เที่ยวกาญจนบุรี ตามรอยสงคราม ๙ ทัพ
จุดเปลี่ยนยุทธศาสตร์การศึก ไทย–พม่า
กาญจนบุรี เป็นจังหวัดท่องเที่ยวท็อปฮิตอันดับต้นๆ ของประเทศไทยที่มีเส้นทางท่องเที่ยวหลากหลายที่สุดจังหวัดหนึ่ง มีทั้งแบบผจญภัย ธรรมชาติสวยงาม วัฒนธรรมชุมชน และแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์
วันนี้เราจะดีไซน์เส้นทางท่องเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรีเส้นทางใหม่ ชวนไปตามแกะรอยเส้นทาง “สงคราม ๙ ทัพ” ชมความงามจุดบรรจบแม่น้ำสองสาย พร้อมเรื่องราวจุดเปลี่ยนยุทธศาสตร์การศึก และการย้ายเมือง ตบท้ายด้วยการแวะชมว่าสถาปัตยกรรมและปฏิมากรรมของปราสาทเมืองสิงห์
ตั้งต้นกันที่อุทยานประวัติศาสตร์สงคราม ๙ สถานที่ที่เคยเป็นสมรภูมิการรบระหว่างกองทัพของไทยและกองทัพพระเจ้าปดุงกษัตริย์พม่าที่กินเวลายาวนานถึง10 เดือน กว่าสงครามจะยุติลง โดยทัพไทยเป็นฝ่ายชนะ
ภายในอุทธยานฯ มีการจัดทำหอสังเกตการณ์ไว้บนเนินเขาลาดกระทิง มีลักษณะเป็นป้อมที่สร้างเลียนแบบป้อมพระกาฬของกรุงเทพมหานคร เป็นจุดชมวิวที่มองเห็นทัศนีภาพมุมกว้าง และทำให้นึกย้อนไปไกลถึงสมัยที่สถานที่แห่งนี้ เป็นภูมิประเทศในการเดินทัพและเป็นจุดสกัดกั้นกองทัพพม่า มองอย่างไรก็ไม่เห็นภาพ จนกระทั่งได้เดินเข้าไปในอาคารนิทรรศการที่มีรูปร่างเหมือนหมวกนักรบโบราณ ซึ่งได้จัดแสดงเรื่องราวการศึกสงคราม ๙ ทัพ พร้อมแบบจำลองการวางกำลัง เส้นทางเดินทางทัพ ทำให้พอมองเห็นเส้นทางการเคลื่อนทัพพม่า และจุดยุทธศาสตร์การรบในครานั้น
สงคราม ๙ ทัพ เป็นการสู้รบระหว่างอาณาจักรไทยและอาณาจักรพม่า เป็นประวัติศาสตร์ศึกสงครามที่แสดงถึงจุดเปลี่ยนด้านยุทธศาสตร์การรบในด้านการตั้งรับ จากการใช้พระนครแป็นฐานตั้งรับศึกมาเป็นการใช้หัวเมืองที่อยู่ในเส้นทางเดินทัพเป็นฐานรับศึกแทน และมีพัฒนาการสืบเนืองต่อมาจนถึงรัชสมัยการบริหารราชการแผ่นดินในรัชกาลที่๓ ที่ทำให้เมืองกาญจนบุรีมีการย้ายที่ตั้งเมืองจากเมืองกาญจนบุรีเก่าที่เขาชนไก่มาตั้งที่บริเวณปากแพรกอันเป็นที่ตั้งเมืองในปัจจุบัน
บริเวณปากแพรกจึงมีความสำคัญในการเป็นที่ตั้งทัพหลวงในการรับทัพของพระเจ้าปดุง มีหลักฐานกล่าวถึงในนิราศท่าดินแดง ดังความว่า
ถึงปากแพรกซึ่งเป็นที่ประชุมพล
พร้อมพหลพลนิกรน้อยใหญ่
ค่ายคูขันธ์ทั้งนั้นไซร์
สารพัด แต่งไว้ ทุกประการ
ปัจจุบันบริเวณปากแพรกกลายเป็นย่านร้านอาหาร สถานที่กินลมชมวิวของ จุดชมพระอาทิตย์ตกดินของคนเมืองกาญจน์และนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ
จากทุ่งลาดหญ้าไปยังปากแพรกเราจะเที่ยวเป็นวงกลม แวะสถานที่น่าสนใจอีก ๒ แห่ง
แห่งแรก คือ ป่าเลย์ไลย์ เป็นวัดโบราณสมัยอยุธยาที่มีการบูรณะปฏิสังขรณ์มาแล้วหลายครั้ง ยังคงทิ้งร่องรอยความเก่าแก่ผ่านกาลเวลาให้เห็นอยู่ มีพระพุทธรูปปูนปั้นปางป่าเลย์ไลน์นั่งตระหง่านขนาบข้างด้วยกำแพงอิฐสีหม่น สวย สง่า สงบ อย่างแปลกประหลาด
ที่สำคัญบริเวณนี้ยังเคยเป็นเมืองหน้าด่านสกัดกั้นการเดินทัพของพม่าในช่วงสมัยอยุธยาตอนต้นจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเช่นกัน
แห่งที่สองคือ อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ กล่าวว่าสถาปัตยกรรมและปฏิมากรรม คล้ายคลึงกับของสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่เจ็ดกษัตริย์นักสร้างปราสาทแห่งขอม
ปราสาทเมืองสิงห์ตั้งอยู่บริเวณที่ราบริมฝั่งทิศเหนือของแม่น้ำแควน้อย พื้นที่โดยรอบโอบรอบด้วยภูเขาขนาดไม่สูงมากนัก บริเวณโบราณสถานจะมีกำแพงและคูคันดินเป็นชั้นๆ แนวกำแพงดังกล่าวมีลักษณะเกือบเป็นรูปสี่เหลี่ยม คือแม่น้ำแควน้อยไหลผ่านด้านทิศใต้ ดังนั้นพื้นที่ด้านนี้จึงขยายออกไปตามแนวแม่น้ำ
นอกจากโบราณสถานที่งดงามแล้ว ที่นี่ยังมีหลุมขุดค้นทางโบราณคดีตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ซึ่งขุดค้นพบทั้งโครงกระดูกมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์เครื่องมือเครื่องใช้ ภาชนะ
สำริด ดินเผา เครื่องมือเหล็ก สร้อยคอทำด้วยลูกปัดหินและลูกปัดแก้ว ซึ่งหลักฐานทั้งหมดชี้ชัดว่าชุมชนเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนที่จะสร้างเมืองสิงห์ เพราะมีอายุกว่า
2,000 ปีมาแล้ว
เป็นอีกหนึ่งอุทยานประวัติศาสตร์ที่มีแลนด์สเคปสวยติดอันดับต้นๆ ของประเทศไทยที่คุณไม่ควรพลาด