ปรีดี พนมยงค์ : 120 ปี ชาตกาล ตำนาน “บุคคลสำคัญของโลก” – BBCไทย

11 พ.ค. 2563 ครบรอบวันคล้ายวันเกิดปีที่ 120 ของ ศาสตราจารย์ ดร. ปรีดี พนมยงค์ “บุคคลสำคัญของโลก” แกนนำผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย และผู้ก่อตั้งขบวนการเสรีไทย ที่ทำให้ประเทศไทยไม่กลายเป็นชาติที่แพ้สงคราม

บีบีซีไทยขอนำเสนอประวัติย่อของ “รัฐบุรุษอาวุโส” ผ่านการค้นคว้าของ ดร. บุญเกียรติ การะเวกพันธุ์ อาจารย์ประจำหลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณพิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง

(การนับปี พ.ศ. ในบทความนั้น หากเป็นก่อน 1 ม.ค. 2484 เป็นการนับระหว่าง 1 เม.ย.-31 มี.ค. จนกระทั่งมาถึง ธ.ค. 2483 รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศให้ 1 ม.ค. 2484 เป็นวันขึ้นปีใหม่ไทย และนับ พ.ศ. เป็น 1 ม.ค. ถึง 31 ธ.ค.)

บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย

ศาสตราจารย์ ดร. ปรีดี พนมยงค์ หรือหลวงประดิษฐมนูธรรม เป็นแกนนำคณะราษฎรสายพลเรือน ผู้ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ได้รับการยกย่องว่าเป็นมันสมองของคณะราษฎรโดยเป็นผู้ร่างคำประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 และพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ซึ่งถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย ต่อมาได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล นายกรัฐมนตรีคนที่ 13 ได้รับการโปรดเกล้าให้เป็นรัฐบุรุษอาวุโส นอกจากนี้ยังเป็นหัวหน้าขบวนการเสรีไทยในประเทศ และผู้ประศาส์นการ (ผู้ก่อตั้ง) มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง นอกจากนี้ยังและมีบทบาทสำคัญในการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาที่ไทยเสียเปรียบกับต่างประเทศ

วัยเด็กและการศึกษา

หอจดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

นายปรีดี เกิดที่เรือนแพหน้าวัดพนมยงค์ อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อ 11 พ.ศ. 2443 เป็นบุตรนายเสียงและนางลูกจันทร์ เมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัตินามสกุล พ.ศ. 2456 ได้ใช้นามสกุลว่าพนมยงค์

เขาเริ่มการศึกษาในระดับประถมที่โรงเรียนวัดศาลาปูน อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เข้าศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร มัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จากนั้นออกมาช่วยบิดาทำนา 1 ปีจึงเข้าศึกษาที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมเมื่อ พ.ศ. 2460 พร้อมกับศึกษาภาษาฝรั่งเศสที่เนติบัณฑิตยสภากับอาจารย์เลเดเกร์ (E. Ladeker) นายปรีดีใช้เวลาเรียนเพียงหนึ่งปีครึ่งก็สอบไล่ได้วิชากฎหมายชั้นเนติบัณฑิตเมื่อพ.ศ. 2462 ขณะอายุเพียง 19 ปี จึงต้องรอถึงอายุ 20 ปีเพื่อได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภาตามระเบียบข้อบังคับในขณะนั้น แต่ในระหว่างที่ยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง นายปรีดีได้รับเป็นทนายความแก้ต่างให้กับฝ่ายจำเลยโดยได้รับการอนุญาตเป็นพิเศษจากผู้พิพากษาเจ้าของคดี และชนะคดี

นายปรีดีได้รับทุนจากกระทรวงยุติธรรม ไปศึกษาต่อในวิชากฎหมายที่ฝรั่งเศส โดยเข้าศึกษาภาษาฝรั่งเศสและความรู้ทั่วไปที่มหาวิทยาลัยก็อง (Universite de Caen) และจากนั้นเข้าศึกษาวิชากฎหมาย ตั้งแต่ปริญญาตรีถึงปริญญาเอก และประกาศนียบัตรชั้นสูงทางด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองจากมหาวิทยาลัยปารีส ซึ่งเป็นคนไทยคนแรกที่สำเร็จการศึกษาได้ ปริญญาเอกแห่งรัฐด้านกฎหมาย

ระหว่างศึกษา นายปรีดีได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการคนแรกของสามัคยานุเคราะห์สมาคมและได้รับเลือกให้เป็นสภานายกสามัคยานุเคราะห์สมาคม 2 สมัยใน พ.ศ. 2467-2468

นายปรีดีสมรสกับท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ (สกุลเดิม ณ ป้อมเพชร์) เมื่อ พ.ศ. 2472 มีบุตร-ธิดา 6 คน

เพจ 120 ปีชาตกาล ปรีดี พนมยงค์

คิดการใหญ่ในต่างแดน

นายปรีดี เป็นผู้ร่วมก่อตั้งคณะราษฎรร่วมกับเพื่อนนักเรียนไทยและเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตสยาม ณ กรุงปารีส ในต้นเดือน ส.ค. พ.ศ. 2467 นายปรีดีได้มีโอกาสสนทนาวิจารณ์เรื่องการเมืองกับพลโทประยูร ภมรมนตรี ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง โดยมีความคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในเวลาต่อมาจึงได้ชักชวนร้อยโทแปลก ขีตตะสังคะ, ร้อยตรีทัศนัย มิตรภักดี หลวงศิริราชไมตรี (จรูญ สิงหเสนี) ดร.ตั้ว ลพนานุกรม และนายแนบ พหลโยธิน รวม 7 คน ประชุมคิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยจัดประชุมช่วงต้นกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2469 ที่ ห้องพักหมายเลข 9 ถนนซอมเมอราร์ (Rue de Sommerard) ที่เงียบสงบ ในฤดูหนาวของกรุงปารีส

ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ให้นายปรีดีเป็นประธานและเป็นหัวหน้าคณะราษฎรจนกว่าจะมีผู้ที่เหมาะสมเป็นหัวหน้าคณะราษฎร การประชุมที่ดำเนินการเป็นเวลา 5 วัน โดยมีวัตถุประสงค์คือเปลี่ยนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญและการดำเนินการให้บรรลุหลัก 6 ประการคือ 1. การรักษาความเป็นเอกราช 2. การรักษาความปลอดภัยให้ประเทศ 3. การบำรุงความสุขของราษฎรทางเศรษฐกิจ 4. ให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน 5. ให้ราษฎรมีสิทธิเสรีภาพ 6. ให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร โดยใช้วิธีการแบบยึดอำนาจโดยฉับพลัน และให้แต่ละคนเป็นหัวหน้าแต่ละสายในการหาสมาชิกโดยคำนึงถึงความเสียสละเพื่อชาติอย่างแท้จริง

เมื่อกลับมาประเทศไทย นายปรีดีได้รับราชการเป็นผู้พิพากษาประจำกระทรวง ผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมายและผู้บรรยายโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม นายปรีดีได้ถือโอกาสบรรยายปลุกจิตสำนึกนักศึกษาในสมัยนั้นให้สนใจแนวทางประชาธิปไตยในทางเศรษฐกิจ

หอจดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เปลี่ยนแปลงการปกครอง

24 มิ.ย. พ.ศ. 2475 นายปรีดีได้ร่วมกับคณะราษฎร เปลี่ยนแปลงการปกครอง เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นมันสมองของคณะราษฎรโดยเป็นผู้ร่างคำประกาศคณะราษฎรฉบับที่1 และพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475

28 มิ.ย. พ.ศ. 2475 หลังจากพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ประกาศใช้ นายปรีดี ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนราษฎรชั่วคราวจากคณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจประกาศตั้งผู้แทนราษฎรชั่วคราวซึ่งมีจำนวน 70 นาย ในวันดังกล่าวได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรก และที่ประชุมได้เลือกมหาอำมาตย์โท พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) เป็นประธานคณะกรรมการราษฎร (ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี) และได้เสนอชื่อคณะกรรมการราษฎรให้สภาผู้แทนราษฎรอนุมัติจำนาน 14 คน โดยนายปรีดี เป็นหนึ่งในคณะกรรมการราษฎร

 

10 ธ.ค. พ.ศ.2475 เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.24745 ประกาศใช้ ได้มีการแต่งตั้งให้นายปรีดีเป็นรัฐมนตรีและเป็นผู้ยกร่างพระราชบัญญัติเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ .2475

สามเดือนต่อมา หลวงประดิษฐมนูธรรม หรือนายปรีดี ได้เสนอเอกสาร “เค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ” เพื่อให้เป็นนโยบายของรัฐบาล โดยมีเนื้อหา 3 ส่วนคือ 1. ว่าด้วยเค้าโครงการเศรษฐกิจ 2. เค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร 3. เค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบเศรษฐกิจ พุทธศักราช…. เมื่อเค้าโครงการฯได้เผยแพร่ออกไปได้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหลากหลาย โดยเฉาพะการกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์หรือสังคมนิยม

นายปรีดีได้นำเสนอเค้าโครงการฯ ต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อ 9 มีนาคม และที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมานุการขึ้น 14 นาย เพื่อพิจารณาร่างเค้าโครงฯ ฉบับนี้ ในการประชุมกรรมานุการพิจารณาเค้าโครงการฯ เมื่อ 12 มีนาคม ที่ประชุมได้ลงมติเห็นชอบกับเค้าโครงการฯ 8 นาย มีผู้คัดค้าน 4 นาย และไม่ออกเสียง 2 นาย โดยกลุ่มผู้คัดค้านได้เตรียมร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเค้าโครงการนโยบายเศรษฐกิจในวันที่ 25 มี.ค. ซึ่งเป็นการประชุมโดยที่ไม่มีการลงมติเพราะพระยาพหลพลพยุหเสนาไปราชการต่างจังหวัด นายปรีดีได้กล่าวในที่ประชุมว่า หากเรื่องนี้ไม่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีตนจะลาออกและประกาศโครงการในนามของตน แต่พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเห็นว่าถ้าทำอย่างนั้นก็จะขาดความเชื่อถือในรัฐบาลไป ในอีก 3 วันต่อมาได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ในที่ประชุมพระยาพหลฯได้เริ่มต้นถามว่า นโยบายทางเศรษฐกิจได้จัดการอย่างไรบ้าง นายปรีดีได้เล่าถึงการเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ โดยได้รับพระบรมราชานุญาตว่าถ้าจะประกาศเค้าโครงการฯให้นายปรีดีลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีและราชการ อย่าให้เป็นโปลิซีของรัฐบาล จากนั้นพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้ส่งบันทึกพระราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯในเรื่องเค้าโครงการให้นายปรีดีอ่าน เมื่อนายปรีดีได้อ่านแล้วได้กล่าวว่า เมื่อในหลวงไม่เห็นด้วยแล้วมีวิธีทางเดียวเท่านั้นคือข้าพเจ้าต้องลาออกจากรัฐมนตรี พระยาพหลฯได้ยับยั้งพร้อมเสนอทางออก 3 ประการ คือ 1.ไม่ประกาศโครงการฯของผู้ใด 2.ส่งคนไปดูงานในประเทศต่างๆแล้วกลับมารายงาน 3.ตั้งบุคคล 3 ประเภทคือผู้มีทรัพย์ พ่อค้าและกรรมกรเข้ามาเป็นกรรมการพิจารณา แต่ท้ายที่สุดที่ประชุมได้ลงมติรับเอานโยบายเศรษฐกิจของพระยามโนฯเป็นแนวทาง โดยมีผู้สนับสนุน 11 เสียง ผู้ที่สนับสนุนนายปรีดีมี 4 เสียง ส่วนคณะรัฐมนตรีที่เหลืองดออกเสียง และที่ประชุมมีมติใม่ให้ประกาศเป็นนโยบายของรัฐบาลออกไป

หอจดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เค้าโครงการเศรษฐกิจกลายเป็นวิกฤติการณ์ทางการเมืองในห้วงแรกของประชาธิปไตยในประเทศไทย 1 เม.ย. พ.ศ.2476 พระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้ออกประกาศพระราชกฤษฎีกา ปิดการประชุมสภาผู้แทนราษฎรและห้ามมิให้เรียกประชุมจนกว่าจะได้มีสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่ งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราและปรับคณะรัฐมนตรี โดยนายปรีดีถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรี พระยามโนฯ ยังใช้อำนาจตามพระราชกฤษฎีกาออกพระราชบัญญัติคอมมิวนิสต์ พ.ศ.2476 และบีบบังคับให้นายปรีดีออกนอกประเทศในวันที่ 12 เม.ย. พ.ศ. 2476 โดยรัฐบาลรับรองว่าจะให้เงินปีละ 1,000 ปอนด์พร้อมเอกสารรับรองจากรัฐบาล

รัฐประหารหลังโค่นกษัตริย์

วิกฤตการณ์ทางการเมืองได้นำไปสู่การรัฐประหารเมื่อ 20 มิ.ย. พ.ศ.2476 โดยพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาได้ยึดอำนาจการปกครองจากพระยามโนปกรณ์นิติธาดา แต่งตั้งตนเองเป็นผู้รักษาพระนคร มีหลวงพิบูลสงครามเป็นเลขานุการฝ่ายทหารบกและหลวงศุภชลาศัยเป็นเลขานุการฝ่ายทหารเรือ

29 ก.ย. พ.ศ. 2476 นายปรีดีเดินทางกลับถึงไทยและได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีเมื่อ 1 ต.ค. พ.ศ.2476 ด้านสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเรื่องที่นายปรีดีต้องคำกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ คณะกรรมการลงมติเป็นเอกฉันท์ว่ามิได้มีมลทิน

ก่อตั้งธรรมศาสตร์

ในช่วงเวลานั้น นายปรีดีได้มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานการศึกษา โดยเฉพาะความรู้ที่สอดคล้องกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยในวันที่ 17 มี.ค. พ.ศ.2476 ได้ผลักดันพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง พ.ศ.2476 และทำพิธีเปิดมหาวิทยาลัยในวันที่ 27 มิ.ย. พ.ศ.2477 โดยนายปรีดีได้กล่าวรายงานว่า “ในสมัยที่ประเทศของเราดำเนินการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยแล้ว ก็จำเป็นจะต้องมีมหาวิทยาลัยสำหรับประศาส์นความรู้ในวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองแก่พลเมืองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” โดยนายปรีดี ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ประศาส์นการมหาวิทยาลัย

กระจายอำนาจ

29 มี.ค. พ.ศ.2476 นายปรีดีได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้มีบทบาทสำคัญในการกระจายอำนาจไปสู่การปกครองส่วนท้องถิ่นโดยออกพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2476 และจัดระเบียบการบริหารราชการแผ่นดินใหม่โดยออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2476 และพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2476 ในด้านการจัดการการศึกษา นายปรีดีได้โอนโรงเรียนประถมศึกษาในเขตเทศบาลให้มาสังกัดเทศบาล กระทรวงมหาดไทย โดยทำการจัดตั้งโรงเรียนประชาบาลได้ครบทุกตำบลทั่วประเทศในปี พ.ศ. 2479

รมว. ต่างประเทศ และ คลัง

12 ก.พ. พ.ศ. 2478 นายปรีดีได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ขณะดำรงตำแน่งระหว่างปี พ.ศ. 2478 ถึง พ.ศ. 2481 เขามีผลงานที่สำคัญในการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาที่ไทยเสียเปรียบในเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตกับ 12 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ สเปน โปรตุเกส เดนมาร์ก สวีเดน อิตาลี เบลเยี่ยม และนอร์เวย์ โดยยึดหลักการดุลยภาพแห่งอำนาจ

21 ธ.ค. พ.ศ. 2481ในรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายปรีดีได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มีผลงานที่สำคัญคือการจัดตั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ยกเลิกภาษีรัชูปการ ยกเลิกอากรค่านา ออกประมวลรัษฎากร

เพจ 120 ปีชาตกาล ปรีดี พนมยงค์

จากมิตรเป็นศัตรู

จากเพื่อนร่วมอุดมการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างนายปรีดี และจอมพล ป.กลายเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง เมื่อทั้งสองคนมีแนวทางการบริหารประเทศที่แตกต่างกัน และความสัมพันธ์อันยาวนานมาแตกหักเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2

เมื่อเกิดกรณีพิพาทอินโดจีน พ.ศ. 2483-2484 จอมพล ป. ในฐานะนายกรัฐมนตรีใช้วิทยุกระจายเสียงของรัฐ เปิดเพลงปลุกใจ ปลุกความรู้สึกชาตินิยมในหมู่นักศึกษา ประชาชน ส่วนนายปรีดีในฐานะผู้ประศาส์นการมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองได้แสดงความความคิดเห็นมิให้นักศึกษาออกมาเดินขบวนเรียกร้องดินแดนคืน และได้สร้างภาพยนตร์เรื่องพระเจ้าช้างเผือกเพื่อเป็นการสื่อความหมายของผู้นำที่รักสันติภาพ

ต่อมา เมื่อกองทหารญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศไทยในวันที่ 8 ธ.ค. พ.ศ. 2484 กองทัพญึ่ปุ่นได้ขอกู้เงินรัฐบาลไทยเพื่อใช้จ่ายในระหว่างที่อยู่ในไทย การขอกู้ครั้งนี้นายปรีดี ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้คัดค้าน โดยเกรงจะเกิดเงินเฟ้อขั้นรุนแรง ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีของจอมพล ป.พิบูลสงครามจึงมีมติเมื่อ 16 ธ.ค. พ.ศ. 2484 ให้นายปรีดี ไปดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แทนเจ้าพระยายมราชที่ถึงแก่อสัญกรรม นายปรีดีจึงลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในวันเดียวกัน

ขบวนการเสรีไทย

ในช่วงที่กองทัพญี่ปุ่นเข้ามาในไทย นายปรีดี ก่อตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้น โดยมีภารกิจในระยะแรกคือ 1.ต่อสู้ญี่ปุ่นผู้รุกรานโดยคนไทยผู้รักชาติร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร 2.ปฏิบัติการเพื่อให้ฝ่ายสัมพันธมิตรรับรองเจตนารมณ์ที่แท้จริงของไทยไม่เป็นศัตรูต่อสัมพันธมิตร ต่อมาเมื่อรัฐบาลได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาในวันที่ 25 ม.ค. พ.ศ.2485 ภารกิจได้เพิ่มขึ้นมาอีกประการหนึ่งคือ 3.ปฏิบัติการเพื่อให้ฝ่ายสัมพันธมิตรรับรองว่าประเทศไทยจะไม่ตกเป็นผู้แพ้สงครามและพยายามผ่อนหนักเป็นเบาโดยนายปรีดีรับเป็นหัวหน้าขบวนการเสรีไทยมีรหัสลับคือ “รู้ธ” และใช้มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเป็นที่ตั้งกองบัญชาการขบวนการเสรีไทย

เพจ 120 ปีชาตกาล ปรีดี พนมยงค์

ร่วมญี่ปุ่น แต่ไม่แพ้สงคราม

ผลการดำเนินการของขบวนการเสรีไทยเป็นไปด้วยดี ในช่วงปลายสงครามจอมพลเรือลอร์ด เมานท์แบตแทน ผู้บัญชการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรในภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ได้ส่งโทรเลขถึงนายปรีดีในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และหัวหน้าขบวนการเสรีไทยว่ามีความประทับใจอย่างยิ่งในปฏิบัติการต่างๆ ของขบวนการเสรีไทยที่ให้ความสนับสนุนที่มีประโยชน์ในการทำสงครามต่อต้านญี่ปุ่นของฝ่ายสัมพันธมิตร ผู้บัญชาการสูงสุดสัมพันธมิตรและรัฐบาลอังกฤษจะไม่ถือว่าไทยเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม แต่เนื่องจากมีการประกาศสงครามไปแล้วดังนั้นให้ไทยส่งผู้แทนไปทำความตกลงเลิกสถานะสงคราม

วันที่ 16 ส.ค. พ.ศ. 2488 นายปรีดี ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ฯ ได้ออกประกาศสันติภาพในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ให้การประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่เมื่อ 25 ม.ค. พ.ศ. 2485 เป็นโมฆะ เนื่องจากเป็นการกระทำอันขัดต่อเจตจำนงของประชาชนและขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งชาวไทยทั้งในและนอกประเทศได้ร่วมกันแสดงเจตจำนงไม่ยอมรับคำประกาศดังกล่าวด้วยการจัดตั้งขบวนการเสรีไทยช่วยเหลือฝ่ายสัมพันธมิตรในการต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่นที่ยึดครองประเทศไทยอยู่ในระหว่างสงคราม โดยที่ไทยประกาศว่าจะร่วมมือเต็มที่กับสหประชาชาติในการสถาปนาเสถียรภาพในโลกนี้ ประกาศสันติภาพนี้มีนายทวี บุณยเกตุ รัฐมนตรี เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ

“รัฐบุรุษอาวุโส”

วันที่ 5 ธ.ค. พ.ศ. 2488 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัติพระนคร เนื่องด้วยทรงบรรลุนิติภาวะ นายปรีดีจึงได้กราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องปรีดี พนมยงค์ ไว้ในฐานะ “รัฐบุรุษอาวุโส” ในวันที่ 8 ธ.ค. พ.ศ. 2488

สภาพการณ์ทางการเมืองภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สถานะของนายปรีดีและขบวนการเสรีไทยได้รับความนิยมจากประชาชนเป็นอันมาก สามารถกำจัดบทบาทของจอมพล ป.พิบูลสงครามออกจากศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองได้ ภายหลังจากที่นายควง อภัยวงศ์ได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 14 มี.ค. พ.ศ.2489 เนื่องจากมีสภาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองค่าใช้จ่ายของประชาชนในภาวะคับขัน รัฐบาลเห็นว่าไม่สมควรรับหลักการแต่สภาผู้แทนราษฎรรับหลักการด้วยคะแนนเสียง 65 ต่อ 63 ที่ประชุมมีมติเลือกนายปรีดี เป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 24 มี.ค. พ.ศ. 2489 โดยเป็นนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 7

หอจดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ร.8 สวรรคต

เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2489 ประกาศใช้ นายปรีดีได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 7 มิ.ย. พ.ศ. 2489 และได้รับโปรดเกล้าฯเป็นนายกรัฐมนตรีในวันรุ่งขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ตั้งคณะรัฐมนตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลได้เสด็จสวรรคตโดยต้องพระแสงปืนในวันที่ 9 มิ.ย. พ.ศ. 2489 นายปรีดีได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและได้รับโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในวันที่ 11 มิ.ย.

แม้ว่ากลุ่มของนายปรีดีสามารถควบคุมกลไกรัฐสภาได้ โดยได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกพฤติสภา ร้อยละ 87 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ร้อยละ 66 แต่กลุ่มนายปรีดีต้องเผชิญกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง 2 ด้านคือพรรคประชาธิปัตย์และกองทัพภายใต้อิทธิพลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ทำให้นายปรีดีลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อ 21 ส.ค. พ.ศ. 2489 โดยสนับสนุนให้ พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ดำรงตำแหน่งแทน

ข้าวยากหมากแพง

ภาระหนักของรัฐบาลในขณะนั้นคือความขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค และภาวะค่าครองชีพที่สูงอันเนื่องจากสภาวะหลังสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ได้เปิดอภิปรายทั่วไปไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นเวลา 7 วัน 7 คืนในเดือนพ.ค. พ.ศ. 2490 โดยมีการถ่ายทอดทางสถานีวิทยุกระจายเสียง ถึงแม้ว่ารัฐบาลชนะการลงมติ แต่นายกรัฐมนตรีก็ได้ลาออกเพื่อให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งพลเรือตรีถวัลย์ได้กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งหนึ่ง ส่วนกลุ่มทหารบกไม่พอใจที่ถูกลิดรอนอำนาจและลดบทบาททางการเมืองนับตั้งแต่สิ้นสุดสงคราม และบทบาทของเสรีไทยที่ได้รับการยกย่องเชิดชูเป็นอันมาก นายทหารชั้นผู้ใหญ่ระบุว่าได้รับการดูถูกจากเสรีไทยบางคน ดังนั้นปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัญหาความไม่พอใจของกองทัพและการไม่สามารถคลี่คลายกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ให้กระจ่างทำให้สถานะของรัฐบาลคลอนแคลนเป็นอันมาก

ศึกชิงอำนาจ ทหารบก ปะทะ ทหารเรือ

วันที่ 8 พ.ย. พ.ศ. 2490 เวลา 23.30 น. คณะรัฐประหารนำโดยพลโทผิน ชุณหะวัณ ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน โดยพันโทละม้าย อุทยานานนท์และพันโทก้าน จำนงภูมิเวท ได้รับมอบหมายให้ไปจับกุมนายปรีดีที่ทำเนียบท่าช้าง การดำเนินการจับกุมไม่เป็นผลสำเร็จโดยนายปรีดีได้รับการคุ้มครองจากฝ่ายทหารเรือและได้รับการช่วยเหลือจากสถานเอกอัครราชทูอังกฤษและสหรัฐอมริกาในไทยให้หนีไปสิงคโปร์ โดยสถานเอกอัครราชทูตทั้งสองประเทศได้มีหนังสือถึงนายควง อภัยวงศ์นายกรัฐมนตรีคนใหม่ว่าไม่สามารถที่จะปฏิเสธคำร้องขอของนายปรีดีได้เพราะความผูกพันที่มีต่อกันของเพื่อนร่วมสงคราม

จากสิงคโปร์ นายปรีดีเดินทางต่อไปฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ โดยมีความพยายามที่จะกลับประเทศไทยผ่านการติดต่อกับฝ่ายทหารบกเพื่อที่จะกลับมาต่อสู้ทางการเมืองโดยสันติวิธี แต่ข้อเสนอดังกล่าวถูกปฏิเสธจากคณะรัฐประหาร 2490 นายปรีดีจึงตกลงใจที่จะใช้กำลังเข้ายึดอำนาจโดยติดต่อกับฝ่ายทหารเรือ โดยมีพลเรือตรี ทหาร ขำหิรัญ ผู้บัญชาการมณฑลทหารเรือที่ 2 และรักษาการผู้บังคับกองพลนาวิกโยธินสนับสนุน นายปรีดีได้ทำการยึดอำนาจเมื่อ 26 ก.พ. พ.ศ. 2492 โดยเข้ายึดพระบรมมหาราชวังเป็นกองบัญชาการ แต่จอมพล ป.พิบูลสงครามได้รู้แผนการยึดอำนาจล่วงหน้าประกอบกับทหารเรือบางฝ่ายไม่ได้เข้าร่วม ทำให้การยึดอำนาจไม่ประสบผลสำเร็จ โดยมีการเจรจาหยุดยิงในวันที่ 27 ก.พ. และทำให้บทบาทการเมืองของนายปรีดีสิ้นสุดลง

หอจดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ชีวิตผู้ลี้ภัยในต่างแดน

นายปรีดีใช้ชีวิตลี้ภัยในต่างประเทศเป็นระยะเวลายาวนาน โดยพำนักอยู่ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นเวลา 21 ปีและประเทศฝรั่งเศส 13 ปี ก่อนถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 2 พ.ค. พ.ศ. 2526 ช่วงก่อนเที่ยง ณ บ้านอองโตนี ชานกรุงปารีส สิ้นใจด้วยอาการหัวใจวายขณะกำลังเขียนหนังสืออยู่ที่โต๊ะทำงาน

ขณะลี้ภัยในต่างประเทศ เสียงกล่าวหาว่าเขามีส่วนในการปลงพระชนม์ ร. 8 อยู่เป็นระยะ ๆ เขาจึงต้องฟ้องร้องผู้ใส่ความหมิ่นประมาทต่อศาลยุติธรรม และชนะทุกคดี

ขณะพำนักอยู่ในจีน เขาได้พบปะสนทนากับผู้นำสำคัญของรัฐบาลจีนและชาติอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น ประธานาธิบดีเหมา เจ๋อตง นายเติ้ง เสี่ยวผิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ประธานาธิบดีโฮจิมินห์ แห่งเวียดนาม เจ้าสุภานุวงศ์ ประธานประเทศลาว พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ กษัตริย์แห่งกัมพูชา

เพจ 120 ปีชาตกาล ปรีดี พนมยงค์

จนกระทั่ง พ.ค. พ.ศ. 2513 นายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลของจีนช่วยเหลือให้นายปรีดีเดินทางจากจีนไปยังกรุงปารีส โดยได้รับความเห็นชอบจากประธานาธิบดี ชาร์ลส์ เดอ โกลล์ ของฝรั่งเศส ให้พำนักอยู่ที่นั่น จนวันสุดท้ายของชีวิต

สิบสี่ปีหลังนายปรีดีถึงแก่อสัญกรรม คณะรัฐมนตรีไทยมีมติเมื่อ 13 พ.ค. พ.ศ.2540 เสนอชื่อนายปรีดี พนมยงค์ ไปยังองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) เพื่อขอให้ยูเนสโกบรรจุชื่อเขาไว้ในปฏิทินการเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญและเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีแห่งชาตกาล และยูเนสโกได้มีมติประกาศให้นายปรีดี พนมยงค์ เป็น “บุคคลสำคัญของโลก” เมื่อปี 2543

ที่มา : ข่าวสดออนไลน์

สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า

สงครามโลกครั้งที่ 2 แผ่เข้ามาถึงประเทศไทยในปลายปี 2484 หลังจากญี่ปุ่นขอยกทัพผ่านดินแดนไทยไปโจมตีดินแดนที่ฝ่ายอังกฤษยึดครอง และให้หลังเพียงเดือนเศษ คือวันที่ 25 มกราคม 2485 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ทำให้แต่นั้นมากองทัพอากาศสัมพันธมิตรก็มาโจมตี ทิ้งระเบิดในไทยทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ราษฎรต้องอพยพไปต่างจังหวัดบ้าง ต้องขุดหลุมหลบภัยบ้าง คอยฟังเสียงหวอเตือนภัยบ้าง โดยที่ยังไม่ต้องกล่าวถึงสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบากในช่วงสงคราม สินค้าต่างๆ หายาก ทั้งยังมีราคาแพง

สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า นับเป็นสมเด็จพระนางเจ้าพระองค์สุดท้าย ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระชนมายุยืนยาวจนได้ทอดพระเนตรสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ทรงเป็นพระชนนีของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ ซึ่งต่อมาได้เฉลิมพระนามเป็น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร์ อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ในห้วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่ 2 สมเด็จพระพันวัสสาฯ จึงมีศักดิ์เป็น “พระอัยยิกา” ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล

เวลานั้น “นายปรีดี พนมยงค์”  นอกจากจะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ฯ แล้ว  ยังเป็นหัวหน้าขบวนการเสรีไทยด้วย คนจำนวนไม่น้อยคลางแคลงสงสัยในความจงรักภักดีของนายปรีดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์  เนื่องจากเขาเป็นแกนนำคนสำคัญของคณะราษฎร เป็นผู้เขียนประกาศคณะราษฎร และร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ประกาศว่า “อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย”  แต่การที่นายปรีดีถวายความปลอดภัยแด่สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้านี้ เป็นพยานหลักฐานสำคัญ ที่แสดงให้ปรากฏถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

เมื่อสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงทราบเรื่องว่าไทยยอมให้ญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไ“สู้อังกฤษไม่ได้หรอก เรื่องจะไปตีสิงคโปร์ พระพุทธเจ้าหลวงท่านเคยรับสั่ง อังกฤษไม่ยอมดอก”ปตีมลายูของอังกฤษนั้น ตรัสว่า 

ครั้นการทิ้งระเบิดมีมากขึ้น จึงมีการจัดที่หลบภัยถวายภายในวังสระปทุม โดยทางวังสระปทุมนั้นใช้ใต้ถุนตำหนักจัดเป็นที่หลบภัยถวาย แต่สมเด็จฯ เข้าไปเพียงครั้งเดียวแล้วไม่ยอมไปอีกเลย  ตรัสว่า “อึดอัด หายใจไม่ออก” ทางวังจึงจัดที่ประทับให้หลบภัยไว้ที่ชั้นล่าง ทรงรำคาญพระราชหฤทัยมากทุกคราวที่ทรงได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัยทางอากาศ  ที่ทรงรำคาญมากที่สุดก็คือการต้องดับไฟมืดสนิท  อนึ่ง บนหลังคาพระตำหนักได้ทาสีขาวแดงเป็นกากบาทไว้ เพื่อเป็นเครื่องหมายให้เครื่องบินทิ้งระเบิดทราบว่า ไม่ควรทิ้งระเบิดบริเวณนี้ด้วย

สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงทอดอาลัยในพระชนม์ชีพ ไม่ทรงกลัวลูกระเบิด ด้วยเหตุ 3 ประการ  คือความฉุกเฉินวุ่นวาย ความว้าเหว่ ความน้อยพระราชหฤทัยในเหตุการณ์บ้านเมือง ทำให้ถึงกับออกพระโอษฐ์ว่า  “เมื่อไหร่ฉันจะตายเสียที”  ระหว่างสงคราม คราวหนึ่งตรัสถามผู้ที่เชิญเสด็จให้มาหลบภัยยังชั้นล่างของที่ประทับว่า  “หลานๆ อยู่ที่ไหนล่ะ”  ซึ่งหมายถึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เมื่อทราบว่าประทับอยู่เมืองนอกก็ตรัสทันทีว่า  “เออ สิ้นเคราะห์ไปที”

เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้น คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ขอให้สมเด็จฯ ทรงอพยพไปประทับ ณ ที่อื่นแทน  สมเด็จฯ ปฏิเสธไม่ยอมไปที่ใดทั้งสิ้น  พระราชทรัพย์ทั้งปวงก็ทรงทิ้งไว้ที่พระตำหนักในพระบรมมหาราชวัง  ตรัสว่า  “ให้หินหักอยู่กับใบโพธิ์”  ครั้นทางรัฐบาลจะจัดที่ถวายให้พอสำหรับ 10 คน สมเด็จฯ ก็ไม่ตกลง  ตรัสว่า  “แล้วจะไปยังไงกัน 10 คน ฉันเป็นกุลเชษฐ์  ฉันยังมีลูกเลี้ยง มีน้อง ต้องหลบไปให้หมด ไปไหนก็ต้องไปด้วยกัน”

พระที่นั่งวโรภาษพิมาน

ต่อมา สมเด็จฯ ทรงยอมย้ายไปประทับที่โรงพยาบาลสมเด็จฯ ณ ศรีราชา โดยประทับที่พระตำหนักซึ่งยื่นออกไปในทะเล แต่เมื่อผ่านไป 3 เดือน ราวเดือนมีนาคม 2487 เครื่องบินสัมพันธมิตรก็มาทิ้งระเบิดที่เกาะสีชังและรอบๆ  ไม่ห่างจากที่ประทับเท่าใดนัก  ทำให้ดูน่าพรั่นพรึง  จึงได้มีการกราบทูลให้ประธานคณะผู้สำเร็จฯ ทราบ  เพราะพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เคยตรัสสั่งไว้ว่า  “ดีแล้ว ที่ประทับที่โรงพยาบาลสมเด็จต่อไป เพราะที่วังสระปทุมก็ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว ถ้ามีเหตุอะไรให้เข้ามาบอก จะจัดการถวายใหม่”  ดังนั้นเมื่อทรงทราบแล้ว ประธานคณะผู้สำเร็จฯ จึงตรัสว่า  “ท่านปรีดีได้บอกไว้ว่าถ้าถึงคราวจะอพยพสมเด็จพระพันวัสสา ท่านปรีดีจะจัดถวายเอง”   ท่านปรีดีที่ว่าก็คือ “นายปรีดี พนมยงค์” หัวหน้าขบวนการเสรีไทย ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์คนหนึ่งด้วย

เมื่อถึงกำหนด นายปรีดีมารับเสด็จ และเชิญเสด็จลงประทับในเรือพระที่นั่งประพาสแสงจันทร์  นำเรือไปจอดที่นนทบุรีตรงข้ามกับเรือนจำบางขวาง 15 วัน เพื่อรอการจัดที่ประทับ ที่โรงพยาบาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระหว่างอพยพอยู่นี้  สมเด็จฯ ทรงมีพระราชหฤทัยนึกถึงสมเด็จพระราชนัดดาอยู่เสมอ  ดังได้ตรัสว่า“ดีใจ๊..ดีใจ หลานอยู่เมืองนอก ไม่ต้องมาลำบากอย่างนี้ ไม่อย่างนั้น ฉันคงเอาตัวไม่รอด ห่วงหลาน”

ปรีดี พนมยงค์ และท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยา

ที่อยุธยา นายปรีดีและท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยา ได้เข้าเฝ้าแหน กราบบังคมทูลซักถามถึงความสะดวกสบายอยู่เป็นนิตย์  มีกิริยาพาทีในเวลาเข้าเฝ้าเรียบร้อย นุ่มนวล นัยน์ตาก็ไม่มีวี่แววอันควรระแวงสงสัยถึงความไม่จงรักภักดีจากชายผู้เขียนประกาศคณะราษฎรผู้นี้  ส่วนท่านผู้หญิงพูนศุขนั้น ทางบ้าน “ณ ป้อมเพชร์”   คุ้นเคยกับสมเด็จเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์  กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร มาก่อน จึงไม่มีปัญหาในการเข้าเฝ้าเจ้านาย

โดยครั้งแรกที่นายปรีดีเข้าเฝ้าสมเด็จฯ นั้น  ม.จ.อัปภัศราภา เทวกุล ผู้ควบคุมกระบวนเสด็จ กราบบังคมทูลว่า หลวงประดิษฐ์ฯ มาเฝ้า (เดิมนายปรีดีเคยเป็นหลวงประดิษฐ์มนูธรรม) สมเด็จฯ ไม่ทรงรู้จักคุณหลวงมาก่อนเลย จึงทรงเข้าพระทัยว่าหมายถึงหลวงประดิษฐ์บาทุกา (เซ่งชง) เจ้าของห้างทำรองเท้าที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในพระนคร  ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงพระกรุณาในเรื่องเงินทองอยู่เสมอ สมเด็จฯ จึงตรัสว่า  “อ๋อ เขาเอาเงินมาใช้ฉันน่ะ”

โดยที่ต้องไม่ลืมว่าช่วงนั้นทรงเริ่มหลงๆ ลืมๆ ไปแล้ว ตามชราภาพที่ครอบงำ ม.จ.อัปภัศราภา จึงกราบบังคมทูลว่า “ไม่ใช่เพคะ … คนนี้เขาเป็นผู้แทนพระองค์พระเจ้าอยู่หัว”  เมื่อสมเด็จฯ ยังคงสงสัยอยู่ ก็กราบบังคมทูลต่อไปว่า  “สมเด็จเจ้าพระยายังไงล่ะเพคะ”   สมเด็จฯ จึงทรงเข้าพระทัยทันที  มีพระราชปฏิสันถารด้วยอย่างดี  “มาซิ พ่อคุณ อุตส่าห์มาเยี่ยม”  แล้วตรัสซักถามถึงที่พัก ครั้นเมื่อทราบว่าพักที่คุ้มขุนแผน ก็ทรงหันไปทางข้าหลวง ตรัสสั่งว่า “ดูข้าวปลาอาหารให้เขากินนะ”

เวลาเย็นๆ นายปรีดีจะเชิญเสด็จประทับรถยนต์ประพาสรอบๆ เกาะ  วันหนึ่งมีกระแสพระราชดำรัสว่า  “หลานฉันยังเด็กนะ ฝากด้วย”  ผู้สำเร็จฯ ก็กราบบังคมทูลสนองพระราชประสงค์เป็นอย่างดีด้วยความเคารพ ทำให้ผู้ที่ชื่นชมก็ทวีความชื่นชมยิ่งขึ้น ผู้ที่เคยคลางแคลงสงสัยถึงความบริสุทธิ์ใจของนายปรีดี แกนนำคณะราษฎรผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงปกครอง ก็เริ่มไม่แน่ใจตนเอง

วันหนึ่งที่วัดมงคลบพิตร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สมเด็จฯ ตรัสว่า  “ฉันจะไปปิดทอง”  แล้วเสด็จไปทรงซื้อทองที่วางขายอยู่ในบริเวณนั้น  เมื่อเสด็จไปถึงองค์พระ  ปรากฏว่าทรงปิดไม่ถึง  นายปรีดีจึงกราบบังคมทูลว่า  “ข้าพระพุทธเจ้าจะไปปิดถวาย” สมเด็จฯ จึงพระราชทานไป พร้อมตรัสว่า  “เอาไปปิดเถอะ คนที่ทำบุญด้วยกัน ชาติหน้าก็เป็นญาติกัน”  เล่าลือกันว่า กระแสพระราชดำรัสนั้นทำให้ผู้สำเร็จฯ ซาบซึ้งมาก พวกที่ชื่นชมก็สรรเสริญพระปรีชาสามารถในสมเด็จฯ ว่าทรงเปลี่ยนใจคนที่เคยเขียนประกาศประณามพระราชวงศ์ได้อย่างตรงไปตรงมา พวกที่เคลือบแคลงอยู่ก็ยังคงเฝ้าดูต่อไป

หลังจากประทับอยู่อยุธยาได้ 3 เดือน ก็ต้องอพยพมาประทับที่พระตำหนักในพระบรมมหาราชวัง เพราะเกิดพายุใหญ่พัดเอาหลังคาที่ประทับพัง  แต่เมื่อประทับได้ 6 เดือน ก็ต้องตกพระทัยอย่างยิ่ง เพราะวันหนึ่งมีระเบิดลงที่พระที่นั่งบรมพิมานและพระที่นั่งพิมานรัถยา อันอยู่ขวาซ้ายของพระตำหนักไม่กี่เส้น นายปรีดี ซึ่งเวลานั้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพียงคนเดียว จึงเชิญเสด็จหลบภัยไปประทับที่พระราชวังบางปะอิน ซึ่งมีพระบรมวงศานุวงศ์ตามเสด็จด้วยหลายพระองค์  โดยที่ต้องไม่ลืมว่า หลังแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวงแล้ว พระมหากษัตริย์รัชกาลถัดๆ มา ประทับนอกพระบรมมหาราชวังทั้งสิ้น อาคารต่างๆ ก็ทรุดโทรมลงไป  ดัง ม.จ.อัปภัศราภา บรรยายว่า พระที่นั่งอมรพิมานมณี อันเป็นวิมานที่บรรทมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรุดโทรมหักพังมืดสนิท เป็นที่อยู่อาศัยของงูเหลือม ค้างคาว และพระที่นั่งสุทธาศรีอภิรมย์ อันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีพัชรินทรฯ ก็อยู่ในสภาพเดียวกัน

เมื่อย้ายมาที่พระราชวังบางปะอินนั้น ได้จัดให้ทอดเรือพระที่นั่งประพาสแสงจันทร์ให้เป็นประทับของสมเด็จฯ อยู่หน้าพระที่นั่งวโรภาษพิมาน  พระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์ประทับที่พระตำหนักของสมเด็จฯ พระองค์เจ้าประดิษฐาสารีประทับที่ตำหนักพระราชเทวี  สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์  ประทับที่ตำหนักเก้าห้อง พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภา  ประทับที่ตำหนักพระราชชายา  ส่วนข้าราชบริพารก็พักตามเรือนเล็กตำหนักน้อยกันทั่วไป  ขณะที่ ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล และ ม.จ.พัฒนายุ ดิศกุล ประทับที่วัดนิเวศธรรมประวัติตรงข้ามพระราชวัง เนื่องจากได้เชิญเสด็จพระอังคารสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ หนังสือ และของต่างๆ มาไว้ที่นั่น

นับได้ว่าพระราชวังบางปะอินเป็นเขตพระราชฐานโดยแท้จริง  ส่วนผู้สำเร็จฯ จอดเรือตะวันส่องแสงอยู่หน้าสภาคารราชประยูร อันเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร

ฝ่ายชาวบ้านละแวกนั้น ได้ชวนกันมาเฝ้า หาอะไรมาถวายให้ทอดพระเนตร เพื่อทรงพระสำราญ บางวันก็มาแข่งเรือถวาย บางวันก็มาเล่นเพลงเรือถวาย บางคืนก็มารำวงถวาย สมเด็จฯ ก็พระราชทานผ้าห่ม เสื้อผ้าแก่คนเหล่านั้น เพราะของเหล่านี้ราคาแพงมากที่สุดในระหว่างสงคราม แต่นายปรีดีจัดหามาถวายจากองค์การจัดซื้อสินค้า คือร้านค้าของทางราชการในราคาถูก

มีครั้งหนึ่ง เครื่องบินของอังกฤษไปทิ้งระเบิดแถวบางปะอิน รุ่งขึ้นนายปรีดี ในฐานะหัวหน้าขบวนการเสรีไทย ต่อว่านายป๋วย อึ๊งภากรณ์ แกนนำเสรีไทยสายอังกฤษอย่างรุนแรง ในฐานะที่เขาเป็นผู้ส่งโทรเลขติดต่อระหว่างสัมพันธมิตรกับเสรีไทยในประเทศ  ซึ่งนายปรีดีเคยให้นายป๋วยประสานงานไปก่อนแล้วว่าขออย่าให้มาทิ้งระเบิดที่พระบรมมหาราชวัง  หรือวังที่ประทับของเจ้านาย  นายป๋วยจึงส่งโทรเลขไปประท้วงกองบัญชาการทหารอังกฤษ  ทางการอังกฤษโทรเลขตอบขอโทษกลับมา และรับรองว่าจะพยายามไม่ให้เกิดความพลาดพลั้งขึ้นอีก

ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 เพียง 6 เดือน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ได้พบกับปรีดี พยมยงค์ ที่สนามหน้าพระที่นั่งอัมพรสถาน หลังจากทรงได้รับรายงานเรื่องที่ปรีดีสอนวิชากฎหมายปกครองในโรงเรียนกฎหมาย ว่าเป็นการปลุกปั่นนักเรียน โดยปรีดีได้เล่าไว้ ดังนี้

คำสอนของข้าพเจ้าได้ทราบไปถึงพระเนตรพระกรรณพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า ข้าพเจ้าได้ทำการปลุกปั่นนักเรียนกฎหมาย พระองค์จึงได้มีรับสั่งถามท่านเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมในสมัยนั้นถึงการสอนของข้าพเจ้า ท่านเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมได้มาสอบถามข้าพเจ้าและตักเตือนให้ระมัดระวัง

ครั้นต่อมา ในเดือนพฤศจิกายนปีนั้น ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานอุทยานสโมสรเนื่องในงานเฉลิมพระชนม์พรรษาที่สนามหน้าพระที่นั่งอัมพรสถาน ข้าพเจ้าได้ยืนเพื่อเฝ้าเสด็จอยู่ในแถวของกระทรวงยุติธรรมตามตำแหน่งยศพลเรือนอำมาตย์ตรี (เทียบยศทหารพันตรี) จึงเป็นตำแหน่งเฝ้าเกือบปลายแถว

เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้พระราชดำเนินมาถึงแถวกระทรวงยุติธรรม ทรงทักทายกรรมการศาลฎีกาผู้หนึ่งแล้ว ก็ได้เสด็จผ่านข้าราชการผู้อื่นโดยไม่ทรงทักทายแล้วหยุดประทับตรงหน้าปลายแถว ทรงทักทายเลขานุการกรมร่างกฎหมายแล้วก็ได้ทรงทักทายข้าพเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ทรงรู้จักตั้งแต่ครั้งพระองค์ทรงศึกษาที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบกฝรั่งเศส ส่วนข้าพเจ้านั้นเป็นนักเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยฝรั่งเศส โดยทรงเรียกชื่อเดิมข้าพเจ้าว่า ‘ปรีดีทำงานที่ไหน‘ [เพราะเวลานั้นคือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม – ผู้เขียน]

ข้าพเจ้ากราบทูลตำแหน่งประจำของข้าพเจ้าว่า ‘ทำงานที่กรมร่างกฎหมาย พระพุทธเจ้าค่ะ’ โดยมิได้กราบทูลถึงตำแหน่งพิเศษที่เป็นผู้สอน ณ โรงเรียนกฎหมาย พระองค์จึงรับสั่งว่า ‘สอนด้วยไม่ใช่หรือ’ ซึ่งแสดงว่าพระองค์ทรงทราบเรื่องสอนกฎหมายปกครองของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงกราบทูลว่า ‘พระพุทธเจ้าค่ะ’”

ต่อมาอีก ๖ เดือนคือในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ ก็ได้มีการอภิวัฒน์เปลี่ยนการปกครองแผ่นดินดังกล่าวแล้ว

—————–

ที่มา:หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์), คำปรารภ”, ใน คำอธิบายกฎหมายปกครอง, จัดพิมพ์เนื่องในการบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานครบรอบ 100 วันของพลตำรวจตรี พัฒน์ นีลวัฒนานนท์, ม.ป.ท., 2513, น.5

ข้อความที่อ้างมานั้นอ้างจาก ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล, นายปรีดี พนมยงค์ กับการก่อกำเนิดมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง”, ใน ปรีดีบรรณานุสรณ์ 2560 (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, กำลังจะตีพิมพ์ในวันที่ 11 พ.ค. นี้)

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7)
ปรีดี พนมยงค์
ปรีดี พนมยงค์ กับ ธรรมศาสตร์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระราชทานนามสกุล "ณ ป้อมเพชร์"เมื่อ 2ก.ค.2456

“กษิดิศ อนันทนาธร” นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เล่าเรื่องราวของตระกูล “ณ ป้อมเพชร์” ซึ่งเกี่ยวโยงกับบุคคลดังในยุคสมัยที่แตกต่างแต่เชื่อมโยงกัน โดยเริ่มต้นว่าพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6  พระราชทานนามสกุล “ณ ป้อมเพชร์” (na Pombejra) แก่พระสมุทรบุรานุรักษ์ (ขำ) เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2456

นามสกุล “ณ ป้อมเพชร์” เป็นตระกูลเก่าแก่ สืบย้อนกลับไปได้ถึงปลายกรุงศรีอยุธยา เริ่มจาก “นายเหลียง แซ่อึ้ง” คนจีนที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในยุคนั้น แล้วได้ภรรยาเป็นชาวรามัญชื่อ “นางทองกาวเลอ”  มีบุตรธิดารวม 8 คน  เสียชีวิตเมื่อยังเยาว์ 1 คน เหลือ 7 คน  ดังนี้ นางลิ้ม นางอิ๋ว นางคุ้ม นางสาวฉิม นางสาวน้อย นางมี และนายศุข

น้องสาวของนางอิ๋วชื่อ “นางคุ้ม” มีลูกกับ “นายสด”  5 คน ดังนี้ นางจู นายแพ นางพวง นางตรุส และนายมา 

“นางอิ๋ว” สมรสกับ “นายอิน”  มีลูกด้วยกัน 5 คน คือ นายด้วง  นางหุ่น  นางพิน นางสาวริ้ว และนายศุข

ต้นกรุงรัตนโกสินทร์  “นายด้วง” ซึ่งเป็นลูกของนางอิ๋ว รับราชการจนมีบรรดาศักดิ์เป็น “พระพิทักษ์เทพธานี” ตำแหน่งผู้ช่วยผู้รักษากรุงเก่า  พระพิทักษ์เทพธานีมีบุตรธิดากับ “นางบุญมา” รวม 5 คน ได้แก่ นางแจ่ม นางเจียม นายนาค นายอ่อน และนายจุ้ย  ต่อมา “นายนาค”  รับราชการจนเจริญก้าวหน้าได้เป็น “พระยาไชยวิชิตสิทธิศาสตรา”  ตำแหน่งสุดท้ายคือ ผู้รักษากรุงเก่า

พระยาไชยวิชิตฯ (นาค) เมื่อรับราชการอยู่ในสถานอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน แต่ครั้งเป็นหลวงวิเศษสาลี ได้เป็นผู้หนึ่งที่ลงชื่อในคำกราบบังคมทูล ร.ศ. 103 ขอให้ดำเนินการปรับปรุงการเปลี่ยนแปลงประเทศในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย  พระยาไชยวิชิตฯ (นาค) ผู้นี้คือบิดาของ พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ)  ผู้รับพระราชทานนามสกุล “ณ ป้อมเพชร์” จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2456

ปรีดี พนมยงค์, ทักษิณ ชินวัตร, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่ตรงไหนในสกุล “ณ ป้อมเพชร์”  จะได้พิจารณาสายของพระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ) เป็นหลัก ซึ่งพระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ) เป็นเหลนของนางอิ๋ว แล้วกล่าวถึงสายของนางคุ้ม (ทวดของพระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา) เพื่อไขคำตอบข้างต้น ดังนี้

พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ)  เป็นบุตรชายคนโตของพระยาไชยวิชิตสิทธิศาสตรา (นาค) กับ ม.ร.ว.เจียก ภุมรินทร์

เจ้าคุณชัยวิชิตฯ (ขำ) สมรสกับ คุณหญิงเพ็ง (สกุลเดิม สุวรรณศร) มีบุตรธิดาด้วยกัน 12 คน ดังนี้

นางพิศ อดิศักดิ์อภิรัตน์ ภรรยาพระอดิศักดิ์อภิรัตน์ (เต็ม สุริยวงศ์ บุนนาค)

หลวงวิชิตอัคนีนิภา (ขาว) บิดาของวิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต

นายเข็ม ณ ป้อมเพชร์

นางศรีราชบุรุษ (เล็ก ปุณศรี) ภรรยาหลวงศรีราชบุรุษ (แปลง ปุณศรี)

พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ) พ.ศ. 2422-2487
พระพิทักษ์เทพธานี (ด้วง) บิดาของพระยาไชยวิชิตสิทธิศาสตรา (นาค)

ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ , นางอัมพา สุวรรณศร , นางเพียงแข สุนทร-วิจารณ์ ภรรยาเย็น สุนทร-วิจารณ์ , นางสาวนวลจันทร์ ณ ป้อมเพชร์ , เด็กหญิงเภา ณ ป้อมเพชร์ , นางอุษา สุนทรวิภาต , นายอานนท์ ณ ป้อมเพชร์ ,นายชาญชัย ณ ป้อมเพชร์

พระยาไชยวิชิตสิทธิศาสตรา (นาค) บิดาของพระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ)

เมื่อพิจารณาสายสกุลของเจ้าคุณชัยวิชิตฯ (ขำ) โดยตรง พบว่ามีอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย คนหนึ่งเป็นลูกเขย ชื่อ “ปรีดี พนมยงค์”  และอีกคนหนึ่งเป็นเหลนเขย ชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กล่าวคือ ท่านผู้หญิงพูนศุข สมรสกับ นายปรีดี พนมยงค์ (อดีต หลวงประดิษฐ์มนูธรรม) มีบุตรธิดา ได้แก่ นางสาวลลิตา นายปาล นางสาวสุดา นายศุขปรีดา นางดุษฎี และนางวาณี  ขณะที่ “นางอัมพา” สมรสกับ “นายประมูล สุวรรณศร” (อดีตหลวงประสาทศุภนิติ) มีธิดารวม 4 คน คือ นางประพาพิมพ์ เด็กหญิงประพิชพรรณ นางศันสนีย์ และนางมณีรัตนา โดยที่นางประพาพิมพ์ สมรสกับ นายพงศ์เพ็ญ ศกุนตาภัย แล้วมีลูก 2 คน คือ นายอนวัช และนางพิมพ์เพ็ญ  ซึ่งนางพิมพ์เพ็ญ ต่อมาสมรสกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ระหว่าง “พูนศุข” กับ “อัมพา” เป็นพี่น้องที่ใกล้ชิดกันมาก ดังเช่นเมื่อครอบครัว “ปรีดี-พูนศุข” ต้องระหกระเหินอยู่ในต่างประเทศเพราะการเมืองเป็นพิษ “อัมพา” ได้รับเลี้ยงดู “ลลิตา” ลูกสาวคนโตของพูนศุขที่มีอาการป่วยทางสมอง ไว้ที่บ้านของอัมพา  ขณะที่ข้างคู่เขยอย่าง ปรีดีและประมูล ก็รู้จักกันมาช้านาน เพราะได้มาอาศัยอยู่ที่บ้านของเจ้าคุณและคุณหญิงชัยวิชิตฯ ด้วยกันมาแต่ยังเป็นหนุ่ม ในฐานะที่ทั้งสองท่านเป็นญาติผู้ใหญ่ของแต่ละคน กล่าวคือ ย่าของเจ้าคุณชัยวิชิตฯ (คือนางบุญมา) เป็นน้องสาวของนางปิ่น (ย่าของนายเสียง พ่อนายปรีดี)  ส่วนประมูลเป็นบุตรชายของหลวงอรรถสารสิทธิกรรม (บุ สุวรรณศร) พี่ชายคนโตของคุณหญิงเพ็ง

ปรีดีเขียนถึงเจ้าคุณชัยวิชิตฯ ไว้ว่า  “…นับตั้งแต่ข้าพเจ้ามีอายุได้ 18 ปี ก็ได้รับความอุปการะคุนจากท่านไนทางส่วนตัวเปนอเนกประการตลอดมาจนกะทั่งท่านถึงแก่กัม นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังถือว่าท่านเปนครูผู้ไห้ความรู้ไนเรื่องระเบียบและวิธีปติบัติราชการ คือไนระหว่างที่ข้าพเจ้าเริ่มเปนข้าราชการครั้งแรก โดยเข้าเปนเสมียนไนกรมราชทันฑ์ และได้พักอาสัยไนบ้านของท่านนั้น ท่านได้ฝึกฝนสั่งสอนแนะนำความรู้ไนราชการหลายหย่าง ซึ่งข้าพเจ้าได้นำความคิดความเห็นของท่านมาไช้เปนประโยชน์แก่ราชการไนพายหลังหลายประการ…”

นอกจากนี้ ลูกของพูนศุขและอัมพา ก็ยังสนิทสนมกันดีตราบจนปัจจุบัน ดังที่ย้อนหลังกลับไป สุดาเคยเล่าว่า ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 คุณพ่อจะให้ ปพาฬ บุญ-หลง ลูกศิษย์ที่โรงเรียนกฎหมาย พาลูกๆ หลานๆ ไปเที่ยว ไปดูหนังที่ศาลาเฉลิมกรุง ไปกินไอศกรีม ฯลฯ ซึ่งสุดามักจะไปกับประพาพิมพ์

สำหรับ “พจมาน ณ ป้อมเพชร”  สายสกุล ณ ป้อมเพชร์ ทางฝั่งของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ต้องย้อนกลับไปที่นายมา ลูกของนางคุ้ม ผู้เป็นน้องสาวของนางอิ๋ว (ทวดของเจ้าคุณชัยวิชิตฯ) กล่าวคือ นายมา มีบุตรธิดากับ นางโหมด รวม 7 คน คนหนึ่งชื่อ หลวงคลัง (ต่วน)  ซึ่งหลวงคลัง (ต่วน) ผู้นี้ เป็นบิดาของ พ.อ. พร้อม ณ ป้อมเพชร ผู้เป็นพ่อของนางพจนีย์ 

คุณหญิงพจนีย์ สมรสกับ พล.ต.ท. เสมอ ดามาพงศ์ มีบุตรธิดาด้วยกัน 4 คน คือ พงษ์เพชร เพรียวพันธ์ พีระพงศ์ และพจมาน

“พจมาน ดามาพงศ์”  แต่งงานกับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี  มีลูก 3 คน คือ พานทองแท้  พินทองทา และ แพทองธาร ภายหลังเมื่อหย่าจากทักษิณในปี 2551 แล้ว พจมานกลับมาใช้นามสกุล “ณ ป้อมเพชร” ของฝ่ายมารดา  ดังนั้นทั้งสามบุคคลสำคัญจึงเกี่ยวข้องและมีความสัมพันธ์กันตามที่กล่าว

นอกจากนี้ เมื่อกล่าวถึงสายของนางคุ้มแล้ว อีกความสัมพันธ์หนึ่งที่น่าสนใจคือ “นางพวง” พี่สาวของนายมา (ทั้งคู่เป็นหลานป้าของนางอิ๋ว ผู้เป็นทวดของเจ้าคุณชัยวิชิตฯ) เป็นแม่ของพระยาดำรงราชานุภาพ (ช้อย ศตรัต) ซึ่งเป็นเจ้ากรมของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ นายช้อยมีน้องชายคนหนึ่งชื่อ ชุ่ม ธิดาคนหนึ่งของนายชุ่มชื่อ แสง ต่อมาถวายตัวเป็นหม่อมของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ  หม่อมแสงเป็นมารดาของ ม.จ.มารยาตรกัญญา ม.จ.พรพิลาศ  ม.จ.พวงมาศผกา  ม.จ.ศุกรวรรณดิศ  ม.จ.เราหิณาวดี และ  ม.จ.กฤษณาพักตรพิมล

คุณหญิงเพ็ง ชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา กับลูกหลาน พ.ศ.2500
พระยาและคุณหญิงชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา กับลูกหลาน พ.ศ. 2474
พระยากับคุณหญิงชัยวิชิตฯ และครอบครัว
อัมพาและประมูล สุวรรณศร พ.ศ. 2479
ม.จ.มารยาตร กัญญา กับเจ้าน้องร่วมมารดาเดียวกัน

จากซ้าย ม.จ.มารยาตรกัญญา , ม.จ.พรพิลาศ , ม.จ.พวงมาศผกา , ม.จ.ศุกรวรรณดิศ , ม.จ.เราหิณาวดี และ ม.จ.กฤษณาพักตรพิมล

เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งเมื่ออังกฤษและฝรั่งเศสประกาศสงครามกับเยอรมนี แล้วเลยลุกลามเป็นสงครามโลก (สงครามโลกครั้งที่ 2) เกิดขึ้นในยุโรปตั้งแต่ พ.ศ. 2482 ขณะที่ทางด้านเอเชีย “ญี่ปุ่น” ประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2484 

ต่อมากองทหารญี่ปุ่นก็เข้าเมืองไทยทางสงขลา ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และสมุทรปราการ  ขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็เข้าโจมตีเกาะฮาวาย ฟิลิปปินส์ และส่งทหารขึ้นบกที่มลายู และโจมตีสิงคโปร์ทางเครื่องบิน  เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นได้ขอรัฐบาลไทยให้ทหารญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไทย เพื่อไปโจมตีพม่า และมลายูของอังกฤษ  และขอให้ระงับการต่อต้านญี่ปุ่นของคนไทย  คณะรัฐมนตรีโดยจอมพล ป  พิบูลสงคราม (แปลก พิบูลสงคราม) นายกรัฐมนตรีทำตามความต้องการของญี่ปุ่น และได้ทำกติกาสัมพันธไมตรีกับญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2484  สงครามที่เกิดขึ้นในเอเชียนี้เรียกว่า “สงครามมหาเอเชียบูรพา” มีญี่ปุ่นเป็นผู้นำ 

สุดท้ายญี่ปุ่นแพ้สงคราม เมื่อวันที่  24 สิงหาคม พ.ศ. 2488  แล้วรัฐบาลไทยก็ประกาศ ว่า การประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นโมฆะ เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญและความประสงค์ของประชาชนชาวไทย  ไทยต้องปรับความเข้าใจกับฝ่ายสัมพันธมิตร  สหรัฐอเมริกามิได้ถือไทยเป็นศัตรู ตามประกาศของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา

โดย นายเจมส์ เบิรนส์ (James Byrnes) รัฐมนตรีต่างประเทศเป็นผู้ลงนาม  แต่รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ นายเออร์เนสต์ เบวิน (Ernest Bevin) ไม่ยอมรับทราบการโมฆะของการประกาศสงครามง่ายๆ  วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2489 (เวลานั้น ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้ารัฐบาล) ผู้แทนไทยได้ลงนามกับผู้แทนอังกฤษ ที่สิงคโปร์ ความตกลงนี้เรียกว่า “ความตกลงสมบูรณ์แบบ เพื่อเลิกสถานะสงคราม ระหว่างประเทศไทยกับบริเตนใหญ่และอินเดีย” ที่สำคัญคือไทยต้องคืนดินแดนของอังกฤษ ที่ได้มาระหว่างสงคราม และต้องชดใช้ค่าเสียหายต่างๆ แต่ต่อมาไทยเจรจาขอแก้ไขได้

การที่ไทยเอาตัวรอดได้ทั้งๆ ที่อยู่ในฝ่ายประเทศแพ้สงครามนี้ “ขบวนการเสรีไทย” มีส่วนช่วยเหลือเป็นอย่างมาก ทำให้ประเทศสัมพันธมิตร โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาเห็นใจเมืองไทย  ขบวนการเสรีไทยต่อต้านญี่ปุ่น มีทั้งที่สหรัฐอเมริกา ในอังกฤษ ซึ่งขบวนการเสรีไทยนั้นมี “ปรีดี พนมยงค์” ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นหัวหน้าเสรีไทย

ในงานเสวนา “120 ปีชาตกาลปรีดี พนมยงค์ และประวัติศาสตร์ 2475” ซึ่งมีขึ้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีการกล่าวถึงประเด็นนี้ โดย “กษิดิศ อนันทนาธร” จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าทำไมสงครามโลกครั้งที่ 2 ของไทยจึงเรียกว่าเป็น “สงครามที่โมฆะ” ทั้งนี้ เพราะมันเป็นการประกาศสงครามไม่ชอบธรรม กษิดิศอ้างถึงอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เคยพูดไว้ตอนคิดตั้งเสรีไทยทำนองว่า ตอนที่คิดจะตั้งเสรีไทยอาจารย์ปรีดีนึกถึงพระเจ้าตาก บอกว่าพระเจ้าตากกู้กรุงศีอยุธยาสมัยนั้น คล้ายเรากำลังกู้กรุงเทพ ทำนองนี้

“ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 เกี่ยวพันกับอาจารย์ปรีดีตั้งแต่ต้น เพราะพอญี่ปุ่นบุกไทย พวกญี่ปุ่นก็รู้สึกว่าอาจารย์ปรีดีเป็นพวกต่อต้านญี่ปุ่น เป็นรัฐมนตรีคลังใน ครม. ซึ่งเป็นเสียงฝ่ายที่ไม่ชอบญี่ปุ่น จากข้อมูลญี่ปุ่นบุกไทยวันที่ 8 ธันวาคม 2484  เย็นวันนั้นอาจารย์ปรีดีกับพรรคพวกก็ตั้งเสรีไทยที่บ้านพักแถวสีลม  ขณะที่เสรีไทยในต่างประเทศก็ตั้งกันในเวลาต่อมา แล้วอาจารย์ปรีดีก็หลุดจากรัฐมนตรีไปเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  อันนี้เป็นประเด็นถกเถียงกัน เพราะมีคดีที่อาจารย์ปรีดีไปฟ้อง รอง ศยามานนท์ (อดีตรองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ไปเขียนว่าจอมพล ป ช่วยอาจารย์ปรีดีตอนญี่ปุ่นจะเล่นงานอาจารย์ จอมพล ป  จึงเอาอาจารยืปรีดีไปเป็นผู้สำเร็จราชการ  เรื่องนี้อาจารย์ปรีดีโต้แย้งว่า “ไม่จริง” เรื่องการเป็นผู้สำเร็จราชการเป็นการคุยกันว่าจะมีการปรับ ครม.  แล้วเสนอตำแหน่งนี้ให้กับอาจารย์ปรีดี  แปลว่าอาจารย์ปรีดีเป็นผู้สำเร็จราชการหลังญี่ปุ่นบุกไทยในสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ประเด็นที่นำไปสู่การเป็น “โมฆะ” ของสงครามตอนนั้น เพราะว่าในประกาศสงครามที่จอมพล ป ประกาศร่วมกับญี่ปุ่น สู้กับสหรัฐอเมริกา และบริเตนใหญ่ และอาจารย์ปรีดีเป็นผู้สำเร็จราชการแล้ว 

“…เวลานั้นอาจารย์ปรีดีอยู่ที่อยุธยา ตอนประกาศสงครามนั้น ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มี 3 คน คือ 1.พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา 2.เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน และ 3.อาจารย์ปรีดี  แต่การประกาศสงครามมีเซ็นชื่อกันเพียง 2 คน อาจารย์ปรีดีไม่ได้เซ็นเพราะอยู่อยุธยา แต่จอมพล ป ลักไก่ประกาศออกวิทยุเลยว่าผู้สำเร็จราชการ 3 คนเซ็นชื่อแล้ว  อันนี้อาจารย์ปรีดีมีในคำฟ้อง รอง ศยามานนท์ ด้วยที่ไปเขียนในหนังสือเรื่องประวัติศาสตร์ไทยในระหว่างรัฐธรรมนูญ…”

“…รอง ศยามานนท์ เขียนทำนองว่าอาจารย์ปรีดีได้วางแผนไปอยู่ที่อยุธยา โดยไม่ทราบสาเหตุ  แต่อาจารย์ปรีดีอธิบาย ว่าเวลานั้นรู้กันอยู่แล้วว่าพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา จะเสด็จไปตากอากาศที่หัวหิน สลับกันกับอาจารย์ปรีดีที่จะมาตากอากาศที่พระนครศรีอยุธยา  อาจารย์ปรีดีมาพักอยู่ที่คุ้มขุนแผน ซึ่งมีโทรศัพท์ติดต่อได้ ถ้าโทรศัพท์มาบอก ในเวลาหนึ่งชั่วโมงก็นั่งเรือนั่งรถกลับกรุงเทพได้  แต่กลับไม่บอกสักคำว่า ชิ่งทำไปเลย  ขณะที่จอมพล ป นั้น ญี่ปุ่นบุกไทยในวันที่ 8 ธันวาคม จอมพล ป ไปอยู่อรัญประเทศ ส่งเครื่องบินไปรับก็ไม่ยอมกลับมา รอจนเช้าถึงกลับมา จะบอกว่าปรีดีชิ่งได้ยังไง ก็ไม่บอกเอง ประเด็นนี้สุดท้ายนำไปสู่การที่เราบอกว่าการประกาศสงครามของไทยเป็นโมฆะ เพราะผู้สำเร็จราชการลงชื่อไม่ครบ 3 คน…”

ที่กล่าวมาเป็นความเห็นในวงเสวนา 120 ปีชาตกาลปรีดี พนมยงค์ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับอีกกระแสหนึ่ง จากหนังสือศิลปวัฒนธรรม หนังสือในเครือมติชน จำกัด(มหาชน) ปรากฏข้อเขียนเรื่องนี้เมื่อ 2 มิถุนายน 2562 ความว่าเหตุผลที่ไทยไม่แพ้สงคราม (คำประกาศสงครามกับสัมพันธมิตรเป็นโมฆะ)  มาจาก 2 กรณี คือ 1. ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูตไทยประจำสหรัฐ ไม่ประกาศสงครามกับสหรัฐ ด้วยการไม่ยื่นคำประกาศสงครามให้สหรัฐ 2. นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ผู้สำเร็จราชการฯ ขณะนั้น มิได้ลงนามในการประกาศสงครามด้วย

ซึ่งนักวิชาการ 2 ท่าน คือ “พ.ท.ผศ.ดร. ศรศักร ชูสวัสดิ์” และ “ศตพล วรปัญญาตระกูล”  เป็นผู้ค้นคว้าและเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้  จึงขอสรุปย่อที่เกี่ยวกับอาจารย์ปรีดีมาในที่นี้ เริ่มแรกของข้อเขียนเป็นการตั้งคำถาม “

ผู้สำเร็จราชการฯ ลงชื่อไม่ครบ หรือ เรื่องไม่ผ่านสภาฯ”  นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ผู้สำเร็จราชการฯ ขณะนั้น มิได้ลงนามในการประกาศสงคราม (25 มกราคาม 2485) จึงถือว่าประกาศไม่สมบูรณ์ มีผลให้เป็นโมฆะ  นายทวี บุณยเกตุ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีขณะนั้น ได้บันทึกไว้ด้วยตนเอง ว่าประกาศสงครามนี้ จอมพล ป พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการก่อนแล้ว จึงส่งไปให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในขณะนั้น ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 คน คือ 1.พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา  2. พลเอกเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน  3. นายปรีดี พนมยงค์ โดยในวันประกาศสงครามนั้น ตรงกับวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 และเป็นวันที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นพิเศษด้วย

พอเวลาประมาณ 11 นาฬิกา ได้มีเจ้าหน้าที่มารายงานนายกรัฐมนตรี ว่า คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มีอยู่ในกรุงเทพฯ เพียง 2 ท่านเท่านั้น คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา กับพลเอกเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน ส่วนนายปรีดี พนมยงค์ ไม่ได้อยู่ในพระนคร  ทราบว่าไปต่างจังหวัด  คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จึงลงพระนามและลงนามเพียง 2 คนเท่านั้น จะลงนามครบทั้ง 3 คน เกรงว่าจะประกาศให้ทันเที่ยงของวันนี้ (25 ม.ค. 2485) แต่ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้มีรับสั่งว่าให้ประกาศชื่อนายปรีดี พนมยงค์ ลงไปก็แล้วกัน แม้จะไม่ได้ลงนามก็ตาม ท่านจะทรงรับผิดชอบเอง  และนี่คือประเด็นที่มีการตีความว่าประกาศสงครามเป็นโมฆะ

ซึ่งนับเป็นการตีความที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงที่มีอยู่ และขัดแย้งกับหนังสือนายกรัฐมนตรีที่ ศ. 10213/2484 ลงวันที่ 15 ธันวาคม2484 เรื่องการตั้งซ่อมผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพิ่มเติม ถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยใจความตอนหนึ่งในหนังสือดังกล่าวมีความดังนี้  “…มีข้อตกลงกันว่าในการลงมติวินิจฉัยข้อปรึกษานั้น ให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณและในการลงนามในเอกสารราชการนั้น ให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อย่างน้อย 2 ท่าน เป็นผู้ลงนาม ตามประกาศสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 4 สิงหาคม พุทธศักราช 2480 นั้น…”

จากเอกสารข้างต้นจึงสรุปได้ว่า การลงพระนามหรือลงนามโดยคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ 2 หรือ 3 คนไม่ใช่เหตุที่ทำให้ประกาศสงครามเป็นโมฆะได้ คณะรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ รัฐบาลภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีบทบาทสำคัญในการประกาศสันติภาพ  แต่ประกาศสันติภาพอ้างว่า ประกาศสงครามของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นโมฆะ เพราะฝ่าฝืนขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และกฎหมายบ้านเมืองนั้น แท้จริงมาจากเหตุที่ว่าการประกาศสงครามนั้นอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 มาตรา 54 “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศสงคราม ทำหนังสือสัญญาสันติภาพสงบศึกและทำหนังสือสัญญาอื่นๆ กับนานาประเทศ การประกาศสงครามนั้นทรงทำต่อเมื่อไม่ขัดแก่บทบัญญัติแห่งกติกาสันนิบาตแห่งชาติ หนังสือสัญญาใดๆ มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตต์สยามหรือจะต้องออกพระราชบัญญัติ เพื่อให้การเป็นไปตามสัญญาไซร้ ท่านว่าต้องได้รับความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร”

นอกจากนี้ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์  ประกาศสันติภาพมีผลให้ประกาศสงครามของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ต่อประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เป็นโมฆะ โดยรัฐบาลได้เสนอประกาศสันติภาพต่อที่ประชุมสภาผู้ แทนราษฎรเพื่อลงมติให้ความเห็นชอบกับประกาศดังกล่าว ซึ่งคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ดังนั้นจึงพออนุมานได้ว่า เหตุที่ประเทศไทยไม่เป็นผู้แพ้สงคราม เพราะประกาศสงครามเป็นโมฆะ  เนื่องจากประกาศสงครามไม่ผ่านสัตยาบันและให้ความเห็นชอบโดยสภาผู้แทนราษฎร 

โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 62 (8) ว่า การให้ความเห็นชอบแก่หนังสือสัญญาตามความในมาตรา 76 ต้องกระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา และมาตรา 76 บัญญัติไว้ว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพสงบศึก และทำหนังสือสัญญาอื่นๆ กับนานาประเทศ หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตต์ไทย  หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามสัญญา ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา

สรุปได้ว่า การยื่นหรือไม่ยื่นคำประกาศสงครามของสถานทูตไทยให้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ  ไม่มีความสำคัญต่อการตัดสินใจของรัฐบาลสหรัฐ  ที่จะไม่ประกาศสงครามตอบไทย  ในทำนองเดียวกันการลงนามของผู้สำเร็จราชการฯ ไม่ครบทั้งคณะ หรือการประกาศสงครามที่ไม่ผ่านสภาผู้แทนราษฎร มีผลให้ประกาศดังกล่าวเป็นโมฆะหรือไม่ ก็เป็นเรื่องภายในของไทย  ทั้งหมดนั้นในเวทีนานาชาติไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้ไทย “ไม่แพ้”  ในสงครามโลกครั้งที่ 2 หากประเด็นอยู่ที่รัฐบาลสหรัฐตัดสินใจไม่ประกาศสงครามตอบไทยต่างหาก

ข้อมูลนำมาเสิร์ฟวางลงให้ตรงหน้า ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาไตร่ตรองของคนอ่าน ว่า จะเห็นเป็นอย่างไร?

เรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดย “บุญสม อัครธรรมกุล” ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายศิษย์เก่าสัมพันธ์ หารือกับ “มติชนอคาเดมี” หน่วยงานหนึ่งในเครือบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) มีหน้าที่จัดทัวร์ท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ให้กับผู้สนใจ ซึ่งในวาระครบ 120 ปี ชาตกาลอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส และเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งยังเป็นผู้ประศาสน์การคนแรกของมหาวิทยาลัยนั้น ควรมีกิจกรรมตามรอยเดินทางไปศึกษายัง “บ้านเกิด” ของอาจารย์ปรีดี ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงกับเรื่องราวและความคิดของอาจารย์ปรีดีในห้วงเวลาดังกล่าว  ดังนั้น นอกจากการลงพื้นที่เพื่อดูสถานที่จริงที่เกี่ยวข้องแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะขาดไม่ได้ คือการเสวนา ซึ่งไม่ใช่การเสวนาธรรมดา แต่เป็นการเจาะลึกข้อมูลอย่างถึงพริกถึงขิง โดยผู้เป็นวิทยากรทั้งในส่วนการนำทัวร์ และการพูดคุยบนเวที เป็นสองกูรูด้านประวัติศาสตร์ชื่อดังอัดแน่นด้วยภูมิความรู้ ทั้งเรื่องของอาจารย์ปรีดีและเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ได้แก่ “สมฤทธิ์ ลือชัย” อาจารย์นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และพุทธศาสนา ร่วมด้วย “ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์  มหาวิทยาลัยรังสิต และนักเขียนด้านประวัติศาสตร์มีผลงานหลายเล่ม

อยุธยาแหล่งก่อสำนึกทางการเมืองแก่ปรีดี

หลังรับประทานอาหารค่ำ บรรยากาศสบายๆ ที่โรงแรมกรุงศรีริเวอร์ ริมแม่น้ำป่าสัก  วงเสวนาเปิดฉากขึ้นโดย “กษิดิศ อนันทนาธร” ตัวแทนจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เกริ่นถึงครอบครัว “พนมยงค์” ว่าพ่อของอาจารย์ปรีดีชื่อ “นายเสียง พนมยงค์” ซึ่งแม้จะมีอาชีพเป็นชาวนาแต่ก็ไม่ใช่ชาวนาธรรมดาๆ “นายเสียงเป็นหมอชาวบ้านด้วย เป็นนักดนตรีด้วย มีความรู้พอสมควร และเป็นญาติของขุนนางในกรุงเทพฯ นายเสียงเคยคุยเรื่องของเพื่อนชาวนาให้อาจารย์ปรีดีฟังตั้งแต่เด็ก และยังเล่าว่าที่เมืองฝรั่งมีสิ่งที่เรียกว่า “ผู้แทนราษฏร” จะทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงแทนพวกเรา เอาความทุกข์ของพวกเราไปพูดในสภาหาทางออกด้วยกัน แต่บ้านเมืองเราไม่มีสิ่งนั้น ถ้าบ้านเมืองเรามีสิ่งนั้น การแก้ปัญหาของชาติคงจะดีขึ้น…” กษิดิศย้ำว่าจากคำของนายเสียงแสดงให้เห็นว่าเรื่องของผู้แทนราษฏรถูกนำมาพูดให้เด็กชายปรีดีฟังก่อนไปเรียนที่ฝรั่งเศสแล้ว  “อันนี้มีบันทึกชัดเจน ว่านายเสียงพูดอย่างนี้กับเพื่อนๆ และอาจารย์ปรีดีตั้งแต่เด็ก แล้วเข้าใจว่าโดยสำนึกทางการศึกษท่านคงเห็นว่ามันมีความไม่เป็นธรรมอะไรบ้างในสังคม แล้วโอกาสทางการศึกษาก็ทำให้ท่านเห็นว่าสังคมเรามันดีกว่านี้ได้…”

มาถึงช่วงนี้ อาจารย์สมฤทธิ์เริ่มขยายความเรื่องราวบางช่วงบางตอนที่สำคัญของปรีดี พนมยงค์ ในช่วงเวลาที่ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยปารีส ประเทศฝรั่งเศส ว่าในช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับที่อาจารย์ปรีดีไปเรียนที่ฝรั่งเศส ในประเทศอื่นๆ ก็มีผู้นำการปฏิวัติเจเนอเรชั่นใกล้เคียงกันไปเรียนที่ฝรั่งเศสด้วยเหมือนกันหลายคน  “…การไปเรียนที่ฝรั่งเศสเป็นแรงบันดาลใจให้อาจารย์ปรีดีส่วนหนึ่ง แต่อยากเน้นว่า “อยุธยา” บ้านเกิด นี่แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นทำให้ท่านสนใจปัญหาทางการเมือง แล้วมีไอเเดียทางการเมืองตั้งแต่สมัยที่ได้ยินพ่อคุยกันกับเพื่อนๆ  นี่เป็นประเด็นสำคัญที่จะบอกว่าเรื่องเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไม่ได้เป็นสิ่งที่อาจารย์ปรีดีไปรับมาจากตะวันตก แต่มันก่อสำนึกขึ้นมาก่อนแล้วที่อยุธยาบ้านเกิดก่อนที่ท่านจะเดินทางไปเรียนที่ฝรั่งเศส…”

กษิดิศ อนันทนาธร (ขวา)
อ.สมฤทธิ์ ลือชัย

อาจารย์สมฤทธิ์ย้ำเรื่องครอบครัวพนมยงค์ ว่าไม่ใช่บ้านชาวนาธรรมดาๆ  อาจารย์ปรีดีก็ไม่ได้เป็นลูกชาวนา ชาวไร่ หรือเป็นไพร่ทั่วไปอย่างที่เข้าใจกัน ถ้าไปดูสาแหรกของ “ตระกูลพนมยงค์” และ  “ป้อมเพชร์”  จะสามารถลำดับไปถึงย่าของนายเสียง เป็นพี่ร่วมบิดามารดาเดียวกันกับย่าของพระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์)  หมายความว่านายเสียงมีญาติเป็นขุนนางในกรุงเทพฯ และพระยาชัยวิชิตฯ ก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในรัชกาลที่ 6 เป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์คนแรกและคนเดียวในรัชกาลที่ 6  พ่อของพระยาชัยวิชิตฯ คือพระยาไชยวิชิตสิทธิสาตรา (นาค) เป็นผู้รักษาการกรุงเก่ามาก่อน แล้วพระยาไชยวิชิตฯ (นาค) ตอนเป็นหลวงวิเศษสาลี (นาค) ก็เคยลงชื่อในคำกราบบังคมทูล ร.ศ.103 ด้วย เพราะฉะนั้นก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่เคยรับราชการ และตอนที่อาจารย์ปรีดีไปเรียนที่กรุงเทพฯ ได้ไปอยู่บ้าน ณ ป้อมเพชร์ ของพระยาไชยวิชิตฯ (นาค)  ยังมีบันทึกว่าเจ้าคุณไชยวิชิตฯ (นาค) เคยพานายปรีดีไปเจอเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมด้วย  “การที่อาจารย์ปรีดีได้ไปเรียนที่เมืองนอก ผมเข้าใจว่าในสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง เราไม่ได้มีการสอบไปเมืองนอกด้วยซ้ำไป เราใช้วิธีการจิ้มเอาว่าเด็กเรียนเก่งคนนี้มีคนรับรอง มีแววดีว่าจะเรียนได้ ก็เอาไปเรียนเลย เข้าใจว่าอาจารย์ปรีดีอาจจะไปด้วยวิธีการนี้ด้วยซ้ำไป ระบบคัดเลือกคนไปเรียนเมืองนอกก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไม่ได้เป็นระบอบสอบชิงทุน แต่เป็นระบอบที่จิ้มคนมีแวว มีเครดิต ไปเรียนต่อ…”

อาจารย์สมฤทธิ์ กล่าวว่าอาจารย์ปรีดีเคยพูดเอง ว่าท่านไม่ได้เป็นคนระดับล่าง  พ่อ(นายเสียง) มีที่ดิน 200 ไร่ และถ้าเทียบไปถึง “เชียด” ซึ่งเชียดของอาจารย์ปรีดีก็คือเชียดของท่านผู้หญิงพูนศุข หมายความว่าตัวเชียดมีลูกสาวสองคน  คนหนึ่งเป็นย่าทวดของปรีดี ส่วนอีกคนหนึ่งก็ไปเป็นทวดของท่านผู้หญิงพูนศุข  อาจารย์ปรีดีและท่านผู้หญิงพูนศุขนั้นเป็นเหลนต่อเหลนแต่งงานกัน และถ้าดูสาแหรกของตระกูลพนมยงค์ มีทั้งคนที่เป็นเกษตรกร  เป็นขุนนางก็มี   “…คือครอบครัวไม่ได้เป็นคนระดับธรรมดา เพราะฉะนั้นโอกาสของอาจารย์ปรีดีที่จะได้รับการจิ้มไปเรียนเมืองนอกจึงสูงกว่าคนอื่นที่อยู่ในอยุธยาตอนนั้น  แล้วที่สำคัญอาจารย์ปรีดีท่านเคยไปเรียนที่วัดเบญจมบพิตร ที่กรุงเทพฯ ก่อนจะกลับมาเรียนที่โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ลองนึกถึงสมัยเมื่อร้อยปีที่แล้ว เด็กจากอยุธยาเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ แล้วกลับมาจบมัธยมที่นี่ โอกาสก็จะสูงกว่าคนอื่นที่จะได้ทุนไปเมืองนอก ซึ่งระยะแรกๆ ทุนพวกนี้ลูกเจ้าหลานนายทั้งนั้นที่ได้  นามสกุล “ลือชัย” ต่อให้ตายก็ไม่ได้ไป นามสกุล “เพชรเลิศอนันต์” ต่อให้ร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด ก็ไมได้ไป เจ๊กขายโอเลี้ยงอยู่พิจิตรก็ไม่ได้ไป..มันจะต้องมีเส้นสาย..”เสียงฮาดังลั่นห้อง

เมื่อเสียงของผู้ฟังในห้องลดระดับลง อาจารย์ธำรงศักดิ์ขอใช้สิทธิถูกพาดพิง กล่าวว่าความคิดทางการเมืองและสังคมของอาจารย์ปรีดีคิดว่ามาจาก 1.ครอบครัว คือการได้ฟังจากพ่อ  2.ครูบาอาจารย์เล่าให้ฟัง  “…โลกเมื่อก่อนนี้ครูบาอาจารย์สำคัญมาก เพราะคือคนที่นำเอาโลกข้างนอกเข้ามาให้สังคมข้างใน  มันเหมือนตอนที่นักศึกษาเคลื่อนไหว 14 ตุลา 2516 เป็นเพราะครูบาอาจารย์มาจากโลกตะวันตกรุ่นใหม่ และเอาโลกตะวันตกมาเล่าให้นักศึกษาฟัง ครูบาอาจารย์จึงเป็นตัวผลักดันอันหนึ่งของการเห็นโลกใหม่ ที่บอกว่ามันเปลี่ยนแปลง มันแตกต่าง ผมว่าอันหนึ่งที่อาจารย์ปรีดีมีคือ การได้อ่านหนังสือ  กลุ่มคณะราษฏร กลุ่มชนชั้นนำ สิ่งสำคัญคือการได้อ่านหนังสือใหม่ๆ  ผมจำได้หลวงวิจิตรวาทการ ท่านบวชที่อุทัยธานีแล้วมาอยู่ที่วัดมหาธาตุฯ (ท่าพระจันทร์)  หลวงวิจิตรฯ ได้ไอเดียของโลกใหม่มาจากหนังสืองานศพของวัดมหาธาตุ เพราะหลวงวิจิตรฯ อยู่วัดมหาธาตุ และเรียนภาษาอังกฤษแถวนั้น  การได้อ่านหนังสือใหม่ๆ ทำให้เกิดการเปิดโลกทางความคิด แต่สิ่งสำคัญคืออาจารย์ปรีดีได้ภาษาด้วย การได้ภาษาทำให้เกิดการได้อ่านอีกชุดหนึ่งที่แตกต่างออกไป  สมมุติว่าเราตื่นมาแล้วได้อ่านแต่หนังสือพิมพ์ภาษาไทย เราก็จะวนเวียนอยู่แต่กับประเด็นรัฐบาลประยุทธ์  ไวรัสโควิด อยู่นั่นแหละ แต่เราจะไม่เห็นโลกที่มันกำลังเคลื่อน…”

ฝรั่งเศสดินแดนนักปฏิวัติ

อาจารย์ธำรงศักดิ์ขยายความต่อไป ว่าอาจารย์ปรีดีชิ่งจากเรียนภาษาอังกฤษไปเรียนภาษาฝรั่งเศส จุดนี้แสดงให้เห็นว่าท่านเป็นคนที่เกร็งการณ์ไกล หากอาจารย์ปรีดีใช้ภาษาอังกฤษคงไม่ได้ทุนไปเมืองนอก เพราะโลกที่จะถูกส่งทุนไปที่อังกฤษเป็นโลกของขุนน้ำขุนนาง ผู้ดิบผู้ดี และเจ้านายราชสำนัก พวกนี้เป็นพวกที่ได้ทุนไปเรียนที่อังกฤษ  ส่วนพวกที่ได้ทุนไปเรียนที่ฝรั่งเศสนั้น เป็นเพราะหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ฝรั่งเศสถามต่อรัฐบาลสยาม สมัยรัชกาลที่ 6 ว่าฝรั่งเศสก็เป็นมหาอำนาจ ทำไมจึงส่งแต่คนไปเรียนที่อังกฤษ ทำไมไม่ส่งไปเรียนที่ฝรั่งเศส  ดังนั้น คนรุ่นอาจารย์ปรีดีและจอมพล ป หรือนายแปลก พิบูลสงคราม จึงเป็นคนรุ่นแรกที่ได้ทุนไปเรียนที่ฝรั่งเศส  “…ผมคิดว่าอาจารย์ปรีดีเกร็งถูกทิศทางด้วย  เมื่อท่านถูกชี้ในทุนของกระทรวงยุติธรรมให้ไปเรียนทางด้านกฎหมาย จึงได้ไปที่ฝรั่งเศส  ท่านไปฝรั่งเศสตอนอายุ 20 กว่าๆ กระทั่งอายุ 27 ปี ใช่้เวลาอยู่กับโลกฝรั่งเศส 7-8 ปี ฉะนั้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 คนที่ไปอยู่ฝรั่งเศสได้รับอะไร? ซึมซับบรรยากาศแบบไหน?  เราอย่าลืมว่าในแต่ละรุ่นจะผลิตคนออกมาในบรรยากาศที่แตกต่างกัน เหมือนผมพูดถึงพระยาพหลฯ  พระยาทรงสุรเดช ที่ไปเรียนที่เยอรมัน คนตั้งคำถามว่าเยอรมันเป็นเผด็จการไม่ใช่หรือ เราอย่าลืมว่าเยอรมันก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 บรรยากาศของประชาธิปไตยที่จะล้มราชวงศ์ไกเซอร์เต็มไปหมด ไม่ใช่เยอรมันที่รักษาไกเซอร์  กระแสประชาธิปไตยเกิดขึ้นในเยอรมัน ภาพของฝรั่งเศสหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 คือดินแดนเสรีที่สุดของการสุมหัวนักปฏิวัติ  นักปฏิวัติอยู่ที่นั่น อยู่ที่ฝรั่งเศสคุณคิดอ่านได้ค่อนข้างเสรีมาก คุยได้ทุกเรื่อง ไล่ประเด็นกันได้   ดังนั้น โลกฝรั่งเศสยุคนั้น มีนักเรียนไทยในยุโรปไม่กี่ร้อยคน 200-300 คน ในอเมริกา 200 คน ส่วนมากเป็นลูกท่านหลานเธอ  ซึ่งเกี่ยวโยงไปถึงการคัดสรรคนเข้ามาเป็นสมาชิกคณะราษฏร เริ่มต้นแค่ 7 คน  ใครควรเป็นเข้ามาเป็นสมาชิกเขาจะรู้กัน…”

เสียงอาจารย์ธำรงศักดิ์ยังคงสาธยายต่อไปท่ามกลางความตั้งอกตั้งใจฟังของคนในห้องเสวนา อาจารย์บอกว่าตอนที่อาจารย์ปรีดีทำการปฏิวัติ 2475  ไม่ได้บอกภรรยาคือท่านผู้หญิงพูนศุขเลย บอกแต่ว่าจะไปบวชและจะไปแจ้งพ่อที่อยุธยา ตอนสุดท้ายท่านถึงมาบอก “น้องเอ้ย..พี่ผิดไปแล้วที่โกหกน้อง” เสียงฮาของคนในห้องดังอีกครั้ง เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะท่านผู้หญิงพูนศุขอายุ 21 ปีเท่านั้น ซึ่งอาจารย์ปรีดีมองว่าหากบอกไปแล้วความจะแตก เพราะท่านผู้หญิงมีเครือญาติที่เป็นเจ้าขุนมูลนายเต็มไปหมด

อาจารย์ธำรงศักดิ์วกกลับมาเรื่องการเลือกคนเข้าร่วมคณะราษฏร เริ่มจาก “นายแปลก” ได้ทุนทางการทหารไปฝรั่งเศสเป็นรุ่นแรก เนื่องจากเยอรมันแพ้สงคราม การจะส่งนายทหารไปเรียนที่เยอรมันไม่ได้อีกแล้ว ต้องเปลี่ยนส่งไปฝรั่งเศสแทน  “นายแนบ” บ้านรวยเป็นลูกเศรษฐี  ส่วน “พันตรี หลวงทัศนัยนิยมศึก” หรือ “ทัศนัย  มิตรภักดี” เป็นทหารมีพ่อรวยแต่ค่อนข้างไปทางนักเลง พ่อเลยให้ออกจากราชการทหารแล้วส่งไปเรียนที่ฝรั่งเศส  “…เพราะฉะนั้น พูดง่ายๆ ว่าการได้ไปฝรั่งเศสเป็นการได้ไปอยู่ในดินแดนแห่งเสรีภาพ ความคิดและความเคลื่อนไหวทางการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มันกลายเป็นตัวจุดประกาย สิ่งสำคัญคืออาจารย์ปรีดีกลายเป็นผู้นำในการรวมกลุ่มนักศึกษาในยุโรป การตั้งเป็นสมาคมกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการที่นักศึกษาเริ่มเห็นพาวเวอร์ในการต่อรองกับตัวแทนอำนาจรัฐบาลสยาม ซึ่งตรงนี้นำไปสู่การขัดแย้งกัน อาจารย์ปรีดีเรียกร้องให้มีการเพิ่มเงินแก่นักศึกษาทุน ควรให้เป็นเงินปอนด์สเตอริง ไม่ใช่ให้เงินฝรั่งเศสที่ราคาตกต่ำ การต่อรองเรียกร้องเหล่านี้ ตัวแทนรัฐบาลสยามคือพวกอัครราชทูตจะถือว่าเป็นการหมิ่นแคลนที่สำคัญมาก และตรงนี้เองที่ปรีดีถูกหมายหัวตั้งแต่อยู่ฝรั่งเศส ให้ส่งกลับทันที  อัครราชทูตตอนนั้นคือพระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร  แต่พ่อของอาจารย์ปรีดีคือนายเสียงทำจดหมายฏีกาถึงรัชกาลที่ 7  ลองคิดดูว่าถ้านายเสียงเป็นชาวนาธรรมดา คงตกใจตายแล้วที่ลูกตัวเองจะถูกส่งกลับ จะทำไง แต่นายเสียงยื่นฏีกา แสดงว่านายเสียงต้องมีแบ็คขุนนางเยอะมาก กระดาษฏีกาของนายเสียงทำให้กษัตริย์สยามทรงไตร่ตรองและบอกว่าให้เรียนจบก่อนแล้วค่อยกลับก็ได้ มันทำให้อาจารย์ปรีดีได้โอกาสอีกจังหวะหนึ่ง…”

ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์

ถึงตอนนี้อาจารย์สมฤทธิ์ขอไมค์กลับไปบ้าง และเสริมว่าฝรั่งเศสตอนหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นดินแดนที่น่าสนใจ และน่าสนใจมากกว่านั้น คือคนที่ไปเรียนฝรั่งเศสรุ่นอาจารย์ปรีดี หรือก่อนและหลังหน้าในช่วงเวลานั้น กลับมาล้วนเป็นนักปฏิวัติทั้งสิ้น ตั้งแต่ “เติ้ง เสี่ยว ผิง”  ” โจว เอน ไหล”  ของจีน  “พอลพต”  “เอียง สารี” ของเขมร  “เจ้าสุภานุวงศ์” ของลาว  ส่วนไทยมีอาจารย์ปรีดี  จอมพล ป เรียนที่ฝรั่งเศสทั้งหมด มีการศึกษาอันหนึ่งที่น่าสนใจคือ นักปฏิวัติของเอเชียล้วนเป็นผลผลิตของไม่อังกฤษก็ฝรั่งเศส เช่น “มหาตมะ คานธี” เรียนที่อังกฤษ และ “โฮเซ่ รีซัล” ของฟิลิปปินส์  คนพวกนี้หลุดออกจากโลกเดิมของตัวเองแล้วไปอยู่โลกที่ศิวิไลซ์  ไปเห็นบ้านเมืองเขา ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ได้เปรียบเทียบกับบ้านตัวเอง จึงเกิดการศึกษาแล้วกลายมาเป็นผู้นำในการปฏิวัติ   “…ผมคิดว่าน่าสนใจความพันธ์ของอาจารย์ปรีดีกับผู้นำในย่านบ้านเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำของเวียดนาม โฮจิมินห์ ซึ่งตอนนั้นไปทำหน้าที่เป็นพนักงานเสิร์ฟอยู่ในโรงแรมที่ปารีส โฮจิมินห์นี่ไปข้างล่างจริงๆ ไปกับเรือเดินสมุทร แล้วไปศึกษาสังคมนิยมที่ปารีส  ตอนที่มาต่อสู้เรื่องเอกราช โฮจิมินห์ได้รับการสนับสนุนจากอาจารย์ปรีดี  อาวุธปืนที่ฝ่ายสัมพันธมิตรยึดจากญี่ปุ่นชุดหนึ่งถูกส่งไปช่วยโฮจิมินห์กู้ชาติ โฮจิมินห์เอาปืนชุดนี้ไปตั้งกองพัน 2 กองพัน ชื่อ กองพันสยาม หลังจากกู้ชาติได้สำเร็จ เป็นประธานาธิบดีของเวียดนามเหนือ ได้เชิญอาจารย์ปรีดีและครอบครัวทั้งหมดไปเป็นแขกรัฐบาล ตอนนั้นอาจารย์ปรีดีไปอยู่กวางโจวแล้ว…”

“ปืนอีกส่วนหนึ่งส่งไปช่วยขบวนการลาวอิสระของเจ้าสุภานุวงศ์  ตอนหลังลาวได้ให้เหรียญเกียรติยศแก่อาจารย์ปรีดี แต่อาจารย์ปรีดีถึงแก่อสัญกรรมแล้ว จึงให้ท่านผู้หญิงพูนศุขรับแทน คือหมายความว่าความสัมพันธ์อันนี้เกิดมาจากกลุ่มนักเรียนที่ฝรั่งเศส  นอกจากอาจารย์ปรีดีจะโยงใยกับพวกนักเรียนไทยด้วยกันแล้ว อาจารย์ปรีดียังมีปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนในเอเชียที่ไปฝรั่งเศสในตอนนั้น สายสัมพันธ์นี้กลับมาแล้วกลายเป็นสายสัมพันธ์ที่ว่า…”ชาติ” ของอาจารย์ปรีดีคือชาติที่ “เป็นมิตร” กับเพื่อนบ้าน  ต่างกับ “ชาติ” ของจอมพล ป ที่ฉันจะเอาเพื่อนบ้านมาเป็นของฉัน กรณีสงครามโลกครั้งที่ 2 เราจึงไปยึดพระตะบอง เสียมราฐ  ศรีโสภณ จำปาศักดิ์ ไชยะบุรี เชียงตุง กลันตัน มลายู เอามาหมดเลย นี่เป็นจุดอีกอันที่ทำให้ทั้งสองท่านอาจารย์ปรีดีและจอมพล ป แตกกันในตอนหลัง…”

ปรีดี พนมยงค์กับรัชกาลที่ 7

เสียงแหบหายของอาจารย์สมฤทธิ์และอาจารย์ธำรงศักดิ์ ถูกคั่นด้วยเสียงของเด็กหนุ่ม “กษิดิศ” ตัวแทนจากธรรมศาสตร์ เมื่อเขากล่าวถึงประเด็นที่เขาบอกว่า “น่ารัก”  กษิดิศบอกว่าเราไม่เคยนึกว่ารัชกาลที่ 7 ไปเรียนที่ฝรั่งเศสประเทศเดียวกับปรีดี  คือตอนที่รัชกาลที่ 6 ครองราชย์แล้ว รัชกาลที่ 7 สุขภาพไม่ค่อยดี ได้เสด็จไปฝรั่งเศสเพื่อไปเรียนหนังสือและไปรักษาตัวด้วย รัชกาลที่ 7 ทรงไปเรียนเสนาธิการทหารที่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่อาจารย์ปรีดีเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยปารีส  เมื่ออาจารย์ปรีดีเรียนจบกลับเมืองไทย ปี 2470 มาอยู่กระทรวงยุติธรรมได้ไม่นาน ก็ไปอยู่กรมร่างกฎหมาย ซึ่งเป็นงานใหม่คืองานกฤษฏีกาในปัจจุบัน อาจารย์ปรีดีรับราชการได้ปีเดียว พอปี 2471 วันเฉลิมพระชนมพรรษาของรัชกาลที่ 7 อาจารย์ปรีดีได้บรรดาศักดิ์จากนายปรีดี พนมยงค์ เป็น “หลวงประดิษฐ์มนูญธรรม”

“ตรงนี้มีเกร็ดอีก…คือเล่าไว้ในคำนำหนังสือกรมการปกครอง อาจารย์ปรีดีพิมพ์ในงาน 100 วันของ พล.ต.ต.พัฒน์ เนียมวัฒนานนท์  อาจารย์เขียนคำนำเล่าว่าตัวเองไปเรียนหนังสือกลับมาก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2470-2471 โดยมาสอนวิชากฎหมายปกครองในโรงเรียนกฎหมาย ซึ่งสอนการจำกัดการใช้อำนาจรัฐ  ระบอบการปกครองต่างๆ มีอะไรบ้าง อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ไปถึงพระเนตรพระกรรณของรัชกาลที่ 7 ท่านทรงทราบว่าปรีดีสอนเรื่องแบบนี้ในโรงเรียน เมื่อถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษา โปรดให้จัดงานที่อุทยานสโมสร หน้าพระที่นั่งอัมพรสถาน อาจารย์ปรีดีไปเฝ้ารับเสด็จอยู่ในแถวของกระทรวงยุติธรรม ตอนนั้นมียศพลเรือนเป็นอำมาตย์ตรี เทียบเท่ากับพันตรี จึงเป็นตำแหน่งที่เฝ้าเกือบปลายแถว เมื่อรัชกาลที่ 7 พระราชดำเนินมาถึงแถวกระทรวงยุติธรรม ทรงทักทายกรรมการศาลฏีกาผู้หนึ่ง จากนั้นเสด็จผ่านข้าราชการผู้อื่นไปโดยไม่ทรงทักทาย แล้วมาหยุดประทับหน้าปลายแถว ทรงทักทายเลขานุการกรมร่างกฎหมายซึ่งเป็นหัวหน้าอาจารย์ปรีดี  ตรงนี้อาจารย์ปรีดีเขียนเล่าเองว่า “หลังทักทายเลขานุการกรมร่างกฎหมายแล้ว ก็ทรงทักทายข้าพเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ทรงรู้จักตั้งแต่ทรงศึกษาที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบกที่ฝรั่งเศส  ส่วนข้าพเจ้าเป็นนักเรียนวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยปารีส โดยทรงเรียกชื่อเดิมของข้าพเจ้า ทรงถามว่า “ปรีดีทำงานที่ไหน”  (ต้องเข้าใจในระบอบเดิม เวลาเปลี่ยนสถานะจากนายปรีดีเป็นบรรดาศักดิ์แล้วถ้าไม่สนิทกันจริงจะไม่เรียกชื่อเดิม แสดงว่ารัชกาลที่ 7 ทรงจำอาจารย์ปรีดีได้  ไม่เช่นนั้นก็ต้องเรียกคุณหลวงหรืออะไรทำนองนั้น)  อาจารย์ปรีดีกราบทูลว่า “ทำงานที่กรมร่างกฎหมายพระพุทธเจ้าข้า”  โดยมิได้กราบทูลถึงตำแหน่งพิเศษที่เป็นผู้สอนนักเรียนกฎหมายด้วย รัชกาลที่ 7 จึงรับสั่งว่า “สอนด้วยมิใช่หรือ”  ซึ่งแสดงว่าพระองค์ทรงทราบเรื่องที่สอนกฎหมายของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าจึงกราบบังคมทูลว่าพระพุทธเจ้าข้า…”

กษิดิศกล่าวต่อ ว่าลองคิดดูว่าหลังเหตุการณ์นี้ต่อมาอีก 6 เดือน ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอภิวัฒน์การปกครองขึ้น รัชกาลที่ 7 ยืนคุยกับอาจารย์ปรีดีมีประโยคแบบนี้ จากนั้น 6 เดือนอาจารย์ปรีดีก็เปลี่ยนแปลงการปกครองสำเร็จ.. นี่เป็นฉากคลาสสิคมาก เป็นเกร็ดอีกเรื่องที่สนุก…”

อาจารย์ธำรงศักดิ์ขอเพิ่มเติมในส่วนเกี่ยวข้องกับรัชกาลที่ 7 ว่าเหตุการณ์ระหว่างอาจารย์ปรีดีกับรัชกาลที่ 7 นั้น จะว่าไปก็เป็นวิถีชีวิตของคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เป็นพระมหากษัตริย์  รัชกาลที่ 7 จึงทรงมีวิถีชีวิตค่อนข้างธรรมดา คือมีการเดินทางท่องเที่ยวในแถวยุโรป  พบปะรู้จักผู้คน และพร้อมจะพูดคุยด้วย แล้วคนยุคก่อนจะรู้เลยว่าใครเป็นลูกใคร  มาจากไหน ไล่เลียงพ่อแม่กันได้หมด และยิ่งเป็นกลุ่มของนักเรียนนอกด้วยกัน ดังนั้นการที่รัชกาลที่ 7 รู้แนวคิดของอาจารย์ปรีดีจึงไม่ใช่เรื่องแปลก  เพียงแต่ว่ารัชกาลที่ 7 ก็มองเห็นความเปลี่ยนแปลงด้วย  ไม่ใช่แค่คณะราษฏร  เพราะเมื่อรัชกาลที่ 7 ขึ้นเป็นกษัตริย์ ก็ทรงคิดว่าถึงเวลาหรือยังที่ประเทศไทยจะต้องมีรัฐธรรมนูญ  เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่ทรงตั้งประเด็นขึ้นมาในปีแรกของพระองค์  ว่า “เราร่างรัฐธรรมนูญไหม?” เพียงแต่ว่ารัฐธรรมนูญของรัชกาลที่ 7 มาตรา 1 คืออำนาจสูงสุดเป็นของพระมหากษัตริย์  ขณะที่มาตรา 1 ของคณะราษฏร คืออำนาจสูงสุดเป็นของราษฏรทั้งหลาย  มันต่างกันตรงนี้  เพราะฉะนั้นทั้งสองฝ่ายรู้เกมกัน

“…ถ้าใครไปดูที่มิวเซียมพระปกเกล้าจะรู้ว่ารัชกาลที่ 7 ทรงอ่านหนังสืออะไร พระองค์ท่านทรงอ่านประวัติศาสตร์ยุโรปจึงรู้ความเปลี่ยนแปลงการสิ้นสุดของราชวงศ์ในยุโรป และทรงรู้ประวัติศาสตร์ของอังกฤษดีมาก  ถ้าพวกเราเรียนประวัติศาสตร์ทางการเมืองของอังกฤษกับฝรั่งเศสมา ก็จะรู้เลยว่าเวลานี้สังคมไทยกำลังเดินอยู่บนตรงนั้นอย่างเดียวกัน  ดังนั้นไม่ต้องคิดมาก (สังคมไทย) มันจะสู้กันอย่างนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง..”อาจารย์ธำรงศักดิ์ปิดท้ายประเด็น

การเสวนายังคงดำเนินต่อไป ในส่วนของการตอบคำถามผู้ฟังที่ร่วมเสวนา ซึ่งมีมากมายอีกหลายคำถาม เป็นการชี้แจงให้เกิดความชัดบ้าง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันบ้าง เพิ่มเติมเสริมความรู้แก่กันและกันบ้าง กระทั่งสิ้นสุดลงในเวลา 22.00 น. เป็นอันได้เวลาแยกย้ายกลับไปพักผ่อนเพื่อเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น

หากจะตั้งคำถามกับคนรุ่นนี้หลายๆ คน “รู้จักปรีดี พนมยงค์ไหม?” เชื่อว่าคำตอบที่ได้ส่วนใหญ่แล้วคือ “เคยได้ยินชื่อ แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร” ไม่รู้ว่าบุคคลผู้นี้มีความสำคัญอย่างไร เคยทำอะไรมาบ้าง แต่ถ้าหากสัจธรรมของโลกยังเป็นแบบโคลงโลกนิติ ว่า “นรชาติ วางวาย มลายสิ้น ทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา” ปรีดี พยมยงค์ ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ทิ้งตำนานคุณูปการหลายๆ อย่างไว้บนโลกใบนี้ ไม่เฉพาะแค่เมืองไทยและไม่ใช่แค่ด้านใดด้านหนึ่ง แต่มีทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา กระทั่งสันติภาพ สิทธิที่พึงมีของคนเรา

11 พฤษภาคม 2563 ปีนี้ เป็นวาระครบรอบ 120 ปีชาตกาลปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษผู้สร้างคุณูปการมากมายแก่บ้านเมืองไทย จึงนับเป็นบุคคลสำคัญของไทยและทั้งได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก ให้เป็น “บุคคลสำคัญของโลก” ด้วย ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2542 เมื่อที่ประชุมสมัยสามัญครั้งที่ 30 ขององค์การยูเนสโก กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส มีมติประกาศให้ปรีดี พนมยงค์ เป็นบุคคลสำคัญของโลก โดยมีบทบาทสำคัญตั้งแต่เป็นผู้นำคณะราษฎรสายพลเรือน ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 และเป็นผู้ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย

ปรีดีเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทยถึง 3 สมัย และยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ อีกหลายสมัย เป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ปรีดีก็เป็นผู้นำขบวนการเสรีไทย ต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น ทำให้ประเทศรอดพ้นจากการเป็นผู้แพ้สงคราม นอกจากนี้ ยังเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ได้รับยกย่องเป็นรัฐบุรุษอาวุโสคนแรกของประเทศไทย แต่ต่อมาต้องยุติบทบาททางการเมืองหลังการสวรรคตของในหลวง รัชกาลที่ 8 โดยถูกกล่าวหาจากฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สวรรคต เมื่อครั้งเกิดรัฐประหารปี 2490 ปรีดีจึงต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ต่างประเทศนานกว่า 30 ปี โดยไม่ได้กลับสู่ประเทศไทยเลย อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ลี้ภัยทางการเมืองนั้น ปรีดีได้ฟ้องร้องผู้ใส่ความหมิ่นประมาทตนทุกเรื่อง และผลปรากฏว่าสามารถชนะคดีความได้ทุกคดี ได้รับการรับรองจากทางราชการว่าเป็น “ผู้บริสุทธิ์” ตลอดจนได้รับเงินบำนาญและหนังสือเดินทางของประเทศไทยตามเดิม กระทั่งถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2526

“ปรีดี พนมยงค์” หรือ “รู้ธ” (Ruth) ชื่อที่ใช้ในงานปิดลับในฐานะหัวหน้าขบวนการเสรีไทย หรือ “อำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม” เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2443 ที่เรือนแพ หน้าวัดพนมยงค์ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรคนที่ 2 จากจำนวนพี่น้อง 6 คน ของนายเสียงและนางลูกจันทน์ พนมยงค์ มีอาชีพเป็นชาวนาและค้าขายเล็กๆ น้อยๆ บรรพบุรุษของปรีดี ตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้วัดพนมยงค์มาแต่โบราณ โดยบรรพบุรุษฝ่ายบิดานั้นสืบเชื้อสายมาจากพระนมในสมัยกรุงศรีอยุธยา ชื่อ “ประยงค์” พระนมประยงค์เป็นผู้สร้างวัดในที่สวนของตัวเอง จึงตั้งชื่อวัดตามผู้สร้าง ว่า วัดพระนมยงค์ หรือวัดพนมยงค์ ทายาทตระกูลพนมยงค์จึงได้อุปถัมภ์วัดนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน และเพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณูปการของอาจารย์ปรีดี ในวันที่ 14-15 มี.ค.นี้ “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” ร่วมกับ “มติชนอคาเดมี” หน่วยงานในเครือบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) จัดทัวร์ตามรอย “120 ปี ชาตกาลปรีดี พนมยงค์” ใน 3 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา สระบุรี และ ลพบุรี ซึ่งล้วนเกี่ยวพันกับอาจารย์ปรีดีและคณะราษฎร โดยหนึ่งในคณะราษฎรที่ใกล้ชิดกับอาจารย์ปรีดีผู้หนึ่ง คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นั่นเอง

ป้อมเพชร

เรื่องราวทั้งหมดในทัวร์ตามรอย 120 ปีชาติกาลปรีดี พนมยงค์ จะบอกเล่าอย่างละเอียดทุกมุมจากปากของ “สมฤทธิ์ ลือชัย” นักวิชาการอิสระและผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอุษาคเนย์ ประกบคู่ดูโอ้กับ “ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ปริญญาเอกสาขาวิชาประวัติศาสตร์ จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่รู้ลึกแจ่มแจ้งเกี่ยวกับ 2475

อาจารย์สมฤทธิ์ เกริ่นถึงปรีดี พนมยงค์ ว่าเป็นบุคคลที่น่าสนใจมาก คนไทยจะรู้จักแต่ชื่อ แต่ไม่รู้จักประวัติ เพราะอาจารย์ปรีดีออกจากประเทศไทยไปตั้งแต่ปี 2490 และไม่ได้กลับมาอีกเลย จนถึงแก่อสัญกรรมที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี 2526 เป็นบุคคลแรกที่ได้รับการยกย่องให้เป็นรัฐบุรุษ และที่สำคัญอย่างมากคือเป็นหนึ่งในคณะราษฎร ที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ส่วนผลงานยิ่งใหญ่คือเรื่องของเสรีไทยที่ปรีดี พยมยงค์ เป็นผู้นำ ทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการถูกลงโทษในสงครามเอเชียบูรพาเมื่อฝ่ายอักษะเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ซึ่งไทยร่วมอยู่ในฝ่ายอักษะ ประกอบด้วยเยอรมัน อิตาลี ญี่ปุ่น และไทย

อนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์
วงเวียนกลางเมืองลพบุรี รูปแบบจากฝรั่งเศส

“การตามรอยอาจารย์ปรีดีครั้งนี้ จะเริ่มกันที่จังหวัดสระบุรี ต่อด้วยลพบุรี เพราะเกี่ยวข้องกับอาจารย์รวมถึงคณะราษฎร คือจอมพล ป. พิบูลสงคราม เล่าคร่าวๆ ก่อนว่าจอมพล ป.อยากไปสร้างพุทธมณฑลที่สระบุรี คงเคยได้ยินที่ว่าพุทธศาสนาจะมีอายุ 5,000 ปี พอเข้ากึ่งพุทธกาล 2,500 มีการเฉลิมฉลองกันใหญ่มาก พม่าก็มีการสังคายนา ส่วนไทยก็อยากสร้างอนุสรณ์สถานคือพุทธมณฑล แต่จะสร้างที่ไหน ฝ่ายคณะราฎรเสนอที่สระบุรี เพราะมีพระพุทธบาทอยู่ แต่มตินี้แพ้โหวตในสภา ฉะนั้นต้องไปดูการสร้างพุทธมณฑลของคณะราษฎร และพระพุทธบาทนี้มีความสำคัญอย่างมาก เป็นราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์สมัยก่อนทุกพระองค์จะต้องเสด็จฯ โดยนั่งไปบนหลังช้าง พูดง่ายๆ ว่าเป็นการฟ้อนบนหลังช้างเพื่อเป็นพุทธบูชาถวายแด่พระพุทธบาท…”

แค่เรื่องพระพุทธบาทก็ตื่นเต้นเสียแล้ว เสียงเล่าร่ายยาวต่อว่าที่จังหวัดลพบุรี ถือเป็น “เวสต์ปอยท์” ของจอมพล ป. เพราะตั้งใจสร้างเมืองลพบุรีให้เป็นเมืองทหาร “…พูดง่ายๆ ว่าไอเดียของจอมพล ป. เอาจังหวัดลพบุรีมาสร้างเป็นเมืองในอุดมคติ ประมาณว่าเราจะสร้างเมืองไทยให้เป็นอย่างนี้นะ ก็ตั้งลพบุรีมาเป็นเมืองในอุดมคติก่อน มีการวางผังเมือง แบ่งโซน เราจะรู้จักวงเวียนเป็นครั้งแรกก็ในเมืองลพบุรีนี่แหละ วงเวียนเป็นการจัดการจราจรในฝรั่งเศส เราจะเห็นสถาปัตยกรรมในสมัยคณะราษฎรเป็นวงเวียน อย่างที่พระนครศรีอยุธยาก็มี ก่อนจะเข้าตัวเมืองต้องผ่านวงเวียนเจดีย์วัดสามปลื้ม ซึ่งก็เป็นผลงานของคณะราษฎร เรื่องของคณะราษฎรและอาจารย์ปรีดีมันซ้อนกันอยู่…”

ต่อจากนั้นมาบ้านเกิดอาจารย์ปรีดี “พระนครศรีอยุธยา” ซึ่งมีสถานที่หลายแห่งปรากฏในชีวิตตั้งแต่เกิดจนมีครอบครัว ไม่ว่า วัดพนมยงค์ อนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ วัดมงคลบพิธ โดยเฉพาะที่วัดมงคลบพิธมีเรื่องโจษขานที่อาจารย์ปรีดีเข้าเฝ้าพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า “…ตรงนี้จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ยังไม่บอก…ต้องตามไปฟัง” อาจารย์สมฤทธิ์ทิ้งปมไว้อย่างท้าทาย

ทริปเดินทางยังไม่จบเพียงเท่านี้ ยังมีเรื่องให้เซอร์ไพรส์ และเรื่องราวดีๆ ชนิด “เอ็กซ์คลูซีฟ” จากการเสวนาในยามค่ำคืนของ 2 อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ ในมุมต่างกันแต่ผสมกลมกลืนกันอย่างลงตัว ในหัวข้อ “2475” ที่อาจจะยังไม่เคยฟังที่ไหนมาก่อน เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ตื่นเต้นขนาดไหน เต็มอิ่มหรือไม่…ต้องติดตาม!!

สมฤทธิ์ ลือชัย
History repeats itself.

– เปรียบเทียบการเมืองปัจจุบันกับสมัยอาจารย์ปรีดี

ประวัติศาสตร์ มีคำคำหนึ่งว่า History repeats itself. ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอยู่เสมอ การซ้ำรอยไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นเหมือนกัน ตรงกันเป๊ะๆ แต่มันมีเหตุและผลการเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าคล้ายๆ กัน ผมคิดว่าปัจจุบันมีการพูดถึงสิ่งที่เรียกว่า Fake News มีการพูดถึงไอโอ (Information Operation) หรือปฏิบัติการข่าวสาร การเผยแพร่ความคิดและความเชื่อของ “ฝ่ายเรา” ให้กลุ่มเป้าหมายได้รับทราบ และทำให้เกิดความคิดความเชื่อคล้อยตามความประสงค์ของ “ฝ่ายเรา” ผมคิดว่าอาจารย์ปรีดีเป็นคนหนึ่งที่ถูกพิษร้ายของ Fake News ใช้เฟคนิวส์ทำลายกันอย่างโหดร้ายมาก และกว่าคนทั้งหลายจะเข้าใจและรู้ว่าความจริงคืออะไร อาจารย์ปรีดีก็ถูกถล่มยับไปแล้ว หนึ่งในนั้นที่สารภาพว่าเข้าใจอาจารย์ปรีดีผิด คืออาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เรื่องของอาจารย์ปรีดีเป็นอุทาหรณ์ให้เราได้ว่า เราไม่ควรให้เกิดกรณีแบบนี้กับใครในแผ่นดินนี้อีก จะไม่ทำให้เกิดก็คือเราจะต้องไม่เชื่อข้อมูลข่าวสารที่มาจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียว โดยเฉพาะการเมืองใช้คำเท็จมาต่อสู้กันมากกว่าความจริง

อาจารย์สมฤทธิ์ ลือชัย
– แต่สมัยนี้มีโซเชียลมีเดีย

นี่แหละที่ผมมองว่าเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับอำนาจเก่า ที่กุมอำนาจการสื่อสารไว้อยู่ ที่ผ่านมาเราแทบไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “การสื่อสารโต้กลับ” เพราะเราไม่มีเครื่องมือหรือเทคโนโลยี ฉะนั้น การสื่อสารทุกอย่างจึงเป็นการสื่อสารจากข้างบนลงมา ถ้าข้างบนทุจตริต ข่าวสารมันก็หลอกเรา รับข้อมูลที่เป็นเท็จเป็นเฟคนิวส์มาตลอด แต่วันนี้มันมีเทคโนโลยี มีเครื่องมือที่โต้กลับได้ และเราสามารถตรวจสอบข่าวกับแหล่งอื่นได้

– พูดได้ไหมว่าอาจารย์ปรีดีเป็นผู้เปลี่ยนประเทศไทย

อาจารย์ปรีดีคิดจะเปลี่ยนแปลง แต่ไม่สำเร็จ อาจารย์ปรีดีต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.2475 ถ้าไปอ่านดู 6 ข้อของคณะราษฎร นับเป็นสิ่งที่ก้าวหน้ามากๆ อย่าลืมนะครับว่ารัฐธรรมนูญฉบับแรกของเราให้สิทธิสตรีในทางการเมืองเท่ากับบุรุษ ในขณะที่หลายประเทศในยุโรปยังไม่มีเลย พูดง่ายๆ บัญญัติ 6 ประการของคณะราษฎร ก้าวหน้ามากๆ มีการพูดถึงการศึกษาของประชาชน พูดถึงประชาธิปไตย เพราะฉะนั้น มีหลายสิ่งที่อาจารย์ปรีดีต้องการเปลี่ยนแปลง แต่ที่อยากเปลี่ยนแปลงมากที่สุด คือเปลี่ยนให้เป็นประชาธิปไตย นี่คืองานใหญ่ที่สุดที่อาจารย์ปรีดียังทำไม่สำเร็จ และพวกเราต่างหากที่ต้องทำอุดมการณ์ของอาจารย์ให้สำเร็จ อาจารย์อยากเห็นประเทศนี้เป็นประชาธิปไตย

รูปปั้นปรีดี พนมยงค์ ที่อนุสรณ์สถานปรีดี จ.พระนครศรีอยุธยา
– จากวันนั้นถึงวันนี้เราเป็นประชาธิปไตยกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว

(หัวเราะเสียงดัง)..ผมบอกไม่ได้ เอาเป็นว่า 88 ปี จนถึงวันนี้ สิ่งที่ผมเห็นเมื่อไม่กี่วันก่อน ทำให้ผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมอยากเห็นนั้นมันไม่ไกลแล้ว แค่นั้นเอง และสิ่งที่อาจารย์ปรีดีฝันนั้นก็คงจะอยู่ไม่ไกลเช่นกัน เมื่อผมเห็นคนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมา และมันไม่ถูกจัดตั้งโดยองค์กรการเมืองเพื่อหวังผลประโยชน์ใดๆ แต่เป็นด้วยความบริสุทธิ์ การลุกขึ้นของนักเรียน นักศึกษาเหล่านั้นจะสำเร็จบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ ผมไม่สนใจ ผมสนใจแต่ว่า…เขาตื่นแล้ว เป็นนิมิตหมายที่ดีมาก ผมยังคิดว่าจะไม่ได้เห็นภาพนี้ในชาตินี้ ผมไม่เคยดีใจอย่างนี้มานานมากแล้ว

– ณ เวลานี้ สถานการณ์แบบนี้ ในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น?

เรียนตรงๆ ว่าผมไม่รู้ ผมก็ไปถามอาจารย์ผู้ใหญ่ที่เก่งและเชี่ยวชาญกว่าผมหลายเท่าตัว ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทุกคนตอบเหมือนกันหมดเลย ว่า “ไม่รู้” (หัวเราะ) ไม่มีใครพยากรณ์ได้ เป็น “unpredictable” สำหรับผมเพียงแต่ว่ามันมีนิมิตหมายทำให้เรามีกำลังใจ ดีกว่าที่ผ่านมา

เพราะฉะนั้นอะไรจะเกิดขึ้น ไม่รู้ แต่ เฮ้ย..มันมีความหวังว่ะ.. แค่นั้นแหละ

ที่มาหน้าประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนมติชนอคาเดมี

วาระครบ 120 ปีชาติกาล อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษ และผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งจะครบวาระในวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 บังเอิญพบเจอในเพจ 120 ปีชาตกาล ปรีดี พนมยงค์ ได้เขียนบอกเล่าว่า ร้านอาหาร “มิตรโกหย่วน” ซึ่งพ่อเจ้าของร้านคนปัจจุบัน สนิทสนมกับอาจารย์ปรีดีมาตั้งแต่ยังอยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาด้วยกัน  เขียนเล่าไว้ว่า…

ใครที่เคยไปกินอาหารที่ร้าน มิตรโกหย่วน ย่านเสาชิงช้า ถนนดินสอ กรุงเทพฯ คงจะเคยเห็น “เมนูอาหาร” ที่เขียนไว้ในหน้าแรกเลยว่า

“สูตรอาหารดีๆ ก็ได้มาจาก ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ แนะนำไว้ให้ ตั้งแต่สมัยอากง ปัจจุบัน…ดำเนินงานโดย คุณเจี๊ยบ ลูกชายของโกหย่วน นั่นเอง”

คุณชัยตรี หาญจีระปัญญา (โกหย่วน) เคยให้สัมภาษณ์ “ครัว” ปีที่ 4 ฉบับที่ 46 (เมษายน 2541) ไว้ว่า

“สมัยอยู่อยุธยา ครอบครัวของเราเป็นเพื่อนบ้านกับคุณปรีดี พนมยงค์ ตอนนั้นคุณปรีดีกลับจากฝรั่งเศส เขาก็รู้จักอาหารฝรั่งดี เขาก็มาแนะนำเรื่องอาหารฝรั่งให้เตี่ยผมฟัง คนสมัยก่อนเขาไม่หวงวิชา แนะให้ทำเป็นขั้นเป็นตอน อย่างเช่น ทอดเนื้อก่อน แล้วถึงทำน้ำสเต็กราดลงไป ใส่ถั่วลันเตา หอมใหญ่ มะเขือเทศตามลงไป พวกฝรั่งเขาชอบ”

ใครผ่านไปแถวศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร แวะไปลองชิมที่ร้านมิตรโกหย่วนกันได้นะครับ

ร้านนี้ตั้งอยู่ที่ 186 ถนนดินสอ แขวงเสาชิงช้า กรุงเทพมหานคร 10200