อาทิตย์นี้ปิ่นโตเถาเล็กขอพาไปทบทวนชิมของอร่อยกันที่ร้านส้มตำ ซึ่งเป็นที่เชิดหน้าชูตาประจำจังหวัดปทุมธานี ส้มตำครกทอง เจ้าของร้านคือคุณสมปอง ศรีสอาด พ่อหนุ่มหนวดเฟิ้มน่าเกรงขามแต่ใจดีสุดสุด จึงได้ฉายาว่าลุงหนวด เป็นคนกาฬสินธุ์ ถิ่นอีสานแท้แต่มาเป็นเขยปทุม แต่งงานกับคุณอุไร เปิดร้านส้มตำครกทองด้วยกันนาน 30 ปีแล้ว

ก่อนอื่นต้องรีบบอกว่าภาพชินตาร้านนี้ที่ตอนกลางวันคนนั่งเต็มร้านแน่นขนัดนั้น เราจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว เพราะตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด ทางร้านปรับเปลี่ยนมาให้ซื้อกลับบ้านอย่างเดียว ไม่ให้นั่งกินที่ร้าน แล้วติดใจจึงทำต่อมาเรื่อยๆ ใครอยากลิ้มลองต้องโทรสั่งกลับบ้านอย่างเดียวที่เบอร์ 06-2669-8002 และ 0-2581-3704 นะจ๊ะ

ถึงแม้จะนั่งกินที่ร้านไม่ได้แล้ว แต่ก็อยากเชิญชวนให้ไปซื้อด้วยตัวเองที่ร้านสักครั้ง เพราะจะได้มาเห็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นของร้านนี้คือครกสีทอง 2 ใบ ขนาดยักษ์ตั้งบูชาอยู่หน้าศาลพระภูมิ อันเป็นที่มาของชื่อร้าน กับของดีอีกอย่างอันเป็นเอกลักษณ์คือเตาย่างไก่ ที่ใช้โอ่งน้ำใส่เตาถ่านแล้วปิดฝาโอ่งตอนย่างไก่ ทำให้ไก่สุกระอุหอมทั่วทั้งตัว ถือเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่น่าชื่นชม

ใครอยากมาที่ร้านเพื่อเห็นเป็นบุญตา และได้ชิมเป็นบุญปาก ขอให้ขึ้นทางด่วนขั้นสองหรือทางด่วนศรีรัช วิ่งขึ้นเหนือเข้าทางด่วนอุดรรัถยา ไปลงที่ด่านศรีสมาน จ่ายเงินค่าผ่านทางแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนศรีสมาน (มีป้ายบอกไปติวานนท์) วิ่งตรงไปอย่างเดียวจนผ่านสี่แยกแล้วข้ามสะพานนนทบุรี (หรือสะพานนวลฉวี) จากนั้นไปเรื่อยๆ อีกประมาณ 3 กม.กว่าๆ จนถึงสี่แยกบางคูวัด ให้เลี้ยวขวาที่สี่แยกนี้ไปปทุมธานี จากนั้นตรงไปอีก 3 กม. ผ่านโชว์รูมอีซูซุพระนคร จนไปถึงสามแยกไฟแดงเล็กๆ ให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยวัดไพร่ฟ้า (มี 7-11 อยู่ปากซอยและมีป้ายไปวัดไพร่ฟ้า) ไปอีก 1.5 กม.จะเห็นเทศบาล ต.บางเดื่อ ทางฝั่งขวา มีหอเก็บน้ำสูงชะลูดเป็นจุดสังเกต ร้านส้มตำครกทองอยู่ในซอยตรงข้ามเทศบาลตำบล หาไม่ยากเลย สภาพเป็นร้านโล่งๆโถงใหญ่มีหลังคาคลุม

ควรโทรไปสั่งก่อนที่จะมารับอาหารกลับ จะได้ไม่ต้องรอนาน มาแล้วจะเห็นคุณสมปองหรือลุงหนวดผู้เป็นเดี่ยวมือหนึ่ง มือตำส้มตำครกทองของแท้ ตอนนี้มีลูกสาวเรียนจบมาคอยช่วยตำอีกครกหนึ่งด้วย

เมนูที่ต้องซื้อกลับ ห้ามพลาดเป็นอันขาด คือเกาเหลาปูม้าดิบ (280 บาท) เป็นยำปูม้าดองดิบๆ ปรุงรสจัดๆ เผ็ดๆ ได้แทะเนื้อปูม้าดองจุใจ ซึ่งจะรับของทะเลสดๆ จากเจ้าประจำ นำมาดองแค่แช่น้ำปลาแล้วรีบเอาขึ้น นำไปแช่ช่องแข็ง จึงไม่เค็มเกินไป อยากกินหลายๆ อย่างรวมกันให้สั่งเกาเหลาปูม้าดิบ+กุ้งดิบ (380 บาท) หรือเกาเหลาปูม้าดิบ+ทะเล (380 บาท) นี่คือเมนูยอดฮิตประจำร้านส้มตำครกทอง ไม่อยากกินดิบก็ให้สั่งเกาเหลาปูม้าสุก (380 บาท) และเกาเหลาปูม้าสุก+ทะเล (380 บาท) ขอบอกว่าอร่อยพอๆ กันเพราะลวกมาแค่พอสุกเท่านั้น นอกนั้นยังมีเกาเหลาอื่นๆ อีกมาก อย่างเช่น เกาเหลาปูดำ (150 บาท) ที่ไม่แพงและอร่อยไม่แพ้กัน เกาเหลาหอยดอง (130 บาท) และเกาเหลาหอยนางรม (150 บาท)

แน่นอนจานเด็ดย่อมเป็นสารพัดส้มตำ ฝีมือลุงหนวดกับลูกสาว มีให้เลือกมากมาย ส้มตำยอดนิยมตอนนี้คือไหลบัวทะเล (130 บาท) ใส่ไหลบัวกรอบๆ กับของทะเลลวกพอสุก เลือกใส่ปลาร้าหรือตำไทย หรือจะใส่ของดิบของสุกได้ทั้งนั้น อีกอย่างที่แซ่บมากคือตำหมูยอปูปลาร้า(80 บาท)รสชาตือีสานแท้ใส่มะกอก มีส้มตำอีกเยอะแยะเช่นส้มตำหอยดอง ส้มตำปูม้าดิบ ส้มตำปูม้าสุก ส้มตำทะเล ส้มตำกุ้งสด ส้มตำหอยนางรมปลาร้า ส้มตำหมูตกครก ส้มตำป่า ส้มตำซั่ว ตำแตง ตำถั่วฝักยาว ฯลฯ

เกาเหลาปูม้าดิบกับกุ้งดิบ
เกาเหลาปูม้าสุก+ทะเล

ของกินคู่ส้มตำย่อมต้องเป็นไก่ย่างในโอ่ง ดูเท่เก๋ไก๋เหมือนไก่ธันดูรีของอินเดีย แต่ละวันจะหมักไก่ในกะละมังใหญ่ผสมน้ำตาล งาขาว กระเทียม พริกไทย รากผักชี นมสด ซอสปรุงรส ย่างเตาถ่านในโอ่งจนระอุสุกทั่วเนื้อไก่สีอมส้ม หนังหอมกลิ่นย่างมีรสอมหวานเล็กน้อย สั่งได้ทั้งปีกไก่ย่างล้วนๆ (6 ปีก 100 บาท) ไก่ย่างครึ่งตัว (110 บาท) ทั้งตัว (220 บาท) เครื่องในไก่ย่าง (40 บาท) อีกทั้งยังมีคอหมูย่างกับไส้หมูย่าง (120 บาท) ด้วย

ที่ห้ามพลาดอีกอย่าง คนชอบกินตับไม่สั่งไม่ได้ ก็คือตับหวาน (70 บาท) นุ่มสดเด้งสุกกำลังดี กลายเป็นเมนูโปรดของผมไปแล้ว ส่วนของน้ำๆ มีทั้งต้มแซ่บกระดูกหมูอ่อน (60-120 บาท) และต้มแซ่บทะเล (120-150 บาท) และอ่อมหมู อ่อมไก่ (60 บาท) แบบอีสาน

อย่าลืมว่าตั้งแต่นี้ไปส้มตำครกทองไม่มีบริการนั่งกินที่ร้านแล้ว สามารถโทรสั่งแล้วไปรับเองหรือสั่งดิลิเวอรีถึงบ้าน ส่งถึงในกรุงเทพฯได้ ร้านจะเริ่มเปิดตั้งแต่ 10 โมงครึ่ง พร้อมเต็มที่ตอน 11 โมงเช้า ไปจนถึงห้าโมงครึ่งตอนเย็น หยุดทุกวันจันทร์-อังคาร โทรสั่งและสอบถามได้ที่ 0-2581-3704 และ 06-2669-8002

ตำไหลบัวทะเล

ข้อมูลร้าน

ส้มตำครกทอง

โดย คุณสมปอง-คุณอุไร ศรีสอาด

ที่ตั้ง 55/1 หมู่ 3 ซ.วัดไพร่ฟ้า ต. บางเดื่อ อ.เมือง จ.ปทุมธานี 12000

โทร 0-2581-3704 06-2669-8002

เปิดบริการ 10.30 น.(11.00 น. พร้อมเต็มที่)-17.30 น. พุธ-อาทิตย์

หยุด วันจันทร์-อังคาร

แนะนำ เกาเหลาปูม้าดิบ (และสุก) +ทะเล ตำไหลบัวทะเล ตำหมูยอปูปลาร้า ไก่ย่างในโอ่ง ตับหวาน เกาเหลาปูดำ คอหมูย่างกับไส้หมูย่าง ส้มตำสารพัดอย่าง

Facebook ส้มตำครกทอง ปทุมธานี เจ้าเก่า

คอหมูย่างและไส้หมูย่าง
ตับหวาน
เกาเหลาปูเค็ม
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2563, หน้า 20
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
ชุดน้ำชายามบ่ายอินดัลเจนซ์ (Indulgence)

กรุงเทพฯเมืองแห่งสีสันมีชีวิตชีวาในด้านอาหารการกิน มีร้านใหม่ๆ เกิดขึ้นแทบทุกวัน อาทิตย์นี้ปิ่นโตเถาเล็กตื่นเต้นดีใจได้นำเสนอโรงแรมหรูแห่งใหม่ใจกลางกรุงในย่านหลังสวน เพิ่งเปิดตัวไปสดๆ ร้อนๆ ซึ่งกำลังเป็น “ทอล์กออฟเดอะทาวน์” มีชื่อว่า โรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ

ถึงแม้ว่าสินธร เคมปินสกี้ จะยัง ไม่ได้เปิดให้เข้าพัก (เริ่ม 1 ตุลาคม 2563) แต่ก็กลายเป็นแหล่งแฮงเอาต์ยอดนิยมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้คนต่างพร้อมใจกันไปชมชิมแชะภาพกันทั้งวัน เพราะที่นี่แวดล้อมไปได้สวนสวยขนาดใหญ่และพรรณไม้นานาชนิด

ยิ่งไปกว่านั้นบริเวณล็อบบี้เลานจ์อันโอ่โถงของโรงแรมตกแต่งด้วยต้นไม้หลากหลาย เหมือนเป็นสวนทรอปิคอลที่เชื่อมต่อความเป็นธรรมชาติจากสวนด้านนอก แถมยังมีช่องแสงด้านบนขนาดใหญ่ส่องลงมาเพิ่มความสดใสไปทั่วทั้งบริเวณ

และที่ล็อบบี้เลานจ์แห่งนี้ทุกช่วงบ่ายของวันเสาร์-อาทิตย์จะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน เพราะมีของดีคือ ชุดน้ำชายามบ่าย ชื่อว่า ชีวา (Chevaa Afternoon Tea) ที่ฮอตฮิตถึงขนาดต้องโทรจองล่วงหน้าถึง 2 อาทิตย์เป็นอย่างน้อย

ปิ่นโตเถาเล็กจึงมีข่าวดีมาบอกแฟนๆ ว่าตอนนี้สินธร เคมปินสกี้ ได้เปิดให้มาลิ้มลองน้ำชายามบ่ายเพิ่มใน วันศุกร์ อีกหนึ่งวันแล้ว ใครสนใจรีบโทรไปจองได้ที่เบอร์ 0-2095-9999 รับได้ประมาณไม่เกินครั้งละ 80 ท่านเท่านั้น ในช่วง เวลา 14.00-17.00 น. ทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ขอให้มาเป็นคู่ๆ เพราะ ชุดน้ำชายามบ่าย 1 ชุด สำหรับ 2 คน ในสนนราคา 1,500 บาท++ (หารกันคนละ 750 บาท++)

ทางมาโรงแรมแห่งนี้ไม่ยาก จากถนนเพลินจิตเลี้ยวเข้า ถนนหลังสวน ซึ่งเป็นเส้นทางวันเวย์มาประมาณ 900 เมตร จะเห็นโครงการแห่งใหม่ในพื้นที่เดียวกันมีชื่อว่า เวลา (Velaa) หลังสวน พอสุดโครงการให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยไปได้เลย จากนั้นวิ่งไปสุดทางแล้วเลี้ยวซ้ายอีกที (ซึ่งซอยนี้จะเข้าจาก ถนนสารสิน ข้างสวนลุมพินีก็ได้) ก็จะเห็นโรงแรมสินธร เคมปินสกี้ ทางซ้ายมือ จอดรถในชั้นใต้ดินได้เลย

ถึงวันนัดควรแต่งตัวสวยเก๋และรีบมาก่อนเวลาสักครึ่งชั่วโมง เพราะบริเวณล็อบบี้มีมุมสวยๆ ให้แชะภาพแชร์เพื่อนๆ มากมาย ดังเช่นศาลาสวนตรงกลางหรือกาซีโบ (Gazebo) ซึ่งเป็นจุดยอดนิยม

ชุดน้ำชายามบ่ายตัวหลักมีชื่อว่า อินดัลเจนซ์ (Indulgence) ประกอบด้วย ขนมของว่างหลากหลายทั้งแบบดั้งเดิมคลาสสิก อีกทั้งขนมหวานทันสมัยฝีมือของเพสตรี้ เชฟแม็ก พรรณนา เลิศศรี ซึ่งรูปแบบการนำเสนอนั้นสวยเก๋มากถือเป็นไฮไลต์ทีเดียว เหมาะสำหรับการถ่ายรูป (อีกแล้ว) นำต้นไม้เล็กๆ ที่มีกิ่งก้านมาแขวนกระเปาะแก้วสำหรับใส่ของว่าง ซึ่งวางอยู่บนถาดกลมหรือสแตนด์พิเศษของ Sonite Husk ที่ทำจากเปลือกข้าวหรือแกลบ ดูเรียบหรูและดีต่อสิ่งแวดล้อม

ก่อนอื่นขอให้เลือกชามา 1 กา สำหรับ 2 คน ซึ่งสามารถเติมชาเพิ่มได้อีก 1 ครั้งด้วย มีทั้งประเภทชาเขียว (Green Tea) หมายถึงการนำยอดอ่อนของชาไปอบแห้ง โดยไม่ผ่านการหมัก มีชาเขียวญี่ปุ่น (Sencha) ชามะลิจีน (Jasmine Gold) และ ชาพีช (Peach Blossom Summer) ที่คนนิยมสั่ง และมีประเภทชาดำ (Black Tea) ผ่านการหมัก ซึ่งตัวยอดนิยมคือ ชาอัสสัมเอิร์ลเกรย์ (Assam Earl Grey) อีกทั้งชาสมุนไพร เช่น คาโมไมล์ (ดื่มแล้วหลับสบาย) ชาตะไคร้ ชามินท์ เชิญเปิดเมนูเลือกกันตามสบาย

ชุดน้ำชายามบ่ายอินดัลเจนซ์ (Indulgence)
ชุดน้ำชายามบ่ายกิลท์ฟรี(Guilt-Free)
ชุดน้ำชายามบ่ายกิลท์ฟรี (Guilt-Free)

พอมาถึงทุกท่านจะได้รับเครื่องดื่มชื่นใจเป็นอันดับแรกคือ เลมอนกรานิต้าผสมน้ำผึ้ง เป็นเกล็ดน้ำแข็งหวานเย็นใส่ในผลมะนาวเหลือง

ส่วนของกินในชุดน้ำชานั้นมีครบทุกหมวดหมู่คลาสสิก ตั้งแต่ Savory หรือของว่างที่เป็นอาหารคาว เช่น ทาร์ต มี แซนด์วิช ต่างๆ ที่ทำได้สร้างสรรค์มาก มี ขนมหวาน ดูดีสวยงาม และที่ขาดไม่ได้คือ สโคน หรือขนมอบแบบอังกฤษ

สโคนในชุดนี้เป็น สโคนแบบดั้งเดิม 2 ชิ้น และมี ขนมปังบริยอชหน้าเฟยทีน (Feuilletine) กรอบๆ รสเนยถั่ว ซึ่งสโคนนั้นเวลากินให้ผ่าครึ่งตามขวางแล้วทาด้วยมาสคาร์โปเนครีมหอมมันกับแยมสตรอเบอรี หรือทาด้วยเลมอนครีมเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดก็ได้

ทีเด็ดที่ทั้งสวยและกินอร่อยด้วยก็คือของว่างเซฟเวอรี่ (Savory) ในกระเปาแก้วแขวนบนกิ่งไม้มีทั้ง วอลโลวอง (Vol au Vent) แป้งพัฟเพสตรี้พายที่ใส่ไส้มูสแฮมเนียนๆ กับเห็ดดองตรงกลาง อีกกระเปาะมี แผ่นพาร์เมซานชีส กรอบๆ หน้าครีมถั่วลันเตา

ขนมหวานของว่างสุดเก๋

ของกินกระเปาะสุดท้ายจัดอยู่ในหมวดแซนด์วิชแต่ทำเป็นสไตล์ไทยๆ ไม่เหมือนแซนด์วิชเลย นั่นก็คือ สะเต๊ะไก่เป็นม้วนๆ กินกับแตงกวาดองและซอสสะเต๊ะ อร่อยในคำเดียว ส่วนที่วางอยู่บนถาดกลมด้านล่าง (ที่ทำจากแกลบ) มี เอแคลร์ไส้แซลมอนกราฟลักซ์ดองบีทรูท กินกับครีมอะโวคาโดและมะนาว และมี ทาร์ทีน (Tartine) หรือแซนด์วิชเปิดหน้าทำจาก ขนมปังอาร์ติซาน แบบดั้งเดิมทำจากแป้งข้าวไรซ์เนื้อหนักๆ หน่อย หน้าด้านบนเป็น สลัดไข่หอมกลิ่นทรัฟเฟิล กินกับมูสอะโวคาโดและใบวอเตอร์เครส

ขนมหวานก็เก๋ไก๋ไม่แพ้กัน มี เลมอนเมอร์แรงก์ทาร์ต ทำเป็นอมยิ้มเสียบไม้ให้กินในคำเดียว และมีมูสช็อกโกแลตซึ่งไส้ด้านในมีขนมฟินองเซีย (Financier) กับ Salted Caramel หอมๆ เค็มๆ และมีพราลีนถั่วเฮเซลนัทด้วย และยังมี ทาร์ตสตรอเบอรีกับแคร็มพาทิสเซอรี่ หรือวานิลาคัสตาร์ดข้นๆ และขนมอย่างสุดท้ายที่ประทับใจมากคือ ปารีสเบรสต์รสถั่วพิสตาชิโอ้ ขนมฝรั่งเศสที่ทำเป็นรูปวงล้อจักรยาน ไส้ครีมกาแฟเอสเปรสโซ ผสมพิสตาชิโอ้เช่นกัน

สำหรับใครที่ไม่อยากกินเนื้อสัตว์ ก็มี ชุดน้ำชายามบ่ายกิลท์ฟรี (Guilt-Free) สุดสร้างสรรค์ ให้เลือกอีกชุดในสนนราคาเท่ากัน (1,500++ ต่อ 2 คน) ถือเป็นวีแกน 100% ไม่มีเนื้อสัตว์ นม เนย ไข่ มี สโคนรสฟักทอง กับ สโคนแครนเบอรี กินกับคลอตเต็ดครีมมะพร้าว ส่วนในกระเปาะแก้วมีขนมทีเด็ด เชอรีอมารีนา เคี่ยวกับน้ำตาล สอดไส้มูสอัลมอนด์มิลค์ อีกอย่างเป็น มูสมะพร้าว เปลือกทำจากช็อกโกแลต 100% ส่วนเนื้อมะพร้าวเป็นครีมเฮเซลนัทกับมะม่วงหิมพานต์ โปะหน้าด้วยเสาวรสและสับปะรดซึ่งใช้กรรมวิธีคอมเพรซ (compression) ในถุงสุญญากาศกับเมเปิ้ลไซรัปและน้ำมะนาว นอกจากนี้ ยังมีขนมของว่างอื่นๆ ในชุดอีกมากมาย

สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าได้ชมชิมแชะภาพเอง เอาเป็นว่ารีบจองล่วงหน้าโดยด่วนที่เบอร์ 0-2095-9999 แล้วจะได้รู้ซึ้งถึงคำว่า สวยทั้งรูป กินก็อร่อยมันเป็นอย่างไรนะจ๊ะ

ชีวา ชุดน้ำชายามบ่าย (Chevaa Afternoon Tea)
โรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ (Sindhorn Kempinski Hotel Bangkok)

ที่ตั้ง ล็อบบี้เลานจ์ โรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ 80 ซอยต้นสน ถนนหลังสวน ลุมพินี ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

โทร 0-2095-9999

เปิดบริการ 14.00-17.00 น. ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์

แนะนำ ชุดน้ำชายามบ่าย Indulgence 1,500 บาท++ สำหรับ 2 คน

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
ขนมหวานของว่างสุดเก๋
มาสคาร์โปเนครีมหอมมัน แยมสตรอว์เบอร์รี และเลมอนครีม
สโคนและขนมปังบริยอชหน้าเฟยทีนกรอบๆรสเนยถั่ว
จุดถ่ายรูปยอดนิยม
จุดถ่ายรูปยอดนิยม

นับเป็นครั้งแรกที่ปิ่นโตเถาเล็กแนะนำกาแฟในร้านกาแฟอย่างจริงจัง เนื่องจากมีความประทับใจใน ร้านนานาคอฟฟี่โรสเตอร์ (Nana Coffee Roasters) เป็นอันมาก ร้านนี้ตั้งอยู่ในโครงการเล็กๆ ชื่อว่า Niche 3 ริมถนนประดิษฐ์มนูธรรม (หรือถนนเลียบด่วนเอกมัย-รามอินทรา) ฝั่งขาออก เข้าได้จากถนนใหญ่ ทางเข้า เลยซอยประดิษฐ์มนูธรรม 3 มาเพียง 50 เมตร (ถ้าขับเลยไปให้เลี้ยวเข้าซอยประดิษฐ์มนูธรรม 5 แล้ววิ่งย้อนกลับมาด้านหลังได้)

Nana Coffee Roasters ครบครันขึ้นชื่อในเรื่องกาแฟทุกๆ องค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น เมนูกาแฟซิกเนเจอร์หลากหลาย เป็นแหล่งรวมเมล็ดกาแฟหรือกาแฟคั่วบดชนิด Single Origin กาแฟสายพันธุ์เดียวชั้นเลิศ มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัวจากแหล่งเพาะปลูกขึ้นชื่อทั่วโลก อีกทั้งยังเก่งกาจเรื่องการนำเมล็ดกาแฟหลายชนิดมาผสมหรือ เบลนด์ (Blend) ได้อย่างลงตัว ถูกใจคอกาแฟทั้งมือใหม่หัดชิมไปจนถึงกูรูนักชิมกาแฟ

ข้อสำคัญคือ Nana Coffee Roasters คือศูนย์รวมของผู้ทำร้านกาแฟฝีมือขั้นเทพ ทั้งคุณกุ้ง (ชาย) วรงค์ ชลานุชพงศ์ คิวเกรดเดอร์ (Q Grader) หรือคอฟฟี่ฮันท์เตอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการชิมกาแฟและคัดสรรเมล็ดกาแฟ (โดยมีเกณฑ์ให้คะแนน 20 หัวข้อ) ซึ่งมีเพียงไม่กี่พันคนในโลกนี้

อีกทั้งน้องกุ้ง (หญิง) กานดา โทจำปา แชมป์บาริสต้าประเทศไทย 2019 (Thailand National Barista Champion 2019) และน้องแนต กษมา กันบุญ แชมป์โลกกาแฟไซฟ่อน 2018 (World Siphonist Champion 2018) เธอมาสมัครงานที่นานาฯครั้งแรกโดยขอฝึกงานไม่รับค่าจ้าง ด้วยความทุ่มเททั้งกายและใจ ม้านอกสายตาคนนี้จึงคว้าแชมป์ไซฟ่อนโลกที่กรุงโตเกียว มาได้ดังใจหมาย มาที่นี่นอกจากได้ลิ้มลองดื่มด่ำสุดยอดกาแฟยังได้พูดคุยกับผู้รู้ตัวจริงอีกด้วย

ชื่อนานานั้นมาจากชื่อลูกสาวของคุณกุ้งทั้งสอง ร้านใหม่ที่ย้ายมานี้เปิดมาได้ 1 ปีเศษ คอนเซ็ปต์การตกแต่งด้วยอิฐในโทนสีอิฐและสีเขียวอ่อน เดินท่อไปทั่วเพดานร้านเปรียบเสมือนเป็นท่อลำเลียงเมล็ดกาแฟของโรงคั่ว นั่งได้ทั้งชั้นล่างและชั้นลอย หรือในลานด้านนอก

Dirty (150 บาท) คือเมนูซึ่งผมชื่นชอบเป็นพิเศษ เหมาะสำหรับคนชอบกาแฟใส่นมหรือผู้ที่เป็นมือใหม่หัดชิม เป็นกาแฟคั่วกลางผสมคั่วเข้ม Brazil Blend ประกอบด้วยเมล็ดกาแฟสุมาตรา บราซิล และดอยช้าง บดละเอียดจนเป็นแป้ง และวิธีการชงนั้น คุณกุ้ง (ชาย) บอกว่าชงแบบนอกคอกคิดนอกกรอบ ชงนานถึง 60 วินาที จนได้ส่วนของน้ำมันหยดลงมาบนแก้วนมแช่เย็น 2 องศาเซลเซียส ที่แช่ทิ้งไว้ 1 คืน ลอยหน้าอยู่ด้านบน กลิ่นรสหอมมันเหมือนกินนมผสมช็อกโกแลต ห้ามพลาดเลย

ส่วนใครที่ต้องการปลุกตัวเองให้ตื่นและสดชื่น มีเมนู Wake Up (180 บาท) เครื่องดื่มเย็นทำจากกาแฟเอสเปรสโซ 30 ml ผสมน้ำส้มยูสุ เปรี้ยวหอมกำลังดี โรยหน้าด้วยบลูเบอรี่ สตรอเบอรี่ ทับทิม และส้มฝานทั้งเปลือก

สำหรับคอกาแฟนั้น ที่นานาฯมีกาแฟชนิด Single Origin หรือเมล็ดกาแฟสายพันธุ์เดียวชื่อดัง จากแหล่งเพาะปลูกเดียวทั่วโลก ถึง 30 กว่าชนิด (โดยนำมาโชว์ได้ครั้งละ 24 ชนิด) ให้เลือกชงได้ทุกรูปแบบเช่นดริป เอสเปรสโซ ไซฟ่อน (Syphon) และ french press เป็นต้น สนนราคา 180-600 บาทต่อแก้ว

รู้ไหมครับว่ากาแฟของไทยเราก็โดดเด่นมากเช่นกัน ขอแนะนำ Moonstone (250 บาท) อันเลื่องลือจากไร่กาแฟออร์แกนิคที่เชียงใหม่ของ คุณเอก สุวรรณโณ มีจุดเด่นที่กลิ่นหอมๆ ของลิ้นจี่และกุหลาบ

กาแฟไทยอีกตัวที่ห้ามพลาดคือ เกอิชา (Geisha หรือ Gesha) จากภูเขาสูง 1,400-1,600 เมตร ใน จังหวัดน่าน (300 บาท) ซึ่งคำว่าเกอิชานี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสาวงามในญี่ปุ่นแม้แต่น้อย แต่ต้นกำเนิดมาจากกาแฟพื้นเมืองบริเวณภูเขา Gesha ของเอธิโอเปีย ซึ่งตอนนี้โด่งดังที่ประเทศปานามา (ที่ร้านมีให้ลองเช่นกัน 300-450 บาท) ซึ่งกาแฟน่าน เกอิชา ตัวนี้ขึ้นชื่อเรื่องความหอมของ เอิร์ลเกรย์ พีช ส้ม และแอปริคอท

ส่วนเมล็ดกาแฟ Single Origin จากทั่วโลกนั้น คุณกุ้ง (ชาย) แนะนำตัวที่ขายดีมาจากคอสตาริก้า ชื่อว่า Costa Rica Canet Musician Series Mozart (250 บาท) จุดเด่นคือมีความหอมของกุหลาบ ดื่มแล้วรู้สึกครีมๆ เต็มปาก รสชาติไม่เปรี้ยวมากเหมาะกับคนไทย ซึ่งกาแฟซีรีส์นี้นอกจากจะตั้งชื่อตามโมซาร์ท นักดนตรีชื่อก้องโลกแล้ว ที่นี่ยังมีกาแฟตามชื่อนักดนตรีเอกบัค (Bach) อีกด้วย

กาแฟ Dirty
กาแฟน่าน เกอิชา

ซึ่งเราสั่งชงด้วย ไซฟ่อน (Syphon) ไปดูการทำได้เลยตอนชง หลักการคือต้มน้ำในกระเปาะแก้วด้านล่างให้เดือดด้วยตะเกียงอินฟราเรด น้ำจะดันตัวขึ้นไปกระเปาะแก้วด้านบนที่ใส่เมล็ดกาแฟคั่วบด บาริสต้าจะคนกาแฟด้วยความชำนาญ จนได้น้ำกาแฟที่ไหลกลับสู่ด้านล่าง

ดังนั้น ไหนๆ มาแล้ว ต้องสั่งเมนู World Syphon Blend (600 บาท) ซึ่งเป็นกาแฟที่ทำให้น้องแนตสามารถคว้าแชมป์โลกไซฟ่อนปี 2018 จากโตเกียว ใช้กาแฟไทยออร์แกนิค ไนน์ วัน (Nine one) จากจังหวัดเชียงใหม่ของคุณวัลลภ ปัสนานนท์ 50% เบลนด์กับกาแฟไทยน่าน เกอิชา 30% และเกอิชาจากปานามา 20% มีรสเปรี้ยวหอมคล้ายน้ำสับปะรด และมีกลิ่นสับปะรด พีช และฝรั่งไส้แดง ออกแนวผลไม้เมืองร้อน อยากรู้ซึ้งว่ากาแฟแชมป์โลกเป็นอย่างไร ต้องสั่งให้ได้นะจ๊ะ

นอกจากกาแฟแล้ว ผู้ที่ชอบดื่มชาให้ลอง Nitro Tea (200 บาท) เครื่องดื่มชาหอมเย็นสีแดง สกัดจากผลไม้ทั้ง ส้ม บลูเบอรี่ ตะไคร้ และกุหลาบ ใช้กรรมวิธีสกัดเย็นด้วยก๊าซไนโตรเจนโดยเครื่อง Nitro Cold Brew

ปลุกตัวเองให้ตื่นและสดชื่น ด้วย Wake Up

อยากตื่นตาตื่นใจให้นั่งหน้าเคาน์เตอร์บาร์ด้านล่าง มีเครื่องชงเอสเปรสโซเก๋ๆ ชื่อ Mod Bar ที่โผล่มาเฉพาะหัว ส่วยของบอยเลอร์อยู่ข้างล่าง อีกทั้งเครื่องชงชาร้อน สตีมพังค์ (Steampunk) สนนราคาเครื่องเท่ารถเก๋งชั้นดี ที่เราสั่ง Steampunk Tea (200 บาท) ใส่ในกาแก้วใสมาลองด้วย

Nana Coffee Roasters ยังมีกาแฟหลากหลายเมนู หลากหลายเทคนิคการชงให้เลือก ถ้าจะตามาชิมควรรีบไปแต่ตอนสายๆ จะดีที่สุด เพราะหลังจากช่วงเที่ยงที่จอดรถ 10 กว่าคันด้านหน้านั้นจะแน่นยิ่งกว่าเล่นเก้าอี้ดนตรี

ข่าวดีคือปีนี้ทางร้านจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 2 แห่งกับเพื่อนๆ ประมาณเดือนสิงหาคม ที่ถนนพรานนกสายใหม่ ในชื่อ Nana Hunter Coffee Roasters และเดือนตุลาคม อีก 1 สาขาใหญ่ที่ซอยอารีย์ 4 พหลโยธิน กับคุณหน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์ และคุณไก่ อรรควุฒิ สุวรรณประกร ในชื่อ Nana Coffee Roasters อารีย์ นี่คือร้านกาแฟดีๆ ที่ควรรีบตามไปลองนะจ๊ะ

Nana Coffee Roasters


โดย คุณวรงค์ (กุ้ง) ชลานุชพงศ์

ที่ตั้ง 445/8 โครงการ Niche 3 ถนนประดิษฐ์มนูธรรม วังทองหลาง กรุงเทพฯ 10310

โทร 08-8555-4724, 08-2626-6235 (คุณกุ้ง(หญิง))

เปิดบริการ 07.00-17.30 น. จันทร์-ศุกร์ / 08.00-17.30 น. เสาร์-อาทิตย์

แนะนำ Dirty, Wake Up, เมนูแชมป์โลก World Syphon Blend, กาแฟชนิด Single Origin ต่างๆ เช่น Moonstone น่าน เกอิชา Costa Rica Canet Musician Series Mozart ชา Nitro Tea และ Steampunk Tea

Moonstone อันเลื่องลือจากไร่กาแฟออร์แกนิกที่เชียงใหม่
เมนู World Syphon Blendของน้องแนท แชมป์โลก
Nitro Tea ชาสกัดจากผลไม้
เครื่องไซฟ่อนSyphon
ชาร้อน Steampunk Tea
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)

ช่วงที่ปิ่นโตเถาเล็กเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านนั้น มีน้องรัก กัปตันโอแห่งการบินไทยส่งอาหารของร้านนักบินรุ่นน้องชื่อ ต้า มาให้ลิ้มลอง (ยกขบวนนำมาให้ทั้งครอบครัว) พอได้ชิมแล้วรู้สึกอร่อยถูกปากมาก เนื่องจากเป็นเมนูจีนแต้จิ๋วคุ้นเคยแบบดั้งเดิม จึงขอเชียร์สองมือแนะนำ ร้านฮกกี่คิทเช่น ซึ่งกลับมาเปิดบริการให้นั่งกินที่ร้านอีกครั้งแล้วนะจ๊ะ

ฮกกี่คิทเช่น คือ ร้านอาหารจีนตำรับซัวเถาริมถนนบรรทัดทอง เปิดมานาน 50 กว่าปี อยู่ตรงข้ามซอยจุฬาฯ 34 ห่างจากแยกสะพานเหลืองและถนนพระราม 4 เพียง 150 เมตร ตัวร้านอยู่ริมถนนสีชมพูอมแดงเด่นเป็นสง่าขนาด 3 คูหามองเห็นได้ชัดเจน มีที่จอดรถด้านหลังร้าน โดยเข้าจากซอยข้างร้านได้เลย (เป็นโรงจอดรถสำหรับให้คนแถวนั้นเช่าประจำ)

ร้านนี้เปิดกิจการเมื่อ พ.ศ.2509 (อ่อนกว่าปิ่นโตเถาเล็กเพียง 1 ปี) โดยอากง ชื่อว่า นายห่งเอี๊ยง แซ่โล้ว (มงคลชัยวิวัฒน์) จากเดิมหาบกระเพาะปลาขายตอนเริ่มแรก กลายเป็นภัตตาคารฮกกี่คิทเช่น มีลูกหลานรุ่นที่ 2 และ 3 สืบสานตำนานความอร่อยจนทุกวันนี้ คำว่า ฮกกี่ แปลว่า วาสนาที่น่าจดจำ มีความหมายดีมาก
ตัวร้านติดเครื่องปรับอากาศทั้ง 2 ชั้น ชั้นบนแบ่งเป็นห้องๆสำหรับผู้ที่มาเป็นหมู่คณะ คุณสมชาย คุณพ่อซึ่งเป็นรุ่นที่ 2 ยังว่าการในครัวเช่นเดิม โดยมีคุณแม่และลูกๆ รุ่นที่ 3 น้องต้าและน้องเอิงคอยช่วยด้วย คุณสมชายไปซื้อของสดเองที่ตลาดเก่าเยาวราชทุกวัน

ของอร่อยที่นี่มีมากมายหลายสิ่ง เริ่มกันด้วย ห่านพะโล้ แต้จิ๋วสูตรซัวเถา (จานนี้ 600 บาท) ปรุงด้วยเครื่องยาจีนประมาณ 10 ชนิด เช่น โป๊ยกั้ก อบเชย ลูกผักชี ยี่หร่า ข่าแก่ พริกไทย ลูกกระวาน หญ้าหอม พริกหอม จึงหอมกลิ่นเครื่องยาจีน แต่ไม่แรงจนเกินไป และมีรสชาติเข้าเนื้อ ไม่เหม็นสาบ ส่วนที่ผมชอบคือ เนื้อสะโพกห่านนุ่มอร่อย นอกจากนี้ ยังเลือกชิ้นส่วนอื่นได้ด้วย อย่าลืมสั่ง ไส้ห่าน กรอบๆ (จานนี้ 2 ขีด 140 บาท) นะจ๊ะ นอกจากนี้ ก็มีขา ปีก หัว เลือด เครื่องใน และลิ้นพะโล้ นอกจากนี้ ยังมี ขาห่านอบบะหมี่ (คู่ละ 190 บาท) ให้ลิ้มลองด้วย

ของกินเล่นที่ขึ้นชื่อลือชา นิยมสั่งกลับบ้านกันมากก็คือ ขนมผักกาด หรือ ไชเท้าก้วย ลูกโตๆ เท่ากำปั้น (ลูกละ 60 บาท) หั่นได้ 5 ชิ้นโตๆ เวลากินให้นึ่งนาน 10 นาทีจนนุ่มหอม หรือนำมาจี่ในกระทะใส่น้ำมันเล็กน้อยก็อร่อยกรอบนอกนุ่มใน (ผมชอบมาก) บรรจุในห่อสุญญากาศ เก็บในช่องแช่แข็งได้นาน 1 เดือน อยู่ต่างจังหวัดก็สั่งได้นะจ๊ะ

ส่วนของกินเล่นอื่นๆ มี แฮ่กึ๊น (กุ้ง) และ ฮ่อยจ๊อ (ปู) (ลูกละ 25 บาท) สั่งมากินคู่กันได้ อีกทั้งมาร้านแต้จิ๋วต้องสั่ง กระเพาะปลาผัดแห้ง (300 บาท) ใส่กระเพาะปลาชิ้นโตๆ ด้วย

เมนูน้ำๆ ซดๆ ต้องลอง ไก่ดำตุ๋นยาจีน หอมหวานเข้มข้นสุดยอด (450 บาท) ที่ชอบใจก็คือ เนื้อไก่ดำ เจ้านี้อร่อยมีรสชาติไม่แห้งผาก อีกอย่างที่เป็นเมนูดั้งเดิมประจำร้าน หัวปลาต้มเผือก (150-200-300 บาท) ปรุงจากน้ำซุปกระดูกหมูรสชาติเข้มข้น ผู้ใหญ่อย่างเราซดกินเปล่าๆ ได้เลย เพราะรสชาติดีมาก ส่วนหัวปลาเป็นปลาจีนซ่งฮื้อ จะสั่งใส่ปลากะพงก็ได้ ยังมีทีเด็ดที่น้ำจิ้มเต้าเจี้ยวใส่พริก ช่วยให้รสจัดเผ็ดหอมยิ่งขึ้น

ขาห่านอบบะหมี่
ขนมผักกาด

อีกอย่างซึ่งหากินที่อื่นได้ยากคือ เก้งผัดขึ้นฉ่าย (200-300-400 บาท) ซึ่งเดี๋ยวนี้ความจริงคือ ใช้ เนื้อแพะ มาทำ ไม่มีกลิ่นสาบ และนุ่มหอมมาก ถ้าชอบรสจัดให้สั่ง เก้งผัดพริก และ เก้งผัดกะเพรา นอกจากนี้ ก็มี ปลิงทะเลผัดกะเพรา (300-600-900 บาท) เนื้อปลิงนุ่มๆ ผัดมีรสมีชาติ

เมนูอื่นที่ชอบมี ออส่วนหอยนางรม นุ่มเนียน (200-300-400 บาท) กับ หน่อไม้ทะเลเจี๋ยนยอดคะน้า น้ำเจี๋ยนหอมและรสชาติดีมาก ที่ชอบคือไม่มีรสหวานนำ ยอดคะน้าก็อ่อนกำลังดี ไม่มีใบแก่ๆ ให้เสียอารมณ์
อยากกินปลาให้สั่ง ปลากะพงนึ่งซีอิ๊ว (ตัวนี้ 500 บาท) สดหวาน น้ำซีอิ๊วก็หอมมากกรรมวิธีเคล็ดลับคือ จะปรุงน้ำซีอิ๊วก่อน เติมซีอิ๊วญี่ปุ่น น้ำมันงา น้ำมันหอย และน้ำตาลเล็กน้อย แล้วแยกน้ำซีอิ๊วบางส่วนไปนึ่งปลา พอนึ่งสุกแล้วเทน้ำทิ้งไป นำน้ำซีอิ๊วอีกส่วนที่แยกไว้ต่างหากไปปรุงเพิ่ม เติมแป้งมันนิดหน่อย ใส่ขิงและต้นหอมลงกระทะพอสะดุ้งไฟ แล้วเทราดตัวปลาที่นึ่งเสร็จแล้ว สำหรับเมนูปลาอื่นๆ เช่น ปลาเต๋าเต้ย นั้นให้สั่งล่วงหน้า 1 วัน จะสดมากๆ เอามาลวกในหม้อไฟได้

ไก่ดำตุ๋นยาจีน

ตามธรรมเนียมโต๊ะจีนต้องปิดท้ายด้วยข้าว หรือเส้นหมี่ ขอแนะนำ ข้าวผัดหนำเลี้ยบ ใส่กุนเชียงหอมอร่อย หอมกลิ่นคั่วในกระทะ (150-200-300 บาท มีขนาดใส่กล่องกลับบ้าน 100 บาทด้วย) ผัดหมี่ฮ่องกง ใส่แฮมและกุ้ง (150-200-300 บาท มีใส่กล่องกลับบ้าน 100 บาทด้วย) วันก่อนหน้านั้นผมสั่ง ข้าวผัดเผือก ทรงเครื่อง (150-200-300 บาท) ใส่เครื่องหลากหลาย ไปกินที่บ้านอีกด้วย

ถ้ามาเป็นหมู่คณะอยากสั่งเมนูโต๊ะจีนสุดคุ้มก็มีหลายราคาเริ่มที่ 3,200 บาท ไปจนถึง 8,300 บาท
ปิดท้ายด้วยของหวาน รักพี่เสียดายน้องจนต้องสั่งมาทั้ง 2 อย่าง ทั้ง เผือกหิมะ (ชิ้นละ 15 บาท) มีน้ำตาลเคลือบพอเหมาะ และหอมกลิ่นวานิลลา (แทนการคั่วกับต้นหอม) ต้องกินตอนร้อนๆถึงจะอร่อย กับ โอนี่แปะก๊วยใส่ข้าวเหนียว (250 บาท) และเครื่องสารพัดกับเผือกกวนทำเองเนียนหอมหวาน

นี่คือร้านจีนแต้จิ๋วซัวเถาที่ถูกใจข้าพเจ้าอีกหนึ่งร้าน เปิด 10 โมงเช้าถึง 3 ทุ่มทุกวัน ถ้ายังไม่อยากออกจากบ้านฮกกี่คิทเช่น มีบริการดิลิเวอรีด้วย โทรสอบถามที่ 0-2215-1259-60 หรือ Line @hokkee ก็ได้นะจ๊ะ

ข้อมูลร้าน
ฮกกี่คิทเช่น
โดย คุณสมชาย มงคลชัยวิวัฒน์
ที่ตั้ง 1988 ถนนบรรทัดทอง วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
โทร 0-2215-1259-60, 09-4979-6199
เปิดบริการ 10.00-21.00 น.ทุกวัน
หยุด หลังเทศกาลสงกรานต์
Line @hokkee
แนะนำ ห่านพะโล้ ไส้ห่าน ขนมผักกาด ไก่ดำตุ๋นยาจีน หัวปลาต้มเผือก เก้ง (แพะ) ผัดขึ้นฉ่าย เก้งผัดพริก หน่อไม้ทะเลเจี๋ยนยอดคะน้า ปลากะพงนึ่งซีอิ๊ว ข้าวผัดหนำเลี้ยบ เผือกหิมะ โอนี่แปะก๊วยใส่ข้าวเหนียว กระเพาะปลาผัดแห้ง

เก้งผัดขึ้นฉ่าย
ปลากะพงนึ่งซีอิ๊ว
ผัดหมี่ฮ่องกง
เผือกหิมะ
โอนี่แปะก๊วยใส่ข้าวเหนียว
ที่มามติชนรายวัน 
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
เวลาปิ้ง เฮียอ้วนใช้กรรไกรเล็มส่วนเกรียมออก

ปิ่นโตเถาเล็กไม่ค่อยได้พาแฟนๆ ไปชิมของอร่อยยามดึกสักเท่าไหร่ เนื่องจากติดภารกิจถ่ายทำรายการโทรทัศน์ทุกอาทิตย์มาตลอดหลายปี อีกทั้งยังลาวงการกินดื่มยามราตรีตั้งนานนมเนแล้ว

มาบัดนี้สถานการณ์โควิดทำให้อะไรหลายอย่างไม่เหมือนเดิม แต่ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ ของอร่อยที่แต่ก่อนเคยได้กินเฉพาะช่วงมิดไนต์เที่ยวคืนก็ย้ายมาขายตอนกลางวัน พวกนอนหัวค่ำอย่างเราก็สามารถไปลิ้มลองได้แล้ว

ปิ่นโตเถาเล็กจึงมีความยินดีนำเสนอเจ้าหมูปิ้งรถเข็นธรรมดาไม่มีชื่อร้าน แต่โด่งดังในหมู่มนุษย์กลางคืน ต่างรู้จักกันดีในชื่อ หมูปิ้งเฮียอ้วน ขอบอกเลยว่าหมูปิ้งร้านนี้อร่อยที่สุดในกรุงเทพฯทีเดียว

หมูปิ้งของ เฮียอ้วน หรือ คุณพงศ์ธนัส วรรณอิทธิวิชญ์ (ชื่อเดิมกฤตมงคล จินดาศรี) เป็นขวัญใจในหมู่นักท่องราตรีมานานกว่า 30 ปี สมัยเริ่มแรกขายอยู่แถวหน้าปากซอยสีลม 4 (คนรุ่นเดียวกันกับปิ่นโตเถาเล็ก ยังจำบาร์โรมกันได้ไหมจ๊ะ) นักเที่ยวผู้หิวโหยยามดึกต่างแวะออกมากินหมูปิ้งของเฮียอ้วนอย่างเอร็ดอร่อย หนึ่งในนั้นคือเจ้านีโน่ เพื่อนของข้าพเจ้าที่เป็นขาประจำตัวยง

จากนั้นเฮียอ้วนย้ายมาปักหลักขายอยู่ที่หน้า ปากซอยคอนแวนต์ (ถนนคอนแวนต์) ถนนสีลม หน้าอาคารสีบุญเรืองเก่า (ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นโครงการใหม่ขนาดใหญ่) ตั้งแต่เวลา 4 ทุ่มครึ่ง ไปจนถึงตี 3 ได้รับความนิยมทั้งในหมู่พวกเราชาวไทยรวมถึงนักท่องเที่ยวชาวจีนอีกด้วย

แต่เมื่อมีช่วงเวลาเคอร์ฟิวออกไปขายไม่ได้ เฮียอ้วนจึงหันมาเน้นขายที่หน้าบ้านใน ซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 15 แทน ตั้งแต่ 6 โมงเช้าจนถึง 3 ทุ่ม ซึ่งความจริงก่อนหน้านี้ก็ขายที่บ้านอยู่แล้วช่วงเช้าตอน 6 โมงถึง 10 โมงเช้า แต่ไม่ค่อยมีใครรู้

แฟนๆ คนไหนอยากลิ้มลองให้โทรสั่งล่วงหน้าอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงได้ที่เบอร์ 08-3999-6997 (เบอร์ก่อนหน้านี้ทำมือถือหาย ต่อไปจะใช้เบอร์นี้ตลอดนะจ๊ะ) หรือโทรหา น้องแบล็ก ลูกชายเฮียอ้วนได้ที่เบอร์ 08-7330-2209 โดยจะปิ้งร้อนๆ ให้เฉพาะเมื่อสั่งแล้วเท่านั้น นอกจากนี้ น้องแบล็กยังมีบริการส่งถึงบ้านให้ด้วย ถ้าไม่ไกลข้ามเมืองจนเกินไป (เช่นแถวลาดพร้าวยังไปส่งได้)

ทางไปบ้านเฮียอ้วนนั้น จากถนนสาทรใต้ เลี้ยวซ้ายที่ สี่แยกสาทร-นราธิวาส มาตามถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ประมาณ 700 เมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้า ซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 15 ซอยนี้เป็นซอยแคบๆ มีความยาวเพียง 500 เมตร เห็นที่ว่างตรงไหนก็จอดรถริมซอยฝั่งขวาได้เลย เพราะท้ายซอยจะไม่ค่อยมีที่จอด หรือจะจอดตามซอยแยกด้านขวาก็ยังพอมีที่จอดได้บ้าง จากนั้นเดินเข้าไปจนสุดซอยจะกลายเป็นตรอกเล็กๆ สำหรับคนเดิน เข้าไปอีกไม่กี่สิบเมตรก็ถึงแล้ว รถเข็นของเฮียอ้วนจะอยู่ฝั่งซ้ายตรงสี่แยกคนเดินแรกเลย ตามกลิ่นหมูปิ้งหอมๆ ไปเดี๋ยวก็หาเจอ

หมูปิ้งมีขายอยู่ถมถืดทั่วไป บ้างก็หมักนมสด บ้างก็หมักกะทิ บ้างก็ใช้หมูติดมันเยอะๆ แต่หมูปิ้งของเฮียอ้วนมีจุดเด่นตรงที่มีมันแทรกพองาม เนื่องจากใช้ส่วนสันคอนุ่มๆ ซึ่งต้องเลาะมันออกไปมหาศาล เนื้อสันคอ 10 กิโลกรัม เลาะมันไป 1 กิโลกรัม จึงกินเท่าไหร่ก็ไม่เลี่ยน แถมเนื้อสันคอนั้นทั้งนุ่มและเด้งหนึบในตัว กินอร่อยมาก

เฮียอ้วนใช้หมูสดทำวันต่อวัน โดยภรรยาของเฮียอ้วนตื่นขึ้นมาตอนตี 5 เสียบไม้เนื้อหมูที่หมักไว้แล้ว และหมักเครื่องเนื้อหมูของวันใหม่ตอน 8 โมงเช้า เป็นสูตรลับประจำบ้าน ผมปะเหลาะถามมาได้คร่าวๆ มีทั้งกระเทียม (ไทย) พริกไทย รากผักชี ซีอิ๊วขาวและซีอิ๊วดำ แต่ไม่ใส่ผงปรุงรสชูรสใดๆ เลย จากนั้นเอาใส่ถุงแช่ถังน้ำแข็งไว้ 1 คืน (หรืออย่างน้อย 6 ชั่วโมง) มิน่าล่ะหมูปิ้งเฮียอ้วนเมื่อปิ้งบนเตาถ่านแล้ว จึงมีความหอมรสชาติเข้าเนื้อเป็นยิ่งนัก ไม่เค็มเกินไปไม่หวานเกินไป และเวลาปิ้ง เฮียอ้วนจะพิถีพิถันคอยใช้กรรไกรเล็มส่วนที่ไหม้เกรียมออกให้อีกด้วย

ส่วน น้ำจิ้ม นั้นก็เด็ดเช่นกัน มีรสเปรี้ยวหอมจากมะขามเปียก แต่ไม่เปรี้ยวไม่หวานไม่เผ็ดไม่เค็มจนเกินไป เรียกได้ว่ากลมกล่อมกำลังดี กินกับข้าวเหนียวนุ่มๆ (เฮียอ้วนบอกว่าต้องใช้ข้าวเหนียวทางเหนือจึงจะนุ่มกว่า) กินเพลินหยุดไม่ได้จริงๆ สนนราคาหมูปิ้งไม้ละ 12 บาท ข้าวเหนียวถุงละ 5 บาท เฮียอ้วนบอกว่าเริ่มจากชายไม้ละ 3 บาท กลายเป็น 5-10 และ 12 บาทในปัจจุบัน

น้ำจิ้มใส่มะขามเปียกรสเปรี้ยวอมหวานเด็ดมาก

มีเคล็ดลับมาฝาก คือ เมื่อซื้อมาแล้วต้องกินหมูปิ้งตอนร้อนๆ อย่าปล่อยให้ตากลมทิ้งไว้บนจานเป็นอันขาด ยิ่งไปกินหน้าร้านตอนปิ้งเสร็จใหม่ๆ ยิ่งดี เพราะเฮียอ้วนเลาะมันออกไปเยอะ ถ้าปล่อยจนเย็นชืดเนื้อหมูจะแข็งขึ้นเป็นกอง (หรืออุ่นร้อนก่อนอีกครั้งก็ได้) ลองชิมดูแล้วจะรู้ว่ากินตอนร้อนๆ อร่อยเหาะขึ้นสวรรค์จริงๆ จิ้มน้ำจิ้มชุ่มโชกยิ่งเด็ด

แต่ละวันเฮียอ้วน (ความจริงต้องเรียกน้องอ้วนเพราะอ่อนกว่าปิ่นโตเถาเล็กหลายปี) จะทำไม่มาก วันละ 700-800 ไม้เท่านั้น ดังนั้น อย่าลืมโทรไปจองล่วงหน้า เฮียอ้วนรับไปออกงานด้วย สนใจติดต่อตามเบอร์ที่บอกไป และร้านที่เฮียอ้วนทำเองคือที่ในซอยนราธิวาสฯ 15 กับที่หน้าปากซอยคอนแวนต์เท่านั้นนะจ๊ะ ย้ำอีกทีว่า ช่วงนี้ขายที่บ้านเท่านั้นตอน 6 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม ถ้าไม่มีเคอร์ฟิวเมื่อไหร่ก็จะกลับไปขายเวลาเดิม คือที่บ้านตอน 6 โมงเช้า ถึง 10 โมงเช้า ส่วนที่สีลมขายตอนกลางคืน 4 ทุ่มครึ่ง ถึงตี 3

เป็นโอกาสอันดีที่มนุษย์กลางวันอย่างพวกเราจะได้ลิ้มลอง จะได้รู้ซึ้งว่าทำไมหมูปิ้งเฮียอ้วนจึงเป็นขวัญใจของดารา (เช่นน้องแพนเค้ก น้องกิ๊บซี่) เชฟก้องโลกและนักชิม (อย่างเชฟกากั้น และน้องแทน I Tan) กันขนาดนี้ อ่านจบแล้วรีบโทรสั่งแล้วไปชิมกันได้เลยนะจ๊ะ

หมูปิ้งเฮียอ้วน

โดย คุณพงศ์ธนัส (เฮียอ้วน) วรรณอิทธิวิชญ์

ที่ตั้ง หน้าบ้าน 119/37 ซอยนราธิวาสฯ 15 ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ทุ่งมหาเมฆ สาทร กรุงเทพฯ 10120

ถ้าไม่มีเคอร์ฟิว จะขายที่รถเข็นปากซอยคอนแวนต์ ถนนสีลม สีลม บางรัก กรุงเทพฯ 10500

โทร 08-3999-6997 (เฮียอ้วน) และ 08-7330-2209 (น้องแบล็ก)

เปิดบริการ ช่วงนี้ขายที่บ้าน 06.00-21.00 น. ทุกวัน

ถ้าไม่มีเคอร์ฟิว จะกลับไปขายที่ปากซอยคอนแวนต์ 22.30-03.00 น. และต่อด้วยที่บ้าน 06.00-10.00 น. ทุกวัน

แนะนำ หมูปิ้ง

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
เนื้อเปื่อยชั้นดี

ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ทางการอนุญาตให้ร้านอาหารทั้งที่เป็นร้านสตรีทฟู้ดริมทางและร้านติดเครื่องปรับอากาศ รวมทั้งร้านในห้างสรรพสินค้าเปิดขายได้อีกครั้งหนึ่งนั้น (มาตรการผ่อนคลายระยะที่ 2) ปิ่นโตเถาเล็กก็เริ่มออกตระเวนชิม และถือโอกาสคุยถามสารทุกข์สุกดิบกับเจ้าของร้านในตำนานที่คุ้นเคยกันดีมาตั้งแต่สมัยพ่อยังหนุ่ม

สำหรับคิวในอาทิตย์นี้คือร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อใส่สารพัดเครื่องใน เพ็ญจันทร์โภชนา ซึ่งเจ้านี้มีประวัติมายาวนาน เริ่มขายที่เพชรบุรีตัดใหม่ตั้งแต่ พ.ศ.2505 ถือเป็นปรมาจารย์ด้านก๋วยเตี๋ยวน้ำข้น มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะแยะ แม้กระทั่งเจ้าดังๆ ที่เชียงใหม่ เชียงราย แต่ก่อนยังมาฝึกการปรุงก๋วยเตี๋ยวจากร้านเพ็ญจันทร์นี่แหละ

ผมเองเป็นขาประจำตั้งแต่ตอนที่เขามาเปิดสาขาตรงปากซอยสุโขทัยซอย 3 จนในที่สุดปี 2535 เพ็ญจันทร์โภชนาจึงย้ายมาปักหลักแห่งเดียวที่ย่านตลิ่งชัน โดยแต่ก่อนนั้นคุณชายถนัดศรีแวะเวียนไปชิมไม่เคยขาดช่วง ถึงขนาดที่ว่าบางครั้งไปอาทิตย์ละ 3 วันทีเดียวเลย

ร้านเพ็ญจันทร์ใหญ่โตโอ่โถง สะอาดสะอ้าน เป็นตึกแถวสองคูหาขนาดใหญ่ริมถนนฉิมพลีระหว่างซอย 6 กับ 6/1 ซึ่งเข้าได้หลายทางทั้งจากถนนราชพฤกษ์และจากทางคู่ขนานด้านนอกของถนนบรมราชชนนี ทางเข้าอยู่เลยสถานีตำรวจตลิ่งชันไปนิดเดียว

เมื่อเข้ามาในร้านจะสะดุดตากับป้ายใต้ชั้นลอยบรรยายสรรพคุณของดีๆ กรอบๆ หลายอย่าง เช่น กระเพาะวัวกรอบ ลูกชิ้นทำเองกรอบ ผ้าขี้ริ้ววัวกรอบ เนื้อกรอบปรุงพิเศษ ด้านหน้าตรงที่ปรุงก๋วยเตี๋ยวมีตู้กระจกวางขวดซอสปรุงรสไว้เต็มตู้ ข้างๆ ตู้มีเครื่องในวัวเครื่องเคราต่างๆ วางเรียงรายอยู่เต็ม มีหม้อน้ำซุปตั้งไฟเคี่ยวควันฉุยอยู่ตลอดเวลา

ลักษณะเด่นของก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้านี้อยู่ที่มีเครื่องเคราหั่นชิ้นโตๆ สารพัดอย่าง น้ำซุปรสชาติเข้มข้น หอมกลิ่นซอสปรุงรสและหนักพริกไทยพอดู มีรสหวานเล็กน้อย แนะนำว่าให้ผสมน้ำจิ้มประกอบด้วยน้ำส้มพริกตำ น้ำตาล ซีอิ๊วขาว และพริกป่น เอาไว้จิ้มเครื่องในกับเนื้อต่างๆ เพื่อความเข้มข้นยิ่งขึ้นด้วยนะจ๊ะ

ถ้าเป็นเครื่องสด เช่น เนื้อสด ร้านนี้จะเตรียมวันต่อวัน ส่วนเครื่องที่ต้องใช้เวลาเคี่ยว เช่น เนื้อเปื่อย ไส้ ม้าม เอ็น จะเตรียมล่วงหน้า 1 คืน ทุกอย่างจึงเปื่อยอร่อยได้ที่

ของอร่อยที่นี่คือสันในวัวหรือเนื้อสด ใช้เนื้อคุณภาพดี ไม่เหนียว และ เนื้อกรอบ หรือเนื้อน่องลายที่หมักค้างคืนกับพริกไทย น้ำตาล และซอสปรุงรส จึงมีความนุ่มแต่กรอบ มีรสชาติในตัว เนื้อเปื่อยนั้นเปื่อยสมชื่อ ต้องการเปื่อยติดมันมากๆ หรือเปื่อยสามชั้นก็สั่งได้ ซึ่งมีปริมาณต่อวันไม่เยอะมาก

ของดีอีกอย่างคือ ไส้ นุ่มๆ หอมๆ นอกจากนี้ ยังมีกระเพาะวัวกรอบ ลูกชิ้นกรอบๆ ผ้าขี้ริ้ววัวกรอบสีขาวสวย ตัวเดียวอันเดียว ตับ หัวใจ ม้าม ขอบกระด้ง เอ็น ลืมบอกไปว่าเวลาสั่งเกาเหลาทุกอย่างจะไม่มีเนื้อกรอบ ถ้าอยากชิมต้องบอกเขาให้ใส่ด้วย หรือจะสั่งเนื้อกรอบลวกมาต่างหากหนึ่งชามกินให้จุใจเลยก็ได้

เส้นก๋วยเตี๋ยวมีทั้งเส้นหมี่ เส้นเล็ก เส้นใหญ่ ใส่ผักหลายชนิดทั้งผักบุ้ง ขึ้นฉ่าย ต้นหอม ถั่วงอก ผักชี สนนราคาก๋วยเตี๋ยวเริ่มต้นที่ชามละ 100 บาท สั่งเครื่องอื่นๆ เพิ่มได้ เช่น ใส่เนื้อกรอบหรือสันในวัวด้วยคิด 100 บาท (สั่งน้ำซุปใส่ถ้วยเพิ่มต่างหากคิด 10 บาท ข้าวเปล่า 10 บาท)

13Penjun

ก่อนหน้านี้ที่ร้านยังมีเมนูพิเศษอีกอย่างคือเกาเหลาหม้อไฟ ต้นคิดให้ทำขายคือคุณชายถนัดศรีนี่แหละ เป็นหม้อไฟซึ่งตอนหลังเปลี่ยนเป็นหม้อไฟฟ้าสำหรับใส่น้ำซุปเดือดๆ ให้เราได้ลวกกินกันเอง เริ่มต้นที่ขั้นต่ำชุดละ 400 บาท มีเครื่องให้เลือก 4 จาน ผักอย่างละ 20 บาท ส่วนถ้าสั่งเพิ่มคิดจานละ 100 บาท น้ำซุปฟรี ชอบสุกแค่ไหนลวกได้ตามใจชอบ ช่วงที่กำลังเขียนต้นฉบับอยู่นั้นที่ร้านยังงดขายหม้อไฟอยู่ แต่ถ้าใครอยากกินก็สั่งมากินคนเดียวหม้อใครหม้อมันได้นะจ๊ะ

กินก๋วยเตี๋ยวอิ่มแล้วอย่าลืมล้างปากด้วยขนมหวานร้านแม่บุญยังที่อยู่หน้าร้าน เมนูเด็ดคือลอดช่องสิงคโปร์ ทับทิมกรอบ และลอดช่องโบราณใส่ข้าวเม่า

ร้านเพ็ญจันทร์โภชนาเปิดบริการตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงบ่าย 4 โมงทุกวัน โดยจะหยุดวันจันทร์-วันพุธที่ 3 ของเดือน (หยุด 3 วันต่อ 1 เดือน) ถ้าไปกันเป็นหมู่คณะให้สอบถามที่ร้านก่อนว่าตอนนี้จัดที่นั่งรวมกันอย่างไร เพราะเรื่องพวกนี้กลายเป็นสิ่งที่เป็นนิวนอร์มอลไปแล้ว โทรสอบถามได้ที่ 0-2887-3670 นะจ๊ะ

เพ็ญจันทร์โภชนา

โดย คุณชิงชัย-คุณวิไลวรรณ วิมลสิทธิชัย

ที่ตั้ง 8/77 ถนนฉิมพลี แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170

โทร 0-2887-3670

เปิดบริการ 08.00-16.00 น. ทุกวัน

หยุด ทุกวันจันทร์-อังคาร-พุธที่ 3 ของเดือน ถ้าตรงกับวันนักขัตฤกษ์จะเลื่อนออกไป

แนะนำ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อน้ำข้นใส่เครื่องใน เกาเหลาหม้อไฟ

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก

ช่วงที่ปิ่นโตเถาเล็กอยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ ทำให้มีเวลาว่างจัดคิวสำหรับการออกไปชิมตามร้านอีกครั้ง จึงนึกขึ้นมาได้ว่ามีร้านขาประจำอยู่ร้านหนึ่ง ที่ตั้งแต่ย้ายร้านไป 2 ปีกว่า ยังไม่มีโอกาสตามไปทบทวนถึงที่ร้านสักที ได้แต่ให้คนซื้อกลับมากินที่บ้านสม่ำเสมอ

ร้านนี้มีชื่อว่า ข้าวมันไก่มงคลวัฒนา คือร้านข้าวมันไก่ประจำครอบครัวที่ผมชอบกินเป็นประจำ บ่อยที่สุด ถี่ที่สุด แค่น้ำจิ้มก็อร่อยเด็ดเข้มข้นรสจัด เอามาคลุกข้าวมันกินเปล่าๆ ยังได้เลย ประกาศนียบัตรรับรองความอร่อยของเจ้านี้มีมากมายจนเต็มฝาผนังร้าน

เจ้าของร้านรุ่นแรกยุคบุกเบิกนั้นชื่อ คุณสมนึก ภาคกินนร เป็นชาวบ้านสามเรือน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เข้ากรุงเทพฯ มาเป็นเด็กล้างจานอยู่ที่ร้านหลีฮวดตรงเมอร์รี่คิงส์ สะพานควาย จากเด็กล้างจานเงินเดือน 250 บาท มีโอกาสได้ฝึกฝนวิทยายุทธ์ทางด้านข้าวมันไก่จากเจ้าของร้านจนกระทั่งสามารถมาเปิดร้านของตัวเองได้อยู่ที่หน้าโรงภาพยนตร์มงคลรามา สะพานควาย (อันเป็นที่มาของชื่อร้านมงคลวัฒนา)

ดูสิคนไทยแท้ๆ แต่กลับทำข้าวมันไก่ได้อร่อยเทียบเท่าร้านคนไทยเชื้อสายจีน เรียกได้ว่าอยู่ในชั้นแนวหน้าเลย แต่ก่อนนั้นครอบครัวผมจะสั่งข้าวมันไก่มงคลวัฒนามากินที่บ้านแทบทุกอาทิตย์

ต่อมาเมื่อราว 5 ปีที่แล้ว ลุงสมนึกส่งต่อร้านข้าวมันไก่ให้หลานของตนเอง ซึ่งเป็นคนกาฬสินธุ์ ชื่อน้องออฟ หรือ พัลลภ อุ่นเพ็ญ โดยตัวเองเกษียณไปอยู่แถวคลอง 5 รังสิต น้องออฟย้ายมาเปิดร้านอยู่หน้าโรงหนังอีกฟากหนึ่งได้ 3 ปี จากนั้นที่ทางบริเวณนี้มีผู้มาซื้อต่อและกำลังจะพัฒนากลายเป็นคอนโดมิเนียม ออฟจึงย้ายไปอยู่ที่ใหม่ได้ 2 ปีกว่าแล้วตั้งแต่ พ.ศ.2561

ร้านข้าวมันไก่มงคลวัฒนาที่ใหม่นั้นมาไม่ยาก อยู่ในตึกแถว 1 คูหา ริมถนนพหลโยธินฝั่งขาออก (เลยเมเจอร์รัชโยธินมาไม่ไกล) ก่อนถึง ปากซอยพหลโยธิน 37/1 ใกล้สามแยกเสนานิคม

ถ้านำรถมาให้จอดรถใน เสนาเซ็นเตอร์ (เสียค่าบริการ) ซึ่งอยู่เลยปากซอยพหลโยธิน 37 มาเล็กน้อย จากนั้นเดินเลี้ยวซ้ายไปที่ร้านซึ่งอยู่ก่อนถึงซอยพหลโยธิน 37/1 หรือจะไปจอดที่ลานจอดรถกลางแจ้ง ปากถนนเสนานิคม 1 ฝั่งตรงข้ามตรงสามแยกไฟแดง (ค่าจอดชั่วโมงละ 20 บาท) แล้วข้ามถนนเดินย้อนสามแยกมาที่ร้าน ส่วนถ้ามารถไฟฟ้าบีทีเอสให้ลงที่ สถานีเสนานิคม แล้วเดินย้อนมาทาง ถ.เสนานิคม 1

จุดเด่นความอร่อยของร้านนี้ยังคงเส้นคงวาเหมือนแต่ก่อน ประการแรกต้องยกให้ ข้าวมัน ที่ยังคงใช้กรรมวิธีการหุงแบบโบราณบนเตาถ่าน โดยใช้ข้าวหอมมะลิเก่ามาหุงกับน้ำมันไก่และขิง จึงทำให้ข้าวมันมีความนุ่มและมีกลิ่นหอมเฉาะตัว ส่วนน้ำจิ้มรสจัดนั้นเป็นสูตรดั้งเดิมสไตล์ไหหลำ และเป็นสูตรลับของทางร้าน รับรองความเด็ดแค่คลุกกินกับข้าวมันเปล่า ๆ ยังอร่อย ถึงขนาดที่ว่ามีผู้ขอซื้อเพิ่มไปที่บ้าน โดยจะขายน้ำจิ้มขีดละ 30 บาท กิโลละ 300 บาท

ส่วนไก่ต้มนั้น ไม่มีความลับอะไรต้องปกปิด แค่เน้นความสดของไก่ตอนที่ให้เนื้อนุ่มอยู่แล้ว ซึ่งยังสั่งจากเจ้าประจำตั้งแต่สมัยลุงสมนึกทำร้านเริ่มแรก โดยคนส่งจะรับไก่มาจากราชบุรีและนครนายก ต้มแค่ให้สุกพอดี หั่นไก่แบบไม่ต้องตบให้แบน ส่วนน้ำแกงของที่นี่ก็เด็ดเช่นกันเพราะใช้กระดูกไก่มาต้มน้ำแกงใส่ฟัก ให้รสหอมหวานซดคล่องคอ

โดยเจ้านี้จะต้มไก่วันละ 25-30 ตัวเท่านั้น แต่จะทยอยเอาออกมาเรื่อยๆ ทีละ 10 ตัว จึงไม่ต้องกลัวหมดอดกิน ไก่ที่ใช้เป็นไก่ตอนพันธุ์เนื้อ นุ่มอร่อย ถ้าไม่ชอบหนังก็บอกให้เอาออกได้ สนนราคา ข้าวมันไก่ ธรรมดาจานละ 50 บาท พิเศษ 60 บาท ไก่สับเปล่าๆ มีตั้งแต่ 100-150-200 บาท ข้าวมันเปล่าๆ ก็ถ้วยละ 12 บาท ถ้าติดใจอยากซื้อไก่ทั้งตัวกลับบ้านก็คิดกิโลกรัมละ 250 บาท

นอกจากไก่ตอนธรรมดายังมี ไก่ทอด ด้วย ถ้ารักพี่เสียดายน้องให้สั่ง ข้าวมันไก่ทูอินวัน (2-in-1) (60 บาท) ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับแชมพู แต่คือ ข้าวมันไก่ตอนผสมไก่ทอด นอกจากนี้ยังมีบะหมี่แห้งไก่ทอด (40 บาท) ก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำใส่หมูเด้ง (แนะนำให้สั่งบะหมี่หมูเด้ง) ก๋วยเตี๋ยวไก่ ส่วนเส้นมีให้เลือกครบทั้งบะหมี่ เกี้ยมอี๋ วุ้นเส้น เส้นหมี่ เส้นเล็ก เส้นใหญ่

ช่วงมาตรการเว้นระยะห่างนิวนอร์มอลนั้น ที่ร้านจัดให้ลูกค้าแต่ละโต๊ะนั่งหันหน้าเข้ากำแพงร้าน ถ้าอยากกินสบายๆ ก็ให้ซื้อกลับไปกินที่บ้าน ซึ่งตอนนี้ก็ยังมีคนมายืนออรอซื้อกลับกันอย่างหนาตาอยู่เช่นเดิม

ขอแจ้งว่าร้านข้าวมันไก่มงคลวัฒนาได้เปลี่ยนเวลาขายเป็นตั้งแต่ 7 โมงเช้าจนถึงบ่าย 3 โมง เท่านั้น และน้องออฟบอกว่าสำหรับ วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายนนี้ ร้านยังหยุดวันอาทิตย์เป็นครั้งสุดท้ายนะจ๊ะ อย่าเผลอไปเป็นอันขาด

ส่วนอาทิตย์หน้าจะเริ่มเปิดขายวันอาทิตย์ตามเดิมแล้ว โดยจะกลับมาหยุดขายทุก วันพฤหัสบดี และวันศุกร์สุดท้ายของเดือน เช่นเดิม

โทรสอบถามได้ที่ 09-0990-6973, 08-7107-3426 และ 08-1814-2605

คุณออฟ เจ้าของร้าน หลานคุณสมนึก
คุณออฟ เจ้าของร้าน หลานคุณสมนึก
ข้าวมันไก่มงคลวัฒนา

โดย คุณพัลลภ (ออฟ) อุ่นเพ็ญ

ที่ตั้ง 1895/8 ใกล้ปาก ซอยพหลโยธิน 37/1 ลาดยาว จตุจักร กรุงเทพฯ 10900

โทร 09-0990-6973, 08-7107-3426, 08-1814-2605

เปิดบริการ 07.00-15.00 น. ทุกวัน

วันหยุด วันพฤหัสบดีและวันศุกร์สุดท้ายของเดือน

แนะนำ ข้าวมันไก่ตอนและไก่ทอด

ไก่ทอด
นั่งหันหน้าเข้ากำแพง
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)

ขอทบทวนร้านอาหารเวียดนามอร่อยสะอาดถูกหลักอนามัย ที่ว่างเว้นไม่ได้ไปชิมมาตั้งหลายปี อยู่ใกล้ๆ กับมติชนแค่นี้เอง ร้านนี้มีชื่อว่า ญีญวน ครัวเวียดนาม

ช่วงเดือนเมษายนที่ปิ่นโตเถาเล็ก (และแฟนๆ ทุกท่าน) อยู่ที่บ้าน จึงถือโอกาสสั่งอาหารทั้งร้านเก่าร้านใหม่ ให้ดิลิเวอรีมาตลอดแทบทุกวัน หนึ่งในนั้นก็คือญีญวนของคุณอิ๋ว อุดหนุนกันมานานจนกลายเป็นเพื่อนไปโดยปริยาย หวังว่าตอนนี้ร้านอาหารคงเปิดให้ไปกินที่ร้าน (อย่างมีระยะห่างทางสังคม) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถ้ายังไม่ได้ก็สามารถสั่งผ่าน GRAB และ LINEMAN ได้เลย หรือโทรสั่งตามเบอร์ร้าน หรือสั่งและสอบถามที่ LINE ร้าน @yeeyuan และดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เฟซบุ๊ก ญีญวน ครัวเวียดนาม นะจ๊ะ

ร้านญีญวนมีอยู่ 2 สาขาเท่านั้น เปิดมานานเกือบ 20 ปีแล้ว ประสบความสำเร็จเสียจนมีคนตั้งชื่อร้านพ้องกันอีกหลายชื่อ เพราะฉะนั้นจำให้ดี ของแท้ที่ปิ่นโตเถาเล็กชื่นชอบต้องญีญวนนะจ๊ะ อย่างอื่นที่สะกดคล้ายกันหรือสลับคำคือคนละเจ้าของกัน

ญีญวน สาขาแรกอยู่ที่ ประชานิเวศน์ หรือ ประชาชื่น ที่นี่แต่งร้านง่ายๆ ไม่เน้นบรรยากาศ จากถนนวิภาวดีรังสิตขาออก เลี้ยวเข้าถนนเทศบาลสงเคราะห์ ผ่าน แยกวัดเสมียนนารี มาที่ สี่แยกตลาดบองมาร์เช่ แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนเทศบาลนิมิตเหนือ ผ่านท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ตไปเรื่อยๆ ตามทางโค้ง ถึงแยก สถานีตำรวจประชาชื่น เมื่อไหร่ให้เลี้ยวขวาที่แยก วิ่งผ่าน 7-11 เข้าไป แล้วจะเห็นร้านญีญวนอยู่ทางขวา

อีกสาขาหนึ่งอยู่ไกลหน่อยถึง บางบัวทอง จาก สี่แยกบางพลู ถนนรัตนาธิเบศร์ (สถานี MRT บางพลู) เลี้ยวเข้า ถนนบางกรวย-ไทรน้อย (3215) ไปอีก 1 กม.กว่าๆ ร้านญีญวนจะอยู่ทางขวามือ อยู่ก่อนถึงวัดเล่งเน่ยยี่ 2 หรือวัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ ประมาณ 4 กม.

คุณอิ๋ว วราลักษณ์ โชคพระสมบัติ เจ้าของร้าน พื้นเพเป็นคนหนองคาย อ.ศรีเชียงใหม่ เลยให้น้องชายไปเรียนวิธีทำหมูยอกับชาวเวียดนาม ตั้งแต่นั้นมาที่ร้านจึงทำของเองแทบทุกชนิด

รายการอาหารมีมากมายประมาณ 80 อย่าง พร้อมภาพประกอบมากมาย อยากได้อะไรชี้เอา อาหารยอดฮิตติดอันดับคือ แหนมเนือง (130 บาท) แถมผักแกล้มโถแรกฟรี (ถ้าขอผักเพิ่มคิดโถละ 20 บาท) ผักกาดหอมที่นี่คัดแต่ใบอ่อนๆ จากสวนผัก กินแล้วไม่ขม แหนมเนืองทำจากเนื้อหมูส่วนสะโพกนุ่มๆ เครื่องที่ใส่มีทั้งกล้วยดิบ กระเทียม มะม่วงดิบ พริกจินดา แตงร้าน กินกับขนมจีน ห่อด้วยผักต่างๆ รวมทั้งผักแพวที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ราดน้ำจิ้มสูตรของที่ร้านข้นๆ ถั่วลิสงคั่วเอง เลือกแต่ถั่วดีๆ มีคุณภาพ กินได้สนิทใจ

ที่กินแล้วหยุดไม่ได้คือ เส้นหมี่หมูย่าง (95 บาท) ใช้ส่วนคอหมูย่าง (เลาะมันออก) หมักตะไคร้หอมอร่อย เส้นหมี่เป็นเส้นของเวียดนามเหนียวหนึบดี

ส่วนใครชอบกินผักให้สั่ง สลัดเวียดนาม (140 บาท) ใส่ไก่ฉีก หมูยอ ไข่ต้ม น้ำราดเป็นน้ำสลัดน้ำข้น เปรี้ยว (ด้วยมะนาว) เค็มหวาน (น้ำตาลโตนดเมืองเพชร) ครบทุกรสหอมมาก มีเคล็ดลับเวลากินให้บีบมะนาวเพิ่มอีกต่างหาก

ให้ลองชิม หมูยอห่อใบตอง ทำเอง เด็ดเสียจนมีคนสั่งไปขายต่อด้วย มีทั้งหมูยอล้วนกับหมูยอผสมหนัง สั่งได้ทั้ง หมูยอลวก หรือ หมูยอทอด (85 บาท) ยำหมูยอ (100 บาท) รสจัดครบ 3 รส และต้องสั่ง ปากหม้อญวน (95 บาท) แป้งนุ่มหนึบละมุนลิ้นมากินคู่กับหมูยอด้วย

ยังมีเมนูอร่อยที่คุณอิ๋วคิดขึ้นมาเองและตั้งชื่อว่า ซาโมซ่าญีญวน (100 บาท) ลักษณะเป็นเปาะเปี๊ยะทอดผสมกุ้งกระเบื้อง ถ้าชอบกินไข่ก็มี ไข่กระทะเวียดนาม (100 บาท) กินคู่กับขนมปังเวียดนามที่ดัดแปลงจากบาแก็ตของฝรั่งเศส อย่าลืมเหยาะซอสพริกลงไปด้วย ของกินเล่นอีกจานคือ กุ้งพันอ้อย (100 บาท) จิ้มน้ำจิ้มสูตรพิเศษทำจากน้ำมะพร้าวอ่อนใส่แครอต

อาหารจานหนักๆ น่าลองหลายอย่าง ห้ามพลาด กวยจั๊บญวน (70 บาท) เส้นทำเอง (อีกแล้ว) เหมือนเส้นอูด้งของญี่ปุ่นแต่หนึบกว่า ใส่หมูยอและกระดูกหมูอ่อน อร่อยสะใจ

ข้าวผัดญีญวน (90 บาท) ก็หอมอร่อยใส่เครื่องหลากหลาย ทั้งกุ้ง หมึก หมูยอ กุนเชียง โรยหน้าด้วยหอมเจียว ส่วนของน้ำๆ ต้องสั่ง ฟองดูเวียดนาม ชุดละ 190 บาท คิดเมนูเองเช่นกัน ใส่เครื่องสารพัดทั้ง กล้วยดิบ กระเทียมสด สับปะรด ตะไคร้ เนื้อปลา กุ้ง หมึก สันในหมู และเส้นหมี่ จิ้มด้วยน้ำจิ้มแซ่บรสจัดจ้าน มีเคล็ดลับการลวกเส้นหมี่มาฝาก ให้จุ่มเส้นลงไปในน้ำเดือดแป๊บเดียวแล้วยกขึ้นเลย ถึงจะกินอร่อยนะจ๊ะ

เครื่องดื่มที่น่าลิ้มลองคือ น้ำกระเจี๊ยบ รสเข้มข้น ส่วนของหวานต้อง กล้วยหอมทอดราดน้ำผึ้งป่า คุณอิ๋วพูดหน้าตาเฉยว่าถ้าเลี้ยงผึ้งเองได้คงจะทำเองแล้ว

อาหารเวียดนามเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความอร่อยกับมีผักหลากหลาย ซึ่งถ้ายังไม่ให้เปิดร้านนั่งกินก็สามารถสั่งอาหารกลับกันได้ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 2 ทุ่ม ส่วนในยามปกติถ้าไม่มีเคอร์ฟิว ร้านญีญวนจะเปิดตั้งแต่ 11 โมงถึง 4 ทุ่มนะจ๊ะ

ข้อมูล

ญีญวน ครัวเวียดนาม

โดย คุณวราลักษณ์ โชคพระสมบัติ (คุณอิ๋ว)

ที่ตั้ง 1.บางบัวทอง

94/15 หมู่ 3 ถ.บางกรวย-ไทรน้อย ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี 11110

โทร 0-2920-4090

2.ประชานิเวศน์ (ประชาชื่น)

226 ถ.เทศบาลนิมิตเหนือ ลาดยาว จตุจักร กรุงเทพฯ 10900

โทร 0-2953-8117 ถึง 8

การสั่ง นอกจากโทรสั่งแล้ว สั่งผ่าน GRAB และ LINEMAN ได้ด้วย หรือจะสั่งและสอบถามได้ที่ LINE ร้าน @yeeyuan

เปิดบริการ สั่งดิลิเวอรี 09.00-20.00 น.ทุกวัน

แนะนำ แหนมเนือง หมูยอ (ลวก ทอด ยำ) เส้นหมี่หมูย่าง สลัดเวียดนาม ปากหม้อญวน กวยจั๊บญวน ซาโมซ่าญีญวน ขนมปังไข่กระทะ กุ้งพันอ้อย ฟองดูเวียดนาม ข้าวผัดญีญวน กล้วยหอมทอดราดน้ำผึ้ง

ที่มามติชนรายวัน ฉบับวันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2563, หน้า 20
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก

นอกจากร้านที่มีความสามารถปรับตัวเองตามสถานการณ์การแพร่ระบาด ด้วยการเปิดรับสั่งอาหารออนไลน์และจัดส่งอาหารโดยตรงถึงหน้าบ้านลูกค้าแล้ว ยังมีร้านอีกประเภทหนึ่งที่ฝีมือเยี่ยมยอด ทำกันในครอบครัว แต่ไม่มีกำลังเพียงพอที่จะจัดตั้งระบบดิลิเวอรีได้ ต้องรอให้ลูกค้าขาประจำซื้อกลับไปกินที่บ้านเอง สมควรแก่การร่วมด้วยช่วยกันไปซื้อถึงที่ร้าน ถือว่าเป็น การกินช่วยชาติ ช่วยร้านได้นะจ๊ะ

จึงขอแนะนำร้านเชลล์ชวนชิม ร้านโปรดของคุณชายถนัดศรี ร้านเก่าอร่อยเด็ดที่สมควรแก่การตามไปซื้อถึงที่กันสัก 2 เจ้า

เจ้าแรกคือ ร้านเจ๊ทู่ อันโด่งดังในย่านคลองเตย ตอนนี้เจ๊ทู่ได้ถอยมาตั้งหลักขายอยู่ที่บ้านตัวเองแห่งเดียว(เนื่องจากที่อื่นยังปิดอยู่) อยู่ในตึกแถวตรงตลาดคลองเตย เวลาจะมาซื้อ ให้ตรงมาที่ตลาดคลองเตย แต่ไม่ต้องเข้าตลาด เลยมาอีกนิดที่ ปากซอย 4 ถนนรัชดาภิเษก (อยู่ก่อนถึงห้าแยก ณ ระนองนิดเดียว) จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอย 4 ไปไม่กี่ร้อยเมตร ตึกแถวร้านเจ๊ทู่จะอยู่ทางขวามือก่อนถึงสี่แยกเล็กๆ นิดเดียว มีป้ายเชลล์ชวนชิมเจ๊ทู่เป็นจุดสังเกต ส่วนที่จอดรถนั้น พอจะถึงให้นัดแนะกับที่ร้าน พอไปถึงหน้าร้าน ก็จะมีคนพาไปหาที่จอดแถวนั้นให้

ในยามปกติเจ๊ทู่จะตั้งโต๊ะ 2 ตัวกางร่มริมถนนหน้าบ้านให้นั่งกินกันแต่เช้าตรู่ ขายข้าวแกงและขนมน้ำกะทิสารพัดอย่าง ซึ่งช่วงที่ยังไม่สามารถเปิดร้านได้ ก็จะวางของหน้าบ้านให้ซื้อกลับอย่างเดียวตั้งแต่ 7 โมงเช้าไปจนถึง 10 โมงเช้า ทุกวันจันทร์-ศุกร์

โดยช่วงนี้เจ๊ทู่ทำข้าวราดแกงและขนมต่างๆ เกือบ 10 อย่างหมุนเวียนเปลี่ยนไป จะกินอะไรก็เชิญตามสบาย แต่ห้ามลืม แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย เป็นอันขาด น้ำแกงเข้มข้นอร่อย ลูกชิ้นปลากรายหนึบเหนียวเด็ดสุดสุด แกงใส่ฟักตามสไตล์ข้าวแกงแบบไทย-จีน

ทีเด็ดอีกอย่างคือ บัวลอยเผือก ที่หอมมันเข้มข้น ใส่ทั้งเม็ดบัวและเนื้อมะพร้าวอ่อน ซื้อกลับบ้านแค่สองอย่างนี้ก็คุ้มแล้ว สนนราคาใส่ถุงกลับบ้าน 40-50-60 บาทแล้วแต่เมนูอาหาร (ช่วงปกติที่นั่งกินที่ร้านได้ จะขายข้าวราดแกง 1 อย่าง 40 บาท 2 อย่าง 50 บาท กับข้าวใส่ถ้วย 40-50 บาท)

ผมขอแนะวิธีที่สามารถเก็บบัวลอยไว้รับประทานได้นานๆ คือ เอาบัวลอยทั้งถุงใส่ช่องแช่แข็งเลย เวลาจะกินให้เอาออกจากตู้เย็น แล้วทิ้งไว้ให้ละลายเสียก่อนจึงจะนำไปอุ่น

หรือกินแบบเย็นๆ คล้ายกับไอศกรีมกะทิหวานเย็นก็อร่อยสุดยอดไปอีกแบบ

และช่วงนี้เจ๊ทู่กลับมาทำ บ๊ะจ่าง ด้วย เด็ดมากๆ (ลูกละ 70 บาท ถ้าไม่มีเผือก 65 บาท) อัดแน่นด้วยเครื่องสารพัด นอกจากนี้ยังมีเมนูประจำวัน ประกอบด้วยวันจันทร์และอังคารทำ ข้าวหมูแดง ข้าวหมูกรอบ วันพุธขาย ข้าวผัดอเมริกัน วันพฤหัสบดีมี ข้าวคลุกกะปิ ส่วนวันศุกร์เปลี่ยนเป็น ขนมจีนน้ำยาปลาช่อน (สนนราคา 40-50 บาท ยกเว้นข้าวผัดอเมริกัน 60 บาท)

ส่วนขนมนอกจากบัวลอยแล้ว เจ๊ทู่ยังทำข้าวเหนียวเปียกเผือก ข้าวเหนียวเปียกลำไย เต้าส่วน ข้าวฟ่าง ข้าวเหนียวทุเรียน กล้วยบวชชี ฟักทองแกงบวด ฯลฯ เปลี่ยนไปตามวันอีกต่างหาก

เจ๊ทู่ยังรับไปงานข้างนอกด้วย ตอนนี้ก็มีคนสั่งไปแจกจ่ายช่วยในงานทางการแพทย์อยู่ ส่วนช่วงเช้าถ้าแฟนๆ อยากตามไปซื้อ ให้โทรสอบถามได้ที่เบอร์ 09-0563-5615, 09-9235-4461, 09-4363-6165

 

กล้วยบวชชี
บัวลอยเผือก
บัวลอยเผือก

สถานการณ์กลับมาปกติเมื่อไหร่ เจ๊ทู่บอกว่าคงจะกลับไปขายที่ สวนเพลิน มาร์เก็ต ตรงข้ามอาคารมาลีนนท์ ริมถนนพระราม 4 ตั้งแต่ตอนสายยันเย็นเช่นเดิม

ตอนนี้แฟนๆ อย่างเพิ่งไปที่นั่นนะจ๊ะ เพราะยังไม่ทราบว่าจะเริ่มอีกเมื่อไหร่

มาว่ากันต่อกับอีกหนึ่งร้านโปรดของครอบครัวเราตลอดกาล ร้านเป็ดย่าง จิ๊บกี่ นางเลิ้ง อยู่ริม ถนนนครสวรรค์ ตรงข้ามตลาดนางเลิ้ง ในตึกแถว 3 คูหาแบบฝรั่งที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เปิดขายมานานร่วม 80 ปีตั้งแต่รุ่นก๋ง คุณชายถนัดศรีมาชิมเมื่อปี 2504 ตอนนั้นเป็ดย่างตัวละ 26 บาท ซึ่งนับว่าแพงกว่าที่อื่นซึ่งเขาขายกันตัวละ 22 บาทเท่านั้น เทียบกับปัจจุบันที่เป็ดย่างจิ๊บกี่ ราคาตัวละ 440 บาท ซึ่งนับว่ายังไม่แพงมากในยุคนี้ ผมชอบกินเป็ดย่างจิ๊บกี่มาตั้งแต่ยังพูดไม่ชัด นั่งเก้าอี้เท้ายังไม่ถึงพื้น

ตอนนี้จิ๊บกี่เปิดให้ซื้อกลับบ้านอย่างเดียว ไม่มีระบบการสั่งออนไลน์ และทำขายปริมาณน้อยลงกว่าปกติ ดังนั้นถ้าแฟนๆอยากลิ้มลองควรรีบไปซื้อตั้งแต่ยังเช้าอยู่โดยร้านจะเปิดตั้งแต่ 9 โมงเช้าไปจนถึงบ่าย 3 โมง แต่ไม่แนะนำให้ไปช่วงบ่ายนะจ๊ะเพราะของอาจจะหมดเสียก่อน

เมนูเด็ดย่อมต้องเป็น เป็ดย่างสไตล์กวางตุ้ง ที่นี่ย่างกันกี่ชั่วคนก็มีรสชาติเหมือนเดิม หนังพองพอประมาณ เนื้อค่อนข้างแห้งแต่นุ่มแบบเป็ดเสียโป หน้าตาไม่เหมือนเป็ดย่างทั่วไปในปัจจุบันที่หนังแดงๆ มีน้ำราดข้นๆ หวานๆ แต่เป็ดย่างจิ๊บกี่ หนังสีออกเข้มๆ และไม่กรอบมาก น้ำราดเป็ดค่อนข้างเหลวใส่เต้าเจี้ยวเยอะๆ ไม่หวานมาก ผมชอบขอน้ำราดเป็ดใส่ถ้วยมาอีกต่างหาก คลุกกับข้าวกินได้อร่อยยิ่งนัก น้ำจิ้มเป็ดเป็นน้ำจิ้มซีอิ๊วดำรสออกเปรี้ยวนิดๆ พริกชี้ฟ้าที่หั่นมาในถ้วยน้ำจิ้มมีความประสงค์ที่จะกินเป็นผักมากกว่าให้ความเผ็ด

มีขายหลายขนาด เช่น ขนาด 1 ใน 4 ตัว ราคา 110 บาท ครึ่งตัว 220 บาท ไปจนถึงซื้อทั้งตัว 440 บาท เมนูคู่เป็ดย่างที่สั่งกันแทบทุกโต๊ะคือ เป็ดตุ๋น (20 บาท) ที่ใส่โถมาขนาดพอดี 1 คนรับประทาน ไม่ใช่เป็ดตุ๋นแบบที่ใส่มะนาวดอง รสชาติกลมกล่อมซดคล่องคอ เผ็ดร้อนด้วยพริกไทยที่ใส่มาแบบไม่ยั้ง โรยหน้าด้วยผักชีหอมๆ ซึ่งต้องรีบซื้อเพราะช่วงนี้ทำไม่มาก จึงหมดเร็ว

ของอร่อยที่สุดคือ ไส้เป็ด (50 บาท) สีออกขาวนวล กรอบกรุบๆ (แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำเครื่องในอื่นๆ จำพวกกึ๋น ตับ หัวใจ) ถ้าใครไม่กินเป็ด ก็มี หมูแดงและหมูกรอบ (แต่เขาเรียกว่าหมูย่าง) (100 บาทอย่างต่ำ) ซึ่งหมูแดงเจ้านี้ไม่มีการเติมสีผสมอาหารใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าติดใจอยากซื้อกลับบ้านเยอะๆ เขาคิดกิโลละ 500 บาท

อย่ามัวรอช้าอยู่ไย รีบออกไปซื้อมากินที่บ้านกับครอบครัวได้เลย (แต่อย่าลืมว่าเจ๊ทู่หยุดเสาร์-อาทิตย์) รับรองว่าได้กินของอร่อย แถมช่วยชาติด้วยการช่วยร้านเล็กๆ เหล่านี้ได้อีกด้วยนะจ๊ะ

ร้านจิ๊บกี่

โดย คุณนิตยา แซ่หว่อง

ที่ตั้ง 355-359 ถนนนครสวรรค์ แขวงโสมนัส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ 10100

โทร 0-2281-1283

เปิดบริการ ช่วงนี้ซื้อกลับบ้านอย่างเดียว 09.00-15.00 น.ทุกวัน

หยุด สารทจีน ตรุษจีน

แนะนำ เป็ดย่าง เป็ดตุ๋น หมูแดง หมูย่าง ไส้เป็ด

06Jibkee-เป็ดย่าง

ร้านเจ๊ทู่

โดย คุณชาลิสา แซ่โง้ว(เจ๊ทู่)

ที่ตั้ง 63/20 ตลาดคลองเตย 2 ซอย 4 ถ.สุนทรโกษา เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110

โทร 09-0563-5615, 09-9235-4461, 09-4363-6165

เปิดบริการ ช่วงนี้ซื้อกลับอย่างเดียว 07.00-10.00 น. จันทร์-ศุกร์

หยุด เสาร์-อาทิตย์

แนะนำ แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย บัวลอยเผือก บ๊ะจ่าง และข้าวแกงกับขนมน้ำกะทิต่างๆ

เป็ดตุ๋น ร้านจิ๊บกี่
ไส้เป็ด ร้านจิ๊บกี่
หมูแดง หมูกรอบ(หมูย่าง) ร้านจิ๊บกี่
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก

ขณะที่ปิ่นโตเถาเล็กเขียนต้นฉบับอยู่นี้ ยังไม่ทราบว่าสถานการณ์และบรรยากาศของเมืองไทยตอนต้นเดือนพฤษภาคม จะดีขึ้นเพียงพอให้ร้านอาหารกลับมาเปิดใหม่แล้วหรือยัง แต่ไม่เป็นไร ร้านที่จะแนะนำในครั้งนี้ แฟนๆ สามารถสั่งดิลิเวอรีมาที่บ้านหรือบุกไปกินถึงร้านเลย ก็อร่อยเด็ดได้ไม่แตกต่างกัน

รายแรกเป็นร้านที่โด่งดังในโลกโซเชียลสังคมออนไลน์ มีชื่อว่าเฮียให้ ข้าวผัดปูเอกมัย ตั้งตามชื่อคุณพ่อเจ้าของร้าน ชื่อนี้เหมาะมากเพราะว่าจุดขายของร้านเฮียให้คือจะให้ปริมาณของทะเลจุใจจัดเต็มทุกเมนู สมกับการตั้งชื่อในทุกเมนูว่าโคตร เช่นข้าวผัดปูโคตรใหญ่

ความเป็นมาร้านนี้ เฮียให้หรือคุณพิทักษ์ เติมไพสิฐ บิดาของน้องเซิร์ฟ พฤทธิ์ เติมไพสิฐ เจ้าของร้าน มักจะทำข้าวผัดปูสูตรเด็ดประจำบ้านรวมทั้งอาหารทะเลอื่นๆ ให้ครอบครัวกินเป็นประจำ ตามแบบฉบับคนไทยเชื้อสายจีน น้องเซิร์ฟจึงถือโอกาสนำเมนูนี้มาเป็นจุดขายเสียเลย

ประกอบกับน้องเซิร์ฟได้มาเป็นเขยของร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาวโรชา (เต็ง) ร้านเชลล์ชวนชิมเจ้าเก่าริมถนนเอกมัย ใกล้สี่แยกเจริญใจ (ปากซอยเอกมัย 12) อีกด้วย ช่วงแรกจึงเปิดร้านบนชั้น 2 ของวโรชาเมื่อปลายปี 2560 โดยมีน้องออม นิสากร สุรเกษมสวัสดิ์ ผู้เป็นภรรยา ว่าการเป็นแม่ครัวเอกเอง

เปิดมาได้ 2 ปีกว่า บัดนี้ร้านเฮียให้ ข้าวผัดปูเอกมัยมีที่ทางของตนเองแล้ว แค่ย้ายมาอยู่ในตึกแถวริมถนนใกล้กัน ถัดไปแค่ 2 หลัง (บ้านเลขที่ 112/1) ระหว่างปากซอยเอกมัย 10 และเอกมัย 12 ผู้หลักผู้ใหญ่อากงอาม่าไม่ต้องเดินขึ้นบันไดแล้ว (ร้านนี้มี 2 ชั้น)

ช่วงที่ร้านยังเปิดให้เข้าไปนั่งรับประทานไม่ได้ จะมีผู้คนสั่งดิลิเวอรี อีกทั้งแวะมาซื้อด้วยตนเองกันล้นหลาม จึงขอบอกที่จอดรถไว้ด้วยเลย ให้จอดรถในลานจอดรถชื่อเวิ้งโบราณ ปากซอยเอกมัย 10 นำบัตรมาประทับตราที่ร้านได้ จากนั้นเดินเลี้ยวขวาริมถนนมาที่ร้าน หรือถ้าที่จอดรถเต็ม ให้ไปจอดรถที่ห้างดองกี้หรือดองกิ (Donki) ซอยทองหล่อ 10 ใกล้กันได้ แต่ต้องเสียค่าจอดรถเอง (รู้สึกว่าจอดชั่วโมงแรกฟรี)

แน่นอนว่าเมนูดังย่อมต้องเป็นข้าวผัดปูโคตรใหญ่ (990 บาท) กินได้ 4-6 คนเลย (ถ้ากินจุอย่างปิ่นโตเถาเล็กก็ได้ 4 คนเท่านั้น) ช่างเป็นข้าวผัดปูที่หอมกลิ่นผัดในกระทะมาก ใช้เนื้อก้อนกรรเชียงและส่วนก้าม ผัดกับข้าวหอมมะลิจากสุรินทร์ ให้ปูโปะหน้ามาเต็มทุกอณู ซึ่งถ้ากินแค่ 2 คน ให้สั่งข้าวผัดโคตรปู (340 บาท) และถ้าอยากได้ปูจุใจต้องสั่งเอ็กซ์ตร้าปู (440 บาท) เพิ่มเพียง 100 บาท ได้ปูมากขึ้นไปอีก

ต่อกันด้วยโคตรกั้งผัดพริกเกลือ (กับข้าว 380 บาท ถ้าราดข้าว 360 บาท) ซึ่งของทะเลสดๆ นั้นสั่งมาจากแพที่สุราษฎร์ฯของเพื่อนเฮียให้ ต้มกั้งบนเรือแล้วแกะเนื้อมาให้เลยเพราะหากต้มทีหลังเนื้อจะฝ่อ คนชอบกินกั้งจะสะใจมากได้เคี้ยวเนื้อเต็มคำ เมนูถัดมาคือโคตรหอยเชลล์ผัดกะเพรา (300 บาท) หอยเชลล์จากชลบุรีก็หวานสดเช่นกัน

ปิดท้ายด้วยกะหล่ำปลีทอดน้ำปลากากหมู ซึ่งจะแยกกากหมูมาให้เต็มถุงเล็กๆ (80 บาท) กากหมูเจียวคือผลพลอยได้จากร้านวโรชา เอามาโรยหน้าผัดกะหล่ำกรอบหอมมัน ส่วนเมนูอื่นๆ ให้สอบถามกันเอาเองเช่น แกงโคตรปูใบชะพลู (380 บาท)

ช่วงที่ยังนั่งกินที่ร้านไม่ได้ ร้านเฮียให้จะเปิดให้สั่งกลับบ้านช่วง 10 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น (หยุดเฉพาะวันจันทร์) ติดต่อสอบถามได้ทาง Line @herehai หรือโทร 06-3219-9100 (ถ้าสั่งปริมาณมากให้โทรสั่งที่ร้านโดยตรงและนัดเวลาไปรับ) หรือสั่งทาง LINEMAN กับ GET และ GRAB FOOD

เจ้าถัดมาเป็นภัตตาคารจีนมีชื่อว่าอัน อัน เหลา ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะย้ายมาจากอำเภอเบตง จังหวัดยะลา ซึ่งเป็นเมืองที่ในอดีตมีชาวจีนอพยพจากมณฑลต่างๆ อพยพมาตั้งรกรากอยู่เป็นจำนวนมาก ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2523 โดยเข้ามาเปิดร้านในกรุงเทพฯครั้งแรกที่ย่านทองหล่อ ปัจจุบันย้ายมาอยู่ที่ ซ.สุขุมวิท 26 เยื้องๆ กับ K-Village

อัน อัน เหลาจึงมีเมนูอาหารที่มีการผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างชาวจีนและชาวเบตงดั้งเดิม ดังนั้นแฟนๆ จึงควรสั่งเมนูเบตงมากินที่บ้านด้วย นั่นก็คือไก่เบตง (250 บาท) ไก่พันธุ์พื้นเมืองหนังบางกรุบๆ เนื้อแน่นแต่นุ่มสุดสุด ต้มและราดซีอิ๊วกับกระเทียมเจียว จิ้มน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวและขิงสูตรเด็ดของอัน อัน เหลา

อีกทั้งเป็นโอกาสอันดีที่จะได้สั่งเป็ดปักกิ่ง (449 บาท) มาที่บ้าน รับมาแล้วควรรีบกินทันที รองด้วยแผ่นแป้งโรตีโฮมเมด ส่วนเนื้อเป็ดจะนำไปทอดกระเทียม ทำเมี่ยง ผัดเต้าซี่ก็ได้ ซึ่งปิ่นโตเถาเล็กสั่งให้ผัดพริกเกลือ ผัดแห้งๆ ไม่อมน้ำมัน

ข้าวผัดปูโคตรใหญ่
โคตรกั้งผัดพริกเกลือ
กะหล่ำปลีทอดน้ำปลากากหมู

ที่ห้ามพลาดเป็นอันขาดคือหัวปลาผัดเผ็ด (300 บาท) กินแล้วหายคิดถึงอาหารปักษ์ใต้ ได้แทะเนื้อหัวปลาที่มันๆ อร่อยมาก เพราะที่ร้านเลือกใช้ปลากะพงทะเลตัวใหญ่ 7-8 กิโล/ตัว ใช้เฉพาะส่วนหัวและพุงปลามาผัดกับเครื่องแกงสูตรปักษ์ใต้แท้ๆ จากบ้านเจ้าของร้าน ตำเครื่องแกงสดๆ เดี๋ยวนั้น นอกจากนี้ยังมีใบเหลียงผัดกุ้งเสียบ (150 บาท) จากภูเก็ตคู่กันด้วย

ถ้าอยากกินอาหารจานเดียวอิ่มให้สั่งข้าวอบหนำเลี้ยบ (150 บาท) แกล้มด้วยเม็ดมะม่วง มะนาวและพริกขี้หนูซอย นอกจากนี้ยังมีปลากะพงทอดราดน้ำปลา (500 บาท) อีกด้วย

ร้านอัน อัน เหลา ช่วงนี้สั่งอาหารได้ทาง line @ananlao หรือโทรสอบถาม 0-2261-8188-9 ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 2 ทุ่ม ทุกวัน

ปิ่นโตเถาเล็กยังมีร้านดีๆ มาให้แฟนๆ เชยชมทั้งเจ้าเล็กเจ้าใหญ่อีกมาก โปรดอดใจรอ อีกอาทิตย์เดียวเท่านั้นนะจ๊ะ

โคตรหอยเชลล์ผัดกะเพรา

ข้อมูลร้าน

เฮียให้ ข้าวผัดปูเอกมัย

โดย คุณพฤทธิ์ (น้องเซิร์ฟ) เติมไพสิฐ

ที่ตั้ง 112/1 ถ.สุขุมวิท 63 (เอกมัย )ระหว่างซอยเอกมัย 10-12 คลองตันเหนือ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110

โทร 06-3219-9100 (สั่งเยอะ โทรโดยตรงแล้วไปรับที่ร้านได้เลย)

ติดต่อสอบถามได้ทาง Line @herehai

หรือสั่งทาง LINEMAN,GET, GRAB FOOD

เปิดบริการ 10.00 – 18.00 น.(ช่วงนี้ซื้อกลับบ้านอย่างเดียว) อังคาร-อาทิตย์

และถ้าเปิดขายนั่งที่ร้านได้เมื่อไหร่ ศุกร์-เสาร์ เปิดถึง 21.00 น.

หยุด จันทร์

แนะนำ ข้าวผัดปูโคตรใหญ่ ข้าวผัดโคตรปู เอ็กซ์ตร้าปู โคตรกั้งผัดพริกเกลือ โคตรหอยเชลล์ผัดกะเพรา กะหล่ำปลีทอดน้ำปลากากหมู

อัน อัน เหลา

โดย คุณรุ่งนภา จงศุจิพันธุ์

ที่ตั้ง 122 ซ.สุขุมวิท 26 คลองตัน คลองเตย กรุงเทพฯ 10110

โทร 0-2261-8188-9

หรือสั่งอาหารได้ทาง line @ananlao

เปิดบริการ 09.00 – 20.00 น. ทุกวัน(ช่วงนี้ซื้อกลับบ้านอย่างเดียว)

ช่วงปกติ ร้านจะเปิด 10.00 – 22.00 น.

แนะนำ ไก่เบตง เป็ดปักกิ่ง หัวปลาผัดเผ็ด ใบเหลียงผัดกุ้งเสียบ ข้าวอบหนำเลี้ยบ ปลากะพงทอดราดน้ำปลา

ดูข้อมูลได้ที่ www.ananlao.com

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2563, หน้า 20.
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
ข้าวผัดหนำเลี๊ยบ ใบเหลียงผัดไข่ใส่กุ้งเสียบ และหัวปลาผัดเผ็ด
อัน อัน เหลา