Crafts Bangkok 2018 เปิดฉากขึ้นที่ศูนย์ฯ ไบเทค บางนา จัดโดยศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ SACICT เป็นเวทีพบปะ แลกเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ของคนรักงานคราฟต์ ดังนั้น จึงมีนักออกแบบไม่ว่ารุ่นเล็กรุ่นใหญ่มากหน้าหลายตา มารวมตัวกันเพื่อโชว์ความคิดผ่านผลงาน ทั้งงานผ้า งานเซรามิก งานไม้ไผ่ งานกระดาษ งานเครื่องปั้นดินเผา ไปจนถึงเครื่องเงิน เครื่องทอง

สิ่งสะดุดตาและค่อนข้างไม่ซ้ำใครในงานนี้ เป็นงานหัตถกรรมกระดาษที่เรียกว่า “เปเปอร์ โทล์” (Paper Tole) หรือศิลปะการตัดกระดาษเป็นภาพ 3 มิติ บางคนเรียกให้หรูหน่อยก็ว่า “ไตรมิติศิลป์”

“paper tole หรือการตัดกระดาษเป็นรูปสามมิติ (3D) เป็นการนำรูปภาพบนกระดาษเหมือนกันหลายๆ แผ่น มาตัดแยกส่วนรายละเอียดที่แตกต่างกันไป แล้วนำมาวางซ้อนเรียงกันใหม่ ให้เกิดเป็นภาพที่มีมิติ ความลึกและสลับซับซ้อน สร้างความสวยงามแปลกใหม่ คล้ายกับเป็นภาพที่มีชีวิต เป็นศิลปะที่สวยงามและน่าชื่นชม งานกระดาษชนิดนี้จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ขึ้นอยู่กับรูปภาพที่เรานำมาตัด แต่ส่วนใหญ่เมื่อมาทำแล้ว คนมักจะทำด้วยความสุขและมีความสุข โดยเฉพาะผู้ที่รักงานหัตถกรรมกระดาษ ก็ยิ่งมีความสุขมากๆ…”

เป็นคำอธิบายง่ายๆ จาก “เสาวลักษณ์ ก่อศักดิ์วัฒนา” มัณฑนากรสาวเจ้าของแบรนด์ Zimple นักออกแบบจาก Jan 2000 ที่มาออกบูทโชว์งานฝีมือของตัวเองในงานนี้ด้วย

เสาวลักษณ์เล่าว่า เธอชื่นชอบและหลงใหลงานตัดกระดาษชนิดนี้ตั้งแต่ตอนแรกที่ไปเที่ยวประเทศออสเตรเลีย ไปเจอเพื่อนของพี่ทำงานชนิดนี้อยู่ที่เมืองเพิร์ธ เห็นแล้วจึงอยากทำบ้างจึงขอไปเรียนด้วย ไปนั่งเรียนใช้เวลาอยู่ประมาณเดือนหนึ่งก็สามารถทำได้แล้ว จากนั้นมาฝึกเองที่บ้าน

“สำหรับคนที่มีความรักความชอบงานแบบนี้มันไม่ยาก พอไปนั่งทำมันเพลินมาก เป็นการฝึกสมาธิด้วยเลยชอบ จากนั้นพอกลับมาเมืองไทยก็ทำมาเรื่อยๆ สะสมผลงานไว้ และนำออกมาแสดงครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง ส่วนครั้งแรกเคยไปแสดงที่เชียงใหม่ งานเชียงใหม่ดีไซน์ วีค ของทีซีดีซี จัดที่วัดดวงดี”

เสาวลักษณ์อธิบายว่า กระดาษที่นำมาใช้ในงาน paper tole เป็นการนำกระดาษรูปภาพที่ชอบหรือที่ต้องการมาถ่ายสำเนา จำนวนขึ้นอยู่กับมิติที่เราอยากให้เกิดขึ้น แต่ส่วนมากแล้วอาจจะสักสองภาพหรือมากกว่านั้น จากนั้นก็ตัดส่วนต่างๆ ของภาพออกจากส่วนที่ใหญ่ที่สุดที่ด้านล่าง และด้านที่เล็กที่สุดที่ด้านบน เพื่อสร้างภาพชั้นหรือภาพ 3 มิติ การตัดโดยทั่วไปจะทำด้วยมีดหรือคัตเตอร์ ที่มีความคมและเที่ยงตรง เป็นงานที่ต้องใช้ความอดทน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดหากจะให้ได้ภาพสวยงามต้องขึ้นอยู่กับความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับมุมมองเป็นทักษะที่สำคัญ ส่วนอุปกรณ์ในการทำจะราคาสูงหน่อยชุดหนึ่งราว 1,500 บาท

“มันก็มีระดับของความง่าย ความยาก พอทำเลเวลนี้เสร็จ ก็จะอัพขึ้นไปเรื่อยๆ ยากขึ้นๆ ตอนที่ไปเรียนที่ออสเตรเลียก่อนกลับเขาให้เราทำภาพนกซึ่งยากมากก..กกก งานที่นำมาแสดงนี้เอามาจากหนังสือบ้าง อย่างหนังสือวอเตอร์ คัลเลอร์ ก็ซื้อมาแล้วซีร็อกซ์สี เอามาตัด เห็นหนังสือไหนสวยๆ ก็ซื้อเก็บไว้ แต่ก็ต้องระวังเพราะบางภาพเขามีลิขสิทธิ์ การตัดกระดาษเราก็ต้องดูความหนาของกระดาษด้วย เช่น แผ่นล่างสุดควรจะหนา 250 แกรม ถ้าบางไปเวลาติดกับกระดาษแข็งที่เนื้อไม่เนียน มันจะเห็นเท็กซ์เจอร์ไม่สวยเลยต้องใช้กระดาษหนาหน่อย ส่วนกระดาษที่ตัดใช้หนา 120 แกรมก็พอแล้ว เวลาตัดจะได้ไม่มีปัญหา

“ความสวยงามของงานเปเปอร์โทลจะอยู่ที่การซ้อนมิติให้กับภาพ สร้างมิติให้กับมัน เสมือนจริง มีความลึก ซึ่งแตกต่างจากพ็อพอัพ ที่กางปุ๊บก็โผล่ขึ้นมา พับได้เก็บได้ แต่เปเปอร์โทลดีเทลของมิติเยอะกว่า และการทำงานละเอียดกว่า งานแต่ละชิ้นก็แตกต่างกันไป อย่างงานง่ายๆ พวกดอกไม้ ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงก็เสร็จแล้ว หรือภาพแมลงไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จ

ที่เมืองไทย งานหัตถกรรมกระดาษแบบนี้มีคนทำยังไม่มาก ส่วนใหญ่จะทำเป็นงานอดิเรก ที่ทำเป็นอาชีพเห็นมีเจ้าเดียวที่เน้นไปที่การตัดภาพลายไทย

หากจะทำเป็นอาชีพ เสาวลักษณ์แนะนำว่า “จะทำเป็นอาชีพก็ทำได้นะคะ แต่อยู่ที่ตัวคนทำว่าชอบมากแค่ไหน อย่างเรานี่ทำด้วยความชอบ ทำเป็นงานอดิเรกเพราะทำแล้วมีความสุข พอมีงานอะไรเช่นงานวันเกิดเพื่อน ขึ้นบ้านใหม่ ก็ให้เป็นของขวัญ เขาจะชอบมากๆ แต่ถ้าต้องมาทำเป็นอาชีพ ทำแล้วเคร่งเครียดต้องหาเงินอันนี้ก็เป็นอีกเรื่อง”

งานเปเปอร์โทลส่วนมากแล้วที่คนนิยมจะเป็นภาพดอกไม้ หรือภาพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพิฆเณศร์ เจ้าแม่กวนอิม เพราะใช้เป็นของแตกแต่งบ้านได้ ในฐานะมัณฑนากร เสาวลักษณ์เธอว่า จะรู้ว่าภาพแบบไหนที่คนชอบ และภาพแบบไหนที่นำไปติดผนังบ้านแล้วดูดี มีรสนิยม ดูสวยงาม เข้ากับผนังบ้านได้ และต้องดูสไตล์บ้านด้วยว่าเเป็นบ้านแบบไหน “ข้อมูลเหล่านี้หากจะทำเป็นอาชีพก็จะทำให้ขายง่ายขึ้น ที่ผ่านมาส่วนมากคนจะชอบภาพดอกไม้ ใช้ประดับบ้าน และเป็นของขวัญวันเกิด

สำหรับงานที่เธอทำมาทั้งหมด ได้ขายไปบ้างแล้ว เป็นภาพเจ้าแม่กวนอิมในราคา 29,000 บาท เป็นราคาที่เธอไม่ได้ตั้งเองแต่เป็นราคาที่คนซื้อจ่ายให้เอง

เสาวลักษณ์ ก่อศักดิ์วัฒนา เป็นมัณฑนากรที่มีผลงานเด่น คือ เก้าอี้มะเฟือง ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากกรมส่งเสริมการส่งออกให้ไปโชว์ในงาน Maison Objet ที่ฝรั่งเศส นอกจากนี้ ยังมีผลงานที่ทำให้กับโรงแรมเอราวัณที่ภูเก็ต และรีสอร์ตที่เกาะมัลดีฟส์


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

หน้าที่ 58 ของเอกสารที่เรียกว่า “บันทึกรายวันของออกพระวิสุทธสุนธร (โกษาปาน) ระบุถึงผลไม้ ของหวาน ผักและนมโคที่ถูกยกมาเสริ์ฟ

เมื่อคณะทูตสยามเดินทางไปยังฝรั่งเศส นำโดยโกษาปาน พร้อมด้วยอุปทูตและตรีทูต ซึ่งก็คือ ขุนศรีวิสารวาจา ยอดดวงใจของแม่หญิงการะเกดใน ‘บุพเพสันนิวาส’

ในละครนั้น แม่การะเกดสร้างสรรค์หลากเมนู ควบคู่มื้ออาหารจากครัวคุณหญิงจำปา ไม่ว่าจะเป็นกุ้งเผา มะม่วงน้ำปลาหวาน และอื่นๆ ที่ล้วนชวนน้ำลายสอ แล้วเมื่อคณะทูตไปถึงฝรั่งเศส โดยขึ้นฝั่งที่เมืองแบรสต์ ทราบหรือไม่ว่าคณะทูตรับประทานอะไร ?

รายละเอียดเหล่านี้ จดหมายเหตุเมืองแบรสต์ บันทึกไว้ว่า ประกอบด้วยซุปข้น ไก่ตอน นกพิราบ ลูกกระต่าย เป็ด แม่ไก่อ่อนที่เลี้ยงให้อ้วน เนื้อลูกวัว หมู เนื้อวัว แตงโม ผัก ไอศกรีม ผลไม้สด ผลไม้เชื่อม ไวน์ และเหล้า

นอกจากนี้ โกษาปานยังจดบันทึกไว้อย่างละเอียด เล่าถึงมื้ออาหารสุดหรู อย่างมื้อค่ำมื้อหนึ่ง ดังนี้

“เอาเครื่องต้มเข้ามาตั้ง ณ เตียงนั้นห้าถาดใหญ่ เนื้อสุกรถาดหนึ่ง เนื้อชุมพาถาดหนึ่ง เนื้อโคถาดหนึ่ง ไก่กับเป็ดสองถาด กินกับปัง แล้วผ่อนออกไป แล้วจึงเอาเครื่องปิ้งแลเครื่องคั่วแลผักทอดมันแลผักกินสด แลถั่วต้มแลถั่วคั่วเข้ามาตั้ง 17 ถาดในนี้ไก่แลเป็ดตายสองถาด ชุมพาปิ้งถาดหนึ่ง (ชุมพา คือสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายแกะ ในที่นี้น่าจะหมายถึงเนื้อแกะ) ลูกสุกรทั้งตัวฉาบเนยปิ้งถาดหนึ่ง แพะปิ้งถาดหนึ่ง ไก่แลนกแซมหมูปิ้งถาดหนึ่ง แลถาดซึ่งใส่เครื่องปิ้ง ทั้งนี้ย่อมเอาผักชีโรยรอบริมถาดนั้น เนื้อชุมพาคั่วถาดหนึ่ง ไก่คั่วใส่แป้งข้าวโพดถาดหนึ่ง ใบผักกาดแลใบหอมใส่น้ำส้มองุ่นแลน้ำมันลูกไม้ถาดหนึ่ง ผักเบี้ยใหญ่ใส่น้ำส้มองุ่นแลน้ำมันลูกไม้ถาดหนึ่ง ผักสิ่งหนึ่ง ช่ออาระตีโชประดุจหนึ่งโตนดบัวขมต้มถาดหนึ่ง”

อ่านเอกสารบันทึกรายวันของออกพระวิสุทธสุนทร (โกษาปาน) ทั้งหมดได้ที่ฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) คลิกที่นี่


ที่มา มติชนออนไลน์

เห็นแวบแรกหลายคนคงสงสัยเหมือนกันว่านี่คืออะไร? เป็นพวกเศษแก้วหรือเปล่า? แต่คงตกใจเมื่อรู้คำตอบว่านี่ “แผ่นมันฝรั่งทอด”

โดยแผ่นมันฝรั่งใสนี้เป็นส่วนหนึ่งของอาหารโมเลกุล (molecular cuisine) หรืออาหารแนวใหม่ที่เปลี่ยนรูปแบบการนำเสนออาหารให้ออกมาในรูปแบบใหม่ ซึ่งในการปรุงมีการผสมผสานการทดลองทางวิทยาศาสตร์เข้าไปด้วย

ผลงานชิ้นนี้เป็นถูกรังสรรค์ขึ้นโดย เชฟแฮมิด ซาลิเมียน ซึ่งถึงแม้ว่าขั้นตอนการทำจะไม่ใช่สูตรที่ง่ายๆ แต่คุณสามารถทำกินได้เองที่บ้าน เพียงแค่นำมันฝรั่งมาต้ม จากนั้นนำน้ำซุปที่ได้จากการต้มไปแช่เย็นทิ้งไว้ 1 คืน

จากนั้นนำออกมาต้ม เติมแป้งมันลงไป กวนจนได้ที่ แล้วนำมาสร้างให้ได้รูปทรงแผ่นมันฝรั่งทอด จากนั้นนำไปอบจนแห้ง เสร็จแล้วนำไปทอด ก็จะได้มันฝรั่งทอดแผ่นใสไปเคี้ยวกินเพลินๆ เลย

ชมคลิป

Glass Potato Chips?

Turns out we are living in the future!

โพสต์โดย Cultura Colectiva + เมื่อ วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2018

 


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

วันที่ 2 เมษายน 2561 กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกประกาศเรื่อง “พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 5-7 เมษายน 2561)” ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 02 เมษายน 2561 โดยระบุว่า

ในช่วงวันที่ 5-6 เมษายน 2561 ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ฟ้าผ่า กับมีลูกเห็บตกและมีฝนตกหนักบางพื้นที่

ส่วนในวันที่ 7 เมษายน 2561 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกจะมีฝนลดลง ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลยังคงมีฝนฟ้าคะนองได้ต่อเนื่อง

จึงขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน ลมกระโชกแรง และฟ้าผ่า ที่จะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมถึงระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสมที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมขัง และน้ำป่าไหลหลาก สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย โดยจะมีผลกระทบตามพื้นที่ต่างๆ ดังนี้

ในวันที่ 5-6 เมษายน 2561

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองบัวลำภู หนองคาย อุดรธานี บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี

ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา รวมทั้งกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล

ในช่วงวันที่ 7 เมษายน 2561

ภาคเหนือ: จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน ลำพูน ลำปาง ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก กำแพงเพชร พิจิตร และเพชรบูรณ์

ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

ทั้งนี้เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ประกอบกับคลื่นกระแสลมตะวันตกพัดปกคลุมภาคเหนือ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ฟ้าผ่า กับมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง

สำหรับในช่วงวันที่ 7-9 เมษายน 2561 ลมตะวันออกที่พัดปกคลุมภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางพื้นที่บริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ และตรัง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและอันดามันเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งไว้ด้วย จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด

ประกาศ ณ วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 11.00 น.

กรมอุตุนิยมวิทยาจะออกประกาศฉบับต่อไปใน วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 11.00 น.

กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนระวังการกินไข่แมงดาถ้วยหรือเห-ราช่วงหน้าร้อน มีพิษรุนแรงเหมือนพิษปลาปักเป้า ความร้อนทำลายพิษไม่ได้ ปีนี้พบผู้ป่วยแล้ว 7 ราย แนะหากมีอาการลิ้นชา ชารอบปาก อาเจียน หน้ามืด ให้รีบพบแพทย์

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขได้รับรายงานพบผู้ป่วยอาหารเป็นพิษจากการรับประทานไข่แมงดาทะเล จำนวน 33 ราย เสียชีวิต 3 ราย ล่าสุดกลางเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ พบผู้ป่วย 7 ราย จากการนำไข่แมงดาทะเลเผาที่ซื้อจากตลาดมาปรุงอาหารรับประทานด้วยกัน หลังจากนั้นทุกรายมีอาการชามือ ชาเท้า ชาปลายลิ้น อาเจียน บางรายมีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด ใจสั่นร่วมด้วย ซึ่งเป็นอาการที่เกิดจากพิษของไข่แมงดาถ้วยหรือเห-รา ที่นำมารับประทานเพราะคิดว่าเป็นแมงดาจานซึ่งรับประทานได้ สารพิษนี้ทนทานความร้อนสูงมาก การต้ม ทอด ปิ้ง หรือย่าง ไม่สามารถทำลายพิษได้

นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า แมงดาทะเลมี 2 ชนิดคือ แมงดาจาน หรือแมงดาทะเลหางเหลี่ยม ไม่มีพิษ รับประทานได้ มีขนาดใหญ่ อาศัยอยู่ตามพื้นทะเล วางไข่ตามริมชายฝั่งที่เป็นดินทราย และแมงดาถ้วย ซึ่งมีชื่อเรียกหลายชื่อได้แก่ แมงดาทะเลหางกลม หรือเห-รา หรือแมงดาไฟ จะมีพิษ รับประทานไม่ได้ ตัวมีสีส้มหรือน้ำตาลเข้ม ขนาดเล็กกว่าแมงดาจาน อาศัยอยู่ตามพื้นทะเลที่เป็นดินโคลนและตามคลองในป่าชายเลน ซึ่งแมงดาถ้วยมีพิษที่ชื่อ เตโตรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) และเซซิทอกซิน (Sasitoxin) ชนิดเดียวกับปลาปักเป้า เป็นพิษที่เกิดจากแบคทีเรียในลำไส้ของแมงดาถ้วย หรือเกิดจากการกินตัวแพลงก์ตอนที่มีพิษหรือกินหอยหรือหนอนที่มีแพลงตอนพิษ ทำให้สารพิษไปสะสมอยู่ในเนื้อและไข่ จึงขอย้ำเตือนประชาชนให้ระมัดระวังการกินไข่แมงดาในช่วงกุมภาพันธ์ถึงมิถุนายน ซึ่งมักพบการแพร่พันธุ์ของแพลงก์ตอนพิษจำนวนมาก ทำให้อาจเกิดอาการป่วยรุนแรงและรวดเร็ว ภายใน 10-45 นาทีหลังรับประทานไข่แมงดาเข้าไป

สำหรับผู้ที่รับประทานไข่แมงดาทะเล หากพบว่ามีอาการชาที่ปากและลิ้น วิงเวียน ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน หายใจไม่ออก ให้รีบนำตัวส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด และแจ้งแพทย์ว่ารับประทานไข่แมงดาทะเล จะช่วยให้การรักษาเร็วขึ้น ซึ่งปัจจุบันยังไม่มียาแก้พิษจากแมงดาทะเล ประชาชนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง

 

ที่มา ข่าวสดออนไลน์

เรื่อง/ภาพ กนกวรรณ มากเมฆ

 

น่นอนว่าการจะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หลายบริษัทกว่าจะมาถึงจุดที่มีกำไรได้ก็เรียกได้ว่าล้มลุกคลุกคลานมาเยอะ ซึ่งล้วนแล้วแต่ช่วยสร้างสมประสบการณ์ให้กล้าแกร่งมากขึ้น

ในโลกของการศึกษา การที่นักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้มีโอกาสแก้ไขปัญหาทางธุรกิจ ก็ถือเป็นส่วนช่วยฝึกฝนวิธีการวิเคราะห์ แก้ปัญหา ลับคมการตัดสินใจ ซึ่งจะช่วยเป็นการพัฒนาทักษะและเสริมประสบการณ์ให้ผู้เรียนนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้

อย่างเช่น การแข่งเคส (Case Competition) หรือการแข่งขันเชิงธุรกิจ/ประกวดแผนธุรกิจ ที่จะจำลองสถานการณ์ทางธุรกิจให้ผู้เข้าแข่งขันต้องมาแก้ไขปัญหา วางกลยุทธ์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมาย โดยจะมีการจัดแข่งขันในหลายเวทีในประเทศต่างๆ ทั่วโลก และมีมหาวิทยาลัยต่างๆ ส่งนักศึกษาเข้าร่วม

ผลงานล่าสุดคือการคว้ารางวัลชนะเลิศ 2 รายการใหญ่ของนิสิตหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (หลักสูตรนานาชาติ) คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในนั้นคือการแข่งขัน Heavener International Case Competition 2018 (HICC) ณ มลรัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา

“มติชน อคาเดมี” คุยกับทีมนิสิตที่เข้าแข่งขันในเวทีนี้และคว้าชัยชนะมาได้ ได้แก่ พริม-พริมา ไชยวรุตน์ ปี 3, พิพพิน-วรรณวเรศ บุญคง ปี 4, บอส-จักรพจน์ จิตรวรรณภา ปี 4 และ บุญ-บุญชนะ ศวัสตนานนท์ ปี 4 ซึ่งการแข่งครั้งนี้ “พริม” ได้รางวัล Best Speeker ด้วย โดยมี อ.ดร.นัท กุลวานิช เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา

“พิพพิน” เริ่มเล่าให้ฟังว่า การจะไปแข่งขันเคสในเวทีต่างๆ ได้ นิสิตจะต้องเข้าชมรม BBA Chula Case Club ของมหาวิทยาลัย ซึ่งจุฬาฯจะมีการคัดเลือกเข้าไปอยู่ในชมรม ในชมรมก็จะเป็นการฝึกฝนและส่งนิสิตไปแข่งเคสต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งรายการที่ฟลอริดาจัดขึ้นปีนี้เป็นปีที่ 3 และจุฬาฯเคยส่งไปแข่งมาแล้ว 1 ครั้ง

การแข่งขันในปีนี้มีผู้เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 20 ทีม จากนานาประเทศทั่วโลก เช่น ออสเตรีย สหรัฐฯ  นิวซีแลนด์ เนปาล ฮ่องกง และจากไทยมีจุฬาฯและ ม.ธรรมศาสตร์ โดยการแข่งขันของเวทีนี้จะแบ่งออกเป็น 2 เคส เคสแรกเป็นเคส 5 ชั่วโมง แบ่งเป็นการพรีเซนต์ 5 นาที และถามตอบ 15 นาที ซึ่งจะแตกต่างจากเวทีอื่นๆ ตรงที่เป็นการจำลองสถานการณ์จริงที่ให้เวลาพูดไม่นาน และเน้นถามตอบมากกว่า

(จากซ้าย) บอส, พริม, บุญ และ พิพพิน

โจทย์แรกที่เจอ “วางกลยุทธ์ขยายโปรดักต์ใหม่ดังไกลทั่วประเทศ”

สถานการณ์จำลองสำหรับเคส 5 ชั่วโมงที่น้องๆ เจอ เป็นสถานการณ์ของบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งเป็นติวเตอร์และมีเนื้อหาออนไลน์ ซึ่งมีโปรดักต์ตัวใหม่ขึ้นมา และบริษัทแห่งนี้อยากขยายโปรดักต์ไปทั่วประเทศ โจทย์คือจะวางกลยุทธ์ให้บริษัทนี้อย่างไร เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมาย

“บอส” อธิบายให้ฟังว่า จริงๆ แล้วก่อนการแข่งขัน 1 เดือน ผู้จัดการแข่งขันจะส่งชื่อบริษัทที่เป็นโจทย์มาให้ เพื่อให้แต่ละทีมได้ทำความรู้จักกับบริษัทและโปรดักต์ต่างๆ แต่จะมาบอกโจทย์จริงๆ คือวันแข่งขัน

“เมื่อได้รับโจทย์มา เราก็ใช้เวลาอ่านโจทย์ แล้วมาพูดคุยกันให้เข้าใจว่าจริงๆ แล้วโจทย์ต้องการอะไร จากนั้นก็ระดมความคิดว่าจุดประสงค์คืออะไร ต้นเหตุคืออะไร สถานการณ์เป็นแบบไหน และกลยุทธ์ที่เราจะวางมีข้อดีข้อเสียอย่างไร คุยกันในภาพรวม ก่อนจะมาช่วยกันอย่างละเอียดว่าจุดประสงค์ในการทำกลยุทธ์นี้คืออะไร ต้องทำอะไรบ้าง ทำทำไม และทำอย่างไร คือต้องตอบกรรมการให้ได้หมดทุกอย่าง และข้อสุดท้ายต้องมีตัวเลขการเงินมาเป็นตัวสนับสนุน เพราะจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าพวกเราจะทำได้จริงไหม ลงทุนมากไปหรือเปล่า หรือผลตอบแทนจะออกมาเป็นอย่างไร” บอสกล่าว

ด้วยเวลาเพียง 5 ชั่วโมง ทำให้เมื่อคุยภาพรวมเสร็จ พวกเขาต้องรีบแยกกันไปทำในส่วนของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นการคิดและลงลึกในข้อมูล และทำสไลด์ แต่ก็มีการคุยกันตลอด เพราะสิ่งที่แต่ละคนคิดออกมาจะไปส่งผลต่อตัวเลขในโมเดล ดังนั้น ทุกคนในทีมต้องรู้ข้อมูลทุกอย่าง เพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพเดียวกัน และช่วยในเรื่องการตอบคำถามด้วย

เคส 30 ชั่วโมง ตัวตัดสินผู้ชนะ

เคส 5 ชั่วโมงมีคะแนนเพียง 30% ของคะแนนที่ใช้ตัดสินเท่านั้น แต่อีก 70% มาจากเคส 30 ชั่วโมง ที่ผู้เข้าแข่งขันแต่ละทีมต้องเก็บตัวอยู่ในห้องพักของโรงแรม ห้ามติดต่อคนภายนอก ห้ามปรึกษาอาจารย์ โดยโจทย์ที่ทีมจุฬาฯได้รับ เป็นเคสของบริษัทแห่งหนึ่งที่ทำด้านไอทีและเรื่องการป้องกันดิจิตอล  โดยจะทำอย่างไรให้พนักมานที่เพิ่มรับเข้ามาใหม่ปรับตัวกับองค์กรได้ พนักงานมีความสุข มีทัศนคติสอดคล้องกับแนวทางของบริษัท ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ที่ปัจจุบันมักเป็นปัญหาหลักของทุกองค์กร

ขั้นตอนการทำงานของทั้ง 4 คน คือ เมื่อได้รับโจทย์มา ต่างคนจะต่างอ่านตัวโจทย์ให้ละเอียด จากนั้นก็มาพูดคุยกันว่าเข้าใจตรงกันหรือไม่ ซึ่งทุกคนต้องเข้าใจเหมือนกัน ใครไม่ข้าใจต้องอธิบายให้เห็นภาพไปด้วย เสร็จแล้วก็เริ่มคุยกัยเรื่องกลยุทธ์ ค้นหาข้อมูลต่างๆ ในอินเทอร์เน็ต เช่น งานวิจัย จากนั้นก็เริ่มลงรายละเอียดคร่าวๆ ก่อนจะปรึกษากันเรื่อง Storyline ว่าจะเล่าเรื่องอย่างไรให้กรรมการเข้าใจง่ายที่สุด โดยมีเวลาพรีเซนต์ 10 นาทีและถามตอบอีก 15 นาที

จากนั้นก็ทำสไลด์นำเสนอ ซึ่งมีการแบ่งกันทำในต่ละส่วน แต่ก็จะดูให้มีความสอดคล้องกัน และเมื่อเกิดปัญหาในส่วนใดส่วนหนึ่ง เพื่อนก็จะเข้ามาดูด้วย เช่น คิดกลยุทธ์หนึ่งขึ้นมาแล้วไม่แน่ใจ ก็จะช่วยกันค้นข้อมูล ดังน้น จึงเหมือนว่าทุกการตัดสินใจจะมาจากทุกคนในทีมตลอด

“บอส” เล่าว่า การคิดกลยุทธ์ของเคสนี้จะอาศัยการศึกษาตัวอย่างที่เคยมีคนทำมาแล้ว และนำมาปรับใช้ เพราะการใช้กลยุทธ์เดิมที่เคยมีจะช่วยยืนยันได้ว่าสิ่งที่คิดไปจะมีผลดีแบบนี้

“ดังนั้นในการคิดกลยุทธ์จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน เริ่มจากการดูโครงสร้างค่าใช้จ่ายของบริษัทว่ามีค่าใช้จ่ายสูงสุดในด้านไหน ข้อ 2 ต้องหาว่าการลงทุนของเราจะเป็นเท่าไหร่ มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง และผลตอบแทนเท่าไหร่ และข้อ 3 ต้องดูตัวชี้วัดที่จะตอบโจทย์ เช่น กรณีนี้เป็นเรื่องงของบุคลากร ตัวชี้วัดอาจเป็นตัวเลขจำนวนพนักงานที่ออกจากบริษัทภายในปีแรก นอกจากนี้ยังดูเรื่องค่าใช้จ่ายในการปลูกฝังพนักงานคนหนึ่งว่าเท่าไหร่ เพราะถ้าคนเหล่านี้ออกไป เท่ากับค่าเทรนนิ่ง ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เสียไปจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย”

การทำสไลด์ของพวกเขาเนื้อหานอกจากเนื้อหาจะแน่นแบบพอดี ยังมีการเพิ่มแบ็กอัพสไลด์ที่คาดว่าอาจจะโดนกรรมการถามเพิ่ม รูปแบบของโมเดลรวมไปถึงทุกสิ่งที่นำมาใช้จะมีเหตุผลสนับสนุน เพราะโจทย์ที่ได้รับเป็นธุรกิจจริงๆ จึงเน้นไปที่การสามารถนำไปใช้จริงได้

การเตรียมพร้อม-ทีมเวิร์ค สิ่งนำพาชัยชนะ

นอกจากความรู้ความสามารถของแต่ละคนแล้ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าส่วนหนึ่งของการประสบความสำเร็จครั้งนี้มาจากการเตรียมพร้อมที่ดี ที่แต่ละคนมีการฝึกฝนทักษะ มีการพูดคุยและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันในคลับที่ทำให้สามารถนำไปปรับใช้ได้ นอกจากนี้ยังมาจากทีมเวิร์ค หรือการทำงานร่วมกันเป็นทีม ที่ทุกคนจะต้องฝึกทำโจทย์ร่วมกัน ไปจนถึงปรับทัศนคติให้เข้ากันด้วย

ขณะที่อาจารย์จะช่วยเข้ามาเทรนด์ให้ในช่วงก่อนไปแข่ง โดย “พริม” อธิบายว่า อาจารย์จะมาช่วยดูว่าต้องฝึกอันไหน หาเคสมาให้ลองทำ รวมไปทั้งช่วยส่งข้อมูลให้บ้าง นอกจากนี้ยังช่วยดูแลเรื่องการเดินทาง ที่พัก และติดต่อกับผู้จัด แต่เมื่อถึงเวลาแข่งขันจะไม่สามารถคุยกับอาจารย์ได้เลย มีการยึดโทรศัพท์ เพื่อให้ทุกทีมมีความเท่าเทียมกัน

การแข่งขันเหมือนการได้ไปเปิดโลก

“พริม” กล่าวอีกว่า การแข่งเคสนอกจากจะได้พัฒนาทักษะด้านธุรกิจ ซึ่งมองว่านี่เป็นแส่วนเล็กๆ เท่านั้น แต่ประโยชน์ที่ได้จริงๆ คือการได้ไปเปิดโลก ได้เห็นมุมมองคนอื่น

“มุมมองของเราก็อาจจะค่อนข้างไทยนิดนึง แต่พอไปเจอคนฮ่องกงเขาก็จะคิดอีกแบบหนึ่ง คนสิงคโปร์ก็จะคิดอีกแบบหนึ่ง พอได้ไปฟังการพรีเซนต์ของคนอื่นก็ได้เห็นว่าเขาคิดแบบไหน นอกจากนี้ยังได้ไปคุย ไปสร้างเครือข่ายกับคนอื่นๆ เป็นการเปิดโลกให้เราได้มีโอกาสไปคุยอะไรแบบนี้” พริมระบุ

“บอส” กล่าวว่า การแข่งเคสเป็นอีกโอกาสหนึ่งที่ทำให้สามารถนำทฤษฎีที่เรียนมาใช้จริง เกิดการเชื่อมโยงว่าสถานการณ์แบบนี้น่าจะใช้ทฤษฎีนี้ เป็นต้น

ด้าน “บุญ” ระบุว่า เวทีการแข่งขันก็เหมือนกับการจำลองการทำงาน เพราะการเรียนในห้องเรียนเป็นการเรียนรู้ผ่านตัวหนังสือ

แต่การไปทำงานจริงนั้นไม่ได้มีปัญหาด้านเดียวที่รอให้แก้ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องโผล่ขึ้นมา ทำให้รู้ว่าการเรียนในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ

ขณะที่ “พิพพิน” กล่าวว่า นอกจากสิ่งที่เพื่อนๆ กล่าวมาแล้ว สิ่งที่ได้จากการแข่งขันเป็นเรื่องของ Soft Skill เช่น การทำงานร่วมกับผู้อื่น การปรับตัวเข้ากับทีม ทำอย่างไรให้ทีมมีความสุข เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งหากไปทำงานข้างนอกจริงๆ ก็ต้องทำงานเป็นทีม เพราะไม่มีใครสามารถทำงานคนเดียวได้

หลังจบจากเวทีนี้แล้วนิสิตปี 3 อย่างพริมก็ยังมีโอกาสไปแข่งอีก 1 ปี สิ่งที่เธอจะทำก็คือต้องฝึกฝนให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นศึกษากลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของกรรมการ เพราะโลกเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ก็อาจจะต้องไปศึกษาเคสที่เกี่ยวกับ Internet of Things และไอทีเพิ่ม รวมไปถึงเตรียมเป็นรุ่นพี่ปี 4 คอยช่วยเหลือและฝึกฝนน้องๆ ในรุ่นถัดมาด้วย

ส่วนน้องๆ ปี 4 ทั้ง 3 คน ต่างก็วางแผนชีวิตหลังเรียนจบไว้ตามทางที่อยากเดิน โดยพิพินจะไปเรียนต่อในสิ่งที่สนใจ เช่น สายบริหาร ธุรกิจระหว่างประเทศ รวมทั้งช่วยงานของครอบครัวด้วย ขณะที่บอสก็จะกลับไปช่วยธุรกิจของครอบครัวเช่นกัน ส่วนบุญที่สนใจเรื่องการเงินและการลงทุน ก็จะไปทำงานในบริษัทตามสายอาชีพนี้


 

Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

เรื่อง/ภาพ กนกวรรณ มากเมฆ


 

พูดถึง “ผ้าไหม” หลายคนคงนึกถึงผ้าเนื้อนุ่มลื่น มักใช้ตัดชุดทางการ ชุดพิธี หรือชุดที่มีความเป็นผู้ใหญ่หน่อย แต่ทุกวันนี้การนำผ้าไหมมาใช้เรียกได้ว่าไม่ได้จำกัดอยู่กับรูปแบบเดิมๆ เท่านั้น เพราะมีการนำผ้าไหมไปประยุกต์ทำสินค้าใหม่ๆ ขึ้น อย่างเช่นแบรนด์ “La Orr” (ละออ) ที่นำผ้าไหมมาจับใส่ไอเดียเกิดเป็นเครื่องประดับที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

“ออม-สุพัจนา ลิ่มวงศ์” เล่าให้ “มติชน อคาเดมี” ฟังว่า แบรนด์ละออเริ่มตั้งเป็นแบรนด์จริงๆ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว แต่ก่อนหน้านี้ที่ทำงานเป็นดีไซเนอร์บริษัทส่งออกเครื่องประดับเงิน ก็มีการทดลองเท็กซ์เจอร์และเทคนิคมาเรื่อยๆ ตลอด 4 ปี

“ตั้งแต่ตอนเรียนศิลปกรรมออกแบบเครื่องประดับที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เราก็มีความฝันว่าอยากจะมีแบรนด์เครื่องประดับของตัวเอง แต่อยากลองหาประสบการณ์ก่อนเลยไปทำงานบริษัท พอถึงจุดหนึ่งก็รู้สึกอิ่มตัว เลยคิดว่าน่าจะออกมาทำอะไรจริงๆ จังๆ จึงไปเรียนปริญญาโท สาขาออกแบบแฟชั่นและเท็กซ์ไทล์ที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง แล้วก็มาทดลองทำ” ออม-สุพัจนากล่าว

ด้วยความที่ส่วนตัวเธอเป็นคนชอบงานคราฟต์ของไทยอยู่แล้ว แต่งานคราฟต์ของไทยนั้นมีมากมายหลายประเภท เช่น จักสาน งานไม้ไผ่ ในตอนแรกเธอเองก็ยังไม่คาดคิดว่าตัวเองจะใช้ผ้าไหม เพียงแต่อยากทำแบรนด์ที่เอางานคราฟต์ไทยมาใช้เท่านั้น

แต่ความบังเอิญอยู่ที่ส่วนตัวเธอรู้จักกับ “ร้านสุรีย์พรไหมไทย” ทำให้มีโอกาสได้สัมผัสของจริงว่าผ้าไหมเป็นผ้าที่สวยมาก แต่คนทั่วไปกลับไม่ค่อยได้ใช้ เพราะผู้คนมักรู้สึกว่าผ้าไหมเป็นสิ่งไกลตัว มีความเป็นผู้ใหญ่ เป็นทางการ ตัดได้เพียงชุดพิธีการทรงตรง เลยรู้สึกว่าต้องเอามาทำอะไรสักอย่าง

“ตอนนั้นเราเลยตั้งโจทย์ให้มันคอนทราสต์ขึ้นมาเลยว่าเราจะทำให้วัยรุ่นใส่ และใส่ได้ทุกวัน เข้าถึงง่าย ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัว ที่ร้านสุรีย์พรจึงให้ผ้าไหมเรามาทดลองได้เต็มที่ เพราะเขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเราจะออกแบบมาเป็นรูปแบบไหน”

โดยกว่าจะมาเป็นสินค้าแฟชั่นจากงานคราฟต์ไทยโบราณที่ดูสัมผัสได้และใช้ได้จริงอย่างทุกวันนี้ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะความยากนั้นเรียกได้ว่าเริ่มตั้งแต่วัสดุที่ใช้ ที่ในตอนแรกเธอยังนึกไม่ออกเลยว่าจะทำออกมาอย่างไรให้ดูสวยโดยที่ต้องแตกต่างจากเครื่องประดับผ้าที่เคยเห็น เลยทดลองค่อนข้างเยอะ ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ผ่านการสเกตช์งานก่อน เพราะการทดลองทำทั้งตัวผ้าและวัสดุไปด้วยกันจะทำให้เห็นเป็นสามมิติมากกว่า และทำให้รู้เลยว่าจุดใดยังมีปัญหา ส่วนไหนยังไม่ได้

ผลงานของ “ออม” ในช่วงแรกจะเป็นทรงที่ทำค่อนข้างง่าย อาจจะเป็นทรงที่เห็นได้ทั่วไป คือ เป็นพู่ผ้าไหมแล้วมีหัวจุก แต่คอลเลคชั่นถัดๆ มาตัวเรือนจะเริ่มไม่ใช่แค่หัวจุก แต่จะมีความบิดพลิ้วมากขึ้น ดูเป็นตัวเรือนที่มีความจริงจังมากขึ้น ยากขึ้นทั้งตัวผ้าและการขึ้นตัวโลหะ

ความเก๋ไก๋ยังอยู่ที่ทุกชิ้นงานของเธอเป็นงานแฮนด์เมดทั้งหมด วัสดุหลักจะเป็นผ้าไหมปักธงชัยเท่านั้น กับทองเหลืองชุบ ซึ่งแต่ละชิ้นก็จะใช้เวลาการทำไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความยากง่าย เพราะฉะนั้นหากมีออเดอร์เข้ามา “ออม” ก็จะมีการตกลงเวลากับลูกค้าว่าหากมีออเดอร์เยอะก็อาจจะเกิน 1 เดือนขึ้นไป แต่โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 3 สัปดาห์/ออเดอร์

สำหรับราคาของเครื่องประดับผ้าแบรนด์นี้เริ่มตั้งแต่ 590 ไปจนถึง 6,000 บาทขึ้นไป ปัจจุบันในประเทศไทยหาซื้อได้ที่ Room Concept Store ที่สยามดิสคัฟเวอรี่, เอ็มควอเทียร์, เซ็นทรัลเอ็มบาสซี่ และที่วันเดอร์รูม สยามเซ็นเตอร์ ส่วนตลาดต่างประเทศมีวางขายในรีเทลช็อปในฝรั่งเศส, ไต้หวัน, มาเก๊า และออสเตรเลีย โดยเริ่มเจาะกลุ่มลูกค้าต่างประเทศตั้งแต่ปีที่ผ่านมา

“เราเริ่มเน้นเจาะกลุ่มชาวไทยก่อน แต่ลูกค้าจริงๆ ของเราเป็นลูกค้าต่างชาติ ส่วนใหญ่จะมาจากการออกงานแฟร์แล้วเขามาเดินหาของแปลกใหม่และสนใจนำไปวางขาย เสียงตอบรับที่ผ่านมาถือว่าดีโดยเฉพาะช่วงไฮซีซั่นของต่างชาติ โดยยอดขายอาจจะไม่ได้ตู้มต้ามมาก แต่ก็ยังมาเรื่อยๆ เพราะจริงๆ ตั้งเป้าไว้อยู่แล้วว่าจะโตแบบค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เนื่องจากสินค้าเราไม่ใช่ของที่เข้าใจง่าย ต้องค่อยๆ ให้คนทำความรู้จักคุ้นเคยไปเรื่อยๆ จะดีกว่า”

“ออม-สุพัจนา” บอกอีกว่า การออกแบบชิ้นงานตอนนี้ก็ยังใช้ผ้าไหมปักธงชัยอยู่ แต่ว่าต่อๆ ไปก็กำลังทดลองวัสดุใหม่ด้วย ซึ่งยังเน้นเป็นงานคราฟต์ของไทยเท่านั้น โดยอาจจะลองทำโปรดักต์ในกลุ่มอื่นบ้างนอกจากเครื่องประดับ เช่น กระเป๋าถือใบเล็ก ซึ่งยังอยู่ในกลุ่มสินค้าแฟชั่นอยู่

“เรามองว่างานคราฟต์ไทยยังทำได้อีกหลายอย่าง นี่เป็นแค่หนึ่งตัวอย่างที่นำมาใช้ก็คือผ้าไหม แต่ยังมีงานอีกเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเบญจรงค์ เครื่องถม จักสานย่านลิเภา อยู่ที่ว่าใครจะหยิบมาใช้อย่างไร เลยมองว่าเรื่องของงานออกแบบจากคราฟต์ไทยยังไปได้อีกไกล ขึ้นอยู่กับว่าเราทดลอง ให้เวลากับมันมากแค่ไหน เพราะงานจะออกมาดีได้ต้องใช้เวลากับความอดทน อีกทั้งคนทั่วไปยังรู้สึกว่าเครื่องประดับต้องเป็นเพชร ทอง โลหะ เพราะฉะนั้นต้องอดทนว่าต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจ หรือพยายามหารางวัลมาการันตีให้คนมาโฟกัสที่งานของเรา” เจ้าของแบรนด์ละออกล่าว

ก่อนจะทิ้งท้ายว่า “ถ้าใครสนใจเรื่องของงานออกแบบจริงๆ อยากให้ลงแรงกายแรงใจไปกับสิ่งที่ตัวเองรัก อาจจะเริ่มจากสิ่งที่สนใจ ก็ให้ไปโฟกัสที่สิ่งนั้น และพยายามทดลองทำให้ต่างจากสิ่งที่มีอยู่ทั่วไป เวลาหาข้อมูลก็พยายามไม่หางานที่เกี่ยวกับเครื่องประดับ แต่จะพยายามหาศิลปะแขนงอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง เพราะเราไม่อยากติดตา ถึงแม้บางคนจะบอกว่าหาเพื่อเป็นแรงบัดาลใจ สุดท้ายก็ไม่พ้น และจะเป็นการนำผลงานคนอื่นมาใช้โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย การออกไปดูสิ่งอื่นหรือหาแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ งานที่ออกมาก็จะเป็นตัวเรา 100% และพูดได้เต็มปากเลยว่าเป็นงานของเรา”

นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างดีไซเนอร์ที่มีการหยิบจับงานศิลปะหัตถกรรมของไทยมาใช้ได้อย่างสร้างสรรค์เลยทีเดียว


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

ขั้นตอนพื้นฐานของการชิมไวน์นั้นไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายในคราเดียวกัน 3 ขั้นตอนสั้น ๆ คือ “ดู-ดม-ดื่ม”

ดู ด้วยการใช้มือจับที่ก้านของแก้วไวน์พร้อมมองสีของไวน์ด้วยความสุนทรีย์ เคล็ดลับคือห้ามจับที่ก้นแก้ว เพราะมือที่สัมผัสนั้นจะทำให้อุณหภูมิของไวน์เปลี่ยน

ดม ขั้นตอนที่สองที่ใช้ประสาทสัมผัสจากจมูก สูดกลิ่นความหอมของไวน์ด้วยการยกแก้วขึ้นมาจดที่ปลายจมูก แล้วหลับตาพร้อมสูดกลิ่นของไวน์ที่ให้ความอบอวลของความอโรมามากยิ่งขึ้น ก่อนที่จะไปขั้นตอนถัดไป ขอให้ลองแกว่งแก้วไวน์ให้ไวน์ได้สัมผัสกับอากาศ พร้อมสูดดมไวน์อีกครั้งหนึ่ง

ดื่ม ขั้นตอนสุดท้ายถูกใจนักดื่มไวน์ ที่ต้องค่อย ๆ จิบอย่างละเมียดละไม พร้อมอมไว้สักพักเพื่อให้ประสาทสัมผัสได้รับรู้และแยกรสชาติของไวน์ จากนั้นค่อย ๆ กลืน

คำถามที่ตามมานั้นคือเพราะอะไรทำให้ไวน์ที่มาจากขวดเดียวกันมีรสชาติที่ต่างกัน คำตอบไม่ยากก็คือ “รูปทรงของแก้วไวน์”

แก้วที่มีกระเปาะกว้าง มีพื้นที่ให้ไวน์ได้รับออกซิเจนเพิ่มก็จะทำให้ได้ไวน์มีรสชาติอย่างหนึ่ง แก้วทรงสูงที่เด่นในเรื่องของการรับรู้กลิ่นอโรมาก็จะให้รสชาติของไวน์อีกแบบหนึ่ง ส่วนแก้วที่มีปากกระเปาะแคบแต่ฐานแหลมก็จะให้รสสัมผัสของไวน์ที่แตกต่างกันออกไป

เลือกแก้วไวน์ดี เข้าถึงได้มากกว่า

“รูปทรงของแก้วไวน์” ที่ถูกออกแบบมาอย่างสร้างสรรค์นั้นไม่ได้ให้เกิดความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สามารถเปลี่ยนรสชาติของไวน์ได้ด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นไวน์ที่ถูกเทออกมาจากขวดเดียวกันก็ตาม

“ผศ.จุฬาลักษณ์ ไพบูลย์ฟุ้งเฟื่อง” รองอธิการบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ กล่าวว่า RICE เป็นสถาบันการศึกษานานาชาติที่มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนา และบ่มเพาะผู้ประกอบการธุรกิจสร้างสรรค์ในระดับสากล ภายใต้หลักการ RICE เปลี่ยนความชอบให้เป็นอาชีพ

“ความร่วมมือระหว่าง RICE-ICDE-ECS ครั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของ RICE ในการผลิตผู้ประกอบการสร้างสรรค์ และการันตีได้ว่านักศึกษาที่จบออกมาจะเป็นผู้ที่มีความสามารถและประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย เนื่องจากโครงสร้างหลักสูตรของ RICE ควบรวมการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติการจากสถาบันการศึกษา และสมาคมวิชาชีพระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชานั้น ๆ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชา รวมถึงปริญญาธุรกิจจากสถาบันอุดมศึกษาต่างประเทศ และการฝึกปฏิบัติงานกับองค์กรวิชาชีพชั้นนำที่จะเพาะบ่มให้บัณฑิตของ RICE มีทักษะปฏิบัติการขั้นสูง”

“พร้อมทั้งยังสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มีหลักคิดทางธุรกิจ ประสบการณ์ และความรู้เกี่ยวกับตลาดในต่างประเทศ รวมไปถึงการสร้างเครือข่ายวิชาชีพที่จำเป็นสำหรับคนรุ่นใหม่ที่จะก้าวเข้าสู่โลกธุรกิจได้อย่างมั่นใจและมั่นคง”

สำหรับความร่วมมือกันครั้งนี้ถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญ และเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนในสาขาวิชาชีพเชฟ สู่การเป็นผู้ประกอบการเชฟรุ่นใหม่ที่ได้มาตรฐานในระดับสากล รวมทั้งจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนอาชีพเชฟสู่สากล และขยายธุรกิจในต่างประเทศได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

“โรเบิร์ต ฟอนตานา” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สถาบันการครัวดิซิพ เอสโคฟิเอร์ กล่าวว่า สถาบันมองหาโอกาสในการส่งผ่านองค์ความรู้และหลักการพื้นฐานศิลปะการประกอบอาหารให้กับกลุ่มเยาวชนรุ่นใหม่ ที่มีใจรัก และความต้องการที่อยากจะเป็นเชฟมืออาชีพในระดับสากล ด้วยการเลือกพัฒนาหลักสูตรร่วมกับวิทยาลัยผู้ประกอบการสร้างสรรค์นานาชาติรัตนโกสินทร์ในครั้งนี้

“หลักสูตรดังกล่าวเป็นหลักสูตรปริญญาตรี 4 ปี โดยจะศึกษาที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ศาลายา เป็นเวลา 3 ปี และศึกษาพร้อมฝึกปฏิบัติงานในสาธารณรัฐฝรั่งเศสอีก 1 ปี โดยบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจะได้รับปริญญา 2 ใบ คือปริญญาตรีด้านศิลปะและเทคโนโลยีการประกอบอาหารจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ และปริญญาตรีด้านการบริหารธุรกิจจาก ECS”

“นอกจากนั้น ยังได้ประกาศนียบัตรวิชาชีพด้านอาหารฝรั่งเศสที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลฝรั่งเศสด้วย รวมถึงประกาศนียบัตร Disciples Escoffier Grande Diploma จากสมาคม Disciples Escoffier ซึ่งจะทำให้บัณฑิตมีเครือข่ายวิชาชีพทันทีที่จบการศึกษา”

สำหรับรุ่นแรกจะเริ่มเปิดการเรียนการสอนในปีการศึกษา 2561 โดยเปิดรับจำนวน 25 คน และเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2561 เป็นต้นไป


[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111

“ปูขน” จัดว่าเป็นเมนูอาหารจีนที่มีชื่อเสียงอย่างมาก เพราะเป็นอาหารที่หายาก ที่สำคัญมีราคาแพง ในบ้านเราพอถึงช่วงฤดูหนาวโรงแรมสี่ห้าดาวบางแห่งถึงกับจัดเทศกาลปูขน เสิร์ฟเมนูเด็ดหลายเมนู แต่ละจานหลักหลายร้อยจนถึงหลักพัน อาทิ ปูขนนึ่งชาจีน อันเป็นเมนูดั้งเดิมและถือเป็นธรรมเนียมในการกินปูขน โดยนำชาจีนมาใช้ในการนึ่งปู ทำให้เนื้อปูมีกลิ่นหอม สดชื่นจากใบชา พร้อมทั้งได้รสชาติหวานของเนื้อปู ราคาต่อจานพันกว่าบาท

โดยในหนังสือ เหินห่าว Business อยากเก่งธุรกิจต้องคิดอย่างจีน เขียนโดย วรมน ดำรงศิลป์สกุล (สนพ.มติชน) ได้พาไปศึกษาตัวอย่างของอีคอมเมิร์ซในจีนที่ใช้การเกาะติดกับพฤติกรรมผู้บริโภคแบบเทรนด์ตามฤดูกาล เช่น ในช่วงไฮซีซั่นของสินค้าในเดือนตุลาคม ที่เมืองจีนถือเป็นช่วงเทศกาลกินปูขน!! ถึงขนาดที่อีคอมเมิร์ซทุกเว็บไซต์พร้อมใจกันจัดเทศกาลขายปูขนกันเป็นล่ำเป็นสันเลยทีเดียว

โดยปกติเดือนตุลาคมถือเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดของการกินปูขน เพราะมันโตเต็มที่ มีมันเยอะ และราคาไม่สูงเกินจริง

ซึ่งปูขนออนไลน์ที่อีคอมเมิร์ซจีนทุกเจ้าการันตีว่าพร้อมส่งฟรีทั่วประเทศ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน โดยเงื่อนไขสำคัญที่สุด คือ จะจัดส่งปูขนให้ถึงมือคุณทั้งที่ยังเป็นๆอยู่ด้วย!

ทั้งนี้ เมื่อทดลองกดออเดอร์สั่งมา 1 เซท ประกอบด้วยปูตัวเมีย 4 ตัว และตัวผู้อีกอย่างละเท่ากัน

วันครึ่งผ่านไปกล่องพัสดุก็มาส่งตามคาด ตัวกล่องบรรจุปูน้อยใส่โฟม มัดขาแย้งมาเป็นอย่างดี เปิดออกมาตรวจสอบจะพบตาปูทุกตัวกะพริบเหมือนเซย์ไฮ! ที่าปูทุกตัวมีคิวอาร์โค้ดให้สแกนว่ามาจากบ่อไหนอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีผงใบกะเพราผสมขิงที่เมื่อโรยไปแล้วจะช่วยดับกลิ่นคาวปูเวลานำไปอบ รวมถึงอุปกรณ์การกินปูแถมมาด้วย เช่น ที่ควักเนื้อปู กรรไกรตัดขาปู และน้ำจิ้มจิ๊กโฉ่ว

เทศกาลปูขนปี 2017 ที่ผ่านมา “หลิวเฉียงตง” ซีอีโอของจิงตง หรือ jd.com ได้ขึ้นเวทีโปรโมทเทศกาลกินปูขนด้วยตัวเอง อีกทั้งยังย้ำด้วยว่าภารกิจใหญ่ในปีนี้ คือพร้อมส่งปูขนเป็นๆทั้งแผ่นดินจีนให้ถึงทุกบ้านภายใน 6 ชั่วโมง (หากเป็นเมืองใหญ่ๆ จะถึงภายใน 30 นาที) ส่วนเทียนเมา ของอาลีบาบาก็ไม่ยอมน้อยหน้า จัดอีเวนต์กลางห้างดัง เปลี่ยนตู้คีบตุ๊กตามาเป็นตู้จับปูเป็นๆไปกินฟรี

และที่สถานีรถไฟหนานจิง ก็มีตู้ขายปูอัตโนมัติที่ทำให้รู้สึกว่าการกินปูขนเป็นเรื่องง่ายๆ และคิดอยากจะกินเมื่อไหร่ก็ได้ตามอารมณ์

เรื่องราว “ปูขน”

ปูขน มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน อาศัยอยู่ตามทะเลสาบใน เจริญเติบโตอยู่ในสภาพอากาศหนาว และน้ำที่เย็นจัด และเป็นที่ยอมรับกันว่า ปูขน ที่มาจากทะเลสาบหยางเฉิงหู มณฑลเซียงจู มีรสชาติดีที่สุด ซึ่งแม้ปูขนมีให้บริโภคได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงเวลาที่จะกินปูขนให้อร่อยที่สุด คือปลายฝนต้นหนาวเพราะเป็นฤดูผสมพันธุ์ ระหว่างเดือนกันยายนไปจนถึงเดือนมกราคม เป็นเวลาที่ปูตัวเมียเริ่มมีไข่ ส่วนตัวผู้ก็มีเนื้อหวานเต็มที่

สำหรับปูขนเลี้ยงกันที่มณฑลเจียงซู ที่ขึ้นชื่อมากอยู่ที่ทะเลสาบหยางเฉิงหู อันดับสองอยู่ที่ทะเลสาบไท่หู ในเมืองอู๋ซี ซึ่งปูขนนั้นจะเลี้ยงกันที่ทะเลสาบ โดยเลี้ยงในกระชังกั้นไว้ไม่ให้มันหนีไปไหน ปูขนจะหากินเองในทะเลสาบ เวลาขายจะขายเป็นตัว ไม่ได้ขายเป็นกิโลกรัม

เมนูปูขนนึ่งเหล้าจีน ก็เป็นเมนูเด็ดอีกอย่าง โดยใช้เหมาไถ ซึ่งจะต้องเอาขนของมันออกด้วย แล้วนำไปนึ่งให้สุก ประมาณ 15 นาที ช่วงที่นึ่งใส่ใบหม่อนตากแห้งลงไปด้วย เพื่อช่วยสลายพิษสำหรับคนที่แพ้ปู ส่วนน้ำจิ้มปูขนนึ่งเหล้าจีนใช้จิ๊กโฉ่คุณภาพดี ผสมกับขิงสับ นอกจากนี้ ก็ยังมีซุปเกี๊ยวปูขนทอด และเนื้อปูขนผัดนมสด


Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111