บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด หรือ เครือซีพี ติดอันดับในรายงาน The Sustainability Yearbook 2022 จัดทำโดย S&P Global ซึ่งเป็นการประกาศรายชื่อบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยรายงานนี้ถือเป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิงด้านความยั่งยืนขององค์กรระดับโลกที่มีความน่าเชื่อถือสูงและเป็นที่ยอมรับในกลุ่มนักลงทุน โดยเครือซีพีเป็นองค์กรเอกชนไทยรายเดียวที่ได้รับการประเมินดัชนีความยั่งยืนอยู่ในระดับ Bronze Class ในกลุ่มอุตสาหกรรม Industrial Conglomerates จากจำนวนบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันที่ได้รับการประเมินทั้งหมด 66 บริษัท ทั้งนี้ถือเป็นการสะท้อนความมุ่งมั่นของเครือซีพีในการดำเนินงานด้านความยั่งยืนครบทุกมิติ เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เปิดเผยว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ในฐานะองค์กรภาคเอกชนไทยมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เป็นองค์กรไทยรายเดียวในการได้รับติดอันดับการประเมินความยั่งยืนในรายงาน The Sustainability Yearbook 2022 ระดับ Bronze Class ในกลุ่มอุตสาหกรรม Industrial Conglomerate ซึ่งมีคะแนนอยู่ในช่วง 5%-10% ของบริษัทที่มีผลการดำเนินการด้านความยั่งยืนสูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว โดยลำดับแรก คือ ซีเมนส์ (Siemens AG) กลุ่มบริษัทพลังงานจากประเทศเยอรมนี ตามมาด้วยกลุ่มธุรกิจ เอส.เค (SK Inc.) กลุ่มบริษัทธุรกิจด้านไอทีจากประเทศเกาหลีใต้ โดยองค์กรที่ได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับในรายงานฉบับนี้จะต้องผ่านการทำแบบประเมินเรียกว่า Corporate Sustainability Assessment หรือ CSA ซึ่งใช้ในการจัดอันดับดัชนีความยั่งยืนดาวน์โจน หรือ Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ซึ่งพิจารณาจากผลการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญในมิติด้านบรรษัทภิบาล เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเครือซีพีมีความโดดเด่นครอบคลุมมิติด้านความยั่งยืนหลายด้านตามเกณฑ์การประเมิน อาทิ กลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การรายงานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม จรรยาบรรณธุรกิจ การจัดการนวัตกรรม และการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ทั้งนี้นับเป็นความสำเร็จที่สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานทางธุรกิจเพื่อบรรลุตามเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำองค์กรแห่งความยั่งยืน

นายศุภชัย กล่าวต่อว่า เครือซีพีมีเข็มทิศในการทำธุรกิจโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญผ่านยุทธศาสตร์ความยั่งยืน 3 Hs คือ Heart – Living Right, Health – Living Well และ Home – Living Together ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ หรือ SDGs และให้ความสำคัญในการดำเนินงานตามแนวทางของ ESG คือการทำธุรกิจที่ต้องคำนึงถึง สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environment, Social, Governance) รวมไปถึงการทำงานเชิงรุกเพื่อผลักดันวาระของโลกในหลายประเด็น ทั้งนี้นับเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของทุกกลุ่มธุรกิจในเครือฯ ที่จะต้องเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจควบคู่ไปกับการสร้างคุณค่าให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืนของเครือซีพีสู่ปี 2573 ไปพร้อมกับการเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกด้านความยั่งยืน ในการสร้างความสมดุลทั้งธุรกิจและสังคม

สำหรับการจัดอันดับในรายงาน The Sustainability Yearbook 2022 เป็นรายงานที่ได้รับความเชื่อมั่นในนักลงทุนและเป็นที่ยอมรับในระดับโลก โดยมีบริษัทเข้าร่วมการประเมิน 7,554 แห่งทั่วโลก และมีเพียง 716 บริษัทจาก 61 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับการคัดเลือกจัดอันดับในรายงานฉบับนี้ ซึ่งในปีนี้มีบริษัทไทยเพียง 41 องค์กร ที่ได้รับการจัดอันดับ โดยนอกจากเครือซีพียังมีบริษัทในเครือฯติดอันดับในรายงาน The Sustainability Yearbook 2022 ได้แก่ บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร บมจ. ซีพี ออลล์ และบมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น นอกจากนี้ยังมีองค์กรไทยที่ได้ติดอันดับในรายงานฉบับนี้ อาทิ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ (ThaiBev) บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) บมจ.บ้านปู (BANPU) และบจ. น้ำตาลมิตรผล ซึ่งพิจารณาจากผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนที่ครอบคลุมในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งผลการประเมินเป็นการเรียงลำดับตาม Percentile โดยองค์กรที่อยู่ใน 15% แรกของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมจะถูกจัดรายชื่อให้อยู่ในรายงานฉบับนี้

เมื่อเร็วๆ นี้ พลตรี นฤทธิ์ ถาวรวงษ์ ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง รับมอบหน้ากากอนามัยซีพี จำนวน 20,000 ชิ้น จากเครือเจริญโภคภัณฑ์ (เครือซีพี) โดย นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และผู้ช่วยบริหาร สำนักประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เป็นผู้แทน ส่งมอบความห่วงใยที่บริษัทมีต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและพี่น้องประชาชน ในสถานการณ์โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ “โอมิครอน” ที่กำลังระบาดและสร้างผลกระทบในปัจจุบัน ณ หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารม้าที่ 3 กองกำลังผาเมือง จ.เชียงราย

พลตรี นฤทธิ์ ถาวรวงษ์ ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง เปิดเผยว่า กองกำลังผาเมือง มีภารกิจในเขตจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน อุตรดิตถ์ และพิษณุโลก รวมพื้นที่รับผิดชอบใน 24 อำเภอชายแดน ปัจจุบันจากเหตุโรคโควิด-19 ได้พบกับความท้าทายในการปฏิบัติงานทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน รวมถึงประชาชนในพื้นที่ปฏิบัติการ ในการนี้ ขอขอบคุณเครือซีพีที่สนับสนุนหน้ากากอนามัยในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง

ด้าน นายจอมกิตติ ศิริกุล เปิดเผยว่า เครือซีพี ได้ส่งมอบหน้ากากอนามัยซีพี ให้กองกำลังผาเมือง ในครั้งนี้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ทหารผู้ปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์โควิด-19 อย่างราบรื่นและปลอดภัย โดยภารกิจดังกล่าวนี้ เป็นหนึ่งในนโยบายของท่านประธานอาวุโสเครือซีพี ‘ธนินท์ เจียรวนนท์’ ที่มอบหมายให้กับทุกกลุ่มธุรกิจเข้าไปช่วยเหลือสังคม ภายใต้โครงการ “ร้อยเรียงความดี ซีพี 100 ปี” เพื่อสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอย่างเสียสละ ทุกท่านถือเป็นกลุ่มเสี่ยงในการปฏิบัติหน้าที่ เชื่อมั่นทุกหน่วยงานมีมาตรการการป้องกันต่างๆ อย่างเคร่งครัด ทั้งเว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมชนแออัด ล้างมือ รวมถึงสวมใส่หน้ากากอนามัย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีแนวโน้มผู้ติดเชื้อเพิ่มจำนวนมากขึ้น ยังพบว่าในบางพื้นที่ประสบปัญหาขาดแคลนหน้ากากอนามัย ฉะนั้นเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าว เครือซีพีได้เดินหน้าส่งมอบหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ให้กับกลุ่มเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน บุคลากรทางการแพทย์ และกลุ่มเปราะบาง ที่ขาดแคลนทั่วประเทศแล้วกว่า 30 ล้านชิ้น

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังส่งมอบอาหาร 2 ล้านกล่อง ให้ชุมชนภายใต้โครงการ “ครัวปันอิ่ม” 40 จุด ทั่วเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ล่าสุดดำเนินโครงการ “ซีพี ปันปลูก ฟ้าทะลายโจร” ภายใต้แนวคิด “ร้อยเรียงความดีซีพี 100 ปี” ด้วยการปลูกและผลิตยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร แจกฟรี 30 ล้านแคปซูล เพื่อแจกจ่ายให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบาง โดยเครือซีพี มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน ประชาชน และประเทศไทยก้าวข้ามผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

เมื่อไม่นานมานี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ปฏิบัติการเดินหน้าสนับสนุนภารกิจมอบยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรต่อเนื่อง ตามเจตนารมย์ของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือฯ ที่ได้ประกาศทำโครงการ “ซีพี ปันปลูก ฟ้าทะลายโจร” ภายใต้แนวคิด ร้อยเรียงความดีซีพี 100 ปี โดยดำเนินการปลูกฟ้าทะลายโจร 100 ไร่ เพื่อสกัดเป็นยาสมุนไพรแคปซูล 30 ล้านเม็ด เร่งแจกจ่ายให้ประชาชนเพื่อใช้เสริมภูมิคุ้มกันป้องกันโรคในสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์โอมิครอน ในการนี้ นายสุเมธ ภิญโญสนิท ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด เป็นผู้แทนเครือฯ มอบฟ้าทะลายโจรให้กับการเคหะแห่งชาติ โดยมีนายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการ การเคหะแห่งชาติ เป็นผู้รับมอบ ทั้งนี้การเคหะแห่งชาติจะนำไปแจกจ่ายต่อให้กับชุมชนกลุ่มเปราะบางที่อยู่ในความดูแลของการเคหะแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นสิ่งเร่งด่วนในการบรรเทาความเดือดร้อนและสร้างความอุ่นใจให้กับพี่น้องประชาชนในสถานการณ์ที่โอมิครอนกำลังเริ่มแพร่ระบาด

นายสุเมธ ภิญโญสนิท ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด เปิดเผยว่า “เครือเจริญโภคภัณฑ์ มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่มีส่วนช่วยแบ่งเบาภารกิจของสังคม ในการดูแลพี่น้องประชาชน และในครั้งนี้ก็เป็นอีกกลุ่มเป้าหมายใหญ่ที่เครือซีพีได้มีส่วนร่วมในการช่วยแบ่งเบาภาระของภาครัฐ คือกลุ่มประชาชนผู้อยู่อาศัยในโครงการต่าง ๆ ของการเคหะแห่งชาติ ผ่านโครงการ “ซีพี ปันปลูก-ฟ้าทะลายโจร” เพื่อส่งมอบยาฟ้าทะลายโจรสมุนไพรไทยที่มีคุณค่าให้ประชาชนได้เสริมภูมิคุ้มกัน และเป็นยาสามัญประจำบ้านในยามวิกฤตโควิด สนองตอบความตั้งใจของประธานอาวุโสธนินท์ เจียรวนนท์ ที่ประสงค์ให้ทุกกลุ่มธุรกิจในเครือร่วมกันร้อยเรียงความดีช่วยเหลือสังคม ซึ่งได้ปลูกฟ้าทะลายโจรบนที่ดิน 100 ไร่เก็บเกี่ยวและผลิตเพื่อแจกจ่ายฟรีได้ภายใน 100 วัน ในการนี้ได้ยาฟ้าทะลายโจร 30 ล้านแคปซูล แจกจ่ายประชาชนกลุ่มเปราะบางต่าง ๆ และหวังว่า “ซีพี ปันปลูก ฟ้าทะลายโจร” จะเป็นสื่อกลางการส่งกำลังใจและความห่วงใยของเครือซีพี ไปสู่ประชาชน”

นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการ การเคหะแห่งชาติ เปิดเผยว่า “การเคหะแห่งชาติจะนำฟ้าทะลายโจรทั้งหมดในวันนี้ไปแจกจ่ายให้กับประชาชนในความดูแลของการเคหะฯ ที่ถือเป็นกลุ่มเปราะบาง โดยมีฝ่ายบริหารงานชุมชน 1-4 และฝ่ายฟื้นฟูและพัฒนาเมือง 1 (ชุมชนดินแดง) จะนำไปส่งต่อให้แก่พี่น้องประชาชนโดยตรงทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคในทันที ทั้งนี้ขอขอบคุณเครือซีพีมากที่มีห่วงใย ฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรที่จะสร้างความอุ่นใจให้กับคนไทยในวิกฤตโควิดนี้”

วันที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กรรมการมหาเถรสมาคม วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ได้เป็นประธานในพิธีมอบห้องประชุมเจ้าคณะใหญ่หนกลาง โดยมี นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นผู้มอบ ณ วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ

ห้องประชุมเจ้าคณะใหญ่หนกลางดังกล่าว เป็นสถานที่ซึ่งใช้รองรับการประชุมเจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาค เลขานุการเจ้าคณะภาค เลขานุการรองเจ้าคณะภาค และติดตามผลงานของคณะสงฆ์ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลาง 6 ภาค 23 จังหวัด รวมถึงรองรับการเรียนการสอนภาษาจีนออนไลน์ การลงนาม MOU กับมหาวิทยาลัยต่างๆ ตลอดจนการจัดประชุมทางไกลร่วมกับสภาการศึกษามณฑลเทียนจิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ของศูนย์การศึกษาภาษาจีน โรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย

ในโอกาสนี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์ องค์กรเอกชนที่ยึดมั่นในปรัชญา 3 ประโยชน์เพื่อประเทศชาติและประชาชน เล็งเห็นถึงกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ทางศาสนา ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวคิด “ร้อยเรียงความดีซีพี 100 ปี” จึงได้สนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุงห้องประชุมให้มีความสวยงามทันสมัย ออกแบบติดตั้งอุปกรณ์ภาพและเสียง พร้อมวางระบบเทคโนโลยีการสื่อสาร ทรู 5G สำหรับการใช้งานในรูปแบบดิจิทัลเรียลไทม์ รองรับทั้งงานบริหารและการจัดการ เพื่อร่วมสนับสนุนภารกิจงานในความรับผิดชอบของเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ให้สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจของเครือฯ ได้ยึดมั่นในการทำธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชนทั้งในธุรกิจของเครือฯ และตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยเครือซีพีได้ตั้งเป้าหมายด้านสิทธิมนุษยชนเป็น 1 ในยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของเครือฯ และเพื่อก้าวสู่การเป็นองค์กรที่มีมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนในระดับโลก เครือซีพีจึงจัดทำรายงานสิทธิมนุษยชน หรือ Human Right Report ขึ้นเป็นฉบับแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินธุรกิจตามมาตรฐานของ UN Guiding Principles reporting Framework (UNGPRF) อย่างครอบคลุม โดยกำหนดเผยแพร่รายงานสิทธิมนุษยชนฉบับปฐมฤกษ์อย่างเป็นทางการในวันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันสิทธิมนุษยชนโลก เพื่อตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจควบคู่กับการเคารพสิทธิมนุษยชนตามกรอบกติการะหว่างประเทศและกรอบกฎหมายในแต่ละประเทศที่เครือฯและบริษัทในเครือฯเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามหลักการชี้แนะสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน หรือ UN Guiding Principles on Business and Human Rights (UNGPs)

“ผมคาดหวังว่ารายงานสิทธิมนุษยชนของเครือซีพี จะเป็นช่องทางหนึ่งเพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวกับเครือฯได้มีโอกาสรับรู้รับทราบและนำไปสู่การแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและเสนอข้อชี้แนะแก่เครือฯ เพื่อยกระดับการดำเนินธุรกิจควบคู่กับการส่งเสริมและเคารพสิทธิมนุษยชนของเครือซีพี และพันธมิตรธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทาน” ซีอีโอ เครือซีพี กล่าว

ด้านนายนพปฎล เดชอุดม ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า เครือซีพีมุ่งมั่นในการเคารพหลักสิทธิมนุษยชนของผู้มีส่วนได้เสียและผู้ทรงสิทธิทุกกลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจ หรือการดำเนินความสัมพันธ์ทางธุรกิจ โดยได้กำหนดแนวทางในการส่งเสริมและเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจนผ่านจรรยาบรรณธุรกิจ หรือ Code of Conduct บังคับใช้กับพนักงานทุกคนในทุกบริษัท และ จรรยาบรรณสำหรับคู่ค้าธุรกิจ หรือ Supplier Code of Conduct บังคับใช้กับคู่ค้าธุรกิจของเครือฯ อีกทั้งยังออกนโยบายต่าง ๆ ด้านสิทธิมนุษยชน อาทิ 1. นโยบายและแนวปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนและการปฏิบัติด้านแรงงาน 2. นโยบายและแนวปฏิบัติการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน 3. นโยบายและแนวปฏิบัติในการจ้างแรงงานข้ามชาติ 4. นโยบายและแนวปฏิบัติด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน 5. นโยบายและแนวปฏิบัติเรื่องการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศ 6. นโยบายและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการแจ้งเบาะแส 7.นโยบายและแนวปฏิบัติที่ดีด้านความหลากหลายและการอยู่ร่วมกัน

ที่ผ่านมาเครือซีพีมีความมุ่งมั่นนำหลักสิทธิมนุษยชนสากลมาบูรณาการในการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นระบบตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยกำหนดกระบวนการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนรอบด้าน หรือ Human Rights Due Diligence เพื่อประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร ติดตามและรายงานผลการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชน เปิดช่องทางรับเรื่องร้องเรียนและเยียวยา รวมทั้งยังส่งเสริมคู่ค้าธุรกิจตลอดจนผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดในห่วงโซ่อุปทานยึดตามหลักปฏิบัติที่ดีเพื่อยกระดับสิทธิมนุษยชนตามมาตรฐานสากล สำหรับผู้สนใจสามารถติดตามรายงานสิทธิมนุษยชน เครือซีพี ได้ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป

ดาวน์โหลดรายงานฉบับภาษาไทยได้ที่ https://www.cpgroupglobal.com/th/heart/SD_Human-Rights-and-Labor-Practice

ดาวน์โหลดรายงานฉบับภาษาอังกฤษได้ที่ https://www.cpgroupglobal.com/Heart/HumanRights

เครือซีพี มอบรางวัลความยั่งยืนดีเด่น หรือ CP for Sustainability Awards เป็นครั้งแรกแก่บริษัทในเครือฯ ยกย่องเชิดชูเป็นตัวอย่างความสำเร็จ ร้อยเรียงความดีสร้างสรรค์เศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นต้นแบบขับเคลื่อนความยั่งยืนสู่เป้าหมายความยั่งยืน 2030

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ เครือซีพี เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาเครือซีพีประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์และเป้าหมายด้านความยั่งยืน โดยได้รับรางวัลระดับนานาชาติและยังได้รับเชิญให้ร่วมขับเคลื่อนความยั่งยืนจากองค์กรระดับโลก อาทิ การได้รับคัดเลือกให้เป็นสถานะ Lead จากกรอบความร่วมมือการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ หรือ UNGC ซึ่งมีเพียง 38 บริษัทจากทั่วโลกได้รับสถานะนี้ จากทั้งหมดกว่า 10,000 บริษัทที่ UNGC ได้พิจารณา ทั้งยังได้รับรางวัลเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีจริยธรรมสูงที่สุดในโลกจากสถาบัน Ethisphere รวมถึงได้เข้าร่วมคณะกรรมาธิการธุรกิจเพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำ หรือ Business Commission to Tackle Inequality (BCTI) ของสภาธุรกิจโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (World Business Council on Sustainable Development – WBCSD) และยังได้รับอีกหลายรางวัลในระดับประเทศ เช่น รางวัลธุรกิจที่ยั่งยืน จากเวที Sustainable Business Awards (Thailand) โดยองค์กร Global Initiative และรางวัลธุรกิจคาร์บอนต่ำและยั่งยืน จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น ทั้งนี้ปัจจัยประการสำคัญที่ทำให้เครือซีพีประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน คือการที่ผู้นําและพนักงานของทุกกลุ่มธุรกิจได้นํายุทธศาสตร์ด้านความยั่งยืนไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง จนสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างน่าพอใจ ในความสำเร็จนี้เครือซีพีจึงขอขอบคุณผู้บริหารและพนักงานของทุกกลุ่มธุรกิจในเครือฯ ทั้งในและต่างประเทศ

นายนพปฎล เดชอุดม ประธานคณะผู้บริหาร ด้านความยั่งยืนองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่าในการนี้ ซีอีโอ เครือซีพี จึงได้มีนโยบายให้มีการมอบรางวัลความยั่งยืนดีเด่น  หรือ CP for Sustainability Awards แก่กลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ในเครือฯขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อยกย่องเชิดชู และเป็นแบบอย่างที่ดีในการขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้หลักการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยพิจารณาคัดเลือกกลุ่มธุรกิจในประเทศไทยที่มีผลการดําเนินงานตามเป้าหมายความยั่งยืนที่โดดเด่นในปี 2563 เป็นที่ควรยกย่องเชิดชู และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ในเครือฯ ได้ต่อไปในอนาคต

รางวัลความยั่งยืนดีเด่น เครือเจริญโภคภัณฑ์ ปี 2563 แบ่งเป็น 2 ประเภทรางวัล ประเภทที่ 1 เป็นโล่รางวัลสําหรับกลุ่มธุรกิจที่มีผลการดําเนินงานด้านความยั่งยืนดีเด่นในด้านต่าง ๆ รวมจํานวน 12 รางวัล ได้แก่ ด้านการสร้างคุณค่าทางสังคม มี 2 บริษัท คือ 1. บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ ซีพีเอฟ จากกลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร 2.บมจ.ซีพี ออลล์ จากกลุ่มธุรกิจการตลาดและการจัดจำหน่าย(CPALL)  ด้านการส่งเสริมสุขภาพและสุขภาวะที่ดี มี 2 บริษัท ได้แก่ 1. บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ ซีพีเอฟ จากกลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร 2.บมจ.ซีพี ออลล์ จากกลุ่มธุรกิจการตลาดและการจัดจำหน่าย (CPALL)

ด้านการบริหารจัดการนวัตกรรม ได้แก่ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น  จากกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม ส่วน ด้านการศึกษา ได้แก่ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น  ด้านการปกป้องระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ได้แก่ 1. กลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ 2. บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จากกลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร   ด้านการดูแลรักษาทรัพยากรน้ำ ได้แก่ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ ซีพีเอฟ จากกลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ด้านการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ บมจ.สยามแม็คโคร จากกลุ่มธุรกิจธุรกิจการตลาดและการจัดจำหน่าย(MAKRO)   และ ด้านการจัดทำรายงานความยั่งยืนโดยสมัครใจ ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร(ข้าวโพด) 2.กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ

ประเภทที่ 2 เป็นใบประกาศเกียรติคุณ ด้านอุบัติเหตุเป็นศูนย์ หรือ Zero Accident  สําหรับหน่วยงานของกลุ่มธุรกิจ ที่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุเป็นศูนย์ติดต่อกันมากกว่า 5 ปี รวมทั้งสิ้น 12 หน่วยงาน ได้แก่ 1. โรงเพาะฟังลูกกุ้งท่าบอน-CPF 2. ศูนย์ปรับปรุงพันธุกรรมกุ้งปะทิว-CPF 3.กิจการเพาะฟักลูกกุ้งสิช-CPF 4.กิจการเพาะฟักลูกกุ้งสิงหนคร-CPF 5.ศูนย์กระจายสินค้าสำโรง-CPALL 6.ศูนย์กระจายสินค้าโชคชัยร่วมมิตร- CPALL 7.ศูนย์กระจายสินค้า CDC ภูเก็ต-CPALL 8.ศูนย์กระจายสินค้า CFDC สุราษฎร์ธานี-CPALL 9.แม็คโครสาขาหนองคาย-MAKRO 10.โรงงานปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ สาขาโรงงาน 1-กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร(ข้าวโพด) 11. บริษัท ซี.พี.สตาร์เลนส์ จำกัด-กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร(CPA) 12. โรงงานผลิตเมล็ดพันธุ์ ชัยนาท-กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร(CPA)

สำหรับโล่รางวัลที่ได้มอบให้ในครั้งนี้ ได้ออกแบบและผลิตขึ้นมาจากเปลือกไข่อัพไซเคิล ส่วนใบประกาศนียบัตร ผลิตจากต้นไม้ที่ปลูกเพื่อผลิตกระดาษโดยเฉพาะ ทุกกระบวนการผลิตคำนึงถึงความยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ร่วมกับสถาบันวิทยาการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (CAA) แถลงเปิดตัวโครงการ “Climate Action Leaders Forum” รุ่นที่ 1 ขึ้น ผ่านรูปแบบออนไลน์ โดยเป็นครั้งแรกของเวทีผู้นำรูปแบบใหม่ในการร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองทางความคิด และประสบการณ์ของผู้นำในแต่ละด้านที่มีส่วนร่วมลดโลกร้อนมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงมุมมองข้อสรุปต่างๆ จากการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP26) เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร ที่ผ่านมา โดยได้รับเกียรติจากนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมด้วยนายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการ อบก. แนะนำภาพรวมโครงการ Climate Action Leaders Forum โดยมีผู้บริหารภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน องค์กรอิสระ ภาควิชาการ และองค์การระหว่างประเทศเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

ในการนี้ นายนพปฎล เดชอุดม ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ได้ร่วมในงานแถลงเปิดตัวโครงการ ฯ พร้อมให้สัมภาษณ์ผ่านทางระบบออนไลน์ ในหัวข้อ “ผู้นำกับบทบาทและความใส่ใจในการมีส่วนร่วมลดโลกร้อนต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ร่วมกับผู้บริหารจากองค์กรต่าง ๆ ประกอบด้วย นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และนายอเล็กซ์ เรนเดลล์ ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Environmental Education Center Thailand

นายนพปฎล กล่าวว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้เริ่มตั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกครั้งแรกในปี พ.ศ. 2559 โดยกำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยรายได้ 10 % ภายในปี พ.ศ. 2563 รวมทั้งเข้าร่วมโครงการ Caring for Climate ภายใต้ความร่วมมือของ UN Global Compact UNEP และ UNFCCC โดยเครือซีพีได้มีการดำเนินงานที่สำคัญ 6 ด้าน ได้แก่ 1.การใช้พลังงานงานหมุนเวียน ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ ชีวมวล พลังงานจากของเสีย เช่น ก๊าซชีวภาพ หรือ Biogas 2.การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ในกระบวนการผลิต 3.การจัดการของเสีย เช่น การผลิตปุ๋ยชีวภาพจากมูลสัตว์และวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร การใช้ประโยชน์จากตะกอนระบบบำบัดน้ำเสีย 4.การปลูกป่า และส่งเสริมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างผสมผสานระหว่างการปลูกป่าและการทำเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน ซึ่งช่วยดูดซับและกักเก็บคาร์บอน 5.การลดก๊าซเรือนกระจกจากการเกษตร อาทิ การพัฒนาสูตรอาหารสัตว์ที่ลดการปล่อยก๊าซมีเทน การส่งเสริมการปลูกข้าวที่ลดก๊าซเรือนกระจก และ 6. การพัฒนาโครงการขนส่งมวลชนด้วยรถไฟความเร็วสูงที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกจากการเดินทาง และการเพิ่มประสิทธิภาพของการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์

นายนพปฎล กล่าวต่อว่า จากการดำเนินงานต่างๆ ทำให้เครือฯ สามารถลดก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยรายได้ลงได้ 8.5 % เมื่อเทียบกับปีฐาน (ณ สิ้นปี 2563) แต่ก็ยังไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 10% เครือฯ จึงแสดงความรับผิดชอบด้วยการซื้อคาร์บอนเครดิตที่ผ่านการรับรองจาก อบก. เป็นจำนวน 45,665 ตัน CO2e มาชดเชยส่วนที่ขาดไป ทั้งนี้การดำเนินงานของเครือฯ ในอนาคต ได้ประกาศยุทธศาสตร์และเป้าหมายความยั่งยืนสู่ปี 2030 รวม 15 เป้าหมาย โดยมีเป้าหมายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ลดปริมาณขยะอาหารเป็นศูนย์ ตลอดจนของเสียที่ถูกนำไปฝังกลบเป็นศูนย์ รวมทั้งบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ทั้งหมดสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ ใช้ซ้ำ หรือย่อยสลายได้ รวมทั้งตั้งเป้าปลูกต้นไม้ 20 ล้านต้นทั่วโลกภายในปี 2025 นอกจากนี้ เครือฯ ยังได้ร่วมประกาศเจตนารมณ์ Race to Zero ผ่านโครงการ Business Ambition for 1.5 °C และแสดงความมุ่งมั่นในการกำหนดเป้าหมายระยะยาวเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ตลอดห่วงโซ่อุปทานภายในปี พ.ศ. 2593

ทั้งนี้ โครงการ “Climate Action Leaders Forum” จัดขึ้นเป็นรุ่นที่ 1 เพื่อส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และสร้างการมีส่วนร่วมครอบคลุมบุคลากรที่มีบทบาทในการบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากทั้งภาครัฐและเอกชน และผู้ที่มีความสนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ ผู้บริหารระดับสูง ผู้นำจากองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน บุคลากรภาครัฐและองค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่น บุคลากรภาคธุรกิจ สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไป

พลโทสุขสรรค์ หนองบัวล่าง แม่ทัพภาคที่ 1
คุณสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือซีพี

เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา พลโทสุขสรรค์ หนองบัวล่าง แม่ทัพภาคที่ 1 พลเอกรังษี กิติญาณทรัพย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ.5) พร้อมด้วย นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ เครือซีพี  นายพงษ์ วิเศษไพฑูรย์ รองประธานอาวุโส เครือฯ และคณะลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วม ในพื้นที่ ต.โผงเผง อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง พร้อมมอบถุงยังชีพเป็นเครื่องอุปโภคบริโภค ข้าวสาร และผ้าห่ม ให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัย จำนวน 1,000 ชุด เพื่อให้กำลังใจและช่วยบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบอุทกภัยในเบื้องต้น

พลโทสุขสรรค์ หนองบัวล่าง แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวว่า กองทัพบกเร่งดูแลประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมตามนโยบายของ พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งการเข้าให้ความช่วยเหลือจะประสานงานกับฝ่ายปกครองในแต่ละอำเภอและท้องถิ่นเพื่อให้ความช่วยเหลือได้ทันที โดยนำศักยภาพของหน่วยทหารทั้งในด้านกำลังพล เครื่องมือ เตรียมแผนการช่วยเหลือ เข้าสนับสนุนหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง พร้อมทั้งให้การสนับสนุนทุกภาคส่วน โดยเฉพาะต้องขอบคุณเครือซีพี ซึ่งเป็นหน่วยงานเอกชนหลักที่สนับสนุนกองทัพภาคที่ 1 ในการร่วมมือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากอุทกภัยในครั้งนี้

ด้าน นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ เครือซีพี กล่าวว่า เครือซีพีติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่อย่างใกล้ชิด และมีความห่วงใยในความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่เราคนไทยจะต้องเร่งช่วยเหลือไม่ทอดทิ้งกัน โดยกลุ่มธุรกิจในเครือซีพี มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ ได้ร่วมกับกองทัพบกในการนำถุงยังชีพแจกจ่ายไปยังพื้นที่น้ำท่วมเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนผ่านทุกช่องทางให้มากที่สุดตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพื่อส่งต่อกำลังใจและความห่วงใยให้กับชาวบ้านผู้ประสบภัย จนถึงปัจจุบันเครือซีพีและกองทัพบก ได้มอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบภัยไปแล้ว 6 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี สิงห์บุรี ปทุมธานี และนนทบุรี ทั้งนี้ เครือซีพี และมูลนิธิเครือเจริญโภคภัณฑ์ยังคงติดตามสถานการณ์อุทกภัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือตลอดจนหาแนวทางฟื้นฟูร่วมกับภาครัฐต่อไป

ขณะที่ นางเพ็ญทิพย์ พุ่มพฤกษ์ หนึ่งในชาวบ้าน ต.โผงเผง อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยครั้งนี้ กล่าวว่า สถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้น้ำได้เข้าท่วมพื้นที่สูงกว่าเมื่อปี 2554 โดยชาวบ้านต้องใช้ชีวิตในสถานการณ์น้ำท่วมขังกว่า 45 วันแล้ว ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่อย่างมาก ไม่สามารถประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรมได้ ต้องสัญจรทางเรือเท่านั้น สำหรับถุงยังชีพและสิ่งของที่ได้รับในครั้งนี้ต้องขอขอบคุณผู้บริหารกองทัพบก และเครือซีพี ที่ดูแลเอาใจใส่คอยช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่องไม่ทอดทิ้งกัน

สำหรับพื้นที่ ต.โผงเผง จ.อ่างทอง ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่ล้นตลิ่งไหลบ่าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตรของชาวบ้านจนได้รับความเสียหาย ส่งผลให้มีบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบกว่า 600 ครัวเรือน  โดยชาวบ้านที่มีบ้านเรือน 2 ชั้นได้เก็บข้าวของไว้ชั้นบนและยังคงนอนพักอาศัยอยู่ภายในบ้าน และอีกจำนวนหนึ่งได้อพยพมาอยู่บริเวณริมถนน  ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดตั้งเต็นท์พักอาศัยชั่วคราวให้ชาวบ้านผู้ประสบภัย

นายสุเมธ ภิญโญสนิท ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด (CPP) เปิดเผยว่า  โครงการปันปลูก ฟ้าทะลายโจร มีผลการดำเนินงานที่ก้าวหน้าและเป็นไปตามนโยบายของประธานอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (ซีพี) นายธนินท์ เจียรวนนท์ ที่มีความตั้งใจช่วยเหลือสังคม เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงยาสมุนไพรไทยและใช้เสริมภูมิคุ้มกัน ในยามที่ขาดแคลนสมุนไพรฟ้าทะลายโจร  โดยจัดให้มีการปลูกฟ้าทะลายโจรบนเนื้อที่ 100 ไร่ที่ฟาร์มแสลงพัน และฟาร์มคำพราน จ.สระบุรี สถานีวิจัยแสลงพัน ของกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือซีพี ซึ่งได้เริ่มปลูกในวันแม่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา  จนถึงปัจจุบันได้ทยอยเก็บเกี่ยวเพื่อนำไปผลิตเป็นยาสมุนไพรภายใต้ชื่อ “ปันปลูก” โดยจะแจกฟรีแก่ชุมชน สถานพยาบาล องค์กรต่าง ๆ รวมถึงประชาชนกลุ่มเปราะบางได้ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2564 ซึ่งเป็นวันพ่อแห่งชาติ เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 พ่อหลวงของแผ่นดิน และเป็นการร้อยเรียงความดีเพื่อประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ สอดคล้องตามค่านิยม 3 ประโยชน์ของเครือซีพีอีกด้วย

โครงการปันปลูก-ฟ้าทะลายโจร 100 ไร่  มีที่ตั้งอยู่ที่ จ.สระบุรี แบ่งเป็น  2 แปลง แปลงแรกตั้งอยู่ที่ฟาร์มแสลงพัน บนเนื้อที่ 30 ไร่  และอีกแปลงอยู่ที่ฟาร์มคำพราน บนเนื้อที่ 70 ไร่ โดยใช้ต้นกล้าฟ้าทะลายโจรจำนวน 1 ล้านต้นจาก 6 จังหวัด ได้แก่ นครปฐม ปราจีนบุรี  สุโขทัย กาญจนบุรี อุบลราชธานี และ พิจิตร  โครงการนี้ผ่านการศึกษาวิจัยทั้งเรื่อง พันธุ์ ลักษณะดินที่เหมาะสม ปริมาณน้ำ ที่พืชต้องการ ขั้นตอนการเพาะปลูกที่เหมาะสม ทั้งเทคนิควิธีการจัดการแปลง อายุการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม ให้ปริมาณสารสำคัญสูง โดยศึกษาร่วมกับเกษตรกรคนเก่งจากทุกพื้นที่ และมีเป้าหมายที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้กับเกษตรกรที่สนใจ

นายสุเมธกล่าวว่า การปลูกฟ้าทะลายโจร 100 ไร่ในโครงการปันปลูกใช้เทคโนโลยีการให้น้ำที่มีประสิทธิภาพ ใช้ข้อมูลความชื้นในดิน  ร่วมกับสถานีวัดปริมาณน้ำฝน เพื่อให้พืชได้น้ำในปริมาณที่เหมาะสม การปลูกแบบแถวยกร่อง มีทั้งแบบร่องเดี่ยว และร่องคู่ ได้ผลผลิตประมาณ 2 ตันต่อไร่ ทั้งนี้แปลงปลูกทั้ง 100 ไร่ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี(GAP) จาก กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกกระบวนการว่าได้มาตรฐานตั้งแต่การปลูก การเก็บเกี่ยวและการบริหารจัดการ ปัจจุบันเริ่มทยอยเก็บเกี่ยวผลผลิต และจะนำเข้าสู่กระบวนการอบลดความชื้นด้วยโรงอบพลังแสงอาทิตย์ จากนั้นส่งมอบวัตถุดิบไปทำการบด และบรรจุเป็นแคปซูลต่อไป

นอกจากนี้ได้ดำเนินการตาม พรบ.ยาสมุนไพร อย่างเคร่งครัด โดยมีการขึ้นทะเบียนยาสมุนไพร กับทาง สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ที่มีข้อกำหนดด้านปริมาณสารสำคัญ คือ Andrographolide ในวัตถุดิบอย่างเคร่งครัด และใช้ห้องแล็บมาตรฐานที่ได้รับการรับรอง  และตอกย้ำความมั่นใจอีกระดับจากห้องแล็บของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาหารมาตรฐานระดับโลกในเครือซีพี  และในส่วนการบรรจุแคปซูล ได้คัดเลือกจากผู้ผลิตที่ได้รับมาตรฐาน GMP PIC/S ซึ่งเป็นมาตรฐานสำคัญของโรงงานผลิตยา  มาร่วมในโครงการฯ  รวมถึงต้องมีการฉายรังสีแกมมาทุกแคปซูล เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีอายุเก็บได้ยาวนานขึ้น ก่อนส่งมอบให้กับพี่น้องประชาชน 

เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดย นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ  นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร นายณรงค์ เจียรวนนท์ รองประธานอาวุโส พร้อมด้วย นายธนิศร์ เจียรวนนท์  ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจต่างประเทศ และประสานธุรกิจเครือเจริญโภคภัณฑ์ บมจ.สยามแม็คโคร ได้ร่วมกันร้อยเรียงความดีในวันโอโซนโลก 16 กันยายน ซึ่งองค์การสหประชาชาติกำหนดให้วันนี้ของทุกปีเป็นวันโอโซนโลก เพื่อให้ทุกประเทศทั่วโลกตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม ด้วยการช่วยกันปกป้องชั้นบรรยากาศโอโซน  ซึ่งเครือซีพีได้ร่วมรณรงค์ด้วยการจัดกิจกรรมปลูกต้นไม้ลงดินเพื่อลดโลกร้อนและคืนโอโซนให้ชั้นบรรยากาศ  ผ่านโครงการ “ซีพี ร้อยรักษ์โลก” ณ สถาบันผู้นำ เครือเจริญโภคภัณฑ์  จังหวัดนครราชสีมา  ถือเป็นต้นแบบนำร่องขับเคลื่อนนโยบายลดโลกร้อนปลูกต้นไม้ 10 ล้านต้นภายในปี 2573 สอดคล้องตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่มุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Zero Carbon) โดยทุกบริษัทในเครือ  อาทิ บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร  หรือ ซีพีเอฟ บมจ. ซีพี ออลล์  บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น บจ. เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม หรือ โลตัส บมจ. สยามแม็คโคร ฯลฯ จะต้องร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในช่วยลดโลกร้อนด้วยการปลูกต้นไม้ยืนต้นในพื้นที่ของบริษัท โรงงาน รวมถึงในชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศให้ครบตามเป้าหมายที่กำหนด

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า เครือซีพีมีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจภายใต้การพัฒนาที่ยั่งยืน และที่สำคัญคือจะต้องขับเคลื่อนนโยบายปลูกต้นไม้ให้ได้ 10 ล้านต้นภายในปี 2573  ซึ่งผู้บริหารและพนักงาน 4.5 แสนคนในทุกกลุ่มธุรกิจของเครือทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลกจะต้องเป็นพลังสำคัญเพื่อการบรรลุเป้าหมายในการเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Zero Carbon) โดยกิจกรรมปลูกต้นไม้ในครั้งนี้ถือเป็นการสร้างคุณค่าและประโยชน์ให้กับสังคมและโลก การริเริ่มปลูกต้นไม้ยืนต้นของเครือซีพีในวันโอโซนโลกเพื่อนำร่องเป็นต้นแบบให้ทุกบริษัทในเครือเห็นถึงความสำคัญของนโยบายปลูกต้นไม้ลดโลกร้อนที่เครือซีพีได้ประกาศความมุ่งมั่น  และเพื่อตอกย้ำถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับความยั่งยืน  โดยต้นไม้ที่ได้นำมาปลูกลงดินในกิจกรรมครั้งนี้มาจากโครงการซีพีร้อยรักษ์โลกที่เครือซีพีสร้างงานสร้างอาชีพให้เกษตรกรและชาวชุมชนชนบทมีรายได้จากการดูแลกล้าไม้ทดแทนรายได้หลักที่หายไปจากวิกฤติโควิด-19 ตอบโจทย์ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม

สำหรับกล้าไม้ในโครงการซีพีร้อยรักษ์โลกประกอบด้วย 1.ไม้ป่าเศรษฐกิจ  ได้แก่ ต้นแดง ต้นพยูง ต้นประดู่ป่า ต้นมะค่าโมง ต้นชิงชัน ต้นสักทอง ต้นพยอม ต้นยางนา ต้นเก็ดแดง ต้นแคนา 2.ไม้ท้องถิ่น ได้แก่ ทองอุไร มะม่วงหิมพานต์  3.ไม้ป่าชายเลน  ได้แก่ โกงกาง ลำพู ฝาดแดง/ฝาดขาว  และ 4.ไม้ผลกินได้ ได้แก่ มะม่วง(น้ำดอกไม้) กล้วยน้ำว้า ขนุน ฝรั่ง ทุเรียน มะพร้าวน้ำหอม