ถึงแม้ปัญหาฝุ่นละอองจิ๋ว PM 2.5 เริ่มเบาบางลงแล้ว แต่อากาศในกรุงเทพฯ ก็ยังมีมลพิษให้สูดดมกันทุกวี่วัน แน่นอนว่าเราต่างได้รับผลกระทบนี้กันไปเต็มๆ แต่หนึ่งในวิธีที่จะดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดีได้ นั่นคือ การกินอาหารที่มีประโยชน์ช่วยเสริมภูมิร่างกายให้แข็งแรงเพื่อต้านฤทธิ์มลพิษที่กำลังครองเมือง มาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่าอาหารที่ว่านี้มีอะไรบ้าง

1.ผักตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ บร็อกโคลี กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก คะน้า กวางตุ้ง ผักกาดขาว ล้วนอุดมด้วยสารอาหารและวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะสารชัลโฟราเฟนที่ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย จึงลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอดจากฝุ่นพิษ และยังช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงด้วย

2.ผลไม้มากวิตามินซี นอกจากช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใสในแบบที่สาวๆ ชอบแล้ว ผลไม้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เสริมภูมิร่างกายให้แข็งแรง และยังช่วยขับสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกายที่อาจได้รับจากปัญหามลพิษ บรรเทาอาการภูมิแพ้และทำให้ปอดแข็งแรงขึ้น พบมากในผลไม้จำพวกฝรั่ง กีวี มะขามป้อม ส้มโอ มะละกอสุก มะนาว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ฯลฯ

3.ปลาและอาหารทะเล เป็นอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง ช่วยเสริมสร้างผนังเซลล์ในร่างกายจึงอาจมีส่วนช่วยดูแลสุขภาพจากผลกระทบของฝุ่นพิษได้ พบได้ในปลาทะเลและปลาน้ำจืดบางชนิด เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาทู ปลากะพงขาว ปลาดุก ปลาช่อน กุ้ง หอย รวมถึงน้ำมันปลา ซึ่งการกินปลาด้วยวิธีต้ม แกง หรือนึ่งจะได้ประโยชน์ที่สุดเพราะโอเมก้า 3 จะสูญสลายหากผ่านความร้อนสูงๆ เช่นการทอด

4.ผักผลไม้สีส้ม-เหลือง-แดง เต็มไปด้วยวิตามินเอและเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยเสริมระบบทางเดินหายใจและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง โดยเฉพาะเสริมประสิทธิภาพการทำงานของปอดให้ดีขึ้น พบมากในกลุ่มผักผลไม้ที่มีสีส้ม สีเหลือง และสีแดง เช่น ฟักทอง มะเขือเทศ แครอท มันเทศ มันหวาน มะละกอข้าวโพด รวมถึงผักใบเขียวเข้มอย่างผักบุ้งและตำลึงก็ช่วยต้านฤทธิ์ฝุ่นจิ๋วได้

5.ธัญพืชต่างๆ เช่น ถั่ว งา เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เม็ดแมงลัก เรื่อยไปถึงขนมปังโฮลวีต ซีเรียลชนิดโฮลเกรน ล้วนมีส่วนช่วยดูแลสุขภาพได้เช่นกันเพราะมีคุณค่าทางอาหารสูง บางชนิดนอกจากจะให้กรดโอเมก้า 3 เช่นเดียวกับเนื้อปลาแล้ว ยังมีวิตามินอีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม ที่ช่วยชะลอการเสื่อมสมรรถภาพของเซลส์และปกป้องปอดจากมลพิษได้

สำหรับคนเมืองที่ชีวิตเร่งรีบ แต่อยากกินอาหารที่ปรุงด้วยวัตถุดิบเหล่านี้เพื่อเติมเต็มประโยชน์ให้ร่างกาย ร้านฌานา สยามเซ็นเตอร์ ชั้น 2 ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนรักสุขภาพที่กำลังมองหาความมั่นใจ และความหลากหลายของเมนูที่กินแล้วดีต่อกาย ดีต่อใจ อร่อย ที่สำคัญช่วยต้านภัยฝุ่นจิ๋วได้

และนอกจากดูแลตัวเองด้วยการกินอาหารเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรงแล้ว ก็ต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าลืมติดแว่นกันแดดและหน้ากากเพื่อป้องกันตัวเองจากฝุ่นละอองเมื่อต้องออกจากบ้าน หรือหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีฝุ่นควันพิษเยอะๆ อย่างน้อยก็จะเป็นเกราะกำบังช่วยลดผลกระทบจากมลพิษได้

ตามไปดูอาหาร 10 ชนิด ที่ช่วยเสริมกำลังให้กับผู้ที่ต้องใช้แรงงานกัน

1.ขนมปังโฮลวีต

ผู้ใช้แรงงานต้องการพลังงานเพื่อเสริมกำลังให้แก่ร่างกาย จึงควรกินอาหารจำพวกแป้ง เช่น ขนมปังโฮลวีต

โดยในขนมปังโฮลวีตมีสารอาหารประเภทโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต เส้นใยอาหาร วิตามินกลุ่มบี วิตามินอี โซเดียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส

ประโยชน์ต่อร่างกายคือ ฟื้นฟูกำลัง ทำให้จิตใจแจ่มใส กระตุ้นเมแทบอลิซึม

2.มันฝรั่ง

โพแทสเซียมในมันฝรั่งช่วยเสริมกล้ามเนื้อ ซึ่งในมันฝรั่งเองยังมีสารอรหารประเภทโปรตีน คาร์โบไฮเดรต เส้นใยอาหาร วิตามินซี กรดนิโคทินิก (วิตามินบี 3) โพแทสเซียม

ประโยชน์ของมันฝรั่งคือ แก้กระหาย คลายความเมื่อยล้า รักษาสมดุลของความเป็นกรดและด่างในร่างกาย ควบคุมความดันโลหิต

3.มะระ

วิตามินซีในมะระช่วยลดความเครียด ความเมื่อยล้า

ในมะระยังมีเส้นใยอาหาร วิตามินซี โพแทสเซียม แคลเซียม สารมอร์ดิซีน

มะระยังช่วยรักษาสมดุลของความเป็นกรดและด่างในร่างกาย เพิ่มภูมิคุ้มกัน

4.องุ่น

น้ำตาลกลูโคสในองุ่นช่วยให้อาหารถูกย่อยและดูดซึมสารอาหารไปใช้ได้รวดเร็ว อีกทั้งยังให้พลังงานและทำให้มีกำลัง

ในองุ่นมีสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โพแทสเซียม สารฟลาโวนอยด์ กรดอินทรีย์ ซึ่งมีประโยชน์คือช่วยในเรื่องความเมื่อยล้า เพิ่มภูมิคุ้มกัน

5.ส้มเช้ง

วิตามินซีในส้มเช้งช่วยกำจัดกรดแล็กติกที่เป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ใช้แรงงาน

ในส้มเช้งมีสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เส้นใยอาหาร วิตามินซี แคโรทีน โพแทสเซียม แคลเซียม สารฟลาโวนอยด์ กรดอินทรีย์

ประโยชน์ต่อร่างกายคือ คลายความเมื่อยล้า รักษาสมดุลของความเป็นกรดและด่างในร่างกาย

6.ถั่วแดง

ถั่วแดงอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งมีคุณสมบัติชดเชยน้ำที่ร่างกายสูญเสียมีส่วนช่วยในการรักษาสมดุลของอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย

ในถั่วแดงมีสารอาหารประเภทโปรตีน คาร์โบไฮเดรต เส้นใยอาหาร วิตามินกลุ่มบี โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก สังกะสี

ประโยชน์ต่อร่างกายคือ ช่วยรักษาสมดุลของความเป็นกรดและด่างในร่างกาย คลายความเมื่อยล้า

7.เนื้อไก่

เนื้อไก่อุดมไปด้วยโปรตีนซึ่งเป็นสารสำคัญของโครงสร้างกล้ามเนื้อช่วยให้ผู้ใช้แรงงานมีกำลัง

ในเนื้อไก่มีสารอาหารประเภทโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามินเอ วิตามินกลุ่มบี โพแทสเซียม

เนื้อไก่มีประโยชน์คือ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ

8.เนื้อเป็ด

เนื้อเป็ดอุดมไปด้วยวิตามินกลุ่มบี ซึ่งช่วยกระตุ้นเมแทบอลิซึมฟื้นฟูกำลังวังชา

สารอาหารที่พบในเนื้อเป็ด ได้แก่ โปรตีน ไขมัน วิตามินเอ วิตามินกลุ่มบี โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก สังกะสี

ประโยชน์ของเนื้อเป็ด คือ บำรุงตับ ทำให้อารมณ์ดีทำให้จิตใจแจ่มใส

9.หอยเชลล์

หอยเชลล์มีแมกนีเซียม ซึ่งช่วยบำรุงร่างกาย นอกจากนี้ ในหอยเชลล์ยังพบสารอาหารประเภทโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินกลุ่มบี วิตามินเอ โซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก สังกะสี

10.หอยนางรม

หอยนางรมอุดมไปด้วยสังกะสี ช่วยคลายความเมื่อยล้า

ในหอยนางรมยังมีสารอาหารประเภทโปรตีน วิตามินเอ วิตามินกลุ่มบี โซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก สังกะสี

ประโยชน์ของหอยนางรมคือ ทำให้อารมณ์ดี ช่วยให้อวัยวะต่างๆ ทำงานตามปกติ รักษาสมดุลของความเป็นกรดและด่างในร่างกาย

กำลังจะผ่านพ้นปี 2018 ไปแล้ว เชื่อว่าเรื่องของปากท้องเป็นสิ่งสำคัญกับทุกคน ภายในปี 2018 มีเมนูเด็ดๆมาแรงให้เลือกลองกินกันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะอาหารคาวหรืออาหารหวาน มติชนอคาเดมี ก็ไม่พลาด รวบรวม 12 เมนูฮิตติดกระแสในปีนี้มาฝากกัน ไปดูกันเลยว่ามีเมนูอะไรบ้าง

ชาไข่มุก

เมนูเครื่องดื่มสุดฮิต กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย หรือจะเรียกได้ว่า ยุคของชาไข่มุก เลยก็ว่าได้ ชาไข่มุกมีต้นตำรับเดิมมาจากประเทศไต้หวัน ซึ่งตัวชาเองมีความอร่อยหวานมัน บวกกับไข่มุกที่ทำมาจากแป้งมันสำปะหลัง มีรสชาติหวาน มันให้ความหนึบหนับ เคี้ยวเพลิน ทั้ง อย่างมารวมอยู่ในแก้วเดียวกัน บอกได้เลยว่าอร่อยฟินลืม โดยเฉพาะอากาศร้อนๆ แบบเมืองไทยก็ต้องชาไข่มุกนี้แหละลงตัวที่สุด

ความฮิตของไข่มุกไม่ได้อยู่แค่ในชาเท่านั้น แต่ยังมีการนำเอาไข่มุกใส่ลงไปในอาหารคาว ไม่ว่าเป็น คั่วไก่ไข่มุก ก๋วยเตี๋ยวเรือไข่มุก ถือว่าเป็นความแปลกใหม่บวกกับความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย จึงเกิดเมนูใหม่ๆ ขึ้นมา

แพนเค้กซูเฟล่

แพนเค้กเด้งดึ๋งอ้วนกลมสัญชาติฝรั่งเศสที่เคยฮิตมากในญี่ปุ่น ใครไปญี่ปุ่นต้องไปลองแพนเค้กซูเฟล่สักครั้ง โดยเฉพาะร้าน Gram Pancakes ที่ถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 11 ร้านแพนเค้กที่อร่อยที่สุดในโตเกียว ซึ่งในปีนี้เป็นครั้งแรกที่แพนเค้กแกรมได้เดินทางมาถึงเมืองไทย ด้วยความที่ตัวแพนเค้กซูเฟล่มีความหนานุ่มกว่าแพนเค้กธรรมดา รสสัมผัสนุ่มนวล ละลายในปาก จึงทำให้เป็นที่ถูกใจของใครหลายคน

ปูไข่ดอง

ปูไข่ดอง” เมนูอร่อยจากประเทศเกาหลีใต้ กลายมาเป็นอาหารจานแซ่บที่กำลังมาแรงในปีนี้  จากการรีวิวของเหล่าคนมีชื่อเสียงและยูทูเบอร์ทั้งหลายที่ถ่ายรูปถ่ายวิดีโอโชว์ความแซ่บผ่านโลกโซเชียลให้คนที่ติดตามได้น้ำลายสอ จนทนไม่ไหวต้องรีบไปหาซื้อทานตามกระแสความฮิต ได้ลิ้มรสชาติความหอมอร่อยของปูไข่ดอง ที่นำปูไข่หลังจากทำความสะอาดและลดกลิ่นคาวด้วยโซดาแล้วมาดองกับน้ำปลาเคี่ยว หากยิ่งดองไว้นานก็ยิ่งเพิ่มระดับความอร่อยเข้าไปอีก จากนั้นก็เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ รับประกันความฟิน

เกี๊ยวน้ำ

ที่มา https://pantip.com/topic/37895160

เกี๊ยวน้ำเป็นที่ฮิตกันอย่างมากในช่วงที่ละครเรื่องเมีย 2018” กำลังออนแอร์ มีหลายคนที่อินกับละครจนต้องลุกขึ้นมาทำเกี๊ยวน้ำเอาใจเหล่าบรรดาสามีกันยกใหญ่ โดยเกี๊ยวน้ำนั้นเป็นอาหารที่ทำง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่ใช่อรุณาก็ทำอร่อยได้ขอบอก เพียงแค่มีเนื้อหมูบด แผ่นเกี๊ยวสำหรับต้ม แล้วนำแผ่นเกี๊ยวมาห่อหมูบดที่หมักไว้ ต้มลงในน้ำซุปกระดูกหมู ปรุงรสตามใจชอบ โรยหน้าด้วยหอมผักชีเพื่อความหอมและสวยงาม เพียงแค่นี้ก็จะได้เกี๊ยวน้ำที่มีรสชาติกลมกล่อมหอมละมุนพร้อมเสิร์ฟ 

ไก่เผ็ดเคเอฟซี

อีกหนึ่งเมนูที่ฮิตฮอตมาแรงในปีนี้ ที่จะไม่พูดถึงเห็นทีว่าจะไม่ได้ สำหรับเมนู ไก่เผ็ดเคเอฟซี ความฮิตของไก่เผ็ดมาจากการรีวิวของคนที่ได้ลองทานมาแล้ว ทำให้คนที่ยังไม่ลองทานอยากรู้ว่าจะเผ็ดสมคำร่ำลือจริงหรือเปล่า จนเกิดกระแสซื้อไก่เผ็ดจนแถวยาวเหยียด โดยเมนูนี้มีความพิเศษอยู่ที่ตัวซอส ที่ใช้ราดบนไก่ทอดร้อนๆ มีซอส 2 แบบให้เลือกทาน คือเผ็ดเด็กเด็กและเผ็ดดุดัน” ที่เผ็ดร้อนแรงสุดขั้ว

ไก่กรอบชีสซี่ เคเอฟซี

และที่มาแรงไม่แพ้เมนูอื่นๆ สำหรับเมนูไก่กรอบชีสของเคเอฟซี ที่มีกระแสรีวิวในโซเซียลและติดแฮซแท็กในทวิตเตอร์มากมาย เป็นอีกเมนูหนึ่งที่ไม่ควรพลาดและต้องลองแวะไปทานดู สำหรับคนรักชีส เพื่อเอาใจสาวกคนชอบทานชีส ที่เคเอฟซีจัดหนักจัดเต็มราดชีสเยิ้มๆบนไก่กรอบเน้นๆทุกชิ้น พอทานชีสคู่กันกับไก่กรอบแล้วไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นส่วนผสมที่ลงตัวได้ดีขนาดนี้ รสชาติก็ต้องขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าอร่อยชีสฟินไก่

มะม่วงน้ำปลาหวาน

กระแสละครเรื่องบุพเพสันวาสที่มาแรงในปีนี้ ทำให้มีอาหารหลายอย่างเป็นที่ยอดฮิตขึ้นมา และหนึ่งในนั้นก็คือมะม่วงน้ำปลาหวาน ฉากที่แม่การะเกดอยากกินมะม่วงน้ำปลาหวาน จึงใช้บ่าวไปเก็บมะม่วง และนำวัตถุดิบที่จะทำน้ำปลาหวานมาให้ ไม่ว่าจะเป็น หอมแดง พริก ปลาย่าง น้ำตาลปึก และน้ำปลา ซึ่งในฉากนั้นก็ทำให้ผู้ชมน้ำลายสอไปตามๆ กัน จนเกิดกระแสกินมะม่วงน้ำปลาหวานกันไปช่วงหนึ่งเลย

หมูสร่ง

อาหารว่างโบราณที่ฟินคืนชีพมาพร้อมกับละครบุพเพสันนิวาส ในฉากที่แม่การะเกดตั้งใจทำให้คุณพี่หมื่นทาน หลังจากละครได้ออกอากาศไปก็ทำให้สาวๆหลายคนสวมบทเป็นแม่การะเกด ลุกขึ้นมาทำหมูสร่ง ซึ่งหมูสร่งฟังดูเหมือนเป็นเมนูที่ทำง่าย เพียงแค่นำหมูบดปรุงรสมาปั้นเป็นก้อนกลม แล้วพันด้วยเส้นหมี่ซั่ว จากนั้นจึงนำไปทอด แต่ความจริงแล้วเป็นเมนูที่มีความพิถีพิถัน การทอดต้องใช้ไฟกลางเพื่อไม่ให้เส้นหมี่ไหม้ก่อนที่หมูจะสุก และต้องทอดทีละด้านเพื่อไม่ให้เส้นหมี่ที่พันไว้กระจายตัว

กุ้งเผา

อีกหนึ่งเมนูที่เป็นเมนูยอดนิยมมานานกุ้งเผาที่กลับมาเป็นกระแสอีกครั้งจากละครเรื่องบุพเพสันนิวาสที่หลายคนดูแล้วท้องร้องไปตามๆ กัน จนต้องรีบหาเวลาว่างไปทาน ความพิเศษของเมนูนี้คือการนำกุ้งสดตัวใหญ่ๆ ไปเผาจนได้ที่ ไม่แห้งจนเกินไป เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด ที่ไม่ว่าใครได้ทานแล้วต้องติดใจ กับความเด้งและความหวานของเนื้อกุ้งเผาและมันกุ้งที่ไหลเยิ้ม บอกได้คำเดียวว่าฟินแน่นอน

หมูปลาร้า สี่แยกคอกวัว

ที่มา https://pantip.com/topic/37709489

โซเซียลแชร์กันกระหน่ำสำหรับเมนูหมูปลาร้าที่เรียกได้ว่าไปทางไหนก็มีแต่คนพูดถึง มีเหล่าคนดังมากมายได้ลองไปกินยั่วน้ำลายคนดู ซึ่งเป็นเมนูอาหารหมูปิ้งเนื้อนุ่มที่เสิร์ฟพร้อมปลาร้าสับหรือทานกับน้ำพริกต่างๆ เพื่อเพิ่มรสชาติความอร่อยให้กับหมูปิ้งยิ่งขึ้น นอกจากนี้หากทานควบคู่ไปกับข้าวเหนียวร้อนๆ หอมๆ รับรองได้เลยว่าอร่อยเหาะ

ร้านกาแฟชายทุ่ง

นาทีนี้ถ้าไม่พูดถึงก็คงจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับร้านกาแฟชายทุ่งที่มาจากพระเมตตาของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดสร้างขึ้นสนับสนุนการปลูกเมล็ดกาแฟชาวเขาจาก 9 ดอยของภาคเหนือ เพื่อสืบทอดปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งภายในร้านไม่ได้มีแค่เมนูน้ำอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีเมนูขนมอีกมากมายให้เลือกทานกันด้วย ซึ่งหลังจากเปิดร้านเพียงไม่นาน หลายคนก็ไม่พลาดแวะเวียนไปชิมกันเพียบ

ไอศกรีมอะโวคาโด โครงการหลวง

เรียกได้ว่าเป็นไอศกรีมที่คิวยาวที่สุดในตอนนี้ หลายคนเฝ้ารองานโครงการหลวงเพียงเพื่อที่จะได้กิรไอศกรีมกะทิสดน้ำตาลโตนดรสชาติหอมหวาน โปะลงบนอะโวคาโดสดหั่นชิ้น จากโครงการหลวง ที่เนื้อเนียนนุ่มและมัน เข้ากันได้อย่างลงตัว ซึ่งถือเป็นแรร์ไอเทมเลยก็ว่าได้ แต่ตอนนี้ไม่ต้องรอแล้ว อยากทานวันไหนก็สามารถไปทานได้เลยที่ ร้านดอยคำ สาขาราชเทวี

ตลอดทั้งปี 2018 มีอาหารสุดฮิตเกิดขึ้นมามากมาย แต่ที่เด็ดๆ ก็คงต้องยกให้ 12 เมนูนี้เลย อร่อย ฟิน แน่นอน ใครที่ยังไม่เคยลองเมนูไหนก็ไปลองกันเลย อย่าปล่อยให้ข้ามปี ไม่อย่างนั้นจะถือว่าพลาดอย่างแรง ส่วนปีหน้าอาหารอะไรจะฮิตติดกระแส ต้องรอติดตามกันต่อไป!!

แกงบวนตำรับมาตรฐานในตำราอาหารทั่วไปมีลักษณะเป็นแกงน้ำข้น ทั้งจากการเคี่ยวเครื่องในกับน้ำคั้นใบไม้เขียวนานร่วมชั่วโมง และทั้งจากการที่ผสมปลาเค็ม กะปิ หรือกุ้งแห้ง ปลาย่างป่นเข้าไปในพริกแกง ความหอมได้จากน้ำคั้นที่เลือกใช้ได้ตามชอบ และตะไคร้ซอย ตลอดจนผักชีหั่นที่ใส่เพิ่มในภายหลัง

คำถามตรงๆ ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนแบบนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมต้องตอบได้ทันทีเลยแหละครับ

เพราะทั้งในตำรากับข้าวเก่าอย่างแม่ครัวหัวป่าก์ (ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์, ๒๔๕๑) หรือตำราร่วมสมัย เช่น อร่อยต้นตำรับ (ม.ร.ว. ถนัดศรี สวัสดิวัตน์, ๒๕๔๗) ตำรับอาหารวิทยาลัยในวัง (คณาจารย์จากวิทยาลัยในวัง, ๒๕๓๖) บอกสูตรไว้เกือบจะเหมือนกัน จนใครที่เคยอ่านผ่านตามาบ้าง ก็ย่อมจะนึกออกว่า แกงบวนเป็นแกงแบบโบราณ ทำโดยตำเครื่องแกงอันมีกะปิเผา หอมเผา กระเทียมเผา ข่าเผา ตะไคร้ พริกไทย ปลาสลาดแห้งป่นให้ละเอียด เอาละลายในน้ำคั้นใบมะตูม ใบตะไคร้ และใบผักชีผสมกัน ตั้งไฟจนเดือด ใส่หมูสามชั้น และเครื่องในหมูต้มหั่นชิ้นใหญ่ๆ เคี่ยวไปจนนุ่ม ปรุงรสให้หวานนำเค็มตาม พอเปื่อยได้ที่ น้ำข้นดีแล้ว จึงเติมใบมะกรูดฉีก ตะไคร้ซอย พริกชี้ฟ้าหั่นแว่น จากนั้นก็ตักใส่ชาม โรยผักชี


เครื่องเคราแกงบวนมีหลายอย่าง หลักๆ เป็นเครื่องในหมู พริกแกงที่ต้องเผาคั่วเครื่องตำเกือบทั้งหมดก่อน ที่สำคัญคือมักไม่ใส่พริก ปรุงรสเค็มด้วยปลาเค็มหรือกะปิ หวานด้วยน้ำตาลปี๊บ (หม้อนี้ผมใช้น้ำตาลมะพร้าวสดๆ) และน้ำคั้นใบไม้ ที่อาจใช้ใบมะตูม มะขวิด ย่านาง ตะไคร้ ผักชีรวมกัน หรือใช้อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เพิ่มกลิ่นหอมด้วยใบมะกรูด พริกชี้ฟ้า ผักชี และตะไคร้ซอยที่ใส่เพิ่มในตอนท้ายเมื่อเครื่องในเปื่อยนุ่มดีแล้ว

หลายคนแม้ไม่เคยกิน แต่ก็คงจินตนาการรสชาติได้ และย่อมตระหนักดีว่า แกงแบบนี้ไม่ได้ทำกินกันเป็นปรกติสามัญ เพราะสำหรับชาวบ้าน การจะได้กินหมูในสมัยก่อนเป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก นอกจากจะมีงานบุญในวาระต่างๆ หรือช่วงเทศกาลสำคัญ ที่มีการล้มสัตว์ใหญ่เพื่อทำอาหารเลี้ยงพระเลี้ยงคนจำนวนมากเท่านั้น

นอกจากนี้ การเตรียมเครื่องในหมูให้สามารถเอามาปรุงกับข้าวได้ ตั้งแต่ล้างอย่างมีขั้นตอนกระบวนการอันซับซ้อน จนถึงต้มตุ๋นให้เปื่อย ก็ไม่ใช่เรื่องหมูๆ จำต้องมีเคล็ดลับ ฝีมือ และมีลูกมือมากพอ การปรุงแกงบวนแต่ละครั้งในสมัยก่อนจึงไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ เสียเมื่อไร

งานวิจัยเรื่องอาหารชาติพันธุ์ชาวไทยเขมรจังหวัดสุรินทร์ ของ คุณสมนึก รัตนกำเนิด (สถาบันราชภัฏสุรินทร์, ๒๕๔๒) ถึงกับระบุว่า “…หากงานแต่งงานรายใดมีแกงบวนเป็นอาหารคาว จะถือว่าเป็นงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่มาก เนื่องจากแกงบวนมีวิธีการทำที่ยุ่งยากซับซ้อน…”

…………..

คำตอบมาตรฐานต่อคำถามที่ว่าอะไรคือแกงบวน มาถูกเขย่าอย่างแรงด้วยนิยามแกงบวนสายเพชรบุรีแบบหนึ่ง

คุณวริทธิ์ แจ่มใส ช่างภาพอิสระชาวเมืองเพชรบุรี เล่าให้ผมฟังว่า แกงบวนสำหรับคนเพชรบุรีแถบอำเภอเมืองฯ และอำเภอบ้านแหลม คือการเอาภัตตาหารคาวของพระที่เหลือหลายๆ ชนิด มาเทรวมกันแล้วเอาไปอุ่นให้เดือดอีกครั้ง หรือเรียกว่าเอาไป “บวน” กระบวนการนี้ต้องทำทันทีหลังเทรวมกันเพื่อไม่ให้บูดเสีย โดยหลักๆ แล้วก็มักมีแกงเผ็ด จะเข้ากะทิหรือไม่กะทิก็ได้ แต่ถ้ามีหน่อไม้จะอร่อยเป็นพิเศษ นอกนั้นก็อาจเป็นผัดพริก ผัดจืด ไข่เจียว ไข่พะโล้ แต่ต้องดูให้หน้าตาไปในทิศทางเดียวกัน

“ผมเคยเจอคนที่อยากกินแกงบวนนอกพรรษา เขาไปซื้อกับข้าวถุงมาสี่อย่าง คือ แกงหน่อไม้ไก่ แกงป่าหมู ไข่พะโล้ และผัดอะไรอีกอย่างหนึ่ง มาถึงก็แกะทุกอย่างรวมกันแล้วเอาไป ‘บวน’ คือตั้งไฟจนเดือด กลิ่นแกงบวนนี้จะหอมมากๆ ครับ” คุณวริทธิ์ยังบอกอีกว่า “เคยคุยกับญาติที่ไปทำงานภาคใต้ เขาบอกทางนั้นไม่รู้จักหรอกแกงบวนเขาเรียกกันว่าแกงสำรวม หรือแกงสมรม”


ผัดพริกแกงบวนในน้ำมันหมูก่อนให้หอม จึงค่อยละลายใส่ในหม้อต้มเครื่องใน

ในแง่นี้ แกงบวนเพชรบุรีสูตรนี้จึงเหมือน “แกงสำรวม” ที่เด็กวัดไทยสมัยก่อนรู้จักกันดี มันคือการจัดการกับข้าวถวายพระหลังวันพระใหญ่ได้อย่างน่าประทับใจ คุณวริทธิ์ยังบอกว่า ในทางพระนั้นมีคำว่า “เอาภัตต์มาสำรวมกัน” หมายถึงเอามารวบรวมไว้ที่เดียวกันนั่นเอง

ผมคิดว่า ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งของคุณวริทธิ์นั้นสำคัญมากๆ คือเป็นไปได้ไหมที่การใส่ผักหลายๆ ชนิดใน “แกงสมรม” ของคนภาคใต้นั้นมีฐานคิด (หรือการระลึกถึง) มาจากการ “สมรม/สำรวม” แบบมหกรรมจัดการอาหารเหลือหลังวันพระนี้เอง จนแม้ในวันธรรมดา ก็ยังทำกินกันเองที่บ้าน และเมื่อเวลาได้ผ่านไปนานเข้า ก็เหลือเพียงชื่อและลักษณะแกงที่รวมผักหลายๆ ชนิดไว้ในหม้อเดียวกัน
ให้พอเห็นเค้าเดิมเท่านั้น

พยุง วงษ์น้อย เพื่อนชาวเพชร บุรีอีกคนหนึ่งของผมเล่าว่า เธอได้คุยกับคนพื้นเพอยุธยาที่มาอยู่อำเภอบ้านลาด เพชรบุรีแล้วเขาทำแกงอย่างหนึ่งกิน วิธีคือเอาแกงเผ็ดจากหลายๆ เจ้า ที่เอาไปทำบุญมาอุ่นรวมกัน เรียก “แกงสำรวม” แต่พยุงบอกว่า เขาต้อง “เอาต้มรวมต้ม แกงรวมแกง ไม่เอาปนกัน” ขั้นตอนวิธีการนี้เหมือนกันเกือบเปี๊ยบกับแกงบวนแบบที่คุณวริทธิ์อธิบาย

แต่ผมยังค้นไม่พบ สอบถามคนเพชรบุรีคนอื่นๆ ก็ยังไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมนะครับว่า นอกจากเขตอำเภอเมืองฯ และบ้านแหลมแล้ว คำว่า “บวน” ถูกใช้เป็นกิริยาทำนองว่าเอาแกงเก่ามาปรุงใหม่แบบนี้ที่ไหนอีกบ้าง

คงต้องช่วยกันสืบค้นต่อไปล่ะครับ

……………..


เคี่ยวไฟอ่อนนานจนเครื่องในเปื่อยนุ่ม พริกแกงและน้ำคั้นใบไม้เขียวซึมเข้าในเนื้อ

อย่างไรก็ดี ผมนึกขึ้นมาได้ว่า เพื่อนชาวสุรินทร์เคยเล่าเกร็ดเรื่องแกงบวนให้ฟังเมื่อนานมาแล้ว เขาบอกว่า “บวน” นั้นเป็นภาษาเขมร แปลว่า “สี่” (๔) แกงบวนสุรินทร์คือแกงที่ต้องกินในงานมงคล (ตรงข้ามกับแกงกล้วย ที่แกงกินในงานอวมงคล) เท่านั้น โดยประกอบด้วยเครื่องในหมู ๔ อย่าง ตอนที่เล่านั้น เขาเองก็ระบุชัดๆ ไม่ได้ว่าคืออะไรบ้าง แต่จากสูตรแกงบวนเก่าๆ ที่มักบอกคล้ายๆ กันให้ใช้หัวใจ ปอด ตับ ม้าม ก็อาจส่อเค้าให้เราเห็นร่องรอยที่ว่านี้บ้างก็เป็นได้

คำอธิบายนี้นับว่าฟังดูมีน้ำหนักให้ค้นต่อนะครับ เพราะอย่างน้อยก็พอฟังขึ้น ว่าทำไมถึงเรียกแกง “บวน” ซึ่งผมคิดว่าคำอธิบายภาษาไทยเท่าที่ผ่านมายังทำได้ไม่จุใจพอ

………………

สำหรับผม แกงบวนมีนัยสำคัญอยู่อย่างน้อย ๒ เรื่อง คือ หนึ่ง มันดูเป็นกับข้าวโบราณสมัยก่อนที่สยามจะมีพริก (Chilli) กินมากๆ ค่าที่ว่าน้ำพริกแกงบวนแทบทุกสูตรจะแค่เผ็ดร้อนพริกไทย ไม่ใส่พริก และสอง การรื้อฟื้นแกงบวนให้กลับมาแพร่หลายอีกครั้งต้องเป็นเรื่อง “หิน” เอาการทีเดียว

มันไม่ใช่แค่เรื่องรสชาติ ที่คงยากจะสร้างความคุ้นเคยให้ลิ้นคนปัจจุบัน แต่รวมถึงปัญหาเรื่องวัตถุดิบ เช่น ใบมะตูม ใบมะขวิด ใบตะไคร้ ที่น่าจะหายากมากๆ แล้วด้วย อย่างไรก็ดี ความที่มันยากนี่แหละครับ มันจึงเป็นเรื่องท้าทาย ว่าถ้าทำได้สำเร็จ ย่อมไม่ใช่แค่สูตรอาหารเท่านั้น ทว่าคือสภาพแวดล้อมและความหลากหลายทางพันธุกรรมพืช ที่จะถูกคำนึงถึงคุณประโยชน์และการคงอยู่ แบบที่ไม่เคยมีใครมองเห็นมาก่อนหน้า

กับข้าวบางสำรับจึงอาจส่งผลเกี่ยวเนื่องไปถึงนโยบายการจัดสรรพื้นที่สาธารณะ ด้วยประการฉะนี้

 

 


ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ กุมภาพันธ์ 2560
ผู้เขียน กฤช เหลือลมัย

ในปี 2020 คาดว่าจะมีมนุษย์อาศัยอยู่บนโลก 9 พันล้านคน ซึ่งทำให้ความต้องการอาหารเพิ่มขึ้น 70% จึงเป็นเหตุผลให้นักวิทยาศาสตร์พยายามนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิตอาหารมากขึ้น มาดูกันว่า 5 เมนูที่คุณต้องกินมนอนาคตมีอะไรบ้าง

1.จิ้งหรีดแท่ง

จิ้งหรีดนั้นมีปริมาณโปรตีนมากกว่าเนื้อวัวถึง 3 เท่า แถมยังผลิตแก๊สเรือนกระจกน้อยกว่าถึง 100 เท่า ทั้งนี้ แมลงเป็นสิ่งที่คนกว่า 2 พันล้านคนกินอยู่แล้วทุกวัน ทำให้หากในอนาคตจะมาเป็นเมนู “จิ้งหรีดแท่ง” ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก

2.ขนมปังเคิร์นซา (Kernza bread)

เคิร์นซาเป็นธัญพืชชนิดใหม่ที่มีวิธีการปลูกที่แตกต่างไปจากข้าวสาลีแบบเดิม และยังดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าอีกด้วย โดยในอนาคตเราอาจจะพบการนำธัญพืชชนิดนี้มาใช้ในการอบขนมหรือทำเบียร์

ประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมที่พบคือ รากที่ฝังลึกของเคิร์นซายังเก็บคาร์บอนไว้ในดินได้มากกว่าข้าวสาลีด้วย

นอกจากนี้ยังให้ผลผลิตได้ถึง 5 ครั้ง/การปลูก 1 ครั้ง จากปกติที่ให้ผลผลิตได้แค่ครั้งเดียว

3.เบอร์เกอร์จากพืช

นักวิทยาศาสตร์อาหารได้คิดค้นการทำเบอร์เกอร์จากถั่วและถั่วเหลือง ซึ่งจะให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากเดิม

4.น้ำมันสาหร่าย

อย่างที่ทราบกันดีว่าน้ำมันที่ขายในตลาด เช่น น้ำมันปาล์มนั้นไม่ยั่งยืน นักวิทยาศาสตร์จึงพยายามสกัดสาหร่ายจากพืช เพื่อสร้างน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพสำหรับมนุษย์และโลกมากกว่าเดิม

5.นักเก็ตไก่สุดคลีน

ในแต่ละปีมีไก่ที่ถูกนำไปเป็นอาหารกว่า 5 หมื่นล้านตัว ซึ่งแทนที่จะไปฆ่าสัตว์ปีกเหล่านี้มากขึ้น บริษัท 15 บริษัทจึงได้พยายามคิดค้นการเพาะเลี้ยงเนื้อไก่จากเซลล์สัตว์ในห้องทดลอง ที่ปัจจุบันเรียกว่า “meat breweries”


Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111
ติดตามอ่านข่าวสารได้ที่ www.matichonacademy.com

ไม่พลาดข่าวสารอาหาร ท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ เกร็ดความรู้
คอร์สเรียนสนุกๆได้ประโยชน์-เสริมอาชีพ
คลิกติดตามเพจเฟซบุ๊ค MatichonAcademy

เมื่อพูดถึงอาหารที่กินแล้วทำให้ป่วย เชื่อว่าหายคนคงไม่นึกถึงอาหารประเภทผักผลไม้สด สิ่งที่หลายคนนึกถึงมักจะเป็นอาหารทะเล หรือเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก แต่พวกผักงอก, ผักขม และน้ำผลไม้ที่ยังไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ ก็ทำให้ร่างกายเราป่วยได้เช่นกัน เพราะในอาหารบางชนิดยังมีเชื้อแบคทีเรียกที่ชื่อ E. coli ซึ่งศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐได้ทำการตรวจอาหารที่อาจส่งผลให้คนป่วย หลังพบว่ามีคนป่วยจากการกินผักกาดหอม 53 คนใน 16 รัฐของสหรัฐอเมริกา

ลองมาดูกันว่าอาหาร 7 ชนิดที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐบอกว่าหากทำไม่ดีอาจกินแล้วป่วยได้ มีอะไรบ้าง

1.ผักขมที่ไม่ได้ล้างหรือปรุงไม่สุก อาจมีเชื้อ E. coli และโนโรไวรัส

เกือบครึ่งหนึ่งของการเจ็บป่วยจากอาหารที่ CDC ทำการบันทึกไว้นั้นมีสาเหตุมาจากขั้นตอนการผลิต ซึ่งส่วนใหญ่ (22%) พบในผักขม ทำให้ผักใบเขียวชนิดนี้กลายเป็นผักที่อันตรายที่สุด ที่ CDC รายงาน

เนื่องจากหลายคนมักกินผักและผลไม้แบบดิบๆ ทำให้อาจมีเชื้อแบคทีเรียตกค้าง ซึ่งเมื่อกินเข้าไปก็ทำให้เจ็บป่วยได้ โดยหากปนเปือนเชื้อโนโรไวรัสก็อาจทำให้ผู้กินมีอาการอาเจียนและท้องเสียได้ หรือเชื้อ E. coli ก็ทำให้เกิดอาการในระบบทางเดินอาหารเช่นเดียวกัน

ดังนั้น ก่อนกินจึงควร้างผักให้สะอาด เพื่อป้องกันและลดความเส่ยงการปนเปื้อนนั่นเอง

2.ไก่และไก่งวง อาจทำให้เกิดการติดเชื้อลิสเทอเรีย ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้

จากรายงานของ CDC พบว่ายอดผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อจากการกินไก่และไก่งวง มีมากกว่าอาหารชนิดอื่นๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะครั้งหนึ่งเคยมีการระบาดของโรคชนิดนี้ในช่วงปี 1998-2002 โดยโรคลิสเทอเรียนั้นมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่าลิสเทอเรีย ผู้ป่วยจะมีอาการตั้งแต่มีไข้และท้องเสีย ไปจนถึงปวดเมื่อยคอ ปวดหัว และวิงเวียนศีรษะ ซึ่งกลุ่มเส่ยงก็คือหญิงตั้งครรภ์ เด็ก และคนชรา

3.ผักงอกต่างๆ มักปนเปื้อนเชื้อแซลโมเนลลา

สภาพแวดล้อมชื้นๆ ที่เหมาะแก่การเติบโตของผักงอก ก็เหมาะต่อการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียด้วย โดยเฉพาะแซลโมเนลลา ซึ่งเป็นสาเหตุให้ท้องเสีย, มีไข้ และปวดท้อง

4.น้ำผลไม้ที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์

ตั้งแต่ปี 1995-2005 มีชาวสหรัฐหลายพันคนจากหลายรัฐ ป่วยหลังจากกินน้ำผลไม้ที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์ ซึ่งอาจมีเชื้อ E. coli เชื้อแซลโมเนลลา รวมไปถึงปรสิตอื่นที่พบในผลไม้ด้วย เช่น cryptosporidium

5.สัตว์ใต้ทะเลที่กินอาหารผ่านการกรอง

สัตว์ใต้ทะเลที่กินอาหารผ่านการกรอง และอยู่ตามธรรมชาติ โดยเฉพาะหอยที่อยู่ใต้ทะเลเป็นเวลาหลายเดือน เช่น หอยนางรม จะมีจุลินทรีย์มาอาศัยอยู่ด้วย ซึ่งจุลินทรีย์ที่มักพบคือแบคทีเรียที่ชื่อว่า Vibrio ซึ่งเติบโตได้ดีในน้ำทะเล หากคนกินหอยนางรมแบบดิบๆ ก็อาจได้รับเชื้อดังกล่าวได้

6.ผลิตภัณฑ์จากนมและไข่อาจมีเชื้อแซลโมเนลลาปนเปื้อน

อาหารมาจากผลิตภัณฑ์จากสัตว์หลายๆ อย่าง เช่น น้ำนมดิบ, ไข่ไก่สด นั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะแบคทีเรียที่อยู่ในสัตว์จะถูกส่งผ่านมายังน้ำนมและไข่ด้วย ที่พบมากคือเชื้อแซลโมเนลลานั่นเอง

7.เนื้อวัวบดที่ไม่สุก

นอกจากผลิตภัณฑ์นมแล้ว ที่ควรระวังจากวัวอีกก็คือ เนื้อบด ที่อาจผสมระหว่างเนื้อสัตว์หลายชนิด ซึ่งหมายความว่ามีแนวโน้มที่จะมีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียสูง โดยเฉพาะหากปรุงไม่สุก ทำให้เราอาจได้รับเชื้อแบคทีเรียอย่าง E. coli และ Clostridium


Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111
ติดตามอ่านข่าวสารได้ที่ www.matichonacademy.com

ไม่พลาดข่าวสารอาหาร ท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ เกร็ดความรู้
คอร์สเรียนสนุกๆได้ประโยชน์-เสริมอาชีพ
คลิกติดตามเพจเฟซบุ๊ค MatichonAcademy

อาหารบางชนิดใช่ว่าจะได้กินมื้อไหนเวลาไหนก็ได้ เพราะอาจส่งผลเสียต่อร่างกาย โดยเฉพาะอาหาร 8 อย่างนี้ ที่ขอบอกไว้เลยว่าไม่ควรกินก่อนนอนเด็ดขาด มาดูกันว่าจะมีอะไรบ้าง

1.ของทอด

กลิ่นน้ำมันหอมๆ ทำให้ของทอดอาจเป็นของโปรดของใครหลายคน แต่คงต้องบอกว่าอาหารมันย่องเต็มไปด้วยไขมันนี้จะเข้าสู่ร่างกายช้ากว่าโปรตีนและแป้ง ดังนั้น จะทำให้ร่างกายของคุณทำงานหนักในขณะที่คุณหลับไป ซึ่งหากคุณไม่ต้องการให้ระบบทางเดินอาหารยังต้องทำงานหนักในขณะที่ร่างกายกำลังพักผ่อนนอนหลับ ก็ไม่ควรกินของทอดก่อนนอน

2.อาหารเผ็ด

เหตุผลที่คุณควรหลีกเลี่ยงอาหารเผ็ดก่อนนอนก็คือ อาหารเผ็ดๆ สามารถทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการระคายเคือง และทำให้เกิดอาการเสียดท้องได้ ซึ่งทำให้หลับยากขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้ร่างกายหลั่งสารฮิสตามีนออกมา ซึ่งเป็นสารที่ส่งเสริมให้ร่างกายตื่นตัว จึงทำให้หลับยากขึ้นด้วย

3.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

การจิบเครื่องดื่มเบาๆ อย่างไวน์แดงสักแก้วก่อนนอนอาจทำให้คุณรู้สึกเพลิดเพลิน แต่จะทำให้คุณหลับได้ไม่ดีได้ เพราะเมื่อหัวคุณถึงหมอน ตับของคุณจะกำลังทำงานอย่างหนักในการพยายามกำจัดแอลกอฮอล์ออกจากร่างกาย ทั้งนี้ เนื่องจากตับและหัวใจมีความเกี่ยวเนื่องกัน เมื่อตับกำลังทำงาน ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ซึ่งจะปลุกคุณให้ตื่นขึ้นมา

4.ช็อกโกแลต

ต้องขอบอกว่ากาแฟไม่ใช่แหล่งคาเฟอีนอย่างเดียวเท่านั้น แต่ “ช็อกโกแลต” ก็เป็นแหล่งคาเฟอีนประเภทหนึ่งด้วย โดยช็อกโกแลต 1 ออนซ์ จะมีคาเฟอีนประมาณ 23 มิลลิกรัม ซึ่งเท่ากับหนึ่งในสี่ของกาแฟ 1 ถ้วย

5.น้ำเปล่า

ส่วนใหญ่แล้วการดื่มน้ำเราอาจจะต้องยกนิ้วให้คนที่ดื่มน้ำบ่อยๆ จนได้หรือเกินกับที่ปริมาณร่างกายต้องการ แต่คงไม่ใช่กับคนที่ดื่มน้ำปริมาณมากๆ ก่อนนอน เพราะการดื่มน้ำก่อนนอนจะทำให้ร่างกายต้องการขับของเหลวออก ซึ่งจะทำให้คุณต้องลุกมาเข้าห้องน้ำกลางดึก และทำให้การหลับไม่ต่อเนื่อง ดังนั้น จึงควรดื่มให้เพียงพอในระหว่างวันไปจนถึงมื้อเย็น แต่ไม่ควรดื่มน้ำก่อนนอน

6.กาแฟ

หลายคนคงรู้ดีอยู่แล้วว่าในกาแฟมีคาเฟอีน ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง และทำให้ร่างกายตื่นตัว ลดความง่วง ดังนั้น สำหรับคอกาแฟแล้ว แนะนำว่าหากอยากมีการนอนหลับที่ดีขึ้น ไม่ควรกินกาแฟหลังบ่ายต้นๆ แต่ถ้าหากต้องจิบกาแฟเพื่อกินคู่กับขนมหวานในช่วงประมาณบ่ายสาม ควรจะลดปริมาณคาเฟอีนลงครึ่งหนึ่ง

7.ไอศกรีมกาแฟ

น่าเสียดายว่าของหวานหลังอาหารมื้อค่ำไม่ควรเป็นไอศกรีมกาแฟ เพราะมีกาแฟเป็นส่วนประกอบ ซึ่งในกาแฟก็มีคาเฟอีนนั่นเอง

8.ขนมเพิ่มพลัง

อาหารและขนมเพิ่มพลังเหล่านี้ประกอบไปด้วยคาเฟอีน เพื่อช่วยเพิ่มสมรรถนะของนักกีฬา ดังนั้นจึงไม่ควรกินอาหารเหล่านี้ในช่วงใกล้นอน นอกจากนี้ยังควรตรวจดูบนฉลากให้แน่ใจว่าโปรตีนเชคที่คุณกินหลังออกจากยิมนั้นไม่มีคาเฟอีนผสมอยู่


Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111
ติดตามอ่านข่าวสารได้ที่ www.matichonacademy.com

ไม่พลาดข่าวสารอาหาร ท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ เกร็ดความรู้
คอร์สเรียนสนุกๆได้ประโยชน์-เสริมอาชีพ
คลิกติดตามเพจเฟซบุ๊ค MatichonAcademy

วัตินาพร บัณฑุชัย (คนกลาง) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ Brand Marketing & Advertising บจก.เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล สืบสานความอร่อยแดนสยาม จัดงาน Taste of Thai รวมเมนูอาหารและขนมไทยสูตรต้นตำรับชาววัง หาทานยากจากหลากหลายร้านดัง เวิร์คช็อปทำขนมไทย ชวนแต่งกายชุดไทยรับของรางวัล โดยมี ชาม ซูดีน อับดุลรามาน, วิสาขา หงสนันทน์, ฐณส หงสนันทน์ และ ภักดิพร กรรณสูต ร่วมงาน ณ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ ชั้นจี เซ็นทรัล ชิดลม เมื่อเร็วๆ นี้

หน้าที่ 58 ของเอกสารที่เรียกว่า “บันทึกรายวันของออกพระวิสุทธสุนธร (โกษาปาน) ระบุถึงผลไม้ ของหวาน ผักและนมโคที่ถูกยกมาเสริ์ฟ

เมื่อคณะทูตสยามเดินทางไปยังฝรั่งเศส นำโดยโกษาปาน พร้อมด้วยอุปทูตและตรีทูต ซึ่งก็คือ ขุนศรีวิสารวาจา ยอดดวงใจของแม่หญิงการะเกดใน ‘บุพเพสันนิวาส’

ในละครนั้น แม่การะเกดสร้างสรรค์หลากเมนู ควบคู่มื้ออาหารจากครัวคุณหญิงจำปา ไม่ว่าจะเป็นกุ้งเผา มะม่วงน้ำปลาหวาน และอื่นๆ ที่ล้วนชวนน้ำลายสอ แล้วเมื่อคณะทูตไปถึงฝรั่งเศส โดยขึ้นฝั่งที่เมืองแบรสต์ ทราบหรือไม่ว่าคณะทูตรับประทานอะไร ?

รายละเอียดเหล่านี้ จดหมายเหตุเมืองแบรสต์ บันทึกไว้ว่า ประกอบด้วยซุปข้น ไก่ตอน นกพิราบ ลูกกระต่าย เป็ด แม่ไก่อ่อนที่เลี้ยงให้อ้วน เนื้อลูกวัว หมู เนื้อวัว แตงโม ผัก ไอศกรีม ผลไม้สด ผลไม้เชื่อม ไวน์ และเหล้า

นอกจากนี้ โกษาปานยังจดบันทึกไว้อย่างละเอียด เล่าถึงมื้ออาหารสุดหรู อย่างมื้อค่ำมื้อหนึ่ง ดังนี้

“เอาเครื่องต้มเข้ามาตั้ง ณ เตียงนั้นห้าถาดใหญ่ เนื้อสุกรถาดหนึ่ง เนื้อชุมพาถาดหนึ่ง เนื้อโคถาดหนึ่ง ไก่กับเป็ดสองถาด กินกับปัง แล้วผ่อนออกไป แล้วจึงเอาเครื่องปิ้งแลเครื่องคั่วแลผักทอดมันแลผักกินสด แลถั่วต้มแลถั่วคั่วเข้ามาตั้ง 17 ถาดในนี้ไก่แลเป็ดตายสองถาด ชุมพาปิ้งถาดหนึ่ง (ชุมพา คือสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายแกะ ในที่นี้น่าจะหมายถึงเนื้อแกะ) ลูกสุกรทั้งตัวฉาบเนยปิ้งถาดหนึ่ง แพะปิ้งถาดหนึ่ง ไก่แลนกแซมหมูปิ้งถาดหนึ่ง แลถาดซึ่งใส่เครื่องปิ้ง ทั้งนี้ย่อมเอาผักชีโรยรอบริมถาดนั้น เนื้อชุมพาคั่วถาดหนึ่ง ไก่คั่วใส่แป้งข้าวโพดถาดหนึ่ง ใบผักกาดแลใบหอมใส่น้ำส้มองุ่นแลน้ำมันลูกไม้ถาดหนึ่ง ผักเบี้ยใหญ่ใส่น้ำส้มองุ่นแลน้ำมันลูกไม้ถาดหนึ่ง ผักสิ่งหนึ่ง ช่ออาระตีโชประดุจหนึ่งโตนดบัวขมต้มถาดหนึ่ง”

อ่านเอกสารบันทึกรายวันของออกพระวิสุทธสุนทร (โกษาปาน) ทั้งหมดได้ที่ฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) คลิกที่นี่


ที่มา มติชนออนไลน์