จากหนังสือ ปลูกเองกินเอง เมนูอร่อยจากสวนครัวคนเมือง สนพ.มติชน

ไข่ป่ามเป็นอาหารเหนือ ซึ่งปัจจุบันเราจะเห็นไข่ป่ามได้บ่อยขึ้นเวลามีการออกร้านขายของในงานกาดมั่ว หรือกาดถนนคนเดิน ไข่ป่ามเป็นของว่างกินเล่นที่มีประโยชน์ กินเป็นอาหารเช้าแทนที่ไข่แบบฝรั่งก็ดี หรือกินเป็นกับข้าวก็ยังได้ ไข่นุ่มๆ หอมใบตองถูกใจทุกคน ทำก็ง่าย

ป่ามคือการรองด้วยใบตองบนภาชนะ เช่น ตั้งกระทะแล้วทำให้สุก ส่วนผสมหลักๆ ก็มีเพียงไข่และต้นหอมซอยเท่านั้น ส่วนผักอื่นๆ ใส่เสริมลงไปให้มีรสชาติและสีสันสวยงาม และยังเป็นอุบายให้เด็กกินผักด้วย

ส่วนผสม

-ไข่
-ต้นหอม เห็ด พริกแดง แครอต มะเขือเทศ
-เกลือ
-ใบตอง

วิธีทำ

-พับกระทง
-หั่นผักทุกชนิดอย่างละนิดละหน่อยเป็นลูกเต๋าเล็กๆ
-ตีไข่ ใส่ผักลงไป ปรุงรสด้วยเกลือ ตีให้เข้ากัน
-ตักไข่หยอดลงในกระทง อย่าหยอดหนาเดี๋ยวไม่สุก นำไปตั้งบนเตาย่างไฟอ่อนๆ หรือย่างบนกระทะจนไข่สุก

ทุกวันนี้อาหารประเภทเส้นไม่ว่าก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ก๋วยจั๊บ สปาร์เก็ตตี้ ฯลฯ มีอิทธิพลในชีวิตคนไทยสูง..งงงง มาก บางคนลืมตาตื่นขึ้นมาก็นึกอยากกินอะไรร้อนๆ แล้วจินตนาการเห็นก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่ส่งควันหอมฉุย ก่อนกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ แล้วรีบเผ่นออกไปหาร้านก๋วยเตี๋ยวกินให้หายอยาก อย่างนี้เป็นต้น และไม่เฉพาะผู้ใหญ่คนหนุ่มสาวเท่านั้น แม้แต่เด็กเล็กก็ยังร้องอยากกินเลย

พูดถึงเรื่องเส้นๆ แล้วเชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน คือ บะหมี่ แต่ชาวญี่ปุ่นก็เชี่ยวชาญด้านการทำอาหารเส้นและการนำเส้นไปปรุงเป็นอาหาร ความนิยมเส้นจากประเทศจีนจึงถ่ายทอดและแผ่กระจายไปสู่คนญี่ปุ่น จนกลายเป็นที่ชื่นชอบไปทั้งประเทศ ทุกวันนี้ “บะหมี่” เป็นอาหารที่นิยมบริโภคในญี่ปุ่นมากกว่าอย่างอื่น หากไม่รวมข้าว ร้านขายบะหมี่จำนวนมากกระจายอยู่ตามเมืองต่างๆ ในญี่ปุ่น โดยมีลูกค้าอุดหนุนเนืองแน่น ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าควรกินอาหารบะหมี่ทันทีก่อนที่น้ำซุปร้อนจัดจะทำให้เส้นเละ นั่นแปลว่าจะต้องสูดอากาศเย็นๆ เข้าไปพร้อมกับบะหมี่ทุกคำ ซึ่งทำให้เกิดเสียง “ซู้ด…” ที่คนไทยเห็นว่าไม่เป็นผู้ดีไม่มีมารยาท

แต่แท้จริงแล้วการส่งเสียง “ซู้ด..” ในการกินบะหมี่ร้อนจัดของคนญี่ปุ่นหรือคนจีน มันคือสัญลักษณ์แห่งความรื่นรมย์ และถือเป็นมารยาทที่ดีงามในญี่ปุ่น และในความเห็นของคนญี่ปุ่นแล้วการกินบะหมี่ช้าๆ สงบสงี่ยมต่างหากถือเป็นการดูหมิ่นพ่อครัวด้วยซ้ำ

บะหมี่ญี่ปุ่นมีคุณลักษณะและสรรพคุณด้านบำรุงสุขภาพที่โดดเด่น เพราะบะหมี่ญี่ปุ่นมีกลูเต็นน้อยกว่าพาสต้าที่ทำจากข้าวสาลีดูรัม เชื่อกันว่าย่อยง่ายกว่าและไม่เกิดอาการแพ้จากข้าวสาลี เกลือปริมาณเล็กน้อยที่ใส่ในบะหมี่ญี่ปุ่นยังช่วยเรื่องการย่อยอาหารด้วย หากพูดถึงเรื่อง “กินเส้น” ของคนญี่ปุ่นแล้ว มีให้ลองพิจารณาเป็นความรู้ ดังนี้

โซบะ

ส่วนผสมหลักคือบัควีต ธัญพืชเก่าแก่ บัควีตเป็นแหล่งที่ดีที่สุดที่มีสารจำเป็นต่อการทำงานของเซลล์และเอ็นไซม์ต่างๆ ด้วยเหตุนี้การเพิ่มโซบะในมื้ออาหาร โดยเฉพาะโซบะที่ทำจากบัควีต 100% จึงส่งผลดียิ่งต่อสุขภาพ หลังจากบริโภคโซบะมาหลายศตวรรษ ชาวญี่ปุ่นเริ่มให้ความสำคัญกับโซบะเมื่อได้รับการยืนยันจากนักวิจัยด้านการแพทย์ว่า เส้นใยอาหารปริมาณสูงในโซบะบัควีตช่วยให้ร่างการกำจัดคอเลสเตอรอลได้ ยิ่งไปกว่านั้นการกินโซบะที่โปรตีนสูงยังมีความสัมพันธ์กับการลดไขมันในร่างกายอีกด้วย

แม้ว่าการรับประทานโซบะที่ทำจากบัควีต เป็นหนทางดีที่สุดในการรับประโยชน์จากสารอาหารในบัควีต แต่ก็ยังมีโซบะอีกหลายชนิด เช่น โซบะชาเขียว และโซบะอื่นๆ ที่มีการใส่ผงสมุนไพรเพิ่มลงไปในสูตรโซบะพื้นฐาน เช่น โซบะชาเขียวจะเติมผงชาเขียวลงไปในเส้นโซบะ ชาเขียวเป็นอาหารเชิงยาที่สำคัญที่สุดชนิดหนึ่งในธรรมชาติ ทำให้โซบะมีสีสันสวยงามและมีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย ชาวญี่ปุ่นนิยมกินโซบะจิเน็นโจ หรือโซบะมันภูเขาอย่างมาก เพราะอุดมไปด้วยเอ็นไซม์ช่วยย่อย และยังทำให้เส้นมีความเนียน ลื่น ง่ายต่อการย่อย จึงไม่แปลกใจที่จิเน็นโจจะเป็นที่นิยม เพราะถือเป็นยาพื้นบ้านที่สำคัญของญี่ปุ่นในการรักษาผู้ที่มีระบบย่อยไม่ดี โซบะเหล่านี้มีบางชนิดหาซื้อได้ตามร้านอาหารตามธรรมชาติ หรือสั่งซื้อทางเว็บไซต์

อุด้ง-โซเม็ง

บะหมี่ญี่ปุ่นที่ทำจากแป้งสาลี เช่น อุด้งและโซเม็ง เป็นบะหมี่ไขมันต่ำ แต่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ให้พลังงานยาวนานในปริมาณสูง แม้ว่าอุด้งและโซเม็งจะมีโปรตีนและเกลือแร่ต่างๆ ไม่มากเท่าโซบะ แต่ก็เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงที่ดีเยี่ยม อุด้งจากข้าวกล้องยังมีกรดอะมิโนเสริมที่ได้จากข้าวและข้าวสาลี ในญี่ปุ่นอุด้งมีชื่อเสียงในเรื่องการย่อยง่าย การทดลองในห้องทดลองของญี่ปุ่นโดยใช้เอ็นไชม์ช่วยย่อย และมีการควบคุมอุณหภูมิ แสดงให้เห็นว่าอุด้งย่อยเร็วกว่าบะหมี่ชนิดอื่นมาก และย่อยได้เร็วกว่าเนื้อวัวถึง 3 เท่า

วิธีการนวดแป้งของอุด้ง ช่วยให้ข้าวสาลีมีคุณภาพดีขึ้นและเข้มข้นมากขึ้น โปรตีนจะไปผสมรวมกับโมเลกุลของแป้ง ทำให้เอ็นไซม์ช่วยย่อยในร่างกายสามารถย่อยได้ง่ายขึ้น เนื่องจากอุด้งย่อยได้เร็ว จึงทำให้มีเลือดปริมาณมากไปหล่อเลี้ยงกระเพาะ ร่างกายจึงมีความร้อนสูง อุด้งสร้างความร้อนในร่างกายที่คงที่ อยู่ได้นานกว่าความร้อนที่เกิดจากราเม็ง โซบะ หรือพาสต้า ดังนั้น อุด้งจึงเป็นอาหารยอดนิยมในฤดูหนาวของคนญี่ปุ่นยุคก่อนที่ยังไม่มีระบบทำความร้อนในบ้าน และเป็นที่นิยมในภาคเหนือด้วย เป็นอาหารโปรดของผู้ที่เป็นไข้ เนื่องจากให้พลังงานที่ยาวนานได้อย่างรวดเร็วและอบอุ่น

บะหมี่ญี่ปุ่นที่ใส่วัตถุกันเสียและใช้แป้งขัดขาวนั้น หาซื้อได้ทั่วไปในซูเปอร์มาร์เก็ต บะหมี่พวกนี้โดยทั่วไปมักจะใส่เกลือที่ผ่านการฟอกขาว และสารอาหารถูกขัดออกไปหมด เมื่อเลือกซื้อบะหมี่ญี่ปุ่นควรตรวจดูส่วนผสมบนบรรจุภัณฑ์อย่างระมัดระวัง เลือกแต่บะหมี่ที่ทำจากแป้งข้าวสาลีที่ปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ และเกลือทะเล เมื่อซื้อราเม็งดูให้แน่ใจว่าไม่มีการใส่น้้ำมันหรือวัตถุกันเสีย

ชนิดของบะหมี่ แม้ว่าจะมีการแยกย่อยได้อีกหลายชนิด แต่บะหมี่ญี่ปุ่นมีเพียง 2 ประเภทหลักเท่านั้น คือ บะหมี่ที่ทำจากบัควีต (โซบะ) และ บะหมี่ที่ทำจากข้าวสาลี (อุด้งและโซเม็ง) เนื่องจากบัควีตปลูกได้เฉพาะในที่อากาศเย็นจัดและแห้งแล้ง โซบะ ที่ทำจากบัควีต 100% นั้น หนักท้องและอร่อย มีให้เลือกทั้งแบบใส่เกลือและไม่ใส่เกลือ อย่างไรก็ตาม โซบะส่วนใหญ่จะทำจากแป้งบัควีต 40-80% ส่วนที่เหลือจะเป็นแป้งข้าวสาลีขาวชนิดไม่ฟอก โซบะอิโตะ ซึ่งใช้แป้งบัควีต 40% เป็นบะหมี่เส้นบางละเอียดที่สุกเร็วและซึมซับรสชาติของน้ำซุป ซอส และเครื่องปรุงรสได้ดี

สำหรับ “อุด้ง” เป็นบะหมี่เส้นหนา สีนวล เคี้ยวสนุก ทำจากแป้งสาลี นิยมในเกียวโตและทางใต้ของญี่ปุ่น อุด้งชนิดต่างๆ ที่หาได้ตามร้านขายอาหารแนวธรรมชาติ จะทำจากแป้งข้าวสาลีขัดสีน้อย หรือแป้งข้าวสาลีขัดสีน้อยผสมกับแป้งข้าวสาลีสีขาวชนิดไม่ฟอก อุด้งจากแป้งข้าวสาลีขัดสีน้อย จะมีความเหนียว บะหมี่ที่ต้องการให้ซึมซับรสชาติของน้ำซุป ซอส และเครื่องปรุงได้ดี ควรใช้อุด้งที่ลื่นกว่า นุ่มกว่า คือทำจากแป้งข้าวสาลีขาวชนิดไม่ฟอก

อุด้งข้าวกล้อง มีส่วนผสมของแป้งข้าวกล้องและแป้งข้าวสาลีนั้น ไม่ใช่อาหารญี่ปุ่นดั้งเดิม แต่พัฒนาขึ้นมาเพื่อตลาดสินค้าอาหารแนวธรรมชาติโดยเฉพาะ ถึงแม้บะหมี่จะเป็นที่นิยมอย่างมากและสามารถปรุงอาหารได้หลายรูปแบบ แต่ที่สำคัญต้องเลือกบะหมี่ให้เหมาะสมกับอาหารที่ต้องการทำ เช่น โซบะและอุด้งสีขาวทั่วไป เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนำไปผัด โซบะชนิดเส้นบางละเอียด เช่น โซบะอิโตะและชาเขียว ไม่เหมาะสำหรับการผัด โซบะทำจากบัควีต100% ก็ไม่เหมาะเช่นกัน โซเม็งซึ่งเป็นบะหมี่แป้งสาลี แต่เส้นก็เล็กบอบบางเกินกว่าจะนำไปผัด

บะหมี่น้ำ ในญี่ปุ่นนิยมกินบะหมี่โดยใส่น้ำซุปปรุงรสด้วยโชยุ ไม่ว่าจะเป็นบะหมี่ญี่ปุ่นชนิดใดก็สามารถนำมาปรุงด้วยวิธีนี้ได้ หากใช้โซบะ น้ำซุปควรจะมีรสชาติเข้มข้นมากขึ้นเล็กน้อย โดยเติมโชยุและมิรินให้มากกว่า เมื่อนำไปใช้กับอุด้งและโซเม็ง นอกจากนั้น น้ำซุปสำหรับโซบะยังนิยมปรุงรสด้วยวาซาบิ ขณะที่นิยมปรุงรสอุด้งด้วยเครื่องเทศญี่ปุ่น 7 ชนิด

ส่วน บะหมี่ผัด มักจะใช้บะหมี่ญี่ปุ่นผัดกับผักและเต้าหู้ เป็นอาหารอร่อยมีคุณค่าครบถ้วน สามารถปรุงได้ในเวลาสั้นๆ อุด้งหรือโซบะธรรมดาและโซบะจิเน็นโจ เป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุดสำหรับการทำบะหมี่ผัด โดยต้มบะหมี่จนกระทั่งเกือบนุ่ม ล้างน้ำเย็น ทิ้งให้สะเด็ดน้ำ หรือแห้งแล้วนำไปผัด ใส่ผักและเครื่องปรุงอื่นในช่วง 1 หรือ 2 นาทีสุดท้ายของการผัดบะหมี่ สำหรับ บะหมี่ราดซอส สามารถทำได้ง่ายเช่นกัน แม้ว่าบะหมี่ญี่ปุ่นทุกชนิดสามารถกินคู่กับซอสได้ แต่อุด้งจะเข้ากับซอสได้หลากหลายกว่าโซบะ เนื่องจากรสชาติไม่ชัดเจนเท่าโซบะ

มาถึง สลัดบะหมี่ โซบะเป็นบะหมี่ที่เหมาะกับการทำสลัดอย่างมาก โดยเฉพาะถ้าใช้น้ำสลัดที่รสจัดจ้าน หรือน้ำสลัดแบบเอเชีย ตัวอย่างคือ สลัดผักใส่โซบะ และสลัดโซบะราดซอสเนยถั่วรสจัด ขณะที่โซเม็งเหมาะจะเลือกใช้ในสลัดเบาๆ ที่ใช้น้ำสลัดรสผลไม้ เช่น น้ำสลัดงา น้ำสลัดส้ม เป็นต้น ส่วน บะหมี่จุ่มซอส นิยมใช้บะหมี่ชาเขียวและโซบะอิโตะเส้นละเอียด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับจุ่มในซอสเย็นๆ โซเม็งก็เหมาะกับเป็นอาหารยอดนิยมในฤดูร้อนเช่นกัน

มีความรู้เรื่องเส้นอย่างนี้แล้ว เข้าครัวเมื่อไหร่ลงมือได้ไม่ยาก นอกจากอิ่มท้องแล้ว ยังสนุกกับการเลือก การปรุงจำพวกเส้นเป็นอาหารแบบทำเอง กินเอง อร้อย…อร่อยเองอีกด้วย


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

เปิดตำนาน 46 ปี “ยัสปาล” ประกาศชื่อแบรนด์ไทยบนรันเวย์โลก จับมือ “คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์” สร้างสรรค์คอลเลกชั่นพิเศษ

ด้วยความเชื่อ “แฟชั่นมีชีวิต ไม่มีวันหยุดนิ่ง ไม่มีที่สิ้นสุด และไร้รูปแบบ” เป็นแรงขับเคลื่อนแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ มาประดับวงการแฟชั่นโลก เมื่อโลกหมุนเร็วขึ้น การแข่งขันก็รุนแรงและรวดเร็วขึ้นเป็นทวีคูณ หลายแบรนด์ถอดใจไปกลางทาง แต่หนึ่งแบรนด์สัญชาติไทย อย่าง “Jaspal“ (ยัสปาล) ยังคงฝ่าฟันจนสามารถยืนหยัดเคียงคู่ความสำเร็จยาวนานถึง 46 ปี ด้วยเพราะไม่เคยหยุดรีเฟรชตัวเองให้ทันเทรนด์โลกเสมอ จนปัจจุบันเป็นที่ยอมรับในวงการแฟชั่นโลกอย่างน่าภูมิใจ

แต่หากย้อนเวลาไปสู่จุดเริ่มต้นของ บริษัท ยัสปาล จำกัด อายุยาวนานถึง 4 ชั่วอายุคน เริ่มก่อตั้งในปี พ.ศ. 2490 โดย ยัสปาล ซิงค์ ชาวอินเดียเดินทางเข้ามาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำมาหากินด้วยความมุ่งมั่นอดทนจนสามารถตั้งรกรากและสร้างครอบครัวเป็นปึกแผ่นและเจริญรุ่งเรืองบนแผ่นดินไทย และด้วยความช่างสังเกตและหัวการค้าทำให้ติดต่อค้าขายผ้าขนหนูจากอเมริกามาในประเทศไทย นำเข้าแบรนด์ที่ชาวอเมริกันนิยมเข้ามาจำหน่าย ต่อมาขยายไปเป็นสินค้าเครื่องนอน จนมีโรงงานผลิตสินค้าเป็นของตัวเอง ภายใต้แบรนด์ Santas (แซนตาส) และขยายมาสู่แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่น Jaspal (ยัสปาล), CPS Chaps (ซีพีเอส แชปส์), CC-OO (ซีซี ดับเบิลโอ), Lyn (ลิน), Lyn Around (ลิน อะราวด์), Footwork (ฟุตเวิร์ค), Footwork Noir (ฟุตเวิร์ค นัวร์) และ Misty Mynx (มิสตี้ มิ้งซ์)

ยัสปาล ซิงค์

ส่วนแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นเรดี้ทูแวร์ “ยัสปาล” นั้นเริ่มจากการนำเข้าเครื่องแต่งกายแฟชั่นและเครื่องประดับในปี พ.ศ. 2515 ก่อนจะผันตัวมาผลิตและจัดจำหน่ายด้วยตัวเองเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ.2523 โดยได้มีการติดตั้งเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ใช้ในการเย็บเป็นครั้งแรก โดย วิสิทธิ์ สิงห์สัจจเทศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยัสปาล จำกัด ทายาทรุ่นที่ 2 ลูกชายคนที่ 2 ในพี่น้อง 4 คนของคุณยัสปาลผู้ก่อตั้ง คือ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของแบรนด์เสื้อผ้ายัสปาล ด้วยการบริหารธุรกิจอย่างยอดเยี่ยมทำให้ยัสปาลเป็นผู้นำแฟชั่นค้าปลีกในประเทศไทยและขยับขยายอย่างต่อเนื่องไปในเขตภูมิภาค

โดย วิเศษ สิงห์สัจจเทศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยัสปาล จำกัด ในฐานะทายาทรุ่นที่ 3 อธิบายถึงกลยุทธ์หลักของแบรนด์ว่า “ตลอดเวลา 45 ปีที่ผ่านมา ยัสปาลไม่เคยหยุดพัฒนา ตั้งแต่การบริหารรุ่น 2 คือ คุณพ่อวิสิทธิ์ โดยจะต้องลุกขึ้นมารีเฟรชตัวเองตลอดเวลาและเปิดใจพร้อมรับไลฟ์สไตล์ใหม่ของโลกเสมอ แม้จะเป็นแบรนด์สัญชาติไทย แต่กล้าหาญและมุ่งมั่นปักธงบริหารด้วยกลยุทธ์หลักที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น คือ การทำงานบนมาตรฐานโกลเบิล

วิเศษ สิงห์สัจจเทศ

โดยยัสปาลเป็นแบรนด์ไทยแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในประเทศไทยที่ได้นำดารานักแสดง และนายแบบ นางแบบชั้นนำระดับโลกมาใช้ในแคมเปญโฆษณาของแต่ละซีซั่น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะติดต่อเซเลบริตี้ระดับโลกมาร่วมงาน ถ้าแบรนด์ไม่ได้รับความไว้วางใจเพียงพอ อาทิ Cindy Crawford (ซินดี้ ครอว์ฟอร์ด), Kate Moss (เคท มอส), Linda Evangelista (ลินดา อีแวนเจอลิสทา), Claudia Schiffer (คลอเดีย ชิฟเฟ่อร์), Gisele Bundchen (จิเซล บุนเชน), Milla Jovovich (มิลลา โจโววิช), Mischa Barton (มิสชา บาร์ตัน), Selma Blair (เซลม่า แบลร์), Jessica Stam (เจสสิก้า สแตม), Alexa Chung (อเล็กซ่า ชุง) และ Hugo Chakrabongse Levy (ฮิวโก้ จักรพงษ์ เลวี)

ในอนาคต ยัสปาลเตรียมวางแผนที่จะนำโกลเบิลเซเลบริตี้มาร่วมงานอย่างต่อเนื่อง โดยมีรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่รับประกันได้ว่าจะแปลกใหม่ถูกใจลูกค้าอย่างแน่นอน ส่วนการขยายตัวยัสปาลในอนาคต ก็พยายามจะผลักดันให้เป็นโกลเบิลแบรนด์ให้ได้ โดยการขยายสาขาในประเทศที่เหมาะสมไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ หรือฮ่องกง

วิเศษ ได้ทำโปรเจกต์คอลลาบอเรชั่นอย่างต่อเนื่อง โดยโปรเจกต์ที่โดดเด่นและได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟชั่นนิสต้า อาทิ โปรเจกต์เฉลิมฉลองครบรอบ 4 ทศวรรษ ด้วยคอลเลกชั่นพิเศษ ส่วนหนึ่งของคอลเลกชั่นฤดูหนาว พ.ศ. 2555-2556 จากแบรนด์ “Nuj Novakhett” (ณุช เนาวเขตต์) แบรนด์แฟชั่นสากลฝีมือไทยดีไซเนอร์ ที่ได้รับความนิยมในหมู่ดาราฮอลลีวูด ต่อด้วยโปรเจกต์ “F.O.R. Jaspal Limited Edition Collaboration T-shirt” สำหรับคอลเลกชั่นฤดูใบไม้ผลิ พ.ศ. 2556 ร่วมออกแบบเสื้อยืดกับศิลปินร่วมสมัยชื่อดังของไทยกลุ่ม “For” (ฟอร์) มาสร้างสรรค์งานศิลปะมาพิมพ์ลงบนเสื้อยืดสุดเก๋ถึง 11 คน ได้แก่ พฤกษ์พล มุกดาสนิท, นริศรา เพียรวิมังสา, เมธี น้อยจินดา, ธีระวุฒิ พลารชุน, Logan Bay (โลแกน เบย์), ตวงพร รุ่งเรือง, P7 (พีเซเว่น), รักกิจ ควรหาเวช, ตะวัน วัตุยา, ธีรยุทธ พืชเพ็ญ และ ยุรี เกนสาคู เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีโปรเจกต์สุดพิเศษ “Jaspal x Starwars Collaborative Project” ความร่วมมือระหว่างยัสปาลและ Disney Pictures (ดิสนีย์ พิคเจอร์) แบบคอลเลกชั่นพิเศษสำหรับภาพยนตร์ Star Wars (สตาร์วอร์ส) เมื่อปีพ.ศ. 2558

และเนื่องในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 46 “ยัสปาล” จึงเตรียมทำโปรเจกต์พิเศษแห่งปี ด้วยการเป็นแบรนด์แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้ร่วมมือคอลลาบอเรชั่นกับดีไซเนอร์ระดับโลกอย่าง “Karl Lagerfeld” (คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์) สร้างสรรค์คอลเลกชั่นสุดพิเศษ “Karl Lagerfeld for Jaspal” (คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ ฟอร์ ยัสปาล) ตอกย้ำมาตรฐานแบรนด์สัญชาติไทยที่ได้รับการยอมรับสู่ระดับสากล พร้อมเปิดฉากการแข่งขันสินค้าแฟชั่นกับโลกได้อย่างสมศักดิ์ศรี สร้างความภูมิใจให้กับแฟชั่นนิสต้าชาวไทย และพร้อมนำเสนอไอเท็มเด็ดสุดคลาสสิกแต่ผสานความชิคได้อย่างลงตัว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การมิกซ์แอนด์แมตช์ที่พร้อมสนุกในทุกอารมณ์

ไข้หวัดใหญ่ (influenza) โรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่พบบ่อยและเป็นปัญหาสำคัญทั่วโลก แม้จะมีชื่อว่า “ไข้หวัด” แต่ด้วยความที่มันมีคำว่า “ใหญ่” ต่อท้าย พิษภัยของมันจึงร้ายกาจกว่าไข้หวัดธรรมดามาก

ไข้หวัดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งไวรัสที่เป็นสาเหตุของไข้หวัดใหญ่มี 4 ตัว แบ่งเป็น 2 สายพันธุ์ คือ ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ (Flu A) เช่น ไวรัสเอชวันเอ็นวัน (H1N1) ไวรัสเอชทรีเอ็นทู (H3N2) และไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บี (Flu B) ซึ่งไวรัสสายพันธุ์เอเป็นตัวที่เคยก่อการระบาดใหญ่ทั่วโลกมาแล้ว

ไวรัสเหล่านี้สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน แต่ประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันไม่สูงนัก พบว่าการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สร้างแอนติบอดีที่มีฤทธิ์ยับยั้งการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอไม่ดีนัก มีประชากรบางส่วนที่ไม่สร้างแอนติบอดี หรือสร้างแอนติบอดีได้ในระดับต่ำ

ด้วยความพยายามหาแนวทางเสริมภูมิคุ้มกันโรคไข้หวัดใหญ่ ทีมนักวิจัยจากสถาบันโภชนาการ คณะเวชศาสตร์เขตร้อนและศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก หน่วยงานสังกัดมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิผลของนมเปรี้ยวที่มีโพรไบโอติก คือจุลินทรีย์แลกโตบาซิลลัส พาราคาเซอิ 431 (Lactobacillus Paracasei 431) พบว่า นมเปรี้ยวที่มีโพรไบโอติกสามารถกระตุ้นอัตราการสร้างภูมิคุ้มกันใหม่

ผศ.ดร.ทพญ.ดุลยพร ตราชูธรรม อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ ซึ่งเป็นหัวหน้าโครงการวิจัย กล่าวว่า งานวิจัยครั้งนี้เป็นการทดลองทางคลินิก (clinical trial) วิจัยในอาสาสมัครสุขภาพดีอายุ 18-45 ปี เข้าร่วมโครงการจำนวน 60 คน

ผลการวิจัยพบว่าในอาสาสมัครที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (ค่า HI titer น้อยกว่า 40) หากได้รับวัคซีนร่วมกับดื่มนมเปรี้ยวที่มีโพรไบโอติก จะมีอัตราการสร้างภูมิคุ้มกันใหม่ (seroconversion rate) ต่อเชื้อ H1N1 และ H3N2 สูงกว่ากลุ่มที่ดื่มนมที่ไม่มีโพรไบโอติก

สำหรับเชื้อ H3N2 ซึ่งวัคซีนป้องกันไม่ค่อยได้ผลนั้น การวิจัยนี้ยังพบว่าในคนที่มีภูมิอยู่แล้ว การดื่มนมเปรี้ยวที่มีโพรไบโอติกช่วยให้อัตราการตอบสนองต่อวัคซีนต้านไวรัส H3N2 เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 เท่า

ส่วนไวรัส Flu B นั้น เนื่องจากอาสาสมัครกลุ่มนี้มีการตอบสนองต่อวัคซีนต้านไวรัส Flu B สูงอยู่แล้ว จึงไม่เห็นความแตกต่างระหว่างการได้รับหรือไม่ได้รับโพรไบโอติกต่อภูมิคุ้มกันต้านไวรัสชนิด B

แม้การวิจัยครั้งนี้พบว่าโพรไบโอติกมีส่วนช่วยเสริมฤทธิ์ของวัคซีน แต่การวิจัยเรื่องโพรไบโอติกกับภูมิคุ้มกันไข้หวัดใหญ่ในหลายประเทศได้ผลแตกต่างกัน บ้างก็พบผลดี บ้างก็ไม่พบผลแตกต่าง ส่วนการวิจัยในประเทศไทยทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ว่า โพรไบโอติกจะช่วยเสริมฤทธิ์ของวัคซีนในการเพิ่มภูมิคุ้มกันก็ต่อเมื่อคนนั้นมีภูมิคุ้มกันต่ำ แต่หากมีภูมิคุ้มกันสูงอยู่แล้วก็จะไม่เห็นผล

นอกจากนี้ มีรายงานการวิจัยในต่างประเทศซึ่งตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติพบว่า โพรไบโอติกจุลินทรีย์ชนิดอื่น เช่น Lactobacillus acidophilus NCFM และ Bifidobacterium animalis subsp lactis Bi-07 ก็ให้ผลช่วยลดอาการไข้ คัดจมูก และลดจำนวนวันที่ป่วยด้วยไข้หวัดในเด็กและผู้ใหญ่สุขภาพดีได้เช่นกันคุณหมอบอกว่าโดยสรุป ผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่หรือไม่เคยรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ การดื่มนมเปรี้ยวที่มีโพรไบโอติกร่วมกับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่น่าจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้


ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

Crafts Bangkok 2018 เปิดฉากขึ้นที่ศูนย์ฯ ไบเทค บางนา จัดโดยศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ SACICT เป็นเวทีพบปะ แลกเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ของคนรักงานคราฟต์ ดังนั้น จึงมีนักออกแบบไม่ว่ารุ่นเล็กรุ่นใหญ่มากหน้าหลายตา มารวมตัวกันเพื่อโชว์ความคิดผ่านผลงาน ทั้งงานผ้า งานเซรามิก งานไม้ไผ่ งานกระดาษ งานเครื่องปั้นดินเผา ไปจนถึงเครื่องเงิน เครื่องทอง

สิ่งสะดุดตาและค่อนข้างไม่ซ้ำใครในงานนี้ เป็นงานหัตถกรรมกระดาษที่เรียกว่า “เปเปอร์ โทล์” (Paper Tole) หรือศิลปะการตัดกระดาษเป็นภาพ 3 มิติ บางคนเรียกให้หรูหน่อยก็ว่า “ไตรมิติศิลป์”

“paper tole หรือการตัดกระดาษเป็นรูปสามมิติ (3D) เป็นการนำรูปภาพบนกระดาษเหมือนกันหลายๆ แผ่น มาตัดแยกส่วนรายละเอียดที่แตกต่างกันไป แล้วนำมาวางซ้อนเรียงกันใหม่ ให้เกิดเป็นภาพที่มีมิติ ความลึกและสลับซับซ้อน สร้างความสวยงามแปลกใหม่ คล้ายกับเป็นภาพที่มีชีวิต เป็นศิลปะที่สวยงามและน่าชื่นชม งานกระดาษชนิดนี้จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ขึ้นอยู่กับรูปภาพที่เรานำมาตัด แต่ส่วนใหญ่เมื่อมาทำแล้ว คนมักจะทำด้วยความสุขและมีความสุข โดยเฉพาะผู้ที่รักงานหัตถกรรมกระดาษ ก็ยิ่งมีความสุขมากๆ…”

เป็นคำอธิบายง่ายๆ จาก “เสาวลักษณ์ ก่อศักดิ์วัฒนา” มัณฑนากรสาวเจ้าของแบรนด์ Zimple นักออกแบบจาก Jan 2000 ที่มาออกบูทโชว์งานฝีมือของตัวเองในงานนี้ด้วย

เสาวลักษณ์เล่าว่า เธอชื่นชอบและหลงใหลงานตัดกระดาษชนิดนี้ตั้งแต่ตอนแรกที่ไปเที่ยวประเทศออสเตรเลีย ไปเจอเพื่อนของพี่ทำงานชนิดนี้อยู่ที่เมืองเพิร์ธ เห็นแล้วจึงอยากทำบ้างจึงขอไปเรียนด้วย ไปนั่งเรียนใช้เวลาอยู่ประมาณเดือนหนึ่งก็สามารถทำได้แล้ว จากนั้นมาฝึกเองที่บ้าน

“สำหรับคนที่มีความรักความชอบงานแบบนี้มันไม่ยาก พอไปนั่งทำมันเพลินมาก เป็นการฝึกสมาธิด้วยเลยชอบ จากนั้นพอกลับมาเมืองไทยก็ทำมาเรื่อยๆ สะสมผลงานไว้ และนำออกมาแสดงครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง ส่วนครั้งแรกเคยไปแสดงที่เชียงใหม่ งานเชียงใหม่ดีไซน์ วีค ของทีซีดีซี จัดที่วัดดวงดี”

เสาวลักษณ์อธิบายว่า กระดาษที่นำมาใช้ในงาน paper tole เป็นการนำกระดาษรูปภาพที่ชอบหรือที่ต้องการมาถ่ายสำเนา จำนวนขึ้นอยู่กับมิติที่เราอยากให้เกิดขึ้น แต่ส่วนมากแล้วอาจจะสักสองภาพหรือมากกว่านั้น จากนั้นก็ตัดส่วนต่างๆ ของภาพออกจากส่วนที่ใหญ่ที่สุดที่ด้านล่าง และด้านที่เล็กที่สุดที่ด้านบน เพื่อสร้างภาพชั้นหรือภาพ 3 มิติ การตัดโดยทั่วไปจะทำด้วยมีดหรือคัตเตอร์ ที่มีความคมและเที่ยงตรง เป็นงานที่ต้องใช้ความอดทน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดหากจะให้ได้ภาพสวยงามต้องขึ้นอยู่กับความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับมุมมองเป็นทักษะที่สำคัญ ส่วนอุปกรณ์ในการทำจะราคาสูงหน่อยชุดหนึ่งราว 1,500 บาท

“มันก็มีระดับของความง่าย ความยาก พอทำเลเวลนี้เสร็จ ก็จะอัพขึ้นไปเรื่อยๆ ยากขึ้นๆ ตอนที่ไปเรียนที่ออสเตรเลียก่อนกลับเขาให้เราทำภาพนกซึ่งยากมากก..กกก งานที่นำมาแสดงนี้เอามาจากหนังสือบ้าง อย่างหนังสือวอเตอร์ คัลเลอร์ ก็ซื้อมาแล้วซีร็อกซ์สี เอามาตัด เห็นหนังสือไหนสวยๆ ก็ซื้อเก็บไว้ แต่ก็ต้องระวังเพราะบางภาพเขามีลิขสิทธิ์ การตัดกระดาษเราก็ต้องดูความหนาของกระดาษด้วย เช่น แผ่นล่างสุดควรจะหนา 250 แกรม ถ้าบางไปเวลาติดกับกระดาษแข็งที่เนื้อไม่เนียน มันจะเห็นเท็กซ์เจอร์ไม่สวยเลยต้องใช้กระดาษหนาหน่อย ส่วนกระดาษที่ตัดใช้หนา 120 แกรมก็พอแล้ว เวลาตัดจะได้ไม่มีปัญหา

“ความสวยงามของงานเปเปอร์โทลจะอยู่ที่การซ้อนมิติให้กับภาพ สร้างมิติให้กับมัน เสมือนจริง มีความลึก ซึ่งแตกต่างจากพ็อพอัพ ที่กางปุ๊บก็โผล่ขึ้นมา พับได้เก็บได้ แต่เปเปอร์โทลดีเทลของมิติเยอะกว่า และการทำงานละเอียดกว่า งานแต่ละชิ้นก็แตกต่างกันไป อย่างงานง่ายๆ พวกดอกไม้ ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงก็เสร็จแล้ว หรือภาพแมลงไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จ

ที่เมืองไทย งานหัตถกรรมกระดาษแบบนี้มีคนทำยังไม่มาก ส่วนใหญ่จะทำเป็นงานอดิเรก ที่ทำเป็นอาชีพเห็นมีเจ้าเดียวที่เน้นไปที่การตัดภาพลายไทย

หากจะทำเป็นอาชีพ เสาวลักษณ์แนะนำว่า “จะทำเป็นอาชีพก็ทำได้นะคะ แต่อยู่ที่ตัวคนทำว่าชอบมากแค่ไหน อย่างเรานี่ทำด้วยความชอบ ทำเป็นงานอดิเรกเพราะทำแล้วมีความสุข พอมีงานอะไรเช่นงานวันเกิดเพื่อน ขึ้นบ้านใหม่ ก็ให้เป็นของขวัญ เขาจะชอบมากๆ แต่ถ้าต้องมาทำเป็นอาชีพ ทำแล้วเคร่งเครียดต้องหาเงินอันนี้ก็เป็นอีกเรื่อง”

งานเปเปอร์โทลส่วนมากแล้วที่คนนิยมจะเป็นภาพดอกไม้ หรือภาพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพิฆเณศร์ เจ้าแม่กวนอิม เพราะใช้เป็นของแตกแต่งบ้านได้ ในฐานะมัณฑนากร เสาวลักษณ์เธอว่า จะรู้ว่าภาพแบบไหนที่คนชอบ และภาพแบบไหนที่นำไปติดผนังบ้านแล้วดูดี มีรสนิยม ดูสวยงาม เข้ากับผนังบ้านได้ และต้องดูสไตล์บ้านด้วยว่าเเป็นบ้านแบบไหน “ข้อมูลเหล่านี้หากจะทำเป็นอาชีพก็จะทำให้ขายง่ายขึ้น ที่ผ่านมาส่วนมากคนจะชอบภาพดอกไม้ ใช้ประดับบ้าน และเป็นของขวัญวันเกิด

สำหรับงานที่เธอทำมาทั้งหมด ได้ขายไปบ้างแล้ว เป็นภาพเจ้าแม่กวนอิมในราคา 29,000 บาท เป็นราคาที่เธอไม่ได้ตั้งเองแต่เป็นราคาที่คนซื้อจ่ายให้เอง

เสาวลักษณ์ ก่อศักดิ์วัฒนา เป็นมัณฑนากรที่มีผลงานเด่น คือ เก้าอี้มะเฟือง ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากกรมส่งเสริมการส่งออกให้ไปโชว์ในงาน Maison Objet ที่ฝรั่งเศส นอกจากนี้ ยังมีผลงานที่ทำให้กับโรงแรมเอราวัณที่ภูเก็ต และรีสอร์ตที่เกาะมัลดีฟส์


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

หน้าที่ 58 ของเอกสารที่เรียกว่า “บันทึกรายวันของออกพระวิสุทธสุนธร (โกษาปาน) ระบุถึงผลไม้ ของหวาน ผักและนมโคที่ถูกยกมาเสริ์ฟ

เมื่อคณะทูตสยามเดินทางไปยังฝรั่งเศส นำโดยโกษาปาน พร้อมด้วยอุปทูตและตรีทูต ซึ่งก็คือ ขุนศรีวิสารวาจา ยอดดวงใจของแม่หญิงการะเกดใน ‘บุพเพสันนิวาส’

ในละครนั้น แม่การะเกดสร้างสรรค์หลากเมนู ควบคู่มื้ออาหารจากครัวคุณหญิงจำปา ไม่ว่าจะเป็นกุ้งเผา มะม่วงน้ำปลาหวาน และอื่นๆ ที่ล้วนชวนน้ำลายสอ แล้วเมื่อคณะทูตไปถึงฝรั่งเศส โดยขึ้นฝั่งที่เมืองแบรสต์ ทราบหรือไม่ว่าคณะทูตรับประทานอะไร ?

รายละเอียดเหล่านี้ จดหมายเหตุเมืองแบรสต์ บันทึกไว้ว่า ประกอบด้วยซุปข้น ไก่ตอน นกพิราบ ลูกกระต่าย เป็ด แม่ไก่อ่อนที่เลี้ยงให้อ้วน เนื้อลูกวัว หมู เนื้อวัว แตงโม ผัก ไอศกรีม ผลไม้สด ผลไม้เชื่อม ไวน์ และเหล้า

นอกจากนี้ โกษาปานยังจดบันทึกไว้อย่างละเอียด เล่าถึงมื้ออาหารสุดหรู อย่างมื้อค่ำมื้อหนึ่ง ดังนี้

“เอาเครื่องต้มเข้ามาตั้ง ณ เตียงนั้นห้าถาดใหญ่ เนื้อสุกรถาดหนึ่ง เนื้อชุมพาถาดหนึ่ง เนื้อโคถาดหนึ่ง ไก่กับเป็ดสองถาด กินกับปัง แล้วผ่อนออกไป แล้วจึงเอาเครื่องปิ้งแลเครื่องคั่วแลผักทอดมันแลผักกินสด แลถั่วต้มแลถั่วคั่วเข้ามาตั้ง 17 ถาดในนี้ไก่แลเป็ดตายสองถาด ชุมพาปิ้งถาดหนึ่ง (ชุมพา คือสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายแกะ ในที่นี้น่าจะหมายถึงเนื้อแกะ) ลูกสุกรทั้งตัวฉาบเนยปิ้งถาดหนึ่ง แพะปิ้งถาดหนึ่ง ไก่แลนกแซมหมูปิ้งถาดหนึ่ง แลถาดซึ่งใส่เครื่องปิ้ง ทั้งนี้ย่อมเอาผักชีโรยรอบริมถาดนั้น เนื้อชุมพาคั่วถาดหนึ่ง ไก่คั่วใส่แป้งข้าวโพดถาดหนึ่ง ใบผักกาดแลใบหอมใส่น้ำส้มองุ่นแลน้ำมันลูกไม้ถาดหนึ่ง ผักเบี้ยใหญ่ใส่น้ำส้มองุ่นแลน้ำมันลูกไม้ถาดหนึ่ง ผักสิ่งหนึ่ง ช่ออาระตีโชประดุจหนึ่งโตนดบัวขมต้มถาดหนึ่ง”

อ่านเอกสารบันทึกรายวันของออกพระวิสุทธสุนทร (โกษาปาน) ทั้งหมดได้ที่ฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) คลิกที่นี่


ที่มา มติชนออนไลน์

เห็นแวบแรกหลายคนคงสงสัยเหมือนกันว่านี่คืออะไร? เป็นพวกเศษแก้วหรือเปล่า? แต่คงตกใจเมื่อรู้คำตอบว่านี่ “แผ่นมันฝรั่งทอด”

โดยแผ่นมันฝรั่งใสนี้เป็นส่วนหนึ่งของอาหารโมเลกุล (molecular cuisine) หรืออาหารแนวใหม่ที่เปลี่ยนรูปแบบการนำเสนออาหารให้ออกมาในรูปแบบใหม่ ซึ่งในการปรุงมีการผสมผสานการทดลองทางวิทยาศาสตร์เข้าไปด้วย

ผลงานชิ้นนี้เป็นถูกรังสรรค์ขึ้นโดย เชฟแฮมิด ซาลิเมียน ซึ่งถึงแม้ว่าขั้นตอนการทำจะไม่ใช่สูตรที่ง่ายๆ แต่คุณสามารถทำกินได้เองที่บ้าน เพียงแค่นำมันฝรั่งมาต้ม จากนั้นนำน้ำซุปที่ได้จากการต้มไปแช่เย็นทิ้งไว้ 1 คืน

จากนั้นนำออกมาต้ม เติมแป้งมันลงไป กวนจนได้ที่ แล้วนำมาสร้างให้ได้รูปทรงแผ่นมันฝรั่งทอด จากนั้นนำไปอบจนแห้ง เสร็จแล้วนำไปทอด ก็จะได้มันฝรั่งทอดแผ่นใสไปเคี้ยวกินเพลินๆ เลย

ชมคลิป

Glass Potato Chips?

Turns out we are living in the future!

โพสต์โดย Cultura Colectiva + เมื่อ วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2018

 


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

วันที่ 2 เมษายน 2561 กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกประกาศเรื่อง “พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 5-7 เมษายน 2561)” ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 02 เมษายน 2561 โดยระบุว่า

ในช่วงวันที่ 5-6 เมษายน 2561 ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ฟ้าผ่า กับมีลูกเห็บตกและมีฝนตกหนักบางพื้นที่

ส่วนในวันที่ 7 เมษายน 2561 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกจะมีฝนลดลง ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลยังคงมีฝนฟ้าคะนองได้ต่อเนื่อง

จึงขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน ลมกระโชกแรง และฟ้าผ่า ที่จะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมถึงระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสมที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมขัง และน้ำป่าไหลหลาก สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย โดยจะมีผลกระทบตามพื้นที่ต่างๆ ดังนี้

ในวันที่ 5-6 เมษายน 2561

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองบัวลำภู หนองคาย อุดรธานี บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี

ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา รวมทั้งกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล

ในช่วงวันที่ 7 เมษายน 2561

ภาคเหนือ: จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน ลำพูน ลำปาง ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก กำแพงเพชร พิจิตร และเพชรบูรณ์

ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

ทั้งนี้เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ประกอบกับคลื่นกระแสลมตะวันตกพัดปกคลุมภาคเหนือ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ฟ้าผ่า กับมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง

สำหรับในช่วงวันที่ 7-9 เมษายน 2561 ลมตะวันออกที่พัดปกคลุมภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางพื้นที่บริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ และตรัง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและอันดามันเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งไว้ด้วย จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด

ประกาศ ณ วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 11.00 น.

กรมอุตุนิยมวิทยาจะออกประกาศฉบับต่อไปใน วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 11.00 น.

กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนระวังการกินไข่แมงดาถ้วยหรือเห-ราช่วงหน้าร้อน มีพิษรุนแรงเหมือนพิษปลาปักเป้า ความร้อนทำลายพิษไม่ได้ ปีนี้พบผู้ป่วยแล้ว 7 ราย แนะหากมีอาการลิ้นชา ชารอบปาก อาเจียน หน้ามืด ให้รีบพบแพทย์

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขได้รับรายงานพบผู้ป่วยอาหารเป็นพิษจากการรับประทานไข่แมงดาทะเล จำนวน 33 ราย เสียชีวิต 3 ราย ล่าสุดกลางเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ พบผู้ป่วย 7 ราย จากการนำไข่แมงดาทะเลเผาที่ซื้อจากตลาดมาปรุงอาหารรับประทานด้วยกัน หลังจากนั้นทุกรายมีอาการชามือ ชาเท้า ชาปลายลิ้น อาเจียน บางรายมีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด ใจสั่นร่วมด้วย ซึ่งเป็นอาการที่เกิดจากพิษของไข่แมงดาถ้วยหรือเห-รา ที่นำมารับประทานเพราะคิดว่าเป็นแมงดาจานซึ่งรับประทานได้ สารพิษนี้ทนทานความร้อนสูงมาก การต้ม ทอด ปิ้ง หรือย่าง ไม่สามารถทำลายพิษได้

นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า แมงดาทะเลมี 2 ชนิดคือ แมงดาจาน หรือแมงดาทะเลหางเหลี่ยม ไม่มีพิษ รับประทานได้ มีขนาดใหญ่ อาศัยอยู่ตามพื้นทะเล วางไข่ตามริมชายฝั่งที่เป็นดินทราย และแมงดาถ้วย ซึ่งมีชื่อเรียกหลายชื่อได้แก่ แมงดาทะเลหางกลม หรือเห-รา หรือแมงดาไฟ จะมีพิษ รับประทานไม่ได้ ตัวมีสีส้มหรือน้ำตาลเข้ม ขนาดเล็กกว่าแมงดาจาน อาศัยอยู่ตามพื้นทะเลที่เป็นดินโคลนและตามคลองในป่าชายเลน ซึ่งแมงดาถ้วยมีพิษที่ชื่อ เตโตรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) และเซซิทอกซิน (Sasitoxin) ชนิดเดียวกับปลาปักเป้า เป็นพิษที่เกิดจากแบคทีเรียในลำไส้ของแมงดาถ้วย หรือเกิดจากการกินตัวแพลงก์ตอนที่มีพิษหรือกินหอยหรือหนอนที่มีแพลงตอนพิษ ทำให้สารพิษไปสะสมอยู่ในเนื้อและไข่ จึงขอย้ำเตือนประชาชนให้ระมัดระวังการกินไข่แมงดาในช่วงกุมภาพันธ์ถึงมิถุนายน ซึ่งมักพบการแพร่พันธุ์ของแพลงก์ตอนพิษจำนวนมาก ทำให้อาจเกิดอาการป่วยรุนแรงและรวดเร็ว ภายใน 10-45 นาทีหลังรับประทานไข่แมงดาเข้าไป

สำหรับผู้ที่รับประทานไข่แมงดาทะเล หากพบว่ามีอาการชาที่ปากและลิ้น วิงเวียน ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน หายใจไม่ออก ให้รีบนำตัวส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด และแจ้งแพทย์ว่ารับประทานไข่แมงดาทะเล จะช่วยให้การรักษาเร็วขึ้น ซึ่งปัจจุบันยังไม่มียาแก้พิษจากแมงดาทะเล ประชาชนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง

 

ที่มา ข่าวสดออนไลน์

เรื่อง/ภาพ กนกวรรณ มากเมฆ

 

น่นอนว่าการจะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หลายบริษัทกว่าจะมาถึงจุดที่มีกำไรได้ก็เรียกได้ว่าล้มลุกคลุกคลานมาเยอะ ซึ่งล้วนแล้วแต่ช่วยสร้างสมประสบการณ์ให้กล้าแกร่งมากขึ้น

ในโลกของการศึกษา การที่นักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้มีโอกาสแก้ไขปัญหาทางธุรกิจ ก็ถือเป็นส่วนช่วยฝึกฝนวิธีการวิเคราะห์ แก้ปัญหา ลับคมการตัดสินใจ ซึ่งจะช่วยเป็นการพัฒนาทักษะและเสริมประสบการณ์ให้ผู้เรียนนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้

อย่างเช่น การแข่งเคส (Case Competition) หรือการแข่งขันเชิงธุรกิจ/ประกวดแผนธุรกิจ ที่จะจำลองสถานการณ์ทางธุรกิจให้ผู้เข้าแข่งขันต้องมาแก้ไขปัญหา วางกลยุทธ์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมาย โดยจะมีการจัดแข่งขันในหลายเวทีในประเทศต่างๆ ทั่วโลก และมีมหาวิทยาลัยต่างๆ ส่งนักศึกษาเข้าร่วม

ผลงานล่าสุดคือการคว้ารางวัลชนะเลิศ 2 รายการใหญ่ของนิสิตหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (หลักสูตรนานาชาติ) คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในนั้นคือการแข่งขัน Heavener International Case Competition 2018 (HICC) ณ มลรัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา

“มติชน อคาเดมี” คุยกับทีมนิสิตที่เข้าแข่งขันในเวทีนี้และคว้าชัยชนะมาได้ ได้แก่ พริม-พริมา ไชยวรุตน์ ปี 3, พิพพิน-วรรณวเรศ บุญคง ปี 4, บอส-จักรพจน์ จิตรวรรณภา ปี 4 และ บุญ-บุญชนะ ศวัสตนานนท์ ปี 4 ซึ่งการแข่งครั้งนี้ “พริม” ได้รางวัล Best Speeker ด้วย โดยมี อ.ดร.นัท กุลวานิช เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา

“พิพพิน” เริ่มเล่าให้ฟังว่า การจะไปแข่งขันเคสในเวทีต่างๆ ได้ นิสิตจะต้องเข้าชมรม BBA Chula Case Club ของมหาวิทยาลัย ซึ่งจุฬาฯจะมีการคัดเลือกเข้าไปอยู่ในชมรม ในชมรมก็จะเป็นการฝึกฝนและส่งนิสิตไปแข่งเคสต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งรายการที่ฟลอริดาจัดขึ้นปีนี้เป็นปีที่ 3 และจุฬาฯเคยส่งไปแข่งมาแล้ว 1 ครั้ง

การแข่งขันในปีนี้มีผู้เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 20 ทีม จากนานาประเทศทั่วโลก เช่น ออสเตรีย สหรัฐฯ  นิวซีแลนด์ เนปาล ฮ่องกง และจากไทยมีจุฬาฯและ ม.ธรรมศาสตร์ โดยการแข่งขันของเวทีนี้จะแบ่งออกเป็น 2 เคส เคสแรกเป็นเคส 5 ชั่วโมง แบ่งเป็นการพรีเซนต์ 5 นาที และถามตอบ 15 นาที ซึ่งจะแตกต่างจากเวทีอื่นๆ ตรงที่เป็นการจำลองสถานการณ์จริงที่ให้เวลาพูดไม่นาน และเน้นถามตอบมากกว่า

(จากซ้าย) บอส, พริม, บุญ และ พิพพิน

โจทย์แรกที่เจอ “วางกลยุทธ์ขยายโปรดักต์ใหม่ดังไกลทั่วประเทศ”

สถานการณ์จำลองสำหรับเคส 5 ชั่วโมงที่น้องๆ เจอ เป็นสถานการณ์ของบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งเป็นติวเตอร์และมีเนื้อหาออนไลน์ ซึ่งมีโปรดักต์ตัวใหม่ขึ้นมา และบริษัทแห่งนี้อยากขยายโปรดักต์ไปทั่วประเทศ โจทย์คือจะวางกลยุทธ์ให้บริษัทนี้อย่างไร เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมาย

“บอส” อธิบายให้ฟังว่า จริงๆ แล้วก่อนการแข่งขัน 1 เดือน ผู้จัดการแข่งขันจะส่งชื่อบริษัทที่เป็นโจทย์มาให้ เพื่อให้แต่ละทีมได้ทำความรู้จักกับบริษัทและโปรดักต์ต่างๆ แต่จะมาบอกโจทย์จริงๆ คือวันแข่งขัน

“เมื่อได้รับโจทย์มา เราก็ใช้เวลาอ่านโจทย์ แล้วมาพูดคุยกันให้เข้าใจว่าจริงๆ แล้วโจทย์ต้องการอะไร จากนั้นก็ระดมความคิดว่าจุดประสงค์คืออะไร ต้นเหตุคืออะไร สถานการณ์เป็นแบบไหน และกลยุทธ์ที่เราจะวางมีข้อดีข้อเสียอย่างไร คุยกันในภาพรวม ก่อนจะมาช่วยกันอย่างละเอียดว่าจุดประสงค์ในการทำกลยุทธ์นี้คืออะไร ต้องทำอะไรบ้าง ทำทำไม และทำอย่างไร คือต้องตอบกรรมการให้ได้หมดทุกอย่าง และข้อสุดท้ายต้องมีตัวเลขการเงินมาเป็นตัวสนับสนุน เพราะจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าพวกเราจะทำได้จริงไหม ลงทุนมากไปหรือเปล่า หรือผลตอบแทนจะออกมาเป็นอย่างไร” บอสกล่าว

ด้วยเวลาเพียง 5 ชั่วโมง ทำให้เมื่อคุยภาพรวมเสร็จ พวกเขาต้องรีบแยกกันไปทำในส่วนของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นการคิดและลงลึกในข้อมูล และทำสไลด์ แต่ก็มีการคุยกันตลอด เพราะสิ่งที่แต่ละคนคิดออกมาจะไปส่งผลต่อตัวเลขในโมเดล ดังนั้น ทุกคนในทีมต้องรู้ข้อมูลทุกอย่าง เพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพเดียวกัน และช่วยในเรื่องการตอบคำถามด้วย

เคส 30 ชั่วโมง ตัวตัดสินผู้ชนะ

เคส 5 ชั่วโมงมีคะแนนเพียง 30% ของคะแนนที่ใช้ตัดสินเท่านั้น แต่อีก 70% มาจากเคส 30 ชั่วโมง ที่ผู้เข้าแข่งขันแต่ละทีมต้องเก็บตัวอยู่ในห้องพักของโรงแรม ห้ามติดต่อคนภายนอก ห้ามปรึกษาอาจารย์ โดยโจทย์ที่ทีมจุฬาฯได้รับ เป็นเคสของบริษัทแห่งหนึ่งที่ทำด้านไอทีและเรื่องการป้องกันดิจิตอล  โดยจะทำอย่างไรให้พนักมานที่เพิ่มรับเข้ามาใหม่ปรับตัวกับองค์กรได้ พนักงานมีความสุข มีทัศนคติสอดคล้องกับแนวทางของบริษัท ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ที่ปัจจุบันมักเป็นปัญหาหลักของทุกองค์กร

ขั้นตอนการทำงานของทั้ง 4 คน คือ เมื่อได้รับโจทย์มา ต่างคนจะต่างอ่านตัวโจทย์ให้ละเอียด จากนั้นก็มาพูดคุยกันว่าเข้าใจตรงกันหรือไม่ ซึ่งทุกคนต้องเข้าใจเหมือนกัน ใครไม่ข้าใจต้องอธิบายให้เห็นภาพไปด้วย เสร็จแล้วก็เริ่มคุยกัยเรื่องกลยุทธ์ ค้นหาข้อมูลต่างๆ ในอินเทอร์เน็ต เช่น งานวิจัย จากนั้นก็เริ่มลงรายละเอียดคร่าวๆ ก่อนจะปรึกษากันเรื่อง Storyline ว่าจะเล่าเรื่องอย่างไรให้กรรมการเข้าใจง่ายที่สุด โดยมีเวลาพรีเซนต์ 10 นาทีและถามตอบอีก 15 นาที

จากนั้นก็ทำสไลด์นำเสนอ ซึ่งมีการแบ่งกันทำในต่ละส่วน แต่ก็จะดูให้มีความสอดคล้องกัน และเมื่อเกิดปัญหาในส่วนใดส่วนหนึ่ง เพื่อนก็จะเข้ามาดูด้วย เช่น คิดกลยุทธ์หนึ่งขึ้นมาแล้วไม่แน่ใจ ก็จะช่วยกันค้นข้อมูล ดังน้น จึงเหมือนว่าทุกการตัดสินใจจะมาจากทุกคนในทีมตลอด

“บอส” เล่าว่า การคิดกลยุทธ์ของเคสนี้จะอาศัยการศึกษาตัวอย่างที่เคยมีคนทำมาแล้ว และนำมาปรับใช้ เพราะการใช้กลยุทธ์เดิมที่เคยมีจะช่วยยืนยันได้ว่าสิ่งที่คิดไปจะมีผลดีแบบนี้

“ดังนั้นในการคิดกลยุทธ์จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน เริ่มจากการดูโครงสร้างค่าใช้จ่ายของบริษัทว่ามีค่าใช้จ่ายสูงสุดในด้านไหน ข้อ 2 ต้องหาว่าการลงทุนของเราจะเป็นเท่าไหร่ มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง และผลตอบแทนเท่าไหร่ และข้อ 3 ต้องดูตัวชี้วัดที่จะตอบโจทย์ เช่น กรณีนี้เป็นเรื่องงของบุคลากร ตัวชี้วัดอาจเป็นตัวเลขจำนวนพนักงานที่ออกจากบริษัทภายในปีแรก นอกจากนี้ยังดูเรื่องค่าใช้จ่ายในการปลูกฝังพนักงานคนหนึ่งว่าเท่าไหร่ เพราะถ้าคนเหล่านี้ออกไป เท่ากับค่าเทรนนิ่ง ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เสียไปจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย”

การทำสไลด์ของพวกเขาเนื้อหานอกจากเนื้อหาจะแน่นแบบพอดี ยังมีการเพิ่มแบ็กอัพสไลด์ที่คาดว่าอาจจะโดนกรรมการถามเพิ่ม รูปแบบของโมเดลรวมไปถึงทุกสิ่งที่นำมาใช้จะมีเหตุผลสนับสนุน เพราะโจทย์ที่ได้รับเป็นธุรกิจจริงๆ จึงเน้นไปที่การสามารถนำไปใช้จริงได้

การเตรียมพร้อม-ทีมเวิร์ค สิ่งนำพาชัยชนะ

นอกจากความรู้ความสามารถของแต่ละคนแล้ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าส่วนหนึ่งของการประสบความสำเร็จครั้งนี้มาจากการเตรียมพร้อมที่ดี ที่แต่ละคนมีการฝึกฝนทักษะ มีการพูดคุยและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันในคลับที่ทำให้สามารถนำไปปรับใช้ได้ นอกจากนี้ยังมาจากทีมเวิร์ค หรือการทำงานร่วมกันเป็นทีม ที่ทุกคนจะต้องฝึกทำโจทย์ร่วมกัน ไปจนถึงปรับทัศนคติให้เข้ากันด้วย

ขณะที่อาจารย์จะช่วยเข้ามาเทรนด์ให้ในช่วงก่อนไปแข่ง โดย “พริม” อธิบายว่า อาจารย์จะมาช่วยดูว่าต้องฝึกอันไหน หาเคสมาให้ลองทำ รวมไปทั้งช่วยส่งข้อมูลให้บ้าง นอกจากนี้ยังช่วยดูแลเรื่องการเดินทาง ที่พัก และติดต่อกับผู้จัด แต่เมื่อถึงเวลาแข่งขันจะไม่สามารถคุยกับอาจารย์ได้เลย มีการยึดโทรศัพท์ เพื่อให้ทุกทีมมีความเท่าเทียมกัน

การแข่งขันเหมือนการได้ไปเปิดโลก

“พริม” กล่าวอีกว่า การแข่งเคสนอกจากจะได้พัฒนาทักษะด้านธุรกิจ ซึ่งมองว่านี่เป็นแส่วนเล็กๆ เท่านั้น แต่ประโยชน์ที่ได้จริงๆ คือการได้ไปเปิดโลก ได้เห็นมุมมองคนอื่น

“มุมมองของเราก็อาจจะค่อนข้างไทยนิดนึง แต่พอไปเจอคนฮ่องกงเขาก็จะคิดอีกแบบหนึ่ง คนสิงคโปร์ก็จะคิดอีกแบบหนึ่ง พอได้ไปฟังการพรีเซนต์ของคนอื่นก็ได้เห็นว่าเขาคิดแบบไหน นอกจากนี้ยังได้ไปคุย ไปสร้างเครือข่ายกับคนอื่นๆ เป็นการเปิดโลกให้เราได้มีโอกาสไปคุยอะไรแบบนี้” พริมระบุ

“บอส” กล่าวว่า การแข่งเคสเป็นอีกโอกาสหนึ่งที่ทำให้สามารถนำทฤษฎีที่เรียนมาใช้จริง เกิดการเชื่อมโยงว่าสถานการณ์แบบนี้น่าจะใช้ทฤษฎีนี้ เป็นต้น

ด้าน “บุญ” ระบุว่า เวทีการแข่งขันก็เหมือนกับการจำลองการทำงาน เพราะการเรียนในห้องเรียนเป็นการเรียนรู้ผ่านตัวหนังสือ

แต่การไปทำงานจริงนั้นไม่ได้มีปัญหาด้านเดียวที่รอให้แก้ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องโผล่ขึ้นมา ทำให้รู้ว่าการเรียนในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ

ขณะที่ “พิพพิน” กล่าวว่า นอกจากสิ่งที่เพื่อนๆ กล่าวมาแล้ว สิ่งที่ได้จากการแข่งขันเป็นเรื่องของ Soft Skill เช่น การทำงานร่วมกับผู้อื่น การปรับตัวเข้ากับทีม ทำอย่างไรให้ทีมมีความสุข เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งหากไปทำงานข้างนอกจริงๆ ก็ต้องทำงานเป็นทีม เพราะไม่มีใครสามารถทำงานคนเดียวได้

หลังจบจากเวทีนี้แล้วนิสิตปี 3 อย่างพริมก็ยังมีโอกาสไปแข่งอีก 1 ปี สิ่งที่เธอจะทำก็คือต้องฝึกฝนให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นศึกษากลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของกรรมการ เพราะโลกเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ก็อาจจะต้องไปศึกษาเคสที่เกี่ยวกับ Internet of Things และไอทีเพิ่ม รวมไปถึงเตรียมเป็นรุ่นพี่ปี 4 คอยช่วยเหลือและฝึกฝนน้องๆ ในรุ่นถัดมาด้วย

ส่วนน้องๆ ปี 4 ทั้ง 3 คน ต่างก็วางแผนชีวิตหลังเรียนจบไว้ตามทางที่อยากเดิน โดยพิพินจะไปเรียนต่อในสิ่งที่สนใจ เช่น สายบริหาร ธุรกิจระหว่างประเทศ รวมทั้งช่วยงานของครอบครัวด้วย ขณะที่บอสก็จะกลับไปช่วยธุรกิจของครอบครัวเช่นกัน ส่วนบุญที่สนใจเรื่องการเงินและการลงทุน ก็จะไปทำงานในบริษัทตามสายอาชีพนี้


 

Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111