลอดทริปเมื่อวันเสาร์ที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา จึงจัดทริป “ดูละครบุพเพสันนิวาส ดูประวัติศาสตร์อยุธยา” โดยมี รศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ในช่วงพระนารายณ์กับฝรั่งเศส พาย้อนอดีตไปรู้จักกับเบื้องหลังสถานที่ในฉากละครบุพเพสันนิวาส


ความงามของปูนปั้นที่ยังเหลือให้เห็นที่วิหารแกลบ ในวัดพุทไธศวรรย์

นอกจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยาแล้ว ยังพาไปสะพาน “ป่าดินสอ” บริเวณย่านการค้าเครื่องเขียน ที่แม่หญิงการะเกดมาช้อปปิ้งสมุดไทยและดินสอศิลาขาว “ป้อมเพชร” จุดที่นางเอกของเรื่องนั่งเรือและโบกมือทักทายกับบรรดาทหารบนป้อม “วัดธรรมาราม” สถานที่เป็นฉากก่อเจดีย์ทราย ก่อนจะลงเรือที่ท่าวัดกษัตราธิราชวรวิหาร ชมทัศนียภาพริมฝั่งน้ำ ไปขึ้นที่ท่าน้ำ “วัดพุทไธศวรรย์” และปิดท้ายที่ “วัดไชยวัฒนาราม”

เพื่อปูพื้นการเดินทางตามรอยออเจ้าทริปนี้เป็นไปอย่างเข้าใจมากขึ้น รศ.ดร.ปรีดีเล่าถึงความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศสในยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราชว่า ที่เห็นจากในละครที่ขุนศรีวิสารวาจาเดินทางไปเป็นตรีทูตร่วมกับคณะทูตเจ้าพระยาโกษา(ปาน) ไปฝรั่งเศสนั้นเป็นการส่งราชทูตไปครั้งสุดท้ายแล้ว

ครั้งแรกส่งทูตไปแล้วเรือแตก ครั้งที่ 2 ส่งไปเพื่อตามข่าวครั้งแรกและทราบข่าวเรือแตก มีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทราบความเรือแตกจึงส่ง “เชอวาเลียร์ เดอ โชมองต์” อัญเชิญพระราชสาสน์เข้ามาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ติดตามข่าวสารของไทย และเมื่อเดอ โชมองต์ จะกลับ เราจึงส่งคณะทูตไปเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งก็คือครั้งที่ขุนศรีวิสารวาจา และคณะทูตของเจ้าพระยาโกษา(ปาน) เดินทางไป ซึ่งราชทูตชุดนี้กลับมาจากฝรั่งเศสพร้อมกับ “เดอ ลา ลูแบร์” และ “โกลด เซเบอแร ดูว์ บูแล”

“เป้าประสงค์การมาของเซเบอแร คือแก้ไขสนธิสัญญาที่เดอโชมองต์ทำไว้ เซเบอแรจึงเป็นคนแก้ไขสัญญาทางการค้าทั้งหมด ขณะที่ลาลูแบร์เป็นผู้แทนพิเศษที่เข้ามาเจรจาความอื่นๆ นอกเหนือจากการค้า คือการเมืองและการทหาร มาขอป้อมที่บางกอก และที่สงขลา

“ซึ่งถ้าฝรั่งเศสได้สงขลา มะริด ทวาย ตะนาวศรี และบางกอกไปแล้ว แปลว่าราชอาณาจักรสยามหายหมดเลย เหลือแค่เกาะอยุธยา และนี่ทำให้พระเพทราชาและสมเด็จพระนารายณ์ทรงวิตกกังวลพอสมควร รวมถึงขุนนางไทยที่เห็นว่าอำนาจของฝรั่งเศสคืบคลานเข้ามา”


วัดพุทไธศวรรย์ติดป้ายประชาสัมพันธ์เพจของวัด Putthaisawan

‘ม่านอาคม’เป็นเหตุ วัดพุทไธศวรรย์แทบแตก

เป็นอีกสถานที่ที่ได้รับอานิสงส์จากกระแสละครบุพเพสันนิวาสไปเต็มๆ ความที่ถูกใช้เป็นฉากที่เกศสุรางค์ในร่างของแม่หญิงการะเกด เข้าไปในสำนักดาบของวัดแห่งนี้ และได้พบกับพ่อครูชีปะขาวผู้ที่รู้ว่าการะเกดที่แท้เป็นใคร และยังได้มอบมนต์ใช้กำบังกายให้กับเธอ

“วัดพุทไธศวรรย์” สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (อู่ทอง) ในบริเวณที่เคยเป็นพระตำหนักเวียงเหล็ก ที่ประทับของพระองค์ก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยา จึงมีพระปรางค์เป็นหลัก ลักษณะเป็นพระปรางค์องค์เดี่ยว ถือเป็นหนึ่งในสองสิ่งสำคัญของวัดนี้ นอกจากพระระเบียง

เพียงแค่ก้าวเข้าไปในส่วนของระเบียงคด เสียงของเจ้าหน้าที่สาวในชุดสไบส่งเสียงเชื้อเชิญ ถ้าจะไปดูประตูม่านอาคมเชิญทางฝั่งขวานะคะ

แน่นอน นาทีนี้นักท่องเที่ยวแน่น แทบจะเข้าคิวรอถ่ายรูปกับประตูที่กลายเป็นสถานที่ต้องเช็กอินไปแล้ว

เหตุนี้วัดพุทไธศวรรย์จึงมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมถ่ายรูปตั้งแต่เช้า แม้ไม่ถึงกับมีร้านให้บริการเช่าชุดไทยเช่นบริเวณหน้าวัดไชยวัฒนาราม แต่บางมุมก็มีผ้าซิ่นให้หญิงสาวที่นุ่งกางเกงขาสั้นหรือกระโปรงสั้นได้ยืมเปลี่ยนชั่วคราวเพื่อขึ้นไปกราบสักการะบนพระอุโบสถ


พระตำหนักพระพุทธโฆษาจารย์

สำหรับผู้ที่เข้ามาเที่ยวชมวัดพุทไธศวรรย์ ไม่อยากให้พลาดชม “พระตำหนักพระพุทธโฆษาจารย์” อาคารปูน 2 ชั้น เป็นตำหนักเดิมสมัยสมเด็จพระนารายณ์

“พระตำหนัก 2 ชั้นหาได้ยากในอยุธยา ที่สำคัญซุ้มประตูด้านล่างเป็นซุ้มประตูแบบพระราชนิยม เป็น Pointed arch คือเป็นซุ้มโค้งยอดแหลมแบบวังนารายณ์

“ที่สำคัญไปกว่านั้น พระพุทธโฆษาจารย์รูปนี้ก็เดินทางไปลังกา ภายในพระตำหนักชั้นบนมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เลือนเต็มทนแล้ว บอกเล่าถึงประวัติของท่าน”

รศ.ดร.ปรีดีเกริ่นก่อนนำขึ้นพระตำหนักไปชมภาพจิตรกรรมที่น่าสนใจในแต่ละจุด รวมทั้งชี้ให้ดูผนังด้านหนึ่งเหนือบานหน้าต่างเขียนภาพไตรภูมิ เชื่อว่าแต่เดิมเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป

“ไฮไลต์ของภาพที่อยากให้ชมกันคือ ภาพนางรำที่ถือเป็นแม่แบบการรำของอยุธยา ที่จะพัฒนาต่อมาเป็นแม่บทของท่ารำในปัจจุบัน

“บนตำหนักนี้สำคัญมาก ถ้าเราไม่ขึ้นมาชม เราก็จะมุ่งไปที่ม่านอาคมกับมนต์กฤษณะกาลี” วิทยากรของทริปบอกพร้อมกับรอยยิ้ม และฝากย้ำเพื่อเป็นการตอบคำถามของผู้ที่สงสัยหลายๆ คนว่า วัดพุทไธศวรรย์ที่เห็นในละครมีสถานที่ซ้อมการต่อสู้ฟันดาบนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสำนักดาบพุทไธสวรรย์แต่อย่างใดเพียงแต่ชื่อมาพ้องจึงกลายเป็นแบรนด์ของสำนักดาบไป
ปริศนาพระปรางค์วัดไชย

หลังจากเดินเที่ยววัดพุทไธศวรรย์ พิสูจน์ม่านอาคมแล้วก็มาถึงเป้าหมายสุดท้าย สถานที่เหมาะแก่การเก็บภาพยามอาทิตย์อัสดงเป็นที่สุด

“วัดไชยวัฒนาราม” สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง โดยนำคติเขาพระสุเมรุกับแผนผังของปราสาทนครวัดมาเป็นต้นแบบ และดัดแปลงให้มีรูปแบบเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร

“ที่นี่ถือเป็นอีกจุดยุทธศาสตร์สำคัญของอยุธยา ซึ่งจะสัมพันธ์กับตอนเสียกรุงครั้งที่ 2 ครั้งนั้นพื้นที่ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘วังหลัง’ ไปแล้ว คือฝั่งที่อยู่ในพระนครแต่อยู่ทางทิศตะวันตก เป็นจุดที่พม่าต้องตีวังหลังให้ได้ และตีฝั่งตะวันออกคือวังหน้า ซึ่งถ้าจะตีวังหลังให้ได้ก็ต้องตั้งทัพที่ริมขอบพระนคร ฉะนั้นวัดริมน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่วัดท่าการ้องลงมาจนถึงที่นี่จึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ต้องรบกับพม่ามาตลอด วัดไชยวัฒนารามก็เป็นค่ายที่พม่าใช้ตั้งอาวุธยิงเข้าไปในกำแพงเมืองพระนคร” รศ.ดร.ปรีดีบอก

ต่อข้อสงสัยที่ว่า พระปรางค์วัดไชยวัฒนารามที่ปรากฏในละครเรื่องดังนับตั้งแต่แวบแรกที่เกศสุรางค์ในร่างแม่หญิงการะเกดมองเห็นเป็นสีทองอร่าม เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่


รศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี

รศ.ดร.ปรีดีบอกว่า ต้องยอมรับว่าผู้ประพันธ์เรื่องมีการค้นคว้าพอสมควร เพราะถ้าดูบนยอดปรางค์จะเห็นรูพรุนเต็มไปหมด

“รูพรุนเหล่านั้นเกิดจากการตรึงตะปูสังฆวานร โดยเอาแผ่นโลหะที่ปิดทองคำเปลวทาบบนผิวของพระปรางค์ก่อนจะตรึงด้วยตะปู ซึ่งแผ่นโลหะที่ว่านี้เรียกว่า ‘แผ่นทองจังโก’ ทำให้พระปรางค์วัดไชย ประหนึ่งปิดด้วยทองคำเปลว เราจึงเห็นร่องรอยที่เป็นรูพรุนทั่วพระปรางค์ ซึ่งพบเฉพาะปรางค์องค์ใหญ่ และปรางค์องค์เล็กที่อยู่สี่ทิศ โดยรอบเป็นปูนสีขาว”

วัดไชยวัฒนารามเป็นจุดสุดท้ายของทริปตามรอยบุพเพสันนิวาสที่อโยธยา

สำหรับออเจ้าที่พลาด ยังมีรอบ 2 จัดขึ้นเฉพาะกิจตามเสียงเรียกร้อง ในวันเสาร์ที่ 31 มีนาคม 2561 ยังสามารถสำรองที่นั่งเข้ามาได้ที่ โทร 08-2993-9097, 08-2993-9105 บอกก่อนว่า ต้องด่วนจี๋ เพราะที่นั่งมีจำกัดเต็มที

หากพูดถึงเมนู “ไก่ทอด” ชุบแป้งกรอบๆ หลายคนคงนึกถึงเชนฟาสต์ฟู้ดดัง “เคเอฟซี” เป็นอันดับแรก ที่มีเมนูฮิตมากมาย โดยเฉพาะเมื่อเข้ามาขายในเมืองไทย ไก่ทอดร้านผู้พันเจ้านี้ก็ผุดเมนูเอาใจชาวไทยด้วย “ข้าวไก่แซ่บ” “ข้าวไก่ซี้ด” “ข้าวไก่เขียวหวาน” จนหลายร้านไปจนถึงร้านตลาดนัดก็มีเมนูแนวๆ นี้ขายไปด้วย อย่างไรก็ตาม ยังไม่เห็นว่าร้านไหนจะมีเมนูแปลกใหม่หรือขายดิบขายดีจนพอจะเป็นคู่แข่งกับเคเอฟซีได้

แต่ในประเทศอินโดนีเซีย มีเมนูไก่ทอดราคาไม่แพงอยู่เมนูหนึ่งที่มีชื่อว่า ayam geprek เป็นเมนูไก่ทอดราดด้วยน้ำซอสพริกโขลกหยาบๆ ซึ่งกำลังกลายเป็นเมนูฮอตปรอทแตกในอินโดนีเซีย โดยเป็นเมนูที่ไม่ได้มีในเคเอฟซี แต่พบในร้านอาหารทั่วไป ทำให้ร้านอาหารที่ขายเมนูนี้ขยายตัวขึ้นมากมายในช่วงปีที่ผ่านมา จนเรียกได้ว่าเขย่าวงการอุตสาหกรรมอาหารฟาสต์ฟู้ดและสร้างความท้าทายให้แก่เคเอฟซีเป็นอย่างยิ่ง

หนึ่งในร้านที่ขายเมนูนี้ก็คือร้าน Geprek Bensu ซึ่งตัวร้านตั้งอยู่ในย่านชุมชนบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงจาร์กาตา โดยในช่วงเวลามื้อกลางวันของวันธรรมดา ที่ร้านจะเนืองแน่นไปด้วยเด็กนักเรียนและพนักงานออฟฟิศ

เมนูที่ป๊อปปูลาร์สุดๆ ก็คือเซตที่ประกอบด้วยไก่ทอดราดซอสพริกโขลกแซ่บ เสิร์ฟพร้อมข้าวและแตงกวาหั่น นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มท็อปปิ้งเป็นชีส และสามารถเปลี่ยนข้าวเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวผัดแทนได้ โดยมีความเผ็ดให้เลือกถึง 10 ระดับ และมีราคาอยู่ที่ 16,500 รูเปียห์เท่านั้น หรือประมาณ 37 บาท

ออคตา หญิงทำงานวัย 23 ปี กล่าวว่า ชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่จะไปสั่งเมนูที่มีไก่ทอดหรือเมนูเผ็ดๆ

ทั้งนี้ อินโดฯเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าเนื้อวัว ทำให้เนื้อวัวมีราคาแพง ส่งผลให้ไก่ทอดเป็นสินค้าที่พบมากที่สุดในตลาดฟาสต์ฟู้ดอินโดฯที่มีมูลค่า 22.67 ล้านล้านรูเปียห์ โดยเชนแฮมเบอร์เกอร์ต่างๆ เช่น แมคโดนัลด์, เบอร์เกอร์คิง และลอทเทอเรีย ต่างก็ต้องแข่งขันด้วยการเพิ่มเมนูไก่ทอดให้หลากหลาย

ขณะที่สถานการณ์การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ซึ่งรวมไปถึงการกินอาหารนอกบ้านในอินโดนีเซีย เริ่มผงกหัวขึ้นอย่างช้าๆ หลังราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้น อนาคตของอุตสาหกรรมอาหารฟาสต์ฟู้ดอาจต้องขึ้นอยู่กับความครีเอทีฟของร้านอาหาร ว่าจะสามารถนำเสนอเมนูไก่ที่ราคาถูกและน่าสนใจได้อย่างไร

ส่วนหนึ่งของวิธีแก้ปัญหาก็คือการที่ร้านอาหารสร้างความแปลกใหม่ให้ตัวเอง เช่น ร้านอาหารเกาหลีที่ชื่อว่า Ojju ที่เพิ่มเมนูชีสวางบนกระทะร้อน เวลากินจะให้พนักงานมายืดชีสแล้วพันบนเนื้อสัตว์ หรือเคเอฟซีที่มีช่วงหนึ่งนำเสนอเมนูไก่ทอดราดซอสช็อกโกแลตเผ็ด เป็นต้น

แต่สำหรับที่ร้าน Geprek Bensu เมนูที่ทุกคนต่างพูดถึงก็คือ ayam geprek โดยระดับความเผ็ดที่คนนิยมมากที่สุดก็คือระดับ 10 ที่เต็มไปด้วยพริกโขลกเต็มจาน โดยเวลากินจะไม่มีตะเกียบหรือมีดบนโต๊ะ แต่ลูกค้าจะต้องฉีกไก่ด้วยมือและกินคู่กับข้าว ซึ่งบอกเลยว่าเพียงหนึ่งคำก็ทำให้ปากของคุณเบิร์นสุดๆ จนต้องร้องขอน้ำสักแก้ว

ภาพที่เห็นได้ทั่วไปในทุกวันนี้คือ ลูกค้ารายหนึ่งมาถึงที่ร้าน มองหาโต๊ะภายในร้านที่ติดแอร์ ถึงแม้จะไม่มีแต่เขาก็ยินดีที่จะนั่งโต๊ะนอกร้านท่ามกลางอากาศร้อน และเอ็นจอยไปกับมื้ออาหารถึงแม้เหงื่อจะไหลออกมาพลั่กๆ

เมนู ayam geprek กลายมาเป็นเมนูฮิตระเบิดระเบ้อตั้งแต่ปี 2017 หลังผู้ก่อตั้งร้าน Geprek Bensu ที่ชื่อว่า Ruben Onsu ไปออกรายการโทรทัศน์ โดยปัจจุบันร้านอาหารดังกล่าวมีสาขามากกว่า 60 สาขาทั่วประเทศ และกำลังเริ่มเป็นคู่แข่งกับเชนฟาสต์ฟู้ดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซียอย่างเคเอฟซี ที่มีสาขาราว 600 สาขา

นอกจากนี้ การแชร์ภาพเมนูดังกล่าวบนแอปพลิเชั่นอินสตาแกรมยังช่วยให้ผู้คนรู้จักเมนูนี้มากขึ้น

ส่วนชื่อ ayam geprek ความหมายที่แท้จริงหมายถึง “ไก่ทุบ” ซึ่งมาจากวิธีการปรุงเมนูนี้นั่นเอง โดยส่วนผสมของน้ำราดด้านบนจะทำมาจากพริกไทยแดง, หัวหอมใหญ่, มะเขือเทศ, เกลือ และส่วนผสมอื่นๆ ที่ทำให้เผ็ด แล้วใส่ลงไปในเครื่องโม่ เพื่อทำน้ำซอสที่เรียกว่า Sambal ก่อนจะเติมลงในไก่ทอด แล้วโขลกพร้อมส่วนอื่นๆ ทั้งนี้ น้ำซอสของเมนูนี้จะเป็นสิ่งที่แตกต่างจากที่อื่น เพราะโฟกัสไปที่การคงความเป็นเอกลักษณ์ของอาหารพื้นถิ่นด้วยน้ำซอสเผ็ดนั่นอง


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

ร้านอาหาร 9 แห่ง จากประเทศไทย ติดโผรายชื่อ 50 ร้านอาหารยอดยี่ยมแห่งเอเชียประจำปี 2561

รายชื่อ 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชียประจำปี 2561 ครั้งที่ 6 สนับสนุนโดยซานเพลเลกริโน และ แอคคัว แพนนา (S.Pellegrino & Acqua Panna) ได้มีการประกาศอยางเป็นทางการในงานมอบรางวัล ณ โรงแรมวินน์ พาเลซ มาเก๊า โดยมีร้านอาหารที่ติดอันดับเข้ามาใหม่ถึง 8 ร้าน และมีร้านอาหาร 9 แห่งจากประเทศไทย ติดโผยรายชื่อในปีนี้

ร้านกักกัน (Gaggan) กรุงเทพฯ ครองอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 สำหรับรางวัลร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย (The Best Restaurant in Asia) ที่สนับสนุนโดยซานเพลเลกริโน และ แอคคัว แพนนา (S.Pellegrino & Acqua Panna) และรางวัลร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งประเทศไทย (The Best Restaurant in Thailand) ทั้งนี้ ร้านของ กักกัน อนันต์ (Gaggan Anand) เริ่มติดอันดับ 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมของโลกในปี 2557 และอยู่ในอันดับที่ 7 เมื่อปีที่แล้ว

สำหรับ 9 ร้านอาหารจากประเทศไทยนั้น ประกอบด้วยร้าน Paste (อันดับที่ 31) ของ บงกช ‘บี’ สระทองอุ่น ซึ่งเป็นการติดอันดับเข้ามาใหม่ในปี 2561 นี้ และเธอยังได้รับรางวัล เชฟหญิงยอดเยี่ยมแห่งเอเชียประจำปี 2561 อีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีร้านอื่นๆ ที่ปีนี้กลับเข้ามาติดอันดับอีกครั้ง ได้แก่ ร้าน Sühring (ขึ้นจากอันดับ 9 มาอยู่อันดับที่ 4) ร้าน Nahm (อันดับที่ 10) ร้าน Le Du (ขึ้นจากอันดับที่ 23 มาอยู่อันดับที่ 14) ร้าน Eat me (อันดับที่ 33) ร้าน Bo lan (อันดับที่ 37) ร้าน Issaya Siamese Club (อันดับที่ 39) และร้าน The Dining Room on the House on Sathorn (อันดับที่ 43)

รางวัลร้านอาหารยอดเยี่ยมในแต่ละประเทศ

ประเทศญี่ปุ่น

ร้าน Den (อันดับที่ 2) ขึ้นจากอันดับ 9 สู่รางวัลร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งญี่ปุ่น (The Best Restaurant in Japan) แทนที่ ร้าน Narisawa ที่ครองตำแหน่งนี้ติดต่อกันนานถึง 5 ปี สำหรับ 10 ร้านที่ติดอันดับสูงสุด ได้แก่ ร้าน Florilège (อันดับ 3) และร้าน Nihonryori RyuGin (อันดับ 9) ทั้งสองที่อยู่ใน โตเกียว ส่วนร้าน II Ristorante – Luca Fantin เป็นร้านที่ติดอันดับเข้ามาใหม่ในปีนี้ อยู่ในอันดับที่ 28

ร้าน La Cime ในโอซาก้า ติดอันดับที่ 17 เป็นครั้งแรก กับรางวัลร้านอาหารหน้าใหม่ที่ได้รับอันดับสูงสุด (Highest New Entry Award) สนับสนุนรางวัลโดย Aspire Lifestyles ด้วยเมนูที่นำเสนออาหารฝรั่งเศสแนวใหม่ เชฟยูซุเกะ ทาคาดะ เสาะหาแหล่งวัตถุดิบในท้องถิ่น ส่วนผสมตามฤดูกาล ในการนำเสนออาหารในสไตล์ที่ประณีตและสมบูรณ์แบบ

ในปีนี้ทั้งร้านอาหารและเชฟจากญี่ปุ่นนั้นเป็นที่ยอมรับและถูกนำเสนอเป็นผู้เข้าชิงในรางวัลประเภทต่างๆ มากมาย เชฟโยชิฮิโร่ นาริซาว่า ในปีนี้ได้รับการโหวตจากพื่อนร่วมวงการ และได้รับรางวัลขวัญใจเชฟ (Chef’s Choice Award) ที่สนับสนุนโดย Estrella Damm เป็นเวลาถึง 2 ทศวรรษ ที่ นาริซาว่า ได้รับการยอมรับ และนับถือจากเพื่อนร่วมงาน ด้วยอาหารชั้นเลิศต่างๆของเขาและความสามารถในการผสมผสานเทคนิคการทำอาหารฝรั่งเศส การใช้แนวทางการฝึกฝนแบบยั่งยืนและการให้ความสำคัญต่อประเพณีการทำอาหารญี่ปุ่น

ร้าน L’Effervescence ในโตเกียว รั้งอันดับที่ 20 ในปีนี้ และยังได้รับรางวัลร้านอาหารร้านอาหารเพื่อความยั่งยืนแห่งเอเชีย (Sustainable Restaurant Award) ซึ่งเป็นรางวัลที่เพิ่มมาใหม่ในปีนี้ เพื่อมอบให้กับร้านอาหารที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมสูงสุด ที่ผ่านการรับรองจากสมาคมร้านอาหารเพื่อความยั่งยืน (The Sustainable Restaurant Association)

ประเทศสิงคโปร์

เชฟจูเลียน โรเยอร์ แห่งร้าน Odette ก้าวขึ้นสู่อันดับ 5 ในรางวัลร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งสิงคโปร์ (The Best Restaurant in Singapore) ร้านจากสิงคโปร์ยังติดดับเข้ามาถึง 7 ร้านด้วยกัน ได้แก่ ร้าน Burnt Ends (อันดับที่ 12) ร้าน Waku Ghin (อันดับที่ 23) ร้าน Les Amis (อันดับที่ 29) ร้าน Corner House (อันดับที่ 36) และร้าน Jaan (อันดับที่ 44) รวมถึงร้าน Whitegrass ซึ่งติดอันดับเป็นครั้งแรก (อันดับที่ 50)

ประเทศจีน

นับเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันที่ ร้าน Amber (อันดับ 7) จากฮ่องกง คว้ารางวัลร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งประเทศจีน (The Best Restaurant in China) นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารในฮ่องกงติดอับดับอีก 9 แห่ง ได้แก่ร้าน 8 ½ Otto e Mezzo Bombana (อันดับที่ 13) ร้าน Ta Vie (อันดับที่ 16 จาก 17) และร้าน Lung King Heen (อันดับที่ 24) และอีก 2 ร้านที่ติดอันดับเป็นครั้งแรกในปีนี้ ได้แก่ ร้านNeighborhood (อันดับที่ 32) และร้าน Belon (อันดับที่ 40)

ส่วนรางวัลความก้าวหน้าอันสูงสุด (The Highest Climber Award) เป็นการครองตำแหน่งร่วมกันของร้าน The Chairman ฮ่องกง (อันดับที่ 22) และร้าน Mume ในไทเป (อันดับที่ 18) ซึ่งเป็นการไต่อันดับขึ้นมาถึง 25 อันดับ

ส่วนร้าน Jade Dragon เป็นร้านจากมาเก๊า (อันดับที่ 35) ในขณะที่ร้านจากจีนแผ่นดินใหญ่ นับรวมเซี่ยงไฮ้ ที่ได้รับรางวัลคือ ร้าน Ultraviolet by Paul Pairet (อันดับ 8) และร้าน Fu He Hui (อันดับที่ 30)

ประเทศเกาหลีใต้

ร้าน Mingles ในโซล ยังคงรักษาตำแหน่งร้านอาหารยอดเยี่ยมในเกาหลี (The Best Restaurant in Korea) ในขณะที่ ร้าน Jungsik ได้รับอันดับที่ 26 ร้าน TocToc ได้รับรางวัลร้านอาหารที่น่าจับตามอง โดยมิเอเล่ เมื่อปี 2560 ก็ติดอันดับที่ 42 ด้วย

ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

ร้าน Locavore (อันดับที่ 21) ในบาหลี ได้รับรางวัลร้านอาหารยอดเยี่ยมในอินโดนีเซีย (The Best Restaurant in Indonesia) ในขณะที่ร้าน Indian Accent ขยับขึ้นไป 11 อันดับ สู่อันดับที่ 19 ในรางวัลร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งอินเดีย (The Best Restaurant in India) ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 4 ของร้าน สำหรับผู้ชนะรางวัลจากประเทศอื่นๆ ได้แก่ร้าน Raw (อันดับที่ 15) คว้ารางวัลร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งไต้หวัน (The Best Restaurant in Taiwan) เป็นปีที่ 2 และร้าน Ministry of Crab (อันดับที่ 25) ในโคลัมโบ ยังคงรักษาตำแหน่ง ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งศรีลังกา (The Best Restaurant in Sri Lanka) เป็นปีที่ 3

ผู้ชนะรางวัลในสาขาอื่นๆ ประกอบด้วย:

เพสตรี้เชฟยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย (Asia’s Best Pastry Chef) สนับสนุนโดยวัลโรน่า ได้แก่

นิโคลัส แลมเบิร์ท จากร้าน Caprice ในฮ่องกง

นิโคลัส แลมเบิร์ท มาจากครอบครัวที่ทำขนม ได้ฝึกฝนทักษะกับเชฟทำขนมชาวฝรั่งเศสชื่อดังระดับโลกหลายคน อาทิ คริสโตเฟอร์ มีชลัค (Christophe Michalak) แห่งโรงแรมพลาซ่า แอทธีนี ในกรุงปารีส นับแต่ได้ร่วมงานที่ Caprice ในฮ่องกง เมื่อปี พ.ศ. 2558 ผลงานสร้างสรรค์ที่ละเอียดอ่อนและศิลปะการจัดวางของเชฟชาวฝรั่งเศสนี้ ได้รับการกล่าวขานถึงอย่างมากมาย ทั้งนี้ ‘La Framboise Reconstituée’ คือขนมหวานจานเด่นของเขา ที่สะท้อนทักษะด้านเทคนิค รวมทั้งความสามารถของเขาในการก้าวข้ามขีดจำกัดของความคิดสร้างสรรค์

รางวัลศิลปะแห่งการบริการ ได้แก่ร้าน Ultraviolet by Paul Pairet เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน

เป็นร้านที่ติดหนึ่งในสิบอันดับแรก ของ 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชียมาตลอด สำหรับร้าน Ultraviolet คือร้านอาหารที่นำเสนอประสบการณ์รสชาติได้แบบลุ่มลึก และหลากหลายสัมผัสของรสชาติอาหาร ที่ผนวกการทำอาหารและมนตราแห่งความหรูหราเข้าด้วยกัน ในบรรยากาศของพื้นที่ร้านตั้งใจรังสรรค์ด้วยความลึกล้ำ ให้แก่แขกที่มารับประทานอาหารได้ลิ้มรสอาหาร ซึ่งอาหารในแต่ละคอร์สนั้นจะเสิร์ฟมาท่ามกลางการสร้างบรรยากาศด้วยเทคนิคพิเศษทั้งแสง สี ภาพเคลื่อนไหว ที่ช่วยเพิ่มความพิเศษของมื้ออาหารได้อย่างสมบูรณ์แบบ

นอกจากนี้ยังมีรางวัลอื่นๆ อีกสองรางวัล ที่มอบให้แก่ร้าน Toyo Eatery ในกรุงมะนิลา ได้แก่ รางวัลร้านอาหารที่น่าจับตามองโดยมิเอเล่ (Miele One To Watch Award) โดยนำเอาอาหารท้องถิ่นของฟิลิปปินส์มาตีความใหม่ ทั้งยังฉลองรางวัลให้กับ เชฟอังเดร เจียง แห่งร้าน Raw ในไทเป และร้าน André ในสิงคโปร์ ที่ในปีนี้ได้รับรางวัล ไดเนอร์ส คลับ® รางวัลแห่งความสำเร็จในชีวิต (The Diners Club® Lifetime Achievement Award)

วิลเลียม ดรูว์ บรรณาธิการกลุ่มของ 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย กล่าวว่า “รายชื่อ 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย ประจำปี 2561 มีร้านอาหารหน้าใหม่ 8 ร้านติดอันดับในปีนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นนวัตกรรมที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องของวงการอาหารในภูมิภาคนี้ ในปีที่ 6 ของงาน 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชียยังคงให้การต้อนรับผู้มีความสามารถรายใหม่ๆ เจาะแนวโน้มอุตสาหกรรม และเฉลิมฉลองให้กับทุกความยอดเยี่ยม และเรายินดีเป็นอย่างมากในการมอบเกียรติยศนี้แก่ทั้ง 50 ร้านอาหารที่อยู่ในรายชื่อประจำปีพ.ศ. 2561 นี้ รวมถึงผู้ชนะรางวัลประเภทต่างๆ ผู้ซึ่งให้แรงบันดาลใจกับเรา ด้วยวิสัยทัศน์ และความสำเร็จอันโดดเด่นของพวกเขา”

การรวบรวมรายชื่อ 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมในเอเชีย

รายชื่อ 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชียจัดทำขึ้นจากผลโหวตของ 50 Best Restaurants Academy เป็นกลุ่มของผู้นำในธุรกิจอาหารกว่า 300 รายจากทั่วภูมิภาคเอเชีย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีทัศนะ และประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในวงการธุรกิจอาหารของเอเชีย โดยคณะกรรมการในแต่ละภูมิภาค ประกอบด้วย นักเขียน และนักวิจารณ์อาหาร เชฟ ผู้ประกอบการร้านอาหาร และผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘นักชิม’ สมาชิกให้คะแนนตัวเลือกของตัวจากความชอบ โดยการคัดเลือกร้านจากความชอบจากประสบการณ์ที่ได้รับจากร้านอาหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบ 18 เดือนที่ผ่านมา โดยไม่มีการกำหนดเกณฑ์ล่วงหน้า แต่การลงคะแนนนั้นจะเป็นไปตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด

งานประกาศรางวัล 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย ประจำปี 2561 เป็นการกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งกับพันธมิตรอย่างดีลอยต์ (Deloitte) บริษัทที่ปรึกษาอิสระอย่างเป็นทางการ การตัดสินจากดีลอยต์สามารถมั่นใจในความโปร่งใส และมาตรฐานที่น่าเชือถือ ขั้นตอนในการลงคะแนน โดยผลการตัดสินรางวัลประเภทต่างๆ นั้นถูกต้องและเที่ยงตรง ติดตามรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับผลการประกาศผลรางวัล 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย ได้ที่ http://www.theworlds50best.com/asia/en/our-manifesto.html

สำหรับการเลือกใส่เครื่องประดับของหญิงสาวนั้นนอกจากเพื่อความสวยงามแล้ว เครื่องประดับยังเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สามารถสะท้อนถึงคาแรคเตอร์และกำหนดภาพลักษณ์ของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี โดยล่าสุดเครื่องประดับอัญมณีแบรนด์ ‘โรส 1835’ (Roos 1835) โดย ชลรดา ไชยศุภรากุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท มาร์เก็ต แอคเซส จำกัด ได้เปิดตัว 4 คอลเลกชั่นดีไซน์ล่าสุด ที่ชื่อว่า แทลลี่ โรส (Taille Roos), ทิปปิคอล โรส (Typical Roos), ไทม์เลส โรส (Timeless Roos) และ มูนดรอป (Moondrops) ให้เหล่าจิวเวลรี่เลิฟเวอร์ได้ยมโฉมพร้อมกัน

‘โรส 1835’ (Roos 1835) แบรนด์เครื่องประดับอัญมณีแท้จากประเทศเบลเยียม ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1835 โดยครอบครัว โรเซนดาล (Rozendaal) โดยผลงานทุกชิ้นที่สร้างสรรค์ขึ้นนั้นล้วนมาจากการออกแบบของมิสเตอร์ รีน โรเซนดาล (Mr. Rien Rozendaal) นักออกแบบอัญมณีชื่อดังผู้สืบทอดกิจการจากครอบครัวรุ่นที่ 6 โดยงานดีไซน์ในทุกคอลเลกชั่นจะได้รับการออกแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผ่ายจุดเด่นที่เน้นความหรูหราแต่ทว่าเรียบง่าย สามารถสวมใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน ด้วยฝีมือการเจียระไนเพชรอย่างเบลเยียมแท้ที่มีการผสมผสานระหว่างเทคนิคแบบโรสคัท (Rose Cut) และบริลเลียนท์คัท (Brilliant Cut) ลงบนตัวเรือนโรส โกลด์ (Rose Gold) และไวท์ โกลด์ 18K (White Gold 18K) ได้อย่างลงตัว ซึ่งในปัจจุบัน ‘โรส 1835’ (Roos 1835) มีวางจำหน่ายในร้านเพชรชั้นนำกว่า 200 แห่งใน เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ อเมริกา จีน และ ไทย

โดยเครื่องประดับ 4 คอลเลกชั่นที่เปิดตัวในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย แทลลี่ โรส (Taille Roos) อัญมณีสัญลักษณ์แห่งความหรูหรา คอลเลกชั่นนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างเพชรโรสคัทร่วมสมัยกับเพชรบริลเลียนท์คัทผ่านการเจียระไนโดยทีมช่างผู้เชี่ยวชาญจนเกิดเป็นเครื่องประดับน้ำงามที่มอบความหรูหราโดดเด่นให้แก่ผู้สวมใส่ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ต่อมาที่คอลเลกชั่น ทิปปิคอล โรส (Typical Roos) สร้างสรรค์ขึ้นจากคอนเซ็ปต์ของความทันสมัย สามารถสวมใส่ได้ในทุกวัน แต่ยังคงแฝงความหรูหราเอาไว้ จากการเลือกใช้เพชรบริลเลียนท์คัทสีขาวและสีแชมเปญที่ถูกคัดมาเป็นอย่างดี รวมถึงดีไซน์พิเศษที่ใช้เพชรบริลเลียนท์คัทประกอบกับแซฟไฟร์ (Sapphire) สีน้ำเงิน ถ่ายทอดเป็นเครื่องประดับดีไซน์แปลกตา ที่คงความทันสมัยช่วยเสริมบุคลิกให้ผู้ที่สวมใส่ได้เป็นอย่างดี คอลเลกชั่นถัดมา ไทม์เลส โรส (Timeless Roos) คอลเลกชั่นแหวนที่เหมาะสำหรับมอบเป็นของขวัญในโอกาสพิเศษหรือแหวนหมั้น ด้วยความโดดเด่นของเพชรเม็ดเดี่ยว (Solitaire) สีขาวเปล่งประกายสดใส บ่งบอกถึงความรักอันบริสุทธิ์ ในดีไซน์เรียบหรูไร้ที่ติ ปิดท้ายที่คอลเลกชั่น มูนดรอป (Moondrops) ที่ยังคงใช้แมททีเรียลหลักเป็นเพชรบริลเลียนท์คัทน้ำงาม และเพิ่มความโดดเด่นสะดุดตาด้วยทับบทิม (Ruby), แซฟไฟร์ (Sapphire), ควอทซ์ (Quartz), มูนสโตน (Moonstone) และเพชรสีดำ (Black Diamond) ถ่ายทอดเป็นอัญมณีดีไซน์แปลกตาที่สามารถมิกซ์แอนด์แมทช์ได้กับเสื้อผ้าได้ทุกชุด สร้างเสน่ห์ให้หญิงสาวผู้สวมใส่ได้เผยสไตล์อันโดดเด่นได้ในทุกโอกาส

เสริมบุคลิกให้โดดเด่นและสมบูรณ์แบบด้วยเครื่องประดับ ‘โรส 1835’ (Roos 1835) ได้แล้ววันนี้ที่ ห้างสรรพสินค้า เดอะ เอ็มโพเรียม ชั้น 1, เซ็นทรัลชิดลม ชั้น 1 และสยามพารากอน ชั้น M ในราคาพิเศษในช่วงเปิดตัว ในประเทศไทย และที่สำคัญคือ ทุกชิ้นงาน รับประกัน 100% LIFE TIME WARANTEE เพื่อความมั่นใจให้กับลูกค้าทุกท่าน

เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ วาระดิถีขึ้นปีใหม่ไทยปีนี้ ศูนย์การค้าเมกาบางนา ศูนย์การค้าสำหรับ ทุกคนในครอบครัว จัดงาน “เมกา สงกรานต์: ม่วนขนาด สาดสนุก…สุขสุดใจ ปี๋ใหม่เมือง” ขอเชิญชวนร่วมสักการะ องค์พระพุทธรูปจำลองจากวัดชื่อดัง ขอพรสะเดาะเคราะห์ตามประเพณีล้านนา พร้อมสรงน้ำพระประจำวันเกิดเพื่อความเป็นสิริมงคล ร่วมชมการแสดงตีกลองสะบัดชัย ฟ้อนเจิง ฟ้อนดาบล้านนา และชุ่มฉ่ำคลายร้อนไปกับสวนน้ำเคลื่อนที่และ เครื่องเล่นมากมาย สนุกสนานไปกับเกมส์งานวัดสุดประทับใจ ลุ้นรับของรางวัลแบบไทยๆ สนุกฟรีตลอดงาน ระหว่าง วันที่ 12-15 เมษายน 2561 ณ ศูนย์การค้าเมกาบางนา

 

ฉลองสงกรานต์ปีนี้ ศูนย์การค้าเมกาบางนา ได้เนรมิตเมืองเหนือมาไว้ที่นี่ เพื่อมอบความสุขให้ทุกครอบครัว ภายใต้แนวคิด “ม่วนขนาด สาดสนุก…สุขสุดใจ ปี๋ใหม่เมือง” พร้อมประดับตกแต่งบริเวณศูนย์การค้าด้วยตุงและโคมไฟยี่เป็งตระการตา โดยจัดกิจกรรม 2 โซน โซนแรกคือ โซนสุขใจ ณ บริเวณ เมน เอนทรานซ์ ที่ให้ทุกครอบครัวร่วมอิ่มบุญ สุขใจ ในวันปีใหม่แบบไทย โดยได้อัญเชิญองค์พระพุทธรูปจำลองจากวัดดังมาประดิษฐานให้ผู้ร่วมงานได้สักการะ อาทิ พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองตามแบบชาวล้านนา เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการสรงน้ำ ทำบุญพระประจำวันเกิด และพลาดไม่ได้กับไฮไลท์การแสดงโชว์ที่หาชมได้ยากและตื่นตาตื่นใจ เช่น โชว์ตีกลองสะบัดชัย และฟ้อนเจิง ฟ้อนดาบ

และเตรียมหรรษาคลายร้อนไปกับ โซนสาดสนุก ณ บริเวณเมกา พลาซ่า ที่จะให้ทุกคนชุ่มฉ่ำตลอดทั้งวันกับสวนน้ำเคลื่อนที่ สไลเดอร์ขนาดยักษ์ และอุโมงค์น้ำ พร้อมพาทุกท่านย้อนวันวานบรรยากาศงานวัดแบบไทยๆ ด้วยขนมทานเล่นที่ยังอยู่ในความทรงจำ อาทิ ไอติมหลอด น้ำหวานหัวจรวด สายไหม น้ำตาลปั้น และน้ำแข็งใส รวมทั้งเกมส์การละเล่น ปืนจุกน้ำปลา ปาโป่ง โยนห่วง และสาวน้อยตกถัง

ขอเชิญร่วมสืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทย และเสริมความเป็นศิริมงคลในงาน “เมกา สงกรานต์: ม่วนขนาด สาดสนุก…สุขสุดใจ ปี๋ใหม่เมือง” ระหว่างวันที่ 12-15 เมษายน 2561 เวลา 10:00 – 19:00 น.
ณ ศูนย์การค้าเมกาบางนา สอบถามรายละเอียด โทร. 02 -105 -1000 และ www.facebook.com/MegabangnaShoppingCenter