ก่อนนั้น..ก้อนอิฐก้อนหินสักก้อนดูเหมือนจะไม่ได้มีความหมายอะไรมากกว่าการเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งในการก่อสร้าง แต่เมื่อได้เรียนรู้มากขึ้น พบเห็นมากขึ้น ก้อนอิฐก้อนหินที่มองเห็นลวดลายสลักต่างๆ บนนั้น ไม่ได้ไม่มีความหมายอีกต่อไป

แต่กลับกลายเป็นเหมือนแผ่นกระดาษที่ขีดเขียนเรื่องราวของคนโบราณ เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปในอดีตได้อีกแล้วก็ตาม เฉกเช่นเรื่องราวของ “อาณาจักรเขมร” ที่ได้ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ความเป็นมาของบรรพบุรุษ ไว้บนก้อนศิลา เรียงรายเป็นกำแพงยาวเหยียด…

“มติชน อคาเดมี” ร่วมกับสายการบิน “บางกอกแอร์เวยส์” เจ้าของฉายา “เอเชีย บูทีค แอร์ไลน์” จัดทริปเดินทางสู่เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา เพื่อเรียนรู้เรื่องราวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกำแพงศิลาซึ่งสลักรูปและลวดลายต่างๆ ไว้ ในกลุ่มปราสาทที่กระจายกันอยู่ในอาณาจักรเขมร

ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มจนถึงยุคพระนครหลวง อันเป็นช่วงสิ้นสุดของอาณาจักรเขมรโบราณ นับเป็นความมหัศจรรย์จากฝีมือมนุษย์ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นกลุ่มปราสาทสมโบร์ไพกุก ในเมืองกัมปงธม กลุ่มปราสาทบันทายฉาร์ ในเมืองศรีโสภณ หรือบันเตียเมียนเจย ไปจนถึงปราสาทอันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก “นครวัด-นครธม”

อาณาจักรขอมหรือเขมร ถือเป็นหนึ่งในอาณาจักรโบราณที่ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลอย่างมาก ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเริ่มต้นของอาณาจักรเขมรเกิดขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 6 ก่อตั้งเป็น “อาณาจักรฟูนัน” ซึ่งก็คือบริเวณประเทศกัมพูชาปัจจุบัน และครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของประเทศไทย ลาว และเวียดนาม

ตามเอกสารจีน คำว่า “ฟูนัน” หรือ ฟู๋หนาน” สันนิษฐานว่าตรงกับคำเขมรว่า “พนม” ซึ่งแปลว่าภูเขา ส่วนภาษาเขมรโบราณใช้คำว่า “วนัม” (vnam) ฟูนันปรากฏชื่อในการติดต่อกับจีนครั้งแรกช่วงกลางๆ พุทธศตวรรษที่ 8 ประมาณ พ.ศ. 773 และปรากฏชื่อครั้งสุดท้ายในการส่งทูตไปเมืองจีน ประมาณ พ.ศ. 1160-1170 ต่อมาเอกสารจีนเรียกอาณาจักรนี้ว่า “เจนละ” และเรียกมาตลอดจนสิ้นยุคเมืองพระนคร ดังนั้น “อาณาจักรฟูนัน” ถือเป็นอาณาจักรเก่าแก่แรกสุดของกัมพูชา

ในพุทธศตวรรษที่ 11 อาณาจักรฟูนันเสื่อมถอยลง เกิดแคว้น “เจนละ” ขึ้น โดยพระเจ้าภววรมันที่ 1 และพระเจ้าอิศานวรมันที่ 1 ได้สร้างราชธานีขึ้นใหม่ ปัจจุบันคือกลุ่มปราสาทโบราณสถาน “สมโบร์ไพรกุก” ในจังหวัดกำปงธม ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของทะเลสาบเขมร ระหว่างกึ่งทางพนมเปญ-เสียมเรียบ ราวๆ 120 กิโลเมตร บนทางหลวงหมายเลข 6 หมู่ปราสาทสมโบร์ไพรกุกนั้น สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอิศานวรมัน ที่ 1 ก่อนการเกิดของนครวัด

คำว่า “สมโบร์ไพรกุก” หมายถึง “ป่าปราสาท” เพราะในป่ามีปราสาทสร้างอยู่เต็มไปหมด หรือเรียกอีกชื่อว่า “ป่าปราสาทแห่งกัมปงธม” ปราสาททั้งหลายเหล่านั้นสร้างด้วยอิฐ ระหว่างก้อนอิฐแต่ละก้อน จะหยอดด้วยยางไม้แล้ววางก่อกันจนแนบสนิท ซึ่งนิยมใช้วิธีนี้ในการก่ออิฐตัวปราสาท ขณะที่ตัวปราสาทเป็นเรือนธาตุไม่เพิ่มมุม ชั้นหลังคาประกอบด้วยเรือนธาตุจำลองซ้อนชั้นลดหลั่นกันไป สื่อถึงอาคารสำหรับเทพเจ้าชั้นสูง ประตูของปราสาททั้งสี่มุมนั้นมีเพียงประตูเดียว อีกสามประตูเป็นประตูหลอก เนื่องจากวิทยาการสมัยนั้นยังไม่สามารถเจาะช่องประตูได้มากกว่าหนึ่งบาน กลุ่มปราสาทสมโบร์ไพรกุกยังมีกลุ่มปราสาทขนาดย่อยอีกมากมายในป่า ว่ากันว่ามีมากถึง 300 กว่าปราสาท

ถัดมาในพุทธศตวรรษที่ 12 รัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 อาณาจักรเขมรช่วงนี้ถูกชวารุกราน แคว้นเจนละแตกออกเป็น “เจนละบก” และ “เจนละน้ำ” โดยเจนละน้ำอยู่ที่ลุ่มน้ำโขงตอนใต้ (ประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน) ส่วนเจนละบก อยู่ในพื้นที่ประเทศลาวตอนกลางในปัจจุบัน ในพุทธศตวรรษที่ 14 พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเจนละน้ำ

ทรงรวบรวมแคว้นเจนละบกและเจนละน้ำเข้าเป็นปึกแผ่น แล้วประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นกับชวา และได้เสด็จจากชวามาครองกัมพูชา โดยระยะแรกประทับอยู่ ณ เมืองอินทรปุระ แล้วจึงเสด็จไปประทับที่เมืองหริหราลัย จากนั้นได้สร้างพระราชอำนาจและปราบปรามอาณาจักรจามปาที่รุกรานกัมพูชา

ในการกลับมาครั้งนี้ พระเจ้าชัยวรมันที่ 1 ได้นำเอา “ลัทธิไศเลนทร์” หรือ “ลัทธิเทวราชา” กลับมาด้วย จึงเกิดการสร้างปราสาทหรือเทวาลัยขึ้น เพื่ออุทิศถวายเป็นทิพยวิมานของเทพเจ้า อีกทั้งยังเป็นที่เก็บพระอัฐิของกษัตริย์เมื่อเสด็จสวรรคต ซึ่งเชื่อว่าดวงพระวิญญาณจะหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับเทพเจ้าที่พระองค์ทรงนับถือ เมืองหริหราลัยจึงเป็นราชธานีของกัมพูชาโบราณสืบต่อมาอีกหลายรัชกาล หลังจากนั้น พระเจ้ายโศวรรมันที่ 1 ได้ย้ายราชธานีไปแห่งใหม่ คือ “พระนครศรียโศธรปุระ” หรือ “เมืองพระนคร”

หลังจากรัชกาลพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 มีกษัตริย์ปกครองเมืองพระนครสืบมาอีกหลายพระองค์ ที่สำคัญคือ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สร้างปราสาทพระวิหาร และพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้สร้างปราสาทนครวัด สิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรัชกาลของพระองค์ ในศิลาจารึกกล่าวว่าพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีความสามารถในการสงคราม ทรงรบกับจาม ญวน เสียม (ไทย) และมอญ ทำให้พระราชอาณาจักรในสมัยของพระองค์นั้นกว้างใหญ่ไพศาลไปถึงประเทศจีน

พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ทรงนับถือไวษณพนิกาย จึงทรงสร้าง “นครวัด” เป็นที่บูชาพระวิษณุและสำหรับบรรจุพระอัฐิของพระองค์ด้วย ดังนั้น เหตุนี้ปราสาทนครวัดจึงถูกสร้างให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ต่างจากปราสาทอื่นๆ ที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเป็นส่วนใหญ่ เป็นคติเทวราชาที่เชื่อว่ากษัตริย์คือเทพเจ้าอวตารลงมา ด้วยความเชื่อเช่นนี้เอง ที่ทำให้กษัตริย์ขอม เมื่อขึ้นครองราชย์จึงสร้างปราสาทเป็นศาสนสถานสัญลักษณ์ประจำรัชกาล คล้ายกับไทยที่นิยมสร้างวัดประจำรัชกาลนั่นเอง

เมื่อพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 สวรรคต อาณาจักรกัมพูชาโบราณมีกษัตริย์ครองราชย์ต่อมาอีกหลายพระองค์ จนถึงรัชกาล พระเจ้าตรีภูวนาทิตยวรมัน ในรัชกาลนี้อาณาจักรจามปาสามารถตีเมืองพระนครศรียโศธรปุระได้สำเร็จ และทำลายเมืองพระนครเสียหาย พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จึงรวบรวมกองทัพมารบกับจาม ได้ขับไล่จามออกไปจากกัมพูชา แต่เนื่องจากเมืองพระนครศรียโศธรปุระถูกทำลายอย่างหนัก จึงทรงย้ายไปสร้างเมืองพระนคร (ที่ 2) ขึ้นใหม่ เรียกว่า “นครธม” หรือตามเอกสารไทยเรียกเมือง “พระนครหลวง”

พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงเป็นกษัตริย์กัมพูชาที่มีความเข้มแข็ง ชำนาญในการศึกสงคราม และเชี่ยวชาญในการปกครองแผ่นดินอย่างมาก ทำให้เมืองพระนครเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง พระองค์โปรดให้สร้างสิ่งก่อสร้างสถานพยาบาลรักษาโรค “อาโรคยศาล” และที่พักคนเดิน หรือ “ธรรมศาลา” จำนวนมากในพระนคร และตามเมืองต่างๆ สำหรับสิ่งก่อสร้างและศาสนาสถานที่สำคัญในรัชกาลนี้ ได้แก่ ปราสาทบายน ปราสาทพระขรรค์ เป็นต้น

พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้สร้างปราสาท “บันทายฉมาร์” ไว้นอกเมืองพระนคร ซึ่งถือเป็นปราสาทอันยิ่งใหญ่ในสมัยของพระองค์ และยังเป็นศาสนสถานสำคัญ ที่สร้างเพื่ออุทิศให้กับพระราชโอรส “ศรินทรกุมาร” และกลุ่มขุนนางที่เสียชีวิตในการสงคราม ลักษณะการก่อสร้างตัวปราสาทบันทายฉมาร์เป็นปราสาทหิน เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญของที่นี่ก็คือ ภาพสลักที่ระเบียงปราสาท จะเป็นการบอกเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ในยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โดยภาพสลักที่สำคัญเป็นไฮไลท์ของที่นี่ ที่ทุกคนต้องไปดู คือ “พระอวโลกิเตศวรปางพันกร”

กลุ่มปราสาทบันทายฉมาร์ มีประมาณ 10 หลัง หลักๆ ได้แก่ ปราสาทตาเปล่ง ปราสาทตาสก ปราสาทตาเปรียว ปราสาทตาพรหม ปราสาทแม่บุญ และป้อมประจำทิศทั้ง 4 ทิศ ที่เชื่อว่าเป็นของราชองครักษ์ผู้ภักดี

ภายหลังพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เสด็จสวรรคตในปี 1763 เมืองพระนครหลวงก็อ่อนแอลง พระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ซึ่งนับถือศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ได้ดัดแปลงปราสาทต่างๆ ให้เป็นศาสนสถานฮินดู มีการสกัดพระพุทธรูปออก ให้เป็นศิวลึงค์แทน

หลังสิ้นพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 อาณาจักรกัมพูชาโบราณก็เสื่อมถอย อ่อนแอทางเศรษฐกิจ เกิดการแย่งชิงอำนาจระหว่างพราหมณ์กับพุทธ และยังเกิดสงครามกับอาณาจักรโคเวียด (เวียดนาม) ยังต้องส่งเครื่องบรรณาการให้กับกรุงศรีอยุธยา จนถึงรัชสมัยของนักองจันทร์ (พ.ศ. 2059-2099) หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏเรื่องราวของกษัตริย์ขอมโบราณอีกเลย ปราสาทต่างๆ ถูกปล่อยทิ้งรกร้างในป่าเป็นเวลานานถึง 500 ปี

าพปราสาทหินตั้งตระหง่าน ดูมีมนต์ขลัง หรือภาพสลักนางอัปษรภายในบริเวณปราสาทเขมร น่าจะเป็นสิ่งที่หลายคนเคยเห็นกันมาบ้าง กับ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่าง “นครวัด” แห่งเมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา

แต่จริงๆ แล้วโบราณสถานอันชวนอัศจรรย์ของเขมรไม่เพียงอยู่ที่นครวัด หรืออีกที่ที่คนรู้จักดีอย่างนครธมเท่านั้น แต่ยังมีจุดอื่นๆ ที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น “มหาปราสาทบันทายฉมาร์” ศาสนสถานในยุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่สร้างอยู่นอกเมืองพระนคร หรือ “กลุ่มปราสาทสมโบร์ไพรกุก” ที่เคยเป็นเมืองหลวงเก่าก่อนที่เขมรจะย้ายราชธานีไปอยู่ที่เมืองพระนคร

“รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ” ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ไทย-เขมร เล่าให้ “มติชนอคาเดมี” ฟังว่า บันทายฉมาร์ หรือตัวปราสาทบันทายฉมาร์ เป็นศาสนสถานสำคัญสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งถึงแม้ลักษณะการก่อสร้างเป็นตัวปราสาทหินก็จริง แต่ว่าโดยรอบก็มีฐานะเป็นเมือง

“สมัยก่อนเราเรียกตรงนั้นว่าพุทไธสมัน ปรากฏหลักฐานอยู่ในเอกสารโบราณและแผนที่เก่า ซึ่งเป็นแผนที่เส้นทางเดินทัพสมัยรัชกาลที่ 2 หรือต้นกรุงรัตนโกสินทร์ของไทย จึงกล่าวได้ว่าบันทายฉมาร์เป็นปราสาทที่คนไทยเรารู้จักมานานแล้ว เพียงแต่ต่อมาภาษาเขมรเรียกว่าปราสาทบันทายฉมาร์ ซึ่งแปลว่าป้อมเล็ก ที่นี่เป็นศาสนสถานสำคัญที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงสร้างไว้นอกเมืองพระนคร เพื่ออุทิศให้กับพระราชโอรสและขุนนางที่เสียชีวิตในการสงคราม ซึ่งจะมีศรีนทรกุมารที่เป็นโอรส มีรายชื่อปรากฏอยู่ในจารึกของปราสาทบันทายฉมาร์”

สิ่งที่น่าไปชมในบันทายฉมาร์คือภาพสลักที่ระเบียงปราสาท ซึ่งเป็นภาพสลักเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ในยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 คล้ายกับที่นครธม หรือปราสาทบายนที่เมืองพระนคร โดยมีสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดสำคัญคือ มีภาพสลักที่เป็นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรพันกร คือมีพระกรออกมามากมายเป็นพันๆ กร

นอกจากนี้ ยังมีปราสาทที่บนยอดเป็นพระพักตร์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่สร้างอยู่นอกเมืองพระนคร เพราะฉะนั้นปราสาทบันทายฉมาร์ก็เป็นศาสนสถานสำคัญแห่งหนึ่งของเขมรโบราณที่อยู่นอกเมืองพระนคร ที่หลายคนอาจยังไม่เคยไปสัมผัส ไม่เคยไปรับรู้ แต่เชื่อเถอว่ามีความน่าสนใจ เพราะแม้กระทั่งสมัยรัชกาลที่ 4 ก็เคยส่งขุนนางไทยไปดูปราสาทพุทไธสมัน ให้ไปดูนครวัดนครธม เพื่อที่จะจำลองแบบมาที่ในประเทศไทยด้วย

ส่วนกลุ่มปราสาทสมโบร์ไพรกุก อ.ศานติ บอกว่า ที่นี่เป็นมรดกโลกแห่งใหม่ที่เพิ่งประกาศเมื่อไม่นานมานี้ ที่เรียกกันว่ากลุ่มปราสาทนั้นเพราะว่าสมโบร์ไพรกุกมีฐานะเป็นเมืองหลวง ก่อนหน้าที่กัมพูชาจะย้ายราชธานีไปอยู่เมืองพระนครที่เสียมเรียบ เพราะฉะนั้นก็ถือว่ามีความเก่าแก่มากกว่านครวัด นครธม เสียอีก

“โบราณสถานที่สมโบร์ไพรกุกนั้นมีอายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 หรือ 1,400 ปีที่ผ่านมา เราจะเห็นร่องรอยของศิลปะอินเดียที่ส่งอิทธิพลเข้าไปในเขมรตั้งแต่ยุคแรกๆ เราจะเห็นความคลี่คลายของศิลปกรรมที่นั่น ที่สำคัญคือสมโบร์ไพรกุกนั้นเป็นราชธานีสำคัญที่ปรากฏในเอกสารของทั้งกัมพูชาในจารึก และปรากฏอยู่เอกสารของจีนที่เข้ามาในสมัยราชวงศ์สุย ที่บันทึกเรื่องราวของราชอาณาจักรเจนละ และบอกว่าราชธานีของพระเจ้าอีศานวรมันนั้นอยู่ที่อีศานปุระ จึงกล่าวได้ว่าสมโบร์ไพรกุกนั้นเป็นจุดกำเนิดของอาณาจักรเขมรโบราณที่นึง”

จะมีเรื่องราวให้ค้นคว้ามากขนาดไหน คงต้องไปสัมผัสของจริงกันในทัวร์ “บันทายฉมาร์-สมโบร์ไพรกุก-เสียมเรียบ ความลับหลังกำแพงศิลา” ที่นอกจากพาเยือนบันทายฉมาร์และสมโบร์ไพรกุกแล้ว ก็ยังไม่พลาดที่จะพาทุกคนไปชมโบราณสถานในเมืองพระนครอย่าง “นครวัด” และ “นครธม” โดยนครวัดคือศาสนสถานที่พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ทรงสร้างขึ้นเพื่อเป็นสุสานของพระองค์เอง ส่วนนครธมก็มีฐานะเป็นเมืองหลวงโบราณ ซึ่งไทยเราเรียกกันมาแต่อดีตว่านครหลวง

“จริงๆ แล้วที่เราไปศึกษาของกัมพูชา เราจะพบว่าสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือศาสนสถานหรือโบราณสถานของกัมพูชานั้นมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับของไทยเหมือนกัน หลายๆ อย่างถือว่าเป็นต้นแบบของเรา และการที่เราไปเรียนรู้กัมพูชาในแง่หนึ่ง ก็จะทำให้เราเข้าใจตัวเราเองได้ดียิ่งขึ้น แน่นอนว่ากัมพูชาถือเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญ เพราะฉะนั้นการที่เราเรียนรู้เพื่อนบ้านเราได้อย่างใกล้ชิด ก็จะทำให้เราเข้าใจทั้งตัวเราและเพื่อนของเราได้ดียิ่งขึ้น”

รศ.ดร.ศานติยังกล่าวอีกว่า ถึงแม้หลายคนอาจจะเคยไปกัมพูชากันมาแล้ว แต่ทุกครั้งที่ไปเราก็จะพยายามนำเสนอในมิติต่างๆ ในแง่มุมใหม่ๆ พยายามที่จะไปให้เห็นภาพ หรือได้เกิดความเข้าใจที่ไม่เหมือนกัน โดยการที่เราไปครั้งนี้เราจะเห็นตั้งแต่ปราสาทยุคแรก คือตั้งแต่ช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 จนถึงยุคสุดท้าย และช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 เท่ากับแทบจะได้เรียนรู้ศิลปกรรมเขมรตั้งแต่ยุคแรกจนถึงยุคสุดท้าย ตั้งแต่ก่อนพระนคร จนถึงสมัยพระนคร ที่จะสืบเนื่องมาสัมพันธ์กับศิลปกรรมของไทยด้วย

การเดินทางครั้งนี้ นำชมโดย รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ ออกเดินทางวันที่ 14-16 กันยายน 2561 ราคา 25,000 บาท (อ่านรายละเอียดโปรแกรมการเดินทางได้ที่ https://www.matichonacademy.com/tour/article_18009)


สนใจติดต่อ มติชนอคาเดมี
Tel : 0-2954-3977-84 ต่อ 2115, 2116, 2123, 2124
Mobile : 08-2993-9097, 08-2993-9105
line : @matichonacademy

คอประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง!! มติชนอคาเดมี ชวนไปเที่ยวกัมพูชา อีกหนึ่งประเทศเพื่อนบ้านที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมน่าสนใจ ในทัวร์ “บันทายฉมาร์-สมโบร์ไพรกุก-เสียมเรียบ ความลับหลังกำแพงศิลา” นำชมโดย “รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ”

พาเยือนศาสนสถานสำคัญสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อย่าง ปราสาทบันทายฉมาร์ ที่มีความน่าสนใจอยู่ที่ภาพสลักที่ระเบียงปราสาท เล่าเรื่องการสู้รบ การเคารพบูชา และไฮไลท์ “ภาพสลักพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรพันกร”

ลัดเลาะชม กลุ่มปราสาทสมโบร์ไพรกุก มรดกโลกแห่งใหม่ของกัมพูชา อดีตราชธานีที่เก่าแก่กว่าเมืองพระนคร ซึ่งจะเห็นร่องรอยของศิลปะอินเดียที่เข้ามาในเขมรในยุคแรกๆ

ก่อนพาชม เมืองพระนคร ที่จะได้ชมปราสาทบายน ศูนย์กลางของนครธม สุดยอดปราสาทเขมรในยุคเสื่อม ทุกยอดของปราสาทจะแกะสลักเป็นเทวพักตร์ 4 หน้า ชมความงดงามของการแกะสลักภาพชีวิตประจำวันของชาวเขมร, ภาพสงคราม บริเวณกำแพงรอบปราสาทซึ่งงดงามไม่แพ้กัน

ปิดท้ายด้วยความอลังการของ นครวัด 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ด้านหน้าของปราสาทเป็นบารายขนาดใหญ่เกือบเท่าแม่น้ำ มีสะพานนาคราชเชื่อมเข้าสู่ตัวปราสาท ชมความงดงามของรูปแกะสลักนางอัปสรนับหมื่นองค์ ชมภาพแกะสลักนูนต่ำต่างๆ เช่น การกวนเกษียรสมุทร, กองทัพเสียมกุก เป็นต้น จากนั้นเข้าสู่ตัวปรางค์ประธาน ชมความงดงามของสถาปัตยกรรมอันวิจิตรตระการตา

คลิกอ่านรายละเอียดโปรแกรมการเดินทางได้ที่ https://www.matichonacademy.com/tour/article_18009

ทัวร์ “บันทายฉมาร์-สมโบร์ไพรกุก-เสียมเรียบ ความลับหลังกำแพงศิลา”
นำชมโดย “รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ”
เดินทางวันที่ 14-16 กันยายน 2561
ราคา 25,000 บาท

สนใจติดต่อ มติชนอคาเดมี
Tel : 0-2954-3977-84 ต่อ 2115, 2116, 2123, 2124
Mobile : 08-2993-9097, 08-2993-9105
line : @matichonacademy

เตรียมตัวให้พร้อม!! มติชนอคาเดมีพาเยือนกัมพูชา กับทัวร์ “บันทายฉมาร์-สมโบร์ไพรกุก-เสียมเรียบ ความลับหลังกำแพงศิลา”

พาชมมหาปราสาทบันทายฉมาร์ กับเรื่องราวประวัติศาสตร์การสงครามสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7, กลุ่มปราสาทสมโบร์ไพรกุก กลุ่มของศาสนสถานที่เคยเป็นราชธานีของอาณาจักรเจนละในสมัยพระเจ้าอีศานวรมัน

นอกจากนี้ยังพายลเมืองพระนคร หรือนครธม ชมปราสาทบรายน ศูนย์กลางนครธม สุดยอดของปราสาทเขมรในยุคเสื่อม, พระราชวังหลวง ที่ประกอบไปด้วยปราสาทพิมานอากาศ ลานช้าง ลานครุฑ และปราสาทนาคพัน และชมความอลังการของปราสททนครวัด หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก!!

นำชมโดย รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊กมติชนอคาเดมี เร็วๆ นี้!!!