เรื่อง/ภาพ กนกวรรณ มากเมฆ


 

พูดถึง “ผ้าไหม” หลายคนคงนึกถึงผ้าเนื้อนุ่มลื่น มักใช้ตัดชุดทางการ ชุดพิธี หรือชุดที่มีความเป็นผู้ใหญ่หน่อย แต่ทุกวันนี้การนำผ้าไหมมาใช้เรียกได้ว่าไม่ได้จำกัดอยู่กับรูปแบบเดิมๆ เท่านั้น เพราะมีการนำผ้าไหมไปประยุกต์ทำสินค้าใหม่ๆ ขึ้น อย่างเช่นแบรนด์ “La Orr” (ละออ) ที่นำผ้าไหมมาจับใส่ไอเดียเกิดเป็นเครื่องประดับที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

“ออม-สุพัจนา ลิ่มวงศ์” เล่าให้ “มติชน อคาเดมี” ฟังว่า แบรนด์ละออเริ่มตั้งเป็นแบรนด์จริงๆ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว แต่ก่อนหน้านี้ที่ทำงานเป็นดีไซเนอร์บริษัทส่งออกเครื่องประดับเงิน ก็มีการทดลองเท็กซ์เจอร์และเทคนิคมาเรื่อยๆ ตลอด 4 ปี

“ตั้งแต่ตอนเรียนศิลปกรรมออกแบบเครื่องประดับที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เราก็มีความฝันว่าอยากจะมีแบรนด์เครื่องประดับของตัวเอง แต่อยากลองหาประสบการณ์ก่อนเลยไปทำงานบริษัท พอถึงจุดหนึ่งก็รู้สึกอิ่มตัว เลยคิดว่าน่าจะออกมาทำอะไรจริงๆ จังๆ จึงไปเรียนปริญญาโท สาขาออกแบบแฟชั่นและเท็กซ์ไทล์ที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง แล้วก็มาทดลองทำ” ออม-สุพัจนากล่าว

ด้วยความที่ส่วนตัวเธอเป็นคนชอบงานคราฟต์ของไทยอยู่แล้ว แต่งานคราฟต์ของไทยนั้นมีมากมายหลายประเภท เช่น จักสาน งานไม้ไผ่ ในตอนแรกเธอเองก็ยังไม่คาดคิดว่าตัวเองจะใช้ผ้าไหม เพียงแต่อยากทำแบรนด์ที่เอางานคราฟต์ไทยมาใช้เท่านั้น

แต่ความบังเอิญอยู่ที่ส่วนตัวเธอรู้จักกับ “ร้านสุรีย์พรไหมไทย” ทำให้มีโอกาสได้สัมผัสของจริงว่าผ้าไหมเป็นผ้าที่สวยมาก แต่คนทั่วไปกลับไม่ค่อยได้ใช้ เพราะผู้คนมักรู้สึกว่าผ้าไหมเป็นสิ่งไกลตัว มีความเป็นผู้ใหญ่ เป็นทางการ ตัดได้เพียงชุดพิธีการทรงตรง เลยรู้สึกว่าต้องเอามาทำอะไรสักอย่าง

“ตอนนั้นเราเลยตั้งโจทย์ให้มันคอนทราสต์ขึ้นมาเลยว่าเราจะทำให้วัยรุ่นใส่ และใส่ได้ทุกวัน เข้าถึงง่าย ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัว ที่ร้านสุรีย์พรจึงให้ผ้าไหมเรามาทดลองได้เต็มที่ เพราะเขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเราจะออกแบบมาเป็นรูปแบบไหน”

โดยกว่าจะมาเป็นสินค้าแฟชั่นจากงานคราฟต์ไทยโบราณที่ดูสัมผัสได้และใช้ได้จริงอย่างทุกวันนี้ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะความยากนั้นเรียกได้ว่าเริ่มตั้งแต่วัสดุที่ใช้ ที่ในตอนแรกเธอยังนึกไม่ออกเลยว่าจะทำออกมาอย่างไรให้ดูสวยโดยที่ต้องแตกต่างจากเครื่องประดับผ้าที่เคยเห็น เลยทดลองค่อนข้างเยอะ ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ผ่านการสเกตช์งานก่อน เพราะการทดลองทำทั้งตัวผ้าและวัสดุไปด้วยกันจะทำให้เห็นเป็นสามมิติมากกว่า และทำให้รู้เลยว่าจุดใดยังมีปัญหา ส่วนไหนยังไม่ได้

ผลงานของ “ออม” ในช่วงแรกจะเป็นทรงที่ทำค่อนข้างง่าย อาจจะเป็นทรงที่เห็นได้ทั่วไป คือ เป็นพู่ผ้าไหมแล้วมีหัวจุก แต่คอลเลคชั่นถัดๆ มาตัวเรือนจะเริ่มไม่ใช่แค่หัวจุก แต่จะมีความบิดพลิ้วมากขึ้น ดูเป็นตัวเรือนที่มีความจริงจังมากขึ้น ยากขึ้นทั้งตัวผ้าและการขึ้นตัวโลหะ

ความเก๋ไก๋ยังอยู่ที่ทุกชิ้นงานของเธอเป็นงานแฮนด์เมดทั้งหมด วัสดุหลักจะเป็นผ้าไหมปักธงชัยเท่านั้น กับทองเหลืองชุบ ซึ่งแต่ละชิ้นก็จะใช้เวลาการทำไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความยากง่าย เพราะฉะนั้นหากมีออเดอร์เข้ามา “ออม” ก็จะมีการตกลงเวลากับลูกค้าว่าหากมีออเดอร์เยอะก็อาจจะเกิน 1 เดือนขึ้นไป แต่โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 3 สัปดาห์/ออเดอร์

สำหรับราคาของเครื่องประดับผ้าแบรนด์นี้เริ่มตั้งแต่ 590 ไปจนถึง 6,000 บาทขึ้นไป ปัจจุบันในประเทศไทยหาซื้อได้ที่ Room Concept Store ที่สยามดิสคัฟเวอรี่, เอ็มควอเทียร์, เซ็นทรัลเอ็มบาสซี่ และที่วันเดอร์รูม สยามเซ็นเตอร์ ส่วนตลาดต่างประเทศมีวางขายในรีเทลช็อปในฝรั่งเศส, ไต้หวัน, มาเก๊า และออสเตรเลีย โดยเริ่มเจาะกลุ่มลูกค้าต่างประเทศตั้งแต่ปีที่ผ่านมา

“เราเริ่มเน้นเจาะกลุ่มชาวไทยก่อน แต่ลูกค้าจริงๆ ของเราเป็นลูกค้าต่างชาติ ส่วนใหญ่จะมาจากการออกงานแฟร์แล้วเขามาเดินหาของแปลกใหม่และสนใจนำไปวางขาย เสียงตอบรับที่ผ่านมาถือว่าดีโดยเฉพาะช่วงไฮซีซั่นของต่างชาติ โดยยอดขายอาจจะไม่ได้ตู้มต้ามมาก แต่ก็ยังมาเรื่อยๆ เพราะจริงๆ ตั้งเป้าไว้อยู่แล้วว่าจะโตแบบค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เนื่องจากสินค้าเราไม่ใช่ของที่เข้าใจง่าย ต้องค่อยๆ ให้คนทำความรู้จักคุ้นเคยไปเรื่อยๆ จะดีกว่า”

“ออม-สุพัจนา” บอกอีกว่า การออกแบบชิ้นงานตอนนี้ก็ยังใช้ผ้าไหมปักธงชัยอยู่ แต่ว่าต่อๆ ไปก็กำลังทดลองวัสดุใหม่ด้วย ซึ่งยังเน้นเป็นงานคราฟต์ของไทยเท่านั้น โดยอาจจะลองทำโปรดักต์ในกลุ่มอื่นบ้างนอกจากเครื่องประดับ เช่น กระเป๋าถือใบเล็ก ซึ่งยังอยู่ในกลุ่มสินค้าแฟชั่นอยู่

“เรามองว่างานคราฟต์ไทยยังทำได้อีกหลายอย่าง นี่เป็นแค่หนึ่งตัวอย่างที่นำมาใช้ก็คือผ้าไหม แต่ยังมีงานอีกเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเบญจรงค์ เครื่องถม จักสานย่านลิเภา อยู่ที่ว่าใครจะหยิบมาใช้อย่างไร เลยมองว่าเรื่องของงานออกแบบจากคราฟต์ไทยยังไปได้อีกไกล ขึ้นอยู่กับว่าเราทดลอง ให้เวลากับมันมากแค่ไหน เพราะงานจะออกมาดีได้ต้องใช้เวลากับความอดทน อีกทั้งคนทั่วไปยังรู้สึกว่าเครื่องประดับต้องเป็นเพชร ทอง โลหะ เพราะฉะนั้นต้องอดทนว่าต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจ หรือพยายามหารางวัลมาการันตีให้คนมาโฟกัสที่งานของเรา” เจ้าของแบรนด์ละออกล่าว

ก่อนจะทิ้งท้ายว่า “ถ้าใครสนใจเรื่องของงานออกแบบจริงๆ อยากให้ลงแรงกายแรงใจไปกับสิ่งที่ตัวเองรัก อาจจะเริ่มจากสิ่งที่สนใจ ก็ให้ไปโฟกัสที่สิ่งนั้น และพยายามทดลองทำให้ต่างจากสิ่งที่มีอยู่ทั่วไป เวลาหาข้อมูลก็พยายามไม่หางานที่เกี่ยวกับเครื่องประดับ แต่จะพยายามหาศิลปะแขนงอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง เพราะเราไม่อยากติดตา ถึงแม้บางคนจะบอกว่าหาเพื่อเป็นแรงบัดาลใจ สุดท้ายก็ไม่พ้น และจะเป็นการนำผลงานคนอื่นมาใช้โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย การออกไปดูสิ่งอื่นหรือหาแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ งานที่ออกมาก็จะเป็นตัวเรา 100% และพูดได้เต็มปากเลยว่าเป็นงานของเรา”

นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างดีไซเนอร์ที่มีการหยิบจับงานศิลปะหัตถกรรมของไทยมาใช้ได้อย่างสร้างสรรค์เลยทีเดียว


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

ขั้นตอนพื้นฐานของการชิมไวน์นั้นไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายในคราเดียวกัน 3 ขั้นตอนสั้น ๆ คือ “ดู-ดม-ดื่ม”

ดู ด้วยการใช้มือจับที่ก้านของแก้วไวน์พร้อมมองสีของไวน์ด้วยความสุนทรีย์ เคล็ดลับคือห้ามจับที่ก้นแก้ว เพราะมือที่สัมผัสนั้นจะทำให้อุณหภูมิของไวน์เปลี่ยน

ดม ขั้นตอนที่สองที่ใช้ประสาทสัมผัสจากจมูก สูดกลิ่นความหอมของไวน์ด้วยการยกแก้วขึ้นมาจดที่ปลายจมูก แล้วหลับตาพร้อมสูดกลิ่นของไวน์ที่ให้ความอบอวลของความอโรมามากยิ่งขึ้น ก่อนที่จะไปขั้นตอนถัดไป ขอให้ลองแกว่งแก้วไวน์ให้ไวน์ได้สัมผัสกับอากาศ พร้อมสูดดมไวน์อีกครั้งหนึ่ง

ดื่ม ขั้นตอนสุดท้ายถูกใจนักดื่มไวน์ ที่ต้องค่อย ๆ จิบอย่างละเมียดละไม พร้อมอมไว้สักพักเพื่อให้ประสาทสัมผัสได้รับรู้และแยกรสชาติของไวน์ จากนั้นค่อย ๆ กลืน

คำถามที่ตามมานั้นคือเพราะอะไรทำให้ไวน์ที่มาจากขวดเดียวกันมีรสชาติที่ต่างกัน คำตอบไม่ยากก็คือ “รูปทรงของแก้วไวน์”

แก้วที่มีกระเปาะกว้าง มีพื้นที่ให้ไวน์ได้รับออกซิเจนเพิ่มก็จะทำให้ได้ไวน์มีรสชาติอย่างหนึ่ง แก้วทรงสูงที่เด่นในเรื่องของการรับรู้กลิ่นอโรมาก็จะให้รสชาติของไวน์อีกแบบหนึ่ง ส่วนแก้วที่มีปากกระเปาะแคบแต่ฐานแหลมก็จะให้รสสัมผัสของไวน์ที่แตกต่างกันออกไป

เลือกแก้วไวน์ดี เข้าถึงได้มากกว่า

“รูปทรงของแก้วไวน์” ที่ถูกออกแบบมาอย่างสร้างสรรค์นั้นไม่ได้ให้เกิดความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สามารถเปลี่ยนรสชาติของไวน์ได้ด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นไวน์ที่ถูกเทออกมาจากขวดเดียวกันก็ตาม

“ผศ.จุฬาลักษณ์ ไพบูลย์ฟุ้งเฟื่อง” รองอธิการบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ กล่าวว่า RICE เป็นสถาบันการศึกษานานาชาติที่มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนา และบ่มเพาะผู้ประกอบการธุรกิจสร้างสรรค์ในระดับสากล ภายใต้หลักการ RICE เปลี่ยนความชอบให้เป็นอาชีพ

“ความร่วมมือระหว่าง RICE-ICDE-ECS ครั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของ RICE ในการผลิตผู้ประกอบการสร้างสรรค์ และการันตีได้ว่านักศึกษาที่จบออกมาจะเป็นผู้ที่มีความสามารถและประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย เนื่องจากโครงสร้างหลักสูตรของ RICE ควบรวมการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติการจากสถาบันการศึกษา และสมาคมวิชาชีพระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชานั้น ๆ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชา รวมถึงปริญญาธุรกิจจากสถาบันอุดมศึกษาต่างประเทศ และการฝึกปฏิบัติงานกับองค์กรวิชาชีพชั้นนำที่จะเพาะบ่มให้บัณฑิตของ RICE มีทักษะปฏิบัติการขั้นสูง”

“พร้อมทั้งยังสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มีหลักคิดทางธุรกิจ ประสบการณ์ และความรู้เกี่ยวกับตลาดในต่างประเทศ รวมไปถึงการสร้างเครือข่ายวิชาชีพที่จำเป็นสำหรับคนรุ่นใหม่ที่จะก้าวเข้าสู่โลกธุรกิจได้อย่างมั่นใจและมั่นคง”

สำหรับความร่วมมือกันครั้งนี้ถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญ และเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนในสาขาวิชาชีพเชฟ สู่การเป็นผู้ประกอบการเชฟรุ่นใหม่ที่ได้มาตรฐานในระดับสากล รวมทั้งจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนอาชีพเชฟสู่สากล และขยายธุรกิจในต่างประเทศได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

“โรเบิร์ต ฟอนตานา” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สถาบันการครัวดิซิพ เอสโคฟิเอร์ กล่าวว่า สถาบันมองหาโอกาสในการส่งผ่านองค์ความรู้และหลักการพื้นฐานศิลปะการประกอบอาหารให้กับกลุ่มเยาวชนรุ่นใหม่ ที่มีใจรัก และความต้องการที่อยากจะเป็นเชฟมืออาชีพในระดับสากล ด้วยการเลือกพัฒนาหลักสูตรร่วมกับวิทยาลัยผู้ประกอบการสร้างสรรค์นานาชาติรัตนโกสินทร์ในครั้งนี้

“หลักสูตรดังกล่าวเป็นหลักสูตรปริญญาตรี 4 ปี โดยจะศึกษาที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ศาลายา เป็นเวลา 3 ปี และศึกษาพร้อมฝึกปฏิบัติงานในสาธารณรัฐฝรั่งเศสอีก 1 ปี โดยบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจะได้รับปริญญา 2 ใบ คือปริญญาตรีด้านศิลปะและเทคโนโลยีการประกอบอาหารจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ และปริญญาตรีด้านการบริหารธุรกิจจาก ECS”

“นอกจากนั้น ยังได้ประกาศนียบัตรวิชาชีพด้านอาหารฝรั่งเศสที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลฝรั่งเศสด้วย รวมถึงประกาศนียบัตร Disciples Escoffier Grande Diploma จากสมาคม Disciples Escoffier ซึ่งจะทำให้บัณฑิตมีเครือข่ายวิชาชีพทันทีที่จบการศึกษา”

สำหรับรุ่นแรกจะเริ่มเปิดการเรียนการสอนในปีการศึกษา 2561 โดยเปิดรับจำนวน 25 คน และเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2561 เป็นต้นไป


[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111

“ปูขน” จัดว่าเป็นเมนูอาหารจีนที่มีชื่อเสียงอย่างมาก เพราะเป็นอาหารที่หายาก ที่สำคัญมีราคาแพง ในบ้านเราพอถึงช่วงฤดูหนาวโรงแรมสี่ห้าดาวบางแห่งถึงกับจัดเทศกาลปูขน เสิร์ฟเมนูเด็ดหลายเมนู แต่ละจานหลักหลายร้อยจนถึงหลักพัน อาทิ ปูขนนึ่งชาจีน อันเป็นเมนูดั้งเดิมและถือเป็นธรรมเนียมในการกินปูขน โดยนำชาจีนมาใช้ในการนึ่งปู ทำให้เนื้อปูมีกลิ่นหอม สดชื่นจากใบชา พร้อมทั้งได้รสชาติหวานของเนื้อปู ราคาต่อจานพันกว่าบาท

โดยในหนังสือ เหินห่าว Business อยากเก่งธุรกิจต้องคิดอย่างจีน เขียนโดย วรมน ดำรงศิลป์สกุล (สนพ.มติชน) ได้พาไปศึกษาตัวอย่างของอีคอมเมิร์ซในจีนที่ใช้การเกาะติดกับพฤติกรรมผู้บริโภคแบบเทรนด์ตามฤดูกาล เช่น ในช่วงไฮซีซั่นของสินค้าในเดือนตุลาคม ที่เมืองจีนถือเป็นช่วงเทศกาลกินปูขน!! ถึงขนาดที่อีคอมเมิร์ซทุกเว็บไซต์พร้อมใจกันจัดเทศกาลขายปูขนกันเป็นล่ำเป็นสันเลยทีเดียว

โดยปกติเดือนตุลาคมถือเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดของการกินปูขน เพราะมันโตเต็มที่ มีมันเยอะ และราคาไม่สูงเกินจริง

ซึ่งปูขนออนไลน์ที่อีคอมเมิร์ซจีนทุกเจ้าการันตีว่าพร้อมส่งฟรีทั่วประเทศ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน โดยเงื่อนไขสำคัญที่สุด คือ จะจัดส่งปูขนให้ถึงมือคุณทั้งที่ยังเป็นๆอยู่ด้วย!

ทั้งนี้ เมื่อทดลองกดออเดอร์สั่งมา 1 เซท ประกอบด้วยปูตัวเมีย 4 ตัว และตัวผู้อีกอย่างละเท่ากัน

วันครึ่งผ่านไปกล่องพัสดุก็มาส่งตามคาด ตัวกล่องบรรจุปูน้อยใส่โฟม มัดขาแย้งมาเป็นอย่างดี เปิดออกมาตรวจสอบจะพบตาปูทุกตัวกะพริบเหมือนเซย์ไฮ! ที่าปูทุกตัวมีคิวอาร์โค้ดให้สแกนว่ามาจากบ่อไหนอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีผงใบกะเพราผสมขิงที่เมื่อโรยไปแล้วจะช่วยดับกลิ่นคาวปูเวลานำไปอบ รวมถึงอุปกรณ์การกินปูแถมมาด้วย เช่น ที่ควักเนื้อปู กรรไกรตัดขาปู และน้ำจิ้มจิ๊กโฉ่ว

เทศกาลปูขนปี 2017 ที่ผ่านมา “หลิวเฉียงตง” ซีอีโอของจิงตง หรือ jd.com ได้ขึ้นเวทีโปรโมทเทศกาลกินปูขนด้วยตัวเอง อีกทั้งยังย้ำด้วยว่าภารกิจใหญ่ในปีนี้ คือพร้อมส่งปูขนเป็นๆทั้งแผ่นดินจีนให้ถึงทุกบ้านภายใน 6 ชั่วโมง (หากเป็นเมืองใหญ่ๆ จะถึงภายใน 30 นาที) ส่วนเทียนเมา ของอาลีบาบาก็ไม่ยอมน้อยหน้า จัดอีเวนต์กลางห้างดัง เปลี่ยนตู้คีบตุ๊กตามาเป็นตู้จับปูเป็นๆไปกินฟรี

และที่สถานีรถไฟหนานจิง ก็มีตู้ขายปูอัตโนมัติที่ทำให้รู้สึกว่าการกินปูขนเป็นเรื่องง่ายๆ และคิดอยากจะกินเมื่อไหร่ก็ได้ตามอารมณ์

เรื่องราว “ปูขน”

ปูขน มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน อาศัยอยู่ตามทะเลสาบใน เจริญเติบโตอยู่ในสภาพอากาศหนาว และน้ำที่เย็นจัด และเป็นที่ยอมรับกันว่า ปูขน ที่มาจากทะเลสาบหยางเฉิงหู มณฑลเซียงจู มีรสชาติดีที่สุด ซึ่งแม้ปูขนมีให้บริโภคได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงเวลาที่จะกินปูขนให้อร่อยที่สุด คือปลายฝนต้นหนาวเพราะเป็นฤดูผสมพันธุ์ ระหว่างเดือนกันยายนไปจนถึงเดือนมกราคม เป็นเวลาที่ปูตัวเมียเริ่มมีไข่ ส่วนตัวผู้ก็มีเนื้อหวานเต็มที่

สำหรับปูขนเลี้ยงกันที่มณฑลเจียงซู ที่ขึ้นชื่อมากอยู่ที่ทะเลสาบหยางเฉิงหู อันดับสองอยู่ที่ทะเลสาบไท่หู ในเมืองอู๋ซี ซึ่งปูขนนั้นจะเลี้ยงกันที่ทะเลสาบ โดยเลี้ยงในกระชังกั้นไว้ไม่ให้มันหนีไปไหน ปูขนจะหากินเองในทะเลสาบ เวลาขายจะขายเป็นตัว ไม่ได้ขายเป็นกิโลกรัม

เมนูปูขนนึ่งเหล้าจีน ก็เป็นเมนูเด็ดอีกอย่าง โดยใช้เหมาไถ ซึ่งจะต้องเอาขนของมันออกด้วย แล้วนำไปนึ่งให้สุก ประมาณ 15 นาที ช่วงที่นึ่งใส่ใบหม่อนตากแห้งลงไปด้วย เพื่อช่วยสลายพิษสำหรับคนที่แพ้ปู ส่วนน้ำจิ้มปูขนนึ่งเหล้าจีนใช้จิ๊กโฉ่คุณภาพดี ผสมกับขิงสับ นอกจากนี้ ก็ยังมีซุปเกี๊ยวปูขนทอด และเนื้อปูขนผัดนมสด


Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111

นางสุณี ปิยะพันธุ์พงศ์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีการผลิตขวดพลาสติกเพื่อบรรจุน้ำดื่ม ประมาณ 4,400 ล้านขวดต่อปี มีการใช้แคปซีล (พลาสติกหุ้มฝาขวด) ร้อยละ 60 หรือประมาณ 2,600 ล้านขวด ก่อให้เกิดขยะพลาสติก 2,600 ล้านชิ้น หรือคิดเป็นน้ำหนักประมาณ 520 ตัน แคปซีลผลิตจากพลาสติกพีวีซี มีขนาดชิ้นเล็ก น้ำหนักเบา ง่ายต่อการทิ้งกระจัดกระจายลงในสิ่งแวดล้อม แต่ยากต่อการรวบรวมและจัดเก็บเพื่อนำกลับมารีไซเคิลและไม่คุ้มทุนในการดำเนินการ หากไม่มีการรวบรวมไปกำจัดอย่างถูกต้อง แคปซีลจะเป็นส่วนที่ก่อให้เกิดปัญหาการอุดตันตามท่อระบายน้ำ บางส่วนตกค้างในสิ่งแวดล้อมบนบก บางส่วนไหลลงสู่แม่น้ำ ลำคลอง และท้องทะเล จากข้อมูลการผ่าซากสัตว์ทะเลที่ตายจะพบว่ามีสาเหตุจากการกินแคปซีลซึ่งรวมอยู่กับพลาสติกอื่นๆ

นางสุณีกล่าวต่อว่า ขณะที่หลายๆ ประเทศไม่มีการใช้แคปซีล เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ จีน เกาหลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี อังกฤษ สำหรับประเทศไทยน้ำดื่มบรรจุขวดมีทั้งที่ใช้และไม่ใช้แคปซีล ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาขยะพลาสติก คพ.ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือการเลิกใช้พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่มเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กรมประชาสัมพันธ์ สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย สถาบันพลาสติก กลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมอุตสาหกรรมพลาสติกไทย และสมาคมผู้ค้าปลีกไทย โดยมีบริษัทผู้ผลิตน้ำดื่มรายใหญ่ 5 ราย ประกอบด้วย 1.บริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตน้ำดื่มสิงห์ 2.บริษัท เสริมสุข จำกัด มหาชน (จำกัด) ผู้ผลิตน้ำดื่มคริสตัล 3.บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด ผู้ผลิตน้ำดื่มช้าง 4.บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตน้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ และ 5.บริษัท คาราบาวกรุ๊ฟ จำกัด (มหาชน ) ผู้ผลิตน้ำดื่มคาราบาว เป็นผู้นำในการเลิกใช้แคปซีลในการผลิตน้ำดื่ม โดยดีเดย์ในวันที่ 1 เมษายนนี้

อธิบดีคพ. กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ คพ.ได้ขยายผลส่งเสริมการยกเลิกใช้แคปซีล ขอความร่วมมือไปยังทุกกระทรวง เช่น การประชุมที่มีการบริการน้ำดื่มที่ไม่ใช้แคปซีล เป็นต้น รวมทั้งประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ ความเข้าใจในประเด็น “น้ำสะอาดไม่ต้องมีแคปซีล”ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานรวมทั้งประชาชนทั่วไปทางช่องทางสื่อต่างๆ ขณะที่การจรวจสอบน้ำดื่มบรรจุขวดหลากหลายยี่ห้อที่ไม่ใช้แคปซีลที่วางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อหรือซุปเปอร์มาเก็ตในห้างสรรพสินค้า พบมีน้ำดื่มหลายยี่ห้อที่ไม่ใช้แคปซีลแล้ว อาทิ น้ำทิพย์ ออร่า สปริงเคิล น้ำแร่มิเนเร่ น้ำแร่เอเวียง น้ำแร่มองต์เฟลอ อควาฟิน่า เซเว่น โลตัส

ทั้งนี้เป้าหมายภายในปี 2562 ประเทศไทยจะไม่มีการใช้แคปซีลในขวดน้ำดื่มทั่วประเทศ ซึ่งจะสามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากขยะพลาสติก โดยสามารถลดปริมาณขยะพลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่มที่ตกค้างในสิ่งแวดล้อมทั้งทางบกและทางทะเลได้ถึง 2,600 ล้านชิ้นต่อปี หรือ 520 ตันต่อปี

การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) นำรถไฟดีเซลรางมาวิ่งบริการจากสถานีลาดกระบัง-หัวลำโพง-ลาดกระบัง เพื่อช่วยระบายผู้โดยสารแอร์แอร์พอร์ตลิงก์ที่คนใช้บริการหนาแน่นในชั่งโมงเร่งด่วน เก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ 20 บาท และรถพัดลม 10 บาท

ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกในการเดินทางให้กับประชาชนในชั่วโมงเร่งด่วน

ทั้งนี้ สำหรับผู้โดยสารที่มีตั๋วรายเดือน สามารถใช้ตั๋วดังกล่าวได้ แต่ต้องเสียค่าโดยสารส่วนต่างเพิ่มให้เท่ากับอัตราพิเศษของขบวนรถนี้

นายวิสุทธิ์ จันมณี กรรมการและรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เปิดเผยว่าเนื่องจากในปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น วันจันทร์ – วันศุกร์ ที่มีผู้โดยสารต้องการใช้บริการเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อเป็นการช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร และเป็นไปตามนโยบาย One Transport One Family บริษัทจึงได้ทำการหารือร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย ในการเพิ่มช่องทางการเดินทางให้แก่ผู้โดยสาร

โดยนำรถไฟดีเซลรางจำนวน 6 ตู้ แบ่งเป็นตู้ปรับอากาศจำนวน 2 ตู้ และตู้ธรรมดาจำนวน 4 ตู้ ให้บริการในวันจันทร์ – วันศุกร์ ช่วงเวลาเร่งด่วนเช้าจำนวน 1 เที่ยว ออกจากสถานีลาดกระบังไปสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) เวลา 07.45 น. และให้บริการในช่วงเวลาเร่งด่วนเย็นจำนวน 1 เที่ยว ออกจากที่หยุดรถพญาไทไปสถานีลาดกระบัง เวลา 18.45 น.

โดยใช้เวลาในการเดินทางช่วงระหว่างสถานีลาดกระบัง – ที่หยุดรถพญาไท ประมาณ 40 นาที ซึ่งรถไฟ 1 เที่ยวสามารถรองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 600 คน โดยคิดค่าบริการตู้ปรับอากาศราคา 20 บาท ส่วนตู้ธรรมดาราคา 10 บาท

วันที่ 31 มีนาคม แบบจำลองสภาพอากาศ(วาฟ-รอม) ของสถาบันสารสนเทศน้ำและการเกษตร(สสนก.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(วท.) ตรวจสอบพบว่า ในวันที่ 31 มีนาคม ถึง 2 เมษายน บริเวณความกดอากาศสูงกำลังอ่อนจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมบริเวณประเทศไทยตอนบนแล้ว
ทำให้ลมตะวันออกเฉียงเหนือเกิดการปะทะกับลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้ประเทศไทยตอนบน ทำให้เกิดพายุฤดูร้อน ฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ส่วนลมตะวันออกยังคงพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ส่งผลให้ภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง เช่นเดียวกับพื้นที่ภาคกลางและกรุงเทพมหานครที่ได้รับอิทธิพลจากความกดอากาศสูงกำลังอ่อนที่แผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน แล้วมาปะทะกับอากาศร้อนชื้นที่สะสมในพื้นที่ และจะเกิดยกตัวขึ้นเป็นฝน ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวจะเกิดคล้ายกับเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ซึ่งเกิดฝนตกหนักที่บริเวณรังสิต จนทำให้เกิดน้ำท่วมขังหลายจุด

วาฟแจ้งด้วยว่า หลังวันที่ 2 เมษายน ความกดอากาศสูงจะอ่อนกำลังลง ปริมาณฝนก็จะลดลง และช่วงวันที่ 6 เมษายน พบว่ามีแนวโน้มบริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหากแนวโน้มดังกล่าวเป็นไปตามความคาดหมาย จะทำให้บริเวณความกดอากาศสูงค่อนข้างแรงดังกล่าวเกิดการปะทะกับลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้เกิดพายุฤดูร้อนที่มีความรุนแรง และอาจจะเกิดฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บในบางพื้นที่ ประมาณวันที่ 6-7 เมษายน ปรากฏการณ์นี้จะเกิดไล่มาตั้งแต่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลงสู่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคเหนือ

“จากนั้นประมาณวันที่ 8-9 เมษายน อุณหภูมิจะลดต่ำลง โดยที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออาจจะต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียสอีกรอบ ส่วนพื้นที่กรุงเทพฯก็จะมีลุ้นว่าอาจจะมีอุณหภูมิต่ำกว่า 23 องศาเซลเซียส ดังนั้น ในช่วงวันที่ 6-7 เมษายน ขอเตือนให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประชาชนทั่วไปเตรียมการตรวจสอบความมั่นคงของสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้ใหญ่ เพื่อเตรียมรับมือกับพายุฤดูร้อนในรอบนี้” วาฟระบุ

เป็นที่ทราบกันดีว่า ภายในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดกาญจนบุรี มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ นั่นคือ “สุสานทหารสัมพันธมิตร” ซึ่งปัจจุบันได้การยอมรับให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก มีนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศแวะเวียนมาเยี่ยมชมแทบจะตลอดทั้งปี

พาไปดูร้านขายโจ๊กที่ทำเล กลายเป็นจุดเรียกขานชื่อร้าน ซึ่งทั้งสะดุดตาและมีลูกค้าหนาตาคือ “โจ๊กหลังป่าช้า ตั้ม สาขา 8 “

โดยทางร้านให้ข้อมูลก่อนหน้านี้เปิดร้านขายโจ๊กอยู่หลังสุสานทหารสัมพันธมิตร ซึ่งชาวบ้านที่นี่เรียกกันติดปากว่า “ป่าช้าฝรั่ง” ร้านเราเลยกลายเป็นโจ๊กหลังป่าช้า แต่ปัจจุบันเจ้าหน้าที่เข้ามาจัดระเบียบ ร้านจึงต้องถอยร่นลงมา ล่าสุดแทบจะเข้าไปขายใน “ป่าช้าจีน” แล้ว แต่ยังมีลูกค้ามาอุดหนุนตลอด

“เอกลักษณ์ของร้านโจ๊กหลังป่าช้า อาจเป็นรสชาติที่กลมกล่อมและหอมใบเตยของเนื้อโจ๊ก เครื่องมีครบ ทั้งหมู ไข่ เครื่องใน ส่วนราคาขายก็ไม่แพงมาก ชามละ 25-30 บาท ถ้ามีโอกาสอย่าลืมมาอุดหนุนอีกนะคะ” แฟนสาวเจ้าของกิจการโจ๊กหลังป่าช้า เจ้าดังเมืองกาญจน์ ฝากทิ้งท้าย

 


เรียบเรียงจาก sentangsedtee.com

ฉลองความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในวาระครบรอบ 12 ปีของ “EVEANDBOY” (อีฟแอนด์บอย) ร้านมัลติแบรนด์ศูนย์รวมเครื่องสำอาง น้ำหอม และไอเท็มความงามจากทั่วทุกมุมโลก บอสใหญ่ หิรัญ ตันมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีฟแอนด์บอย จำกัด จัดงานดินเนอร์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ “The Beauty Destination” (เดอะ บิวตี้ เดสทิเนชั่น) พร้อมเปิดตัว 7 แบรนด์เอ็นดอร์สเซอร์ ตัวแทนแฟชั่นนิสต้าและผู้นำเทรนด์บิวตี้ไลฟ์สไตล์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำร้านมัลติแบรนด์ที่เป็นพาทเนอร์อย่างเป็นทางการกับแบรนด์เครื่องสำอางและน้ำหอมระดับโลกแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของคนรุ่นใหม่ได้อย่างครบครัน

หิรัญ ตันมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีฟแอนด์บอย จำกัด กล่าวว่า อีฟแอนด์บอยได้คัดสรรเครื่องสำอาง น้ำหอม ไอเท็มความงามชิ้นเด็ดที่มีคุณภาพจากทั่วทุกมุมโลก กว่า 2,000 แบรนด์มาให้บริการเพื่อเอาใจคนรักความสวยความงามอย่างต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 12 ซึ่งประสบความสำเร็จและเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งในฐานะบิวตี้สโตร์ของคนไทยแบรนด์เดียวที่ได้เป็น “โกลบอลพาทเนอร์” (Global Partner) อย่างเป็นทางการกับแบรนด์เครื่องสำอาง และน้ำหอมระดับไฮเอนด์แห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ M•A•C Cosmetics, Estee Lauder, Clinique, Bobbi Brown, Urban Decay, Kiehl’s, Shiseido เป็นต้น รวมไปถึงเอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์ Moonshot เครื่องสำอางแบรนด์ดังจากประเทศเกาหลีที่วางจำหน่ายภายในร้านเครื่องสำอางรูปแบบ “Special Multi Concept” อย่างร้านอีฟแอนด์บอยที่เดียวเท่านั้นและนอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับแบรนด์ดังต่างๆ ในการผลิตและวางจำหน่ายสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟที่มีเฉพาะในร้านอีฟแอนด์บอยอีกด้วย อาทิ M•A•C TenderTalk Trio Lip blam ลิปบาล์มบำรุงริมฝีปากที่โด่งดังจากแบรนด์แมคที่มีเทคโนโลยีให้สีของลิปเปลี่ยนตามอุณหภูมิ และ Clinique Cheek Pop สี Cola pop สีพิเศษที่ได้รับความนิยมสูงสุด ฯลฯ

เพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จดังกล่าวของอีฟแอนด์บอย จึงได้จัดงานภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Beauty Destination” (เดอะ บิวตี้ เดสทิเนชั่น) ซึ่งเปรียบเสมือนจุดหมายที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์หลากหลายและแตกต่างกันได้อย่างครบถ้วนในที่เดียว พร้อมทั้งเปิดตัว 7 แบรนด์เอ็นดอร์สเซอร์ แฟชั่นนิสต้าและผู้นำเทรนด์บิวตี้ไลฟ์สไตล์ ได้แก่ ม.ร.ว. แม้นนฤมาส ยุคล สวัสดิ์-ชูโต,ชวพร เลาหพงศ์ชนะ, วฤธ หงสนันทน์, พิมพิศา จิราธิวัฒน์, สรัย วัชรพล, พลอยวารินทร์ ทรงปกรณ์ และ เขริกา โชติวิจิตร เพื่อเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่มาร่วมแชร์ไลฟ์สไตล์สุดโดดเด่นของตัวเอง และเป็นแรงบันดาลใจในการดูแลตัวเองอีกด้วย”

บรรยากาศภายในงานตกแต่งอย่างหรูหราในโทนสีดำคลาสสิคพร้อมสีสันจากหลอดไฟแอลอีดีสีชมพูที่แสดงถึงความสนุกสนานอันเป็นเอกลักษณ์ของร้านอีฟแอนด์บอย โดยมีเหล่าเซเลบริตี้ร่วมงานคับคั่ง อาทิ สุมณี คุณะเกษม, ณัฐชนันท์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, พัณณิตา สนิทวงศ์ ณ อยุธยา,อรชุมา ดุรงค์เดช, จินดาภา เทวกุล ณ อยุธยา, ญาณินท์ วีระไวทยะ, ดรัลชรัส ศุขีวิริยะ, มัดหมี่ พิมดาว, พญ.อังศ์วรา ธีระตันติกานนท์, จรสพรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา ฯลฯ มาร่วมกิจกรรมถ่ายภาพ และชมแกลลอรี่ของ 7 แบรนด์เอ็นดอร์สเซอร์จากช่างภาพแฟชั่นชื่อดัง ธาดา วารีช ก่อนจะเข้าสู่ช่วงเวลาที่ทุกคนรอเคยคือการเปิดตัวแบรนด์เอ็นดอร์สเซอร์ทั้ง 7 ที่โชว์เสต็ปเดินรันเวย์พร้อมร่วมแชร์บิวตี้ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน

โดย ม.ร.ว. แม้นนฤมาส ยุคล สวัสดิ์-ชูโต สาวสุดแซ่บชอบความมีชีวิตชีวาไม่หยุดนิ่ง เป็นตัวแทนของ Energetic (เอ็นเนอร์เจติคส์) เผยความรู้สึกว่า “เป็นคนที่บ้ากิจกรรม แอคทิวิตี้เยอะ และชอบเดินทางไปเที่ยวบ่อยๆ เลยต้องดูแลตัวเป็นพิเศษ”

ด้าน พิมพิศา จิราธิวัฒน์ ตัวแทนสาว Working Woman (เวิร์คกิ้งวูแมน) บอกว่า “แพรเป็นคนช่างเลือกเวลาช็อปปิ้งค่ะ ต้องเน้นคุณภาพ และทดลองเปรียบเทียบ ชอบลองสิ่งใหม่ๆ หลากหลายคนรุ่นใหม่ต้องสมาร์ทช็อปปิ้งค่ะ”

ขณะที่ สรัย วัชรพล สาวสวย Makeup Junkie (เมคอัพจั้งค์กี้) กล่าวว่า“หลงรักสีสันของเมคอัพ ชอบแต่งหน้าจัดเต็มเลยต้องใส่ใจในการเลือกเมคอัพ และต้องทดลองก่อนถึงตัดสินใจช็อป”

ส่วน พลอยวารินทร์ ทรงปกรณ์ บิวตี้กูรูสุดหรู Elegant (เอเลเก้น) เผยเคล็ดลับว่า“เป็นคนที่ผิวบอบบางแพ้ง่าย เลยต้องค่อนข้างเลือกสกินแคร์ที่จะใช้ เป็นแบรนด์ชั้นนำน่าเชื่อถือ และต้องซื้อจากบิวตี้สโตร์ที่มั่นใจ”

ไอดอลสาวแสนอ่อนหวานน่ารัก เขริกา โชติวิจิตร เป็นตัวแทน Adorable (อะดอเรเบิ้ล) กล่าวว่า“นอกจากจะชอบลิปสติกเป็นที่สุดแล้ว เส้นผมก็เป็นอีกอย่างที่ใส่ใจเป็นพิเศษ เวลาช็อปปิ้งเลยต้องมองหาบิวตี้สโตร์ที่มีครบทุกไอเท็ม”

ด้าน ชวพร เลาหพงศ์ชนะ และ วฤธ หงสนันทน์ ติดภารกิจไม่สามารถร่วมงานได้ แต่ก็ได้ร่วมเปิดตัวผ่านวิดิโอ โดย ชวพร เลาหพงศ์ชนะ ตัวแทน Fashionista (แฟชั่นนิสต้า) หญิงสาวผู้หลงใหลในแฟชั่น กล่าวว่า
“พลอยสนุกกับการแต่งหน้า ชอบลองสิ่งใหม่ไม่เหมือนใครชอบอะไรล้ำทันสมัยไม่ตกเทรนด์”

ส่วน วฤธ หงสนันทน์ หนุ่มหล่อ Smart Lively (สมาร์ทไลฟ์ลี่) ผู้ชายยุคใหม่ที่ดูแลตัวเอง เผยความรู้สึกว่า “เป๋าเป็นคนที่ชอบกลิ่นหอมของน้ำหอมมาก สามารถเดินเลือกทดลองดมกลิ่นน้ำหอมในโซนน้ำหอมได้ทั้งวันเลย”

หลังจากนั้นก็เข้าสู่บรรยากาศของซิทดาวน์ ดินเนอร์สุดเอ็กซ์คลูซีฟโดยเหล่าเซเลบริตี้ร่วมรับประทานอาหารอย่างอบอุ่นและรับอรรถรสเต็มอิ่มด้วยมินิคอนเสิร์ตจากวง Season Five พร้อมพูดคุยแลกเปลี่ยนเทรนด์ความงามและบิวตี้ไลฟ์สไตล์กันอย่างเพลิดเพลิน

โดย อรชุมา ดุรงค์เดช บอกว่า “บิวตี้ไลฟ์สไตล์ของเฟย์ คือจะต้องสวยจากภายในสู่ภายนอก คือทั้งดูแลสุขภาพให้แข็งแรงส่วนภายนอกก็คือการดูแลผิวพรรณซึ่งก็ดูแลผิวแบบทั่วๆไปคือเน้นล้างหน้าให้สะอาดใช้ครีมบำรุงแต่ที่สำคัญคือต้องมีวินัยทำอย่างสม่ำเสมอค่ะ”

ส่วน สุมณี คุณะเกษม เผยเคล็ดลับความงามว่า “ใส่ใจในเรื่องของการเลือกรับประทานอาหารโดยทานผักผลไม้เป็นอาหารหลักงดทานเนื้อสัตว์และอาหารรสหวานจัดเค็มจัดและไม่ทานของทอดของมัน”

เปิดฉากแรกขึ้นมาของละครเรื่องบุพเพสันนิวาส คงจำกันได้ภาพแม่หญิงการะเกดตัวร้ายต้องมนต์กฤษณะกาลี นอนตายในท่าพนมมือ โดยที่ตามองจ้องไปยังยอดพระปรางค์องค์ใหญ่เปล่งประกายสีทองอร่าม ซึ่งคือ พระปรางค์วัดไชยวัฒนาราม ที่ตามท้องเรื่องอยู่ใกล้บ้าน “พี่หมื่น-จหมื่นศรี” คู่หมั้นคู่หมายของแม่หญิงการะเกด จากนั้นฉากพระปรางค์ที่มียอดเป็นทองคำก็ปรากฏให้เห็นมาเรื่อยหลายๆ ฉาก

ความสงสัยข้องใจจึงเกิดขึ้นจากคนดูละครทั้งหลาย ว่า “ยอดพระปรางค์องค์ใหญ่วัดไชยวัฒนาราม” ที่เห็นในละครนั้น มียอดเป็นทองคำจริงหรือ? หรือว่าเป็นเพียงจินตนาการของคนเขียนนิยาย และจินตนาการของคนเขียนบทโทรทัศน์

เรื่องนี้มีคำตอบ!

ระหว่างการท่องเที่ยวของบรรดาลูกทัวร์ “มติชนอคาเดมี ” ในชื่อ “ดูละครบุพเพสันนิวาส ดูประวัติศาตร์อยุธยา” ซึ่งมีกูรูผู้เชี่ยวชาญเรื่องของกรุงศรีอยุธยาระดับแถวหน้าของประเทศไทย “รศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี” ทำหน้าที่เป็นวิทยากรบรรยายประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช หรือในละครเรียก “ขุนหลวงนารายณ์” ได้บอกเล่าเกร็ดความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า…

“ที่เราเห็นในละครว่ายอดพระปรางค์วัดไชยวัฒนารามเปล่งประกายเป็นสีทองอร่ามงดงามนั้น ขอบอกว่าเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนที่พระปรางค์วัดไชยวัฒนารามเป็นทองคำ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะยอดพระปรางค์อย่างในละครเท่านั้น แต่เป็นทองคำทั้งองค์ เรื่องนี้แสดงว่าคนทำละครทำได้ดีมาก มีการค้นคว้าทำการบ้านพอสมควร เพราะเมื่อครั้งที่มีการบูรณปฏิสังขรณ์โดยกรมศิลปากร ก็พบว่าตัวพระปรางค์วัดไชยวัฒนาราม ผิวขององค์พระปรางค์มีรูพรุนเต็มไปหมด ซึ่งการที่มีรูพรุนนั้นเกิดจากการที่เขาเอาตะปูสังควานร เป็นตะปูเหล็กยาวๆ ตรึงเข้าไปที่องค์พระปรางค์…”

“..เป็นการตรึงแผ่นโลหะที่ปิดทองเสร็จเรียบร้อยแล้วเข้ากับองค์พระปรางค์ อธิบายง่ายๆ ให้เข้าใจ คือเขาไม่ได้ใช้ทองคำเปลวแผ่นเล็กๆ ไปปิดพระปรางค์ แต่ใช้วิธีนำแผ่นทองคำเปลวเล็กๆ นั้นไปติดบนแผ่นโลหะขนาดใหญ่เสียก่อน แล้วค่อยนำแผ่นโลหะสีทองนั้นไปวางลงไปบนผิวขององค์พระปรางค์ แล้วเอาตะปูตอกตรึงเข้าไป แผ่นทองที่ตรึงเข้าไปกับองค์พระปรางค์เขาเรียกว่า แผ่นทองจังโก จึงทำให้พระปรางค์วัดไชยวัฒนารามเป็นสีทองไปทั้งองค์..”

นับเป็นความฉลาดของคนโบราณ เพราะแทนที่จะนำแผ่นทองคำอันเล็กจิ๋วไปนั่งปิดองค์พระปรางค์ ซึ่งจะทำให้เสียเวลาอย่างมาก ก็เอาแผ่นทองคำเปลวนั้นปิดลงบนแผ่นโลหะขนาดใหญ่เสียก่อนแล้วค่อยนำขึ้นไปตรึงไว้ จึงเกิดเป็นร่องรอยรูพรุนทั่วองค์พระปรางค์

สำหรับวัดไชยวัฒนาราม บางครั้งเรียก “วัดไชยยาราม” หรือ “วัดไชยชนะทาราม” เป็นพระอารามหลวงในสมัยอยุธยา สร้างโดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง โปรดให้สถาปนาขึ้นเป็นวัดอรัญวาสี ณ บริเวณที่ดินซึ่งเป็นนิวาสสถานของพระราชชนนี ในปีมะเมีย พ.ศ. 2173 ซึ่งตรงกับปีที่ขึ้นครองราชย์พอดี สันนิษฐานว่าเป็นวัดประจำรัชกาลด้วย

ต่อมาในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้ใช้วัดนี้ในฐานะเป็นวัดฝ่ายอรัญวาสี สำหรับพระราชทานเพลิงศพของพระราชวงศ์และขุนนางผู้สูงศักดิ์ ในปี พ.ศ. 2299 กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร (เจ้าฟ้ากุ้ง) กวีเอกสมัยอยุธยาตอนปลาย ถูกกล่าวโทษว่าเสด็จเข้ามาทำชู้กับเจ้าฟ้าสังวาลย์ในพระราชวังหลายครั้ง สืบสวนได้ความเป็นสัตย์จริง จึงลงพระราชอาญาเฆี่ยนทั้งสองพระองค์จนดับสูญ แล้วนำศพไปฝังไว้ ณ วัดไชยวัฒนารามทั้งสองพระองค์

สิ่งสำคัญในวัดแห่งนี้ คือพระปรางค์องค์ประธาน ตามเรื่องในละครบุพเพสันนิวาสที่เห็นเป็นสีทอง มีลักษณะเป็นปรางค์จัตุรมุข กล่าวคือมีมุขยื่นออกมาทั้ง 4ด้าน มุขด้านตะวันออก จะเจาะมุขทะลุเข้าสู่เรือนธาตุ ซึ่งภายในจะประดิษฐานพระพุทธรูปนั่ง (ปัจจุบันไม่พบแล้ว) ก่อนกรุงแตก พ.ศ. 2310 วัดไชยวัฒนารามถูกแปลงเป็นค่ายตั้งรับศึก และเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยา วัดไชยวัฒนารามจึงถูกปล่อยให้ทิ้งร้าง ผู้ร้ายเข้าไปลักลอบขุดหาสมบัติ เศียรพระพุทธรูปถูกตัดขโมย มีการรื้ออิฐที่พระอุโบสถ และกำแพงวัดไปขาย แต่ในปี พ.ศ. 2530 กรมศิลปากรจึงได้เข้ามาอนุรักษ์จนแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2535


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111