สาวๆ ทราบกันดีว่าการทานมื้อเช้ามีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมาก ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงของการลดน้ำหนักหรือไม่ก็ตาม การทานมื้อเช้าก็ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยเด็ดขาด วันนี้เราจึงขอนำ 5 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทานมื้อเช้า ที่ส่งผลให้การลดน้ำหนักไม่ได้ผลอย่างที่ตั้งใจไว้มาแนะนำ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับสาวๆ ที่มีแพลนลดน้ำหนักเลยทีเดียว จะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามอ่านพร้อมๆ กันเลยค่ะ

1. ทานมื้อเช้าไม่ตรงเวลา
ช่วงเวลาของการทานมื้อเช้าคือหลังจากตื่นนอนประมาณ 1 ชั่วโมง ดังนั้นเมื่อสาวๆ ทานอาหารในตอนเช้าหลังจากตื่นนอนแล้ว 1 ชั่วโมง ย่อมทำให้การทานอาหารมื้อเช้าตรงต่อเวลาในทุกวัน เพราะช่วงเวลาตื่นนอนมักเป็นเวลาเดิมทุกวัน ดังนั้นใครที่กำลังลดน้ำหนัก แต่ทานมื้อเช้าไม่ตรงเวลา จนเลยเวลามื้อเช้าเป็นมื้อสาย จะยิ่งทำให้ปริมาณอาหารที่ทานเข้าไปเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังจะเลือกทานแต่อาหารที่มีแคลอรีสูงอีกด้วย นั่นจึงส่งผลให้การลดน้ำหนักไม่ได้ผลเท่าที่ควร

2. เลี่ยงอาหารประเภทแป้งและไขมัน
สำหรับใครที่กำลังลดน้ำหนักแล้วมีพฤติกรรมเลี่ยงอาหารประเภทแป้งและไขมันในมื้อเช้า เพราะคิดว่าจะทำให้น้ำหนักไม่ลด ขอบอกเลยว่านี่คือความเข้าใจผิดที่จะทำให้การลดน้ำหนักไม่ได้ผล เพราะอาหารประเภทแป้งและไขมัน รวมทั้งโปรตีน คือสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย เมื่อทานเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอ จะช่วยให้อิ่มท้องได้นาน ไม่ทำให้รู้สึกหิวระหว่างวันได้ง่าย แถมยังช่วยลดอาการอยากกินจุบจิบอีกด้วย

3. ดื่มสมูทตี้แทนมื้อเช้า
แม้ว่าสมูทตี้จะเป็นเครื่องดื่มสุขภาพ และจัดเป็นเครื่องดื่มที่มีสารอาหารหลากหลาย แต่ก็ไม่ควรดื่มเพื่อทดแทนมื้อเช้า เพราะจะส่งผลให้การลดน้ำหนักไม่ได้ผลเท่าที่ควร เนื่องจากการดื่มสมูทตี้จะส่งผลให้ร่างกายรู้สึกหิวระหว่างมื้ออาหารได้

4. เน้นทานซูเปอร์ฟู้ดมากเกินไป
ซูเปอร์ฟู้ดมีทั้งน้ำมันมะพร้าว เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเจีย ถั่วเปลือกแข็ง เป็นต้น ซึ่งจัดเป็นอาหารที่คนลดน้ำหนักเลือกทานในมื้อเช้ากันเป็นจำนวนมาก แต่ทราบหรือไม่ว่าการเน้นทานแต่ซูเปอร์ฟู้ด จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ไม่สมดุลกัน บางครั้งอาจทำให้มื้อเช้ากลายเป็นมื้อที่ร่างกายได้รับปริมาณแคลอรีมากกว่าสารอาหารอื่นๆ

5. ดื่มน้ำเปล่าน้อย
เพื่อให้การลดน้ำหนักได้ผลตามที่ต้องการ สาวๆ ควรให้ความสำคัญกับการดื่มน้ำเปล่าในมื้อเช้าและมื้ออื่นๆ ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื่องจากน้ำเปล่ามีส่วนช่วยให้ร่างกายรู้สึกอิ่มไวและอิ่มนานนั่นเอง

จะเห็นได้ว่าการทานมื้อเช้ามีความสำคัญต่อการลดน้ำหนักให้ได้ผลตามที่ต้องการ แต่ก็ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทานมื้อเช้าให้ถูกต้องด้วยเช่นกัน เพื่อให้ร่างกายที่อยู่ในช่วงของการลดน้ำหนัก สามารถรับสารอาหารในตอนเช้าได้อย่างครบถ้วน

ที่มา : Sanook

ทุกคนคงเคยได้ยินคำว่ามื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญของร่างกาย ซึ่งแต่ละคนก็จะมีเมนูอาหารเช้าที่แตกต่างกันออกไปตามความชอบ แต่รู้หรือไม่ว่ามีอาหารเช้าสุดอันตรายที่คุณอาจไม่รู้ว่ายิ่งกินยิ่งทำให้อ้วนมากขึ้น จะมีอาหารใดบ้างนั้น ไปดูพร้อมๆ กันค่ะ

1. ซีเรียล
สุดยอดอาหารเช้ายอดนิยมที่หลายคนน่าจะเคยกินกันมาอยู่บ้าง แม้ว่าจะอร่อย หอมหวาน และดูหาทานง่าย จึงเหมาะจะเป็นอาหารเช้าอย่างมาก แต่รู้หรือไม่ว่าซีเรียลอุดมไปด้วยแป้งและน้ำตาล ซึ่งมีแคลอรีสูง มีสารอาหารอื่นๆ น้อย หากคุณผสมเข้ากับนมที่คุณชอบก็จะได้ประโยชน์จากนมหรือธัญพืชที่นำมาผสมมากกว่า แต่ก็ไม่แนะนำให้ทานเป็นประจำ

2. กล้วย
อาหารเช้าที่สามารถพกไปทานได้ง่ายๆ ในราคาถูก และมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่การเลือกทานกล้วยในมื้อเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่เรากำลังท้องว่างอยู่นั้นอาจจะทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องไส้ปั่นป่วน และทำให้แมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ซึ่งยิ่งจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของโรคไตมากขึ้นตามด้วย ดังนั้น หากอยากจะทานกล้วยจริงๆ ควรทานคู่กับขนมปังหรือนมจะปลอดภัยและได้ประโยชน์ยิ่งขึ้น

3. ปาท่องโก๋
อาหารเช้าที่เสิร์ฟคู่กับเครื่องดื่มร้อนๆ อย่างน้ำเต้าหู้หรือกาแฟ แม้ว่าปาท่องโก๋จะช่วยทำให้กาแฟของคุณอร่อยขึ้น แต่ส่วนผสมของปาท่องโก๋นั้นก็มักจะเต็มไปด้วยแป้งขัดข้าว เมื่อเข้าสู่กระเพาะอาหารแล้วจะถูกย่อยเป็นน้ำตาลเข้าไปสะสมจนทำให้เรากลายเป็นโรคอ้วนได้ ดังนั้น ไม่ควรเลือกทานปาท่องโก๋เป็นอาหารหลักในตอนเช้าอย่างเด็ดขาด ควรจะเลือกทานกับโจ๊กหมูร้อนๆ สักถ้วนจะดีกว่า

4. หมูทอด หมูย่าง
เป็นอาหารที่หาทานยามเช้าได้ง่าย และสะดวกในราคาที่ไม่แพง แต่อาหารสุดอร่อยนี้กลับเต็มไปด้วยไขมันเป็นส่วนมาก แม้จะมีโปรตีนอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าไม่คุ้มกับการรับประทานในหนึ่งมื้อ ไหนจะมาพร้อมกับข้าวเหนียวห่อหรือ 2 ห่อที่เป็นแป้ง โดยทั้งไขมันและแป้งนั้นก็อาจจะทำให้เกิดโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้

5. แซนด์วิชปิ้ง
หลายคนมองหาอาหารเช้าจากร้านสะดวกซื้อที่หาทานได้ง่ายและสะดวก แต่สำหรับแซนด์วิชที่มีไส้ต่างๆ เช่น ไส้แฮมชีส ไส้หมูหยองน้ำสลัด หรือไส้ไส้กรอก เมื่อนำเข้าเครื่องปิ้งแล้วดูน่ารับประทานและมีรสชาติที่อร่อยถูกปาก แต่เมนูนี้กลับเต็มไปด้วยไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูงจนเกินความจำเป็น ทานแล้วอาจจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเร็วหรือกลายเป็นโรคอ้วนกันได้เลยทีเดียว

5 อาหารเช้าเหล่านี้ ในความเป็นจริงแล้วคุณสามารถรับประทานได้ แต่แนะนำว่าไม่ควรรับประทานบ่อยครั้งหรือทานเป็นประจำทุกเช้า เนื่องด้วยอาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญต่อร่างกาย เพราะเราจำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานในระหว่างวันอย่างเต็มที่ ดังนั้น ควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารที่เพียงพอ และไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย จึงจะถือว่าเป็นอาหารเช้าที่ดีและเหมาะสมที่สุด

ที่มา : Sanook

ชื่อ Muesli มาจากรากศัพท์ภาษาเยอรมัน-สวิส หมายถึง เละๆ เขละๆ เเหลกๆ

มูสลี่กลายเป็นอาหารเช้ายอดฮิตของสังคมในปัจจุบัน เนื่องจากรับประทานง่าย สะดวก สะอาด ทั้งยังให้คุณค่าทางอาหารครบถ้วน ในมูสลี่ประกอบไปด้วยธัญพืชหลายชนิด ถั่วเมล็ดแห้งที่ผ่านการอบมาแล้ว รวมทั้งผลไม้แห้ง

เวลารับประทานเพียงแค่เติมนมหรือโยเกิร์ตลงไป สามารถรับประทานได้ทันที หรือถ้าใครชอบให้นิ่มหน่อยแนะนำให้แช่กับนมทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที

แต่ถ้าอยากได้มูสลี่เต็มชามก็ควรแช่นมทิ้งไว้ข้ามคืน (ในตู้เย็น)

รับรองว่าได้อาหารเช้าอร่อยๆ นิ่มอิ่มสบายท้อง

ที่มา : แม่บ้าน

เช้านี้เพื่อนๆ คนไหนยังไม่ได้กินข้าวเช้าบ้างคะ แม้ด้วยการจราจรที่ติดขัด ผู้คนที่เยอะแน่นรถแบบนี้ แค่เวลาเดินทางก็ทำให้ไปออฟฟิศเกือบสายแล้วใช่ไหม จนไม่มีเวลากินอาหารเช้ากันใช่ไหมล่ะ ทุกคน ไม่ได้นะๆ อาหารเช้านี้ถือเป็นมื้อสำคัญเลยนะ รู้ไหม…

“อาหารเช้า” เป็นมื้ออาหารที่สำคัญ เพราะหลังจากอาหารเย็นแล้ว ร่างกายจะไม่ได้อาหารอีกเลย จนกว่าจะถึงเช้า เมื่อตื่นนอนขึ้นมา จึงจำเป็นต้องชดเชยพลังงาน มิฉะนั้นร่างกายจะอ่อนล้า เกิดอาการหงุดหงิด ปวดศีรษะ ขาดสมาธิในการทำงาน มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดสำหรับการให้พลังงาน เพื่อเริ่มต้นกิจกรรมต่างๆ ทำให้มีพลังที่จะทำงานต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะพลังสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำ การเรียนรู้ ความกระตือรือร้น

1. ช่วยควบคุมน้ำหนักได้ เพราะตั้งแต่อาหารมื้อเย็นถึงเช้าวันใหม่เราอดอาหารมานานเกือบ 12 ชั่วโมง และหากเรายิ่งไม่กินอาหารเช้าเข้าไปอีกจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง ทำให้ต้องไปกินอาหารประเภทที่มีพลังงานและไขมันสูงในมื้อเที่ยงมากขึ้น ซึ่งจะทำให้น้ำหนักเกินและเป็นโรคอ้วนได้

2. ช่วยให้ความจำดี การรับประทานอาหารเช้าจะช่วยมีส่วนเพิ่มประสิทธิภาพการเรียน การทำงาน ทำให้ระบบความจำ ทักษะการเรียนรู้ และอารมณ์ดีขึ้น แล้วถ้าใครไม่กินอาหารเช้าจะมีสมาธิน้อยลงและสมองก็ทำงานตลอดทั้งวันได้ไม่เต็มที่

3. ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน โดยคนที่กินอาหารเช้าจะไม่มีภาวะผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานนั้น ลดลงถึง 35-50%

4. ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ในตอนเช้าเลือดของเรามีความเข้มข้นสูง และทำให้เส้นเลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมอง หรือหัวใจอุดตันได้ ซึ่งการกินอาหารเช้าจะช่วยให้ระดับความเข้มข้นในเลือดเจือจาง ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดสมองและโรคหัวใจได้

ที่มา : แม่บ้าน

อาหารเช้าเป็นอาหารมื้อสำคัญหลายๆ คนอาจพลาดไปอย่างน่าเสียดายเพราะไม่มีเวลา วันนี้เรามีสูตร Overnight Oatmeal อาหารสุขภาพที่อุดมไปด้วยใยอาหาร แถมยังอิ่มท้องนาน ทำง่ายๆ แค่ 5 นาที เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาน้อยเป็นที่สุดมาแนะนำค่ะ เพียงทำทิ้งไว้ตอนกลางคืน ตื่นมาก็ได้มื้อเช้าแสนอร่อยพร้อมหยิบใส่กระเป๋าได้ทันทีแล้ว

ส่วนผสม

ข้าวโอ๊ต1/3ถ้วย
นมสด หรือ นมถั่วเหลือง1ขวด
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ1ถ้วย
น้ำผึ้ง1-2ช้อนชา
ผลไม้สด มูสลี่ ซีเรียล หรือ ถั่วต่างๆ ตามชอบ

วิธีทำ

  1. เทข้าวโอ๊ตปริมาณ ⅓ ถ้วยลงในขวดแก้วมีฝาปิด
  2. เทนมสด หรือ นมถั่วเหลือง ลงไปให้มีปริมาณพอดีกับข้าวโอ๊ต
  3. เทโยเกิร์ตลงไปตามต้องการ และท็อปด้วย มูสลี่ ถั่ว หรือซีเรียลต่างๆ ตามชอบ (จะผสมให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันหรือไม่ก็ได้)
  4. ใส่น้ำผึ้งลงไป จากนั้นปิดฝาแก้ว และนำไปแช่ในตู้เย็นอย่างน้อย 6 ชั่วโมง พร้อมรับประทานเป็นมื้อเช้าคู่กับผลไม้สดหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ

ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

อาหารเช้าควรกิน-ไม่ควรกิน อะไรบ้าง?

Tips & Tricks สารพันเกร็ดน่ารู้

ควรกิน…

  • โอ๊ตมีล (Oatmeal) เพราะอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน ซึ่งให้พลังงานทั้งระยะสั้นและระยะยาว มีไฟเบอร์สูง ทำให้อิ่มนาน ขณะเดียวกันก็ลดระดับคอเลสเตอรอลและช่วยย่อยอาหาร
  • ไข่  เพราะอุดมด้วยโปรตีน และมีคอเลสเตอรอลในระดับที่ดี ทำให้อิ่มได้นานและให้พลังงานอย่างเหลือเฟือ
  • บลูเบอร์รี  เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเรื่องความดันโลหิต และทำให้สมาธิและความจำดีขึ้น มีวิตามินซีและแมงกานีส ช่วยสร้างเนื้อเยื่อกระดูกและฮอร์โมนทางเพศ
  • แตงโม  ทำให้ร่างกายได้รับน้ำเพิ่มขึ้นหลังนอนหลับเป็นเวลานาน มีสารต้านอนุมูลอิสระและกรดอะมิโน ช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวหลังการออกกำลังกาย
  • ถั่วเปลือกแข็ง  อุดมไปด้วยสารอาหารและโปรตีน ช่วยให้อิ่มนานขึ้น และมีไขมันที่เป็นประโยชน์ ช่วยบำรุงสมอง สามารถกินขนมปังทาเนยถั่วเป็นอาหารเช้า หรือเคี้ยวถั่วอัลมอนด์ระหว่างทางไปทำงาน
  • ผลไม้รสเปรี้ยว  เพราะดีต่อระบบช่วยย่อยและระดับพลังงาน การกินส้มสด หรือใส่น้ำมะนาวลงในสมูทตี้ ช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากผลไม้รสเปรี้ยวเช่นกัน
  • มะละกอ  มีเอนไซม์ที่ช่วยลดอาการอักเสบ และช่วยให้อาหารย่อยได้ดี ไฟเบอร์สูง ช่วยกำจัดของเสียจากลำไส้ เป็นการป้องกันมะเร็งทางเดินอาหาร นอกจากนี้ ยังควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดความดันโลหิต
  • บัควีท (Buckwheat) เมล็ดพืชที่มีวิตามินบี 6 สูง ช่วยลดน้ำหนัก ลดอาการหิวอาหาร และช่วยในเรื่องเบาหวาน
  • ไม่ควรกินเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม
  • ธัญพืชไม่ขัดสี  เช่น ข้าวกล้อง คีนัว มีวิตามินและเกลือแร่ที่สำคัญ และมีไฟเบอร์และโปรตีนสูง
  • โยเกิร์ต  มีปริมาณโปรตีนสูง ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและให้พลังงานในระยะยาว ช่วยให้อิ่มนาน และสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย

ไม่ควรกิน…

  • น้ำผลไม้กล่อง  เพราะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น และทำให้มีพลังงานเพิ่มขึ้นเพียงชั่วครู่ หลังจากนั้น ระดับน้ำตาลในเลือดจะดิ่งลง คุณจะเริ่มโหยขนมที่มีน้ำตาลชิ้นต่อไป คุณจึงควรเลี่ยงไปกินผลไม้สดแทน เพื่อให้ได้รับวิตามิน เกลือแร่ และไฟเบอร์ โดยไม่มีน้ำตาลส่วนเกิน แต่ดีที่สุดคือปั่นน้ำผักและน้ำผลไม้กินเอง
  • มะเขือเทศเป็นลูกๆ ทำให้มีกรดในกระเพาะได้ง่าย และไม่ควรกินครั้งละมากๆ ควรฝานเป็นชิ้นเล็กๆ กินกับขนมปังหรือเมนูไข่
  • ดื่มกาแฟหรือชาก่อนอาหาร  ถึงแม้กาแฟและชาจะช่วยให้ร่างกายตื่นตัวเพราะมีคาเฟอีน แต่ไม่ใช่เรื่องดี แท้จริงแล้วหลังดื่มกาแฟไม่นาน อาจรู้สึกขาดน้ำและเซื่องซึมลง นอกจากนี้ คาเฟอีนยังอาจทำให้ความดันโลหิตสูง และอารมณ์ขึ้นลงง่าย กาแฟมีฤทธิ์เป็นกรด อาจทำให้ระบบย่อยอาหารมีปัญหา
  • ซีเรียลที่มีน้ำตาล ทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้น เป็นสาเหตุทำให้พลังงานในร่างกายดิ่งลงในช่วงเวลาต่อมา
  • ขนมอบประเภทพาสตรี้   ไม่ควรเป็นอาหารมื้อแรกของวัน เพราะมีทั้งน้ำตาล เนย และยีสต์อีกด้วย สามารถทำให้สภาวะของเชื้อราในร่างกายแย่ลง
  • ครัวซองและขนมปังอบต่างๆ ไม่ควรกินเป็นประจำ
  • น้ำอัดลม  มีปริมาณน้ำตาลสูง และมีสารปรุงแต่งมากมาย

การรับประทานอาหารเช้าเป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพ งานวิจัยทุกชิ้นยืนยันตรงกันว่าอาหารเช้ามีประโยชน์ต่อสมองและร่างกาย คนที่กินอาหารเช้าที่มีพลังงานสูงจึงช่วยให้น้ำหนักตัวลดลงได้ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องที่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่เคยได้ยินมาบ้างแล้ว จึงจะไม่พูดในรายละเอียดอีก

แต่สิ่งที่อยากพูดถึงคือ อาหารเช้าที่ได้รับความนิยมชนิดหนึ่ง นั่นได้แก่อาหารเช้าที่ประกอบไปด้วย ไข่ แฮม หรือไส้กรอก หรือเบคอนทอด และขนมปัง ซึ่งเรารู้จักกันในชื่อที่เรียกว่า “อเมริกันเบรกฟาสต์”

ในรายละเอียดปลีกย่อย ในอาหารเช้าชุดนี้ อาจเป็นไข่กวน (Scramble eggs) ไข่เจียว (Omelet) หรือไข่ดาวน้ำ (Porch egg) ตามแต่ผู้กินจะเลือก ซึ่งองค์ประกอบนี้อาจทําให้อาหารเช้านี้มีความแตกต่างกันเพียงน้อยนิดเกี่ยวกับไขมันและพลังงานที่ได้รับ แต่สิ่งที่ต้องใส่ใจคือ ภาพรวมของการบริโภคไข่มากกว่า

กินไข่ทุกวันปลอดภัยไหม

ไข่เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีและมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด มีผลการวิจัยระบุว่า การรับประทานไข่เป็นมื้อเช้าจะทําให้ควบคุมน้ำหนักได้ เพราะได้รับโปรตีนซึ่งจะช่วยให้การย่อยช้าลง และทำให้ความอยากอาหารในมื้อต่อๆ ไปลดน้อยลง

แต่คําถามที่พบบ่อยที่สุดในโลกของไข่เกี่ยวกับความปลอดภัยจากการกินไข่ทุกวันก็ยังเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ยังสงสัย ซึ่งหากจะให้ตอบก็คงต้องบอกว่า ทั้งปลอดภัยและไม่ปลอดภัย ซึ่งผู้เขียนไม่ได้ตอบแบบกําปั้นทุบดินหรือยอกย้อน แต่หมายความเช่นนั้นจริงๆ

ถ้าคุณยังอยู่ในช่วงวัยขาขึ้นของชีวิต ซึ่งหมายถึงช่วงที่ร่างกายยังเจริญเติบโต การกินไข่ทุกวัน วันละ 2 ฟอง เป็นเรื่องที่ธรรมดามาก หรือคุณเล่นกีฬาอย่างจริงจัง ใช้พลังงานในการเล่นกีฬาแบบที่เหงื่อท่วมเกินกว่าวันละ 1 ชั่วโมง การกินไข่ 2 ฟองจะไม่ส่งผลเสียอะไรเลย

แต่หากคุณเป็นผู้ที่มีอายุอยู่ในช่วงที่ร่างกายหยุดเจริญเติบโตและเข้าสู่วัยนิ่ง ไปจนถึงขาลงของชีวิตแล้ว การกินไข่ทุกวันไม่ใช่เรื่องดีแน่ และยิ่งถ้าคุณมีปัญหาเรื่องคอเลสเตอรอลในเลือดสูงอยู่นี่เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้

อีกทั้งปริมาณคอเลสเตอรอลนั้นก็ขึ้นอยู่กับวิธีการเลี้ยงไก่ด้วย มีงานวิจัยพบว่าไข่ที่มาจากไก่ซึ่งเลี้ยงแบบธรรมชาติคือไก่กินแมลงและธัญพืชตามธรรมชาติจะมีปริมาณคอเลสเตอรอลในไข่ต่ำกว่าไข่ไก่ที่เลี้ยงจากฟาร์ม ดังนั้น คําแนะนําแรกของการกินไข่คือ เลือกไข่จากไก่ซึ่งเลี้ยงด้วยวิธีธรรมชาติ

นอกจากนี้ ปริมาณของคอเลสเตอรอลในไข่ยังลดลงได้หากไก่นั้นถูกเลี้ยงด้วยน้ำมันปลา หรือที่เรียกว่าไข่โอเมก้า 3 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการกินไข่วันละฟองโดยไม่ต้องกังวลเรื่องคอเลสเตอรอล

แต่หากเป็นไข่ที่เลี้ยงแบบฟาร์มทั่วไปจะมีความแตกต่างของคอเลสเตอรอลจากขนาดของไข่ โดยไข่เบอร์ 0 หนัก 71 กรัมขึ้นไป เบอร์ 1 หนัก 65-70 กรัม เบอร์ 2 หนัก 60-64 กรัม เบอร์ 3 หนัก 55-59 กรัม เบอร์ 4 หนัก 50-54 กรัม และเบอร์ 5 หนัก 45-49 กรัม

โดยไข่ไก่ทั้งฟอง 100 กรัม มีคอเลสเตอรอล 427 มิลลิกรัม ดังนั้น หากเราเลือกเบอร์ 0 เราจะได้รับคอเลสเตอรอลเกินปริมาณสูงสุดที่ควรได้รับต่อวัน (300 มิลลิกรัม) แต่ถ้าเราเลือกไข่เบอร์ 2 ขึ้นไป ปริมาณคอเลสเตอรอลที่ได้รับก็ค่อนข้างที่จะสบายใจได้

สรุปว่าถ้าคุณมีร่างกายปกติและออกกําลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงทําตามที่แนะนํา ก็ไม่จําเป็นต้องกังวลเรื่องคอเลสเตอรอลในไข่

ถ้าอย่างนั้นเสี่ยงที่อะไร

เรื่องคอเลสเตอรอลที่พูดไปแล้วเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องถือว่าเป็นความเสี่ยงแม้จะเลี่ยงได้ไม่ยาก แต่ก็ต้องคอยระวัง เพราะความเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นทันทีหากเรารับประทานไข่กับเบคอนเป็นประจํา

ไม่ต้องรู้อะไรลึกซึ้ง และไม่ต้องคิดอะไรมากมายก็คงมองเห็นได้ไม่ยากว่า “เบคอน” ซึ่งทํามาจากหมูสามชั้นนั้นเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่มีไขมันสูง และไขมันในเบคอนก็เป็นไขมันชนิดอิ่มตัวซะด้วย ดังนั้น หากเรารับประทานไข่ซึ่งปริมาณของคอเลสเตอรอลมันปริ่มๆ กับปริมาณที่ควรได้รับต่อวันอยู่แล้ว แล้วยังได้รับไขมันและคอเลสเตอรอลจากเบคอนอีก ก็หมายความว่าเราจะได้รับคอเลสเตอรอลในวันนั้นเกินอย่างไม่ต้องสงสัย และถ้าใครที่ดื่มนมแบบไขมันสูงลงไปด้วยพร้อมๆ กับอาหารเช้าก็ไม่ต้องสงสัยว่าปริมาณคอเลสเตอรอลในร่างกายจะเกินขีดพอดีอย่างแน่นอน

อย่ามองข้ามเกลือไนไตรต์

ในกระบวนการทําไส้กรอก แฮม และเบคอน ส่วนผสมหนึ่งซึ่งมีความจําเป็นที่จะต้องใส่ลงไปคือเกลือไนเตรตหรือเกลือไนไตรต์ ซึ่งจะมีบทบาทต่อการเกิดสีในผลิตภัณฑ์เนื้อ เกลือไนเตรตและไนไตรต์มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ ทําให้ผลิตภัณฑ์เนื้อมีสีแดงและรักษาสีแดงของผลิตภัณฑ์ทําให้มีความน่ารับประทานมากขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มรสชาติและกลิ่นรสแก่ผลิตภัณฑ์ ทําให้มีกลิ่นเฉพาะตัวเป็นที่ยอมรับสําหรับผู้บริโภค มากกว่าการใช้เกลือในการหมักเนื้อเพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้ เกลือไนเตรตและไนไตรต์ยังช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ และป้องกันการงอกของสปอร์ในแบคทีเรียที่ไม่ต้องการอากาศ โดยเฉพาะพวกของคลอสทริเดียม บอทูลินัม และช่วยยับยั้งการหืนของไขมันในผลิตภัณฑ์เนื้อ โดยจะไปยับยั้งปฏิกิริยาการเติมออกซิเจนของไขมัน (oxidative rancidity)

โดยประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 84 ได้จัดไนเตรตและไนไตรต์เป็นวัตถุกันเสียที่ใช้ได้ในผลิตภัณฑ์เนื้อ โดยอนุญาตให้ใช้ไนเตรตและไนไตรต์ในผลิตภัณฑ์เนื้อได้ไม่เกิน 500 และ 125 มิลลิกรัมต่ออาหารกิโลกรัมตามลําดับ แต่ผลิตภัณฑ์เนื้อที่วางจําหน่ายทั่วไปนั้น มักมีการเติมไนเตรตและไนไตรต์เกินมาตรฐาน เพราะผู้ผลิตขาดความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องในการใช้สารเจือปนอาหารชนิดนี้

เกลือไนเตรตสามารถแตกตัวเป็นเกลือไนไตรต์ได้ และเกลือไนไตรต์นี้จะเข้าไปจับตัวกับสารประกอบเอมีน กลายเป็นสารไนโตรซามีน โดยสารประกอบเอมีนพบได้ในอาหารหลายชนิด เช่น เนื้อสัตว์และปลา และแม้แต่พริกไทย

โดยสารไนโตรซามีนนี้จะก่อให้เกิดมะเร็งในสัตว์ได้ เช่น มะเร็งในตับ ไต หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งในตับ มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งกระเพาะอาหารในคน

สรุปง่ายๆ ว่า กินไส้กรอก แฮม เบคอนมากๆ มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้สูงขึ้น

ทำอย่างไรเพื่อลดความเสี่ยง

แม้เราจะรู้ว่าการรับประทานอาหารเช้าเป็นเรื่องดีและไข่ก็ไม่ใช่ตัวร้ายอะไร แต่อันตรายจากไส้กรอก แฮม เบคอน ก็เป็นเรื่องที่ต้องระวัง ทว่าการเลือกอาหารเช้าแบบอเมริกันเบรกฟาสต์ ก็ยังคงเป็นความสะดวกสบายที่คนส่วนใหญ่นิยมเลือก

ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงดังที่กล่าวมาแล้วให้น้อยลง จึงต้องเพิ่มรายละเอียดเกี่ยวกับการกินอเมริกันเบรกฟาสต์ ดังนี้

  1. ไข่เพียง 1 ฟอง ก็น่าจะเพียงพอสําหรับคนทั่วไป แต่หากไม่อิ่ม ก็ควรเพิ่มผลไม้ มันฝรั่งอบ หรือขนมปังโฮลวีตในมื้อแทนการกินไข่ 2 ฟอง
  2. หากดื่มนมพร้อมมื้ออเมริกันเบรกฟาสต์ ก็ควรเลือกนมพร่องมันเนย เพื่อลดปริมาณไขมันที่จะได้รับ
  3. เราสามารถยับยั้งการรวมตัวกันของสารประกอบเอมีนและเกลือไนไตรต์ที่จะทําให้เกิดสารก่อมะเร็งด้วยวิตามินอีหรือวิตามินซี นั่นหมายความว่าทุกมื้ออาหารเราควรมีน้ำผลไม้ที่มีส่วนประกอบของวิตามินซีแก้วเล็กๆ 1 แก้ว ดื่มควบคู่กันไปด้วย
  4. เลือกไข่ธรรมชาติหรือไข่โอเมก้า 3 รวมถึงเรื่องผลิตภัณฑ์ไส้กรอก แฮม เบคอน ที่แสดงป้ายชัดเจนถึงแหล่งผลิต และมีเครื่องหมายรับรองมาตรฐาน อย่างน้อยก็ช่วยให้รู้ว่าปริมาณของเกลือไนเตรตและไนไตรต์ไม่ได้มากเกินกว่าที่กําหนด

อเมริกันเบรกฟาสต์

ส่วนผสม

ไข่โอเมก้า 3 1 ฟอง / แฮมหรือไส้กรอก 100 กรัม / มะเขือเทศ 2 ผล / มันฝรั่ง 1 หัว (ต้มให้สุก) / น้ำส้มคั้น 1 แก้ว / ขนมปังโฮลวีต 2 แผ่น

วิธีทำ

  1. ทอดไข่ดาวในกระทะที่มีน้ำมันเพียงเล็กน้อย ลวกไส้กรอกและแฮมใส่จานรอไว้
  2. ฝานมันฝรั่งเป็นแว่นบางๆ ใส่ลงในกระทะทอดไข่ ทอดจนเหลือง แล้วกลับด้าน ตักใส่จาน
  3. ฝานมะเขือเทศเป็นแว่น แล้วนาบลงในกระทะจนสุก ตักใส่จาน รับประทานพร้อมซอสมะเขือเทศและขนมปังโฮลวีตปิ้ง เสิร์ฟพร้อมน้ำส้มคั้น

 

ข้อมูลจาก : หนังสืออาหารเสี่ยงเลี่ยงได้ สำนักพิมพ์มติชน