มีตำนานเรื่องเล่าแต่เก่าก่อนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารหลายอย่างในโลกนี้ที่ประสบความสำเร็จโดยความบังเอิญ เช่นมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบหรือชิปส์ (Chips) เกิดขึ้นจากพ่อครัวชาวอเมริกันโดนลูกค้าบ่นว่ามันฝรั่งทอดชิ้นหนาเกินไป เลยเปลี่ยนเป็นแผ่นบางๆ นำไปทอดและเหยาะเกลือเพิ่มแทน หรือเครื่องดื่มยอดนิยมโคคา-โคลา (โค้ก) ที่คิดค้นโดยนักปรุงยาในร้านขายยาแทนที่จะเป็นร้านอาหาร

ของดีที่เชียงใหม่ก็เช่นกัน มีครัวซองต์แสนอร่อยเกิดขึ้นจากกรรมวิธีการพับแป้งที่ผิดรูปแบบ แต่กลายเป็นความผิดพลาดที่ดี นี่คือที่มาของร้านครัวซองต์พรูฟ (Proof) คิวยาว เปิดมาเพียง 10 เดือนแต่ได้กลายเป็นร้านดังประจำจังหวัดไปแล้ว

เจ้าของร้านพรูฟคือน้องฝน พรทิพย์ รัตนปัญญา สาวเชียงใหม่ที่จบมาทางด้านการออกแบบภายใน ทำร่วมกับสามีหนุ่มชื่อน้องโอ๊ต วิชชา แซ่ตั้ง

น้องฝนเริ่มต้นจากทำร้านกาแฟกับขนมบิงซูอยู่ที่ร้านส้มตำชื่อดังในเชียงใหม่ Hello So lao ซึ่งเป็นร้านของครอบครัว จากนั้นมาเปิดร้านไก่ทอดเกาหลี Seoul Mind ที่ย่านศิริมังคลาจารย์

ช่วงที่ไปฮันนีมูนที่เกาหลี น้องฝนเกิดแรงบันดาลใจอยากทำร้านขนมอบเหมือน Cafe Onion และที่ถูกใจฝนมากคือร้านครัวซองต์สารพัดไส้คาวหวาน Lune ที่เมืองเมลเบิร์น ออสเตรเลีย เลยกลับมาทำร้าน พรูฟ (Proof) เป็นของตัวเอง

ตอนต้นปี 2563 น้องฝนมีเชฟชื่อดังเป็นที่ปรึกษา อีกทั้งเรียนรู้จาก YouTube กับมีเพื่อนให้สูตรจากเชฟฝรั่ง ฝึกปรือการทำครัวซองต์อยู่นานถึง 2 เดือน ในที่สุดก็ค้นพบเทคนิคการพับแป้งครัวซองต์ของตัวเองจากความผิดพลาดที่กลายเป็นสิ่งที่ดีไป จึงนำครัวซองต์มาขายในร้านไก่ทอดที่ศิริมังคลาจารย์ มีเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม มาบัดนี้ได้ขยับขยายไปเปิดร้านใหม่ใหญ่โตในซอยหลังวัดอุโมงค์เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมานี้เอง

ทางไปร้านใหม่นั้นให้เข้าซอยบ้านร่ำเปิงหลังวัดอุโมงค์ จากถนนเลียบคันคลองชลประทาน เลี้ยวลัดเลาะไปตามทาง(เปิดกูเกิ้ลแมพส์ดีที่สุด) ประมาณ 500 เมตรแล้วเลี้ยวเข้าซอย 1 กาแล (มีป้ายร้าน Proof) ผ่านอพาร์ตเมนต์ For-rest Hill 2 ก็จะเห็นร้าน Proof ทางขวามือในอาคารสีขาวทันสมัยสวยงาม มีที่จอดรถกว้างขวาง ข้างในโอ่โถง มีมุมถ่ายรูปเก๋ๆมากมาย ตกแต่งร้านด้วยต้นมะกอก ส่วนด้านหลังมีห้องอบ ห้องนวดแป้ง

ควรมารับบัตรคิวตั้งแต่ 9 โมงครึ่ง แล้วเข้าไปนั่งรอเวลาร้านเปิดตอน 10 โมงเช้าได้เลย โดยแต่ละคิวจะซื้อได้คนละ 6 ชิ้น ช่วงนี้รับแค่วันละไม่เกิน 100 คิวเท่านั้น(บางวัน 60 คิว) เนื่องจากแป้งและเนยขาดตลาดจากปรากฏการณ์บ้าครัวซองต์ทั้งประเทศ

พอร้านเปิดก็จะให้ผู้คนไปยืนสั่งตามคิว ซึ่งคิวจะเดินไวไม่ชักช้าเลย โดยมากขนมจะหมดไม่เกินตอนเที่ยง และที่นี่ไม่มีบริการโทรสั่งจองล่วงหน้านะจ๊ะ

ครัวซองต์ของร้าน Proof มีจุดเด่นคือมีถึง 17 ชั้น (Layers) เข้าชั้นเนยได้เป๊ะ พอหั่นแล้วเห็นเป็นโพรงรังผึ้งหรือ Honeycomb โปร่งๆสวยงามสม่ำเสมอ นอกจากมีเทคนิคการพับแป้งที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังพับแป้งในอุณหภูมิต่ำมากๆ หมั่นเอาเข้าตู้เย็นแล้วนำมาพับต่อ ซึ่งการอบครัวซองต์นั้นจะใช้เวลานาน 17 นาที

ที่นี่มีทั้งครัวซองต์แบบดั้งเดิมและครัวซองต์แฟนซีไส้คาวและหวานอีกมากมาย รวมกันแล้วถึง 12 รสชาติ ซึ่งที่ผมชื่นชอบมากคือครัวซองต์ไส้คาว คาโบนารา(Carbonara)(110 บาท) ไส้เบคอน แฮม ผสมกับซอสซาบายอน(Sabayon)ของฝรั่งเศสที่ทำจากไข่แดง ปรุงด้วยกระเทียม หอมหัวใหญ่ และพาร์สลีย์(Parsley)หอมๆ กินเป็นอาหารเช้าร้อนๆได้เลย และครัวซองต์รสอัลมอนด์(95 บาท)ได้เคี้ยวอัลมอนด์กรอบๆหวานหอม ด้านในมีอัลมอนด์ครีม มีกลิ่นวานิลลาแท้ๆด้วย

16PROOF-ครัวซองต์รสช็อกโกแลตมูสและรสเลมอน-เมอแรงก์Lemon-Meringue-

โดยรสชาติที่มีไส้น่าลิ้มลองอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นครัวซองต์รสไข่เค็ม(110 บาท) รสช็อกโกแลตมูส(125 บาท)ตกแต่งด้านบนสวยงามมาก ใช้ช็อกโกแลตนำเข้าจากเบลเยียม รสเลมอน เมอแรงก์ (Lemon Meringue)(130 บาท) ซึ่งมีกรรมวิธีทำหลายขั้นตอน เช่นต้องต้มเลมอนแช่ในน้ำเชื่อมให้หายขม อบอุณหภูมิต่ำและจุ่มในเมอแรงก์ พ่นไฟเล็กน้อย และที่มีกลิ่นอายญี่ปุ่นคือรสมัทฉะไวท์ช็อกโกแลต (Matcha White Chocolate) (135 บาท) ใช้มัทฉะจากจังหวัดคาโกชิมะ อีกทั้งแบบฝรั่งเศส รสทรัฟเฟิลดำ (Black Truffle)(135 บาท) ใส่เห็ดหอมและมีกลิ่นหอมของน้ำมันทรัฟเฟิลเหยาะหน้า โรยด้วยใบไทม์เล็กๆ นอกจากนี้ ก็มีรสแฮมชีส (135 บาท) รสราสพ์เบอรี่ (125 บาท) สีแดงสวย

ถ้าชอบถั่วๆ ยังมีครัวซองต์รสพีแคนคาราเมล (Pecan Caramel) (90 บาท) และแน่นอนว่าต้องมีแบบปกติไม่มีไส้หรือครัวซองต์แบบ Plain (75 บาท) ด้วย และมีรสชาติสุดท้าย หน้าตาคนละแบบกับครัวซองต์ ทำเป็นรูปทรงกลมเหมือนพุดดิ้ง คือมังกี้เบรด (Monkey Bread) (65 บาท) ฉ่ำเนย ซึ่งทำจากแป้งส่วนที่เหลือจากการทำครัวซองต์ ใส่น้ำตาลทรายแดง ซินนามอน และเกลือเล็กน้อย

สำหรับผู้ที่ซื้อครัวซองต์กลับบ้าน ให้นำไปอบเพิ่มนาน 4-5 นาทีที่ 170 องศาเซลเซียส โดยเก็บไว้ได้นาน 4 วันในตู้เย็น

เครื่องดื่มต่างๆ ก็ดูดีไม่น้อยหน้ากัน มีตั้งแต่ Silky blossoms (130 บาท) เป็นเครื่องดื่มเย็นทำจากเอสเปรสโซผสมเก๊กฮวย Orange blissful (130 บาท) เอสเปรสโซหอมกลิ่นส้ม และซอลท์ตี้โกโก้ (Salty cocoa) (120 บาท) เครื่องดื่มเอสเปรสโซกับช็อกโกแลต เพิ่มรสเค็มๆ หอมๆ ด้วย sea salt

ร้านพรูฟเปิดบริการตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมง หยุดทุกวันพุธ ขอย้ำว่าส่วนใหญ่ครัวซองต์จะขายหมดก่อนเที่ยงทุกวันนะจ๊ะ โทรสอบถามได้ที่ 09-9497-6993

มีข่าวดีมาฝาก น้องฝนบอกว่ากำลังจะมีโครงการส่งครัวซองต์ข้ามจังหวัดเพิ่มอีกด้วย ต่อไปชาวกรุงเทพฯและจังหวัดอื่นๆ คงได้ลิ้มลองที่บ้านได้แล้วนะจ๊ะ

 

ข้อมูล

Proof (พรูฟ)

โดย คุณพรทิพย์(ฝน)รัตนปัญญา และคุณวิชชา(โอ๊ต) แซ่ตั้ง

ที่ตั้ง 207 ซ.กาแล 1 ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50200

โทร 09-9497-6993

เปิดบริการ 10.00-15.00 น. พฤหัสบดี-อังคาร

หยุด พุธ

แนะนำ ครัวซองต์รสชาติต่างๆ คาโบนารา อัลมอนด์ ไข่เค็ม ช็อกโกแลตมูส เลมอน เมอแรงก์ มัทฉะไวท์ช็อกโกแลต แบล็คทรัฟเฟิล แฮมชีส ราสพ์เบอร์รี่ พีแคนคาราเมล ครัวซองต์แบบ Plain และมังกี้เบรด (Monkey Bread)

06PROOF

ที่มา : คอลัมน์ตามรอยพ่อไปชิม มติชน

คอลัมน์ ตามรอยพ่อไปชิม : ส้มตำเจ๊โส โดยปิ่นโตเถาเล็ก

ย่านสีลม ศาลาแดง สาทรคือแหล่งรวมของมนุษย์ทำงาน จะคึกคักเป็นพิเศษในช่วงวันจันทร์-ศุกร์ จึงมีร้านอาหารเจ้าเล็กเจ้าน้อยตามมาเปิดขายอยู่ทั่วทุกตรอกซอกซอย

แน่นอนว่าอาหารประจำชาติที่สาวๆ ปากแดงหน้าตาจิ้มลิ้มชื่นชอบเป็นพิเศษย่อมต้องเป็นส้มตำ ไก่ย่าง คราวนี้จึงขอแนะนำร้านอาหารอีสานแท้ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยเล็กๆ ชื่อว่าซอยพิพัฒน์ 2 ขึ้นชื่อเรื่องความแซ่บ โด่งดังขนาดที่ว่าอยู่ในทำเลซอยรองด้านหลัง แต่ก็ยังมีผู้คนรู้จักไปเข้าคิวอุดหนุนจนแน่นขนัด ร้านนี้มีชื่อว่าส้มตำเจ๊โส

ช่วงที่เน้นการเวิร์กฟรอมโฮม ทำงานอยู่ที่บ้านแบบนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่ปิ่นโตเถาเล็กจะตามไปชิมร้านนี้ แต่ก็ไม่ประมาทรีบไปตั้งแต่ตอนเปิดร้านประมาณ 10 โมงครึ่งเพราะถึงอย่างไรตอนเที่ยงก็มีหนุ่มสาวมาอุดหนุนกันเต็มทุกโต๊ะ แม้กระทั่งฝรั่งมังค่าที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยมานานก็ยังมาที่ร้านนี้ด้วย

เจ๊โส หรือคุณโสภา หอกคำ ในวัย 55 ปี มีพื้นเพเป็นคนยโสธร จากอำเภอคำเขื่อนแก้ว เคยทำงานอยู่บริษัทยา หลังจากช่วงฟองสบู่แตก จึงออกมาทำร้านรถเข็นเล็กๆ ขายส้มตำ ก่อนขยับขยายกลายเป็นร้านอาหารอีสานชั้นเดียว 1 คูหา เปิดมานานกว่า 15 ปีแล้ว ในช่วงที่ยังไม่มีสถานการณ์โควิดถึงขนาดต้องเช่าบ้านข้างๆ ตั้งโต๊ะเพิ่มอีกด้วย (ตอนนี้ทำแค่ห้องเดียวไปก่อน)

ร้านนี้ทำกันในครอบครัว เจ๊โสเป็นมือตำส้มตำ มีพี่สาวเจ๊โสทำลาบน้ำตก ส่วนสามีเจ๊โสประจำสถานีปิ้งย่าง ส่วนหลานๆเป็นคนเสิร์ฟ

ถ้าใครนำรถมาขอบอกว่าที่จอดในซอยหน้าร้านนั้นน้อยมาก ทางที่ดีให้ไปจอดตามตึกต่างๆ ริมถนนสีลมบริเวณปากซอยคอนแวนต์จนถึงปากซอยสีลม 3 หรือมารถไฟฟ้าสถานีศาลาแดงดีที่สุด

แต่ถ้าให้รถมาส่งถึงหน้าร้าน ให้มาจากถนนสีลม (หรือเข้าจากสาทรก็ได้) เลี้ยวซ้ายเข้าถนนคอนแวนต์ พอเห็นโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ทางด้านซ้าย ให้เลี้ยวขวาเข้าซอยพิพัฒน์ 2 ซึ่งเป็นเส้นวันเวย์ไปออกซอยสีลม 3 ร้านส้มตำเจ๊โสจะอยู่ราวกลางซอยทางด้านขวามือ มีป้ายชื่อร้านเล็กๆ อยู่เวลามาร้านนี้ มีขั้นตอนการสั่งทั้งคนที่ซื้อกลับบ้านและคนนั่งกินที่ร้าน คือให้เขียนสั่งในเมนูกระดาษฉีกหน้าร้านให้เรียบร้อย บอกจำนวนที่ต้องการในแต่ละเมนู บอกเบอร์โต๊ะ (กรณีกินที่ร้าน) และที่สำคัญให้เขียนชื่อเล่นของเราลงไปด้วย เพราะที่นี่ในยามคนแน่นตอนใกล้เที่ยง จะใช้ระบบบริการตัวเอง รอเงี่ยหูฟังขานชื่อ แล้วเดินมารับอาหารเอง เห็นน้องๆ ที่มาอุดหนุนช่วยกันหยิบจานชามน้ำแข็งเครื่องดื่มกันเองอย่างคุ้นเคยอีกด้วย

เจ๊โสบอกว่าร้านนี้ทำพริกป่น ข้าวคั่ว ดองปูจืด (ต้มน้ำเกลือใส่ตะไคร้) และต้มปลาร้าเอง วัตถุดิบดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เมนูดังที่มาแล้วห้ามพลาดเป็นอันขาด เริ่มจากปีกไก่ย่าง (ไม้ละ 20 บาท) สะโพกไก่ย่าง(70 บาท) หรือจะสั่งไก่ย่างทั้งตัวก็ได้ (200 บาท) ช่างเป็นไก่ย่างที่หอมอร่อยมาก ยิ่งถ้าสั่งเป็นสะโพกไก่ย่างจะหนังกรอบนอกเนื้อนุ่มในจริงๆ โดยเจ๊โสจะหมักกับกระเทียม พริกไทย ซอสปรุงรส น้ำตาล น้ำมันหอย นมข้นจืด (เจ๊โสบอกว่าคือเคล็ดลับความกรอบนอกนุ่มใน) โดยจะหมักไม่เกินชั่วโมงเพื่อไม่ให้เค็มเข้าเนื้อจนเกินไป ระหว่างรออาหารให้นั่งดูสามีเจ๊โสย่างไก่เพลินๆ ไปก่อน มีเตาถ่านตั้งเรียงรายถึง 5 เตา

นอกจากนี้ ของย่างที่อร่อยจนฝันถึงก็คือปลาดุกย่าง (ตัวละ 50 บาท) ที่หอมอร่อยเป็นอันมาก ไม่มีกลิ่นคาวเลย กรรมวิธีทำจะยัดไส้ปลาดุกด้วยตะไคร้ ใบมะกรูด กระเทียม พริกไทย ปรุงด้วยซอสปรุงรส ส่วนคอหมูย่าง (65 บาท) ก็ต้องลองชิมให้จงได้ หมักแบบเดียวกับไก่ย่างแต่ไม่ใส่กระเทียมพริกไทย แต่ช่วงเน้นทำงานที่บ้านนี้คนยังน้อยเลย เจ๊โสบอกว่าเลยงดทำเมนูปลานิลเผาไปก่อน

ต่อกันด้วยส้มตำฝีมือเจ๊โส ห้ามพลาดตำปูปลาร้า (50 บาท) ใส่น้ำปลาร้ารสนัวกลมกล่อมมาก โรยหน้าด้วยเม็ดกระถินจัดเต็ม เจ๊โสบอกว่าตอนนี้ส้มตำที่มาแรงคือตำไหลบัวกรอบๆ (70-80 บาท) จะสั่งเป็นตำไหลบัวกุ้งสดก็ได้ (100 บาท) และยังมีตำป่า (70 บาท) ใส่หน่อไม้ หอยเชอรี่ ผักชีฝรั่ง ปูนาดอง และเม็ดกระถิน

ถ้าชอบตำผลไม้ให้สั่งตำข้าวโพด (70 บาท) ใส่องุ่นกับมะเขือเทศราชินี ตำอื่นๆ มีมากมายเช่น ตำไทย ตำไทยไข่เค็ม ตำปลากรอบ ตำโคราช ตำซั่วตำหมูยอ ตำแตง ตำถั่ว ตำหอยดอง ตำทะเล เป็นต้น

ลาบเป็ด (70 บาท) ฝีมือพี่สาวเจ๊โสก็สุดยอด ห้ามพลาดเช่นกัน ใส่ทั้งหนังเป็ดติดมันนิดๆ นุ่มชุ่มฉ่ำ อร่อยจนต้องสั่งเพิ่มอีกจาน ส่วนตับหวาน (หมู) ก็สดนุ่ม (65 บาท) แซ่บอีหลี เมนูอื่นๆ มีอีกหลากหลาย เช่น ซุปหน่อไม้ (45 บาท) น้ำตกหมู (65 บาท) น้ำตกคอหมู (70 บาท) ต้มแซ่บกระดูกหมู (65 บาท) ตอนนี้ไม่มีเมนูอ่ออมแล้วเพราะการทำจุกจิก ทำไม่ทันช่วงคนแน่น

ร้านส้มตำเจ๊โสเปิดบริการตั้งแต่ 10 โมงครึ่งจนถึงบ่าย 5 โมงครึ่ง หยุดทุกวันอาทิตย์ โทร 08-5999-4225 นอกจากนี้ ยังมีลูกชายทำร้านสาขาสองใช้ชื่อว่า ตั้มแซ่บซ่า อยู่แถววัดบางสะแกใน ตรงข้ามเดอะมอลล์ท่าพระอีกด้วย ใครสนใจอยากสั่งไปออกร้านนอกสถานที่ เจ๊โสรับออกงานในวันเสาร์-อาทิตย์ด้วยนะจ๊ะ

ข้อมูลร้าน

ส้มตำเจ๊โส

โดย คุณโสภา หอกคำ

ที่ตั้ง 146 ซอยพิพัฒน์ 2 ถ.สีลม สีลม บางรัก กรุงเทพฯ 10500

โทร 08-5999-4225

เปิดบริการ 10.30-17.30 น. จันทร์-เสาร์

หยุด อาทิตย์

แนะนำ ปีกไก่ย่าง สะโพกไก่ย่าง ปลาดุกย่าง คอหมูย่าง ตำปูปลาร้า ตำไหลบัว ตำข้าวโพด ลาบเป็ด ตับหวาน

Facebook ส้มตำเจ๊โส

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์, มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564, หน้า 14
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
ข้าวเนื้อเนื้อ

ใครที่มองหาร้านกาแฟสไตล์ออสซี่ ซึ่งมีกาแฟพิเศษสเปเชียลตี้หลากหลาย รวมถึงเมนูบรันช์กลิ่นอายออสเตรเลียน ให้มาที่ร้านบลูแทมป์คาเฟ่ (Bluetamp Cafe) ในซอยประดิษฐ์มนูธรรม 9

ทางมาร้านนี้จากถนนลาดพร้าวขาออก พอเลี้ยวซ้ายเข้าถนนประดิษฐ์มนูธรรม ที่เรียกกันติดปากว่าถนนเลียบด่วนเอกมัย-รามอินทราแล้ว ให้ชิดซ้ายทันทีเพื่อเลี้ยวซ้ายเข้าซอยประดิษฐ์มนูธรรม 9 ซึ่งเป็นเส้นวันเวย์ ก็จะเห็นร้าน Bluetamp Cafe ทันทีอยู่ทางด้านขวามือ จอดรถริมซอยฝั่งขวาได้เลย

อีกด้านของ Bluetamp Cafe จะอยู่ติดกับถนนใหญ่ มีต้นไม้ด้านนอกรอบร้าน และมีโต๊ะกับเก้าอี้ไม้เล็กๆ อยู่ใต้ร่มไม้ให้นั่งทั้ง 2 ฝั่ง ตัวร้านยกพื้นสูง ติดกระจกใสกรุด้วยไม้โดยรอบ ให้อารมณ์เหมือนนั่งอยู่ในสวน

 

เจ้าของร้านนี้คือน้องตูน หรือฉัฏฐ์ ธนพลอยพงศ์ ผู้มีประสบการณ์ในร้านกาแฟที่นครซิดนีย์ประเทศออสเตรเลียนานถึง 8 ปี ทั้งที่ร้านแคมโปส (Campos) ซึ่งเริ่มไต่เต้าตั้งแต่เป็นคนล้างจาน และเรียนรู้เรื่องการชงกาแฟที่ร้าน Cross Citi กับการทำอาหารเช้าที่ร้าน Bluestone

ในที่สุดจึงกลับมาเปิดร้านกาแฟเล็กๆ กับแฟนเมื่อปี 2557 ในคาร์แคร์ย่านลาดพร้าว-วังหิน จากนั้นย้ายร้านมารวมอยู่ในซอยประดิษฐ์มนูธรรม 9 เมื่อ พ.ศ.2559

น้องตูนตั้งใจทำร้านดีๆ ให้คอกาแฟได้ชิมกาแฟชั้นดี โดยเน้นกาแฟเอสเปรสโซเป็นหลัก ทั้งกาแฟใส่นม กาแฟดำ ทั้งร้อนและเย็น จะไม่มีกาแฟอื่นๆ เช่นกาแฟดริป ซึ่งมีเมล็ดกาแฟอาราบิก้า 100% ซิกเนเจอร์ให้เลือกหลักๆ อยู่ 6-7 ตัว มีทั้งประเภท Single Origin จากแหล่งเพาะปลูกเดียว และชนิดเบลนด์ผสม อีกทั้งเมล็ดกาแฟพิเศษ เช่น จากออสเตรเลียและจากโรงคั่วพิเศษในเมืองไทย ให้สอบถามบาริสต้าได้เลยว่าตอนนี้มีอะไรใหม่ๆ บ้าง มีทั้งชนิดคั่วกลาง คั่วกลางค่อนเข้ม คั่วกลางเกือบอ่อน

ตอนนี้ตัวหลักของที่ร้านคือ เมล็ดกาแฟอาราบิก้าขึ้นชื่อจากดอยภูคา จังหวัดน่าน โดยใช้วิธีการเหมาไร่ของคุณประชา ปีหนึ่งๆ ได้ผลเชอร์รี่ 2 ตัน ซึ่งทำเมล็ดกาแฟคั่วได้ 200-300 กิโลกรัม เป็นโปรเซสแบบ Semi-washed ได้คาแร็กเตอร์เฉพาะตัวของกาแฟชนิดนี้ กลิ่นรสช็อกโกแลตและคาราเมล จบปลายด้วยผลไม้เมลอน ลิ้นจี่

ส่วนเบลนด์ซิกเนเจอร์ประจำร้านที่น่าลิ้มลองมีชื่อว่า Balanced Blend ประกอบด้วย เมล็ดกาแฟบราซิล เอธิโอเปีย และโคลอมเบีย ซึ่งน้องตูนบอกว่าคือเบลนด์ที่ตูนประทับใจสมัยทำงานอยู่ที่ร้านแคมโปสในซิดนีย์

น้องตูน-ฉัฏฐ์ ธนพลอยพงศ์
กาแฟ Dirty เลือกเมล็ดกาแฟบรูโช่เบลนด์Brucho Blend
กาแฟ Three Angel สามแก้วเล็ก

มาแล้วสั่งเมนูกาแฟได้ครบทั้ง Short Black หรือคือเอสเปรสโซ และ Long Black ซึ่งคล้ายกับอเมริกาโน่ มีวิธีการชงโดยจะเติมน้ำก่อน และกดช็อตกาแฟลงไปตาม จะได้กาแฟที่หอมขึ้นจมูกมากกว่า อีกทั้งเมนู Piccolo Latte แก้วเล็กๆ Flat White ลาเต้ คาปูชิโน และกาแฟอื่นที่มีเบสเป็นเอสเปรสโซก็มีให้เลือกตรบครัน ส่วนกาแฟเย็นก็มีทั้ง Iced Long Black หรืออเมริกาโน่เย็น และ Iced Latte กาแฟเย็นใส่นม เชิญสอบถามบาริสต้า และเลือกได้ตามใจชอบ

สำหรับผู้ที่อยากทดลองชิมกาแฟหลายๆ อย่างในคราวเดียว ขอแนะนำ Three Angel (390 บาท) เป็นกาแฟแก้วเล็ก 3 แก้ว ทำจากเมล็ดกาแฟคนละชนิดให้ลองเทียบกัน 3 ขนาน เลือกได้ตามใจชอบ ราคาขึ้นอยู่กับชนิดที่เลือก

ซึ่งแต่ละแก้วจะประกอบด้วย ช็อตกาแฟ 20 มิลลิลิตร (ml) นม 60 ml และที่เหลือคือฟองนม ซึ่งข้อดีคือได้ชิมกาแฟหลากหลาย ในปริมาณไม่มากเกินไป เพราะดื่ม 3 แก้ว เหมือนดื่มกาแฟ Flat White แก้วปกติเพียง 1 ถ้วย

ในวันนั้นเมล็ดกาแฟที่น้องตูนเลือกให้ทั้ง 3 ชนิด คือ น่าน ดอยภูคา กับเอธิโอเปีย เยอกาเชฟ (Yirgacheffe) เป็น Single Origin ที่รสผลไม้ฟรุตตี้ เปรี้ยวนิดๆ สดชื่น และบราซิล Fazenda Canta Galo มีความครีมมี่ นัทตี้ ไม่ติดเปรี้ยว เหมาะสำหรับมือใหม่หัดชิม หรือผู้ที่ชอบดื่มเบาๆ ทุกวัน และน้องตูนบอกว่ายังมีเมล็ดกาแฟชั้นดีจากกัวเตมาลาอีกด้วย ให้รสเปรี้ยวซิตรัส ซึ่งเมล็ดกาแฟน่านนั้นยังเหมาะสำหรับกาแฟเย็น Iced Long Black (100 บาท) หรืออเมริกาโน่เย็นที่ไม่ใช่นมด้วย

ส่วนกาแฟ Dirty เมนูอินเทรนด์ก็มีด้วยเช่นกัน แต่จะเสิร์ฟเฉพาะวันธรรมดา ไม่รวมวันเสาร์-อาทิตย์ สูตรของที่ Bluetamp จะแช่นมจนเป็นเกล็ดน้ำแข็งก่อนนำมาใช้ ซึ่งน้องตูนแนะนำเมล็ดกาแฟบรูโช่เบลนด์ (Brucho Blend) (130 บาท) คั่วกลางค่อนข้างเข้ม ประกอบด้วยบราซิล โคลอมเบีย และลาว เป็นเบลนด์ที่เข้มที่สุดในร้าน เหมาะกับกาแฟ Ditry หรือลาเต้มากๆ เมนูเครื่องดื่มอื่นๆ นอกจากกาแฟก็มี เช่น ชาจากออสเตรเลีย ช็อกโกแลต น้ำผลไม้ เป็นต้น

น้องตูนส่งข่าวมาว่าตอนนี้เพิ่ม Dirty ตัวใหม่ ซึ่งมีให้ลิ้มลองทุกวัน แถมยังเลือกเมล็ดกาแฟได้ อีกทั้งไม่ต้องรอแช่เย็นนาน 30 นาทีก่อนดื่มแล้ว สงสัยต้องตามไปชิมอีกสักครั้ง

ที่นี่มีเมนูบรันช์หรืออาหารเช้ายามสายเสิร์ฟตลอดทั้งวัน เมนูหลากหลาย ตัวยอดนิยมคือ Egg Benedict’s Salmon (280 บาท) ทางร้านใช้ขนมปังบริยอชของคุณโจ จากร้านดัง Conkey’s Bakery ในซอยเอกมัย 22 กินกับโพ้ชเอ้กไข่แดงเยิ้มๆ ราดซอสฮอลันเดสหอมมันสดชื่น มีผักโขม และแซลมอนรมควันด้วย อยากสะใจยิ่งขึ้น ให้ขอเปลี่ยนเป็นเห็ด wild Champignon หรือ พอร์โทเบลโล (Portobello) ดอกยักษ์แทนแซลมอนได้ (280 บาท)

นอกจากนี้ ก็มีเมนูข้าวต่างๆ พาสต้าจานเส้นและสลัด รวมถึงของหวานที่ทำจากขนมปังโทสต์ คนชอบกินเนื้อให้สั่งเมนูข้าวเนื้อเนื้อ (320 บาท) เมนูนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนเปิดร้านได้ปีครึ่ง เพราะอยากให้คนที่ชอบกินเนื้อได้ของกินแปลกใหม่ เป็นเมนูลูกครึ่งไทย-ออสซี่ ประกอบด้วย เนื้อไทยโคขุนส่วนสันใน ปรุงด้วยเกลือ พริกไทย โรสแมรี ย่างกับเนยและน้ำมันมะกอก ใส่ไวน์แดง เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำมันไม่เยอะ และมีเนื้อเค็มชิ้นเล็กๆ ซ่อนอยู่ข้างใต้ด้วย แกล้มด้วยพริกหวานและมะเขือยาวอบ โปะหน้าด้วยไข่ดาวอีก 1 ฟอง

อีกอย่างที่ถูกใจมากๆ เด็กกินได้ผู้ใหญ่กินดี กับเมนูชื่อว่าข้าวไอ้หมี (120 บาท) คือข้าวผัดปรุงด้วยน้ำปลา กับไข่ดาวกรอบ โรยหน้าด้วยหมูกรอบทำเอง ที่ทอดจนกรอบทั้งชิ้นเหมือนกากหมูเจียว และใส่ไส้กรอกอีก 2 ชิ้น อยากรู้ว่าไอ้หมีคืออะไร ให้ถามน้องตูนดูนะจ๊ะ

ส่วนพาสต้าให้สั่งสปาเกตตีเบคอนผัดพริกแห้ง (280 บาท) เมนูขายดีประจำร้าน ลวกเส้นแองเจิลแฮร์เส้นเล็กๆ มาได้สุกกำลังดี หรือที่เรียกว่า Al dente

เชิญมาได้ที่ Bluetamp Cafe เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น โทร 0-2070-9282 รับรองว่ามีดีมากมาย เขาขยันออกเมนูพิเศษใหม่ๆ อยู่เสมอ อย่างเช่นในเดือนมกราคมมีชุดกาแฟ Coffee Set Bluetamp X 4Roasters ที่ร่วมกับนักคั่วกาแฟฝีมือสุดยอด 4 คน เสิร์ฟกาแฟเป็นชุด 4 แก้ว 4 สไตล์ให้ลิ้มลอง (750 บาท) คอกาแฟถึงกับฮือฮาทีเดียว

นอกจากนี้ ยังมีอีกสาขาคอฟฟี่สแตนด์เล็กๆ LittleBlue ในซอยเอกมัย 24 ซึ่งที่นั่นมีทั้งกาแฟเอสเปรสโซเบส กับเพิ่มกาแฟดริป และโคลด์บรูว์ด้วย สาขานั้นมีเบเกอรี แต่ไม่มีอาหารนะจ๊ะ

ข้อมูลร้าน

Bluetamp Coffee

โดย คุณฉัฏฐ์ ธนพลอยพงศ์ (ตูน)

ที่ตั้ง 56 ซอยลาดพร้าว 73 ถนนประดิษฐ์มนูธรรม สะพานสอง วังทองหลาง กรุงเทพฯ 10310

โทร 0-2070-9282

เปิดบริการ 08.00-18.00 น. ทุกวัน

แนะนำ กาแฟ Three Angels, Iced Long Black, Dirty Egg Benedict’s Salmon ข้าวเนื้อเนื้อ ข้าวไอ้หมี สปาเกตตีเบคอนผัดพริกแห้ง

หมายเหตุ ให้มาที่ร้านโดยเข้าซอยวันเวย์ ประดิษฐ์มนูธรรม 9

Facebook Bluetamp Cafe – Specialty Coffee & All Day Brunch

Instagram bluetampcoffee

Iced Long Black
14BluetampCafe-สปาเก็ตตี้เบคอนผัดพริกแห้ง
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์, มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564, หน้า 20
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
บะหมี่แห้งแกงฮังเล

เมื่อปลายเดือนธันวาคม ปิ่นโตเถาเล็กเพิ่งไปแอ่วเมืองเจียงฮาย ซึ่งกำลังกลับมาคึกคักมีชีวิตชีวา ก่อนที่บ้านเมืองของเราจะเข้าสู่ช่วงสถานการณ์โควิดระลอกใหม่

เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีเสน่ห์ มีร้านอาหารน่ารักเก๋ๆ อยู่ไม่น้อย คราวนี้ได้ไปค้นพบร้านดีมีคาแร็กเตอร์ซ่อนตัวอยู่ในรีสอร์ตธรรมชาติเรียบหรูชื่อว่า บ้านป่าสักทอง อยู่เลย สิงห์ปาร์ค มาเพียง 2 กิโลเมตร (มีซุ้มประตูบ้านป่าสักทอง ตรงปากทางเข้าซอยด้านขวามือ) ถือเป็นสวรรค์พื้นบ้านล้านนาเรียบง่ายโก้เก๋งดงาม ร้านนี้มีชื่อว่า Locus by Native Food Lab เปิดมานาน 4 ปีแล้ว

Locus หรือ โลกุษ นั้นมาจากคำว่า โลกุตระ อันหมายถึงการหลุดพ้นเรื่องทางโลก ซึ่งพอเข้ามาถึงก็จะเจอบ้านดินสีส้มมุงด้วยหญ้าคา แวดล้อมด้วยแมกไม้ใหญ่ มีนาข้าวสีทองอยู่ด้านล่างสะท้อนแสงตะวันก่อนลับฟ้า (ร้านนี้เปิดเฉพาะมื้อเย็นตั้งแต่ 6 โมงเย็น ไปจนถึง 2 ทุ่มครึ่ง) ทำให้รู้สึกผ่อนคลายหมดกังวลเรื่องโลกภายนอกจริงๆ

ร้านคิวทองจองยาวนานนับเดือนแห่งนี้คือ ร้านเชฟเทเบิลอาหารเหนือร่วมสมัย เสิร์ฟเป็นคอร์ส(ช่วงที่ไปมี 8 คอร์สหรือ 8 จาน) รับเพียงวันละ 12 คนเท่านั้น โดยมีคอนเซ็ปต์การนำเสนอเปลี่ยนไปแทบทุกเดือน ในสนนราคาหัวละ 1,900 บาท (ราคานี้เริ่มปี 2564)

เจ้าของร้านคือ เชฟก้อง-ก้องวุฒิ ชัยวงศ์ขจร เชฟหนุ่มชาวกรุงที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่เชียงราย กับภรรยาซึ่งเป็นเชฟขนมหวาน เชฟก้องจบจากสถาบันเลอกอร์ดอง เบลอ เป็นศิษย์ของเชฟพฤกษ์ เชฟกระทะเหล็กชื่อดังนั่นเอง อีกทั้งยังเป็นเชฟอาหารญี่ปุ่นด้วย

ลักษณะของที่นั่งจะเป็นการนั่งล้อมครัวเรียงรายเป็นรูปตัววี มองทีมเชฟปรุงอาหาร โดยใช้อุปกรณ์เหมือนครัวบ้านธรรมดา ไม่หวือหวา ตลอดมื้อค่ำเชฟก้องเป็นผู้นำเสนอแนวคิดของแต่ละเมนูอย่างมีอรรถรส สอดแทรกด้วยที่มากับวัฒนธรรมการกินอาหารล้านนาแต่ละอย่าง มีการสอดแทรกเทคนิคสมัยใหม่ (เช่น จากวิธีทำอาหารฝรั่งเศส) มาใช้ประยุกต์ ฟังแล้วเพลิดเพลินเคล้อยตาม เกิดอารมณ์ร่วมเข้าถึงเมนูนั้นๆ ได้อย่างแท้จริง

เชฟก้องกล่าวเปิดว่าเมนูเชฟเทเบิลของเขา เลือกใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลในท้องถิ่นมาปรุง (ซึ่งช่วงนั้นคือกลางฤดูหนาว) เป็นเมนูพื้นบ้านล้านนาที่เรียนจากคุณยายของภรรยา นำเสนอในรูปแบบร่วมสมัย และนำประสบการณ์ในวัยเด็กมาร่วมใช้ด้วย

หน้าตาของอาหารดูเนี้ยบเฉียบเหมือนเมนูไฟน์ไดนิงชั้นเลิศของฝรั่ง มีการแยกองค์ประกอบใหม่ ดูทันสมัยตื่นตาตื่นใจ เปลี่ยนวิธีการกินให้สนุกสนาน เพิ่มรสสัมผัสหลากหลาย แต่พอได้ลิ้มลองแล้วก็จะรู้สึกเพลิดเพลินคุ้นเคยกับกลิ่นรสและกลิ่นอายของเมนูดั้งเดิมนั้นๆ

เริ่มกันด้วยเมนูของกินเล่นหรือสแน็ค ซึ่งอยู่นอกเหนือจาก 8 คอร์ส คือออเดิร์ฟเมืองในรูปแบบใหม่ 4 คำ นับจากซ้ายสุดคือ น้ำพริกอ่องโครเก็ต ชุบเกล็ดขนมปังทอดก้อนกลมๆ ซึ่งเป็นน้ำพริกอ่องไส้ปลาแบบดั้งเดิม ต่อด้วย ทาร์ตไส้อั่วคีช (Quiche) ของฝรั่งเศส มีแป้งเพสตรีกรอบๆ ซึ่งเชฟก้องไม่ชอบให้มีความมันมากจึงใช้เนื้อไก่มาทำไส้อั่ว และ ไดฟูกุแป้งข้าวเหนียวไส้น้ำพริกหนุ่ม ใส่เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ขวาสุดคือมากิ ข้าวห่อสาหร่ายไส้ที่มีรากเหง้าจากปลาส้ม

เข้าสู่เมนูแรก เป็นเมนูกลางฤดูหนาว พืชพรรณเริ่มโต เชฟก้องจึงทำ จอผักกาด ที่ทำให้เปรี้ยวด้วยโยเกิร์ตแทนมะขาม ปรุงด้วยกะปิ มีเนื้อปลาดุกนาโพชหรือลวกในน้ำซุปร้อนๆ ที่ใส่รากผักชี พริก หอม กระเทียม มีน้ำซุปหรือ Broth เข้มข้นหอมหวานให้ซดตามอีกถ้วยเล็กๆ ใส่แผ่นกรอบทำจากถั่วเน่า แกล้มพริกทอด จานนี้ทั้งสวยงามทันสมัยและกินอร่อย

เมนูถัดมา อ็อกป๋า หรือ อ็อกปลา คือการนำอาหารห่อใบตอง เติมน้ำในหม้อเล็กน้อยและทำให้สุก ซึ่งเชฟก้องบอกว่าเมนูนี้เป็นครึ่งอ็อกหรือครึ่งแกงกับครึ่งแอ็บที่ห่อใบตองแล้วย่างไฟ โดยเชฟก้องเปลี่ยนหน้าตาเป็นสลัด มีปลาบึกจากแม่น้ำโขงใส่ลูกผักชีย่าง กินกับสลัดผักกลิ่นฉุนหน่อยเช่นผักชี ผักชีใบเลื่อยและใบกอมก้อคล้ายใบแมงลัก มีอ็อกมะเขือย่าง มีข้าวแต๋นกรุบกรอบ และไข่ดาวน้ำหรือโพชเอ้กสีกระดำกระด่างเพราะแช่ในน้ำใบตองหอมๆ

ต่อด้วยเมนู จิ๊นนึ่ง น้ำพริกข่า ซึ่งจิ๊นหรือเนื้อนั้นจะใช้เนื้อหมูสันในแทน กินกับน้ำพริกข่าที่รสไม่จัดมากเพราะไม่ใส่ชูรส แต่ปรุงด้วยหอมเจียวแทน ด้านล่างมีแอ็บข้าวโพดและซอสเห็ดนึ่ง

เมนูที่ 4 นั้นเป็นของกินวัยเด็กจากเยาวราช คือบะหมี่ใส่ซอสเปรี้ยว เอามาบวกกับแกงฮังเลที่ไม่ใช้มะขาม กลายเป็น บะหมี่แห้งแกงฮังเล เส้นบะหมี่มาจากร้านดังบะหมี่เชียงรายฮุยเม้ง กินกับหมูชาชูแกงฮังเลญี่ปุ่นผสมล้านนา

ผ่านครึ่งทางมาแล้ว ต่อด้วยเมนูที่ 5 เชฟก้องบรรยายว่าช่วงกลางฤดูหนาว คนเหนือจะเอาบ้องข้าวหลามมาทำหลามปลา หลามหมู ซึ่งเชฟก้องนำเสนอ หลามไก่ เนื้อไก่คลุกพริกแกงในบ้องข้าวหลาม อุดด้วยใบตอง เวลาที่นำไปหลามกับถ่านร้อนๆ สีแดง จะเกิดแรงดันมีไอน้ำออกมา ซึ่งเชฟก้องใช้เทคนิคการทำซุปใสของฝรั่งเศสที่เรียกว่า คอนซมเม่ (Consomm”) ได้น้ำแกงซุปใสที่หวานหอมสุดยอดมากๆ ซึ่งต้องอยู่หน้าเตาถึง 2 วัน ทำให้ใสด้วยไข่ขาวแบบฝรั่งเศส เมนูนี้มีลูกชิ้นไก่บดสไตล์ญี่ปุ่นหรือซึคึเนะให้แกล้มด้วย ผมถึงขนาดยกชามขึ้นซดจนเกลี้ยงเลย

เมนูที่ 6 ต้องใช้เวลาถึง 4 ปีกว่าจะทดลองทำในเดือนนี้เป็นครั้งแรก ในคอนเซ็ปต์ ขนมจีนน้ำเงี้ยว เมนูโปรดของเชฟก้อง ซึ่งเมนูนี้จะสอนทีมงานเรื่องออกแบบอาหาร และให้น้องๆ คิดกันเอง ประกอบด้วยเต้าหู้อ่อนทำเป็นเส้น ส่วนเนื้อสัตว์คือตีนเป็ดเลาะกระดูกอ่อน เพิ่มเทคนิคในการลวกถั่วงอก ช่วงคายไอน้ำจะใส่น้ำมันพริก น้ำมันกระเทียมและเปลือกมะนาวเพื่อให้ดูดซับเข้าไป กลายเป็นถั่วงอกหอมๆ สุดอร่อย อีกทั้งใช้กระบอกเอสพูม่าใส่ส่วนผสมเครื่องน้ำเงี้ยวผสมเลือด ฉีดออกมาเป็นครีมๆ หอมๆ ข้นเนียน

มาถึงจานหลักเมนูที่ 7 ข้าวอบดินนา ดูพื้นบ้านแต่ล้ำลึก ได้แรงบันดาลใจมาจากคุณแม่ ประกอบด้วยข้าว ปลาปิ้ง เห็ด งาขี้ม่อน และสะแล ผักพื้นบ้านตามฤดูกาล ปรุงรสด้วยน้ำปลา ห่อใบตอง พอกด้วยดินแล้วนำไปย่าง เชฟจะฉีดน้ำบนดินที่พอกไว้เพื่อให้ดมกลิ่นเหมือนฝนแรกหลังแล้ง จากนั้นแกะดิน เปิดห่อใบตอง เสิร์ฟข้าวหอมๆ ให้พวกเรา

คั่นรายการล้างปากด้วย กรานิต้าดอกอัญชัน บีบมะนาวลงไปบนเกล็ดน้ำแข็งอัญชันเพื่อให้เปลี่ยนสีมีรสเปรี้ยวหอม จากนั้นตบท้ายด้วย ขนมดอกตะแบก ได้แนวคิดมาจากภรรยาเชฟก้องซึ่งเคยทำร้านขนมเปี๊ยะมาก่อน ประกอบด้วยมันม่วงจากอำเภอสะเมิงปั้นเป็นก้อนคล้ายบัวลอย ใส่น้ำแข็งน้ำตาลมะพร้าวหรือน้ำตาลปึกที่สั่งจากเตาเคี่ยวท้องถิ่น หอมกลิ่นเทียนอบมาก ใช้เทียนอบชั้นดีจากอยุธยา กินคู่กับ ขนมเปี่ยง หรือ ขนมลิ้นหมา ขนมพื้นบ้านที่ทำจากแป้งข้าวก่ำหรือข้าวเหนียวดำ ดัดแปลงให้มีความกรอบเหมือนชอร์ตเบรดหรือบิสกิต

เมนูที่สาธยายไปทั้งหมดนี้คงจะไม่เหมือนเดิม เพราะเชฟก้องเปลี่ยนธีมการนำเสนออยู่ตลอดเวลา โดยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 นี้ จะใช้ธีมการเสิร์ฟแบบ ล้านนาคู่ขนาน ในแต่ละเมนู เช่นน้ำพริกอ่องดั้งเดิมกับแบบใหม่แนวร่วมสมัย คู่กัน 2 อย่าง

และนี่คือสุดยอดเชฟเทเบิลอาหารล้านนาร่วมสมัยในเชียงราย สมควรแก่การตามไปลิ้มลองให้จงได้ รับเฉพาะลูกค้าจองล่วงหน้า แนะนำว่าให้จองได้วันว่างแน่นอนก่อนที่จะกำหนดวันไปเชียงรายนะจ๊ะ ซึ่งจองได้ทั้งทาง Line @locus2627 หรือโทร 06-5023-2627 และจองทาง Facebook : Locus Native Food Lab ร้านนี้ปิ่นโตเถาเล็กขอเชียร์ให้ไปสักครั้งหนึ่งในชีวิตให้จงได้

จอผักกาดร่วมสมัย
อ็อกป๋า

ข้อมูลร้าน

Locus by Native Food Lab

โดย เชฟก้อง-ก้องวุฒิ ชัยวงศ์ขจร

ที่ตั้ง 8 รีสอร์ตบ้านป่าสักทอง หมู่ 13 ต.แม่กรณ์ อ.เมือง จ.เชียงราย 57000

วิธีการจอง โทร 06-5023-2627

หรือ ทาง Line @ locus2627

หรือจองทาง Facebook : Locus Native Food Lab

เปิดบริการ 18.00 – 20.30 น. อังคาร-อาทิตย์

หยุด จันทร์

แนะนำ คอร์สเชฟเทเบิลอาหารเหนือร่วมสมัย สนนราคาท่านละ 1,900 บาท

รับวันละ 12 คนเท่านั้น

จิ๊นนึ่ง น้ำพริกข่า
หลามไก่
ขนมจีนน้ำเงี้ยวหน้าตาร่วมสมัย
ข้าวอบดินนา ห่อใบตอง พอกดินแล้วนำไปย่าง
กรานิต้าดอกอัญชัน
ขนมดอกตะแบก
ขนมเปี่ยงหรือขนมลิ้นหมา
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์, มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564, หน้า 20
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก

อาทิตย์นี้มาว่ากันต่อด้วยอาหารคาวหวานบริการถึงหน้าประตูบ้านแฟนๆ เริ่มกันด้วยร้าน เจริญแกง ของ น้องปลา อัจฉรา บุรารักษ์ ซึ่งเปิดบริการเฉพาะกิจไม่มีหน้าร้าน ดิลิเวอรีอย่างเดียวมาตั้งแต่ช่วงสถานการณ์โควิดครั้งแรก

ด้วยเมนูข้าวแกง ขนมจีนและขนมไทยพื้นบ้าน รสชาติเข้มข้นถูกใจพระเดชพระคุณ มาบัดนี้เจริญแกงมีสาขาสำหรับจัดส่งเพิ่มเป็น 7 แห่ง ตั้งแต่เจริญแกง สาขาทองหล่อ โทร 06-3464-9929 สาขา 101 True Digital Park โทร 06-3515-3171 สาขาวิลล่า อารีย์ โทร 06-3515-3173 สาขาทาวน์ อิน ทาวน์ โทร 0-2147-5633 สาขาเอสพลานาด รัชดา โทร 06-3515-3177 สาขาสาทร-ลุมพินี (เย็นอากาศ) โทร 08-2353-0101 และสาขาราชประสงค์ (The Market) โทร 06-3535-2837

เก็บตัวอยู่บ้านคราวนี้ น้องปลาส่งของโปรด ขนมจีนน้ำยากะทิตีนไก่ โคราช (165-350 บาท) มาให้ 1 ชุดใหญ่ แบ่งกันกินได้ถึง 4 คน น้ำยารสชาติเข้มข้นถึงใจใส่เลือด และตีนไก่นุ่มๆ แทะมันถูกใจ

เมนูขนมจีนอื่นๆ มีทั้ง ขนมจีนน้ำพริก (190-550 บาท) ขนมจีนเขียวหวานเนื้อซี่โครงพริกสด (185-550 บาท) ขนมจีนน้ำยาปูภูเก็ต (330-880 บาท) ขนมจีนแกงไตปลา (165-350 บาท) หรือจะสั่งคู่กันเป็น ขนมจีนน้ำยาปูภูเก็ต + แกงไตปลา (420-900 บาท) ทั้งหมดนี้คือเมนูสุดฮอต

นอกจากนี้ ยังมีขนมถ้วย ในตำนาน (60 บาท) ขนมกล้วย (50 บาท) ซึ่งกินทีไร ชิ้นเดียวไม่เคยพอ อีกทั้งเมนูใหม่ วุ้นมะพร้าวน้ำหอมแท้ๆ (ถ้วยเล็ก 3 ถ้วย 100 บาท ถ้วยใหญ่ 1 ถ้วย 65 บาท) อีกด้วย

ส่วนเมนูข้าวแกง ต้ม-ผัด-แกง-ทอด ยังมีครบถ้วน ของโปรดของปิ่นโตเถาเล็กเช่น แกงคั่วหอยขมยอดชะอม (150 บาท) สุดยอดมาก (เวลากินอาจจะกัดโดนลูกหอยกรุบๆ หน่อย) แกงเหลืองปลายอดไหลบัว (165 บาท) แกล้มด้วยไข่พะโล้หมูสามชั้น (145 บาท) ที่ไข่รัดตัวเคี้ยวดังกึ๊ดเลย ไข่ลูกเขย (95 บาท) ไข่แดงเป็นยางมะตูมเยิ้มๆ หมูก้อนทอดสามเกลอ (120 บาท) และเมนูใหม่แกงจืดมะระยัดไส้ผักกาดดอง (145 บาท)

นอกจากจะโทรไปสั่งตามสาขาแล้ว ยังสั่งได้ทาง Line: @charoengang กับ Grabfood https://bit.ly/2VUSdXm และ Lineman https://bit.ly/3aGPINq

ตั้งแต่ช่วงล็อกดาวน์ครั้งก่อน มีผู้คนหันมาทำขนมขายออนไลน์กันเป็นจำนวนมาก ซึ่งขนมยอดฮิตติดอันดับก็คือบราวนี่ แต่มีอยู่เจ้าหนึ่งทำบราวนี่ได้โดดเด่นถูกใจมากเป็นพิเศษ จนอดใจไม่ไหวต้องขอเชียร์ให้แฟนๆ สั่งมาลิ้มลองกันบ้าง บราวนี่โฮมเมดนี้มีชื่อว่า BAKE by Chef Burin

เชฟบุรินทร์ แดงดีเลิศ ผู้มีชื่อเล่นว่าบุริน เป็นเชฟหนุ่มหน้าใส จบจากสถาบันเลอ กอร์ดอง เบลอ (Le Cordon Bleu) ออสเตรเลีย พอจบสดๆ ร้อนๆ ก็มาทำงานอยู่ร้านดังย่านทองหล่อชื่อว่า Canvas แต่ตอนนี้ลาออกมาทำขนมเต็มตัวแล้ว

บุรินชอบทำอาหารแต่พอมีแฟน (ชื่อน้องตาล ตอนนี้ออกจากงานมาทำขนมด้วยกัน) จึงอยากทำขนมให้แฟนลิ้มลอง สมัยอยู่ออสเตรเลียได้เรียนทำขนมไปด้วย ในช่วงล็อกดาวน์ครั้งแรกมีนาคมปีที่แล้วจึงเริ่มทำขนม ปรากฏว่ามีเพื่อนๆ ติดใจสั่งกันมาอย่างล้นหลาม

บราวนี่ที่ชื่นชอบมากๆ คือ ช็อกโกแลตฟัดจ์บราวนี่ (Chocolate Fudge Brownie) (กล่อง 4 ชิ้น ราคา 220 บาท และกล่อง 6 ชิ้น ราคา 300 บาท) ซึ่งมีความโดดเด่นคือใส่แป้งน้อย ได้กินช็อกโกแลตเต็มคำ รสเข้มหอมกรอบปนหนึบ และใช้น้ำตาลน้อยจึงไม่หวานมาก กว่าจะได้ดีอย่างนี้ต้องทดลองทำเป็นพันๆ ถาด

05Charoengang-ขนมถ้วย

น้องบุรินบอกว่าสูตรนี้จะใส่แป้งแค่ 15-20% (ของคนอื่น 30% ขึ้นไป) อีกทั้งวิธีการทำจะไม่ใช้วิธีแยกผสมของแห้งกับของเปียกเหมือนทั่วไป นำเนยกับน้ำตาลมาละลายด้วยกันก่อน เวลาอบจะได้ผิวหน้าขนมเป็นฟิล์มกรอบถูกใจ แถมยังอบด้วยอุณหภูมิต่ำเพียง 150 องศาเซลเซียส แล้วเพิ่มเวลาในการอบให้นานขึ้นแทน

วัตถุดิบที่ใช้ล้วนแล้วแต่ของดีเช่นช็อกโกแลตเบลเยียม เนยพรีเมียม ซึ่งจะไม่ใช่น้ำมัน เพราะจะทำให้แฉะ น้องบุรินใส่เกลือเพื่อดึงรสหวานให้แหลมขึ้น ใส่กาแฟผสมลงไปด้วย อีกทั้งรสชาติเข้มข้นนั้นมาจากการใส่โกโก้ผสมกับช็อกโกแลตละลาย

เวลาได้บราวนี่มา ถ้าเก็บข้ามคืน 1 วันในตู้เย็นแล้วค่อยเอาออกมากินยิ่งหนึบอร่อย แต่ผมมักจะอดใจรอไม่ไหว กินได้ทั้งแบบเย็นๆ และอุ่นร้อนให้นิ่มนิดๆ โดยอุ่นในไมโครเวฟนาน 10-15 วินาที เก็บไว้ในตู้เย็นได้นาน 7 วัน (แต่ถึงอย่างไรก็หมดก่อนอยู่แล้ว ขอบอก)

พอสั่งซ้ำอีกทีคราวนี้มีขนมใหม่ถูกใจมากเช่นกัน ชื่อว่า โกลว์อินเดอะดาร์ก (Glow in the Dark) ชิ้นยาวๆ กินได้ 2-3 คน (กล่องละ 250 บาท) คือช็อกโกแลตเค้กและมูสดาร์กช็อกโกแลตเนียนนุ่มเบาๆ เข้มหอมไม่หวานมาก เพิ่มรสกล้วยหอมๆ ด้วยซอสบานานาคัสตาร์ด อีกทั้งรสเค็มจาก Salted crumble กรอบๆ ด้วย

นอกจากนี้ยังมีบราวนี่อีกรสชาติ Premium Japanese Matcha & Red Beans Fudge Brownie (6 ชิ้น 400 บาท) เพิ่มมัทฉะชาเขียวชั้นดีจากญี่ปุ่นและใส่ถั่วแดงกวนสูตรพิเศษ โรยหน้าด้วยอัลมอนด์สติ๊ก

เท่านี้ยังไม่พอช่วงนี้มี กล่องของขวัญ กิฟต์ บ็อกซ์ TRIO BROWNIES (9 ชิ้น 600 บาท) ทั้งหมด 3 รสชาติ อย่างละ 3 ชิ้น โดยเพิ่มรสชาติพิเศษเฉพาะช่วงเทศกาลคือ Red Velvet Cream cheese บราวนี่เนื้อเรดเวลเวท มีรสหอมมันอมเปรี้ยวของครีมชีส Swiss Meringue Cream Cheese Buttercream โรยด้วยอัลมอนด์อบกรุบกรอบ

สามารถสั่งผ่าน Direct Message ที่อินสตาแกรม

@bakebychefburin และเฟซบุ๊ก BAKE by Chef Burin โดยจะจัดส่งผ่าน Grab คิดค่าบริการตามระยะทาง

ปลายปีนี้ ไม่แน่แฟนๆ คงมีโอกาสได้ไปชิมอาหารสไตล์เชฟเทเบิลทั้งคาวและหวานของเชฟบุรินทร์อีกด้วย ถ้ามีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบอีกทีนะจ๊ะ

เจริญแกง

โดย คุณอัจฉรา (ปลา) บุรารักษ์

แนะนำ เมนูข้าวแกงดิลิเวอรีสารพัด รวมทั้งขนมไทยและเครื่องดื่มต่างๆ เช่น ขนมจีนน้ำยากะทิตีนไก่ โคราช ขนมถ้วย ขนมกล้วย วุ้นมะพร้าวน้ำหอม

เจริญแกง 7 สาขา

101 True Digital Park

โทร 06-3515-3171

ทองหล่อ โทร 06-3464-9929

วิลล่า อารีย์ โทร 06-3515-3173

ราชประสงค์ (The Market)

โทร 06-3535-2837

ทาวน์ อิน ทาวน์ โทร 0-2147-5633

เอสพลานาด รัชดา โทร 06-3515-3177

สาทร-ลุมพินี (เย็นอากาศ)

โทร 08-2353-0101

วิธีการสั่ง โทรสั่ง หรือสั่งกับที่ร้าน Line: @charoengang มีค่าจัดส่งตามระยะทาง

 

19BakebyChefBurin

Grabfood https://bit.ly/2VUSdXm และ Lineman https://bit.ly/3aGPINq

ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ Facebook : Charoen

gang และ IG: charoengang

BAKE by Chef Burin

โดย เชฟบุรินทร์ แดงดีเลิศ

วิธีการสั่ง Instagram @bakebychefburin และเฟซบุ๊ก BAKE by Chef Burin

จัดส่งผ่าน Grab คิดค่าบริการตามระยะทาง

แนะนำ ช็อกโกแลตฟัดจ์บราวนี่ (Chocolate Fudge Brownie) โกลว์อินเดอะดาร์ก (Glow in the Dark) Premium Japanese Matcha & Red Beans Fudge Brownie และ กิฟต์บ็อกซ์ TRIO BROWNIES (มี 3 รสชาติ เพิ่ม Red Velvet Cream cheese)

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

กลับมาอีกครั้งแล้วจ้า กับการรีวิวเมนูเด็ดของร้านอาหารต่างๆ ซึ่งหันมาเปิดบริการเดลิเวอรีส่งตรงถึงประตูบ้านเป็นครั้งที่สอง แฟนคนไหนอยากเก็บตัวด้วยความสมัครใจ ปิ่นโตเถาเล็กก็จะปรนเปรอแนะนำของอร่อยทั้งคาว และหวานคู่กันเลย

เริ่มกันด้วยร้านก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำเจ้าดัง เจริญพุงโภชนา ของน้องอาร์ท ภาคภูมิ สุวรรณเตมีย์ ที่ผ่านมาปิ่นโตเถาเล็กได้ไปตระเวนซอกแซกชิมด้วยกันอยู่ตลอด แต่ตอนนี้ต้องหยุดพักไปก่อน เพราะอาร์ทได้กลับมาทำเมนูพิเศษที่มีเสียงตอบรับเกรียวกราวในช่วงล็อกดาวน์ครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว

เมนูพิเศษนอกเหนือไปจากก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำ ข้าวต้มแห้ง เกี๊ยวทอดหน้าโรงเรียน กุ้งแพทอด สามชั้นเซิ้งแจ่ว (ซึ่งสั่งได้เช่นกัน) เริ่มกันด้วยเมนูโปรดของปิ่นโตเถาเล็ก แกงเขียวหวานเนื้อซี่โครงพริกขี้หนูสวน (กล่องละ 200 บาท) ที่ใช้เนื้อชิ้นโตประมาณ 10 กิโลกรัมมาตุ๋นเกือบ 2 ชั่วโมงจนเปื่อยสัก 50% ทิ้งให้เย็นจนเนื้อรัดตัวก่อน แล้วนำมาแล่ชิ้นโตๆ หนาๆเคี่ยวกับหางกะทิ และเครื่องแกงที่เติมลูกผักชียี่หร่าคั่วกับพริกขี้หนูสวน จนเนื้อเปื่อยนุ่ม

ส่วนใครไม่กินเนื้อให้สั่งแกงเขียวหวานหมูตุ๋นกับหมูนุ่มพริกขี้หนูสวน (180 บาท) หมูตุ๋นทำจากเนื้อหมูขั้วตับ ซึ่งเป็นส่วนที่ผมชอบมาก เพราะถ้าเคี่ยวนานๆ จะนุ่มเด้งอร่อยถูกใจ อีกทั้งยังใส่เนื้อหมูหมักนุ่มๆ ด้วย

แน่นอนว่าของกินแสนอร่อยคู่กัน สามชั้นทอดน้ำปลา (150 บาท) ก็ยังมีอยู่ สามชั้นหมักกับน้ำปลาดี ทอดจนแห้งนิดๆ นุ่มอร่อยกินแล้วหยุดไม่ได้ อีกทั้งเนื้อแดดเดียว (150 บาท) ที่อาร์ทใช้ส่วนหายากเป็นเนื้อรองขั้วตับ หรือเนื้อระบายมาทำเนื้อแดดเดียว และต้มจับฉ่าย (100 บาท) ใส่ผักหลากหลายก็ทำขายอีกครั้งเช่นกัน

นอกจากนี้ ยังมีของกินให้สั่งอีกมากมาย ทั้งมัสมั่นเนื้อน่องลายกับเอ็นตุ๋น (200 บาท) มัสมั่นไก่ (150 บาท) คั่วกลิ้งเนื้อ (200 บาท) คั่วกลิ้งไก่ (120 บาท) และเขียวหวานไก่ผัดแห้งยอดมะพร้าวอ่อนพริกไทยสด (150 บาท ) เมนูนี้แค่ได้ยินชื่อก็อยากลิ้มลองแล้ว ทุกเมนูจัดมาให้จุใจ แบ่งกันกินได้ 2-3 คน เก็บในตู้เย็นได้นานเป็นอาทิตย์

โดยสั่งเมนูทิ้งไว้ใน Line id art_sf ได้ตลอด ซึ่งอาร์ทจะอ่านไลน์ทุกวัน หรือโทรสั่งได้ที่ 09-9561-4914 โดยให้มารับที่ร้านเจริญพุงโภชนา สาขาเจริญรัถ ตรงข้ามซอยเจริญรัถ 3 หรือสุดซอยลาดหญ้าซอย 6 หรืออยากให้เดลิเวอรีก็ย่อมได้ อยู่ใกล้ๆ ร้านไม่คิดเงิน (ไม่เกิน 2 กม.) ไกลนิดคิด 50 บาท ไกลหน่อยขอแค่ค่าทางด่วน 100 บาท เชิญติดต่อเจรจากันเองนะจ๊ะ

นอกจากนี้ น้องอาร์ทยังได้ส่งหมูหยองกับยำเกี่ยมฉ่ายน้ำมันงามาเป็นของกำนัลปีใหม่อีกด้วย เพียงได้ชิมเข้าไปคำแรกก็อร่อยถูกใจเป็นอันมาก ช่างเป็นหมูหยองที่แสนหอม มีความกรอบฟูพองตัวปนนุ่มอยู่ในแต่ละคำ ทีเด็ดอยู่ที่ซอสเครื่องปรุงเคลือบหมูหยองเข้าเนื้อรสชาติเข้มข้น นี่คือรสชาติที่คุ้นเคยในวัยเด็ก อีกทั้งยำเกี่ยมฉ่ายน้ำมันงาก็กรอบหอมรสจัดครบทั้งเปรี้ยวเค็มหวาน หอมกลิ่นข่าป่น อร่อยถึงขนาดที่ว่าต้องโทรขอรายละเอียดเพิ่มเติมในทันที

หมูหยองกับยำเกี่ยมฉ่ายน้ำมันงาที่ว่านี้คือการกลับมาของจิ้นเซ่งเฮียง ซึ่งเคยมีร้านอยู่หลังโรงแรมไทเป ตรงวงเวียน 22 กรกฎาคม เปิดมานานหลายสิบปี แต่ต้องปิดตัวลง เพราะไม่มีผู้สืบทอดกิจการอยู่นาน 5 ปี

โชคดีที่ว่าสามีของคุณโม่ย เพื่อนน้องอาร์ท ผู้มีนามกรว่า สมพงศ์ อัครมหาพาณิชย์ หรือเฮียอึ่ง (ความจริงอายุน้อยกว่าปิ่นโตเถาเล็กถึง 5 ปี) เป็นหลานชายของอาอี๊ หรือคุณป้าเจ้าของร้านรุ่นแรก เคยคลุกคลีช่วยอาอี๊ผัดหมูหยองมาก่อน

เฮียอึ่งนั้นอันที่จริงอาชีพการงานอยู่ในแวดวงคอมพิวเตอร์ แต่อาศัยที่ว่ามีลูกค้าเก่าเรียกร้องให้รื้อฟื้นจิ้นเซ่งเฮียงกลับมาใหม่ เลยทดลองทำดู ได้รับคำชมจากขาประจำเก่าๆ ว่าถูกใจเหมือนของเดิมไม่มีผิด เฮียอึ่งเลยหันมาทำหมูหยองแบบแฮนด์เมด และโฮมเมด คือ คั่ว และผัดในกระทะเอง ทำวันแมนโชว์อยู่ที่บ้านได้เพียงวันละ 3-4 กระทะเท่านั้น นี่คือที่มาของจิ้นเซ่งเฮียงยุคใหม่ โดยรับทำตามออเดอร์เท่านั้นมานานเกือบปี

จึงขอบอกไว้เลย ถ้าอยากจะชิมหมูหยองกับยำเกี่ยมฉ่ายน้ำมันงานี้ ต้องสั่งจองล่วงหน้าเท่านั้นที่เฟซบุ๊ก จิ้น เซ่ง เฮียง และที่เบอร์ 06-5493-5593 กับ 06-2532-4144 ขอย้ำว่าแต่ละวันทำได้จำนวนจำกัด อาจจะต้องรอคิวนานเป็นอาทิตย์นะจ๊ะ และไม่มีหน้าร้านให้ไปซื้อหาต้องสั่งเดลิเวอรีกันอย่างเดียว

หมูหยองของเฮียอึ่งเน้นเนื้อล้วน ใช้เนื้อสะโพก ซึ่งมีมันน้อย นำมาทำหลายขั้นตอน ต้มจนเปื่อยมากๆ นำมาทุบแล้วฉีกด้วยมือเป็นเส้นเล็กๆ คั่วครั้งแรกพอแห้ง หลังจากนั้นก็ปรุงรส คั่วต่ออีก 2 ชั่วโมง จนแห้ง ได้หมูหยองที่กรอบฟูนุ่มพองตัว กรอบนอกนุ่มใน 1 กระทะทำได้แค่ 2 กิโลกรัม แต่ละวันทำได้เพียง 3-4 กระทะเท่านั้น จากนั้นก็นำมาแบ่งใส่ห่อพลาสติกปิดผนึก และใส่ในถุงเก่าสีแดง ตราจิ้นเซ่งเฮียง ยุคแรก ซึ่งยังมีสต๊อกถุงอยู่จำนวนมาก สนนราคาถุงใหญ่ 500 กรัม 290 บาท และถุงเล็ก 200 กรัม 120 บาท โดยการจัดส่ง ถ้าลูกค้าอยู่ใกล้ๆ แถวบางนาจะส่งให้เอง หรือส่งทางไปรษณีย์ และทาง Flash Express กับ Kerry โดยคิดค่าส่ง

ส่วนยําเกี่ยมฉ่ายน้ำมันงานั้นก็มีทีเด็ดตรงที่ใส่ข่าป่นลงไปเล็กน้อย เฮียอึ่งคัดแต่ตัวใบผักกาด ไม่ใช้แกน นำมาดองจนกรอบหอมรสจัดเปรี้ยวเค็มหวานกำลังดี เป็นสูตรดั้งเดิมเช่นกัน ใช้น้ำมันงาแท้ๆ เหมาะสำหรับกินคู่กับข้าวต้มร้อนๆ พร้อมหมูหยอง สนนราคายำเกี่ยมฉ่าย 500 กรัม 100 บาท 250 กรัม 50 บาท

ของอร่อยเดลิเวอรียังไม่หมด อาทิตย์หน้าปิ่นโตเถาเล็กมีของดีทั้งคาว และหวาน มาบอกต่อเช่นเคยนะจ๊ะ

ข้อมูลร้าน

เมนูพิเศษ เจริญพุงโภชนา

โดยคุณภาคภูมิ (อาร์ท) สุวรรณเตมีย์

แนะนำ แกงเขียวหวานเนื้อซี่โครงพริกขี้หนูสวน แกงเขียวหวานหมูตุ๋นกับหมูนุ่มพริกขี้หนูสวน สามชั้นทอดน้ำปลา เนื้อแดดเดียว ต้มจับฉ่าย มัสมั่นเนื้อน่องลายกับเอ็นตุ๋น มัสมั่นไก่ คั่วกลิ้งเนื้อ คั่วกลิ้งไก่ เขียวหวานไก่ผัดแห้งยอดมะพร้าวอ่อนพริกไทยสด

โทร 09-9561-4914 หรือ Line: art_sf โดยไลน์สั่งทิ้งไว้

จิ้นเซ่งเฮียง

โดยคุณสมพงศ์ (อึ่ง) อัครมหาพาณิชย์

แนะนำ หมูหยอง ยำเกี่ยมฉ่ายน้ำมันงา

วิธีการสั่ง ไม่มีหน้าร้าน

โทร 06-5493-5593 และ 06-2532-4144

หรือทางเฟซบุ๊ก จิ้น เซ่ง เฮียง

หมายเหตุ หมูหยองต้องสั่งล่วงหน้า เพราะทำได้เพียงวันละ 3-4 กระทะเท่านั้น

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์, มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2564, หน้า 20
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
ขาแพะย่างทั้งขา

ปิ่นโตเถาเล็กเคยแนะนำอาหารอินเดียในร้านหรูมาบ้างแล้ว มาคราวนี้มีร้านอาหารอินเดียสุดแสนประทับใจมาฝาก เป็นร้านเล็กๆ หน้าตาธรรมดาๆ อยู่ในซอยพุทธโอสถ ซึ่งเป็นอีกย่านพำนักอาศัยของชาวอินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ ถ้าไม่มีคนแนะนำ คงจะเดินผ่านไปไม่สะดุดตาอย่างแน่นอน

ร้านนี้ทำอาหารอินเดียได้รสชาติเข้มข้นถูกใจ หอมเครื่องเทศตลบอบอวลแต่มีความกลมกล่อมไม่แรงจนเกินไป มือใหม่หัดชิมสมควรมาลิ้มลอง ยิ่งเป็นคนชอบอาหารประเภทนี้ก็ต้องมาชิมให้จงได้ ร้านนี้มีชื่อว่า อัล ราฮามัน (Al-Rahaman)

อัล ราฮามัน (Al-Rahaman) คือสุดยอดร้านอาหารอินเดียซึ่งฮอตฮิตมาแรงที่สุดในเวลานี้ วันเสาร์-อาทิตย์มีคนมายืนรอต่อคิวกันแน่นขนัดทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัยรุ่น (ผู้ที่จุดกระแสไม่ใช่ใครที่ไหนคือน้องอาร์ต ภาคภูมิ แห่งร้านเจริญพุง ผู้ซึ่งพาผมมาชิมถึงที่) ถือว่าเป็นร้านอาหารอินเดียซึ่งอร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมาทีเดียว เปิดมานาน 6 ปีแล้ว

ก่อนอื่นขอบอกทางไปร้าน Al-Rahaman อยู่ในห้องแถวเล็กๆ คูหาเดียวในซอยพุทธโอสถ ฝั่งขวามือของซอยวันเวย์ช่วงก่อนจะออกไปสู่ถนนมหาเศรษฐ์

ซอยพุทธโอสถนั้นมีทางเข้าที่ลึกลับมาก คือต้องเข้าจากถนนสุรวงศ์ช่วงเกือบสุดทาง แล้วเลี้ยวขวาเข้าด่านทางด่วน ชิดขวาสุด พอก่อนจะถึงด่านเก็บเงินจะมีซอยแยกออกทางขวาเป็นซอยแคบๆ ซอยนี้แหละที่จะหักขวาไปตามทาง ออกไปสู่ร้าน Al-Rahaman

แต่ช้าก่อน ห้ามจอดในซอยนี้เป็นอันขาด มิฉะนั้นโดนล็อกล้อเป็นแน่ ต้องไปจอดรถที่ใต้ทางด่วนในซอยเจริญกรุง 43 ให้วิ่งมาจนสุดถนนสุรวงศ์ แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนเจริญกรุง จากนั้นชิดเลนขวาไว้ มาอีกนิดเดียวให้เลี้ยวขวาเข้าซอยเจริญกรุง 43 ที่อยู่เยื้องกับ CAT เทเลคอม เข้าไปแล้วจะเห็นที่จอดรถอยู่ทางด้านขวาอยู่ใต้ทางด่วน โดยเสียค่าจอดชั่วโมงละ 20 บาท

ออกจากที่จอดรถแล้วเดินเลี้ยวขวา ผ่านตึกคลังสินค้าอาหาร เลี้ยวเข้าซอยแรกขวามือตรงทะลุไปออกซอยพุทธโอสถ ก็จะเห็นร้าน Al-Rahaman อยู่ฝั่งตรงข้ามทางซ้ายมือ

เจ้าของร้าน Al-Rahaman เป็นเชฟชาวบังกลาเทศอารมณ์ดีชื่อว่าอับดุล รูฟ (Abdur Rouf) มาจากกรุงธากา (Dhaka) เมืองหลวงของประเทศบังกลาเทศ เชฟรูฟพอพูดไทยได้บ้าง เล่าให้เราฟังว่าอาหารของเขาเป็นแบบโฮมคุกสไตล์ที่เขาชอบกิน โดยเป็นการผสมผสานระหว่างอาหารของอินเดียตอนเหนือ ปากีสถาน และบังกลาเทศเข้าด้วยกัน ถือเป็นร้านอาหารฮาลาลสำหรับชาวมุสลิมด้วย

เชฟรูฟเอาใจลูกค้าสุดสุด ถ้าใครมาครั้งแรก เขาจะตักแกงต่างๆ ใส่ภาชนะกระทะเล็กมาให้เราชิมว่าเผ็ดไปหรือไม่ สามารถปรับได้ตามใจชอบ สำหรับผม รสชาติที่เชฟรูฟทำมาถูกใจอยู่แล้วไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรเลย

เมนูของร้าน Al-Rahaman มีครบถ้วนทุกหมวดหมู่ คัดมาแต่ที่ตัวเองทำอร่อยประมาณ 60 กว่าอย่าง เริ่มกันด้วยของกินเล่นเมนูใหม่ ปานิปุรี (Panipuri) (6 ลูก 60 บาท) เป็นแป้งทอดทำจากแป้งสาลีลูกกลมๆ กลวงๆ เจาะรูใส่ไส้ที่มีส่วนผสมของมะเขือเทศและถั่วลูกไก่ หรือชิกพี (Chick Pea) ไข่ต้ม ผักชี ปรุงรสจัดกำลังดี เปรี้ยวหอมเครื่องเทศนิดๆ กินแล้วสดชื่นหมดในพริบตา อีกอย่างคือซาโมซา (Samosa) ไส้ไก่ (80 บาท) ชิ้นสามเหลี่ยมก็อร่อยถูกใจ

เชฟอับดุล รูฟ (Abdur Rouf)
แกงที่เชฟรูฟให้ชิมว่าเผ็ดไปหรืออ่อนไปหรือไม่ สามารถปรับได้

จากนั้นเชฟรูฟปรนเปรอพวกเราด้วยพาเหรดอาหารอินเดียจานหลักตระการตาหลากหลาย ล้วนแล้วแต่สุดยอดทุกอย่าง ที่ห้ามพลาดเป็นอันขาดคือ มัทท่อนซีคกะบับ (Mutton Seekh Kebab) (250 บาท) เชฟรูฟบอกว่าเมนูนี้ทำจากเนื้อแพะบด ปรุงรสด้วยเครื่องเทศแล้วเสียบไม้ย่างเป็นแท่งยาวเรียว เมนูนี้อร่อยไม่เหมือนร้านไหนๆ เพราะนุ่มชุ่มฉ่ำไม่แห้งด้วยการราดวิปปิ้งครีมผัดปรุงรสกับเนย ขอบอกว่าร้านนี้ทั้งเนื้อแพะ เนื้อแกะจะหอมอร่อยไม่มีกลิ่นสาบเลย นี่คือสาเหตุว่าทำไมพวกเราชาวไทยถึงแห่กันมากินมากขนาดนี้

มีเมนูพิเศษอลังการคือขาแพะย่างทั้งขา (1,500 บาท) กิน 7-8 คนได้สบาย ซึ่งต้องสั่งล่วงหน้า 1 วัน นุ่มหอมอร่อย ขอย้ำอีกครั้งว่าไม่มีกลิ่นสาบเลย

ของเหล่านี้ให้กินสลับกับแกงต่างๆ ที่ห้ามพลาดทั้งสิ้น ถูกใจอันดับหนึ่งคือแกงมาซาลาขาแกะทั้งขา (Mutton Leg Masala) (1,250 บาท) มาซาลารสเข้มข้นถึงใจ หอมเครื่องเทศอร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา เนื้อขาแกะนุ่มๆ หอมๆ คนไม่เคยกินแกะ ถ้าไม่บอกคงไม่รู้เลย ถ้าไม่กินแกะก็มีมาซาลาไก่ที่สามารถสั่งใส่ไก่ย่างครึ่งตัวหรือทั้งตัวก็ได้ (300-500 บาท) และก็มีมาซาลากุ้งกับมาซาลาปูอีกด้วย

ปานิปุรี(Panipuri)

ต่อด้วยชิคเก้นติกก้ามาซาลา (Chicken Tikka Masala) (180 บาท) ใส่เนื้อไก่ชิ้นๆ หมักเครื่องเทศและโยเกิร์ตแล้วนำไปย่าง ตัวแกงครีมๆ หอมๆ รสกลมกล่อมอมเปรี้ยวเล็กน้อยด้วยมะเขือเทศ เหมาะสำหรับมือใหม่หัดชิมอาหารอินเดีย ถือว่าร้านนี้ทำได้รสจัดกว่าร้านอื่นจริงๆ และมีบัตเตอร์ชิคเก้น (Butter Chicken) (180 บาท) คือแกงอีกอย่างที่รสนุ่มนวลกินง่ายเช่นกัน

แกงเหล่านี้ให้กินกับข้าวหมกบริยานี (Biryani) ทำจากข้าวบาสมาติเมล็ดเรียวยาวหอมอร่อย มีทั้งข้าวหมกไก่ กุ้ง แพะ (150-160-180 บาท) และที่เชฟรูฟเลือกให้พวกเราคือข้าวหมกบริยานีปลาจะละเม็ดดำ (Fish Biryani) (180 บาท) หอมเครื่องเทศกลิ่นไม่แรงจนเกินไป

หรือจะกินคู่กับแป้งนาน (Naan) อีกหนึ่งสุดยอดของความอร่อย ตัวแป้งนานหนาๆ นุ่มเหนียว ให้สั่งมาทั้งนานกระเทียม (Garlic Naan) (40 บาท) แผ่นยักษ์ และชีสนาน (Cheese Naan) (30 บาท)

ส่วนเครื่องดื่มที่ชื่นใจมากคือ ลาสซีมะม่วง (Mango Lassi) (50 บาท) ปั่นกับโยเกิร์ต และลาสซี (Lassi) ปกติไม่ใส่ผลไม้ ทั้งชนิดหวานและเค็ม (40 บาท) รสเค็มอมเปรี้ยว

ยังมีของดีอีกเยอะที่อัล ราฮามัน สงสัยอะไรถามได้เลย ที่ร้านนี้อัธยาศัยใจคอดีมาก นี่คือร้านอาหารอินเดียซึ่งไม่ควรพลาดเลยทีเดียว ร้านเปิดทุกวันตั้งแต่ 11 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม แนะนำว่าควรไปรอก่อนร้านเปิดเล็กน้อยจะดีที่สุด

มีข่าวดีมาบอก คาดว่าต้นปีหน้า เชฟรูฟจะเปิดร้านสาขาใหม่ใกล้กัน ตรงซอยที่เดินทะลุมาจากที่จอดรถ จุคนได้มากขึ้นราว 60 คน จะได้ไม่ต้องรอคิวนานเกินไปแล้วนะจ๊ะ

ข้อมูลร้าน

อัล ราฮามัน (Al-Rahaman)

โดย เชฟอับดุล รูฟ (Abdur Rouf)

ที่ตั้ง 92/4 ซ.พุทธโอสถ ถ.เจริญกรุง สี่พระยา บางรัก กรุงเทพฯ 10500

โทร 08-5140-1440

เปิดบริการ 11.00-21.00 น. ทุกวัน

แนะนำ ปานิปุรี (Panipuri) ซาโมซา (Samosa) ไส้ไก่ มัทท่อนซีคกะบับ (Mutton Seekh Kebab) ขาแพะย่างทั้งขา แกงมาซาลาขาแกะทั้งขา (Mutton Leg Masala) (ใส่ไก่ย่างแทนได้) ชิคเก้นติกก้ามาซาลา (Chicken Tikka Masala) บัตเตอร์ชิคเก้น (Butter Chicken) ข้าวหมกบริยานีปลาจะละเม็ดดำ (Fish Biryani) นานกระเทียม (Garlic Naan) ชีสนาน (Cheese Naan) ลาสซีมะม่วง (Mango Lassi) ลาสซี (Lassi) หวานและเค็ม

Facebook : Al-Rahaman Restaurant

มัทท่อนซีคกะบับ(Mutton Seekh Kebab)
มาซาลาขาแกะทั้งขา(Mutton Leg Masala)
ชิคเก้นติกก้ามาซาลา(Chicken Tikka Masala)
ข้าวหมกบริยานีปลาจะละเม็ดดำ(Fish Biryani)
นานกระเทียม(Garlic-Naan)แผ่นยักษ์ และชีสนาน(Cheese Naan)
บัตเตอร์ชิคเก้น(Butter Chicken)
ลาสซีมะม่วง(Mango Lassi)

ที่มา : มติชนออนไลน์

เมนูปลาฮามาจิสำหรับผู้ที่ไม่รับประทานเนื้อวัว

ช่วงปลายปีที่ผ่านมามีร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่งคอนเซ็ปต์สนุกสนานไม่เหมือนใคร กลับมาเปิดตัวใหม่ชื่อว่า อิกนีฟ แบงคอก (IGNIV BANGKOK) หรือมีชื่อเต็มๆ ว่า อิกนีฟ แบงคอก บาย แอนเดรียส คามินาดา (IGNIV Bangkok by Andreas Caminada) อยู่ที่ โรงแรมเดอะเซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ (The St. Regis Bangkok) ถนนราชดำริ

คำว่า IGNIV ในภาษาโรมานซ์ (Romansh) ของสวิตเซอร์แลนด์ แปลว่า รังนก บ่งบอกเป็นนัยว่าการมาชิมอาหารที่ร้านนี้จะให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง เข้ากับโทนการตกแต่งร้านในสไตล์โมเดิร์นด้วยไม้และผ้า ผสมผสานกับงานศิลปะเก๋ๆ และเฟอร์นิเจอร์สีสันสดใสมีชีวิตชีวา

อิกนีฟคือรังนกลำดับที่ 4 ซึ่งเป็นสาขาแรกนอกประเทศสวิตเซอร์แลนด์ของเชฟ แอนเดรียส คามินาดา เชฟชาวสวิสผู้มีชื่อเสียงระดับโลก ขึ้นชื่อเรื่องความคิดสร้างสรรค์ ความทันสมัยและความอร่อย อีกทั้งร้านของเขา Schloss Schauenstein ซึ่งตั้งอยู่ในปราสาทโบราณ ได้รับรางวัลสูงสุดระดับมิชลินสตาร์ 3 ดาว

โดยร้านอิกนีฟ แบงคอก อยู่ในการดูแลของหัวหน้าเชฟ เดวิด ฮาร์ดวิก (David Hartwig) ผู้มีประสบการณ์การทำงานกับเชฟแอนเดรียสมายาวนาน และมีเชฟอาเน่ รีน (Arne Riehn) เชฟหนุ่มชาวเยอรมัน เป็นผู้ช่วยหัวหน้าเชฟและเชฟขนมหวาน

คอนเซ็ปต์ของอิกนีฟ แบงคอกในเมืองไทยคือการ Sharing ซึ่งตรงกับอุปนิสัยและวัฒนธรรมการกินของคนไทยที่นิยมสั่งกับข้าวมาเป็นกองกลางแล้ว แบ่งกันกิน หนุบหนับ

โดยมื้อเย็นนั้นจะเสิร์ฟเต็มรูปแบบจำนวน 4 คอร์สใช้ชื่อว่า IGNIV 4 Course Dinner Sharing Experience (3,800++ บาทต่อท่าน) แบ่งเป็นเมนู 4 ประเภท คือ ของกินเล่นหรือ Snacks อาหารเรียกน้ำย่อยหรือ Starters จานหลักหรือ Mains และของหวานหรือ Desserts (มีมื้อกลางวัน 3 คอร์สด้วย)

ฟังดูเหมือนน้อย ซึ่งความจริงเมนูแต่ละประเภทนั้นมีให้เราชิมหลากหลายถึงหมวดละ 4-5 จาน ในวันนั้นพวกเราโดนปรนเปรอไปถึง 19 จาน ไม่นับเมนูเซอร์ไพรส์และเมนูซิกเนเจอร์ที่ต้องสั่งเพิ่มเป็นพิเศษต่างหาก (สุดยอด ห้ามพลาด) มาแล้วรับรองว่าจะตื่นตาตื่นใจได้แย่งกันชิมเมนูโมเดิร์นอร่อยแปลกใหม่ คำเล็กๆ สวยเก๋ นำเสนอในรูปแบบยุโรปพบเอเชีย ตะวันออกพบตะวันตก

ก่อนอื่นแค่เสิร์ฟขนมปังมาให้ 3 ชนิด กับเนยที่ตีกับโยเกิร์ตทำเป็นรูปยอดเขาหิมะ ก็หอมมันกินเพลินจนหยุดไม่ได้

เริ่มกันด้วยของกินเล่นมีถึง 4 จาน ทำเป็นคำเล็กๆ ที่ชื่นชอบประทับใจมากๆคือ Mushroom-Olive Oil-Truffle แป้งด้านล่างทำจากเห็ด ด้านบนเป็นพิวเรเห็ดครีมๆ หอมๆ โรยหน้าด้วยทรัฟเฟิลชิ้นฝอยๆ เต็มหน้า และมีเมนูเก๋มาก Mango-Cornetto-Chilli โคนจิ๋วทำจากแป้งข้าวโพดและมะม่วง ไส้ในเป็นไอศกรีมมะม่วงและซัลซ่ามะม่วง โรยหน้าด้วยพริก ได้รสจัดๆคล้ายฝรั่งจิ้มเกลือ จานนี้ต้องรีบถ่ายรูปไวๆเพราะจะละลายและแป้งเหนียวเร็ว ต่อด้วย Daikon-Mackerel-Green Pea หัวไชเท้าฝานม้วนสอดไส้ปลาแมคเคอเรลกับวาซาบิและผงถั่วลันเตา กินกับเจลส้มจี๊ด ซึ่งจานที่ใช้สั่งพิเศษเป็นลายนกเข้ากับชื่อร้านอิกนีฟ ปิดท้ายด้วย Kohlrabi-Herb โคลราบิหรือหัวเทอร์นิปเยอรมันกรอบๆ ม้วนสอดไส้อาโวคาโดกับเครมเฟรชครีมๆ หอมมัน

เชฟ Arne Riehn และ David Hartwig
ขนมปังกับเนยตีกับโยเกิร์ตทำเป็นรูปยอดเขาหิมะ หอมมัน
เชฟ Arne Riehn และ David Hartwig

คอร์สถัดมาเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย ซึ่งในคืนนั้นมีถึง 6 เมนู ที่อร่อยถูกใจมากๆคือ Beef Tartare-Radish-Truffle บี๊ฟทาทาร์เนื้อสดกับทรัฟเฟิลมาโย มีสลัดหัวแรดิชคลุมอยู่ด้านบน กับน้ำสลัดทรัฟเฟิลวินิเกรตต์ เมนูนี้กินคู่มันฝรั่งทอดอิกนีฟอันลือชื่อ แผ่นโตๆ กรอบเหมือนข้าวเกรียบ สำหรับคนไม่กินเนื้อสามารถบอกล่วงหน้าตอนจองโต๊ะได้เลย รวมทั้งให้แจ้งว่าแพ้อาหารอะไรบ้าง อย่างเช่นวันนั้นทางร้านเสิร์ฟปลาฮามาจิให้แทนเนื้อวัว

เมนูเรียกน้ำย่อยอื่นๆ ก็มีความโดดเด่นรสชาติหลากหลาย ทั้ง Sea bass-Mulberry-Chompoo ปลากะพงขาวสดๆ ทำเป็นเซวิเช่ (หรือยำของฝรั่ง) กินกับชมพู่และลูกหม่อน และ Duck Liver-Mandarin-Brioche มูสตับเป็ดเนียนหอมมันกินกับเจลส้มแมนดารินเปรี้ยวหอม มีขนมปังบริยอชมาคู่กัน Lettuce-Red Cabbage-Mustard-Lardo ผักกาดกรอบๆ ราดซอสกะหล่ำแดงกับมัสตาร์ด คลุมด้านบนด้วยมันหมูบางๆ มีเจลส้มจี๊ดเปรี้ยวๆด้วย Langoustine-Cucumber-Ponzu กุ้งมีก้ามตัวเล็กๆ เนื้อสดหวานของยุโรป กินกับแตงกวาราดน้ำพอนสึเปรี้ยวๆ ของญี่ปุ่น รวมทั้งมีพอนสึแบบเข้มข้น และ Tomatoes-Chive-Dill จานนี้สุดยอดมาก ทำจากมะเขือเทศ 3 อย่างทั้งชนิด Sun-dried หรือตากแห้ง Semi-dried หรือกึ่งแห้ง และมะเขือเทศสด ราดน้ำสลัดมะเขือเทศวินิเกรตต์ กับ Chive Oil(ต้นหอมฝรั่ง) ได้รสสัมผัสอร่อยแตกต่างทั้ง 3 ชนิด

ผักกาดกรอบๆราดซอสกะหล่ำแดงคลุมด้วยมันหมูบางๆ

ก่อนจะถึงจานหลัก ยังมีคั่นด้วยรายการ เมนูเซอร์ไพรส์ 1 อย่าง (เพิ่ม 400++ บาท ต่อคน) ซึ่งสามารถแจ้งสั่งเพิ่มได้ตอนจองโต๊ะล่วงหน้า แล้วมาลุ้นวันชิมว่าจะได้เมนูอะไร อีกทั้งมี เมนูซิกเนเจอร์ของอิกนีฟ (จ่ายเพิ่มแต่ละเมนู) ที่ยกมือเชียร์ให้สั่งจองล่วงหน้า อร่อยคุ้มค่าทีเดียว

เมนูเซอร์ไพรส์วันนั้นคือ เนื้อปลาเก๋านึ่งราดซอสแอสพารากัสเบอร์บลองค์ และโฟมบราวน์บัตเตอร์ ใส่คาเวียร์ และมีโคราบิประกบ 2 ชั้นด้านบน ส่วน IGNIV Signature Dish มีถึง 3 เมนู ที่ห้ามพลาดเลยคือ อิกนีฟนักเก็ตไก่ (400++ บาท ต่อคน) เป็นนักเก็ตที่ดูดีและอร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา ซึ่งต้องหมักไก่ก่อน 48 ชั่วโมง จากนั้นนำมาทำให้สุกอย่างช้าๆ (ซูวี้ด) กับเครื่องเทศ นาน 6 ชั่วโมง และชุบแป้งทอดหนาๆ หอมๆ ตอนเสิร์ฟจะรมควันในครอบแก้วด้วย

เมนูซิกเนเจอร์อีก 2 อย่างคือ ดอกกะหล่ำ (400++ บาท ต่อคน) ที่เคลือบด้วย ซอสทรัฟเฟิล หนึบเหมือนกินแคนดี้ มีโฟมทรัฟเฟิลและทรัฟเฟิลขูดด้วย และ ทาร์ตคาเวียร์ ชิ้นเล็กๆ (800++ บาท ต่อคน) จากร้านของตระกูลดังเรื่องคาเวียร์นานร้อยปีที่ปารีส กินกับปลารมควัน

แค่นี้ก็หนังท้องตึงแล้ว แต่ยังมาแค่ครึ่งทางเท่านั้น ต่อด้วยจานหลักอีก 4 อย่าง มีทั้งจานผัก บรอกโคลีกับพิวเรเมล็ดสนและเมล็ดผักโขม และเมนูเมล็ดข้าวโพดกับข้าวโพดคั่ว ส่วนจานเนื้อ มีซี่โครงหมูบาร์บิคิวรมควันย่างอุ่นร้อนมาบนเตาเล็กๆ กินกับครีมหอมแดง ปิดท้ายด้วยเนื้อสันนอก (Striploin) ชิ้นเล็กๆ กับซอสกระเทียมดำและ Salsa Verde เขียวๆ

อิ่มแค่ไหนก็ยังมีขนมหวานรอให้ลิ้มลองอีก 5 อย่าง ทั้งไอศกรีมซอร์เบต์รสเบซิลหรือโหระพาฝรั่ง และช็อกโกแลตซูเฟล่ อบจนขึ้นฟูสวย อีกทั้งแตงโมและแคนตาลูปดองอยู่ในน้ำซุปแตงโมเย็น และคาเคานิบส์ (Cacao Nibs) หรือเนื้อในของเมล็ดโกโก้ กินกับโฟมเชอร์รีเนื้อครีมเบาๆ และ IGNIV Shaved Ice หรือน้ำแข็งใสรสชามะลิกับคัสตาร์ดอัลมอนด์น้ำผึ้งและโฟมเลมอน

ความเก๋ความน่ารักยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ก่อนกลับเรายังสามารถเติมความสุขได้อีก ด้วยการเลือกหยิบขนมหวานหลากหลาย ใส่กล่องที่เตรียมไว้ให้กลับบ้านได้ตามใจชอบ ที่มุม อิกนีฟ แคนดี้ สโตร์ (IGNIV Candy Store) ห้ามพลาดเยลลี่รสผลไม้รสต่างๆ นอกจากนี้ก็มีมาการอง คาเนเล่ (canel?) ช็อกโกแลตต่างๆ มาดแลน (Madeleine) และอื่นๆ อีกหลายอย่าง

อิกนีฟ แบงคอก เปิดให้บริการวันพุธถึงวันอาทิตย์ ช่วงมื้อกลางวัน 12.00-15.00 น. คนละ 1,900 บาท ++(3 คอร์ส) และช่วงมื้อเย็น 18.00-23.00 น. คนละ 3,800 บาท ++(4 คอร์ส) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสำรองโต๊ะได้ที่ 0-2207-7822

ปลากะพงขาวเซวิเช่ กินกับชมพู่และลูกหม่อน
Mushroom-Olive-Oil-Truffle ของกินเล่นทำจากเห็ดและทรัฟเฟิล
เมนูเซอร์ไพรส์วันนั้น เนื้อปลาเก๋านึ่งราดซอสแอสพารากัสเบอร์บลองค์
เมนูเซอร์ไพรส์วันนั้น เนื้อปลาเก๋านึ่งราดซอสแอสพารากัสเบอร์บลองค์

อิกนีฟ แบงคอก

(IGNIV BANGKOK)

ที่ตั้ง The St.Regis Bangkok 159 ถ.ราชดำริ ลุมพินี ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

โทร 0-2207-7822

เปิดบริการ 12.00-15.00 น. (ออเดอร์สุดท้าย 14.00 น.)

และ 18.00-23.00 น. (ออเดอร์สุดท้าย 21.30 น.) พุธ-อาทิตย์

หยุด จันทร์-อังคาร

แนะนำ IGNIV Lunch and Dinner Sharing Experience

IGNIV Signatures (IGNIV Chicken Nuggets, Cauliflower Truffle)

www.ignivbangkok.com

Facebook IGNIV Bangkok

Instagram igniv_bangkok

ดอกกะหล่ำเคลือบด้วยทรัฟเฟิลหนึบอร่อย
ซี่โครงหมูบาร์บิคิวรมควัน
ไอศกรีมซอร์เบต์รสเบซิล
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์, มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2563, หน้า 20
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก

อาทิตย์ปิ่นโตเถาเล็กมีซีรีส์ญี่ปุ่นตอนสองมาฝาก กับสุดยอดร้านยากินิกุปิ้งย่างคุณภาพพรีเมียมเหมือนได้กินเนื้อวากิวในประเทศญี่ปุ่น ที่อยู่ในกระแสความนิยมอินเทรนด์เสมอมา คือร้าน Ginzado (กินซาโดะ) มากี่ครั้งก็ยังเห็นมีลูกค้าแวะเวียนมาเต็มร้านอยู่เสมอ

จุดเด่นของร้าน Ginzado อยู่ที่มีเจ้าของร้านเป็นชาวญี่ปุ่น รู้ซึ้งถึงเรื่องการเลี้ยงวัวและการคัดเนื้อคุณภาพ มีฟาร์มเลี้ยงวัวไทยวากิวในไทยที่ทำสัญญากันไว้ เลี้ยงอย่างดีไม่มีการใช้สารเร่งหรือฮอร์โมนใดๆ จึงได้เนื้อดีเหมือนเนื้อวากิวญี่ปุ่น อีกทั้งที่ร้านทำบริษัทส่งเนื้อเองจึงคัดแต่ของดีมีคุณภาพในราคาเหมาะสมไม่แพงจนเกินไป และเนื้อที่ใช้จะไม่ใช่เนื้อแช่แข็ง แต่เป็นเนื้อแช่เย็น (Chilled) ซึ่งมีผลดีต่อรสชาติและคุณภาพของเนื้ออย่างมาก

ตอนนี้ Ginzado มีทั้งหมด 3 สาขา ที่แรกอยู่ในซอยสุขุมวิท 26 เข้าไป 400 เมตรจากปากซอยด้านสุขุมวิท ทางเข้าร้านจะอยู่ทางซ้ายมือ สาขานี้มีร้านขายเนื้อให้ซื้อกลับบ้านด้วย ส่วนอีก 2 แห่งจะอยู่ที่ในซอยทองหล่อ สุขุมวิท 55 คือที่ปานจิตต์ทาวเวอร์ ระหว่างทองหล่อซอย 5 และซอย 7 (ติดโรงแรม Somerset) ส่วนอีกแห่งอยู่ใกล้ปากซอยทองหล่อ เพิ่งเปิดมาไม่นานมากใช้ชื่อว่า Grand Ginzado อยู่ที่ชั้นล่างของ Hotel Verve จอดรถได้ที่ โรงแรมนิกโก้ กรุงเทพ (Hotel Nikko Bangkok) ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน แค่เดินข้ามตึกมาก็ถึงแล้ว สาขานี้มีห้องส่วนตัวถึง 5 ห้อง

เมนูของทุกสาขานั้นจะเหมือนกันหมด มาร้านนี้แค่กินเนื้อในเมนูปกติก็อร่อยเลิศเลอแล้ว มีสูตรสำเร็จที่ชอบสั่งกัน คือเมนูเนื้อเบอร์ A1 ซี่โครงเนื้อคัดพิเศษอย่างดี (Tokujyou Karubi) (590 บาท++) เบอร์ A5 เนื้อสันนอกคัดพิเศษอย่างดี (Tokujyou Rousu) (550 บาท++) และเบอร์ A14 เนื้อใบพาย (Misuji) (350 บาท++) ยิ่งชิมยิ่งถูกใจว่าเนื้อร้านนี้มีมันแทรกทุกอณูอร่อยเหมือนกินเนื้อวากิวในญี่ปุ่นจริงๆ

ด้วยความนิยมในเนื้อเหล่านี้จึงทำให้บางเมนูอาจจะหมดก่อนเป็นบางครั้ง แต่ขอบอกว่าเมนูอื่นหรือเบอร์อื่นๆก็อร่อยมีคาแรคเตอร์โดดเด่นแตกต่างกันไป เช่นเนื้อกระบังลมคัดพิเศษ (Jyou Harami) (350 บาท++) ที่มีกลิ่นรสเข้มข้นเฉพาะตัว นอกจากนี้ ยังมีเนื้อพิเศษที่แยกอยู่ในเมนูเป็นแผ่นๆ (Special Menu) ก็คุณภาพยิ่งดีขึ้นไปอีก เหมาะสำหรับผู้ที่อยากไปให้ถึงที่สุด เช่น Tokujyo Misuji หรือเนื้อใบพายคัดพิเศษอย่างดี (580 บาท++) (ในเมนูพิเศษมีแต่ภาษาอังกฤษ) ก็นุ่มหอมมันเพิ่มไปอีกขั้น ส่วนเมนูพิเศษอื่นๆ ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่าวากิว (Wagyu) ก็สุดยอดทุกรายการ แน่นอนว่าราคาย่อมสูงขึ้นตามไปด้วย แต่ก็ยังไม่แพงมากเมื่อเทียบกับบางร้านที่ขายเนื้อพิเศษ

สำหรับคนชอบกินเนื้อ ควรจะสั่งลิ้นวัว(A17 250 บาท++ A16 คัดพิเศษ 480 บาท++)มาเพิ่มอีก มีทั้งหมักเกลือและหมักซอส ถ้าอยากได้รสชาติหอมแท้ๆ ของลิ้นวัวก็ให้สั่งชนิดหมักเกลือ พอย่างเสร็จให้บีบมะนาวเหลืองเพิ่มลงไปด้วย

กุ้งทะเล
หนวดปลาหมึก

ใครไม่กินเนื้อ เมนูหมูของ Ginzado ก็ใช้ได้เช่นกัน มีคำยืนยันมาจากสมาชิกที่ไม่กินเนื้อ เลือกสั่งได้ตั้งแต่เนื้อหมู (Buta) (160 บาท++) สำหรับคนที่ไม่ชอบมันมาก หรืออยากกินที่หอมมันไปเลยก็ให้สั่ง หมูสามชั้นเกรด A (Buta Bara) (180 บาท++) และคอหมูย่างคัดพิเศษ (Ton Toro) (220 บาท++)

พวกอาหารทะเลก็ดีเช่นกัน มีทั้งกุ้งทะเล (300 บาท++) หอยเชลล์ (450 บาท++) และหมึกหรือจะเลือกเป็นหนวดหมึก (180 บาท++) อย่างเดียวก็ได้

ส่วนเครื่องเคียง ซุป ข้าว และเมนูอื่นๆมีให้เลือกชิมหลากหลาย กินให้ครบเครื่องต้องสั่งกิมจิ มีทั้งที่สั่งแยกแต่ละชนิด และกิมจิรวมมิตร(220 บาท++) และให้สั่งยำผักรวมมิตร(Namuru) ใส่น้ำมันงา (150 บาท++) ซุปหางวัว(ถ้ากินเนื้อ)(250 บาท++) หรือซุปไข่กับซุปสาหร่าย(120 บาท++)

หอยเชลล์

ถ้าใครมาช่วงกลางวันจะมีเซตมื้อกลางวัน (Lunch set) ซึ่งราคาย่อมเยาและคุณภาพดีเป็นที่นิยมในหมู่ลูกค้าชาวญี่ปุ่น

นี่คือร้านยากินิกุ ปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นที่ให้ความรู้สึกเหมือนกินเนื้อวากิวในประเทศญี่ปุ่นจริงๆ ร้านเปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 11.30-23.00 น.(ส่วนที่ปานจิตต์ทาวเวอร์ วันจันทร์-ศุกร์ เปิดเฉพาะมื้อค่ำ 17.00-23.00 น.) คำเตือนอย่าปล่อยให้หิวโซและไปที่ร้านช่วงตอนเย็น เพราะคนจะแน่นอย่าบอกใคร

ช่วงเทศกาลปลายปีอย่างนี้ มีร้านเค้กในดวงใจมาฝาก สำหรับใครที่อยากสั่งเค้กคุกกี้มาเลี้ยงฉลองกัน ชื่อว่าทรูลี่ สครัมเชียส (Truly Scrumptious) อยู่ในซอยสุขุมวิท 49/11 (ซ.พร้อมศรี 1) ถ้าเลี้ยวมาจากด้านโรงพยาบาลสมิติเวช เข้าซอยมาเพียง 200 เมตร จะเห็นร้านทรูลี่ สครัมเชียส (Truly Scrumptious) ทางขวามือ จอดรถได้ที่ The Racquet Club ซึ่งอยู่เยื้องๆ กันทางซ้าย (รับคูปองจอดฟรีชั่วโมงแรกได้ที่ร้าน)

นอกจากเค้กซิกเนเจอร์ตัวโปรดของผมและอีกหลายคน เช่น Chocolate Ganache with Ovaltine Mascapone Filling & Mixed Berries (ก้อนละ 2,350 บาท) Basque Burnt Cheesecake (ชิ้นละ 210 บาท) และเค้กเบียร์ดำ (Signature Black Beer Cake) (สั่งเพิ่มเป็นคอนญัก (Congac) ครีมชีสได้ ก้อนละ 1,350-1,650 บาท) ซึ่งสามารถสั่งทาง Line@trulyscrumptious ล่วงหน้า 2-3 วัน ได้นั้น

น้องดิ๋งยังทำคุกกี้อร่อยๆ มาอีกด้วย เช่นชีสแครกเกอร์คุกกี้ (4 ชิ้น 210 บาท) ด้านนอกๆ กรอบ เนื้อในหนึบๆ หอมชีส และมีราสป์เบอรี่ คาราเมลไรซ์ ไวท์ช็อกโกแลตคุกกี้ (3 ชิ้น 265 บาท) ซึ่งจะใส่ช็อกโกแลตชิปส์ด้วย คุกกี้ทั้ง 2 ตัวนี้ถูกใจมาก

อีกทั้งยังมีของดีออกมาขายเฉพาะในช่วงเทศกาลด้วยมากมาย ตัวอย่างเช่น กล่องของขวัญ (950 บาท) ที่ทำเป็นรูปหน้าร้าน ซึ่งมีชาขาว No.57 2 กล่อง (12 ถุง) กับบิสกิต (Shortbread) 3 ชนิด รวม 10 ชิ้น

ส่วนเค้กและพายในเทศกาลน่าสนใจมีอีกเพียบ เช่น Red Velvet Bundt with Cream Cheese Filling(ก้อนละ 1,850 บาท) Winter Berry Meringue Wreath(2,250 บาท) Pink Himalaya Salted Honey Pie with Sour Cream (1,450 บาท) ใช้น้ำผึ้งดอกลำไยหอมๆ และคริสต์มาสคุกกี้ดูโอ้ 2 ชนิด(250-350 บาท) คือ Red Velvet with Cream Cheese Fillings กับ Matcha Macadamia White Chocolate ไม่สามารถบรรยายได้หมด ขอบอกว่าเค้กคุกกี้ร้านนี้เลิศหรูดูดีมีรสชาติมากๆ เชิญสอบถามกันได้เลยทาง Line @trulyscrumptious ร้านหยุดวันจันทร์นะจ๊ะ

กิมจิรวมมิตร
ยำผักรวมมิตร(Namuru)

ข้อมูล

Ginzado

Grand Ginzado

ที่ตั้ง 22/1 โฮเทล เวิร์ฟ (Hotel Verve) ถ.สุขุมวิท 55 คลองตันเหนือ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110

โทร 0-2007-5645

เปิดบริการ 11.30-23.00 น. ทุกวัน

แนะนำ ยากินิกุ ปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่น เนื้อไทยวากิว

หมายเหตุจอดรถในโครงการ Hotel Nikko จอดฟรี 2 ชั่วโมงเมื่อประทับตราบัตรจอดรถที่ร้าน ชั่วโมงที่ 3 คิด 80 บาท

ช่วงคนแน่น 12.00-14.00 น. และ 18.00-20.00 น.

Ginzado สุขุมวิท 26

โทร 0-2661-2300

เปิดบริการ 11.30-23.00 น. ทุกวัน

Ginzado ทองหล่อ ปานจิตต์ทาวเวอร์

โทร 0-2392-3248

เปิดบริการ 17.00-23.00 น. จันทร์ -ศุกร์

11.30-23.00 น. เสาร์ -อาทิตย์

www.ginzado.co.th

ทรูลี่ สครัมเชียส (Truly Scrumptious)

โดย คุณนิดา(ดิ๋ง) สิงหเนตร และคุณชุลีอร (แพรว) ชลิตอาภรณ์

ที่ตั้ง 197/2 ซ.สุขุมวิท 49/11 ถ.สุขุมวิท คลองเตยเหนือ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110

โทร 0-2019-8080

สั่งเค้กได้ที่ Line @trulyscrumptious สั่งล่วงหน้า 2-3 วัน

เปิดบริการ 09.00-17.00 น. อังคาร-ศุกร์

09.30-17.30 น. เสาร์-อาทิตย์

หยุด จันทร์

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์, มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563, หน้า 20
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
คริสต์มาสคุกกี้ดูโอ้
Chocolate Ganache with Ovaltine Mascapone Filling Mixed Berries
เซ็ตสุกี้ยากี้เนื้อวากิว A5(Wagyu Beef A5)

เดือนธันวาคมเป็นเดือนแห่งเทศกาลเลี้ยงฉลอง ปิ่นโตเถาเล็กจึงขอปรนเปรอแฟนๆ ด้วยร้านอร่อยเหมาะสำหรับการสังสรรค์ อีกทั้งร้านที่เหมาะสำหรับการซื้อหาเป็นของกำนัล ไปตลอดทั้งเดือนนี้นะจ๊ะ

ประเดิมกันด้วยร้านสุกียากี้สไตล์คันไซขึ้นชื่อเรื่องเนื้อคุโรเกะ วากิวจากเกียวโต โอซากา ไขมันแทรกเป็นลายหินอ่อนนุ่มจนแทบละลายในปาก ต้องยกให้ร้าน Suki Masa (สุกี้ มาสะ) รับรองว่าถูกใจแน่นอน มื้อค่ำคิวแน่นอย่าบอกใคร ถ้าไม่อยากยืนรอ ควรจองล่วงหน้าก่อนมานะจ๊ะ

ตอนนี้ Suki Masa มีอยู่ 2 สาขา ที่แรกคือใน ซอยทองหล่อ 5 เพียง 100 เมตรจากปากซอย ทางขวามือ มีทางเข้าที่จอดรถอยู่ก่อนถึงร้าน มาประทับตราที่ร้านจอดฟรี 2 ชั่วโมง อีกสาขาเพิ่งเปิดเมื่อปีที่แล้ว อยู่ที่ศูนย์การค้า สยามพารากอน ชั้น G และในไม่ช้านี้จะไปเปิดเพิ่มอีกแห่งในซอยสุขุมวิท 39 ฝั่งซ้ายมือ ตรงเส้นวันเวย์ที่จะไปสุขุมวิท 31

ตอนนี้ Suki Masa ที่ทองหล่อ เปิดขายวันละ 5 รอบ รอบละ 2 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ 11.00-13.00 น. 13.00-15.00 น. 15.00-17.00 น. 17.00-19.00 น. และ 19.00-21.00 น. โดยจะปิดตอนสี่ทุ่ม ส่วนวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เพิ่มรอบที่ 6 ตอน 21.00-23.00 น. (Last order 22.00 น.) จะปิดตอนห้าทุ่ม ส่วนที่สาขาสยามพารากอนนั้น จะมี 5 รอบทุกวัน (Last order 21.00 น.)

เมนูยอดนิยมของ Suki Masa คือ สุกียากี้ กับ ชาบู ชาบู โดยมักจะสั่งกันเป็นเซต มีให้ครบทุกอย่าง กินอิ่มกำลังดี ในเซตสุกียากี้จะมีสลัด ข้าว ซุปมิโซะ ผักดอง คอนยากึ ชุดผักกับเห็ดและเต้าหู้ และมีไข่ดิบให้ 1 ฟอง สำหรับจิ้มเนื้อ

ส่วนเซตชาบู ชาบู จะมีเส้นอูด้งจิ้มซอสงาแทนคอนยากึ และมีน้ำซอสพอนสึรสเปรี้ยวกับซอสงาข้นๆ ให้เลือกจิ้มเป็นน้ำจิ้ม ซึ่งจะมีพริกกับกระเทียมให้ปรุงเพิ่มแบบไทยๆ ได้ด้วย และของหวานในเซตทั้งสุกียากี้และชาบู ชาบู คือ คาราเมล พุดดิ้ง (คัสตาร์ด)

ซึ่งน้ำซุปของชาบู ชาบู จะมีให้เลือก 4 แบบ มี น้ำซุปดาชิ (Dashi) ทำจากปลาแห้งกับสาหร่ายคอมบุ น้ำซุปทงคตสึคอลลาเจน (Tonkotsu Collagen) หรือน้ำซุปกระดูกหมูเคี่ยวนาน 5-6 ชั่วโมงอย่างต่ำ (แนะนำน้ำซุปชนิดนี้) น้ำซุปยูสึ ทงคตสึ คอลลาเจน และ น้ำซุปมิโซะ ทงคตสึ

โดยทั้งเซตสุกียากี้และเซตชาบูชาบู จะแบ่งตามชนิดของเนื้อสัตว์ คนชอบกินเนื้อมีให้เลือกตั้งแต่ เนื้อวากิว A5 (Wagyu Beef A5) (1,500 บาท++) (เสิร์ฟในถาดไม้ที่ทองหล่อ และถาดทองที่พารากอน)

เนื้อวากิว A4 (Wagyu Beef A4) (1,200 บาท++) (เสิร์ฟในถาดสีเหลืองทองที่ทองหล่อ และถาดลายจุดเทาเข้มกับขาวที่พารากอน) เนื้อมาสะ (Masa Beef) (1,000 บาท++) (เสิร์ฟในจานหรือถาดดำ) และ เนื้อวากิวพิเศษ (Special Wagyu Beef) (800 บาท++) ซึ่งเป็นเนื้อนำเข้าจากแถบคันไซ ให้คนละ 150 กรัม ซึ่งปริมาณไขมันแทรกและราคาจะลดหลั่นกันลงมาตามที่บอกไป โดยถ้าเป็นสุกียากี้จะแล่ชิ้นหนาๆ ให้มา 4 ชิ้น ส่วนชาบู ชาบูจะแล่ชิ้นบางกว่าให้มา 5 ชิ้น

สำหรับผมแล้วแค่เซต เนื้อมาสะ ก็นุ่มอร่อยเหลือหลายคุ้มค่าเกินราคา แต่ถ้าใครอยากรู้ซึ้งถึงคำว่าละลายในปากนั้นเป็นเช่นไรก็สั่ง เนื้อวากิว A5 มาได้เลย โดยเราสามารถสั่งเนื้อเป็นจานๆ เพิ่มต่างหากมาลิ้มลองได้ด้วย (เช่นเนื้อวากิว A5 จานละ 1,200 บาท++)

ใครไม่กินเนื้อก็มี เซตหมูคุโรบูตะ (Kurobuta Pork) (450 บาท++) นุ่มๆ เซตเนื้อไก่เลี้ยงปล่อย (450 บาท++) เซตเนื้อแกะนิวซีแลนด์ (550 บาท++) และ เซตอกเป็ด (700 บาท++) อีกด้วย

เซ็ตชาบูชาบู เนื้อวากิว A5 (Wagyu Beef A5)
เนื้อวากิว A4 สำหรับสุกี้ยากี้

ถ้าสั่งสุกียากี้ จะมีพนักงานมาทำให้ เอาเนื้อชิ้นโตๆ หนาๆ ลงไปผัดซอสวาริชิตะพอขลุกขลิกกับหอมใหญ่ จนเนื้อพอสุก คีบให้เราชิมทีละชิ้น ใครสั่งชาบู ชาบู สามารถลวกเนื้อทำเองได้เลย แนะนำว่าอย่าปล่อยให้สุกจนเกินไป แค่ลวกพอสีชมพูเรื่อๆ จะกินอร่อยมาก ทั้ง 2 อย่างนี้อร่อยจนเก็บไปฝันถึงอีกนาน

พอกินใกล้จะเสร็จ ถ้ายังไม่ได้กินข้าวก็ขอให้พนักงานนำข้าวใส่ลงกระทะผัดให้ โดยพนักงานจะกะปริมาณน้ำซอสสุกี้ให้พอดีกับข้าว รับรองว่าจะได้ข้าวที่หอมอร่อยมากจริงๆ ส่วนถ้าเป็นชาบูชาบู ให้พนักงานใส่ข้าว ตอกไข่ใส่ลงไป โรยหน้าด้วยต้นหอม กระเทียมกรอบ และสาหร่ายกลายเป็นข้าวต้มญี่ปุ่น โซซุย ก็อร่อยมากๆ เช่นกัน

นอกจากนี้ ที่ร้านสุกี้ มาสะยังมีเมนูซูชิ (เน้นแฟนซีโรลล์) สลัด ข้าว (ด้ง) หน้าต่างๆ ให้เลือกมากมายเช่นกัน ซึ่งถ้ามาที่สาขาทองหล่อ ถ้าต้องการซูชิสไตล์ดั้งเดิมสามารถขอเมนูร้าน ซูชิ มาสะ (Sushi Masa) ในเครือที่อยู่เยื้องๆ กันในซอย สั่งข้ามมาส่งได้ด้วย

เนื้อวากิว A4 สำหรับชาบู

เมนูร้านสุกี้ มาสะ ยังมี เซตนาเบะ กิมจิ (Nabe Kimchi) ให้เลือกเนื้อต่างๆ ลวกในน้ำซุปใส่กิมจิ เซตบัตเตอร์ ยากิ (Butter Yaki) ซึ่งจะย่างเนื้อต่างๆ หรือหมูคุโรบูตะกับเนยในกระทะแบน (เทปปัน) แล้วเสิร์ฟมาให้ในกระทะร้อน ซึ่งจะจิ้มกับน้ำจิ้มเหมือนเวลากินเทปปันยากิ ส่วนคนที่ชอบกินอาหารทะเลก็มี ซีฟู้ด นาเบะ (ส่วนใหญ่จะเลือกน้ำซุปใส) ใส่ของทะเลต่างๆ รวมทั้งมีกุ้งแม่น้ำให้เลือก

ถ้าอยากชิมของหวานอื่นๆ นอกเหนือจากในชุด ขอแนะนำ คุซุคิริ (Kuzukiri) (180 บาท++) ที่ประกอบด้วยเส้นใสๆ เหนียวนุ่มลื่นคอทำจากแป้งรากไม้ Kudzu จิ้มน้ำเชื่อม Kusomitsu ที่ทำจากน้ำตาลทรายแดงเคี่ยวใส่ขิงฝนลงไปเล็กน้อยจนชุ่มโชก จากนั้นนำไปจิ้มผงถั่วเหลืองอีกที และเมนู ยูสึกรานิต้า (Yuzu Granita) (95 บาท++) เป็นเกล็ดน้ำแข็งหวานเย็นรสยูสึหอมๆเปรี้ยวๆ กินแล้วเย็นชื่นใจทั้ง 2 เมนู

ถ้าจะมาที่ร้านช่วงมื้อเย็นของทุกวัน รวมทั้งมื้อกลางวัน วันเสาร์-อาทิตย์ ควรโทรมาจองก่อนล่วงหน้าที่เบอร์ 0-2392-4769 (ซอยทองหล่อ 5) และเบอร์ 0-2129-4880 กับ 06-1392-9777 (สยามพารากอน ชั้น G) นี่คือสุดยอดร้านสุกียากี้และชาบู ชาบู เนื้อวากิวจริงๆ

โดย คุณศริสา (เก๋) นฤปกรณ์
สาขาซอยทองหล่อ 5
ที่ตั้ง 111/1 ซอยทองหล่อ 5 ถนนสุขุมวิท 55 คลองตันเหนือ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
โทร 0-2392-4769
เปิดบริการ 11.00-22.00 น. (ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ 23.00 น.) ทุกวัน
(รอบละ 2 ชั่วโมง มีวันละ 5 รอบ ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ มีวันละ 6 รอบ)

สาขาสยามพารากอน ชั้น G

โทร 0-2129-4880, 06-1392-9777
เปิดบริการ 11.00-22.00 น. ทุกวัน (วันละ 5 รอบ)

แนะนำ สุกียากี้และชาบู ชาบู เนื้อวากิว A5 และ A4 เนื้อ Masa และหมูคุโรบูตะ
ช่วงคนแน่น 18.00-20.00 น.(เสาร์-อาทิตย์ 12.00-14.00 น. และ 18.00- 20.00 น.)

Facebook SUKI MASA
Instagram suki_masa
Line @sukimasa

เนื้อมาสะ (Masa Beef)
เซตสุกี้เนื้อวากิว A5
เซ็ตสุกี้ยากี้เนื้อวากิว A5 (Wagyu Beef A5)
หมูคุโรบูตะ (Kurobuta Pork)
เส้นอูด้งจิ้มซอสงา
ยูสึกรานิต้าYuzu-Granitaเกล็ดน้ำแข็งหวานเย็นรสยูสึหอมๆเปรี้ยวๆ
Suki masa
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก