แม้จะผ่านพ้นวันสงกรานต์ วันมหาสงกรานต์ไปแล้ว ซึ่งตรงกับวันที่ 14 เมษายน 2561 เวลา 9 นาฬิกา 1 นาที กับอีก 48 วินาที นั่นก็คือวันเสาร์ แรม 14 ค่ำ เดือน 5 ปีจอ จุลศักราช 1380 แต่สิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องฟังไว้บ้างเพื่อความไม่ประมาทในการใช้ชีวิตประจำวัน ในสถานการณ์เช่นเวลานี้ คือ “คำทำนายเรื่องดวง” ไม่ว่าดวงคนหรือดวงเมือง

ก่อนจะไปถึงเรื่องดวง เริ่มต้นมาว่ากันด้วยเรื่องของ “นางสงกรานต์” ก่อน ที่ปีนี้มาเตือนสติคนไทยด้วยการเสด็จยืนมาบนหลังนกยูง ท่านโหราผู้เชี่ยวชาญดวงเมืองและการวางฤกษ์ยาม “พัฒนา พัฒนศิริ” บรรยายเกี่ยวกับนางสงกรานต์ไว้อย่างน่าฟังว่า นางสงกรานต์ปีนี้ชื่อ “มโหธรเทวี” เครื่องทรงดอกไม้ ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว หลายคนอาจยังไม่รู้จัก “ดอกสามหาว” ว่าคือดอกอะไร? คำตอบง่ายนิดเดียว เป็นชื่อเดียวกับ “ดอกผักตบชวา” คราวนี้คงร้องอ๋อไปตามๆ กัน นอกจากนั้นอาภรณ์ของนางสงกรานต์ปีนี้เป็นแก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเป็นเนื้อทราย ศัตราวุธ พระหัตถ์ขวาทรงจักร พรหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล

การปรากฏกายของนางสงกรานต์ “พัฒนา พัฒนศิริ” บอกว่า สมควรยกย่องชมเชยนางสงกรานต์ปีนี้เป็นอย่างมาก ประการแรกท่านใช้ข้าวของดอกไม้ราคาถูกมาประดับ เพราะถ้าเลือกใช้เครื่องประดับที่ราคาแพง ปีนี้คงต้องเสียดุลการค้าเป็นแน่แท้ และยิ่งเมื่อพิจารณา “อาวุธประจำกาย” ที่มีทั้งจักรทั้งตรีศูล ตรงนี้ชักไม่ค่อยดี คือ อาจมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นในบ้านเรา หรืออาจเป็นเหตุการณ์ความวุ่นวายของโลกก็ได้ นางสงกรานต์จึงจำเป็นต้องมีทั้ง “จักร” เสมือนขีปนาวุธระยะไกล และ “ตรีศูล” หรือ “มีดสามง่าม” เอาไว้ป้องกันระยะใกล้ แต่อย่าเพิ่งตกใจเพราะยังไงนางสงกรานต์ก็ยืนมาบน “หลังนกยูง” แสดงว่านางสงกรานต์มีสมาธิสูงส่ง แถมมีวิชาตัวเบาอีกด้วย ทำให้สามารถยืนบนหลังนกยูงที่ตัวไม่โตได้

คำบรรยายนี้ถ้าจะแปลให้เกี่ยวข้องกับเหตุบ้านการเมืองและเรื่องของโลกทั้งใบแล้ว นางสงกรานต์กำลังจะเตือนว่า “ต้องพยายามมีสติ มีมาธิ มีความหนักแน่นมั่นคงให้มากๆ จึงจะสามารยืนมาบนหลังนกยูงตัวเล็กๆ ได้ พูดง่ายๆ คือ ต้องดำเนินนโยบายด้วยความสุขุมคัมภีรภาพ ไม่ใช่อะไรตูมตามก็พลอยแตกตื่น หรือจะให้ดีใช้วิธีท่อง “คาถาชินบัญชร” สัก 8-9 จบ เวลามีเหตุการณ์คับขัน น่าจะช่วยให้เบาใจลงได้

แค่นางสงกรานต์ก็อย่าเพิ่งซีเรียสล่ะ เพราะยังมี “ดวง” ให้พิจารณากันอีก วันนี้มีการเปลี่ยนนักษัตรในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ซึ่งในปี 2561 ตรงกับสุริยคติกาลวันเสาร์ที่ 17 มีนาคม 2561 ผ่านมาแล้วหนึ่งเดือน ไม่ใช่เปลี่ยนปีนักษัตรกันตอนวันสงกรานต์หรอกนา ดังนั้น คำทำนายทายทักสำหรับ “ปีใหม่ของไทย” คือ ตั้งแต่หลังวันสงกรานต์เป็นต้นไปจะเป็นอย่างไร มาดูกัน !!

ดาวบาปเคราะห์ 2-3 ดวง ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดเภทภัย อุบัติภัยต่างๆ ตามวิชาโหราศาสตร์ ประกอบด้วย “ดาวอังคาร” วิชาโหราศาสตร์กำหนดให้มีเลขประจำดวงดาวเป็นเลข 3 เป็นดาวเคราะห์สีแดง อิทธิพลของดาวอังคารส่วนใหญ่เป็นเรื่องความขยันขันแข็ง ความอดทน การต่อสู้ผจญภัย การทำลายล้างผลาญ การสู้รบทำสงคราม ฯลฯ ต่อมาคือ “ดาวเสาร์” เป็นดาวบาปเคราะห์หมายเลข 7 สามารถก่อให้เกิดโทษทุกข์แก่มวลมนุษยชาติเป็นอย่างมาก ดาวนี้ยังเป็นดาวประหยัดมัธยัสถ์ ผู้ใดที่มีดาวเสาร์กุมลัคนาจะเป็นคนมัธยัสถ์เป็นอันมาก และมีความอดทน ความเพียรเป็นเลิศ อีกดวงคือ “ดาวราหู” สำหรับทางโหราศาสตร์แล้ว ดาวดวงนี้มีขึ้นเพราะอิทธิพลของสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคาที่่ทำให้เกิดเงาดำกว้างใหญ่บนพื้นโลก ดาวราหู มีอิทธิพลในความมัวเมา เจ้าอารมณ์ โกรธง่ายหายเร็ว เอะอะ ซุ่มซ่าม บ้าๆ บอๆ ชอบคำสรรเสริญ ป้อยอ เป็นดาวบาปเคราะห์ที่มีเลขประจำดาวเป็นเลข 8 ถึงจะไม่ใช่ดวงดาวแต่ก็มีตำแหน่งในราศีต่างๆ

นอกจากดาวบาปเคราะทั้งสามที่เอ่ยมาแล้ว ในการทำนายยังจะต้องมี “ดาวอาทิตย์” ซึ่งเป็นดาวพระเคราะห์สำคัญในการ “จุดชนวน” ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุเภทภัยร้ายแรงด้วย ดังนั้น ในปีจอ 2561 ดาวบาปเคราะห์ทั้ง 4 ดวง มีการโคจรในมุม “อันตราย” ดังนี้

ช่วง 14-21 เมษายน 2561

เป็นช่วงที่ดาวอาทิตย์ย้ายจากราศีมีน ไปสถิตราศีเมษ ขณะเดียวกันดาวอังคารและดาวเสาร์โคจรร่วมกันที่ราศีธนูอยู่ก่อนแล้ว การโคจรของดาวเคราะห์ทั้ง 3 ดวงในรูปแบบนี้ ทางโหราศาสตร์เรียกว่า “มีเชิงมุมเบียนกัน” ซึ่งจะทำให้เกิดอุบัติเหตุเภทภัยรุนแรงขึ้นได้ โดยเฉพาะเกี่ยวกับยวดยานพาหนะที่สัญจรบนถนน ผู้ใช้รถใช้ถนนต้องใช้ความระมัดระวังสูงสุด เพราะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุ เภทภัย เป็นหมู่เป็นกอง รวมทั้งเรื่องของไฟชอร์ต อัคคีภัย จะมีให้เห็นหนาตา และอาจมีจำนวนพุ่งสูงมากกว่าก่อน

ช่วง 26 เมษายน-14 พฤษภาคม 2561

ดาวอังคารย้ายจากราศีธนู โคจรที่ราศีมังกรได้ตำแหน่งมหาอุจ โดยมีดาวอาทิตย์โคจรที่ราศีเมษในตำแหน่งมหาอุจเช่นกัน ซึ่งจะมีไปจนถึงวันที่ 12 พฤษภาคม 2561 ตรงนี้เป็นเรื่องพิเศษ คือเป็นเรื่องของ “ฆาต” บุคคลที่มีลัคนาสถิตราศีมังกร กรกฎ และมีน ต้องระมัดระวัง โดยชาวราศีมังกรนั้นจะได้รับผลรุนแรงกว่า เพราะดาวอังคารโคจรทับลัคนาพอดี ทางแก้ไขสามารถทำได้คือถวายอาหารบิณฑบาต หรือทำสังฆทานพระสงฆ์ 8 รูป ปล่อยนก 8 ตัว

ช่วง 1-16 สิงหาคม 2561

ระยะนี้ดาวอาทิตย์จะย้านยจากราศีมิถุน ไปโคจรที่ราศีกรกฎ เริ่มตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมไปจนถึงกลางเดือนสิงหาคม 2561 และเล็งเบียนดาวอังคารที่ราศีมังกร เฉพาะคนที่มีลัคนาราศีมีน กรกฎ หรือมังกร ต้องทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน

ช่วง 1-15 พฤศจิกายน 2651

ดาวอาทิตย์โคจรที่ราศีตุล ส่งกำลังเป็นมุมฉากอันเป็น “มุมเบียน” กับดาวอังคาร ที่โคจรอยู่ที่ราศรีมังกรอยู่ก่อนแล้ว จำเป็นที่ชาวราศีกรกฎ มังกร และมีน จะต้องใช้ความระมัดระวังในเรื่องอุบัติเหตุเภทภัยอย่างมาก ขอให้เตรียมการทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน ส่วนราศีอื่นๆ ก็อย่าได้ประมาท เพราะอาจโดนหางเลขของอังคารฟาดเข้าให้ด้วย

ส่วนปัญหาที่วิตกกังวลกันมากหนีไม่พ้นเรื่องของฝนฟ้า ที่ทำท่าจะตกไม่มีหยุด ทำเอาคนขยาดเรื่องน้ำท่วมกันจนไม่เป็นอันทำมาหากิน โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ เห็นฟ้าครึ้มฝนทีไร ใจหล่นลงไปอยู่ตาตุ่ม กลัวว่าจะเป็นอย่างปี 2554 อีก อย่างไรก็ดี เรื่อง “น้ำ” ในปีจอ 2561 นั้น ท่านทำนายไว้ว่าตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2561 อากาศร้อนตับแล่บก็จะมีฝนตกมาให้สบายใจ อย่าคิดว่าฝนจะทิ้งช่วง ที่ไหนได้กลับตกแบบเอาจริงเอาจัง ทำท่าจะตกไม่หยุด อาจเจอฝนชุดใหญ่ในกลางเดือนมิถุนายน 2561 ใครที่ชอบตากของกลางแจ้งต้องระวัง

ต้นเดือนกรกฎาคม ฝนทำท่าจะหยุดตก แต่กลับมาซัลโวรอบใหม่ ทำเอาหลายตำบลหลายหมู่บ้านหวั่นใจ คิดว่าน้ำจะท่วม ซึ่งไม่ถึงขนาดนั้น กระทั่งเดือนกันยายนไปจนถึงตุลาคม 2561 ฝนยังตกไม่หยุดหย่อน ตกต่อแทบทั้งเดือน ใจชื้นหน่อยที่ฝนตกนาน แต่ปริมาณไม่มาก เมื่อถึงเดือนธันวาคม เข้าหน้าหนาว ยังมีฝนมาแจมอยู่เนืองๆ ก็ต้องทำใจยอมยกประโยชน์ให้ฝนไปสักปีหนึ่ง

ไม่ตกหนักหนาสาหัสอะไรหรอกหนา เข้าลักษณะแดดเปรี้ยงอยู่ดีๆ ประเดี๋ยวแดดหุบ มีฝนหล่นลงมาให้เห็นนั่นแหละ!!

แม้ละครดัง“บุพเพสันนิวาส”จบบริบูรณ์ไปเรียบร้อย แต่กระแสฟีเวอร์ยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความสนใจใฝ่รู้ศึกษาประวัติศาสตร์สยามครั้งสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทื่ “เมืองอโยธยา” เป็นราชธานี และเปรียบ“เมืองละโว้”เป็นราชธานีแห่งที่2

ด้วยความเจริญอย่างต่อเนื่องของ“เมืองละโว้” ทำให้เกิดการก่อสร้างใหญ่โตมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พบว่าเมืองละโว้ตั้งอยู่ในที่ดอน ทำให้ฤดูแล้งประสบปัญหาขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ จนมีระบบการจัดการน้ำเกิดขึ้น

เกร็ดความรู้จากหนังสือ “สาระน่าสนใจของประวัติศาสตร์ไทย ครั้งรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช” โดยนายภูธร ภูมะธน สถาบันราชภัฏเทพสตรี ลพบุรี ระบุว่า ปัญหาการขาดแคลนน้ำ นำมาสู่การจัดการน้ำ มีการสร้างระบบเก็บกักน้ำ สร้างถังพักตะกอนและจ่ายน้ำไปตามท่อน้ำดินเผาฝังใต้ดินเพื่อใช้ในพระราชวัง อารามหลวง และบ้านขุนนาง

ระบบการจัดการน้ำเมืองละโว้ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชครั้งแรก คือการใช้ประโยชน์จากอ่างเก็บน้ำโบราณที่มีมาก่อนรัชสมัยพระองค์ คือ ทะเลชุบศร ด้วยการสร้างประตูระบายน้ำปากจั่นและบังคับให้น้ำไหลตามท่อนำไปสู่ถังพักตะกอนคืออ่างแก้วและสระแก้ว จากนั้นจึงจ่ายน้ำตามท่อน้ำดินเผาที่ฝังใต้ดิน เพื่อนำไปใช้ เข้าใจว่าได้รับคำปรึกษาจากวิศวกรชาวเปอร์เซีย-โมกุล ว่ากันว่าระบบประปาเกิดขึ้นครั้งแรกที่นี่

บันทึกของแชรแวส ผู้พำนักในสยามระหว่างพ.ศ.2224-2228 ระบุว่า ระบบน้ำที่เมืองลพบุรีใช้เวลาสร้างนานถึง10 ปี จึงแล้วเสร็จ

ต่อมาช่วง10ปีสุดท้ายของรัชกาล(พ.ศ.2221-2231) เมืองละโว้ ได้รับการก่อสร้างใหญ่โตมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเป็นเวลาการมาเยือนของราชทูตนานาประเทศ ทำให้อาคารขนาดใหญ่เกิดขึ้นจำนวนมาก มีการตกแต่งอาคารให้สวยงามด้วยสวนและน้ำพุตามแบบเปอร์เซีย-โมกุล ทำให้ความจำเป็นของการใช้น้ำยิ่งมากขึ้นอีก

โครงการแหล่งป้อนน้ำใช้สำหรับเมืองละโว้แหล่งใหม่จึงเกิดขึ้น คือ ชักน้ำจากห้วยซับเหล็ก ห่างจากเมืองละโว้ไปทางทิศตะวันออกประมาณ12กิโลเมตร ผ่านลำรางส่งน้ำแบบเปิดรูปตัวยู จนถึงสระพักตะกอนน้ำที่บ้านวังศาลา(ต.ท่าศาลา อ.เมือง จ.ลพบุรี) จากนั้นจึงบังคับน้ำให้ไหลไปตามท่อน้ำดินเผา ฝังใต้ดินผ่านหอระบายแรงกดดันอากาศตรงมายังพระราชวัง โดยมีบาทหลวงฝรั่งเศสและอิตาลีเป็นผู้รับผิดชอบโครงการนี้

โครงการบริหารน้ำให้เกิดประโยชน์ สะดวกและสวยงาม ครั้งรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่เมืองลพบุรี เป็นผลงานสำคัญในฐานะพระองค์ทรงเป็นผู้นำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในสยาม ใช้เวลาก่อสร้างและพัฒนานานเกือบ20ปี

วันที่ 17 เม.ย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา จนถึงช่วงบ่าย เกิดฝนตกทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานคร ส่งผลให้บริเวณถนนบรมราชชนนี ฝั่งขาออก ช่วงขนส่งสายใต้ใหม่ มีน้ำท่วมขังเสมอแนวฟุตปาธ ทำให้รถที่ใช้เส้นทางดังกล่าวสัญจรผ่านไปมาอย่างลำบาก รถเคลื่อนตัวได้ช้าติดเป็นแนวยาว

โดยก่อนหน้ามีประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่องพายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 15-18 เมษายน 2561)” ฉบับที่ 10 ลงวันที่ 15 เมษายน 2561 ระบุว่า บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคตะวันออก จะเกิดพายุฤดูร้อนขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง กับมีฟ้าผ่าและลูกเห็บตกบางพื้นที่ ส่วนภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จะได้รับผลกระทบ จึงขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่จะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมถึงระวังอันตรายจากฟ้าผ่า สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย

 

ที่มา ข่าวสดออนไลน์

แชมพูกับครีมนวดกลิ่นดอกไม้หอมๆ นานาชนิดคงเป็นสิ่งที่หลายคนคุ้นชิน แต่ถ้าพูดถึง แชมพูกลิ่นชีส หรือ ครีมนวดกลิ่นเบคอน คงเป็นสิ่งแปลกใหม่มากเลยทีเดียว

โดยผลิตภัณฑ์ดูแลศีรษะดังกล่าวเป็นของบริษัท Einstein Bros. Bagels ในเครือบริษัทเบเกิล ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับอาหารและเบเกอรี่ ซึ่งแชมพูและครีมนวดผมรุ่นลิมิเต็ดนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากส่วนผสมของเบเกิล หลังร้านอาหารเพิ่งออกเมนูใหม่ เป็นแซนด์วิชที่ประกอบด้วยไข่, เบคอน และเชดดาร์ชีส จนกลายมาเป็นแชมพูและครีมนวดที่ให้กลิ่นเหมือนกับว่าเพิ่งออกมาจากเตาเลยทีเดียว

นี่อาจเป็นตัวเลือกความสวยความงามที่ดูมหัศจรรย์ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีผงแช่น้ำกลิ่นราเมงออกมาวางขาย จนกระทั่งครีมนวดกลิ่นเบคอน ซึ่งผู้บริหารของบริษัทบอกว่าเหตุผลที่ออกโปรดักต์นี้ไม่ใช่ความบ้าใดๆ

“Einstein Bros. Bagels ต้องการให้ผู้บริโภคตื่นเช้ามาพบกับสิ่งที่น่าตื่นเต้นตอนอาบน้ำ และทำให้วันนั้นทั้งวันเป็นวันที่ไม่น่าเบื่อ” เคอร์รี่ คอยน์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาด, โปรดักต์ และนวัตกรรมของแบรนด์ กล่าว

ทั้งนี้ แชมพูกลิ่นชีสและครีมนวดกลิ่นเบคอน มีราคาต่ำสุดอยู่ที่เซตละ 10 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตอนนี้ก็ขายดิบขายดีจน Sold Out เรียบร้อยแล้ว

ปกติพิซซ่าที่เราเคยเห็นตามร้านทั่วไป ขนาดใหญ่สุดก็ว่าใหญ่แล้ว แต่คงจะไม่เท่าพิซซ่าเจ้านี้แน่นอน

โดยร้าน Big Mama’s & Papa’s Pizzeria ในลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำพิซซ่าที่ใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมขายแบบเดลิเวอรี่ด้วย โดยพิซซ่าดังกล่าวมีขนาด 4.5 ฟุต x 4.5 ฟุต ใหญ่ถึงขนาดต้องใช้รถยนต์อัจฉริยะไปส่งเดลิเวอรี่

ขั้นตอนการทำพิซ่าของพวกเขาเริ่มจากการนวดแป้งน้ำหนักถึง 28 ปอนด์ โดยต้องใช้คนถึง 2 คนในการทำพิซซ่า เมื่อทำแป้งเสร็จแล้วก็ราดมารินาร่าซอสหนัก 5.5 ปอนด์ลงไป ทาให้ทั่ว วางมอซซาเรลล่าชีสหนัก 5.5 ปอนด์ สุดท้ายคือใส่เปปเปอโรนีหนัก 3.5 ปอนด์ ก่อนจะนำเข้าเตาอบ ซึ่งทุกๆ 8 นาที พวกเขาจะต้องนำออกมาหมุนเพื่อให้แน่ใจว่าพิซซ่าสุกทุกด้าน ก่อนจะนำใส่กล่องและไปส่งลูกค้าด้วยรถอัจฉริยะ

เมื่อไปถึงบ้านลุกค้าก็ใช่ว่าจะเสร็จทันที พวกเขาต้องนำออกจากกล่องแล้วยกพิซซ่าขึ้นมา ถือเป็นรูปตัว U เพื่อให้สามารถเดินผ่านประตูและบันไดได้ ก่อนจะตัดแบ่งออกมาเป็น 200 ชิ้น ซึ่งสามารถกินได้ถึง 50-70 คนเลยทีเดียว

ชมคลิป

The Largest Pizza Delivery in the WORLD

Meet the largest delivery pizza in the WORLD (literally!) 😂🍕 Tag the team that’s going to help you finish it! (We’re in LOVE, Big Mama's & Papa's Pizzeria) #FoodNetworkFinds

โพสต์โดย Food Network Finds เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม 2018

เรียกได้ว่าทำเอาลูกค้าในวอลมาร์ทที่แคลิฟอร์เนียตกตะลึงกันเป็นแถว เมื่อได้เห็นหุ่นยนต์เคลื่อนที่มาตามทางเดินระหว่างชั้นวางของในซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้

แวบแรกที่เห็น บางคนอาจคิดว่ามันเป็นหุ่นยนต์ทำความสะอาด แต่ความจริงหุ่นยนต์ดังกล่าวมีหน้าที่สแกนชั้นวางของในซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อตรวจดูข้อมูลว่าของขาดหรือไม่, วางผิดที่หรือเปล่า, ฉลากถูกต้องหรือไม่ รวมไปถึงติดราคาถูกต้องหรือไม่

โดยข้อมูลดังกล่าวจะถูกส่งกลับมาอยู่ในฐานข้อมูลที่อยู่ในระบบคลาวด์ ให้พนักงานได้รับรู้และตัดสินใจว่าจะจัดการกับสินค้าอย่างไร เช่น เติมสินค้าให้เต็มชั้น หรือแก้ไขข้อมูลราคา เป็นต้น

ทั้งนี้ ห้างสรรพสินค้าวอลมาร์ทได้ติดตั้งเทคโนโลยีดังกล่าวใน 50 สาขา ทั่วสหรัฐอเมริกา โดยวอลมาร์ทเชื่อว่าหุ่นยนต์ดังกล่าวจะช่วยพนักงานประหยัดเวลาในการทำงานมากขึ้น แต่ยังไม่มีแผนว่าจะติดตั้งเพิ่มในสาขาที่เหลือ

ชมคลิป

Robots have begun to roam the aisles of Walmart stores

“Are machines taking over?”Towering, autonomous robots are beginning to roam the aisles of select Walmart stores, scanning shelves for data on out-of-stock, misplaced or mislabeled items. https://abcn.ws/2GhMpOy

โพสต์โดย Good Morning America เมื่อ วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2018

โรงเรียน Brighton School District 27J ในโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ประกาศว่าจะย้ายไปสู่การเป็นโรงเรียนที่เรียน 4 วัน/สัปดาห์ในเดือนสิงหาคมนี้ และจะย้ายการเรียนการสอนในเดือนเมษายนไปสู่ระบบออนไลน์ด้วย

โดยโรงเรียนนี้ให้เหตุผลว่าการเรียน 4 วัน/สัปดาห์ จะช่วยสร้างตารางเรียนที่ไม่ซับซ้อน, เหมาะสม และกระชับ นอกจากนี้ยังช่วยให้ครูผู้สอนสามารถเตรียมเนื้อหาได้ดีขึ้น แลพัฒนาทักษาะการสอนให้เป็นมืออาชีพมากขึ้น

นโยบายดังกล่าวจะให้ครูและนักเรียนมาโรงเรียนตั้งแต่วันอังคาร-ศุกร์ ซึ่งอีกเหตุผลหนึ่งของการเปลี่ยนมาใช้นโยบายนี้คือ ต้องการตัดงบประมาณด้านการศึกษาออกด้วย

หลังการประกาศดังกล่าว ผู้ปกครองก็มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย บางรายก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้อยู่กับลูกที่บ้านมากขึ้น ขณะที่บางรายกังวลเกี่ยวกับการใช้พี่เลี้ยงเด็กมากขึ้น

ทั้งนี้ แม้ว่าเทรนด์ด้านการศึกษาหลายเรนด์จะมาแล้วก็ไป แต่บางอย่างก็มักจะย้อนกลับไปสู่รูปแบบปกติพื้นฐาน

ดร.จอห์น คอนราธ กล่าวว่า ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมานี้ การศึกษาถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีความเคลื่อนไหวใหญ่ๆ ที่ส่งผลกับตารางเรียนหรือเวลาเรียนของนักเรียนแบบยั่งยืน

มีขึ้นเมื่อไหร่ ปลูกที่ไหนเป็นแห่งแรกในเมืองไทย ไม่มีหลักฐานปรากฏชัดเจน รู้กันแต่ว่าเป็นผลไม้ตามฤดูกาลที่มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบอินโดจีน แต่มีมากในอินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งแต่ละประเทศก็มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป ในประเทศไทยเองก็เรียกแตกต่างไปตามภาคหรือท้องถิ่นนิยม

อย่างภาคอีสานเรียก “หมากต้อง” ภาคเหนือเรียก “มะตึ๋น” ภาคใต้เรียกหลายชื่อหน่อย อาทิ เตียน สะท้อน สะตู สะโต หรือ ล่อน ก็เรียก เป็นผลไม้ที่อยู่ในตระกูลเดียวกับลางสาดและลองกอง มีสายพันธุ์หลักๆดั้งเดิมอยู่ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ กระท้อนพันธุ์ปุยฝ้าย, พันธุ์อีล่า, พันธุ์ทับทิม และพันธุ์นิ่มนวล ส่วนชื่อพันธุ์แปลกๆ ในระยะหลัง เป็นกระท้อนกลายพันธุ์ไปจากเดิม

กระท้อนเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ เปลือกเรียบมีสีน้ำตาลอมชมพู ใบเป็นช่อ ใบแก่จัดมีสีแดงอิฐหรือสีแสด ส่วนดอกรวมกันเป็นช่อ ช่อดอกจะยาวราว 5-15 เซนติเมตร ดอกมีขนาดเล็กสีเหลืองอ่อนๆ มีกลิ่นหอม ผลกระท้อนมีลักษณะกลมหรือแป้น อุ้มน้ำ ผลอ่อนจะสีเขียว เมื่อแก่จัดจะเป็นสีเหลืองน้ำตาล เมล็ดเป็นรูปไตเรียงไปตามแนวตั้ง 5 เมล็ด มักจะออกผลในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม

กระท้อนสามารถนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้ด้วย ไม่ว่าใบสด เปลือก ราก แต่ส่วนมากแล้วนิยมนำผลกระท้อนมาทำอาหารรับประทาน ทั้งอาหารคาว อาหารหวาน เพราะมีรสชาติอร่อยและสัมผัสนุ่มละมุนลิ้น การกินกระท้อนไม่นิยมกินเมล็ด เพราะจะทำให้เกิดอันตรายต่อลำไส้ได้

กระท้อนยังเป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง 100 กรัม มีถึง 1.26 กรัม ซึ่งไฟเบอร์นี้จะช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างแบคทีเรียโปรไบโอติกส์ได้มากยิ่งขึ้น และแบคทีเรียตัวนี้มีส่วนสำคัญในการสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ผลกระท้อนยังอุดมด้วยวิตามินบีและซี ซึ่งวิตามินบีช่วยกระตุ้นการเผาผลาญของร่างกาย ช่วยทำให้อารมณ์ดียิ่งขึ้น และป้องกันความเสี่ยงของโรคพิการแก่กำเนิดของทารกในครรภ์ได้ด้วย

สรรพคุณอีกอย่างของกระท้อน คือป้องกันฟันผุ เพราะการรับประทานกระท้อนช่วยเพิ่มการหลั่งของน้ำลาย และน้ำลายมีฤทธิ์ในการยับยั้งแบคทีเรียที่อยู่ในช่องปาก สามารถขจัดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุให้เกิดฟันผุได้อย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด เพราะกระท้อนมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีคลอเรสเตอรอลสูง อีกทั้งแพคตินในกระท้อนยังช่วยดักจับไขมัน ทำให้คลอเรสเตอรอลลดลง สามารถป้องกันโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ ใบของกระท้อนยังสามารถนำมาบด เพื่อใช้รักษาโรคผิวหนังได้หลายชนิด ไม่ว่าโรคสะเก็ดเงิน ผื่น กลาก เป็นต้น

กระท้อนที่มีชื่อเสียงมากสมัยก่อนอยู่แถบสวนเมืองนนท์ หรือ จ.นนทบุรี ต้องมาจากสองแหล่ง คือจากคลองอ้อม ต.บ้านกร่าง อ.เมือง เรียกว่า กระท้อนบ้านกร่าง และที่ ต.บางขุนกอง อ.บางกรวย แต่เพราะสวนมักถูกน้ำท่วมอยู่บ่อยๆ บางครั้งสวนล่ม การปลูกจึงไม่ต่อเนื่องแม้จะพยายามขยายพันธุ์ด้วยวิธีต่าง ๆ จนทำให้เกิดการกลายพันธุ์ไปจากเดิม

มีเรื่องเล่ากันต่อ ๆ มาว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเสวยกระท้อนพันธุ์นิ่มนวล จากสวนในคลองอ้อมเมืองนนทบุรี ทรงโปรดมากถึงกับให้ยกเว้นการเก็บอากรสวนกระท้อนพันธุ์นิ่มนวล และในปี พ.ศ. 2447 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสต้นสวนกระท้อนของนายบุตร ในคลองอ้อม ต.บางกร่าง ทรงพอพระราชหฤทัย และชมเชยว่าเป็นกระท้อนที่มีรสชาติดี ดังนั้นจึงเป็นที่มาว่ากระท้อนรสชาติดีต้องมาจากสองแหล่งนี้ ปัจจุบันคงหาได้ยาก เนื่องจากถูกน้ำท่วมสวน แล้วส่วนใหญ่ยังถูกกว้านซื้อที่ดินไปทำหมู่บ้านจัดสรร

เมืองนนท์ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งผลไม้อร่อย ทำให้จังหวัดอื่นๆ ต้องการผลไม้จากเมืองนนท์ไปปลูกบ้าง ปี 2530-2534 จึงเริ่มมีเกษตรกรจากจังหวัดอื่นๆ อาทิ จันทบุรี ระยอง ปราจีนบุรี มาซื้อกิ่งกระท้อนจากเมืองนนท์ไปขยายพันธุ์ เพียงไม่กี่ปีหลังจากนั้นกระท้อนจึงกลายเป็นผลไม้ของจังหวัดอื่นด้วย โดยเฉพาะปราจีนบุรีที่ปลูกได้ลูกใหญ่กว่า ปุยน่ากินกว่า แต่ความหวานยังแพ้กระท้อนเมืองนนท์

หน้าร้อนๆ เช่นนี้เมื่อนึกถึงผลไม้จึงไม่มีอะไรผิดไปจากผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวปรี๊ดอมหวาน นอกจากมะม่วง มะยงชิด มะปราง พวกนั้นแล้ว “กระท้อน” เป็นอีกหนึ่งชนิดที่คนนิยมรับประทานกันในหน้าร้อน โดยนำลูกกระท้อนที่สุกได้ที่มาทำ “กระท้อนลอยแก้ว” ซึ่งความนิยมมีอยู่ทั่วไป หลายคนมีสูตรเฉพาะตัวและทำได้อร่อยลิ้น แต่เห็นแล้วแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร ต้องเป็น “เมี่ยงกระท้อน” สูตรของ ม.ล.ขวัญทิพย์ เทวกุล ที่เคยเผยแพร่อยู่ในนิตยสารดังของไทย

มาดูวิธีทำเมี่ยงกระท้อนกัน

เครื่องปรุง ประกอบด้วย เนื้อกระท้อน 3 ถ้วย / หอมแดงซอย 1 ถ้วย /น้ำมันพืช ครึ่งถ้วย / กระเทียมซอย ครึ่งถ้วย / เนื้อหมู 3/4 ถ้วย / กุ้งแห้งป่น ครึ่งถ้วย / ถั่วลิสงคั่วบด 1/3 ถ้วย / น้ำตาลทราย 4 ช้อนโต๊ะ / เกลือ 1 ช้อนชา / ข้าวตังทอด

วิธีทำ

เริ่มจากหั่นเนื้อกระท้อนเป็นเส้นสั้นๆ บีบให้แห้ง หั่นเนื้อหมูเป็นเส้นสั้นๆ ขนาดเดียวกับกระท้อน ใส่น้ำมันพืชในกระทะ ตั้งไฟปานกลาง จนน้ำมันร้อนดี ให้นำหอมแดงลงเจียวจนเหลือง ตักขึ้น สะเด็ดน้ำมัน พักไว้ จากนั้นนำกระเทียมลงเจียวต่อจนเหลือง ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน พักไว้ ตักน้ำมันพืชออกจากกระทะ เหลือไว้ราว 2 ช้อนโต๊ะ เร่งไฟแรง แบ่งหอมเจียวและกระเทียวเจียวอย่างละ 1 ช้อนชา ลงผัดพร้อมกับหมูที่หั่นไว้ เมื่อหมูสุก ใส่เนื้อกระท้อน น้ำตาลทรายและเกลือ ลงไปผัดให้ทั่วกัน ใส่กุ้งแห้งป่นและถั่วลิสงคั่วบดลงไปผัดให้เข้ากันดี แล้วตักใส่จาน โรยหน้าด้วยหอมเจียวกระทียมเจียว เมื่อจะรับประทานก็รับประทานกับข้าวตังทอด

ลองลงมือทำดูนะเจ้าคะ เปลี่ยนรสชาติในวันหยุดยาวๆ จากกระท้อนลอยแก้ว มาลิ้มเมี่ยงกระท้อนแทน

ากอยากจะกินเฉาก๊วยสักถ้วย ต้องคิดแล้วสิว่าเฉาก๊วยที่ดีและมีคุณค่านั้น มันต้องหน้าตาอย่างไร แบบไหน ต้องมี อย. หรือไม่ หรือต้องมีสัญลักษณ์คำแนะนำชวนชิม แล้วจะกินเฉาก๊วยแบบไหนดี เพราะเฉาก๊วยมีความแตกต่างกัน บางเจ้าเนื้อนิ่ม บางเจ้าเนื้อแข็ง บางเจ้าทำเป็นเส้นเล็กๆ บางเจ้าทำเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า แล้วต้องกินยังไงถึงจะอร่อย กินกับน้ำเชื่อม ใส่นม ใส่น้ำแดง ใส่กะทิ หรือต้องมีส่วนประกอบอื่น เช่น ข้าวโพด ลูกชิด ฯลฯ โอ…สารพัดความคิด

แล้วหากจะทำเฉาก๊วยขาย จะให้ความสำคัญกับอะไร?

ก่อนจะไปถึงตรงนั้น มาดูกันก่อนว่า “เฉาก๊วย” คืออะไร? มาจากไหน? ที่แน่ๆ เกือบทุกคนรู้ว่า “เฉาก๊วย” มาจากภาษาจีนแต้จิ๋ว แปลว่า “ขนมหญ้า” ฝรั่งเรียก “Grass Jelly” ส่วนหญ้าที่นำมาทำเฉาก๊วยคือ “หญ้าเฉาก๊วย” หรือ Mesona Chinensis เป็นพืชในตระกูลโหระพา เฉาก๊วยนอกจากรสชาติดีแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยามากมาย ช่วยขับเสมหะ แก้คลื่นไส้ เบื่ออาหาร และแก้อาการปวดท้อง เป็นไข้หวัด ลดความดันโลหิตสูง บรรเทาอาการกล้ามเนื้ออักเสบ ข้ออักเสบ ตับอักเสบและเบาหวาน ตามตำราจีนนั้นสามารถช่วยลดอาการร้อนในกระหายน้ำได้ดีทีเดียว

ต้นเฉาก๊วย

แรกเริ่มนั้นเฉาก๊วยในประเทศไทยที่เรากินกันทุกวันนี้ อพยพมาพร้อมกับคนจีนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย ได้นำเอาเฉาก๊วยเข้ามาขายด้วย โดยแรกๆ ขายเป็นเฉาก๊วยนิ่มแบบดั้งเดิมจากประเทศจีน แต่เป็นเพราะเมืองไทยอากาศร้อน เพียงแค่ไม่นานเฉาก๊วยก็กลายเป็นที่นิยมและเป็นที่รู้จักของคนไทย ต่อมาจึงขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ

สำหรับต้นเฉาก๊วยที่นำมาทำเฉาก๊วยให้เรากินนั้น เป็นต้นเฉาก๊วยตากแห้ง สมัยก่อนต้องสั่งนำเข้าจากประเทศจีน แต่ทุกวันนี้มีการนำพันธุ์เฉาก๊วยมาปลูกในเมืองไทยแล้ว ถึงอย่างนั้น บางโรงงานก็ยังรับต้นเฉาก๊วยตากแห้งมาจากประเทศจีน เวียดนาม และอินโดนีเซียเพื่อมาขายอีกที

ว่ากันว่าต้นเฉาก๊วยที่คุณภาพดีที่สุดอยู่ที่เมืองทัตเค ในแคว้นหลั่งเซินของเวียดนามตอนเหนือ ห่างจากกรุงฮานอยราว 150 กม. เมืองทัตเคได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งเฉาก๊วย เพราะมีอากาศเย็นตลอดทั้งปี และมีดินปนทราย จึงทำให้สามารถปลูกต้นเฉาก๊วยได้ปีละ 2-3 ครั้ง พื้นที่กว่า 80% ของเมืองนี้จึงเต็มไปด้วยไร่เฉาก๊วย และพืชสมุนไพรอื่นๆ เมื่อเก็บเกี่ยวต้นเฉาก๊วยแล้วจะนำมาตากจนแห้ง จากนั้นนำส่งโรงงานเพื่อเข้าเครื่องอัดบล๊อค อัดออกมาเป็นแท่งสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ให้ง่ายต่อการขนส่ง ปีหนึ่งๆ เมืองทัตเค ประเทศเวียดนาม มีการส่งออกต้นเฉาก๊วยถึง 10,000 ตัน

การทำเฉาก๊วย ก็คือการนำต้นเฉาก๊วยแห้งมาต้ม จะได้น้ำเป็นเมือกสีดำ ต้องกรองแล้วเอามาผสมแป้งตั้งทิ้งไว้จนเย็น จะมีลักษณะคล้ายวุ้นสีดำ มีกลิ่นหอม ส่วนความเหนียวหนึบของเฉาก๊วยนั้นเกิดจากการต้มต้นเฉาก๊วยแห้งกับน้ำ จนยางไม้และแพคตินละลายออกมาได้น้ำสีน้ำตาลดำ ก่อนจะกรองเอาแต่น้ำนำไปผสมกับแป้ง ซึ่งตามตำรับโบราณนิยมใช้แป้งท้าวยายม่อม และแป้งมันสำปะหลัง ตามสัดส่วนหรือสูตรของแต่ละคน เวลาจะกินก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคนว่าจะกินอย่างไร ส่วนใหญ่จะใส่น้ำเชื่อมและน้ำแข็งให้ชื่นใจคลายร้อน

รู้ความเป็นมาของเฉาก๊วยแล้ว ลองมาทำเฉาก๊วยกินกันสักถ้วยดีไหม!! หรือใครสนใจอยากเรียนการทำเฉาก๊วย 2 สูตร ทั้งสูตรอ่อนนุ่มและสูตรหนึบเด้ง “มติชน อคาเดมี” เปิดคอร์สสอน ราคา 2,140 บาท (อ่านรายละเอียอดคอร์สเพิ่มเติมได้ที่ https://www.matichonacademy.com/demo-class/article_6319) ติดต่อเข้ามาได้ที่ Inbox : Facebook Matichon Academy
Tel : 0-2954-3977-84 ต่อ 2115, 2116, 2123, 2124
Mobile : 08-2993-9097, 08-2993-9105
หรือติดต่อ line : @matichonacademy

ม้ว่าละครบุพเพสันนิวาสจะลาโรงจบไปแล้ว แต่เรื่องราวของประวัติศาสตร์สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ยังคงเป็นที่สนอกสนใจของผู้คนทั่วไป โดยเฉพาะเรื่องราวอันเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ไม่มีการบันทึกใดๆ ไว้ในแบบเรียนประวัติศาสตร์ชาติไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา จะมีก็แต่จากปากคำการบอกเล่า หรือบันทึกส่วนตัวของผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องกระหายใคร่รู้กันมาก อย่างเช่นเรื่องของ “เจ้าพระยาวิชเยนทร์” หรือ “คอนสแตนติน ฟอลคอน”

เรื่องราวของท่านผู้นี้ “สุกิจ นิมมานเหมินท์” อดีตรองนายกรัฐมนตรี เมื่อ พ.ศ.2512 ราชบัณฑิตสาขาวิชาประวัติศาสตร์ เคยเขียนหนังสือกล่าวถึงเจ้าพระยาวิชเยนทร์ไว้อย่างน่าสนใจ และเป็นความรู้ใหม่ให้คนอ่านได้ใคร่ครวญตามอย่างที่ท่านว่า ซึ่งเป็นดังนี้…

พระยาวิชเยนทร์หรือวิไชเยนทร์นั้น ตามเอกสารหนังสือที่พอจะพบถ่ายภาพมาได้ ก็ว่าเป็นเจ้าพระยาเสนาบดีของไทยคนแรกที่เป็นคนต่างด้าว เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร รับราชการสนองพระเดชพระคุณในกรมท่า จนได้เลื่อนยศฐาบรรดาศักดิ์ขึ้นเรื่อยๆ โดยเหตุที่ท่านผู้นี้มีชื่อเดิมเป็นภาษากรีกว่า “เยระกี” (Yeraki) บ้าง Hierachy บ้าง แล้วแต่จะสะกดกัน

เมื่อมาสมัครงานเป็นลูกเรืออังกฤษ ก็แปลชื่อสกุลของตน จากคำว่า “เยระกี” ซึ่งแปลว่า “เหยี่ยว” ไปเป็น “Falcon” อ่านว่า “ฟอลคอน” แปลว่า “เหยี่ยว” เหมือนกัน ต่อมาภายหลังเมื่อรู้กันว่ากำพืดเดิมของท่านผู้นี้เป็นกรีก ก็มีผู้เชี่ยวชาญทางภาษาเกิดแก้ตัวสะกดใช้ตัว Ph แทน F ก็เลยแปลงนาม Falcon มาเป็น Phaulkon ซึ่งเมื่อเขียนควบกับนามตัวเข้าไปก็เป็น “คอนสะแตนติน ฟอละคอน” หรือ “Constantine Phaulkon”

แต่ในเอกสารฝรั่งเศสยังใช้แต่บุรุษสรรพนามของท่าน ว่า Monsieur Constance หรือแค่ M.Constance เท่านั้น มีผู้รู้บางท่าน โดยเฉพาะ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยออกความเห็นว่า ตราประจำตระกูลของเจ้าพระยาวิชเยนทร์เป็นรูปเหยี่ยว ดังที่ปรากฏใช้ประทับเอกสารของท่านผู้นั้น ที่ใช้ติดต่อกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ฝรั่งเศสครั้งนั้น ถ้าดูเผินๆ แล้วจะเห็นได้ว่าช่างคล้ายกับตรา นกวายุภักษ์ ซึ่งเป็นตราประจำกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ หรือกระทรวงการคลังปัจจุบันนี้เอามากๆ

ภาพตราประจำตระกูลจากในละคร
ตราประจำกระทรวงการคลัง

เจ้าพระยาวิชเยนทร์ผู้นี้ นับว่าเป็นชาวต่างชาติคนแรกที่เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากในราชสำนักสยาม หนำซ้ำยังได้ดำรงตำแหน่งสำคัญเป็นถึงสมุหนายก ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งไม่เคยมีใครทำได้อย่างนี้มาก่อน