นักแสดงละครบุพเพสันนิวาสที่ทำเอาคนทั้งประเทศอินไปตามๆ กัน ตั้งแต่บทพระเอกจนตอนนี้พระรองนักแสดง ใครๆ ที่มีบทเด่นๆ ในละครนี้ล้วนแต่ได้รับการกล่าวถึงเป็นอย่างมาก ล่าสุดไม่ใช่พี่หมื่นแต่อย่างใด แต่เป็น “ออกพระเพทราชา” ซึ่งรับบทโดย “ศรุต วิจิตรานนท์” ที่แสดงได้อินจนคนดูอินจัดไปกับฉากปะทะคารมกับ “สมเด็จพระนารายณ์” จนหลายคนรับพลิกอ่านประวัติศาสตร์กันแทบไม่ทัน

ทัวร์มติชน อคาเดมี จึงได้จัดทริปพาออเจ้า ไปเฝ้า “ขุนหลวงนารายณ์” ที่เมืองละโว้ (ลพบุรี) เพื่อพาย้อนไปชมประวัติศาสตร์จากซากปรักหักพัง ที่มีชีวิตอีกครั้งโดย ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี กูรูนักประวัติศาสตร์ (อ่านรายละเอียดที่ลงค์นี้ https://www.matichonacademy.com/update/article_9124)

โดยสมเด็จพระเพทราชา เป็นพระมหากษัตริย์ต้นราชวงศ์บ้านพลูหลวงและอยู่ในราชสมบัตินาน 15 ปี ได้ราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระนารายณ์ โดยได้ราชสมบัติตอนพระชนมายุ 51 พรรษา ประวัติศาตร์ได้กล่าวถึงสมเด็จพระเพทราชาจากหลากหลายมุมมอง จากสิ่งที่สมเด็จพระเพทราชาได้ทำการรัฐประหารยึดราชสมบัติจากสมเด็จพระนารายณ์ ขณะที่ทรงประชวรด้วยโรคไอหืด

ท่ามกลางบรรยากาศของข้าศึกที่ประชิดประตูเมืองในทุกด้านนั้น สมเด็จพระเพทราชา เมื่อทำการรัฐประหารสำเร็จ ได้ราชสมบัติแล้ว ยังได้กระทำการขับไล่ทหารฝรั่งเศสที่ป้อมบางกอก ที่อยู่ในความควบคุมของนายพลเดส์ฟาร์จ และที่ป้อมเมืองมะริด ในความควบคุมของนายพลดูบรูอัง เฉพาะที่ป้อมบางกอกค่อนข้างใช้เวลาและมีการสูญเสียของทั้ง 2 ฝ่าย ครั้นทำท่าจะสงบศึกกันได้ แต่เพราะเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ทำให้กลายเป็นศึกยืดเยื้อโดยไม่จำเป็น

ในที่สุดสงครามก็ยุติลงโดยไทยได้ตัวประกัน 4 คนคืนมา (ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ 2 คน ล่ามและทหารรับใช้) กับได้สมบัติฝรั่งเศส และได้กักกันนักบวชจำนวน 70 คน ไว้ระยะหนึ่งก่อนจะให้อิสรภาพ โดยเฉพาะบุตรชาย 2 คน ของนายพลเดส์ฟาร์จ ซึ่งเป็นตัวประกัน ซึ่งท่านนายพลก็โหดเหี้ยมพอที่จะยอมเสียบุตรชายทดแทนกับการกระทำขัดคำสั่งของพระเพทราชา อย่างไรก็ดีทรงมีเมตตาให้อิสรภาพแก่บุคคลเหล่านั้นทั้งหมด รวมทั้ง มารี กีมาร์ ภรรยาและบุตรของวิชาเยนทร์ (ฟอลคอน) อีกคนหนึ่ง ไม่เช่นนั้นสยาม (อยุธยา) อาจถูกยึดครองโดยฝรั่งเศสมาตั้งแต่ปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์ (2231) ก็เป็นได้

ในด้านความสัมพันธ์ของพระเพทราชากับสมเด็จพระนารายณ์นั้น แม่จริงของพระเพทราชา คือแม่นมของสมเด็จพระนารายณ์ นั่นคือเจ้าแม่วัดดุสิต นอกจากนั้นยังเป็นศิษย์พระอาจารย์องค์เดียวกัน (พระอาจารย์พรหม) ที่สำคัญกว่านั้นคือ พระเพทราชาเป็นคนลุ่มลึกเยือกเย็นองอาจกล้าหาญ และเฉลียวฉลาด ว่ากันว่าสมเด็จพระเพทราชา เป็นกษัตริย์ที่มีพื้นฐานคนบ้านนอก บ้านเดิมอยู่บ้านกร่าง หรือบ้านพลูหลวง ชานเมืองสุพรรณบุรี

พระเพทราชา

คู่ปรับของพระเพทราชา คือ ออกญาวิชาเยนทร์ (ฟอลคอน) ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ออกญาวิชาเยนทร์ได้นำทหารฝรั่งเศสพร้อมอาวุธทันสมัยเข้ามาประจำการที่ป้อมบางกอก ซึ่งถือว่าเป็นอันตราย เพราะอาวุธเหล่านั้นมีอานุภาพเหนือกว่าทางอยุธยามาก แม้มีทหารเพียงกองร้อย ก็สามารถเอาชนะทหารไทยในระดับกองทัพได้ พระเพทราชาเคยติงเรื่องนี้ในที่ประชุมขุนนางต่อหน้าพระพักตร์สมเด็จพระนารายณ์เรื่องการคบหากับต่างชาติที่ต้องระมัดระวัง สมเด็จพระนารายณ์ในเวลานั้นทรงชื่นชอบพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และโปรดวิชาเยนทร์เป็นพิเศษ

เท่ากับว่าวิชาเยนทร์มีกองทหารที่แข็งแกร่ง ขณะที่พระเพทราชาอาศัยพระสงฆ์ตามวัดต่างๆ ในเขตเมืองลพบุรีและปริมณฑล โดยเฉพาะได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากพระสังฆราชเมืองลพบุรี ณ วัดราชา ทั้งในเรื่องการสอดแนมการเคลื่อนไหวต่างๆ การก่อม็อบและอาจใช้เป็นกำลังรบถ้าจำเป็น การอาศัยกำลังจากพระสงฆ์ในกิจกรรมต่างๆ เหล่านั้น เป็นวิธีที่แนบเนียน ทำให้วิชาเยนทร์ตายใจเข้าใจว่าพระเพทราชาไม่มีกำลังรบที่ดีๆ อยู่ในมือ จึงเร่งเอาใจนายพลเดส์ฟาร์จมากขึ้นเพื่อคิดว่าจะมีกำลังพลในมือ

ออกญาวิชาเยนทร์หวังว่าจะใช้กองกำลังทหารฝรั่งเศสที่ป้อมบางกอกทำการรัฐประหารยึดอำนาจ กองทหารนั้นควบคุมโดยนายพลเดส์ฟาร์จ ทั้งนี้จะใช้กองกำลังเพียง 60-80 คน ก็สามารถดำเนินการได้เพราะมีอาวุธที่ดีกว่ามาก แต่พระเพทราชาเหนือกว่าเพราะได้ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จึงอยู่ในฐานะได้เปรียบกว่าในการสั่งการต่างๆ โดยอ้างพระราชโองการ แต่ก็เต็มไปด้วยความระมัดระวังในการใช้อำนาจ จึงกระทำการรัฐประหารสำเร็จ ซึ่งถือเป็นการชิงไหวชิงพริบกันเป็นอย่างมาก

เรียบเรียงจาก ศิลปวัฒนธรรม https://www.silpa-mag.com/club/art-and-culture/article_9992

ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) เตรียมวงเงิน 3,000 ล้านบาท จัดทำผลิตภัณฑ์ใหม่ “สินเชื่อบ้านบุพเพสันนิวาส” มุ่งเตรียมความพร้อมให้ผู้สูงอายุได้มีที่อยู่อาศัยร่วมกับบุคคลอันเป็นที่รักตลอดไป อัตราดอกเบี้ย 10 ปีแรก คงที่ 3.99% ต่อปี ให้กู้สำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ซื้อที่ดินเปล่าที่เป็นทรัพย์ NPA ของ ธอส. และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกฯ พร้อมกับกู้เพื่อซื้อ ผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึงอายุ 75 ปี (เฉพาะผู้ที่ประกอบอาชีพตามที่ธนาคารกำหนด) และเปิดช่องให้ใช้อายุของผู้กู้ร่วมที่มีอายุน้อยกว่ากำหนดระยะเวลาการกู้ให้นานขึ้นได้ กู้ 1 ล้านบาท ผ่อนเริ่มต้นแค่เดือนละ 4,900 บาท ยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2561 และสิ้นสุดระยะเวลาทำนิติกรรมเมื่อสินเชื่อเต็มกรอบวงเงินโครงการ

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการรองรับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society)ของประเทศไทยที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ : ทำให้คนไทยมีบ้าน จึงให้ความสำคัญกับการสนับสนุนผู้สูงอายุได้มีที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิต พร้อมไปกับการได้อยู่ร่วมกับบุคคลอันเป็นที่รักในครอบครัวอย่างมีความสุขตลอดไป ล่าสุดจึงได้เตรียมวงเงิน 3,000 ล้านบาท จัดทำผลิตภัณฑ์ใหม่ “สินเชื่อบ้านบุพเพสันนิวาส” อัตราดอกเบี้ย 10 ปีแรก คงที่ 3.99% ต่อปี ปีที่ 11 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อย เท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส.เท่ากับ 6.75% ต่อปี) สำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้น ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ซื้อที่ดินเปล่าที่เป็นทรัพย์ NPA ของ ธอส. และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัยพร้อมกับกู้เพื่อซื้อ ให้ผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึงอายุ 75 ปี (เฉพาะผู้ที่ประกอบอาชีพตามที่ธนาคารกำหนด) ยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2561และสิ้นสุดระยะเวลาทำนิติกรรมเมื่อสินเชื่อเต็มกรอบวงเงินโครงการตามที่ธนาคารกำหนด

“สินเชื่อบ้านบุพเพสันนิวาส ถือเป็นผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ธนาคารกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ยาวนานที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งตลอดระยะเวลา 10 ปีแรก ลูกค้าจะไม่มีภาระค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระบ้านเพิ่มขึ้น จึงสามารถวางแผนการ ใช้จ่ายเงินได้สะดวกยิ่งขึ้น อาทิ กรณีกู้ 1 ล้านบาท เงินงวด 10 ปีแรก จะอยู่ที่ 4,900 บาทเท่านั้น พร้อมกับเปิดโอกาสให้ใช้อายุของผู้กู้ร่วมที่มีอายุน้อยกว่ากำหนดระยะเวลาการกู้ให้นานขึ้นได้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี และยังช่วยลดจำนวนเงินงวดผ่อนชำระในแต่ละเดือนลงได้” นายฉัตรชัยกล่าว

นอกจากนี้ ธอส. ยังได้ขยายระยะเวลาการยื่นกู้และทำนิติกรรม 4 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อสำหรับให้บริการครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่มอาชีพจากเดิมกำหนดไว้ ณ วันที่ 30 มีนาคม 2561 เป็นสิ้นสุด ณ วันที่ 30 เมษายน 2561 ประกอบด้วย 1.สินเชื่อบ้านสวัสดิการ / รายย่อย (Housing Solution) ปี 2561 อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นปีที่ 1 เท่ากับ MRR-3.95% ต่อปี หรือเท่ากับ 2.80% 2.สินเชื่อบ้านโครงการจัดสรร (Developer) ปี 2561 อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นปีที่ 1 เท่ากับ MRR-4.00% ต่อปี หรือเท่ากับ 2.75% 3.สินเชื่อบ้านสุขสันต์ (Refinance In) ปี 2561 อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-3 เท่ากับ MRR-3.85% ต่อปี หรือเท่ากับ 2.90% และ 4.โครงการสินเชื่อบ้านเพิ่มสุข ปี 2561 สำหรับลูกค้าปัจจุบันของธนาคารที่มีประวัติการผ่อนชำระหนี้ย้อนหลัง 24 เดือน สม่ำเสมอและปกติ สามารถกู้เพื่อซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 – 3 เท่ากับ MRR-2.85% ต่อปี หรือเท่ากับ 3.90%

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์

ใบบัวบกเป็นพืชคลุมดินที่ขึ้นได้ง่ายมาก ยิ่งในหน้าฝนก็จะยิ่งงอกงามดี เด็ดมากินแกล้มกับผัดไทยก็ได้ กินกับน้ำพริกก็ดี เอามายำก็อร่อย ได้รสมันๆ หอมๆ ของใบบัวบก ผสานกับความนุ่มเหนียวของหมูและกุ้ง ตัดกับรสสัมผัสของเครื่องกรอบต่างๆ ทั้งมะพร้าวคั่ว ถั่วลิสงคั่ว หอมแดงเจียว กระเทียมเจียว ราดด้วยน้ำยำที่เข้มครบรส เคี้ยวเพลินๆ หมดจานไม่รู้ตัว

ส่วนผสม

-ใบบัวบก
-กุ้งแชบ๊วย หมูสับ
-หัวกะทิ น้ำพริกเผา น้ำตาลโตนด น้ำปลา น้ำมะนาว
-หอมแดง
-มะพราวครั่ว ถั่วลิสงคั่ว หอมแดงเจียว กระเทียมเจียว

วิธีทำ

-หั่นใบบัวบก แกะเปลือกกุ้ง สับหมู ซอยหอมแดง
-ตั้งกระทะเติมน้ำนิดหน่อย เมื่อร้อนได้ที่ให้ใส่หมูกับกุ้งรวนให้สุก
-ตั้งกระทะใส่หัวกะทิลงไปเคี่ยวสักพักให้ข้น เติมน้ำที่ได้จากการรวนหมู ใส่น้ำพริกเผา น้ำตาลโตนด คนให้ละลาย บีบมะนาว ชิมรสให้มีทั้งเปรี้ยว เค็ม หวาน เผ็ด หากไม่เค็มให้เติมน้ำปลา ใส่หอมแดงลงไปคลุก เมื่อรสชาติได้ที่แล้วก็ใส่ใบบัวบกลงไปยำพร้อมกับเครื่องต่างๆ ได้แก่ มะพราวครั่ว ถั่วลิสงคั่ว หอมแดงเจียว กระเทียมเจียว คลุกเคล้าให้เข้ากัน

 

จากหนังสือ ปลูกเองกินเอง เมนูอร่อยจากสวนครัวคนเมือง สนพ.มติชน

หากพูดถึงร้านเสื้อผ้าญี่ปุ่นในประเทศไทย ร้านแรกที่หลายๆ คนนึกถึงคงเป็น “ยูนิโคล่” ที่ตัวร้านมักตั้งอยู่ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ แต่ล่าสุด ยูนิโคล่ในไทยกำลังจะเป็นร้านที่ไม่ตั้งอยู่แค่เพียงในตัวห้างเท่านั้น แต่กำลังจะมีสาขาที่สแตนด์อะโลนอยู่ริมถนนอีกด้วย

โดย นสพ.ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่า บริษัท ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ประกาศหาพันธมิตรร่วมทัพค้าปลีกผ่านเว็บไซต์ http://www.uniqlo.com/th โดยกล่าวถึงโมเดลร้านค้าแบบใหม่ “โรดไซด์สโตร์” หรือร้านสแตนด์อะโลนนอกห้าง ทำเลติดถนน ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในต่างประเทศ ที่บริษัทมีแผนจะขยายสาขาเพิ่ม หลังจากเปิดร้านโมเดลดังกล่าวสาขาแรก ที่ถนนพัฒนาการ 58 ปากซอยโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ในวันที่ 23 มีนาคม 2561

รายละเอียดระบุว่า ยูนิโคล่กำลังมองหาโลเกชั่นที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ในทำเลที่ติดกับถนนเส้นหลัก หรือถนนในย่านที่อยู่อาศัย ทั้งในเมืองและต่างจังหวัด ซึ่งอาจจะเป็นรูปแบบของคอมเพล็กซ์ ที่มีผู้เช่ารายอื่น ๆ อยู่ด้วย หรือพื้นที่สำหรับตั้งร้านเดี่ยว ๆ ในรูปแบบสแตนด์อะโลน

โดยผู้ที่สนใจลงทุนจะต้องมีที่ดิน และทำการก่อสร้างตามสเกลและสเป็กที่บริษัทระบุเอาไว้ หรืออาจเป็นนักลงทุนที่ไม่มีที่ดิน แต่ไปเช่าพื้นที่แล้วลงทุนก่อสร้างเองก็ได้ ซึ่งยูนิโคล่จะทำการเช่าพื้นที่นั้นต่ออีกทีหนึ่ง และบริหารร้านดังกล่าว โดยการทำสัญญาแบบ building lease agreement ระยะเวลาการเช่าสูงสุด 15 ปี

ซึ่งขนาดของพื้นที่ที่ยูนิโคล่ต้องการมีทั้งหมด 2 ไซซ์ ได้แก่ ไซซ์กลาง 3,000 ตร.ม. แบ่งเป็นตัวอาคาร 1,000 ตร.ม. และที่จอดรถ 50 คัน และไซซ์ใหญ่ 5,000 ตร.ม. แบ่งเป็นตัวอาคาร 1,800 ตร.ม. และที่จอดรถ 100 คัน

นายซาโตชิ ฮาตาเซะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยูนิโคล่ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวก่อนหน้านี้ว่า โรดไซด์สโตร์ เป็นโมเดลที่มีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตของยูนิโคล่ในญี่ปุ่นมาแล้ว และกำลังประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในประเทศอื่น ๆ โดยก่อนหน้านี้มีการขยายโมเดลดังกล่าวไปในเกาหลี และไต้หวัน ส่วนไทยถือเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นำโมเดลดังกล่าวเข้ามา

ทั้งนี้ ปัจุบันยูนิโคล่ทั่วโลกมีสาขาทั้งหมด 1,900 สาขา แบ่งเป็น 850 สาขาในญี่ปุ่น และ 1,050 สาขานอกญี่ปุ่น รวม 19 ประเทศ โดนในไทยมี 35 สาขา ซึ่งในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน เตรียมเปิดเพิ่มอีก 3 สาขา คือ เซ็นทรัลมหาชัย, เซ็นทรัลพิษณุโลก และพัฒนาการ


ที่มา นสพ.ประชาชาติธุรกิจ

ยุคช้อปปิ้งออนไลน์บูม ทำให้การตัดสินใจกดซื้อสินค้าและบริการผ่านออนไลน์ทำง่ายๆได้เพียงปลายนิ้ว แม้จะสะดวกไม่ต้องยุ่งยาก แต่ด้านหนึ่งก็น่าสนใจว่า หากเราช้อปปิ้งออนไลน์ตอนที่ไม่ค่อยจะได้สตินัก หรือช่วงกรึ่มๆจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ผลจะเป็นอย่างไร…

ปรากฎว่าเว็บไซต์เรื่องการเงินส่วนบุคคลอย่าง Finder ได้ไปสำรวจถึงพฤติกรรมช้อปปิ้งออนไลน์ขณะที่มึนเมา ปรากฎว่ามีผู้เผลอช้อปปิ้งตอนเมาแบบไม่ตั้งใจกันมากทีเดียว

โดยเว็บไซต์ Finder สำรวจ ชาวสหรัฐอเมริกากว่า 68 ล้านคน มีพฤติกรรมซื้อของออนไลน์ขณะที่อยู่ในภาวะมึนเมา

การซื้อของออนไลน์ประเภทที่เรียกว่า Drunk Shopping หรือช้อปปิ้งขณะมึนเมา ปรากฎมียอดขายรวมถึงกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์

โดยสินค้าที่คนเมาชอบซื้อนั้นอันดับ 1 คืออาหาร เฉลี่ย 61% อันดับ 2 คือรองเท้าและเสื้อผ้า 25% อื่นๆ ที่มีการกดซื้อออนไลน์ขณะตอนเมา คือการเผลอซื้อบัตรคอนเสิร์ตราคาแพง หรือซื้อบริการเพื่อสร้างความพึงพอใจทางเพศ เป็นต้น

โดยกลุ่มผู้มึนเมาที่เป็นนักช้อปออนไลน์ คือ เพศชายมากกว่าเพศหญิงเกือบ 2 เท่า และกลุ่มที่แต่งงานแล้วมีโอกาสควักเงินซื้อของออนไลน์ภายใต้ภาวะมึนเมา มากกว่าคนหย่าร้าง 2 เท่า ส่วนคนโสดจะเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สุดที่จะช้อบภายใต้อิทธิพลของสิ่งมึนเมาดังกล่าว คือมีถึง 56%

ขณะที่คนที่เกิดในช่วงปี 1965 ถึง 1980 หรืออายุระหว่าง 38-53 ปี เป็นกลุ่มที่ช้อปปิ้งออนไลน์ขณะที่มึนเมามากกว่ากลุ่มช่วงอายุใดๆ


Content Team Matichon Academy

[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111

‘บุพเพสันนิวาส’ เป็นละครอิงประวัติศาสตร์ที่กลายเป็นกระแสโด่งดังอยู่ในตอนนี้ ซึ่งละครกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น ตัวละครหลากหลายตัวเริ่มมีบทบาทมากขึ้น หรือบางตัวก็ถึงจุดสิ้นสุดของชีวิต อย่างล่าสุดเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ถูกลงอาญาเฆี่ยนเนื่องจากรับเงินห้าสิบชั่งจากไพร่ที่ไม่อยากถูกเกณฑ์ไปสร้างป้อมปราการประจำหัวเมืองต่างๆ ตามนโยบายของสมเด็จพระนารายณ์กับฟอลคอน ก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมาหลังจากนั้น

ซึ่งหากคนที่ติดตามละครย้อนยุค หรืออิงประวัติศาสตร์ เราจะได้เห็นฉากที่เกิดขึ้นหลังจากเจ้านาย หรือบ่าว ถูกเฆี่ยนตีหรือทำโทษ จนเป็นแผลฟกช้ำ หรือแผลสดเกิดขึ้น ก็มักจะมีการนำยาประคบมาใช้ อย่างที่จันทร์วาดลูกสาวของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ได้ทำให้กับพ่อของเขาก่อนจะเสียชีวิต เราลองมาทำความรู้จักกับสมุนไพรที่จันทร์วาดใช้ประคบให้กับพ่อของเขา

จากข้อมูลที่มีการเผยแพร่ตามเว็บไซด์ต่างๆ พบว่า ยาประคบส่วนใหญ่ที่ใช้จะมีส่วนผสมของ ไพล, ผิวมะกรูด, ตะไคร้บ้าน, ใบมะขาม, ขมิ้นชัน, เกลือ, การบูร, และใบส้มป่อย ส่วนสมุนไพรที่จันทร์วาดใช้รักษาเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) นั้น ได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวของทางโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ว่า ในภาชนะที่จัดวางยาจะมีอยู่ 3 ถ้วย ประกอบไปด้วย เหง้าไพล หรือไพล, เหง้าขมิ้นชัน และกำมะถันเหลือง

หากมาดูถึงสรรพคุณจะพบว่า เหง้าไพล จะช่วยในเรื่องของการขับโลหิตร้ายให้ตกเสีย แก้ฟกช้ำ เคล็ดบวม หรือช่วยสมานแผล เป็นต้น ส่วนเหง้าขมิ้นชัน ช่วยรักษาอาการแพ้ ผื่นคัน ผิวหนังเกิดอาการอักเสียบ หรือแมลงกัดต่อย สำหรับกำมะถันเหลือง จะมีสรรพคุณช่วยในการฆ่าเชื้อจากบาดแผลที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง

นอกจากนี้ ยังเปิดเผยข้อมูลสูตรยาอังคบพระเส้นในตำรับพระโอสถพระนารายณ์ โดยพระอังคบ พระเส้นตึงให้หย่อน เอาเทียนดำ เกลือ 1 ส่วน อบเชย 2 ส่วน ไพล 4 ส่วน ใบพลับพลึง 8 ส่วน ใบมะขาม 16 ส่วน จากนั้นจึงนำไปตำคุลิการห่อผ้านึ่งให้ร้อน ก่อนใช้อังคบพระเส้นอันพิรุธให้หย่อนแลฯ

 

ที่มา ข่าวสดออนไลน์

นายเจริญพร เจริญธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทมีแผนที่จะต่อเรือใหม่จำนวน 40 ลำ เพื่อนำมาวิ่งให้บริการทดแทนเรือเก่าที่กำลังจะทยอยปลดระวาง คาดว่าใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 1,120 ล้านบาท เนื่องจากเรือใหม่มีราคาเฉลี่ยคันละ 28 ล้านบาท แพงกว่าเรือปัจจุบันที่มีราคาเพียง 8 ล้านบาทเท่านั้น

โดยเรือชนิดใหม่นั้นทำมาจากวัสดุอลูมิเนียมน้ำหนักเบา กินน้ำมันน้อย โดยภายในตัวเรือจะมีการออกแบบตกแต่งเบาะที่นั่งที่ทันสมัย สะดวกสบาย และจะเป็นเรือที่มีการติดตั้งระบบปรับอากาศทุกลำ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสาร

“เราจะต่อเรือใหม่ 40 ลำ คาดว่าจะทยอยนำมาเปลี่ยนทดแทนเรือเก่าในระยะ 6-8 ปีต่อจากนี้ โดยตั้งเป้าว่าช่วงปี 2562 จะนำเรือใหม่จำนวน 6 ลำ เข้ามาเปิดให้บริการแฟสแรกได้ และจะทยอยปรับเปลี่ยนจนครบ 40 ลำภายใน 8 ปี ส่วนอัตราค่าโดยสารเรือชนิดใหม่นั้นจำเป็นต้องมีการปรับเพิ่มขึ้นแน่นอน เนื่องจากบริษัทมีต้นทุนค่าใช้จ่าย เพิ่มขึ้นทั้งตัวเรือ การติดตั้งระบบปรับอากาศในตัวเรือ”

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เรือด่วนเจ้าพระยาได้จัดส่งข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับต้นทุนค่าใช้จ่ายของเรือชนิดใหม่ พร้อมทำหนังสือขอหารือไปยังกรมเจ้าท่า ขอให้พิจารณาคำนวนอัตราค่าโดยสารของเรือปรับอากาศใหม่ที่เหมาะสมด้วย เพื่อให้นำมาเป็นเกณฑ์ในการจัดเก็บค่าโดยสารในอนาคต

นายเจริญพรกล่าวต่อว่าปีนี้ เรือด่วนเจ้าพระยา ได้ดำเนินการปรับปรุงเส้นทางขึ้น-ลง เพื่ออำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการให้บริการเรือโดยสาร รวมทั้งพัฒนาท่าเรือเพื่อรองรับระบบตั๋วร่วมในอนาคต ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม

โดยแบ่งการปรับปรุงออกเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 เดือน ก.พ.-มีค. 2561 จะจัดทำเส้นทางการขึ้น-ลงท่าเรือจำนวน 29 ท่าให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ระยะที่ 2 เดือน เม.ย.2561 จะทดลองนำพนักงานขายตั๋วในเรือธงเหลือง ขึ้นไปขายตั๋วบนท่าเรือตลอดวัน โดยในเรือจะไม่มีพนักงานขายตั๋วในเรือ และระยะที่ 3 ช่วงเดือน พ.ค.2561 หรือช่วงเปิดภาคเรียนซึ่งระบบการจัดการบนท่าจะแล้วเสร็จ บริษัทจะประกาศยกเลิกการขายตั๋วบนเรือสำหรับเรือธงเหลือง ธงเขียว ธงส้ม ยกเว้นเรือประจำทาง โดยจะขายตั๋วบนท่าเรืออย่างเดียวเท่านั้น

 

ที่มา ข่าวสดออนไลน์

“ไข่แดงไม่สุก” เชื่อว่าเป็นเมนูที่หลายคนชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกเวลาเห็นไข่แดงไหลเยิ้มออกมา หรือรสชาติฉ่ำๆ ที่แสนอร่อย จนกลายเป็นเมนูมื้อเช้าที่แสนวิเศษ

แต่รู้หรือไม่ว่าไข่นั้นเป็นอาหารที่มีความสี่ยงจะมีเชื้อแซลโมเนลลา ซึ่งวิธีการที่จะฆ่าเชื้อเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์ก็คือปรุงให้สุก อย่างไรก็ตาม วัยผู้ใหญ่มักมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงพอ แต่กับเด็กๆ ล่ะ? คุณคิดว่าเด็กๆ ควรกินไข่ไม่สุกหรือไม่?

กระทรวงเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ไข่ไม่สุกที่มีไข่แดงไหลออกมาได้นั้นไม่ปลอดภัยต่อการบริโภคของเด็กๆ โดยแนะนำว่าทั้งเด็กและผู้ใหญ่ควรจะกินไข่ที่สุกแล้วทุกส่วน คือสุกทั้งไข่แดงและไข่ขาว เพื่อป้องกันโอกาสการได้รับเชื้อโรคอย่างแซลโมเนลลา โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์, ผู้สูงอายุ และคนที่กำลังป่วย ซึ่งอาจเจ็บป่วยได้ง่ายกว่า

“แซลลี่ คูเซมแชค” นักโภชนาการในเว็บไซต์ Real Mom Nutrition กล่าวว่า อย่างที่รู้กันว่าไข่แดงไหลเยิ้มนั้นกำลังเป็นเมนูฮิตของใครหลายคน แต่หากให้เด็กกินก็อาจไม่ปลอดภัยได้ โดยจากข้อมูลของหน่วยงานป้องกันโรคติดต่อในสหรัฐอเมริกา ระบุว่า เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 5 ขวบ มีโอกาสติดเชื้อแซลโมเนลลามากกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ และเด็กทารกนั้นมีโอกาสติดเชื้อสูงมาก เนื่องจากเป็นวัยที่ระบบภูมิคุ้มกันยังอยู่ระหว่างการพัฒนา

ซึ่งถึงแม้จะดูเป็นข่าวร้ายที่คุณพ่อคุณม่ยังไม่สามารถให้ลูกที่อายุน้อยกว่า 5 ขวบ กินไข่แดงไม่สุกได้ แต่ก็ถือเป็นข่าวดีที่คุณจะสามารถรังสรรค์เมนูไข่ใหม่ๆ ให้กับเด็กๆ

เมนูไข่สุกที่คุณยังทำให้น้องๆ หนูๆ กินได้ก็มีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ไข่ดาว, ไข่ต้ม ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กวัยหัดเดินและหยิบอาหารกินด้วยมือ

โดยหลังจากอายุ 5 ขวบแล้ว ความเสี่ยงก็จะค่อยๆ ลดลง เพราะร่างกายของเด็กจะเริ่มพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงมากขึ้น จนคุณสามารถค่อยๆ ปรุงเมนูไข่แดงเยิ้มๆ ให้พวกเขากินได้!


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

หลัง ร.ฟ.ท. หรือ การรถไฟแห่งประเทศไทย ประเดิมเปิดเดินรถไฟเส้นทาง “กรุงเทพฯ-พัทยา-บ้านพลูตาหลวง-กรุงเทพฯ” ระยะทาง 184.03 กม. หวังปลุกการท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลตะวันออกคึกคัก

หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า “อานนท์ เหลืองบริบูรณ์” ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม และรักษาการผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. ระบุว่า เส้นทางนี้ปัจจุบันเปิดเดินรถทุกวันจันทร์-ศุกร์ แต่เพื่อรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค จึงเปิดเดินรถช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติสามารถนั่งขบวนรถดังกล่าวเพื่อไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ในแนวเส้นทางทั้งรูปแบบไป-กลับในวันเดียวหรือค้างคืนก็ได้

โดยรถไฟดังกล่าวเป็นการนำรถดีเซลรางสปรินเตอร์ปรับอากาศชั้น 2 มาบริการ วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 190 ที่นั่ง เปิดให้บริการเป็นประจำทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ ในระยะแรกจะทดลอง 6 เดือนถึงวันอาทิตย์ที่ 30 ก.ย. 2561 มีบริการวันละ 2 ขบวนไป-กลับ มีอัตราค่าโดยสารจากสถานีต้นทางหรือสถานีหัวลำโพงไปถึงสถานีปลายทางบ้านพลูตาหลวงสูงสุดอยู่ที่ 170 บาทต่อเที่ยว ถ้ารวมไป-กลับอยู่ที่ 340 บาท

นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับสมาคมผู้ประกอบการขนส่งจังหวัดชลบุรี ในการอำนวยความสะดวกจัดรถโดยสารบริการรับ-ส่งจากสถานีรถไฟเชื่อมต่อไปยังแหล่งท่องเที่ยว อาทิ สถานีพัทยา ศรีราชา ตลาดน้ำ 4 ภาค และบ้านพลูตาหลวง โดยผู้โดยสารเสียค่าโดยสารเองแบบเหมาจ่าย จะมีที่สวนนงนุชแห่งเดียวที่มีจัดรถรางมารับส่งฟรี

อีกทั้งยังผนึกกำลังกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), เทศบาลเมืองพัทยา และสมาคมแหล่งท่องเที่ยวชลบุรี จัดแพ็กเกจท่องเที่ยวใน 6 สถานีหลักของจังหวัดชลบุรีในราคาพิเศษ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 เม.ย. 2561 รวมถึงนำตั๋วโดยสารสามารถนำไปลดค่าใช้บริการสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ได้อีกด้วย

เริ่มจาก “สถานีชุมทางศรีราชา” รับจอง 10 คนขึ้นไป ราคาคนละ 430 บาท (รวมค่ารถรับส่งแล้ว) ไปท่องเที่ยวที่ศาลเจ้านาจา, เมทัลอาร์ท แกลเลอรี่ ศิลปะจากเศษเหล็ก, สวนเสือศรีราชา, เจพาร์คมอลล์

“สถานีพัทยา” ราคา 650 บาท (ไม่รวมอาหารและรถรับส่ง) ไปอุทยานหินล้านปี, ฟาร์มจระเข้พัทยา, ปราสาทสัจธรรม, พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาหมี เท็ดดี้แบร์ และแหลมบาลีฮาย

“สถานีตลาดน้ำสี่ภาค” ราคา 300 บาท (ไม่รวมค่ารถไฟและรถยนต์โดยสาร) มี 2 แพ็กเกจให้เลือก “แบบ A” จะรับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคารอาหารจีนเลกวิว และไปช็อปปิ้งที่ไมค์ ช้อปปิ้ง มอลล์ พัทยา ส่วน “แบบ B” จะพาไปรับประทานอาหารแบบบุฟเฟต์ที่ภัตตาคารพาพาย่าไพร์ม และพาไปชมศูนย์การเรียนรู้หัตถศิลป์ช่างสิบหมู่ สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ไม่คิดค่าบริการ

“สถานีวัดญาณสังวราราม” ราคา 790 บาท (รวมค่ารถรับส่ง) สำหรับ 3 คนขึ้นไป ภายใต้เงื่อนไขต้องจองล่วงหน้า มีโปรแกรมไปท่องเที่ยวหาดบางเสร่, บ้านกลับหัวและสวนน้ำรามายณะ

“สถานีสวนนงนุช” จะมี 2 แพ็กเกจให้เลือก “แบบ A” ราคา 450 บาท (รวมค่ารถรับส่ง) สำหรับท่องเที่ยวในสวนนงนุชอย่างเดียว แต่มีการสอนทำอาหารไทย แกงเขียวหวานและสลัดโรลเสริมให้ด้วย และ “แบบ B” ราคา 590 บาท (รวมค่ารถรับส่งแล้ว) สำหรับท่องเที่ยวในสวนนงนุช, เขาชีจรรย์, บ้านกลับหัว, ไทธานีฯ และหาดทรายแก้ว

สุดท้าย “สถานีบ้านพลูตาหลวง” ราคา 1,200 บาท มีรถรับส่งฟรี รับจำกัด 10 คน ไปยังสถานที่ท่องเที่ยววิหารหลวงพ่อดำ, วัดช่องแสมสาร, เพอคูล่าฟาร์ม ฟาร์มการ์ตูนสัตหีบ, เรือหลวงจักรีนฤเบศร์ และสวนอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล

สำหรับผู้ที่ต้องการค้างคืน สามารถนำตั๋วโดยสารไปลดราคาพิเศษ 15-25% กับโรงแรม 3 แห่งที่เข้าร่วม ได้แก่ ไมค์โฮเต็ล, ไมค์บีช รีสอร์ท และบารอนบีช โฮเต็ล จนถึงวันที่ 30 ก.ย. 2561

นสพ.ประชาชาติธุรกิจยังรายงานเพิ่มเติมอีกว่า หลังจากการรถไฟฯเปิดบริการวันแรกเมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2561 ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีเสียงตอบรับจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก จากการสำรวจ (ณ วันที่ 19 มี.ค. 2561) พบว่ามียอดจองตลอดเดือน มี.ค.นี้อย่างหนาแน่น โดยรอบวันเสาร์ที่ 24 มี.ค. เหลือ 6 ที่นั่ง รอบวันอาทิตย์ที่ 25 มี.ค. เหลือ 66 ที่นั่ง และรอบวันเสาร์ที่ 31 มี.ค. เหลือ 31 ที่นั่งเท่านั้น โดยมีสัดส่วนของนักท่องเที่ยวคนไทยมากกว่าชาวต่างชาติ


ที่มา นสพ.ประชาชาติธุรกิจ

ขอบคุณภาพจาก ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย

การแช่แข็งอาหารถือเป็นวิธีที่ดีสุดที่เราจะไม่ต้องออกไปซื้อบ่อยๆ และยังช่วยให้เราลดปริมาณของเสียจากอาหารได้อีกด้วย

แต่หลายคนคงจะเป็นเหมือนกันคืออาหารในช่องฟรีซออกมาละลาย แล้วก็ใช้เพียงนิดหน่อย จากนั้นก็นำกลับเข้าไปในช่องฟรีซอีกครั้ง ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่ใช่ว่าอาหารทุกอย่างจะทำแบบนั้นได้ เพราะการแช่แข็งจะไปทำลายผนังเซลล์ของอาหาร จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอาหารแช่แข็งจึงรสชาติไม่ดีเท่าอาหารสด ทำให้อาหารสดมักมีราคาแพงกว่า โดยเฉพาะอาหารในกลุ่มเนื้อและอาหารทะเล

เมื่อเราแช่แข็ง นำออกมาละลาย และนำกลับไปแช่แข็งอีกครั้ง การละลายครั้งที่ 2 จะทำลายเซลล์มากกว่าเดิม และยังดึงความชุ่มชื้นออกจากโปรดักต์นั้นๆ ด้วย

เหตุผลอื่นก็คือแบคทีเรีย อาหารแช่แข็งและละลายจะพัฒนาแบคทีเรียที่เป็นอันตรายได้มากกว่าอาหารสด โดยเมื่อเกล็ดน้ำแข็งที่เกาะอาหารเริ่มละลาย เรียกได้ว่าพวกแบคทีเรียก็เริ่มขยายพันธุ์ทันที

หนทางที่ดีที่สุดคือเมื่อนำของแช่แข็งออกมาละลาย คุณควรปรุงสิ่งนั้นให้หมด แต่หากจำเป็นต้องแช่แข็งอีกครั้งและนำมาปรุง ก็ควรจะปรุงอย่างรวดเร็วและไม่นำกลับไปแช่แข็งอีก!

คราวนี้ลองมาดูกันว่า 5 อาหารที่ไม่ควรนำไปแช่แข็งอีกครั้งมีอะไรบ้าง!

1.โปรตีนดิบ

โปรตีนดิบในที่นี่หมายถึงเนื้อวัว, หมู, สัตว์ปีก และอาหารทะเล โดยหากนำมาละลายในอุณหภูมิต่ำกว่า 5.5 องศาเซลเซียส ก็จะปลอดภัยที่จะนำกลับไปแช่แข็งอีกครั้ง แต่หากนำมาละลายที่อุณหภูมิอื่น หรือมีสีหรือกลิ่นเปลี่ยนแปลงไป ก็ไม่ควรที่จะนำไปแช่แข็งอีก

ต้องไม่ลืมว่าอาหารทะเลส่วนมากโดยเฉพาะกุ้ง ผ่านการแช่แข็งมารอบหนึ่งแล้วก่อนจะมาวางจำหน่ายที่ซูเปอร์มาเก็ต เมื่อกลับมาบ้านเราก็นำเข้าช่องฟรีซอีก ดังนั้นก็ไม่ควรจะเข้าช่องฟรีซที่บ้านอีกรอบ

2.ไอศกรีม

หากคุณนำไอศกรีมออกมาจากช่องฟรีซ แล้วนำมาวางไว้ที่อุณหภูมิห้อง แน่นอนว่าคุณจะสามารถตักกินได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าหากคุณไม่ได้นำกลับเข้าช่องฟรีซอย่างรวดเร็ว ไอศกรีมก็จะกลายสภาพเป็นของเหลว และการแช่แข็งอีกครั้งจะทำให้เนื้อไอศกรีมแปลกออกไป โดยมีลักษณะเป็นเกล็ดน้ำแข็ง

3.น้ำผลไม้เข้มข้น

กระบวนการหมักในโปรดักต์จากผลไม้นั้นเกิดขึ้นเร็วกกว่าที่คุณคิด ดังนั้นหากคุณอยากเอนจอยกับน้ำผลไม้อร่อยๆ อย่านำไปแช่ช่องฟรีซอีกครั้ง

4.อาหารปรุงแล้ว

หากคุณกินอาหารเหลือในหม้อ และไม่อยากทิ้งให้เสียของ การเก้บเอาไว้กินมื้อต่อไปก็เป็นทางเลือกที่ดี หลายคนจึงเลือกแช่ฟรีซไว้ เพื่อนำกลับมาอุ่นกินอีกครั้ง แต่หากยังกินเหลืออีก ก็ไม่ควรนำไปแช่แข็งไว้อุ่นอีกรอบ

5.โปรตีนที่ผ่านการปรุงแล้ว

การแช่แข็งเนื้อสัตว์ปรุงแล้ว เช่น ไก่ย่าง ก็ถือว่าเป็นไอเดียที่ไม่เลว แต่หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์แล้วคุณเอาออกมาอุ่นกินอีกครั้ง ก็ไม่ควรนำเอากลับเข้าตู้เย็นอีก


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111