เซต จุ๋ยก้วยปูทะลักรวยล้นฟ้า

'อากู๋จุ๋ยก้วย' ของว่างจากเฉาโจว ปรับโฉมใหม่ทันสมัยและอร่อยมาก

สารภาพตามตรงว่าไม่เคยรู้จักของว่างชาวจีนที่ชื่อว่า “จุ๋ยก้วย” มาก่อนเลย รอบตัวคนจีนที่รู้จักก็ไม่เคยนำพาสิ่งนี้มาให้ได้ลิ้มลอง หรือพูดถึงให้เตะหูซักครั้ง

เพิ่งได้รู้จักจุ๋ยก้วยก็ตอนได้มาชิมที่ร้าน “อากู๋ 88” ของ คุณแมท-สุวิทย์ เอื้อศักดิ์ชัย ที่แวดวงมาร์เก็ตติ้งรู้จักกันดีในนามของนักสร้างแบรนด์มือทองนี่แหละค่ะ

ร้านอากู๋ 88 เพิ่งจะเปิดวันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมานี้เอง แต่ประสบการณ์ทำร้านอาหารเจ้าตัวไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยเปิดร้านอาหารปักษ์ใต้ และขนมสโคนอันลือลั่นสนั่นกรุงมาแล้วภายใต้ชื่อร้าน “Sweet Burgundy Weekend Cafe” แต่ตัดสินใจยุติลงไป เพราะขายดีคนแน่นร้าน แล้วคุณแมทซึ่งมีหน้าที่การงานอีกหลายบทบาทเลยทำต่อไม่ไหว

มาตัดสินใจเปิดร้านครั้งใหม่ล่าสุดนี้ เพราะโชคชะตาได้มาพบกับ “คุณเปิ้ล-กรชนก โรจนโภควาณิชย์” มือทำกุยช่ายมากประสบการณ์จากตลาดพลูที่มาอบรมการสร้างแบรนด์กับคุณแมทช่วงก่อนโควิด-19 จะระบาด ได้ติดต่อเรื่อยมา พูดคุยถูกคอจนตกลงทำธุรกิจจุ๋ยก้วยร่วมกันในที่สุด

ช่วงที่พูดคุยให้คำปรึกษาระหว่างลูกศิษย์อาจารย์นั้น คุณแมทบอกคุณเปิ้ลแบบตรงไปตรงมาว่า จะทำแบรนด์กุยช่ายเป็นเรื่องยากมาก เพราะกุยช่ายก็คือกุยช่าย และมีขายทั่วทุกมุมเมือง เลยโยนไอเดียว่าทำจุ๋ยก้วยได้ไหม เพราะเป็นอาหารโปรดของคุณแมท โปรดปรานขนาดที่รู้จักขนมนี้ดีอย่างทะลุปรุโปร่ง ร้านเด็ดดังในเยาวราชตระเวนกินมาหมดแล้ว ที่สำคัญไปได้สูตรนึ่งแป้งขาว กับวิธีผัดไชโป๊มาจากอาม่าที่เมืองเฉาโจวอีกด้วย

จากนั้นลูกศิษย์อาจารย์จึงได้นำมาฝึกหัดทำกันเองจนได้สูตรเฉพาะของ “อากู๋จุ๋ยก้วย”

“อากู๋จุ๋ยก้วย” คือ จุ๋ยก้วยที่คุณแมทนำมาเสนอในรูปแบบใหม่ คือ มีทั้งแบบออริจินอลที่เป็นแป้งขาวเฉาโจวนึ่งกินกับไชโป๊และเห็ดหอมผัด รสชาติเค็มๆ หวานๆ กินเพลิน

และรูปแบบใหม่ที่นำแป้งมาเติมสี 6 สี ที่สำคัญมาจากธรรมชาติทั้งหมด โดยสีชมพูมาจากแก้วมังกร เหลืองมาจากขมิ้น ส้มจากแครอต สีม่วงจากอัญชันที่ใส่น้ำมะนาว ฟ้าจากอัญชัน เขียวจากใบเตย

ส่วนของแป้งสีนี้เรียกว่าแป้งสีลั่กไช้ เป็นความเชื่อคนจีนเรื่องสีมงคล

ส่วนเครื่องก็มีการเพิ่มความน่าสนใจด้วยการใส่ หมูสับ กุ้งสับคลุกมันกุ้ง เต้าหู้ ลงไปด้วย และอีกอย่างที่คนร้องโอ้โฮ คือ จุ๋ยก้วยปูทะลัก ที่แม่ครัวเล่นโปะปูใส่มาบนแป้งแบบทะลักล้นจริงๆ

ส่วนน้ำจิ้มต่างๆ ก็ล้วนคัดคุณภาพและพิถีพิถันสุดสุด เริ่มจากซีอิ๊วก็เป็นซีอิ๊วปรุงเองเคี่ยวเอง พริกน้ำส้มคัดพริกจินดาแดงนำมาตำไม่ปั่น กระเทียมเจียวนำมาบดและเจียวเองทุกขั้นตอน

ความโดดเด่นของเครื่องจุ๋ยก้วยที่นี่ คือ การผัดแบบแห้งไม่แฉะน้ำมันเหมือนเจ้าอื่นๆ เพราะสิ่งที่เน้นที่สุด คือ  เรื่องสุขภาพ

คุณแมทบอกว่า ดั้งเดิมจริงๆ มีแค่แป้งขาว ส่วนเครื่องมีแค่ไชโป๊กับเห็ดหอม เราก็มาคิดท็อปปิ้งใหม่หมด ซึ่งต้นตำรับบางเจ้าจะเคี่ยวไชโป๊เห็ดหอมจนเหนียวจนแยกไม่ออก แต่เรามองว่าเทกเจอร์มันต้องน่ารับประทาน และต้องเพื่อสุขภาพจึงต้องทำให้น้ำมันแห้งที่สุด ไม่ใช่ตักเข้าปากมีแต่น้ำมัน

คุณเปิ้ลที่ได้รับโจทย์นี้ไปจึงกลับไปทำอยู่หลายรอบจนลงตัวในที่สุด

คุณเปิ้ลบอกว่า ตอนเด็กๆ ที่เราเห็นหรือโตมาจะใช้น้ำมันเยอะ เหมือนต้มในน้ำมัน แล้วจะง่ายในการทำ แต่เราเน้นสุขภาพ เลยใช้น้ำมันรำข้าวในการผัดเครื่อง และไม่ใช้เยอะ อาจจะเสียเวลาหน่อย เพราะต้องใจเย็น ค่อยๆ ผัด ผัดเห็ดให้หอมก่อนแล้วลงไชโป๊ลงไป ผัดจนเรารู้สึกว่าแห้งก็ใช้ได้

ส่วนแป้งก็นุ่มละมุนลิ้นมากๆ เพราะทุกอย่างที่นี่ทำแบบโฮมเมดจริงๆ

คุณแมท-สุวิทย์-เอื้อศักดิ์ชัย
จุ๋ยก้วยแป้งสีที่เพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ
เซตมาเดี่ยวรวยคนเดียว

คุณเปิ้ลบอกว่า แป้งต้องนวดด้วยมือ ทำทีละพอร์ชั่นเล็กๆ เพื่อควบคุมคุณภาพ นำไปผสมน้ำแล้วเทหยอดทีละถ้วยๆ นึ่งด้วยเวลาที่เหมาะสมจนได้แป้งที่นุ่มกินอร่อย

สำหรับเมนูที่ร้านจะเสิร์ฟเป็นเซต โดยมีจุ๋ยก้วยเป็นหลัก และมีอาหารนึ่งอื่นๆ เป็นตัวเสริม ถ้าใครไปรับประทานที่ร้านจะมีให้เลือกทั้งหมด 5 เซต

เซตแรก “มาเดี่ยวรวยคนเดียว” 188 บาท ประกอบด้วย จุ๋ยก้วยแห้งสีลั่กไช้ 8 ชิ้น ไชโป๊เห็ดหอมหมูสับ 1 ถ้วย ขนมจีบสุขภาพหยิบหยางงาดำรำข้าว 3 ชิ้น และน้ำชาจีนร้อน 1 กา

เซตที่ 2 “มาเป็นคู่รวยด้วยกัน” 388 บาท ประกอบด้วย จุ๋ยก้วยแป้งขาว และแป้งสีลั่กไช้ 15 ชิ้น ไชโป๊เห็ดหอม 1 ถ้วย ไชโป๊เห็ดหอมกุ้งสับ 1 ถ้วย ขนมจีบงาดำรำข้าว 2 ชิ้น ก๋วยเตี๋ยวหลอดห่อทรัพย์ 1 ชิ้น น้ำชาจีนร้อน 1 กา และน้ำเก๊กฮวย 2 ขวด

เซตสี่สหายมหามงคล

เซตที่ 3 “สี่สหายมหามงคล” 888 บาท ประกอบด้วย จุ๋ยก้วยแป้งขาว 12 ชิ้น จุ๋ยก้วยแป้งสีลั่กไช้ 12 ชิ้น ไชโป๊เห็ดหอม 1 ถ้วย ไชโป๊เห็ดหอมเต้าหู้ 1 ถ้วย ไชโป๊เห็ดหอมหมูสับ 1 ถ้วย ไชโป๊เห็ดหอมกุ้งสับ 1 ถ้วย ขนมจีบงาดำรำข้าว 8 ชิ้น ก๋วยเตี๋ยวหลอดห่อทรัพย์ 3 ชิ้น กุยช่ายอัญชัน 4 ชิ้น น้ำซุปรากบัว 4 ถ้วย น้ำชาจีนร้อน 1 กา และน้ำเก๊กฮวย 4 ขวด

เซตที่ 4 “จุ๋ยก้วยปูทะลักรวยล้นฟ้า” 888 บาท ประกอบด้วย จุ๋ยก้วยแป้งขาวและจุ๋ยก้วยแป้งสีลั่กไช้รวม 35 ชิ้น ไชโป๊กุ้งสับ 1 ถ้วย เนื้อปูทะเลสดชิ้นใหญ่ 1 ถ้วย น้ำซุปรากบัว 2 ถ้วย น้ำชาจีนร้อน 1 กาและ น้ำเก๊กฮวย 2 ขวด

เซตที่ 5 “กู๋แมทท์พารวย” 388 บาท อาหารในเซตประกอบด้วย จุ๋ยก้วยแป้งลั่กไช้ 8 ชิ้น ไชโป๊เห็ดหอมเนื้อปูก้อน 1 ถ้วย กุยช่ายอัญชัน 2 ชิ้น และน้ำชาจีนร้อน 1 กา

สำหรับที่ร้าน เปิดเพียง 2 วัน คือ วันศุกร์กับเสาร์ เวลา 11.00-15.00 น. มาไม่ยากอยู่ในซอยลาดปลาเค้า 18 บ้านเลขที่ 88 เปิดกูเกิลแมพส์มาได้เลย แต่อาจจะหาที่จอดรถยากหน่อย สามารถจอดแปะได้ตามกำแพงค่ะ แต่ถ้าใครไม่ถนัดเปิดกูเกิล ให้ตรงเข้ามาที่ลาดปลาเค้า 18 เกือบสุดซอย จะเจอแยกระหว่างตึกให้เลี้ยวขวาสุดทางจะเจอร้านเลย สังเกตประตูสีเข้มบานใหญ่ไม่เหมือนใคร

ส่วนดิลิเวอรี สั่งได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 11.00-17.00 น. ดูรายละเอียดได้ที่เฟซบุ๊ก RKU_CHWEEKUEH ไลน์แมน อากู๋ จุ๋ยก้วย ไลน์แอด @rku2465 หรือโทร 09-4956-5965, 09-9222-9956

ก๋วยเตี๋ยวหลอดสูตรเฉพาะชิ้นอวบอ้วน
กุยช่าย
จุ๋ยก้วยแป้งสี และ แป้งขาว โรยหน้าด้วยเนื้อปูชิ้นใหญ่เต็มจาน
ขนมจีบหมูงาดำ
ไขโป๊เห็ดหอมหมูสับ มันกุ้ง และกุ้งสับ
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]
เนื้อปูแกะไซส์ XL

ในยุคข้อมูลข่าวสารแล่นปรู๊ดปร๊าดชั่วพริบตา สมัยนี้อยากกินอะไรช่างง่ายดาย จิ้มมือถือไม่กี่ครั้ง นอนกระดิกเท้าเล่นสบายใจ รอไม่นานเดี๋ยวก็มีของกินมาส่งถึงหน้าบ้านสมใจอยาก

ขอแนะนำของอร่อยสุดยอดอาหารทะเลอยู่รายหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นผู้บุกเบิกพวกแรกในธุรกิจดิลิเวอรีมาตั้งแต่ปี 2555 เจ้านี้มีชื่อว่า JQ ปูม้านึ่ง

JQ ปูม้านึ่งเป็นของ คุณโอ๋ สุรีรัตน์ ศรีพรหมคำ กับ คุณอี๊ด ประเสริฐ สมบูรณ์ ผู้เป็นสามี เริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้างทำงานกินเงินเดือนเหมือนคนทั่วไป ในที่สุดหันมาประกอบอาชีพส่วนตัว รับอาหารทะเลจากคุณแม่ของคุณโอ๋ที่อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี มาส่งร้านอาหารกับโรงแรมที่กรุงเทพฯ โดนกดราคา โดนยกเลิกรับของ จึงเกิดไอเดียเร่งด่วนคือปรุงอาหารทะเล ปิ้งๆ ย่างๆ นึ่งๆ ผัดๆ ส่งให้ตามบ้านเสียเลย มิฉะนั้นของที่ส่งมาอาจจะเน่าเสียได้

ผ่านมา 9 ปี ธุรกิจเติบใหญ่ มีปูสดๆ มาจากแพปูของแม่ที่สุราษฎร์ทุกวันนับร้อยกิโล นำมานึ่งที่กรุงเทพฯ มีสาขาสำหรับกระจายของถึง 8 แห่ง สั่งล่วงหน้า 1-2 ชั่วโมง ปรุงให้เดี๋ยวนั้นร้อนๆ ส่งตรงถึงหน้าบ้าน อีกทั้งตอนนี้สั่งได้ทุกบ้าน ทุกอำเภอทั่วไทย (โดยต่างจังหวัดให้สั่งล่วงหน้า 1 วัน)

เท่านี้ยังไม่พอ ยังมีอาหารทะเลให้เลือกสั่งหลากหลายอีกเพียบ ทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา บางอย่างก็เป็นของตามฤดูกาล โดยจะแจ้งเป็นวันๆ ไป

แล้วจะเข้าไปดูที่ไหนล่ะ ช่องทางแรกคือเฟซบุ๊กแฟนเพจ (Facebook Fanpage) เจคิว ปูม้านึ่ง Delivery เปิดเข้าไปดูมีเมนูอาหารทะเลประจำวันนั้นๆ อีกทั้งโปรโมชั่น (ถ้ามี) ด้วย สั่งผ่านเพจได้เลย

ช่องทางถัดมาคือทาง Line @JQPUUMANUNG (มี @ ข้างหน้าด้วย) ซึ่งผมใช้ช่องทางนี้ในการสั่ง สามารถโต้ตอบกันได้เลยว่าวันนี้มีอะไรที่หมดหรือไม่มีขายบ้าง สะดวกรวดเร็ว ส่วนช่องทางสุดท้ายคือทำแบบดั้งเดิม โทรสั่งที่ 0-2105-4205

ทั้ง 3 ช่องทางนี้จะสั่งได้ตั้งแต่ 10 โมงเช้าเป็นต้นไปจนถึง 2 ทุ่ม แต่ช้าก่อน ขอเตือนว่า ควรสั่งจองกันตั้งแต่ตอนสายๆ เสียเลย เพราะวันก่อนผมมีบทเรียน จะสั่งช่วง 5 โมงเย็น ปรากฏว่าของหมดไปหลายอย่างแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือปูม้า แต่นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าที่ JQ ปูม้านึ่ง ขายปูกันวันต่อวันจริงๆ ข้อดีอีกอย่างของเจ้านี้คือรับบัตรเครดิตด้วย ไม่มีขั้นต่ำในการสั่ง หรือจะโอนเงินก็ได้

ของดีเชียร์ให้ลิ้มลองที่ห้ามพลาดเลยคือ กุ้งแม่น้ำเผา ตัวใหญ่ขนาด 4 ตัวต่อกิโล ผ่าครึ่งซีก เผามาร้อนๆ มันเยิ้มๆ เต็มหัว เนื้อสดหวานจริงๆ สนนราคา 1 ตัว 450 บาท แต่ถ้าสั่ง 2 ตัว เหลือแค่ 850 บาท แล้วจะสั่งแค่ 1 ตัวทำไมล่ะจ๊ะ นอกจากนี้ยังมีกุ้งแม่น้ำเผา จำนวน 4-5 ตัวต่อชุด ราคา 550 บาท ใช้กุ้งแม่น้ำขนาด 8 ตัวต่อกิโล

ทีเด็ดอยู่ที่ น้ำจิ้มซีฟู้ด ที่ให้มาด้วยคู่กัน รสจัด เผ็ดกำลังดี หอมอร่อย ใช้มะนาวแท้ๆ ถึงขนาดที่ว่ามีบริษัททัวร์สั่งน้ำจิ้มซีฟู้ดบรรจุขวดพกติดไปเมืองนอกบริการลูกทัวร์ เก็บในตู้เย็นอยู่ได้นาน 7-10 วัน (บรรจุในคลีนรูม มีตรา อย.) ขวดละ 120 บาท

กุ้งแม่น้ำขนาดแปดตัวต่อกิโล
กรรเชียงปู
เนื้อปูแกะให้ทั้งตัว มีไข่ปูติดมาด้วย

แน่นอนว่าดีที่หนึ่งอันดับหนึ่งย่อมต้องเป็น ปูม้านึ่ง สั่งมากี่ครั้งก็สดหวานอร่อยทุกครั้ง (ผมเคยแอบสั่งในชื่อเพื่อนคนอื่นด้วยต่างหาก) มี ปูม้านึ่งขนาด 3-4 ตัวต่อกิโล สนนราคากิโลละ 900 บาท ซึ่งสามารถสั่งให้แกะหรือทุบเรียงเป็นชิ้นส่วนใส่กล่องให้ได้เลย โดยต้องบอกตอนสั่งว่าจะให้ทุบให้แกะหรือไม่ให้ทำ เพราะบางคนต้องการนำไปถ่ายรูปเป็นตัวๆ ก่อนกินเพื่อความสวยงาม ซึ่งถ้าให้แกะด้วยที่ร้านจะเรียกว่า เนื้อปูแกะไซซ์ XL (900 บาท) นอกจากนี้ยังมี เนื้อปูแกะไซซ์ M (550 บาท) อีกด้วย ขอบอกว่าเนื้อปูม้าสุราษฎร์นี่อร่อยอย่าบอกใคร

ยังไม่จบเรื่องปูๆ ยังมี กรรเชียงปูล้วนๆ (250 กรัม 650 บาท) เคี้ยวกร้วมๆ เต็มคำ และอีกทั้งบางวันก็มี ปูไข่นึ่ง 2 ตัวต่อชุด (550 บาท) ถ้ามีให้รีบตะครุบ อีกอย่างที่สุดยอดคือ หอยจ๊อโคตรปู (5 ลูก 420 บาท) แต่ละลูกนั้นอัดแน่นด้วยเนื้อปูชิ้นเท่านิ้วเด็ก นอกจากปูนึ่งก็มี ปูไข่ดองทรงเครื่องไซซ์ L (650 บาท) ดองน้ำปลาแล้วแช่ช่องแข็ง ถ้ายังไม่จุใจก็มีกรรเชียงปูชิ้นโตๆ บรรจุกระป๋อง จำนวน 45-50 ชิ้น เก็บในตู้เย็น (ยังไม่เปิดกระป๋อง) ได้นาน 18 เดือน (1,450 บาท) อีกด้วย

ของทะเลอื่นๆ มี หมึกย่าง (ตัวละ 300-750 บาท ที่เห็นในรูป ตัวหนัก 9 ขีด 650 บาท) เป็นหมึกกระดองสดๆ ไม่แช่น้ำไม่แช่เกลือ ย่างทั้งตัวโตๆ จะสั่งให้หั่นเลยก็ได้ รวมถึง หมึกไข่แดดเดียว ตัวเล็กๆ พอดีคำ (350 บาท) และก็มี หอยหวานลวกหรือเผา (กิโลละ 400 บาท) หน้าตาเหมือนหอยหมาก แต่พอกินแล้วเหมือนหอยหวานเลย ซึ่งคุณโอ๋บอกว่าเป็นหอยมาจากประเทศปากีสถาน ลวดลายอย่างนี้ ซึ่งนานๆ จะมีที อีกทั้ง ปลากะพงทอดน้ำปลา (ทั้งตัว 385 บาท) ปลากะพงทอดน้ำปลาเป็นชิ้นๆ ซึ่งถ้าเป็นชิ้นจะนำไปนึ่งซีอิ๊วได้ด้วย (250 บาท) ต่อด้วย กุ้งแช่น้ำปลา (250 บาท) ใช้กุ้งขาวสดๆ ข้าวผัดปู (350 บาท) ข้าวผัดกุ้ง (250 บาท) บรรยายเท่าไหร่ก็ไม่หมดเสียที มีแม้กระทั่งปูขายเป็นชุด เรียกว่า ชุด Mega ปู มี 4 เมนู (1,600 บาท กินได้ 4-6 คน) เชิญสอบถามกันเอาเอง

สรุปได้ว่า JQ ปูม้านึ่งคือผู้ชำนาญเรื่องอาหารทะเลอย่างแท้จริง อย่าลืมว่าแต่ละวันควรรีบสั่งแต่ตอนสายๆ อย่ารอช้าจนเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเทศกาลวันพ่อ วันแม่ ปีใหม่ คิวสั่งจองแน่นอย่าบอกใคร ก็ของเขาดีจริงๆ นี่นา

ปูม้านึ่งเป็นตัว

JQ ปูม้านึ่ง

โดย คุณสุรีรัตน์ (โอ๋) ศรีพรหมคำ

ที่ตั้ง ไม่มีหน้าร้าน ดิลิเวอรีได้ทุกบ้านทั่วไทย

ช่องทางการสั่ง 1.เฟซบุ๊กแฟนเพจ (Facebook Fanpage) เจคิว ปูม้านึ่ง Delivery

2.Line @JQPUUMANUNG

3.โทร 0-2105-4205

 

เปิดบริการ 10.00-20.00 น. ทุกวัน

แนะนำ กุ้งแม่น้ำเผา ปูม้านึ่ง เนื้อปูแกะไซซ์ XL กรรเชียงปูล้วน หอยจ๊อโคตรปู ปูไข่ดองทรงเครื่องไซซ์ L หมึกย่าง หมึกไข่แดดเดียว หอยหวานลวกหรือเผา

ช่วงคนแน่น ช่วงเทศกาลวันพ่อ วันแม่ ปีใหม่

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
หมึกกระดองย่างทั้งตัว
ข้าวผัดกุ้ง
ข้าวผัดปู
คุณโอ๋ สุรีรัตน์ ศรีพรหมคำ
ปูไข่ดองทรงเครื่องไซซ์L
หมึกไข่แดดเดียว
หอยจ๊อโคตรปู
หอยหวานเผาหรือลวก
กรรเชียงปูชิ้นโตๆบรรจุกระป๋อง
น้ำจิ้มซีฟู้ดบรรจุขวด
บริยอชซิกเนเจอร์ ชื่อ Brioche from Heaven

เชฟไก่ ธนัญญา ไข่แก้ว เชฟขนมหวานชั้นแนวหน้าของประเทศไทยที่ใครๆ รู้จักกันดี ได้เปิดร้านขนมอบแห่งใหม่ในปีที่แล้ว (9 สิงหาคม 2562) บรรยากาศเหมือนเบเกอรี่คาเฟ่ของฝรั่งเศส ซึ่งถ้าใครมาเยือนครั้งแรกรับรองว่าจะต้องตกหลุมรักแน่นอน ร้านนี้มีชื่อว่า Brioche from Heavan แปลตรงตัวได้ว่าบริยอชจากสวรรค์ ซึ่งพอได้ลิ้มลองแล้วก็อร่อยเหมือนได้ขึ้นสวรรค์จริงๆ

บริยอช (Brioche) คือขนมปังที่มีต้นกำเนิดจากแคว้นนอร์มังดีของฝรั่งเศส ซึ่งจะเน้นใส่เนยเยอะเป็นพิเศษ เชฟไก่ตั้งฉายาว่าเป็นขนมปังเนยสดแห่งนอร์มังดี (แต่เป็นคนละสูตรกันนะจ๊ะ) ซึ่งสามารถนำมาทำเป็นขนมหวาน อาหารคาวและอาหารเช้าได้หลากหลายเมนู เช่น ขนมปังชุบไข่ทอดหรือเฟรนช์โทสต์

ส่วนบริยอชของเชฟไก่นั้นจะเป็นขนมอบสุดสร้างสรรค์ไส้ต่างๆ ทั้งคาวและหวาน ที่เลือกใช้วัตถุดิบทั้งแป้งและนมเนยจากฝรั่งเศส ซึ่งเนยคุณภาพดีนั้นเป็นเกรด AOC นำเข้ามาจากนอร์มังดีโดยตรง เพื่อให้คงความเป็นเอกลักษณ์ของบริยอชแห่งนอร์มังดีไว้ได้ อีกทั้งยังใช้ไข่ออร์แกนิกอีกด้วย

ร้าน Brioche from Heavan อยู่ในตรอกเล็กๆ ริมถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ตรงสถานี BTS ช่องนนทรี จึงใช้รถไฟฟ้าสะดวกที่สุด ให้ลงทางออก 4 แล้วเดินย้อนกลับหลังหันมาทางถนนสาทรเพียงไม่กี่สิบก้าวก็จะเห็นป้ายร้าน Brioche from Heaven เดินเลี้ยวซ้ายเข้าตรอกไปนิดเดียวก็ถึงแล้วอยู่ทางขวามือ ซึ่งเป็นตรอกสำหรับคนเดิน ไม่มีที่จอดรถ จึงไม่แนะนำให้นำรถมา

การตกแต่งร้านเก๋ไก๋น่ารักอบอุ่นด้วยผนังอิฐและท่อนไม้ฟืนจำลอง มีเก้าอี้หวายหน้าร้านให้นั่งเหมือนคาเฟ่ฝรั่งเศส ส่วนข้างในร้านเน้นส่วนครัวและเคาน์เตอร์ขนมอบส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่วทั้งร้าน มีที่นั่งด้านซ้ายมือจุได้ไม่ถึง 10 คน ซึ่งชั้นสองนั้นเชฟไก่ทำเป็นครัวขนมอบอีกด้วย เพื่อเพิ่มกำลังผลิตขนม จากที่ช่วงแรกต้องจำกัดให้ซื้อคนละ 3 ชิ้นเท่านั้น ในตอนนี้สามารถสั่งได้เต็มที่แล้ว เพียงแต่ว่าถ้าสั่งเยอะๆ หลายสิบชิ้นเป็นร้อยชิ้น ขอให้โทรมาสั่งจองล่วงหน้า 1-2 วันที่เบอร์ 06-4847-0049

ขอบอกว่าบริยอชทุกชนิดชิ้นโตมหึมา แบ่งกันกิน 2 คนได้สบายๆ ควรยกโขยงกันมาอย่างต่ำสัก 4 คนขึ้นไป แล้วสั่งมาเป็นกองกลางหลายๆ อย่าง จ้วงแย่งกันสนุกสนานเพลิดเพลิน

แน่นอนว่าบริยอชเมนูซิกเนเจอร์ที่สร้างชื่อจนกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ (talk of the town) เป็นที่กล่าวขานบอกต่อไปทั่วกรุง ก็คือบริยอชชื่อเดียวกับร้าน Brioche from Heaven (130 บาท) บริยอชนุ่มหนึบไส้ถั่วพีแคนสับหอมกลิ่นซินนามอน (อบเชย) คลุกน้ำตาลทรายแดง โปะหน้าด้วยพีแคนเป็นชิ้นๆ ราดคาราเมลหอมๆ ผู้ที่ชื่นชอบความหอมของอบเชยจะรู้สึกถูกใจมาก

บริยอชนอร์มังดีแอ๊ปเปิ้ล
บริยอชนูเทลล่า
บริยอชไม่มีไส้

ถ้ามาแล้วเจอเพลนบริยอช (Plain Brioche) (120 บาท) อบมาใหม่ๆ ร้อนๆ ให้รีบตะครุบเลย อันหมายถึงบริยอชไม่มีไส้ โรยหน้าด้วยน้ำตาลไอซิ่ง แป้งบริยอชสูตรเชฟไก่จะรีดเป็นเส้นๆ ถักเป็นเปีย แล้วกดในพิมพ์ก่อนอบ ทำให้เนื้อแป้งที่ได้เหนียวนุ่มมากยิ่งขึ้น ไม่ใส่ไส้อะไรก็อร่อยแล้ว

ช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ ต้องลองชิมบริยอชนูเทลล่า (Nutella Brioche) (120 บาท) โปะหน้าด้วยนูเทลล่า (เฮเซลนัทบดผสมโกโก้) มากจนจุใจ อีกทั้งมีถั่วเฮเซลนัทเคลือบน้ำตาลให้เคี้ยวกรุบกรอบมันๆ หอมหวานอีกด้วย

ข้ามมาแนะนำบริยอชชนิดคาวก่อน เผื่อใครอยากไปชิมจัดเต็มเป็นมื้อเช้า ให้สั่งบริยอชแฮมกับเห็ดแชมปิญอง (Ham & Champignon Brioche) (120 บาท) หรือเห็ดกระดุม (ฝรั่งเศสเรียกว่าชองปิญง) โปะหน้าด้วยชีส 3 ชนิดทั้งพาร์เมซาน เชดดาร์ และมอซซาเรลลา อีกทั้งบริยอชผักโขม (Spinach Brioche) (130 บาท) อบกับชีสกรูแยร์ (Gruyre) หอมๆ ด้วย

กลับมาที่บริยอชขนมหวาน ด้วยความที่บริยอชมีต้นกำเนิดจากแคว้นนอร์มังดีตามที่บอกไปแล้ว เชฟไก่จึงบรรจงทำบริยอชนอร์มังดีแอปเปิล (Normandy Apple Brioche) (120 บาท) นำเข้าไส้แอปเปิล (Apple Filling) สำเร็จจากนอร์มังดี เพื่อให้คงรสชาติแท้ๆ ของแอปเปิลนอร์มังดี และมีแอปเปิลอบปิดหน้ามาให้อีก 1 ชิ้นด้วย

นอกจากนี้ยังมีบริยอชพีนัทบัตเตอร์ (Peanut Butter Brioche) (120 บาท) ไส้พราลีนถั่วลิสงอบกวนน้ำตาลที่อุณหภูมิ 120 องศาเซลเซียส โปะด้านบนด้วยพีนัทบัตเตอร์หรือเนยถั่ว ซึ่งตอนนี้ไม่ได้มีทำออกมา อาจจะมีเมนูใหม่มาเสริมแทน

ในบางวันก็จะมีบริยอชรสพิเศษสไตล์ไทยๆ ไม่ได้ทำประจำ บริยอชมะพร้าว (Coconut Brioche) (120 บาท) หน้ากระฉีกทำจากมะพร้าวทึนทึกขูดเอง ผัดกับน้ำตาลโตนดเมืองเพชรบุรี โปะหน้าด้วยน้ำตาลฟองดองท์หอมกลิ่นมาลิบู (เหล้าลิเคอร์กลิ่นมะพร้าว) และเมนูใหม่ บริยอชมะตูม (130 บาท) ทำจากมะตูมเชื่อม นำมากวนเป็นแยม วันไหนมีให้ลองซื้อมาชิมเลยนะจ๊ะ

ชิมแล้วอร่อยติดใจ สามารถสั่งใส่กล่องกลับบ้านได้ โดยเก็บไว้ในตู้เย็นได้ 3 วัน เมื่อจะนำมากิน ให้อุ่นในเตาไมโครเวฟไฟแรงสุดนาน 40 วินาที (ถ้ายังไม่ร้อนพอก็กะเพิ่มทีละ 10 วินาที)

ที่ร้านยังมีขนมอบอื่นๆ ด้วยเช่น อัลมอนด์ครัวซองต์ (120 บาท) กับนอร์มังดี แอปเปิล เดนนิชเพสตรี้ (Normandie Apple Pastry) (80 บาท)

ขนมอบหอมอร่อยอย่างนี้ต้องคู่กับกาแฟชั้นเยี่ยม เชฟไก่ใช้เมล็ดกาแฟ Cafes Richard จากปารีส กิโลละหลายพันบาทเลยทีเดียว แต่ตั้งราคาขายแค่แก้วละ 80-110 บาทเท่านั้น นอกจากกาแฟก็มีชา มิลค์เชค และอัฟโฟกาโต (Affogato) ไอศกรีมราดกาแฟเอสเปรสโซอีกด้วย

ขอเชิญมาเยือนสวรรค์แห่งขนมอบบริยอช Brioche from ได้ทุกวันตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 2 ทุ่ม ถ้ามาแล้วเห็นผู้คนยืนออรอซื้อเต็มร้านไม่ต้องตกใจ เพราะนี่คือภาพชินตา ก็ของเขาดีจริงๆ นี่จ๊ะ

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก

ข้อมูล

Brioche from Heaven

โดย เชฟไก่ ธนัญญา ไข่แก้ว

ที่ตั้ง 156 ถ.นราธิวาสราชนครินทร์ สีลม บางรัก กรุงเทพฯ 10500

โทร 06-4847-0049

เปิดบริการ 10.00-20.00 น. ทุกวัน

แนะนำ Brioche from Heaven เพลนบริยอช (Plain Brioche) บริยอชนูเทลล่า (Nutella Brioche) บริยอชแฮมกับเห็ดแชมปิญอง (Ham & Champignon Brioche) บริยอชผักโขม (Spinach Brioche) บริยอชนอร์มังดีแอปเปิล (Normandy Apple Brioche) บริยอชมะพร้าว (Coconut Brioche) บริยอชมะตูม

Facebook Brioche from heaven

Instagram Briochefromheaven

Line 064847-049

ช่วงคนแน่น

11.00 – 14.00 น. และ 16.00 – 18.00 น. จันทร์-ศุกร์

12.00 – 18.00 น. เสาร์-อาทิตย์

แกงคั่วเห็ดเผาะปลากราย

อาหารแต่ละวัฒนธรรมย่อมมีความโดดเด่นในแบบฉบับของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ และวิธีการปรุงที่ต้องสอดคล้องไปกับไลฟ์สไตล์ของชนกลุ่มนั้นๆ กลายเป็นวัฒนธรรมการกินตามแบบฉบับของตัวเอง

ฉบับนี้จะชวนไปชิม อาหารไทยพวน ชื่อร้าน มัดหมี่ ร้านอาหารเก่าแก่กว่า 30 ปีที่อยู่คู่เมืองลพบุรี แขกไปใครมาต่างได้ยินกิตติศัพท์กันเป็นอย่างดี

อาหารที่ร้านมัดหมี่ขึ้นชื่อหลายอย่าง โดยเฉพาะเอกลักษณ์ของไทยพวน คือ ปลาร้าสับ ปลาร้าผัด แต่ที่เป็นซิกเนเจอร์ใครๆ ก็พูดถึงคือ “แกงคั่วเห็ดเผาะปลากราย” แม้จะไม่ใช่อาหารไทยพวน แต่ก็เป็นอาหารพื้นถิ่นที่ใครได้กินต่างก็ชมกันเปาะ

สำหรับอาหารมื้อนี้ ได้อานิสงส์จากการติดสอยห้อยตามคณะทัวร์ มติชน อคาเดมี (เจ้าเก่า) ที่มาเซอร์เวย์ทริป ท่องเที่ยวตามรอย อ.ปรีดี พนมยงค์ ที่จะมีขึ้นใน วันที่ 14-15 มีนาคม ที่จะถึงนี้

ที่เราลองสั่งมาชิมก่อน ต้องเป็นซิกเนเจอร์ที่ได้รับการกล่าวขวัญมาก คือ แกงคั่วเห็ดเผาะปลากราย (150 บาท) รสชาติของเมนูนี้มีความหวานนำแบบละมุน เห็ดเผาะนิ่มสะอาดกว่าทุกร้านที่เคยกินมา เนื้อปลากรายนุ่มเนียนชนิดที่เคี้ยวไปไม่มีฝอยอะไรให้ระคายลิ้นทั้งสิ้น ยกนิ้วให้สมกับเป็นเมนูยอดนิยม

ตามด้วย “น้ำพริกปลาร้าผัดหมูไข่ต้ม” (100 บาท) เด่นตรงกลิ่นปลาร้าหอมหวนชัดเจน รสชาติเค็มๆ นัวๆ เผ็ดร้อนนิดๆ กินกับไข่ต้มผักลวกเด็ดมาก อีกอย่างที่เป็นซิกเนเจอร์แต่เป็นจานเรียกน้ำย่อย คือ “ปลาส้มฟักทอด” (120 บาท) หั่นมาแบบก้อนสี่เหลี่ยมอวบอ้วน รสชาติเปรี้ยวเค็ม เนื้อหนึบเด้ง ผิวกรอบกินกับถั่ว พริก ขิง

ต่อมา “แกงส้มพวนไก่” (150 บาท) รสชาติหวานเปรี้ยวนัว ละมุนๆ แบบฉบับอาหารเพื่อสุขภาพ ชื่อว่าแกงส้มแต่ก็มีความต่างจากแกงส้มในภาคกลาง เพราะแกงส้มพวนจะใส่ปลาร้า และใส่ใบแมงลักให้หอมๆ คล้ายๆ แกงหน่อไม้ดองอีสาน แต่เมนูนี้ใช้หน่อไม้หวาน หรือ ยอดมะพร้าวก็ได้

“ไข่เค็มผัดพริกขิงปลาดุกฟู” (150 บาท) รสชาติมันหวานหน่อยๆ ถั่วฝักยาวกรอบเคี้ยวอร่อย และ ปิดท้ายด้วย “ไข่เจียวมดแดง” (140 บาท) ของที่นี่จะใช้ไข่เป็ดทอดออกมาเป็นสีส้มสวย เนื้อนุ่มฟู เหยาะพริกน้ำปลามะนาวซักนิด จะฟินมากค่ะ

ป้าติ๋ม-เนาวรัตน์ มุมบ้านเช่า เจ้าของร้านมัดหมี่ อาหารไทย (พวน) บอกเราว่า อาหารไทยพวน เอกลักษณ์ คือจะใช้น้ำปลาร้าแทนน้ำปลา และ เต็มไปด้วยสมุนไพรไม่เน้นกะทิ ถือเป็นอาหารแนวสุขภาพแบบหนึ่ง

“ไทยพวน คือ พวนที่มาจากเชียงขวาง ลาวเวียงจันทน์นะ แล้วมีมากที่สุดในลพบุรี ผ้าพื้นเมืองก็เป็นเอกลักษณ์ อาหารก็เป็นเอกลักษณ์ อย่างปลาร้าสับ ปลาร้าบอง ที่นี่เราขึ้นโต๊ะหมดเลย เราใช้ปลากระดี่และหมักต้องข้ามปี สองปีถึงจะอร่อย ทำเอง อาหารที่ร้านทำเอง ปีๆ หนึ่งก็ทำไว้เยอะ คือ เป็นอาหารประจำบ้านน่ะ คุณจะรวยขนาดไหนคุณต้องมีน้ำปลาร้าอยู่บนโต๊ะ”

น้ำพริกปลาร้าผัดหมูไข่ต้ม
แกงพวนส้มไข่
ไข่เค็มผัดพริกขิงปลาดุกฟู

ป้าติ๋มยกตัวอย่างการใช้ปลาร้า เช่น ไก่บ้านหากจะเอามารวน ก็จะรวนใส่น้ำปลาร้า แล้วใส่เครื่องเทศสมุนไพร ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ถือว่าเป็นอาหารสุขภาพ ส่วนปลาส้มฟักก็คือการถนอมอาหารแบบโบราณ เอาเนื้อปลากรายมาบดๆ ขยำๆ ใส่ข้าวสุกใส่กระเทียม เกลือนิดหน่อย ใช้เวลาสองวันก็มีรสชาติเปรี้ยว

ขณะที่ แกงคั่วเห็ดเผาะปลากราย แม้จะไม่ใช่อาหารไทยพวน ไม่มีปลาร้า แต่ก็เป็นซิกเนเจอร์ของร้าน เป็นอาหารพื้นเมืองที่การันตีด้วยรางวัลมากมาย หากพูดชื่อร้านแกงคั่วเห็ดเผาะปลากรายคืออาหารที่คนนึกถึง

ป้าติ๋มที่จบด้านคหกรรมมาโดยตรง เคยเป็นครูแล้วออกมาทำอาหารปลอดสารพิษ ที่สำคัญแม้จะวัยนี้แล้วก็ยังคงควบคุมการผลิตด้วยตัวเอง ยืนหน้าเตาปรุงเอง

“นี่ยังทำเองนะ เพราะลูกน้องไม่ได้เรื่อง คือเราใช้นานาชาติ กินกันคนละรส สมมุติว่าพม่ากินหวาน ลาวกินเค็ม เวียดนามกินเปรี้ยว เขมรกินเผ็ดอย่างนี้ คือ ทำออกมาแล้วไม่กลมกล่อมไม่ได้รสชาติ เราก็ยังต้องดูแลเอง ส่วนว่าถ้าใช้ชาติเดียวเขาก็พากันหนีหมด” ป้าติ๋มเล่าติดขำขัน

ไข่เจียวมดแดง

วัตถุดิบที่นี่ใครมากินสบายใจได้เลย เพราะใช้ผักปลูกเองทั้งหมด หรือไม่ก็ซื้อจากชาวบ้านที่รู้ถึงวิธีการผลิต หรือ ผักจากโครงการหลวงเท่านั้น

“รสชาติของที่นี่จะออกนัวๆ กลมกล่อม ใช้เครื่องปรุงที่ดี ไม่ใช่ผงชูรส ใช้ผักปลอดสารพิษ เป็นอาหารค่อนข้างจะคลีน ได้รางวัลจากกระทรวงสาธารณสุขอาหารคลีนนะ เขาจะมาจุ่มดูว่ามีปรอทไหม มีสารพิษ สิ่งเจือปนไหม เราก็ได้รางวัล”

ช่วงเสาร์อาทิตย์คนจะเยอะเป็นพิเศษ ซึ่งป้าติ๋มบอกว่าไม่รับจองนะคะ เพราะร้านมีขนาดเล็ก ทำเองดูแลเองคนเดียวดังนั้นใครมาก่อนได้นั่งก่อนค่ะ

เรื่องราวของชาวไทยพวนนี้ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลพบุรี ให้ข้อมูลไว้ว่า พวน ชาวพวน หรือไทยพวน เป็นกลุ่มชนที่มีอยู่กระจัดกระจายหลายจังหวัดในประเทศไทย ถิ่นฐานดั้งเดิมของชาวพวนอยู่ที่เมืองพวน ซึ่งอยู่ทางด้านเหนือของเมืองเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ชาวพวนได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยหลายครั้งด้วยกัน คือ สมัยกรุงธนบุรีตอนปลาย สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในครั้งที่ไทยยกทัพไปปราบฮ่อ ซึ่งชาวพวนที่อพยพมาแต่ละครั้งจะกระจายไปอยู่ตามจังหวัดต่างๆ เช่น สุพรรณบุรี สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี ลพบุรี ราชบุรี สุโขทัย ฉะเชิงเทรา เป็นต้น

สำหรับชาวพวนที่เข้าไปตั้งรกราก ในจังหวัดลพบุรีนั้น จะตั้งรกรากอยู่ที่ตำบลบ้านเซ่า อำเภอสนามแจง ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอบ้านหมี่

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]
ปลาร้าผัดหมู
ปลาส้มฟักทอด
ป้าติ๋ม-เนาวรัตน์
ถ่ายภาพคู่คุณชายถนัดศรี สวัสดิวัฒน์

🌾🌾🌾รีวิวร้านอาหารเปิดใหม่ แนวใหม่ Mixtaurant “สีสด บาย บานาน่า ลีฟ” เดอะเซอร์เคิล ราชพฤกษ์

กับความพิเศษ มี Rice Bar (ไรซ์ บาร์) แห่งแรกในเมืองไทย ให้คุณสีข้าวเองได้ในมื้ออาหาร และนำไปหุงทันที รอเพียงแค่15นาที ก็ได้กินข้าวที่ยังคงคุณประโยชน์เอาไว้ได้มากที่สุด เพื่อให้คุณค่าทางอาหาร พร้อม 6เบลนด์ข้าวสุขภาพ ให้เลือกกินตามชอบ

1.ข้าวหอมมะลิ 105 ออร์แกนิค รสชาติกลมกล่อมทานง่าย

2.ข้าวสูตรบำรุงผิวและความงาม บิวตี้เบลนด์ ผสมข้าว3สายพันธุ์ มีข้าวหอมมะลิแดง ข้าวหอมมะลิ และข้าวหอมปทุมเทพ ได้สารต้านอนุมูลอิสระสูง รสชาติอร่อย กลิ่นดอกไม้

3.ข้าวสูตรควบคุมน้ำหนัก เน้นไปที่กลุ่มที่มีกากใยสูงมาก กินแล้วจะอิ่มเร็ว มีค่ากลางของน้ำตาลต่ำ มีข้าวหอมนิลกับหอมมะลิแดง

4.ข้าวสูตรควบคุมน้ำตาล เหมาะกับกลุ่มผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพตัวเอง เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน สูตรนี้มี3สายพันธุ์ ข้าวหอมนิล หอมมะลิแดง และหอมมะลิ105 

5.ข้าวสูตรเด็กเล็กเพื่อพัฒนาการสำหรับเด็ก เน้นไปที่ข้าวที่มีโอรีลซานอล  คือ มีน้ำมันดี เป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างระบบประสาทและสมอง วิตามินต่างๆ โดยเฉพาะวิตามินบี1 สูตรนี้จะโดดเด่น เป็นข้าวขาว กินง่าย กลิ่นหอมหวานแบบข้าวโพด มีข้าวหอมปทุมเทพกับหอมมะลิ

6.ข้าวหอม5สายพันธุ์ เน้นรสชาติและจุดเด่นของข้าวทั้ง5สายพันธุ์ เป็นที่นิยม ตอบโจทย์เข้าได้กับทุกอย่าง อร่อย กินง่าย ครบถ้วนคุณค่าอาหาร

อ่านเพิ่มเติม : https://bit.ly/2Sjqei3

บะหมี่ใส่ก้ามปู(เฉพาะเสาร์-อาทิตย์-จันทร์)

คนฝั่งธนรุ่นพ่อสมัยเมื่อ 60 ปีก่อนทราบกันดีว่า แต่ก่อนนั้นช่วงตั้งแต่เชิงสะพานพุทธไปจนถึงตลาดพญาไม้คือดงบะหมี่ปูทะเลของกินอร่อย หลังจากความเจริญเยื้องกรายเข้ามา มีการสร้างสะพานคู่ ขยายถนนใหม่ ร้านเด็ดเหล่านี้ก็กระจัดกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆ ในเขตฝั่งธนบุรี

มีอยู่เจ้าหนึ่ง อากงหรือปู่อพยพมาจากเมืองจีนขายบะหมี่ปูอยู่ที่เชิงสะพานพุทธตั้งแต่ พ.ศ.2495 จนกระทั่งราวปี 2510 ลูกชายรุ่นที่สองหันไปขายกาแฟแทน เมื่อปี 2557 หลานชายรุ่นที่ 3 อันมีนามกรว่า เฮียเปี๊ยก บรรจบ ซื่อสุทธิกุล กลับมาสร้างตำนานบทใหม่ กับ ร้านบะหมี่ปูแปะชุ้น (ตั้งตามชื่อของอากง) จึงขอพามาที่สี่แยกวัดแขกในบัดดล

พ่อของเฮียเปี๊ยกได้ถ่ายทอดวิชาทำบะหมี่ปูไว้ให้ จึงมาเริ่มเปิดร้านใหม่ที่เจริญนครปากซอย 18 จากนั้นย้ายไปแถวเสือป่า ต่อมามีการจัดระเบียบร้านค้า เฮียเปี๊ยกจึงข้ามมาถิ่นเก่า ปักหลักขายในร้านทำผมเดิม ในตึกแถวคูหาเดียวใกล้ สี่แยกบ้านแขก ตั้งแต่ปลายปี 2558 เป็นต้นมา

ร้านนี้ไม่มีที่จอดรถ ไม่มีแม้กระทั่งห้องน้ำ ดังนั้นถ้าใครขับรถมาขอให้ไปจอดที่ ห้างบิ๊กซี สาขาถนนอิสรภาพ (ไม่เสียค่าจอด) อย่าลืมพกถุงผ้าไปด้วยนะจ๊ะ จะได้อุดหนุนซื้อของที่ห้างเสียก่อน จากนั้นควรแวะเข้าห้องน้ำในห้างให้เสร็จสรรพ ก่อนเดินออกมาข้างหน้าริมถนนแล้วเดินเลี้ยวซ้ายย้อนกลับไปทางสี่แยกบ้านแขก เพียงประมาณ 100 เมตร ก็จะเห็นร้านบะหมี่แปะชุ้นอยู่ฝั่งเดียวกันด้านซ้ายมือ ใกล้ ปากซอยอิสรภาพ 18

ที่นี่ทำกันในครอบครัว มีเฮียเปี๊ยก พี่อ๋อยภรรยา และน้องพีทลูกชาย (บางครั้งก็มีลูกสาวคนเล็กที่ยังเรียนอยู่มาช่วย) ด้วยความที่ลูกค้า 70 เปอร์เซ็นต์ คือนักเรียน นักศึกษา จึงมีเมนูสร้างสรรค์นอกเหนือจากบะหมี่ปูขึ้นมาอีกเพียบ นับได้ว่าเป็นร้านขวัญใจวัยรุ่นทีเดียว

ตรงข้างหน้าร้านจะตั้งรถเข็นใส่หม้อน้ำซุปทำจากน้ำต้มโครงไก่และ ปูม้าทั้งตัว ลอยหน้าเต็มหม้อ เพื่อเพิ่มกลิ่นรสความหอมของน้ำซุป ซึ่งเนื้อปูที่โรยหน้าบะหมี่นั้นคือปูทะเล ไม่ใช่เนื้อปูม้า โดยจะออกไปจ่ายตลาดตอนตี 4-ตี 5 จากเจ้าประจำที่ตลาดวงเวียนใหญ่ หรือไม่ก็ตลาดเก่าเยาวราช

ก่อนเดินผ่านประตูเข้ามา มีบทความของบล็อกเกอร์ดังๆ สรรเสริญถึงความอร่อยของบะหมี่ปูแปะชุ้นอยู่เต็มบานกระจก ที่ข้างในตั้งโต๊ะได้ประมาณ 7-8 ตัวเท่านั้น ติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ข้างฝาผนังมีภาพสเกตช์ของแปะชุ้น อากงเฮียเปี๊ยก ยืนยกนิ้วโป้งการันตีความอร่อย

เมนูเด็ดซิกเนเจอร์ของบะหมี่ปูแปะชุ้นย่อมต้องเป็น บะหมี่ปูใส่ไก่และหมูแดง อันประกอบไปด้วย บะหมี่เส้นกลมเล็กเหนียวนุ่ม สั่งทำเพิ่มไข่เป็นพิเศษจากเจ้าประจำที่ท่าดินแดง โรยหน้าด้วยปูทะเล ไก่ต้มฉีกใช้เนื้อสะโพก และหมูแดงทำเองไม่ใส่สี หน้าตาคล้ายหมูอบทำจากเนื้อหมูส่วนใกล้สันคอนุ่มๆ แล้วราดกระเทียมเจียว โรยกากหมู ถ้าเป็นอย่างแห้งจะใส่ผักกาดหอม ส่วนบะหมี่น้ำจะใส่ผักกวางตุ้ง ข้อสำคัญคือสนนราคาเพียงชามละ 45 บาทเท่านั้น (พิเศษ 60 บาท) ราคาสบายกระเป๋าแบบนี้แล้วจะไม่เป็นขวัญใจนักเรียนนักศึกษาได้อย่างไร

แนะนำว่าให้สั่ง บะหมี่แห้งใส่เกี๊ยวกุ้งผสมหมูสับ แล้วขอน้ำซุปหอมกลิ่นปูม้ามาอีก 1 ถ้วยเล็ก (ให้จดในใบตอนสั่ง ขอแถมน้ำซุปมาเลย ไม่เสียสตางค์เพิ่ม) สูตรบะหมี่ปูแปะชุ้นนี้ให้กินทั้งปู เนื้อไก่ และหมูแดงในคำเดียว จะได้กลิ่นรสและความหอมเข้ากันดีมาก เติมน้ำส้มพริกเหลืองตำเพิ่มรสชาติให้เข้มข้นยิ่งขึ้น

เฮียเปี๊ยก บรรจบ

ส่วนใครที่ชอบจัดเต็ม บะหมี่ปูใส่ก้ามปูทะเล ต้องมาวันเสาร์-อาทิตย์-จันทร์ 3 วันนี้เท่านั้น ก้ามปูสดเนื้อแน่นสะใจมาก (ชามละ 350 บาท) นอกจากนี้ยังมีเส้นเล็ก เส้นหมี่ให้เลือก อีกทั้งอยากเติมท็อปปิ้งอะไรให้ดูในเมนูได้เลย มีหลายอย่าง เช่น ไข่อบ (ฟองละ 10 บาท) ซึ่งไม่ใช่ไข่พะโล้ แต่อบกับน้ำหมูแดงจนกลายเป็นสีน้ำตาล

ชอบใจร้านนี้ตรงที่มีเมนูข้าวต่างๆ (หรือจะใส่บะหมี่แทนก็ได้) ให้กินหลากหลาย เฮียเปี๊ยกจัดให้ตามเสียงเรียกร้องของน้องๆ นักเรียน ที่ห้ามพลาดเลยเป็นอันขาดคือเมนูชื่อเก๋ พริกพสุธา (70-120 บาท) คือข้าว (หรือบะหมี่) กุ้งแชบ๊วย ราดเครื่องซอสกระเทียมพริกไทยหอมๆ บดผสมกับพริกขี้หนูสวนและพริกจินดา มีรสเค็มอมหวานเล็กน้อยและหอมเข้มข้นมาก จะใส่ปลากะพง (70-120 บาท) ปูม้า (100 บาท) ก็ได้

อีกอย่างที่ตั้งราคาดีมาก กลายเป็นเมนูโปรดของข้าพเจ้าไปแล้วก็คือ ข้าวซี่โครงรสโอชา ข้าวราดกระดูกหมูอ่อน ปรุงรสหวานมันเค็ม ใส่น้ำหมูแดง กากหมู น้ำมันงาและกระเทียมเจียว กินคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ด อิ่มอร่อยในสนนราคาเพียง 35 บาท (พิเศษ 45 บาท) หรือจะสั่ง ข้าวไก่อบ (35-45 บาท) ใช่ไก่เนื้อสะโพกนุ่มๆ หอมหวาน พอราดน้ำจิ้มซีฟู้ดแล้วมีครบทุกรส ซึ่งเด็กวัยรุ่นกำลังโตที่กินจุๆ นิยมสั่งเมนูข้าวขนาดโคตรพิเศษ 60 บาทอีกด้วย ใส่ในชามกระเบื้องให้ปริมาณมากจุใจ

พริกพสุธาใส่กุ้งแชบ๊วย

ต่อด้วยเมนูรสแซ่บ เผ็ดพงไพร (70-120 บาท) เป็นข้าวหรือบะหมี่ราดต้มยำแห้งกุ้งแชบ๊วย ใส่เครื่องต้มยำสมุนไพรบดเป็นซอสสำเร็จไว้เลย มีพริกเผา พริกขี้หนูสวนและพริกจินดาแดงแซ่บๆ เมนูนี้มีรสเปรี้ยวแซ่บเพิ่มขึ้นมาด้วย ถ้าชอบต้มยำน้ำข้นให้สั่ง แซ่บพิรุณ (70-120 บาท) บะหมี่หรือข้าวใส่ต้มยำกุ้งแชบ๊วยน้ำข้นผสมนมข้นจืดกับเครื่องต้มยำบด

ยังมีเมนูข้าวอื่นๆ อีกหลายอย่างให้เลือก ร้านบะหมี่ปูแปะชุ้นเปิดสายหน่อยตั้งแต่ 11 โมงครึ่งไปจนถึง 3 ทุ่มครึ่ง โดยจะมีช่วงพักเปลี่ยนน้ำซุปตอนบ่าย 2 โมงถึงบ่าย 3 โมงครึ่งอีกด้วย (แต่ยังมีเมนูข้าวต่างๆ ขายอยู่ในช่วงพัก) ร้านหยุดทุกวันอังคาร ขอเชียร์ให้มาชิมลิ้มลอง รับรองว่าต้องถูกใจแน่นอน

บะหมี่ปูแปะชุ้น

โดย คุณบรรจบ (เปี๊ยก) ซื่อสุทธิกุล

ที่ตั้ง 46 ใกล้ปากซอยอิสรภาพ 18 ถนนอิสรภาพ วัดกัลยาณ์ ธนบุรี กรุงเทพฯ 10600

โทร 08-7395-3278

เปิดบริการ 11.30-21.30 น. พุธ-จันทร์

หยุด อังคาร

แนะนำ บะหมี่ปู

Facebook ร้านบะหมี่ปู แปะชุ้น

ช่วงเวลาคนแน่น 18.00-20.30 น.

หมายเหตุ ร้านนี้ไม่มีที่จอดรถและห้องน้ำ ให้ไปจอดที่บิ๊กซีสาขาอิสรภาพ

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
แซ่บพิรุณ
ข้าวอบไก่
คุณยายอัมภา เฉลิมนัย

ขนมไทย ถือเป็นเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยอย่างหนึ่งที่รู้จักกันดี เพราะเป็นการบ่งบอกถึงความละเอียดอ่อนประณีตในทุกกระบวนการทำ

ปัจจุบัน ขนมไทยหลายชนิดมักถูกลืมไปแล้ว ด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งการเปลี่ยนแปลงยุคสมัย คนทำรุ่นเก๋าล้มหายตายจากไป หรือเป็นเพราะความยุ่งยากซับซ้อนในกระบวนการทำ จึงถูกปฏิเสธจากคนรุ่นใหม่ที่จะสืบสานต่อ ดังนั้น ดูเหมือนว่าจะหาขนมไทย (แท้) รับประทานยากเย็นเหลือเกิน

แต่กระนั้นคงไม่หมดหวังเสียทีเดียว เพราะยังคงมีแต่ผู้ประกอบอาชีพทำขนมไทยที่เป็นข้าวต้มมัดรายหนึ่ง เป็นสูตรดั้งเดิม ขายอยู่กลางกรุง ที่ว่าสูตรดั้งเดิมเพราะคนทำเป็นคนร่วมสมัยตั้งแต่สงครามโลก ครั้งที่ 2 แล้วยังสืบทอดมาจากในวังเลยทีเดียว

“บ้านขนมไทย คุณยายอัมภา” (THAI DESSERT) เป็นสถานที่ทำขนมไทยนานาชนิดสูตรโบราณ ทั้งข้าวต้มมัด ขนมกล้วย ขนมเทียน ขนมใส่ไส้ ตั้งอยู่ บ้านเลขที่ 13 โชคชัย 4 ซอย 39 ลาดพร้าว กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 539-9690/(081) 401-4438 แต่สำหรับที่นี่แล้วขนมที่ทำเป็นหลักและขายดีคือ ข้าวต้มผัด หรือข้าวต้มมัด กับขนมกล้วย ส่วนขนมเทียนและอื่นๆ อาจทำเฉพาะหน้าเทศกาลเท่านั้น

คุณยายอัมภา เฉลิมนัย เล่าว่า ทำขนมไทยมาตั้งแต่สมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 ทำอยู่ที่สี่แยกมหานาค ตอนนั้นอายุเพียง 9 ขวบ แม่ของคุณยายซึ่งเคยทำอาหารในวังเป็นคนทำ ส่วนตัวเธอเป็นผู้ช่วย จึงทำให้ถูกซึมซับนับจากนั้น พร้อมกับยึดอาชีพนี้มาตลอดจนย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังปัจจุบัน แล้วได้ถ่ายทอดการทำขนมไทยสูตรโบราณ ให้แก่ คุณประภาทิพย์ ฉ. เจริญผล ลูกสาวคนโต เพื่อรับช่วงต่อไป

คุณยายอัมภา บอกว่า กล้วยน้ำว้า ที่ใช้ทำข้าวต้มมัดและขนมกล้วย สั่งมาจากอำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ไม่ได้เลือกพันธุ์ เพราะเธอบอกว่ากล้วยที่ดำเนินสะดวกล้วนแต่เป็นพันธุ์ดีมีคุณภาพทั้งนั้น โดยสภาพกล้วยที่ส่งมาจะดิบก่อน แล้วสัก 1 วัน จึงจะเริ่มสุกใช้งานได้ ส่วนขนาดจะไม่ใหญ่หรือเล็กมาก เป็นขนาดที่กำลังพอดีเมื่อผ่าครึ่งแล้วสามารถห่อได้

ส่วนใบตอง สั่งมาจากเจ้าประจำที่อ่างทอง ใช้ใบตองตกอาทิตย์ละ 10 กิโลกรัม จะใช้เฉพาะใบตองอ่อนเท่านั้น แต่ขนมกล้วยใช้ใบตองแก่ คุณประภาทิพย์ บอกว่า ใบตองที่ใช้ห่อข้าวต้มมัด ถ้าใช้ 1 ทาง ใบจะฉีกได้ 5 ส่วน

การทำข้าวต้มมัดที่ยุ่งยาก กว่าจะนำออกขาย

กล้วยสั่งมาจากอำเภอดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
ข้าวต้นมัดที่อร่อย หอม ต้องนึ่งด้วยเตาถ่านเท่านั้น
ขนมกล้วยมะพร้าวอ่อน

คุณประภาทิพย์ เผยว่า ข้าวเหนียว ที่ใช้ทำข้าวต้มผัด ถ้าจะให้อร่อยควรใช้ข้าวเหนียวเขี้ยวงู แต่เนื่องจากมีราคาสูงสู้ไม่ไหว ดังนั้น จึงปรับมาใช้ข้าวเหนียวที่มีคุณภาพรองลงมา เป็นข้าวเหนียวจากจังหวัดลำปาง ดูแล้วเมล็ดสวยและราคาพอสู้ไหว ส่วนการสั่งกล้วยมาครั้งละเกือบ 200 หวี ต่ออาทิตย์ และใช้วันละ 30-50 หวี

เธอให้รายละเอียดวิธีการทำข้าวต้มมัดในแต่ละวันว่า ก่อนอื่นต้องแช่ข้าวเหนียว จำนวน 11 ลิตร จากนั้นนำมาล้าง แล้วนำขึ้นมาให้สะเด็ดน้ำ ระหว่างนั้นให้ละลายส่วนผสมน้ำกะทิ ซึ่งได้แก่ น้ำตาลทราย 4 กิโลกรัม เกลือถุงขนาดจิ๋ว (2 ขีด) จำนวน 4 ถุง และกะทิ 8 กิโลกรัม คนให้เข้ากันแล้วนำไปตั้งไฟให้เดือด

หลังจากนั้น นำข้าวเหนียวที่สะเด็ดน้ำใส่ลงไปรวมกับน้ำกะทิแล้วกวนให้เหนียวจนกะทิแห้ง ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากข้าวเหนียวเย็นแล้วจึงนำไปห่อ เมื่อห่อเสร็จแล้วนำไปนึ่ง ใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง โดยเป็นการนึ่งด้วยถ่านก้อนซึ่งถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ขนมหลายชนิดมีความหอมชวนน่ารับประทาน ทั้งนี้เพราะยังคงวิธีแบบโบราณ

คุณยายอัมภา บอกว่า เสน่ห์ข้าวต้มมัดคือ ข้าวต้องเหนียว นุ่ม และแห้ง ไม่แฉะ ขณะเดียวกันความสุกของกล้วยที่พอดีจะช่วยเพิ่มรสชาติให้อร่อยมากขึ้น

ขนมกล้วยไส้มะพร้าวอ่อน สูตรเด็ดที่ลูกค้าชอบมาก…มาก

สำหรับ ขนมกล้วย เจ้านี้ยังเป็นสูตรดั้งเดิมโบราณเช่นกัน แต่ที่สำคัญและลูกค้าชอบกันมากเป็นพิเศษคือ ใส่มะพร้าวอ่อน ซึ่งที่อื่นไม่ได้ทำเช่นนี้ เธอบอกว่าวิธีทำขนมกล้วยง่ายและไม่ยุ่งยากเหมือนกับการทำข้าวต้มมัด ใช้กล้วย จำนวน 2 หวี จะห่อได้ ประมาณ 300 ห่อ โขลกให้เหนียวด้วยมือ แล้วใส่น้ำตาล กะทิ และเกลือ พอคุณรับประทานแล้วจะรู้สึกได้ว่าเป็นขนมกล้วยจริง ไม่ใช่ขนมแป้ง พอทุกอย่างผสมได้เข้าที่จึงค่อยหยอดมะพร้าวอ่อนลงไป แล้วตักใส่ใบตองที่ทำเตรียมไว้มีลักษณะคล้ายเรือแล้วกลัดด้วยไม้กลัด จากนั้นจึงนำไปนึ่ง

คุณประภาทิพย์ ฉ.เจริญผล ลูกสาว

“บ้านขนมไทย คุณยายอัมภา” จะขายข้าวต้มมัด กับขนมกล้วย เป็นหลักในแต่ละวัน โดยจะวางขายข้าวต้มมัดหน้าร้าน ในจำนวน ประมาณ 400 มัด ราคาขาย มัดละ 12 บาท คุณประภาทิพย์ บอกว่า ต้นทุนทำขนมทุกวันนี้ถือว่าสูง คงไม่ได้กำไรมาก แถมขั้นตอนมีความยุ่งยากมาก ต้องใช้เวลาเตรียมถึง 5 ชั่วโมง กว่าจะได้เป็นข้าวต้มมัดที่รับประทานได้ อาศัยว่าขายอยู่กับบ้าน ซึ่งมีลูกค้ามาสั่งทำทุกวัน ในคราวละเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ถ้าจะสั่งทำต้องแจ้งล่วงหน้า เพราะทำกันเพียง 2 คน เป็นหลักเท่านั้น

แม้ว่าคุณยายอัมภาจะมีอายุล่วงเลยมาถึงวัย 80 ปี แล้วต้องผ่านพบกับโรคประจำตัวบ้างก็คงเป็นไปตามอายุ กระนั้นเธอยังดูกระฉับกระเฉง คล่องแคล่วและพูดคุยกับคนในครอบครัวอย่างมีความสุข ดังนั้น ในแต่ละวันเวลาของเธอจึงหมดไปกับกิจกรรมต่างๆ ของขนมไทยที่ทำขาย เพราะนั่นคือ สิ่งที่เธอชอบและผูกพันกันมายาวนาน…

ใครอยากแวะมาชิมข้าวต้มมัดและขนมไทยอื่นๆ ที่อร่อย และหารับประทานยากในแบบมืออาชีพรุ่นเก๋า อยากชวนไปลองชิมที่ “บ้านขนมไทย คุณยายอัมภา” (THAI DESSERT) อยู่ในซอยโชคชัย 4 ลาดพร้าว (ซอยเดียวกับตำหนักเจ้าแม่กวนอิม) หรือโทรศัพท์ไปได้ที่ (02) 539-9690/(081) 401-4438

ที่มา : เทคโนโลยีชาวบ้านออนไลน์

กลับมาอีกครั้งกับ “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย” เทศกาลสุดยิ่งใหญ่ที่จะพาทุกคนไปพบกับของดี 5 ภาคไม่ว่าจะเป็นอาหารขึ้นชื่อ เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ รวมไปถึงการแสดงและกิจกรรมต่างๆ ที่มีทั้งหมดถึง 9 โซน โดยงานครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 39 ภายใต้แนวคิด “เมืองไทย…สวยทุกที่ เท่ทุกเวลา” ระหว่างวันที่ 23-27 มกราคม 2562 ณ สวนลุมพินี

ครั้งนี้ มติชนอคาเดมี ก็ไม่พลาดที่จะพาทุกคนไปพบกับความยิ่งใหญ่ของงาน โดยจะพาไปชิมอาหารทั้งของคาวและของหวานที่ขึ้นชื่อของแต่ละภาค ซึ่งจัดอยู่ในโซนที่ 3 โดยแบ่งออกเป็น 5 ภูมิภาค คือ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ จะมีอะไรบ้างก็อยากให้ลองตามไปดูกัน แต่ไม่รับประกันความชวนหิวนะจ๊ะขอบอก!

ประเดิมด้วยโซน “ภาคกลาง” มีอาหารให้เลือกชิมมากมาย ไม่ว่าจะอาหารคาวหรือหวาน ที่มาจากจังหวัดต่างๆ ในภาคกลาง ที่เห็นแล้วสะดุดตาวัยสะรุ่นเลยก็คือ “ขนมเรไร” จากร้านยายเปี๊ยก ความน่ากินอยู่ที่การใช้แป้งข้าวเจ้าละลายน้ำ และนำไปกวน จากนั้นร่อนจากกระทะ นำมานวดอีกครั้ง ปั้นเป็นก้อนเล็กๆ และเอาไปนึ่ง ปั้นแป้งให้ขนาดพอดีกับเครื่องพิมพ์ แค่นี้ก็ได้เป็นขนมเรไรสีสวย กินคู่กับน้ำตาลและกะทิ ได้รสกลมกล่อม ละมุนลิ้นสุดๆ   

ขนมเรไร

อีกร้านในโซนภาคกลางที่น่าสนใจคือ “ยำผักบุ้งกรอบทรงเครื่อง ร้านครัว 2 ภาค ดอนเมือง” กับเมนู “ยำผักบุ้งกรอบ” สูตรเด็ดของทางร้านที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือน้ำยำที่คลุกเคล้ากับผักบุ้งที่ทอดจนกรอบ กินคู่กันแล้วลงตัวฟินแน่นอน

โฉบเฉี่ยวมาภาคกลางทั้งที ของที่ไม่แวะชิมไม่ได้ก็คือเมนู “กระยาสารท” นี่แหละ เจ้านี้คือแบรนด์ “ตาไก่กระยาสารทน้ำอ้อย เขตบางพลัด” ที่มีให้เลือกถึง 2 รสชาติ ทั้งงาขาวและงาดำ ซึ่งงาดำจะให้ความหอมมากกว่างาขาว ถือเป็นเมนูที่หากินได้ยาก ความพิเศษคือการใช้น้ำอ้อยแทนน้ำตาล ทำให้รสชาติที่ออกมา หอม มัน หวานกำลังดี

กระยาสารท

ก่อนจะไม่มีท้องไว้กินเมนูอื่นเลยต้องออกจากโซนภาคกลางมาต่อกันที่โซน “ภาคเหนือ” เหล่าคนรักสุขภาพไม่ควรพลาด เพราะมีอาหารจากจังหวัดอื่นๆ อีกมากมายที่มาจากภาคเหนือให้ได้ลองเลือกกินกัน เช่น ร้าน “ไก่ย่าง หน้า ช.ค. 34” กับเมนู “ไส้อั่ว” ที่มีความพิเศษไม่เหมือนใคร สูตรเด็ดของร้าน คือการใช้สมุนไพร 7 ชนิด ปั่นผสมกับเครื่องปรุงของที่ร้าน ไม่ใส่มันหมู กินแล้วไม่เลี่ยน แถมเหมาะสำหรับคนรักสุขภาพสุดๆ

ไส้อั่ว

ที่น่าสนใจในโซนภาคเหนืออีกคือร้าน “น้ำพริกน้ำย้อย แม่คำน้อย” กับเมนู “น้ำพริกน้ำย้อย” โอท็อปขึ้นชื่อของชาวแพร่ที่ใครมาแอ่วเมืองนี้ต้องไปโดนให้ได้ น้ำพริกน้ำย้อยนั้นเอาไว้กินควบคู่ไปกับขนมจีนเส้นสด ที่ชาวแป้เขาเรียกว่าน้ำย้อย หรือใครจะเอาน้ำพริกไว้กินกับข้าวสวยก็ลำขนาดเจ้า!

น้ำพริกน้ำย้อย ไวกินคู่กับขนมจีน

ปิดท้ายด้วยร้านอาหารเหนือแท้ๆ อย่างร้าน “ลาบเหนือเมืองแพร่” อาหารเหนือหลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็น ขนมจีนน้ำเงี้ยว ลาบหมู ข้าวซอย แอ็บหมู และไส้อั่ว สำหรับคนที่อยากมาสำผัสรสชาติอาหารเหนือแท้ๆ ไม่ควรพลาด

ลาบแบบชาวเหนือ

ความ (อยาก) กินที่มีมากกว่าความหิวก็พาให้สองเท้าก้าวเข้ามาในโซน “ภาคใต้” ที่มีอาหารขึ้นชื่ออย่าง “หมูย่าง ตรัง” จากร้าน “โกสุยหมูย่าง ตรัง” แต่ของดีงามไม่ได้อยู่ที่หมูย่างเท่านั้นนะจ๊ะ เพราะอร่อยเด็ดจนต้องยกนิ้วก็คือ “ป่อเปี๊ยะ” นี่แหละจ้า ความพิเศษคือไส้ป่อเปี๊ยะ ที่ใช้หมูสูตรเฉพาะของทางร้าน ห่อด้วยแผ่นแป้งอย่างดีแล้วนำไปทอดในน้ำมันจนสุกเหลือง ทานกับซอสมะเขือเทศได้อร่อยลงตัว

ป่อเปี๊ยะ

มาต่อกันด้วย เมนู “ไก่ฆอและ” หรือที่บางคนเรียกไก่กอและ สูตรเด็ดคือ กะทิ หอมแดง ไม่ใส่แป้งเพราะจะทำให้ไก่เสีย เป็นอาหารขึ้นชื่อของชาวปัตตานี มีรสชาติหวานและความมันจากกะทิ อร่อยแน่นอน

ไก่ฆอและ หรือไก่กอและ

ปิดท้ายด้วยเมนูของหวานอย่างโรตี ชาชัก จากร้าน “ชาชักอีซัน&โรตี” ที่มีจุดเด่นคือลีลาการชงชาที่ไม่เหมือนภาคอื่นๆ เพราะว่าชาชักจะอร่อยและมันกว่าชาธรรมดา เสิร์ฟพร้อมโรตีแผ่นกรอบและใหญ่ อร่อยหวานมันลงตัวมากกกก

โรตีชาชัก

 

มาถึงโซน “ภาคอีสาน” จะไม่พูดถึงเลยไม่ได้ก็คือเมนู หม่ำหมู จากร้าน “หม่ำแม่คำตัน” ถือว่าเป็นของขึ้นชื่อของชาวจังหวัดชัยภูมิ ทำมาจากเนื้อหมูแดงล้วนผสมกากหมูลงไป กินควบคู่กับผักสดและพริกสด บอกได้คำเดียวเลยว่าแซ่บอีหลีเด้อ

หม่ำหมู

อีกเมนูขึ้นชื่อของชาวจังหวัดอุบลราชธานีก็คือ “หมูยอ” จากร้าน หมูยอ ป.อุบล ที่ทำมาจากหมูเนื้อแดงและเครื่องเทศไม่มีแป้งผสม ยิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆร้อนๆ อร่อยแน่นอน ฟันธง หากินได้ง่ายในจังหวัดอุบลฯ คนชอบกินหมูยอไม่ควรพลาดงานนี้

หมูยอ

และสำหรับคนชอบกินเผ็ดควรมาลองก็คือ เมนู “กุ้งจ่อมแท้” จากร้าน “แม่เนย” เป็นอาหารดั้งเดิมของชาวอีสาน ชาวอีสานชอบกินเพราะมีรสชาติดี จัดจ้าน มีส่วนประกอบไปด้วย พริก หอม ขิง กะทิ ตะไคร้ จุดเด่นของร้านก็ไม่ธรรมดา คือการใช้น้ำปลาทิพรสและข้าวคั่ว ทำให้กุ้งจ่อมมีรสชาติอร่อย จัดจ้าน นัวกลมกล่อม จนต้องยกนิ้วให้

น้ำพริกกุ้งกลางดง

ปิดท้ายกันที่โซน “ภาคตะวันออก” ก็ยังคงมีอาหารมากมายมาให้เลือกกินไม่แพ้ภาคอื่นๆ เริ่มกันที่เมนูแรกกันเลย “กุ้งเหยียด” จากร้าน “กุ้งเหยียดบ้านสาขลา จากพระสมุทรเจดีย์”  กรรมวิธีในการทำก็ดูไม่ยาก คือเอากุ้งสดมาจากฟาร์มธรรมชาติ ดัดให้ตรง แล้วเอาไปเรียงในหม้อ โรยน้ำตาและ เกลือลงไปเพื่อปรุงรสเพิ่มความอร่อย กินคู่กับน้ำจิ้ม บอกได้เลยว่าอร่อยลงตัวสุดๆ

กุ้งเหยียด

กินของคาวกันแล้วมาต่อกันที่เมนูของหวานกันบ้าง นั่นก็คือ เมนู “ขนมเบื้องญวนวิวาห์” จากร้าน “บุหลัน ดั้นเมฆ” เป็นขนมโบราณของภาคตะวันออกที่หากินยาก ส่วนประกอบมี ไข่ แป้ง หน้ากุ้ง ถั่ว เต้าหู้ หัวไซโป๊ และถั่วงอก ที่มีให้เลือกทานถึง 2 แบบ คือ แบบกรอบและแบบนุ่ม กินคู่กับน้ำจิ้มอาจาด รสชาติหวานเค็มพอดี จนต้องกลับมากินอีกครั้ง

ขนมเบื้องญวน

มาถึงเมนูขนมไทยโบราณอย่าง “ขนมตะโก้” จากร้าน “ ตะโก้แม่พิมพ์ใจ” ร้านขนมเจ้าเด็ดจากจังหวัดสมุทรปราการ เคล็ดลับความหอมมันอยู่ที่การใช้กะทิสดในการทำ และไม่ใส่สารกันบูด ทำให้ขนมมีกลิ่นหอมมัน รสชาติหวาน กลมกล่อม อร่อยแบบยอมอ้วนเลยทีเดียว

ตะโก้

นอกจากจะมีอาหารครบทุกภูมิภาคมาให้เหล่านักชิมได้อิ่มหนำกันแล้ว ในงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2562 ยังมีสินค้าหัตถกรรม งานฝีมือ สินค้าโอท็อปจากชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศมาให้เลือกช้อป อุดหนุนฝีมือคนไทย พร้อมมีบูธกิจกรรมให้ถ่ายรูปและร่วมเล่นสนุกอีกมากมาย เช่น การแสดงศิลปวัฒนธรรมในแต่ละภูมิภาค การแสดงศิลปะร่วมสมัย รวมถึงการแสดงของศิลปินชื่อดัง เพื่อเติมเต็มความสุขสนุกสนานให้กับผู้ชมภายในงานอีกด้วย

บอกเลยว่าสำหรับสายเที่ยว กิน ชิม ช้อปไม่ควรพลาด!!!