ข้าวเนื้อเนื้อ

ใครที่มองหาร้านกาแฟสไตล์ออสซี่ ซึ่งมีกาแฟพิเศษสเปเชียลตี้หลากหลาย รวมถึงเมนูบรันช์กลิ่นอายออสเตรเลียน ให้มาที่ร้านบลูแทมป์คาเฟ่ (Bluetamp Cafe) ในซอยประดิษฐ์มนูธรรม 9

ทางมาร้านนี้จากถนนลาดพร้าวขาออก พอเลี้ยวซ้ายเข้าถนนประดิษฐ์มนูธรรม ที่เรียกกันติดปากว่าถนนเลียบด่วนเอกมัย-รามอินทราแล้ว ให้ชิดซ้ายทันทีเพื่อเลี้ยวซ้ายเข้าซอยประดิษฐ์มนูธรรม 9 ซึ่งเป็นเส้นวันเวย์ ก็จะเห็นร้าน Bluetamp Cafe ทันทีอยู่ทางด้านขวามือ จอดรถริมซอยฝั่งขวาได้เลย

อีกด้านของ Bluetamp Cafe จะอยู่ติดกับถนนใหญ่ มีต้นไม้ด้านนอกรอบร้าน และมีโต๊ะกับเก้าอี้ไม้เล็กๆ อยู่ใต้ร่มไม้ให้นั่งทั้ง 2 ฝั่ง ตัวร้านยกพื้นสูง ติดกระจกใสกรุด้วยไม้โดยรอบ ให้อารมณ์เหมือนนั่งอยู่ในสวน

 

เจ้าของร้านนี้คือน้องตูน หรือฉัฏฐ์ ธนพลอยพงศ์ ผู้มีประสบการณ์ในร้านกาแฟที่นครซิดนีย์ประเทศออสเตรเลียนานถึง 8 ปี ทั้งที่ร้านแคมโปส (Campos) ซึ่งเริ่มไต่เต้าตั้งแต่เป็นคนล้างจาน และเรียนรู้เรื่องการชงกาแฟที่ร้าน Cross Citi กับการทำอาหารเช้าที่ร้าน Bluestone

ในที่สุดจึงกลับมาเปิดร้านกาแฟเล็กๆ กับแฟนเมื่อปี 2557 ในคาร์แคร์ย่านลาดพร้าว-วังหิน จากนั้นย้ายร้านมารวมอยู่ในซอยประดิษฐ์มนูธรรม 9 เมื่อ พ.ศ.2559

น้องตูนตั้งใจทำร้านดีๆ ให้คอกาแฟได้ชิมกาแฟชั้นดี โดยเน้นกาแฟเอสเปรสโซเป็นหลัก ทั้งกาแฟใส่นม กาแฟดำ ทั้งร้อนและเย็น จะไม่มีกาแฟอื่นๆ เช่นกาแฟดริป ซึ่งมีเมล็ดกาแฟอาราบิก้า 100% ซิกเนเจอร์ให้เลือกหลักๆ อยู่ 6-7 ตัว มีทั้งประเภท Single Origin จากแหล่งเพาะปลูกเดียว และชนิดเบลนด์ผสม อีกทั้งเมล็ดกาแฟพิเศษ เช่น จากออสเตรเลียและจากโรงคั่วพิเศษในเมืองไทย ให้สอบถามบาริสต้าได้เลยว่าตอนนี้มีอะไรใหม่ๆ บ้าง มีทั้งชนิดคั่วกลาง คั่วกลางค่อนเข้ม คั่วกลางเกือบอ่อน

ตอนนี้ตัวหลักของที่ร้านคือ เมล็ดกาแฟอาราบิก้าขึ้นชื่อจากดอยภูคา จังหวัดน่าน โดยใช้วิธีการเหมาไร่ของคุณประชา ปีหนึ่งๆ ได้ผลเชอร์รี่ 2 ตัน ซึ่งทำเมล็ดกาแฟคั่วได้ 200-300 กิโลกรัม เป็นโปรเซสแบบ Semi-washed ได้คาแร็กเตอร์เฉพาะตัวของกาแฟชนิดนี้ กลิ่นรสช็อกโกแลตและคาราเมล จบปลายด้วยผลไม้เมลอน ลิ้นจี่

ส่วนเบลนด์ซิกเนเจอร์ประจำร้านที่น่าลิ้มลองมีชื่อว่า Balanced Blend ประกอบด้วย เมล็ดกาแฟบราซิล เอธิโอเปีย และโคลอมเบีย ซึ่งน้องตูนบอกว่าคือเบลนด์ที่ตูนประทับใจสมัยทำงานอยู่ที่ร้านแคมโปสในซิดนีย์

น้องตูน-ฉัฏฐ์ ธนพลอยพงศ์
กาแฟ Dirty เลือกเมล็ดกาแฟบรูโช่เบลนด์Brucho Blend
กาแฟ Three Angel สามแก้วเล็ก

มาแล้วสั่งเมนูกาแฟได้ครบทั้ง Short Black หรือคือเอสเปรสโซ และ Long Black ซึ่งคล้ายกับอเมริกาโน่ มีวิธีการชงโดยจะเติมน้ำก่อน และกดช็อตกาแฟลงไปตาม จะได้กาแฟที่หอมขึ้นจมูกมากกว่า อีกทั้งเมนู Piccolo Latte แก้วเล็กๆ Flat White ลาเต้ คาปูชิโน และกาแฟอื่นที่มีเบสเป็นเอสเปรสโซก็มีให้เลือกตรบครัน ส่วนกาแฟเย็นก็มีทั้ง Iced Long Black หรืออเมริกาโน่เย็น และ Iced Latte กาแฟเย็นใส่นม เชิญสอบถามบาริสต้า และเลือกได้ตามใจชอบ

สำหรับผู้ที่อยากทดลองชิมกาแฟหลายๆ อย่างในคราวเดียว ขอแนะนำ Three Angel (390 บาท) เป็นกาแฟแก้วเล็ก 3 แก้ว ทำจากเมล็ดกาแฟคนละชนิดให้ลองเทียบกัน 3 ขนาน เลือกได้ตามใจชอบ ราคาขึ้นอยู่กับชนิดที่เลือก

ซึ่งแต่ละแก้วจะประกอบด้วย ช็อตกาแฟ 20 มิลลิลิตร (ml) นม 60 ml และที่เหลือคือฟองนม ซึ่งข้อดีคือได้ชิมกาแฟหลากหลาย ในปริมาณไม่มากเกินไป เพราะดื่ม 3 แก้ว เหมือนดื่มกาแฟ Flat White แก้วปกติเพียง 1 ถ้วย

ในวันนั้นเมล็ดกาแฟที่น้องตูนเลือกให้ทั้ง 3 ชนิด คือ น่าน ดอยภูคา กับเอธิโอเปีย เยอกาเชฟ (Yirgacheffe) เป็น Single Origin ที่รสผลไม้ฟรุตตี้ เปรี้ยวนิดๆ สดชื่น และบราซิล Fazenda Canta Galo มีความครีมมี่ นัทตี้ ไม่ติดเปรี้ยว เหมาะสำหรับมือใหม่หัดชิม หรือผู้ที่ชอบดื่มเบาๆ ทุกวัน และน้องตูนบอกว่ายังมีเมล็ดกาแฟชั้นดีจากกัวเตมาลาอีกด้วย ให้รสเปรี้ยวซิตรัส ซึ่งเมล็ดกาแฟน่านนั้นยังเหมาะสำหรับกาแฟเย็น Iced Long Black (100 บาท) หรืออเมริกาโน่เย็นที่ไม่ใช่นมด้วย

ส่วนกาแฟ Dirty เมนูอินเทรนด์ก็มีด้วยเช่นกัน แต่จะเสิร์ฟเฉพาะวันธรรมดา ไม่รวมวันเสาร์-อาทิตย์ สูตรของที่ Bluetamp จะแช่นมจนเป็นเกล็ดน้ำแข็งก่อนนำมาใช้ ซึ่งน้องตูนแนะนำเมล็ดกาแฟบรูโช่เบลนด์ (Brucho Blend) (130 บาท) คั่วกลางค่อนข้างเข้ม ประกอบด้วยบราซิล โคลอมเบีย และลาว เป็นเบลนด์ที่เข้มที่สุดในร้าน เหมาะกับกาแฟ Ditry หรือลาเต้มากๆ เมนูเครื่องดื่มอื่นๆ นอกจากกาแฟก็มี เช่น ชาจากออสเตรเลีย ช็อกโกแลต น้ำผลไม้ เป็นต้น

น้องตูนส่งข่าวมาว่าตอนนี้เพิ่ม Dirty ตัวใหม่ ซึ่งมีให้ลิ้มลองทุกวัน แถมยังเลือกเมล็ดกาแฟได้ อีกทั้งไม่ต้องรอแช่เย็นนาน 30 นาทีก่อนดื่มแล้ว สงสัยต้องตามไปชิมอีกสักครั้ง

ที่นี่มีเมนูบรันช์หรืออาหารเช้ายามสายเสิร์ฟตลอดทั้งวัน เมนูหลากหลาย ตัวยอดนิยมคือ Egg Benedict’s Salmon (280 บาท) ทางร้านใช้ขนมปังบริยอชของคุณโจ จากร้านดัง Conkey’s Bakery ในซอยเอกมัย 22 กินกับโพ้ชเอ้กไข่แดงเยิ้มๆ ราดซอสฮอลันเดสหอมมันสดชื่น มีผักโขม และแซลมอนรมควันด้วย อยากสะใจยิ่งขึ้น ให้ขอเปลี่ยนเป็นเห็ด wild Champignon หรือ พอร์โทเบลโล (Portobello) ดอกยักษ์แทนแซลมอนได้ (280 บาท)

นอกจากนี้ ก็มีเมนูข้าวต่างๆ พาสต้าจานเส้นและสลัด รวมถึงของหวานที่ทำจากขนมปังโทสต์ คนชอบกินเนื้อให้สั่งเมนูข้าวเนื้อเนื้อ (320 บาท) เมนูนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนเปิดร้านได้ปีครึ่ง เพราะอยากให้คนที่ชอบกินเนื้อได้ของกินแปลกใหม่ เป็นเมนูลูกครึ่งไทย-ออสซี่ ประกอบด้วย เนื้อไทยโคขุนส่วนสันใน ปรุงด้วยเกลือ พริกไทย โรสแมรี ย่างกับเนยและน้ำมันมะกอก ใส่ไวน์แดง เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำมันไม่เยอะ และมีเนื้อเค็มชิ้นเล็กๆ ซ่อนอยู่ข้างใต้ด้วย แกล้มด้วยพริกหวานและมะเขือยาวอบ โปะหน้าด้วยไข่ดาวอีก 1 ฟอง

อีกอย่างที่ถูกใจมากๆ เด็กกินได้ผู้ใหญ่กินดี กับเมนูชื่อว่าข้าวไอ้หมี (120 บาท) คือข้าวผัดปรุงด้วยน้ำปลา กับไข่ดาวกรอบ โรยหน้าด้วยหมูกรอบทำเอง ที่ทอดจนกรอบทั้งชิ้นเหมือนกากหมูเจียว และใส่ไส้กรอกอีก 2 ชิ้น อยากรู้ว่าไอ้หมีคืออะไร ให้ถามน้องตูนดูนะจ๊ะ

ส่วนพาสต้าให้สั่งสปาเกตตีเบคอนผัดพริกแห้ง (280 บาท) เมนูขายดีประจำร้าน ลวกเส้นแองเจิลแฮร์เส้นเล็กๆ มาได้สุกกำลังดี หรือที่เรียกว่า Al dente

เชิญมาได้ที่ Bluetamp Cafe เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น โทร 0-2070-9282 รับรองว่ามีดีมากมาย เขาขยันออกเมนูพิเศษใหม่ๆ อยู่เสมอ อย่างเช่นในเดือนมกราคมมีชุดกาแฟ Coffee Set Bluetamp X 4Roasters ที่ร่วมกับนักคั่วกาแฟฝีมือสุดยอด 4 คน เสิร์ฟกาแฟเป็นชุด 4 แก้ว 4 สไตล์ให้ลิ้มลอง (750 บาท) คอกาแฟถึงกับฮือฮาทีเดียว

นอกจากนี้ ยังมีอีกสาขาคอฟฟี่สแตนด์เล็กๆ LittleBlue ในซอยเอกมัย 24 ซึ่งที่นั่นมีทั้งกาแฟเอสเปรสโซเบส กับเพิ่มกาแฟดริป และโคลด์บรูว์ด้วย สาขานั้นมีเบเกอรี แต่ไม่มีอาหารนะจ๊ะ

ข้อมูลร้าน

Bluetamp Coffee

โดย คุณฉัฏฐ์ ธนพลอยพงศ์ (ตูน)

ที่ตั้ง 56 ซอยลาดพร้าว 73 ถนนประดิษฐ์มนูธรรม สะพานสอง วังทองหลาง กรุงเทพฯ 10310

โทร 0-2070-9282

เปิดบริการ 08.00-18.00 น. ทุกวัน

แนะนำ กาแฟ Three Angels, Iced Long Black, Dirty Egg Benedict’s Salmon ข้าวเนื้อเนื้อ ข้าวไอ้หมี สปาเกตตีเบคอนผัดพริกแห้ง

หมายเหตุ ให้มาที่ร้านโดยเข้าซอยวันเวย์ ประดิษฐ์มนูธรรม 9

Facebook Bluetamp Cafe – Specialty Coffee & All Day Brunch

Instagram bluetampcoffee

Iced Long Black
14BluetampCafe-สปาเก็ตตี้เบคอนผัดพริกแห้ง
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์, มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564, หน้า 20
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
เซ็ตสุกี้ยากี้เนื้อวากิว A5(Wagyu Beef A5)

เดือนธันวาคมเป็นเดือนแห่งเทศกาลเลี้ยงฉลอง ปิ่นโตเถาเล็กจึงขอปรนเปรอแฟนๆ ด้วยร้านอร่อยเหมาะสำหรับการสังสรรค์ อีกทั้งร้านที่เหมาะสำหรับการซื้อหาเป็นของกำนัล ไปตลอดทั้งเดือนนี้นะจ๊ะ

ประเดิมกันด้วยร้านสุกียากี้สไตล์คันไซขึ้นชื่อเรื่องเนื้อคุโรเกะ วากิวจากเกียวโต โอซากา ไขมันแทรกเป็นลายหินอ่อนนุ่มจนแทบละลายในปาก ต้องยกให้ร้าน Suki Masa (สุกี้ มาสะ) รับรองว่าถูกใจแน่นอน มื้อค่ำคิวแน่นอย่าบอกใคร ถ้าไม่อยากยืนรอ ควรจองล่วงหน้าก่อนมานะจ๊ะ

ตอนนี้ Suki Masa มีอยู่ 2 สาขา ที่แรกคือใน ซอยทองหล่อ 5 เพียง 100 เมตรจากปากซอย ทางขวามือ มีทางเข้าที่จอดรถอยู่ก่อนถึงร้าน มาประทับตราที่ร้านจอดฟรี 2 ชั่วโมง อีกสาขาเพิ่งเปิดเมื่อปีที่แล้ว อยู่ที่ศูนย์การค้า สยามพารากอน ชั้น G และในไม่ช้านี้จะไปเปิดเพิ่มอีกแห่งในซอยสุขุมวิท 39 ฝั่งซ้ายมือ ตรงเส้นวันเวย์ที่จะไปสุขุมวิท 31

ตอนนี้ Suki Masa ที่ทองหล่อ เปิดขายวันละ 5 รอบ รอบละ 2 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ 11.00-13.00 น. 13.00-15.00 น. 15.00-17.00 น. 17.00-19.00 น. และ 19.00-21.00 น. โดยจะปิดตอนสี่ทุ่ม ส่วนวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เพิ่มรอบที่ 6 ตอน 21.00-23.00 น. (Last order 22.00 น.) จะปิดตอนห้าทุ่ม ส่วนที่สาขาสยามพารากอนนั้น จะมี 5 รอบทุกวัน (Last order 21.00 น.)

เมนูยอดนิยมของ Suki Masa คือ สุกียากี้ กับ ชาบู ชาบู โดยมักจะสั่งกันเป็นเซต มีให้ครบทุกอย่าง กินอิ่มกำลังดี ในเซตสุกียากี้จะมีสลัด ข้าว ซุปมิโซะ ผักดอง คอนยากึ ชุดผักกับเห็ดและเต้าหู้ และมีไข่ดิบให้ 1 ฟอง สำหรับจิ้มเนื้อ

ส่วนเซตชาบู ชาบู จะมีเส้นอูด้งจิ้มซอสงาแทนคอนยากึ และมีน้ำซอสพอนสึรสเปรี้ยวกับซอสงาข้นๆ ให้เลือกจิ้มเป็นน้ำจิ้ม ซึ่งจะมีพริกกับกระเทียมให้ปรุงเพิ่มแบบไทยๆ ได้ด้วย และของหวานในเซตทั้งสุกียากี้และชาบู ชาบู คือ คาราเมล พุดดิ้ง (คัสตาร์ด)

ซึ่งน้ำซุปของชาบู ชาบู จะมีให้เลือก 4 แบบ มี น้ำซุปดาชิ (Dashi) ทำจากปลาแห้งกับสาหร่ายคอมบุ น้ำซุปทงคตสึคอลลาเจน (Tonkotsu Collagen) หรือน้ำซุปกระดูกหมูเคี่ยวนาน 5-6 ชั่วโมงอย่างต่ำ (แนะนำน้ำซุปชนิดนี้) น้ำซุปยูสึ ทงคตสึ คอลลาเจน และ น้ำซุปมิโซะ ทงคตสึ

โดยทั้งเซตสุกียากี้และเซตชาบูชาบู จะแบ่งตามชนิดของเนื้อสัตว์ คนชอบกินเนื้อมีให้เลือกตั้งแต่ เนื้อวากิว A5 (Wagyu Beef A5) (1,500 บาท++) (เสิร์ฟในถาดไม้ที่ทองหล่อ และถาดทองที่พารากอน)

เนื้อวากิว A4 (Wagyu Beef A4) (1,200 บาท++) (เสิร์ฟในถาดสีเหลืองทองที่ทองหล่อ และถาดลายจุดเทาเข้มกับขาวที่พารากอน) เนื้อมาสะ (Masa Beef) (1,000 บาท++) (เสิร์ฟในจานหรือถาดดำ) และ เนื้อวากิวพิเศษ (Special Wagyu Beef) (800 บาท++) ซึ่งเป็นเนื้อนำเข้าจากแถบคันไซ ให้คนละ 150 กรัม ซึ่งปริมาณไขมันแทรกและราคาจะลดหลั่นกันลงมาตามที่บอกไป โดยถ้าเป็นสุกียากี้จะแล่ชิ้นหนาๆ ให้มา 4 ชิ้น ส่วนชาบู ชาบูจะแล่ชิ้นบางกว่าให้มา 5 ชิ้น

สำหรับผมแล้วแค่เซต เนื้อมาสะ ก็นุ่มอร่อยเหลือหลายคุ้มค่าเกินราคา แต่ถ้าใครอยากรู้ซึ้งถึงคำว่าละลายในปากนั้นเป็นเช่นไรก็สั่ง เนื้อวากิว A5 มาได้เลย โดยเราสามารถสั่งเนื้อเป็นจานๆ เพิ่มต่างหากมาลิ้มลองได้ด้วย (เช่นเนื้อวากิว A5 จานละ 1,200 บาท++)

ใครไม่กินเนื้อก็มี เซตหมูคุโรบูตะ (Kurobuta Pork) (450 บาท++) นุ่มๆ เซตเนื้อไก่เลี้ยงปล่อย (450 บาท++) เซตเนื้อแกะนิวซีแลนด์ (550 บาท++) และ เซตอกเป็ด (700 บาท++) อีกด้วย

เซ็ตชาบูชาบู เนื้อวากิว A5 (Wagyu Beef A5)
เนื้อวากิว A4 สำหรับสุกี้ยากี้

ถ้าสั่งสุกียากี้ จะมีพนักงานมาทำให้ เอาเนื้อชิ้นโตๆ หนาๆ ลงไปผัดซอสวาริชิตะพอขลุกขลิกกับหอมใหญ่ จนเนื้อพอสุก คีบให้เราชิมทีละชิ้น ใครสั่งชาบู ชาบู สามารถลวกเนื้อทำเองได้เลย แนะนำว่าอย่าปล่อยให้สุกจนเกินไป แค่ลวกพอสีชมพูเรื่อๆ จะกินอร่อยมาก ทั้ง 2 อย่างนี้อร่อยจนเก็บไปฝันถึงอีกนาน

พอกินใกล้จะเสร็จ ถ้ายังไม่ได้กินข้าวก็ขอให้พนักงานนำข้าวใส่ลงกระทะผัดให้ โดยพนักงานจะกะปริมาณน้ำซอสสุกี้ให้พอดีกับข้าว รับรองว่าจะได้ข้าวที่หอมอร่อยมากจริงๆ ส่วนถ้าเป็นชาบูชาบู ให้พนักงานใส่ข้าว ตอกไข่ใส่ลงไป โรยหน้าด้วยต้นหอม กระเทียมกรอบ และสาหร่ายกลายเป็นข้าวต้มญี่ปุ่น โซซุย ก็อร่อยมากๆ เช่นกัน

นอกจากนี้ ที่ร้านสุกี้ มาสะยังมีเมนูซูชิ (เน้นแฟนซีโรลล์) สลัด ข้าว (ด้ง) หน้าต่างๆ ให้เลือกมากมายเช่นกัน ซึ่งถ้ามาที่สาขาทองหล่อ ถ้าต้องการซูชิสไตล์ดั้งเดิมสามารถขอเมนูร้าน ซูชิ มาสะ (Sushi Masa) ในเครือที่อยู่เยื้องๆ กันในซอย สั่งข้ามมาส่งได้ด้วย

เนื้อวากิว A4 สำหรับชาบู

เมนูร้านสุกี้ มาสะ ยังมี เซตนาเบะ กิมจิ (Nabe Kimchi) ให้เลือกเนื้อต่างๆ ลวกในน้ำซุปใส่กิมจิ เซตบัตเตอร์ ยากิ (Butter Yaki) ซึ่งจะย่างเนื้อต่างๆ หรือหมูคุโรบูตะกับเนยในกระทะแบน (เทปปัน) แล้วเสิร์ฟมาให้ในกระทะร้อน ซึ่งจะจิ้มกับน้ำจิ้มเหมือนเวลากินเทปปันยากิ ส่วนคนที่ชอบกินอาหารทะเลก็มี ซีฟู้ด นาเบะ (ส่วนใหญ่จะเลือกน้ำซุปใส) ใส่ของทะเลต่างๆ รวมทั้งมีกุ้งแม่น้ำให้เลือก

ถ้าอยากชิมของหวานอื่นๆ นอกเหนือจากในชุด ขอแนะนำ คุซุคิริ (Kuzukiri) (180 บาท++) ที่ประกอบด้วยเส้นใสๆ เหนียวนุ่มลื่นคอทำจากแป้งรากไม้ Kudzu จิ้มน้ำเชื่อม Kusomitsu ที่ทำจากน้ำตาลทรายแดงเคี่ยวใส่ขิงฝนลงไปเล็กน้อยจนชุ่มโชก จากนั้นนำไปจิ้มผงถั่วเหลืองอีกที และเมนู ยูสึกรานิต้า (Yuzu Granita) (95 บาท++) เป็นเกล็ดน้ำแข็งหวานเย็นรสยูสึหอมๆเปรี้ยวๆ กินแล้วเย็นชื่นใจทั้ง 2 เมนู

ถ้าจะมาที่ร้านช่วงมื้อเย็นของทุกวัน รวมทั้งมื้อกลางวัน วันเสาร์-อาทิตย์ ควรโทรมาจองก่อนล่วงหน้าที่เบอร์ 0-2392-4769 (ซอยทองหล่อ 5) และเบอร์ 0-2129-4880 กับ 06-1392-9777 (สยามพารากอน ชั้น G) นี่คือสุดยอดร้านสุกียากี้และชาบู ชาบู เนื้อวากิวจริงๆ

โดย คุณศริสา (เก๋) นฤปกรณ์
สาขาซอยทองหล่อ 5
ที่ตั้ง 111/1 ซอยทองหล่อ 5 ถนนสุขุมวิท 55 คลองตันเหนือ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
โทร 0-2392-4769
เปิดบริการ 11.00-22.00 น. (ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ 23.00 น.) ทุกวัน
(รอบละ 2 ชั่วโมง มีวันละ 5 รอบ ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ มีวันละ 6 รอบ)

สาขาสยามพารากอน ชั้น G

โทร 0-2129-4880, 06-1392-9777
เปิดบริการ 11.00-22.00 น. ทุกวัน (วันละ 5 รอบ)

แนะนำ สุกียากี้และชาบู ชาบู เนื้อวากิว A5 และ A4 เนื้อ Masa และหมูคุโรบูตะ
ช่วงคนแน่น 18.00-20.00 น.(เสาร์-อาทิตย์ 12.00-14.00 น. และ 18.00- 20.00 น.)

Facebook SUKI MASA
Instagram suki_masa
Line @sukimasa

เนื้อมาสะ (Masa Beef)
เซตสุกี้เนื้อวากิว A5
เซ็ตสุกี้ยากี้เนื้อวากิว A5 (Wagyu Beef A5)
หมูคุโรบูตะ (Kurobuta Pork)
เส้นอูด้งจิ้มซอสงา
ยูสึกรานิต้าYuzu-Granitaเกล็ดน้ำแข็งหวานเย็นรสยูสึหอมๆเปรี้ยวๆ
Suki masa
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก

อาทิตย์นี้ปิ่นโตเถาเล็กขอพาไปทบทวนชิมของอร่อยกันที่ร้านส้มตำ ซึ่งเป็นที่เชิดหน้าชูตาประจำจังหวัดปทุมธานี ส้มตำครกทอง เจ้าของร้านคือคุณสมปอง ศรีสอาด พ่อหนุ่มหนวดเฟิ้มน่าเกรงขามแต่ใจดีสุดสุด จึงได้ฉายาว่าลุงหนวด เป็นคนกาฬสินธุ์ ถิ่นอีสานแท้แต่มาเป็นเขยปทุม แต่งงานกับคุณอุไร เปิดร้านส้มตำครกทองด้วยกันนาน 30 ปีแล้ว

ก่อนอื่นต้องรีบบอกว่าภาพชินตาร้านนี้ที่ตอนกลางวันคนนั่งเต็มร้านแน่นขนัดนั้น เราจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว เพราะตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด ทางร้านปรับเปลี่ยนมาให้ซื้อกลับบ้านอย่างเดียว ไม่ให้นั่งกินที่ร้าน แล้วติดใจจึงทำต่อมาเรื่อยๆ ใครอยากลิ้มลองต้องโทรสั่งกลับบ้านอย่างเดียวที่เบอร์ 06-2669-8002 และ 0-2581-3704 นะจ๊ะ

ถึงแม้จะนั่งกินที่ร้านไม่ได้แล้ว แต่ก็อยากเชิญชวนให้ไปซื้อด้วยตัวเองที่ร้านสักครั้ง เพราะจะได้มาเห็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นของร้านนี้คือครกสีทอง 2 ใบ ขนาดยักษ์ตั้งบูชาอยู่หน้าศาลพระภูมิ อันเป็นที่มาของชื่อร้าน กับของดีอีกอย่างอันเป็นเอกลักษณ์คือเตาย่างไก่ ที่ใช้โอ่งน้ำใส่เตาถ่านแล้วปิดฝาโอ่งตอนย่างไก่ ทำให้ไก่สุกระอุหอมทั่วทั้งตัว ถือเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่น่าชื่นชม

ใครอยากมาที่ร้านเพื่อเห็นเป็นบุญตา และได้ชิมเป็นบุญปาก ขอให้ขึ้นทางด่วนขั้นสองหรือทางด่วนศรีรัช วิ่งขึ้นเหนือเข้าทางด่วนอุดรรัถยา ไปลงที่ด่านศรีสมาน จ่ายเงินค่าผ่านทางแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนศรีสมาน (มีป้ายบอกไปติวานนท์) วิ่งตรงไปอย่างเดียวจนผ่านสี่แยกแล้วข้ามสะพานนนทบุรี (หรือสะพานนวลฉวี) จากนั้นไปเรื่อยๆ อีกประมาณ 3 กม.กว่าๆ จนถึงสี่แยกบางคูวัด ให้เลี้ยวขวาที่สี่แยกนี้ไปปทุมธานี จากนั้นตรงไปอีก 3 กม. ผ่านโชว์รูมอีซูซุพระนคร จนไปถึงสามแยกไฟแดงเล็กๆ ให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยวัดไพร่ฟ้า (มี 7-11 อยู่ปากซอยและมีป้ายไปวัดไพร่ฟ้า) ไปอีก 1.5 กม.จะเห็นเทศบาล ต.บางเดื่อ ทางฝั่งขวา มีหอเก็บน้ำสูงชะลูดเป็นจุดสังเกต ร้านส้มตำครกทองอยู่ในซอยตรงข้ามเทศบาลตำบล หาไม่ยากเลย สภาพเป็นร้านโล่งๆโถงใหญ่มีหลังคาคลุม

ควรโทรไปสั่งก่อนที่จะมารับอาหารกลับ จะได้ไม่ต้องรอนาน มาแล้วจะเห็นคุณสมปองหรือลุงหนวดผู้เป็นเดี่ยวมือหนึ่ง มือตำส้มตำครกทองของแท้ ตอนนี้มีลูกสาวเรียนจบมาคอยช่วยตำอีกครกหนึ่งด้วย

เมนูที่ต้องซื้อกลับ ห้ามพลาดเป็นอันขาด คือเกาเหลาปูม้าดิบ (280 บาท) เป็นยำปูม้าดองดิบๆ ปรุงรสจัดๆ เผ็ดๆ ได้แทะเนื้อปูม้าดองจุใจ ซึ่งจะรับของทะเลสดๆ จากเจ้าประจำ นำมาดองแค่แช่น้ำปลาแล้วรีบเอาขึ้น นำไปแช่ช่องแข็ง จึงไม่เค็มเกินไป อยากกินหลายๆ อย่างรวมกันให้สั่งเกาเหลาปูม้าดิบ+กุ้งดิบ (380 บาท) หรือเกาเหลาปูม้าดิบ+ทะเล (380 บาท) นี่คือเมนูยอดฮิตประจำร้านส้มตำครกทอง ไม่อยากกินดิบก็ให้สั่งเกาเหลาปูม้าสุก (380 บาท) และเกาเหลาปูม้าสุก+ทะเล (380 บาท) ขอบอกว่าอร่อยพอๆ กันเพราะลวกมาแค่พอสุกเท่านั้น นอกนั้นยังมีเกาเหลาอื่นๆ อีกมาก อย่างเช่น เกาเหลาปูดำ (150 บาท) ที่ไม่แพงและอร่อยไม่แพ้กัน เกาเหลาหอยดอง (130 บาท) และเกาเหลาหอยนางรม (150 บาท)

แน่นอนจานเด็ดย่อมเป็นสารพัดส้มตำ ฝีมือลุงหนวดกับลูกสาว มีให้เลือกมากมาย ส้มตำยอดนิยมตอนนี้คือไหลบัวทะเล (130 บาท) ใส่ไหลบัวกรอบๆ กับของทะเลลวกพอสุก เลือกใส่ปลาร้าหรือตำไทย หรือจะใส่ของดิบของสุกได้ทั้งนั้น อีกอย่างที่แซ่บมากคือตำหมูยอปูปลาร้า(80 บาท)รสชาตือีสานแท้ใส่มะกอก มีส้มตำอีกเยอะแยะเช่นส้มตำหอยดอง ส้มตำปูม้าดิบ ส้มตำปูม้าสุก ส้มตำทะเล ส้มตำกุ้งสด ส้มตำหอยนางรมปลาร้า ส้มตำหมูตกครก ส้มตำป่า ส้มตำซั่ว ตำแตง ตำถั่วฝักยาว ฯลฯ

เกาเหลาปูม้าดิบกับกุ้งดิบ
เกาเหลาปูม้าสุก+ทะเล

ของกินคู่ส้มตำย่อมต้องเป็นไก่ย่างในโอ่ง ดูเท่เก๋ไก๋เหมือนไก่ธันดูรีของอินเดีย แต่ละวันจะหมักไก่ในกะละมังใหญ่ผสมน้ำตาล งาขาว กระเทียม พริกไทย รากผักชี นมสด ซอสปรุงรส ย่างเตาถ่านในโอ่งจนระอุสุกทั่วเนื้อไก่สีอมส้ม หนังหอมกลิ่นย่างมีรสอมหวานเล็กน้อย สั่งได้ทั้งปีกไก่ย่างล้วนๆ (6 ปีก 100 บาท) ไก่ย่างครึ่งตัว (110 บาท) ทั้งตัว (220 บาท) เครื่องในไก่ย่าง (40 บาท) อีกทั้งยังมีคอหมูย่างกับไส้หมูย่าง (120 บาท) ด้วย

ที่ห้ามพลาดอีกอย่าง คนชอบกินตับไม่สั่งไม่ได้ ก็คือตับหวาน (70 บาท) นุ่มสดเด้งสุกกำลังดี กลายเป็นเมนูโปรดของผมไปแล้ว ส่วนของน้ำๆ มีทั้งต้มแซ่บกระดูกหมูอ่อน (60-120 บาท) และต้มแซ่บทะเล (120-150 บาท) และอ่อมหมู อ่อมไก่ (60 บาท) แบบอีสาน

อย่าลืมว่าตั้งแต่นี้ไปส้มตำครกทองไม่มีบริการนั่งกินที่ร้านแล้ว สามารถโทรสั่งแล้วไปรับเองหรือสั่งดิลิเวอรีถึงบ้าน ส่งถึงในกรุงเทพฯได้ ร้านจะเริ่มเปิดตั้งแต่ 10 โมงครึ่ง พร้อมเต็มที่ตอน 11 โมงเช้า ไปจนถึงห้าโมงครึ่งตอนเย็น หยุดทุกวันจันทร์-อังคาร โทรสั่งและสอบถามได้ที่ 0-2581-3704 และ 06-2669-8002

ตำไหลบัวทะเล

ข้อมูลร้าน

ส้มตำครกทอง

โดย คุณสมปอง-คุณอุไร ศรีสอาด

ที่ตั้ง 55/1 หมู่ 3 ซ.วัดไพร่ฟ้า ต. บางเดื่อ อ.เมือง จ.ปทุมธานี 12000

โทร 0-2581-3704 06-2669-8002

เปิดบริการ 10.30 น.(11.00 น. พร้อมเต็มที่)-17.30 น. พุธ-อาทิตย์

หยุด วันจันทร์-อังคาร

แนะนำ เกาเหลาปูม้าดิบ (และสุก) +ทะเล ตำไหลบัวทะเล ตำหมูยอปูปลาร้า ไก่ย่างในโอ่ง ตับหวาน เกาเหลาปูดำ คอหมูย่างกับไส้หมูย่าง ส้มตำสารพัดอย่าง

Facebook ส้มตำครกทอง ปทุมธานี เจ้าเก่า

คอหมูย่างและไส้หมูย่าง
ตับหวาน
เกาเหลาปูเค็ม
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2563, หน้า 20
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
สเต๊กปลามากุโระ

ร้านบุฟเฟต์นานาชาติคิวยาวที่สุดในเมืองไทย เปิดวันละหลายรอบ จองเกือบเต็มทุกรอบ เห็นจะไม่มีใครเกิน Copper Buffet (คอปเปอร์บุฟเฟต์) ไปได้ ถือเป็นบุฟเฟต์พรีเมียมคุ้มสุดคุ้มซึ่งมีกระแสตอบรับดีที่สุด มีแฟนขาประจำติดตามอยู่ถึงสองแสนกว่าคน

คอปเปอร์บุฟเฟต์อยู่ที่ชั้น 2 ของโครงการ The Sense (เดอะเซ้นส์) ปิ่นเกล้า คอมมิวนิตี้มอลล์ริมถนนบรมราชชนนี อยู่เลยเซ็นทรัลปิ่นเกล้ามาเพียง 150 เมตร มีที่จอดรถสะดวกสบาย

ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของคอปเปอร์บุฟเฟต์ตลอดเกือบ 5 ปี (ตั้งแต่มีนาคม 2559) คือ คุณเกษมสันต์ สัตยารักษ์ ผู้จัดการร้าน ผู้เชี่ยวชาญการจัดหาของอร่อยมาปรนเปรอพวกเรา

ซึ่งในช่วงนิวนอร์มอลนี้ คอปเปอร์บุฟเฟต์ได้จัดที่นั่งใหม่ลดเหลือรอบละไม่เกิน 220 คน โดยประมาณ และข้อสำคัญคือลูกค้าทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยเวลาเดินไปสั่งอาหารอย่างเคร่งครัดนะจ๊ะ

ใครสนใจอยากมาชิม ต้องจองผ่านระบบของ Hungry Hub (ฮังกรี้ฮับ) เท่านั้น ไม่รับลูกค้าวอล์กอิน เข้าไปที่เฟซบุ๊ก Copper Buffet จะมี Link ให้จองใน Hungry Hub ได้เช่นกัน ในสนนราคาเพียงคนละ 999 บาทสุทธิ (รวมเครื่องดื่ม) ให้เวลาถึงรอบละ 2 ชั่วโมงทีเดียว (สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line@ : @copperbuffet) ซึ่งในการจอง ต้องใส่ข้อมูลชื่อเบอร์ติดต่อของทุกคนที่ไปด้วยกัน อีกทั้งต้องวางมัดจำ 50% ด้วย โดยจะได้รับหมายเลขการจองทาง SMS และ Email ที่ลงทะเบียนไว้ ซึ่งในแต่ละวันของสัปดาห์จะมีจำนวนรอบและช่วงเวลาไม่เหมือนกัน และถ้าจำนวนคนไปเป็นเลขคี่จะมีบางรอบที่เปิดรับเท่านั้น กดเข้าไปดูรอบได้เลย

นอกจากนี้ ยังมีแพคเกจราคาพรีเมียม เพื่อรับเมนูพิเศษให้เลือกเพิ่มเติมอีกด้วย (แนะนำว่าให้สมัครเป็นสมาชิก 899 บาท มีอายุ 1 ปี ได้ส่วนลด 10% ทั้งโต๊ะ และ 15% ในเดือนเกิด เมื่อชำระด้วยเงินสดผ่าน E-Payment ไม่รับธนบัตร)

พอถึงวันจองให้ไปก่อนเวลาเล็กน้อยเพื่อไปรับเบอร์โต๊ะที่ด้านหน้า จากนั้นไปยืนเข้าแถวยาวสุดลูกหูลูกตาเพื่อเดินเข้าร้านทีละคน

ที่นี่มีเมนูน่าลิ้มลองเพียบมากมาย ไลน์บุฟเฟต์เป็นครัวเปิดมีที่กั้นกระจกใสเห็นกันจะๆ ให้มาที่มุมซุป ห้ามพลาดซุปเห็ดทรัฟเฟิลในตำนานครีมข้นอร่อยขั้นเทพ หอมกลิ่นทรัฟเฟิล กินคู่กับขนมปังกระเทียม ใกล้กันเป็นมุมอาหารไทย ขอแนะนำตัวเด็ดเมนูใหม่ ขนมจีนน้ำยาปูใบชะพลู ถัดมาตรงหัวมุมมีซีฟู้ดวางบนน้ำแข็ง หอยนางรมสุราษฎร์ธานีเป็นตัวเด่นเสิร์ฟทีละ 2 ตัว อีกทั้งหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์กับกุ้งขาว

เดินมาอีกด้าน ที่นี่ฝีมือการตำส้มตำเยี่ยมยอดมาก ปิ่นโตเถาเล็กชอบสั่งตำปูปลาร้า นอกจากนี้ ก็มีตำไทยไข่เค็ม ตำปู ตำไทย และตำไทยปู ซึ่งของอร่อยตรงนี้ยังมีผัดไทยกุ้งแม่น้ำอีกด้วย หรือจะสั่งกุ้งแม่น้ำย่างจิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ดแซ่บๆ ก็กินได้ไม่อั้น

ข้างๆ มีมุมพาสต้าที่สุดยอดมาก มีหลากหลายทั้งสปาเกตตีพริกกระเทียมเนื้อวากิว สปาเกตตีคาโบนาราครีมๆ สปาเกตตีหอยลายวองโกเล่ สปาเกตตีซอสแกะรากูต์ สปาเกตตีพริกกระเทียมเบคอนใส่ไวน์ขาว สปาเกตตีเส้นดำซีฟู้ด และชีสวีลพาสต้า เส้นแองเจิลแฮร์คลุกในอ่างชีสยักษ์ถูกใจคนรักชีส ของดีอีกอย่างคือข้าวกะเพราเนื้อวากิวไข่ออนเซน

กุ้งแม่น้ำย่าง
สลัดพาร์มาแฮม

โซนซูชิซาชิมิข้าวปั้นปลาดิบคืออีกหนึ่งจุดเด่นของคอปเปอร์ มีทั้งแซลมอนสด ซึ่งสามารถสั่งพ่นไฟพอสุก (อบุริ) แล้วราดซอสไซเกียวมิโซะหวานๆ หรือราดซอสสไปซี่ได้ด้วย และก็มีปลาซูกิ (Sugi) หรือปลาช่อนทะเลเนื้อขาวๆ กุ้งแดงญี่ปุ่น ปูอัด ไข่หวาน และเมนูใหม่ ข้าวห่อสาหร่ายหน้าปลาหมึกกับวาซาบิ คนรักเนื้อต้องสั่งซูชิเนื้อวากิวชิ้นบางๆ แผ่นโตๆ ยาวๆ คลุมมาทั้งจาน อร่อยสะใจ

ที่ห้ามพลาดเช่นกันคือเมนูซิกเนเจอร์ กุ้งเทมปุระทอดมาร้อนๆ แป้งเทมปุระนุ่มเบาฟูกรอบเหลือหลาย และมีกุ้งทอดครีมสลัด แก้มปลาแซลมอนย่างให้เลือกด้วย

อีกอย่างที่อร่อยจนเห็นสวรรค์รำไรคือก๋วยเตี๋ยวเรือน้ำตกใส่เนื้อวากิวแผ่นโตๆ รสชาติเข้มข้นถึงใจ ไม่ได้ลิ้มลองเหมือนมาไม่ถึงร้าน ไม่กินเนื้อก็มีหมูและลูกชิ้นหมูด้วย

สเต๊กมุมยอดนิยมก็มีให้เลือกหลากหลาย คนชอบกินเนื้อห้ามพลาด สเต๊กเนื้อวากิวออสเตรเลียส่วนสะโพก (Rump) เกรด (MB) 5-6 เลือกระดับความสุกได้ตามใจชอบ และมีเมนูใหม่เนื้อวากิวตุ๋นไวน์แดง ไม่กินเนื้อก็มีสเต๊กปลาแซลมอนย่างมาสุกกำลังดี สเต๊กหมูพริกไทยดำ สเต๊กปลามากุโระ และสเต๊กไก่ แก้เลี่ยนด้วยสลัดผักทำมาให้เป็นจานๆ มีสลัดพาร์มาแฮม ทูน่าสลัด และซีซาร์สลัด

ซาชิมิ ปลาดิบ

อีกทั้งมีมุมเซตหมู 3 ชนิดแล่ให้เป็นชิ้นเล็กๆ ที่ชอบมากคือคอหมูทอดหอมมัน และก็มีขาหมูเยอรมันทอดกับสามชั้นติดซี่โครงบาร์บีคิวนุ่มๆ

อย่าเพิ่งอิ่มนะจ๊ะมีขนมหวานอีกเพียบ ทั้งฮันนีบริยอชโทสต์ซอสไข่เค็ม ช็อกโกแลตลาวาเยิ้มๆ วาฟเฟิลคาราเมลซอส แครมบรูเล่หอมคาราเมล ขนมโคแบบไทยๆ และไอศกรีมหลากรสชาติ รวมทั้งผลไม้สับปะรดกับแตงโม

ขนาดเครื่องดื่มที่คอปเปอร์ยังไม่เหมือนใคร มีมุมเครื่องดื่มไนโตรจากเยอรมันมูลค่าร่วมล้านบาท อัดอากาศธรรมชาติเข้าไปทำให้เครื่องดื่มมีรสสัมผัสที่นุ่มนวลยิ่งขึ้น มีทั้งชานมไต้หวันที่ห้ามพลาดเลย น้ำผึ้งมะนาว ชามะนาว ชาเขียวมะลิ และฟรุตพันช์ (น้ำเปล่า น้ำอัดลม ก็มีให้บริการ) ให้หยิบแก้วส่วนตัวที่โต๊ะมาใส่น้ำแข็งรับบริการได้

ปิดท้ายด้วยตัวอย่างเมนูพิเศษสำหรับผู้ที่จ่ายแพคเกจพรีเมียม บุฟเฟต์พลัสของ Hungry Hub ที่บอกไว้ในตอนต้น ตัวอย่างเมนูเช่น เซตโอนิกิริมันปูหิมะแดงเกาหลี (Sokcho Red Snow Crab) D.I.Y ให้ห่อสาหร่ายเอง ซี่โครงแกะออสเตรเลีย หอยเชลล์ซอสไวน์ขาว ล็อบสเตอร์เทลส์อบซอสเวลูเต้ชีส 3 ชนิด ตอนจองมีรายละเอียดเมนูที่จะได้ลิ้มลองบอกไว้แล้ว

แต่ละเดือนจะเปิดจองล่วงหน้าในวันที่ 25 ของเดือนก่อนหน้า จะมีคอบุฟเฟต์แห่กันไปจองคิวของเดือนถัดไปทั้งเดือนกันอย่างล้นหลาม โปรดจำให้ขึ้นใจว่ารีบจองในวันแรกนี้เลย เดี๋ยวจะหาว่าปิ่นโตเถาเล็กไม่เตือน

Copper Buffet

บุฟเฟต์นานาชาติ คนละ 999 บาทสุทธิ (รวมเครื่องดื่ม) ในเวลา 2 ชั่วโมง

ที่ตั้ง ชั้น 2 The Sense ปิ่นเกล้า 71/50 ถนนบรมราชชนนี อรุณอมรินทร์ บางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700

วิธีการจอง

จองผ่าน Hungry Hub (ฮังกรี้ฮับ) เท่านั้น มีรอบจำนวนคนที่ไปเลขคี่ เลขคู่

เปิดให้จองทุกวันที่ 25 ของทุกเดือน โดยเป็นการจองคิวของเดือนถัดไป

จองจำนวนคู่ (เช่น 2-4-6-8) คลิก https://bit.ly/2WyqCfY

จองจำนวนคี่ (เช่น 1-3-5) คลิก https://bit.ly/2WM28zY

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.facebook.com/copper buffet

เปิดบริการ จันทร์-พฤหัสฯ 3 รอบ ศุกร์ 4 รอบ

เสาร์-อาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์ 4 รอบ (เวลาในแต่ละรอบแตกต่างกับวันศุกร์)

หมายเหตุ มีแพคเกจ 1,590-1,690-1,990 บาท เลือกรับเมนูพรีเมียมพิเศษ เพิ่มด้วย

คิวจองเต็มเร็วมาก ควรรีบจองในวันแรกที่เปิดให้จอง คือวันที่ 25 ของทุกเดือน

ผัดไทยกุ้งแม่น้ำ
CopperBuffet
ซูชิเนื้อวากิวแผ่นโต
เนื้อวากิวตุ๋นไวน์แดง
สปาเก็ตตี้พริกกระเทียมเบคอน สปาเก็ตตี้เส้นดำซีฟู้ด
หอยเชลล์ซอสไวน์ขาว

ตอนนี้กรุงเทพฯมีห้องอาหารจีนน้องใหม่เปิดมาได้เพียง 1 ปีกว่าซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก มีเสียงกระซิบบอกมาว่า ถ้าเป็นช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ต้องจองล่วงหน้า 3 อาทิตย์ทีเดียว ห้องอาหารแห่งนี้มีชื่อว่า หนานเป่ย (Nan Bei) อยู่บนชั้น 19 ของ โรงแรมโรสวูด กรุงเทพฯ (Rosewood Bangkok)

หนานเป่ยงามเพียบพร้อมด้วยการตกแต่งที่ดูเก๋ไก๋โมเดิร์นมีชีวิตชีวา ในธีมจากตำนานเจ็ดนางฟ้าหรือตำนานรักของจีนระหว่างหนุ่มเลี้ยงวัวกับนางฟ้าคนสุดท้องผู้มีชื่อว่าสาวทอผ้า ทุกวันที่ 7 เดือน 7 เท่านั้นที่คู่รักทั้งสองจะได้พบกัน โดยความช่วยเหลือของเหล่านกกระเรียนที่จะมาเรียงตัวกันเป็นสะพาน

สิ่งที่ห้ามพลาดเวลามาหนานเป่ยก็คือให้แต่งตัวเฉิดฉายน่ารักโก้เก๋ พกกล้องกับมือถือมาถ่ายรูปตามจุดไฮไลต์ต่างๆ เช่น มุมสะพานนกกระเรียนเป็นแสงไฟระยิบระยับ ผนังผ้าไหมถักทอเป็นเรื่องเล่าในตำนานในห้องส่วนตัว รวมถึงระเบียงด้านนอกสุดชิค สวยทุกห้องทุกมุมทีเดียว

ชื่อหนานเป่ยบอกเป็นนัยว่าเป็นห้องอาหารจีนตำรับภาคเหนือ (เป่ย) และใต้ (หนาน) คู่กัน นำทีมโดยเชฟแมทธิว เกง (Matthew Geng) และเชฟชาวจีนผู้เชี่ยวชาญ รวมกันถึง 5 คน จากกรุงปักกิ่งและเทียนจิน ถ้าใครอยากลิ้มลองอาหารจีนแตกต่างจากร้านจีนทั่วไป ต้องมาที่หนานเป่ย

เมนูของหนานเป่ยจะแบ่งเป็นทางเหนือกับทางใต้ เริ่มต้นด้วยของกินเล่นต่างๆ เสิร์ฟเป็นของกำนัลจากเชฟ อย่างเช่นผักดอง ทำจากมันฝรั่งของจีนฝานเป็นเส้นๆ ผัดพริกใส่น้ำส้มสายชู และหัวไชเท้าดองกับน้ำส้มสายชูเปรี้ยวอมหวานหอมอร่อย และเกี๊ยวกรอบไส้กุ้งกับหมูสับคำเล็กๆ ซึ่งเชฟจะทำเปลี่ยนไปตลอด

การสั่งอาหารเริ่มจากเมนูเรียกน้ำย่อยจานขนาดย่อมกำลังดี มีเมนู ผักโขม (Spinach Leaves) (260 ++) ทำจากผักโขมราดซอสงาผสมน้ำส้มสายชูที่หมักจากข้าว มีส่วนผสมของถั่วลิสงคั่ว รสชาติคล้ายเนยถั่วหอมๆ ครีมๆ และมีรสอมเปรี้ยวเล็กน้อย เมนูนี้มาจากภาคเหนือที่กรุงปักกิ่ง

อีกอย่างที่ชอบมากคือ สลัดแมงกะพรุนเย็น (Chilled Jelly Fish Salad) (480 ++) แมงกะพรุนยำกับผักกาดขาวของจีนใช้เฉพาะส่วนก้านกรอบๆ ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชูหมักจากข้าวและน้ำมันมัสตาร์ดกับพริกแห้ง ได้รสเปรี้ยวหอมและรสสัมผัสกรอบเด้งของแมงกะพรุน

ต่อด้วย ปลากะพงกรอบ (Crispy Seabass)(380++) เมนูจากมณฑลส่านซี (Shaanxi) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เชฟบอกว่าเป็นจานโปรดของสนมเอกหยางกุ้ยเฟย ทำจากปลากะพงขาวเป็นเส้นยาวเล็กๆ กรอบหนึบเคลือบซอสรสเปรี้ยวอมหวาน

นอกจากกนี้ยังมีหมูกรอบชิ้นหนาเป็นตั้งๆ (Crispy Roasted Pork Belly)(380 ++) หนังกรอบเนื้อนุ่ม และหมูแดงคุโรบูตะเคลือบน้ำผึ้งออร์แกนิก (Honey-Glazed BBQ Kurobuta Pork)ของเชียงใหม่ (380++)ซึ่งเป็นเมนูกวางตุ้งที่คนไทยชื่นชอบและคุ้นเคย

34NanBeiRosewood-728x486

ยิ่งมาห้องหนานเป่ยตอนกลางวันยิ่งดีเพราะจะได้ชิมติ่มซำซึ่งมีเฉพาะมื้อกลางวันด้วย (ส่วนมื้อเย็นมีให้สั่งไม่กี่อย่าง) เราขอให้เชฟจัดติ่มซำยอดนิยมของภาคเหนือและภาคใต้มาอย่างละเมนู มีเสี่ยวหลงเปา (Xiao Long Bao) (620 ++) ของทางเหนือ ไส้ปูม้ากับเห็ดทรัฟเฟิลดำหอมๆ ต้องรีบกินตอนร้อนๆ ค่อยๆ ใช้ตะเกียบบรรจงคีบเสี่ยวหลงเปามาวางบนช้อนอย่าให้แตก ตักน้ำจิ้มสีเข้มทำมีส่วนผสมของซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูใส่ขิงซอย(หรือจะใส่น้ำมันพริกเพิ่มก็ได้) ค่อยๆละเลียดกินน้ำซุปในลูกเสี่ยวหลงเปา แล้วกัดแป้งกับไส้ตามเข้าไป

ส่วนเมนูเด่นของภาคใต้ชื่อว่า Pot Stickers (390 ++) คือเกี๊ยวทอดไส้หมูสับกับต้นหอม ซึ่งทอดได้เก่งมากมีร่างแหโปร่งๆกรอบๆของแป้งเกี๊ยวเป็นลายฉลุคลุมอยู่ทั่วทั้งจาน

และเมนูซิกเนเจอร์ของหนานเป่ยที่รอคอยก็มาถึง นั่นก็คือ เป็ดปักกิ่ง (Beijing Roast Duck) (1,900 ++) แบบปักกิ่งแท้ๆ ซึ่งกรรมวิธีการกินจะต่างจากการกินเป็ดปักกิ่งตามภัตตาคารจีนทั่วไปในบ้านเรา ซึ่ง เชฟแม็กซ์ลี (Max Li) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเป็ดปักกิ่ง นำเป็ดมาแล่โชว์ที่ข้างโต๊ะเลย

โดยเริ่มจากการเฉือนหนังเป็ดตรงส่วนหน้าอกให้เรากินเล่นเสียก่อน ให้จิ้มกินกับน้ำตาลทรายขาวนะจ๊ะ หนังเป็ดปักกิ่งจะกรอบๆ ฟูๆ และแห้งสนิทไม่มีความมันเลี่ยนหลงเหลืออยู่เลย จากนั้นเชฟแม็กซ์จะแล่ส่วนเนื้อเป็ดติดหนังใส่จานให้เรากินต่อเหมือนกับที่ได้เคยลิ้มลองในเมืองจีน ซึ่งกรรมวิธีการกินต่อจากนี้จะคุ้นเคยกันดี คือนำมาห่อด้วยแป้ง ใส่แตงกวาและต้นหอมที่เจียนมาเป็นเส้นบางๆ ราดน้ำจิ้มซีอิ๊วดำสีเข้มเค็มอมหวานกับซอสกระเทียมสับละเอียด

เป็ดปักกิ่งนั้นมีต้นกำเนิดตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยวนของจีนเมื่อราวเกือบ 700 ปีก่อน ซึ่งเชฟจะใช้เป็ดที่เลี้ยงในจังหวัดสุพรรณบุรีของบ้านเรา ตัวไม่ใหญ่มาก นำมาทำความสะอาด ราดน้ำแบะแซ เป่าลมและยัดไส้ด้วยเครื่องเทศเช่นลูกกระวาน และพุทราจีนเพิ่มความหอม ผึ่งทิ้งไว้อย่างต่ำ 1 วัน แช่เก็บไว้ในตู้เย็นข้างเตาย่างจากนั้นนำไปย่างในเตานาน 1 ชั่วโมง (ทั้งหมดนี้กว่าจะเสร็จใช้เวลา 3-4 วัน)

ซึ่งเนื้อเป็ดกับโครงเป็ดที่เหลือสามารถเลือกได้ว่าจะนำไปทำน้ำซุปเป็ดใส่เต้าหู้กับผักกาดขาวซึ่งน้ำซุปข้นๆ อร่อยมาก(สำหรับผู้ใหญ่ ขอแนะนำเมนูนี้) หรือจะทำเป็ดทอดพริกเกลือ (นี่ก็อร่อยเค็มๆหอมๆ) และเมี่ยงเป็ดห่อผักกาดแก้วก็ได้

สำหรับเมนูจานหลัก ใครอยู่ชมรมคนชอบกินเนื้อต้องสั่งเมนูเนื้อเกียวโตวากิว (Kyoto Wagyu Beef) (1680++) เป็นเนื้อวากิวที่นุ่มหอมมันเป็นอันมากผัดกับเห็ดพอร์ชินีชั้นเลิศ อีกจานคือถั่วแขก (String Beans) ผัดกับหมูสับและพริกแห้ง (450++) เป็นอาหารทางตอนเหนือ เมนูง่ายๆแต่อร่อยมีรสมีชาติ

ปิดท้ายเมนูอาหารจีนจานเส้นอลังการ แคนาเดียนล็อบสเตอร์กับเส้นบะหมี่ผัดกับซอสซีฟู้ดใส่หอยเชลล์แห้งและซีอิ๊วสูตรเชฟแมทธิว เกง (350 ++ ต่อ 100 กรัม) เส้นบะหมี่เป็นเส้นสดใช้มีดตัด (Hand cut) เดี๋ยวนั้น ใครชอบเมนูเส้นยังมีเส้นสดชนิดดึงเส้นด้วยมืออีกด้วย

ของหวานหนานเป่ยนั้นอลังการมาก มีขนมสไตล์ฝรั่งตะวันตกใช้ชื่อว่า คาเวียร์ (Caviar)(290++) ใส่ในถ้วยกระเบื้องเคลือบลายดอกสีฟ้าขาวสวยงามมาก ชั้นบนเป็นเจลลีเม็ดกลมๆ ทำจากบลูเบอร์รี ชั้นกลางเป็นช็อกโกแลตกานาช ส่วนชั้นล่างเป็นคุกกี้ซาเบล่ (Sablé) นุ่มๆ รสช็อกโกแลตซีซอลต์เค็มนิดๆ เป็นฝีมือของเชฟฟลอเรียน ชาวฝรั่งเศส

ส่วนของหวานแบบจีนห้ามพลาด สาคูมะม่วงและส้มโอ (Chilled Mango Pomelo Sago)(290++) เสิร์ฟเย็น ใส่มะม่วงน้ำดอกไม้กับส้มโอเปรี้ยวอมหวานอร่อยสดชื่น เข้ากันดีกับนมและครีมหอมๆ มันๆ เหมือนกินที่ฮ่องกง

ช่วงนิวนอร์มอลนี้ ห้องอาหารหนานเป่ยจะยังหยุดทุกวันจันทร์และอังคาร โดยจะเปิดเป็นมื้อๆ ช่วง 11 โมงครึ่งถึงบ่าย 2 โมงครึ่ง (สั่งอาหารได้ถึงบ่าย 2 โมง) และห้าโมงครึ่งตอนเย็นถึง 3 ทุ่ม (สั่งอาหารได้ถึง 2 ทุ่มครึ่ง) โทรสอบถามและจองโต๊ะได้ที่เบอร์ 0-2080-0080 (เบอร์ตรง) และ 0-2080-0088 นะจ๊ะ

ถั่วแขก(String Beans)ผัดกับหมูสับและพริกแห้ง
เนื้อเกียวโตวากิว(Kyoto Wagyu Beef)

หนานเป่ย

(Nan Bei)

โรงแรม Rosewood

ที่ตั้ง ชั้น 19 โรงแรม Rosewood Bangkok 1041/38 ถ.วิทยุ ลุมพินี ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

โทร 0-2080-0080 (เบอร์ตรง) 0-2080-0088

เปิดบริการ 11.30-14.30 น. (Last order 14.00 น.)

และ 17.30-21.00 น.(Last order 20.30 น.) พุธ-อาทิตย์

หยุด จันทร์-อังคาร

แนะนำ ผักโขม (Spinach Leaves) สลัดแมงกะพรุนเย็น (Chilled Jelly Fish Salad) ปลากะพงกรอบ (Crispy Seabass) หมูกรอบ หมูแดงคุโรบูตะเคลือบน้ำผึ้ง เสี่ยวหลงเปา Pot Stickers เป็ดปักกิ่ง เนื้อเกียวโตวากิว ถั่วแขก (String Beans) ผัดกับหมูสับแคนาเดียนล็อบสเตอร์กับเส้นบะหมี่ ขนมคาเวียร์ (Caviar) ขนมสาคูมะม่วงและส้มโอ (Chilled Mango Pomelo Sago)

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
เป็ดทอดพริกเกลือ
ชุดน้ำชายามบ่ายอินดัลเจนซ์ (Indulgence)

กรุงเทพฯเมืองแห่งสีสันมีชีวิตชีวาในด้านอาหารการกิน มีร้านใหม่ๆ เกิดขึ้นแทบทุกวัน อาทิตย์นี้ปิ่นโตเถาเล็กตื่นเต้นดีใจได้นำเสนอโรงแรมหรูแห่งใหม่ใจกลางกรุงในย่านหลังสวน เพิ่งเปิดตัวไปสดๆ ร้อนๆ ซึ่งกำลังเป็น “ทอล์กออฟเดอะทาวน์” มีชื่อว่า โรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ

ถึงแม้ว่าสินธร เคมปินสกี้ จะยัง ไม่ได้เปิดให้เข้าพัก (เริ่ม 1 ตุลาคม 2563) แต่ก็กลายเป็นแหล่งแฮงเอาต์ยอดนิยมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้คนต่างพร้อมใจกันไปชมชิมแชะภาพกันทั้งวัน เพราะที่นี่แวดล้อมไปได้สวนสวยขนาดใหญ่และพรรณไม้นานาชนิด

ยิ่งไปกว่านั้นบริเวณล็อบบี้เลานจ์อันโอ่โถงของโรงแรมตกแต่งด้วยต้นไม้หลากหลาย เหมือนเป็นสวนทรอปิคอลที่เชื่อมต่อความเป็นธรรมชาติจากสวนด้านนอก แถมยังมีช่องแสงด้านบนขนาดใหญ่ส่องลงมาเพิ่มความสดใสไปทั่วทั้งบริเวณ

และที่ล็อบบี้เลานจ์แห่งนี้ทุกช่วงบ่ายของวันเสาร์-อาทิตย์จะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน เพราะมีของดีคือ ชุดน้ำชายามบ่าย ชื่อว่า ชีวา (Chevaa Afternoon Tea) ที่ฮอตฮิตถึงขนาดต้องโทรจองล่วงหน้าถึง 2 อาทิตย์เป็นอย่างน้อย

ปิ่นโตเถาเล็กจึงมีข่าวดีมาบอกแฟนๆ ว่าตอนนี้สินธร เคมปินสกี้ ได้เปิดให้มาลิ้มลองน้ำชายามบ่ายเพิ่มใน วันศุกร์ อีกหนึ่งวันแล้ว ใครสนใจรีบโทรไปจองได้ที่เบอร์ 0-2095-9999 รับได้ประมาณไม่เกินครั้งละ 80 ท่านเท่านั้น ในช่วง เวลา 14.00-17.00 น. ทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ขอให้มาเป็นคู่ๆ เพราะ ชุดน้ำชายามบ่าย 1 ชุด สำหรับ 2 คน ในสนนราคา 1,500 บาท++ (หารกันคนละ 750 บาท++)

ทางมาโรงแรมแห่งนี้ไม่ยาก จากถนนเพลินจิตเลี้ยวเข้า ถนนหลังสวน ซึ่งเป็นเส้นทางวันเวย์มาประมาณ 900 เมตร จะเห็นโครงการแห่งใหม่ในพื้นที่เดียวกันมีชื่อว่า เวลา (Velaa) หลังสวน พอสุดโครงการให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยไปได้เลย จากนั้นวิ่งไปสุดทางแล้วเลี้ยวซ้ายอีกที (ซึ่งซอยนี้จะเข้าจาก ถนนสารสิน ข้างสวนลุมพินีก็ได้) ก็จะเห็นโรงแรมสินธร เคมปินสกี้ ทางซ้ายมือ จอดรถในชั้นใต้ดินได้เลย

ถึงวันนัดควรแต่งตัวสวยเก๋และรีบมาก่อนเวลาสักครึ่งชั่วโมง เพราะบริเวณล็อบบี้มีมุมสวยๆ ให้แชะภาพแชร์เพื่อนๆ มากมาย ดังเช่นศาลาสวนตรงกลางหรือกาซีโบ (Gazebo) ซึ่งเป็นจุดยอดนิยม

ชุดน้ำชายามบ่ายตัวหลักมีชื่อว่า อินดัลเจนซ์ (Indulgence) ประกอบด้วย ขนมของว่างหลากหลายทั้งแบบดั้งเดิมคลาสสิก อีกทั้งขนมหวานทันสมัยฝีมือของเพสตรี้ เชฟแม็ก พรรณนา เลิศศรี ซึ่งรูปแบบการนำเสนอนั้นสวยเก๋มากถือเป็นไฮไลต์ทีเดียว เหมาะสำหรับการถ่ายรูป (อีกแล้ว) นำต้นไม้เล็กๆ ที่มีกิ่งก้านมาแขวนกระเปาะแก้วสำหรับใส่ของว่าง ซึ่งวางอยู่บนถาดกลมหรือสแตนด์พิเศษของ Sonite Husk ที่ทำจากเปลือกข้าวหรือแกลบ ดูเรียบหรูและดีต่อสิ่งแวดล้อม

ก่อนอื่นขอให้เลือกชามา 1 กา สำหรับ 2 คน ซึ่งสามารถเติมชาเพิ่มได้อีก 1 ครั้งด้วย มีทั้งประเภทชาเขียว (Green Tea) หมายถึงการนำยอดอ่อนของชาไปอบแห้ง โดยไม่ผ่านการหมัก มีชาเขียวญี่ปุ่น (Sencha) ชามะลิจีน (Jasmine Gold) และ ชาพีช (Peach Blossom Summer) ที่คนนิยมสั่ง และมีประเภทชาดำ (Black Tea) ผ่านการหมัก ซึ่งตัวยอดนิยมคือ ชาอัสสัมเอิร์ลเกรย์ (Assam Earl Grey) อีกทั้งชาสมุนไพร เช่น คาโมไมล์ (ดื่มแล้วหลับสบาย) ชาตะไคร้ ชามินท์ เชิญเปิดเมนูเลือกกันตามสบาย

ชุดน้ำชายามบ่ายอินดัลเจนซ์ (Indulgence)
ชุดน้ำชายามบ่ายกิลท์ฟรี(Guilt-Free)
ชุดน้ำชายามบ่ายกิลท์ฟรี (Guilt-Free)

พอมาถึงทุกท่านจะได้รับเครื่องดื่มชื่นใจเป็นอันดับแรกคือ เลมอนกรานิต้าผสมน้ำผึ้ง เป็นเกล็ดน้ำแข็งหวานเย็นใส่ในผลมะนาวเหลือง

ส่วนของกินในชุดน้ำชานั้นมีครบทุกหมวดหมู่คลาสสิก ตั้งแต่ Savory หรือของว่างที่เป็นอาหารคาว เช่น ทาร์ต มี แซนด์วิช ต่างๆ ที่ทำได้สร้างสรรค์มาก มี ขนมหวาน ดูดีสวยงาม และที่ขาดไม่ได้คือ สโคน หรือขนมอบแบบอังกฤษ

สโคนในชุดนี้เป็น สโคนแบบดั้งเดิม 2 ชิ้น และมี ขนมปังบริยอชหน้าเฟยทีน (Feuilletine) กรอบๆ รสเนยถั่ว ซึ่งสโคนนั้นเวลากินให้ผ่าครึ่งตามขวางแล้วทาด้วยมาสคาร์โปเนครีมหอมมันกับแยมสตรอเบอรี หรือทาด้วยเลมอนครีมเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดก็ได้

ทีเด็ดที่ทั้งสวยและกินอร่อยด้วยก็คือของว่างเซฟเวอรี่ (Savory) ในกระเปาแก้วแขวนบนกิ่งไม้มีทั้ง วอลโลวอง (Vol au Vent) แป้งพัฟเพสตรี้พายที่ใส่ไส้มูสแฮมเนียนๆ กับเห็ดดองตรงกลาง อีกกระเปาะมี แผ่นพาร์เมซานชีส กรอบๆ หน้าครีมถั่วลันเตา

ขนมหวานของว่างสุดเก๋

ของกินกระเปาะสุดท้ายจัดอยู่ในหมวดแซนด์วิชแต่ทำเป็นสไตล์ไทยๆ ไม่เหมือนแซนด์วิชเลย นั่นก็คือ สะเต๊ะไก่เป็นม้วนๆ กินกับแตงกวาดองและซอสสะเต๊ะ อร่อยในคำเดียว ส่วนที่วางอยู่บนถาดกลมด้านล่าง (ที่ทำจากแกลบ) มี เอแคลร์ไส้แซลมอนกราฟลักซ์ดองบีทรูท กินกับครีมอะโวคาโดและมะนาว และมี ทาร์ทีน (Tartine) หรือแซนด์วิชเปิดหน้าทำจาก ขนมปังอาร์ติซาน แบบดั้งเดิมทำจากแป้งข้าวไรซ์เนื้อหนักๆ หน่อย หน้าด้านบนเป็น สลัดไข่หอมกลิ่นทรัฟเฟิล กินกับมูสอะโวคาโดและใบวอเตอร์เครส

ขนมหวานก็เก๋ไก๋ไม่แพ้กัน มี เลมอนเมอร์แรงก์ทาร์ต ทำเป็นอมยิ้มเสียบไม้ให้กินในคำเดียว และมีมูสช็อกโกแลตซึ่งไส้ด้านในมีขนมฟินองเซีย (Financier) กับ Salted Caramel หอมๆ เค็มๆ และมีพราลีนถั่วเฮเซลนัทด้วย และยังมี ทาร์ตสตรอเบอรีกับแคร็มพาทิสเซอรี่ หรือวานิลาคัสตาร์ดข้นๆ และขนมอย่างสุดท้ายที่ประทับใจมากคือ ปารีสเบรสต์รสถั่วพิสตาชิโอ้ ขนมฝรั่งเศสที่ทำเป็นรูปวงล้อจักรยาน ไส้ครีมกาแฟเอสเปรสโซ ผสมพิสตาชิโอ้เช่นกัน

สำหรับใครที่ไม่อยากกินเนื้อสัตว์ ก็มี ชุดน้ำชายามบ่ายกิลท์ฟรี (Guilt-Free) สุดสร้างสรรค์ ให้เลือกอีกชุดในสนนราคาเท่ากัน (1,500++ ต่อ 2 คน) ถือเป็นวีแกน 100% ไม่มีเนื้อสัตว์ นม เนย ไข่ มี สโคนรสฟักทอง กับ สโคนแครนเบอรี กินกับคลอตเต็ดครีมมะพร้าว ส่วนในกระเปาะแก้วมีขนมทีเด็ด เชอรีอมารีนา เคี่ยวกับน้ำตาล สอดไส้มูสอัลมอนด์มิลค์ อีกอย่างเป็น มูสมะพร้าว เปลือกทำจากช็อกโกแลต 100% ส่วนเนื้อมะพร้าวเป็นครีมเฮเซลนัทกับมะม่วงหิมพานต์ โปะหน้าด้วยเสาวรสและสับปะรดซึ่งใช้กรรมวิธีคอมเพรซ (compression) ในถุงสุญญากาศกับเมเปิ้ลไซรัปและน้ำมะนาว นอกจากนี้ ยังมีขนมของว่างอื่นๆ ในชุดอีกมากมาย

สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าได้ชมชิมแชะภาพเอง เอาเป็นว่ารีบจองล่วงหน้าโดยด่วนที่เบอร์ 0-2095-9999 แล้วจะได้รู้ซึ้งถึงคำว่า สวยทั้งรูป กินก็อร่อยมันเป็นอย่างไรนะจ๊ะ

ชีวา ชุดน้ำชายามบ่าย (Chevaa Afternoon Tea)
โรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ (Sindhorn Kempinski Hotel Bangkok)

ที่ตั้ง ล็อบบี้เลานจ์ โรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ 80 ซอยต้นสน ถนนหลังสวน ลุมพินี ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

โทร 0-2095-9999

เปิดบริการ 14.00-17.00 น. ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์

แนะนำ ชุดน้ำชายามบ่าย Indulgence 1,500 บาท++ สำหรับ 2 คน

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
ขนมหวานของว่างสุดเก๋
มาสคาร์โปเนครีมหอมมัน แยมสตรอว์เบอร์รี และเลมอนครีม
สโคนและขนมปังบริยอชหน้าเฟยทีนกรอบๆรสเนยถั่ว
จุดถ่ายรูปยอดนิยม
จุดถ่ายรูปยอดนิยม

คอลัมน์ ตามรอยพ่อไปชิม : ตระเวนย่านเก่ายามราตรี หมูตุ๋นเอ็นตุ๋นน้ำแดงหม้อดิน เยาวราช ขนมครกเชลล์ชวนชิมคุณน้อยบ้านหม้อ

ตระเวนย่านเก่ายามราตรี – ใครเพิ่งมาท่อง เยาวราช ยามราตรีในช่วงนี้กันบ้าง นับเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เดินตระเวนชิมช่วงหัวค่ำ ผู้คนบางตาลงอย่างเห็นได้ชัด ยกเว้นวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ที่บรรดาพวกเราชาวไทยยังออกมากระทบไหล่เบียดเสียดหาของกินกันอย่างแน่นขนัด

เดี๋ยวนี้การเดินทางมาเยาวราชสะดวกสบาย ขึ้น รถไฟฟ้ามหานครสายสีน้ำเงิน มาที่ สถานีวัดมังกร แล้วเดินทะลุซอยมาที่เยาวราช ถ้าใช้รถส่วนตัวให้มาตามทางวันเวย์ของถนนเยาวราช แล้วเลี้ยวขวาที่ แยกเฉลิมบุรี เข้าถนนทรงสวัสดิ์ แล้วมองหาช่องทางเข้าทางขวามือเลยเพื่อเข้า ลานจอดรถเฉลิมบุรี กลางแจ้ง จุได้ราว 70 คัน ค่าจอดชั่วโมงละ 30 บาท หรือจะไปจอดในตึกจอดรถ วัดชัยภูมิการาม ถนนเยาวพานิชย์ ฝั่งซ้ายของถนนเยาวราชก็ได้

ร้านอร่อยริมทางยามราตรีที่เป็นจุดหมายของเราในวันนี้คือร้านซึ่งมีชื่อยาวเหยียดว่า หมูตุ๋นเอ็นตุ๋นน้ำแดงหม้อดิน เยาวราช (เจ้าเก่าบางรัก) ขายมา 50 ปี เป็นเจ้ารถเข็นสตรีทฟู้ดริมทางฝั่งซ้ายของถนนเยาวราช ติดกับหน้าร้าน หมูแผ่นลิ้มจิงเฮียง เยื้องกับธนาคารกสิกรไทยสาขาเยาวราช ก่อนถึงตลาดเก่านิดเดียว (ที่มีร้านแกงกะหรี่นายโย่งกับกวยจั๊บนายเล็กอ้วน)

เจ้าของร้านนี้คือ คุณพี่อุไรวรรณ บุญปฏิมากร เล่าให้เราฟังว่า เริ่มแรกพี่ชายของแฟนขายอยู่ที่บางรัก นักเรียนเก่าอัสสัมชัญสมัยนั้นรู้จักกันดี ซึ่งในภายหลังคุณอุไรวรรณก็มาช่วยขายด้วยตั้งแต่ยังสาวอายุ 24 ปี และได้สืบทอดกิจการต่อมา จนบัดนี้อายุ 60 ปีแล้ว ซึ่งได้ย้ายจากบางรักมาอยู่ที่เยาวราชได้ 25 ปี ดังนั้น เดี๋ยวนี้คนจึงรู้จักกันในชื่อ หมูตุ๋นเยาวราช และ หมูตุ๋นเอ็นตุ๋นน้ำแดงหม้อดิน เยาวราช

แค่ขายเมนูเดียวก็โด่งดังมีลูกค้าขาประจำติดกันงอมแงม เมนูที่ว่านี้คือ หมูตุ๋นเอ็นตุ๋นน้ำแดงหม้อดิน หรือ เกาเหลาหมูตุ๋นเอ็นตุ๋น (100 บาท) กินกับข้าวสวยร้อนๆ (5 บาท ใส่ถุง 10 บาท) เครื่องเคราที่ใส่มี 3 อย่าง ประกอบด้วย หมูตุ๋น ซึ่งเป็นส่วนของ เนื้อขั้วตับ ตุ๋นตั้งแต่ตอนเที่ยงนานหลายชั่วโมงจนเปื่อยนุ่ม ส่วนที่เป็นพังผืดกินแล้วแทบละลายในปาก และก็มี เอ็นตุ๋น เป็นส่วนเอ็นคากินุ่มเด้ง อีกทั้ง ลูกชิ้นหมู ที่รับมาจากพี่ชาย ถ้าติดใจอยากซื้อต่างหากคิดลูกละ 4 บาท

ความอร่อยไม่ได้มีเพียงแค่นี้นะจ๊ะ ตัวน้ำแดงก็มีรสชาติกลมกล่อมหวานหอมเครื่องยาจีนนิดๆ กลิ่นไม่แรงเลย เวลาซดรู้สึกมีบอดี้ (ขอยืมสำนวนฝรั่งมาใช้) ครบเครื่องหอมอร่อยเต็มคำ นับเป็นสูตรลับของครอบครัว จะกินเปล่าๆ ก็อร่อย หรือคนชอบรสจัดก็ให้ปรุงด้วยพริกน้ำส้มกับพริกยอดสนคั่ว แค่นี้ก็อร่อยเหาะแล้ว

ข่าวดีคือช่วงนี้ที่ร้านเปิดให้นั่งกินได้แล้ว (ก่อนหน้านี้ให้ซื้อกลับบ้านอย่างเดียว) โดยปรับเปลี่ยนมาขายเร็วขึ้นเป็น 6 โมงครึ่งตอนเย็นไปจนถึง 5 ทุ่มครึ่ง หยุดทุกวันจันทร์ ถ้ามาก่อน 4 ทุ่ม จะมีโต๊ะให้นั่งแค่ 2 ตัว หลังจากนั้นจึงจะขยายเป็น 8 ตัว โทรสอบถามได้ที่ 08-0617-0045 และ 08-6989-9368

อิ่มของคาวก็ต้องต่อด้วยของหวาน ขอพาออกเดินทางกันต่อมาที่ย่าน ถนนบ้านหม้อ เพราะมีของดีที่ได้รับเชลล์ชวนชิมจากคุณชายถนัดศรีมาตั้งแต่ พ.ศ.2528 มีชื่อว่า ขนมครกเชลล์ชวนชิมคุณน้อยบ้านหม้อ

ย่านถนนบ้านหม้อยามค่ำคืนดูค่อนข้างเงียบเหงาต่างจากช่วงกลางวันอย่างเห็นได้ชัด แต่ขาประจำทราบกันดีว่าท่ามกลางความมืดมิดตั้งแต่ช่วงโพล้เพล้ 6 โมงเย็นไปจนถึง 3 ทุ่ม จะมีผู้คนมาต่อคิวยืนรอกันอย่างใจเย็นเพื่อรอซื้อขนมครกกลับบ้าน

เอ็น(คากิ)ตุ๋น
04MooToonEnToon

ร้านนี้มีความผูกพันกับคุณชายถนัดศรีเป็นอันมาก พ่อถึงขนาดมาชักชวนให้ไปขายที่ศูนย์อาหารเชลล์ชวนชิมแห่งแรกของประเทศไทยในยุคนั้นด้วยตัวเอง ที่ศูนย์การค้ามาบุญครองในปี 2528 ยังจำภาพคนกินยืนเบียดเสียดรอคิวซื้อแน่นขนัดราวกับอยู่ในงานคอนเสิร์ตได้แจ่มชัด

เจ้าของร้านนี้ยังเป็นคนเดิมคือพี่เปี๊ยกกับพี่น้อย คุณสุขุมและคุณสมพร จินตบุบผา พื้นเพเป็นคนอัมพวาและบางคนที สมุทรสงคราม ซึ่งพี่เปี๊ยกเข้ากรุงมาเป็นช่างทองตั้งแต่ปี 2500 ทำสร้อยทองและทำแหวน มีลูกน้อง 10 คน ต่อมาธุรกิจล้มมีหนี้นับล้าน พี่เปี๊ยกกับพี่น้อยจึงหันมาเอาดีด้านทำขนมครก ขายมานาน 50 ปี มีช่วงที่ขายและช่วงที่หยุดพักมั่ง ในที่สุดก็ปลดหนี้ได้ทั้งหมด

ปัจจุบันนี้ร้านขนมครกคุณน้อยบ้านหม้อจะขายอยู่ที่ริม ถนนบ้านหม้อ ที่เดียว ทางไปนั้นเริ่มต้นจาก สี่แยกพาหุรัด เข้าถนนตรีเพชร ตรงด้านข้างดิโอลด์สยาม แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยแรกตรงข้ามดิโอลด์สยามชื่อ ซอยทิพย์วารี ซึ่งเป็นซอยวันเวย์สั้นๆ พอสุดทางเลี้ยวขวาเข้า ถนนบ้านหม้อ ร้านขนมครกคุณน้อยบ้านหม้อจะอยู่บน ทางเท้าหน้าร้านอมรอีเล็คโทรนิคส์ อะไหล่เครื่องซักผ้า พอดี ช่วงค่ำจอดรถในซอยหรือริมถนนได้เลย

สูตรทำขนมครกอาศัยจากในวัยเด็กดูคุณยายทำ ใช้วิธีครูพักลักจำ ความโดดเด่นที่ไม่เหมือนใครของขนมครกคุณน้อยบ้านหม้อนั้นอยู่ที่จะใช้ ชันไม้ ก้อนสีส้มอ่อนๆ ซึ่งคือยางไม้จากต้นจิก (ไม้เต็ง-รัง) ทาและเช็ดที่เบ้าขนมครกก่อน เพื่อให้มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

ลูกชิ้นหมูเด้งอร่อย

ส่วนแป้งขนมครกนั้นทำจากข้าวสารแช่น้ำนาน 5 ชั่วโมงผสมข้าวสุกทิ้งไว้ให้เย็นและเนื้อมะพร้าวแก่บดนิดหน่อย ซึ่งจะเตรียมตอนกลางวันช่วงเที่ยงถึงบ่าย 2 โมง และกะทินั้นก็ขูดมะพร้าวเองผสมน้ำใบเตย คั้นกะทิเอง โดยปรับมะพร้าวจาก อ.ดำเนินสะดวก ราชบุรี รวมทั้งพริก หอม กระเทียม อีกด้วย เพราะที่ร้านนี้ช่วงกลางวันจะขายข้าวแกงอยู่ในตรอกข้างๆ ด้วย

พอ 6 โมงเย็นก็จะออกมาตั้งเตาถ่าน นั่งขายขนมครกริมทางอยู่ข้างเจ้ารถเข็นก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ วางป้ายเล็กๆ เขียนว่าขนมครกเชลล์ชวนชิมคุณน้อยบ้านหม้อ ซึ่งต่อไปผมจะเปลี่ยนเป็นป้ายเชลล์ชวนชิมยุคใหม่ให้พี่เปี๊ยกกับพี่น้อยด้วย

โดยทำแค่ 2 เตาวนไป ถ้าอยากกินต้องรอนานสักหน่อย ซึ่งใครอยากสั่งล่วงหน้าให้โทรมาที่เบอร์ 08-4222-6200 สนนราคากล่องละ 20 บาท มี 6 คู่ ขนมครกโรยหน้าด้วยต้นหอม แป้งนุ่มปนกรอบ กะทิหอมหวานมัน ถ้าทนรอไม่ไหวก็มีบัวลอยให้ชิมต่างหาก ถ้วยละ 20 บาทเช่นกัน

ร้านขนมครกคุณน้อยบ้านหม้อจะขายแค่คืนละ 3 ชั่วโมง 6 โมงเย็นถึง 3 ทุ่มเท่านั้น หยุดทุกวันอาทิตย์ ของกินดั้งเดิมแบบนี้ ควรรีบไปอุดหนุนและช่วยกันอนุรักษ์ไว้นะจ๊ะ

หมูตุ๋นเอ็นตุ๋นน้ำแดงหม้อดิน เยาวราช
(เจ้าเก่าบางรัก)

โดย คุณอุไรวรรณ บุญปฏิมากร

ที่ตั้ง หน้าร้านหมูแผ่นลิ้มจิงเฮียง ถ.เยาวราช จักรวรรดิ สัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ 10100

โทร 08-0617-0045, 08-6989-9368

เปิดบริการ 18.30-23.30 น. ทุกวัน

หยุด จันทร์

แนะนำ หมูตุ๋นเอ็นตุ๋นน้ำแดงหม้อดิน

ขนมครกเชลล์ชวนชิมคุณน้อยบ้านหม้อ

โดย คุณสุขุม-สมพร จินตบุบผา

ที่ตั้ง หน้าร้านอมรอีเล็คโทรนิคส์ อะไหล่เครื่องซักผ้า ปาก ซ.ทิพย์วารี ถ.บ้านหม้อ วังบูรพาภิรมย์ พระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทร 08-4222-6200

เปิดบริการ 18.00-21.00 น. จันทร์-เสาร์

หยุด อาทิตย์

แนะนำ ขนมครกทาเบ้าด้วยชันไม้

Facebook ขนมครกเชลล์ชวนชิม คุณน้อยบ้านหม้อ

ชันไม้สำหรับทาเบ้าขนมครก
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
กุ้งรูลวก

ถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล หรือเรียกสั้นๆ ว่า ถนนเทียนทะเล ทอดยาวจากถนนพระราม 2 ไปจนถึงชายทะเลบางขุนเทียน ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยร้านอาหารทะเลมากมาย ถึงขนาดที่ว่าแวะตระเวนชิมได้ไม่ซ้ำร้านนานเป็นเดือนๆ ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์จะมีผู้คนไปอุดหนุนกันอย่างคึกคักแทบทุกร้าน

มีร้านอาหารทะเลอยู่เจ้าหนึ่งซ่อนตัวอยู่ใน ซอยเทียนทะเล 25 ไม่ได้อยู่บนถนนสายหลัก แต่ถึงกระนั้นก็มีลูกค้าดั้นด้นซอกแซมตามไปชิมกันเต็มร้านในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์และวันนักขัตฤกษ์ เพราะมีอาหารทะเลสดๆ ดีๆ ราคาสบายกระเป๋า มีเมนูพิเศษไม่เหมือนใครที่สมควรนำมาบอกต่อ ร้านนี้มีชื่อว่า ครัววาสนาซีฟู้ด เป็นของคุณหนุ่ม เกื้อกูล ชิวชาวนา ทำร้านอาหารมานานกว่า 20 ปี โดยมีหยุดพักเว้นช่วงไปทำฟาร์มเลี้ยงกุ้งอยู่ 5 ปี แล้วกลับมาทำร้านใหม่

ตัวร้านเป็นเรือนไม้โปร่งโล่งชั้นเดียวรับลมเย็นสบาย ยื่นไปเหนือพื้นน้ำซึ่งเป็นวังกุ้งและหอยแครงของคุณหนุ่มเอง คำว่าวังกุ้งหมายถึงบ่อที่เปิดให้ลูกกุ้งลูกปลาลูกหอยธรรมชาติเข้ามาจากทะเล แล้วกักเก็บไว้ ปล่อยให้น้ำขึ้นน้ำลงไหลเข้าออกตลอดเวลา (แต่มีอวนปากบ่อเหมือนเป็นวาล์วปิดไม่ให้ลูกกุ้งย้อนกลับไปสู่ทะเลได้) ไม่จำเป็นต้องให้อาหารใดๆ รสชาติของกุ้งหอยปลาในวังกุ้งจึงอร่อยกว่ากุ้งจากบ่อที่เลี้ยงกันเป็นฟาร์ม

ทางไปร้านนี้จากถนนพระราม 2 ขาออก เข้าทางคู่ขนาน พอเลยบิ๊กซีพระราม 2 ให้เลี้ยวซ้ายเข้า ถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล วิ่งไปประมาณ 11 กม. แล้วเลี้ยวซ้ายเข้า ซอยเทียนทะเล 25 ลัดเลาะไปตามทางประมาณ 3.6 กม. ก็ถึงร้านครัววาสนาซีฟู้ดทางขวามือ จอดรถหน้าร้านได้เลย เปิด Google Maps ดีที่สุดเพราะมีบางช่วงในซอยต้องเลี้ยวขวาที่สามแยก

มาแล้วห้ามพลาดเมนูชื่อไม่คุ้นเคย กุ้งรูลวก (จานละ 250 บาท ให้กุ้งครึ่งกิโล) หมายถึงกุ้งตัวเล็กๆ ที่อาศัยอยู่บนพื้นดินในน้ำธรรมชาติ ชาวบ้านเรียกว่ากุ้งรู พอลวกแล้วเนื้อจะนุ่มหวานสดอร่อยมากๆ จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ดกินเพลินจนต้องสั่งเพิ่มเป็นจานที่สอง คุณหนุ่มบอกว่ายังพอหาได้ตามธรรมชาติในพื้นที่แถบนี้

ถ้าชอบกรอบๆ ให้สั่ง กุ้งรูทอด (250 บาท) ซึ่งจะใช้กุ้งรูขนาดเล็กกว่ากุ้งรูลวก เพราะจะทอดกรอบกินได้ทั้งเปลือกและหัวกุ้ง แนะนำว่าให้สั่งมาทั้งสองอย่างดีกว่า เพราะของดีเช่นนี้หากินได้ยาก

ของทะเลสดๆ คุณภาพดีทำอะไรก็อร่อย คนชอบกินปูต้องสั่ง ปูไข่นึ่ง (ตัวละ 3-4 ขีด กิโลกรัมละ 1,500 บาท) และ ปูเนื้อนึ่ง (ตัวหนัก 5 ขีด กิโลกรัมละ 1,200 บาท ตัวหนัก 6 ขีด กิโลกรัมละ 1,300 บาท) ปูไข่มีไข่เต็มกระดอง ปูเนื้อมีมันปูหอมมันสุดสุด ควรสั่งมาทั้งคู่เช่นกัน

ปลากะพงทอดน้ำปลา (ตัวขนาด 1 กิโลกรัม 350 บาท ถ้าตัวใหญ่กว่านี้เล็กน้อยจะคิดขีดละ 35 บาท) ก็เนื้อฟูสุดสุด ใช้ปลาสดๆ จากย่านนี้ ซึ่งทอดได้เก่งมาก คุณหนุ่มบอกเคล็ดลับว่าน้ำมันต้องร้อนจนถึงจุดเกิดควัน กินเปล่าๆ ไม่ต้องราดน้ำปลาที่แยกใส่ถ้วยมาให้ก็อร่อยแล้ว

 

กุ้งรูทอด
ปลากะพงทอดน้ำปลา
หมึกผัดไข่เค็ม

อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ต้องสั่งด้วยก็คือ ปลาดุกทะเลผัดฉ่า (200 บาท) เนื้อมันๆ สุดยอด ผัดฉ่าได้เข้มข้นร้อนแรงมาก โดยใช้วิธีโขลกเครื่องต่างๆ เช่น กระชาย กระเทียม พริกไทย เปราะหอม (ขาดไม่ได้) ให้ละเอียด นำไปผัดให้ถึงเครื่องข้นๆ และเติมน้ำซุปลงไป พอน้ำงวดก็ใส่ใบมะกรูดและใบกะเพรา ถ้าวันไหนปลาดุกมีไข่ (เมนูนี้มีเป็นบางวัน) ให้สั่ง ยำไข่ปลาดุกทะเล (150 บาท) ยำใส่มะม่วงกับหอมแดง ไข่เม็ดโตมากๆ เท่าเมล็ดข้าวโพด

ต่อกันด้วย หมึกผัดไข่เค็ม (180 บาท) ลวกหมึกได้สุกกำลังพอดีนุ่มๆ แต่ไม่เหนียว ใช้หมึกกล้วยจากชาวประมงเรือเล็กเจ้าประจำที่แม่กลอง ผัดกับไข่เค็มที่ไข่แดงสีแดงสดๆ หน่อย

เมนูอาหารทะเลอื่นๆ มีอีกหลายอย่าง เช่น ปลากะพงผัดพริกขี้หนู (ตัวขนาด 1 กิโลกรัม 350 บาท หรือตามขนาด) ทอดได้กรอบนอกนุ่มในใส่เครื่องไม่ยั้ง

หอยแครงลวก (จานละ 150 บาท) หอยแครงไซซ์ 70-80 ตัวต่อกิโลกรัม งมจากในวังกุ้งของตัวเองจึงสดหวาน ลวกมาสุกไม่มากมีเลือดซิบๆ

กุ้งแชบ๊วยผัดพริกขี้หนู (450 บาท) ความจริงคือกุ้งชีแฮ้ หางแดงๆ เนื้อแน่นสด ผัดใส่พริกขี้หนูเม็ดเล็กๆ กระเทียม พริกไทยกับพริกไทยอ่อน ใบมะกรูด ใบกะเพราหอมๆ ปลูกเองแถวนี้ ปรุงด้วยน้ำปลาในพื้นที่ ส่วนของน้ำๆ ซดๆ เราสั่ง ต้มยำปลาเก๋าน้ำใส (หม้อละ 200 บาท) นอกจากนี้ ยังมี โป๊ะแตก (150 บาท) ด้วย

ปูไข่นึ่ง

บางครั้งจะมีอาหารนอกเมนู ถ้าจับปลากุเลาธรรมชาติในวังกุ้งขึ้นมาได้ ก็จะนำมาทำเมนู กุเลาผัดกะเพราพริกขี้หนู (200 บาท) คั่วแห้งๆ จนเนื้อปลาแตกตัวเป็นชิ้นเล็กๆ ถึงเครื่อง

ร้านอาหารทะเลใกล้กรุงเมนูบ้านๆ สดอร่อยอย่างนี้ อยากขอเชิญให้ตามมาชิมที่ครัววาสนาซีฟู้ด ตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 3 ทุ่มครึ่งทุกวัน โทร 0-2452-3745 และ 08-9151-1774 ช่วงเทศกาลวันแม่อย่างนี้ที่ร้านคงจะแน่นน่าดู ควรรีบไปตั้งแต่ตอนเปิดร้าน โดยจะหยุดทุกวันพฤหัสบดีที่ 2 และ 4 ของเดือน แต่ถ้าตรงกับวันนักขัตฤกษ์จะไม่หยุดนะจ๊ะ

โดย คุณเกื้อกูล (หนุ่ม) ชิวชาวนา

ที่ตั้ง 167 หมู่ 1 ซอยเทียนทะเล 25 ถนนบางขุนเทียนชายทะเล ต.บ้านคลองสวน อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ 10290

โทร 0-2452-3745, 08-9151-1774

เปิดบริการ 10.00-21.30 น. ทุกวัน

หยุด พฤหัสบดีที่ 2 และ 4 ของเดือน (ถ้าตรงวันนักขัตฤกษ์จะไม่หยุด)

แนะนำ กุ้งรูลวก กุ้งรูทอด ปูไข่และปูเนื้อนึ่ง ปลากะพงทอดน้ำปลา ปลาดุกทะเลผัดฉ่า ยำไข่ปลาดุกทะเล หมึกผัดไข่เค็ม ปลากะพงผัดพริกขี้หนู หอยแครงลวก กุ้งแชบ๊วย (ชีแฮ้) ผัดพริกขี้หนู กุเลาผัดกะเพราพริกขี้หนู

ครัววาสนาซีฟู้ด
ปลากะพงผัดพริกขี้หนู
ยำไข่ปลาดุกทะเล
กุเลาผัดกะเพราพริกขี้หนู
กุ้งผัดพริกขี้หนู
หอยแครงลวก
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)

นับเป็นครั้งแรกที่ปิ่นโตเถาเล็กแนะนำกาแฟในร้านกาแฟอย่างจริงจัง เนื่องจากมีความประทับใจใน ร้านนานาคอฟฟี่โรสเตอร์ (Nana Coffee Roasters) เป็นอันมาก ร้านนี้ตั้งอยู่ในโครงการเล็กๆ ชื่อว่า Niche 3 ริมถนนประดิษฐ์มนูธรรม (หรือถนนเลียบด่วนเอกมัย-รามอินทรา) ฝั่งขาออก เข้าได้จากถนนใหญ่ ทางเข้า เลยซอยประดิษฐ์มนูธรรม 3 มาเพียง 50 เมตร (ถ้าขับเลยไปให้เลี้ยวเข้าซอยประดิษฐ์มนูธรรม 5 แล้ววิ่งย้อนกลับมาด้านหลังได้)

Nana Coffee Roasters ครบครันขึ้นชื่อในเรื่องกาแฟทุกๆ องค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น เมนูกาแฟซิกเนเจอร์หลากหลาย เป็นแหล่งรวมเมล็ดกาแฟหรือกาแฟคั่วบดชนิด Single Origin กาแฟสายพันธุ์เดียวชั้นเลิศ มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัวจากแหล่งเพาะปลูกขึ้นชื่อทั่วโลก อีกทั้งยังเก่งกาจเรื่องการนำเมล็ดกาแฟหลายชนิดมาผสมหรือ เบลนด์ (Blend) ได้อย่างลงตัว ถูกใจคอกาแฟทั้งมือใหม่หัดชิมไปจนถึงกูรูนักชิมกาแฟ

ข้อสำคัญคือ Nana Coffee Roasters คือศูนย์รวมของผู้ทำร้านกาแฟฝีมือขั้นเทพ ทั้งคุณกุ้ง (ชาย) วรงค์ ชลานุชพงศ์ คิวเกรดเดอร์ (Q Grader) หรือคอฟฟี่ฮันท์เตอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการชิมกาแฟและคัดสรรเมล็ดกาแฟ (โดยมีเกณฑ์ให้คะแนน 20 หัวข้อ) ซึ่งมีเพียงไม่กี่พันคนในโลกนี้

อีกทั้งน้องกุ้ง (หญิง) กานดา โทจำปา แชมป์บาริสต้าประเทศไทย 2019 (Thailand National Barista Champion 2019) และน้องแนต กษมา กันบุญ แชมป์โลกกาแฟไซฟ่อน 2018 (World Siphonist Champion 2018) เธอมาสมัครงานที่นานาฯครั้งแรกโดยขอฝึกงานไม่รับค่าจ้าง ด้วยความทุ่มเททั้งกายและใจ ม้านอกสายตาคนนี้จึงคว้าแชมป์ไซฟ่อนโลกที่กรุงโตเกียว มาได้ดังใจหมาย มาที่นี่นอกจากได้ลิ้มลองดื่มด่ำสุดยอดกาแฟยังได้พูดคุยกับผู้รู้ตัวจริงอีกด้วย

ชื่อนานานั้นมาจากชื่อลูกสาวของคุณกุ้งทั้งสอง ร้านใหม่ที่ย้ายมานี้เปิดมาได้ 1 ปีเศษ คอนเซ็ปต์การตกแต่งด้วยอิฐในโทนสีอิฐและสีเขียวอ่อน เดินท่อไปทั่วเพดานร้านเปรียบเสมือนเป็นท่อลำเลียงเมล็ดกาแฟของโรงคั่ว นั่งได้ทั้งชั้นล่างและชั้นลอย หรือในลานด้านนอก

Dirty (150 บาท) คือเมนูซึ่งผมชื่นชอบเป็นพิเศษ เหมาะสำหรับคนชอบกาแฟใส่นมหรือผู้ที่เป็นมือใหม่หัดชิม เป็นกาแฟคั่วกลางผสมคั่วเข้ม Brazil Blend ประกอบด้วยเมล็ดกาแฟสุมาตรา บราซิล และดอยช้าง บดละเอียดจนเป็นแป้ง และวิธีการชงนั้น คุณกุ้ง (ชาย) บอกว่าชงแบบนอกคอกคิดนอกกรอบ ชงนานถึง 60 วินาที จนได้ส่วนของน้ำมันหยดลงมาบนแก้วนมแช่เย็น 2 องศาเซลเซียส ที่แช่ทิ้งไว้ 1 คืน ลอยหน้าอยู่ด้านบน กลิ่นรสหอมมันเหมือนกินนมผสมช็อกโกแลต ห้ามพลาดเลย

ส่วนใครที่ต้องการปลุกตัวเองให้ตื่นและสดชื่น มีเมนู Wake Up (180 บาท) เครื่องดื่มเย็นทำจากกาแฟเอสเปรสโซ 30 ml ผสมน้ำส้มยูสุ เปรี้ยวหอมกำลังดี โรยหน้าด้วยบลูเบอรี่ สตรอเบอรี่ ทับทิม และส้มฝานทั้งเปลือก

สำหรับคอกาแฟนั้น ที่นานาฯมีกาแฟชนิด Single Origin หรือเมล็ดกาแฟสายพันธุ์เดียวชื่อดัง จากแหล่งเพาะปลูกเดียวทั่วโลก ถึง 30 กว่าชนิด (โดยนำมาโชว์ได้ครั้งละ 24 ชนิด) ให้เลือกชงได้ทุกรูปแบบเช่นดริป เอสเปรสโซ ไซฟ่อน (Syphon) และ french press เป็นต้น สนนราคา 180-600 บาทต่อแก้ว

รู้ไหมครับว่ากาแฟของไทยเราก็โดดเด่นมากเช่นกัน ขอแนะนำ Moonstone (250 บาท) อันเลื่องลือจากไร่กาแฟออร์แกนิคที่เชียงใหม่ของ คุณเอก สุวรรณโณ มีจุดเด่นที่กลิ่นหอมๆ ของลิ้นจี่และกุหลาบ

กาแฟไทยอีกตัวที่ห้ามพลาดคือ เกอิชา (Geisha หรือ Gesha) จากภูเขาสูง 1,400-1,600 เมตร ใน จังหวัดน่าน (300 บาท) ซึ่งคำว่าเกอิชานี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสาวงามในญี่ปุ่นแม้แต่น้อย แต่ต้นกำเนิดมาจากกาแฟพื้นเมืองบริเวณภูเขา Gesha ของเอธิโอเปีย ซึ่งตอนนี้โด่งดังที่ประเทศปานามา (ที่ร้านมีให้ลองเช่นกัน 300-450 บาท) ซึ่งกาแฟน่าน เกอิชา ตัวนี้ขึ้นชื่อเรื่องความหอมของ เอิร์ลเกรย์ พีช ส้ม และแอปริคอท

ส่วนเมล็ดกาแฟ Single Origin จากทั่วโลกนั้น คุณกุ้ง (ชาย) แนะนำตัวที่ขายดีมาจากคอสตาริก้า ชื่อว่า Costa Rica Canet Musician Series Mozart (250 บาท) จุดเด่นคือมีความหอมของกุหลาบ ดื่มแล้วรู้สึกครีมๆ เต็มปาก รสชาติไม่เปรี้ยวมากเหมาะกับคนไทย ซึ่งกาแฟซีรีส์นี้นอกจากจะตั้งชื่อตามโมซาร์ท นักดนตรีชื่อก้องโลกแล้ว ที่นี่ยังมีกาแฟตามชื่อนักดนตรีเอกบัค (Bach) อีกด้วย

กาแฟ Dirty
กาแฟน่าน เกอิชา

ซึ่งเราสั่งชงด้วย ไซฟ่อน (Syphon) ไปดูการทำได้เลยตอนชง หลักการคือต้มน้ำในกระเปาะแก้วด้านล่างให้เดือดด้วยตะเกียงอินฟราเรด น้ำจะดันตัวขึ้นไปกระเปาะแก้วด้านบนที่ใส่เมล็ดกาแฟคั่วบด บาริสต้าจะคนกาแฟด้วยความชำนาญ จนได้น้ำกาแฟที่ไหลกลับสู่ด้านล่าง

ดังนั้น ไหนๆ มาแล้ว ต้องสั่งเมนู World Syphon Blend (600 บาท) ซึ่งเป็นกาแฟที่ทำให้น้องแนตสามารถคว้าแชมป์โลกไซฟ่อนปี 2018 จากโตเกียว ใช้กาแฟไทยออร์แกนิค ไนน์ วัน (Nine one) จากจังหวัดเชียงใหม่ของคุณวัลลภ ปัสนานนท์ 50% เบลนด์กับกาแฟไทยน่าน เกอิชา 30% และเกอิชาจากปานามา 20% มีรสเปรี้ยวหอมคล้ายน้ำสับปะรด และมีกลิ่นสับปะรด พีช และฝรั่งไส้แดง ออกแนวผลไม้เมืองร้อน อยากรู้ซึ้งว่ากาแฟแชมป์โลกเป็นอย่างไร ต้องสั่งให้ได้นะจ๊ะ

นอกจากกาแฟแล้ว ผู้ที่ชอบดื่มชาให้ลอง Nitro Tea (200 บาท) เครื่องดื่มชาหอมเย็นสีแดง สกัดจากผลไม้ทั้ง ส้ม บลูเบอรี่ ตะไคร้ และกุหลาบ ใช้กรรมวิธีสกัดเย็นด้วยก๊าซไนโตรเจนโดยเครื่อง Nitro Cold Brew

ปลุกตัวเองให้ตื่นและสดชื่น ด้วย Wake Up

อยากตื่นตาตื่นใจให้นั่งหน้าเคาน์เตอร์บาร์ด้านล่าง มีเครื่องชงเอสเปรสโซเก๋ๆ ชื่อ Mod Bar ที่โผล่มาเฉพาะหัว ส่วยของบอยเลอร์อยู่ข้างล่าง อีกทั้งเครื่องชงชาร้อน สตีมพังค์ (Steampunk) สนนราคาเครื่องเท่ารถเก๋งชั้นดี ที่เราสั่ง Steampunk Tea (200 บาท) ใส่ในกาแก้วใสมาลองด้วย

Nana Coffee Roasters ยังมีกาแฟหลากหลายเมนู หลากหลายเทคนิคการชงให้เลือก ถ้าจะตามาชิมควรรีบไปแต่ตอนสายๆ จะดีที่สุด เพราะหลังจากช่วงเที่ยงที่จอดรถ 10 กว่าคันด้านหน้านั้นจะแน่นยิ่งกว่าเล่นเก้าอี้ดนตรี

ข่าวดีคือปีนี้ทางร้านจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 2 แห่งกับเพื่อนๆ ประมาณเดือนสิงหาคม ที่ถนนพรานนกสายใหม่ ในชื่อ Nana Hunter Coffee Roasters และเดือนตุลาคม อีก 1 สาขาใหญ่ที่ซอยอารีย์ 4 พหลโยธิน กับคุณหน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์ และคุณไก่ อรรควุฒิ สุวรรณประกร ในชื่อ Nana Coffee Roasters อารีย์ นี่คือร้านกาแฟดีๆ ที่ควรรีบตามไปลองนะจ๊ะ

Nana Coffee Roasters


โดย คุณวรงค์ (กุ้ง) ชลานุชพงศ์

ที่ตั้ง 445/8 โครงการ Niche 3 ถนนประดิษฐ์มนูธรรม วังทองหลาง กรุงเทพฯ 10310

โทร 08-8555-4724, 08-2626-6235 (คุณกุ้ง(หญิง))

เปิดบริการ 07.00-17.30 น. จันทร์-ศุกร์ / 08.00-17.30 น. เสาร์-อาทิตย์

แนะนำ Dirty, Wake Up, เมนูแชมป์โลก World Syphon Blend, กาแฟชนิด Single Origin ต่างๆ เช่น Moonstone น่าน เกอิชา Costa Rica Canet Musician Series Mozart ชา Nitro Tea และ Steampunk Tea

Moonstone อันเลื่องลือจากไร่กาแฟออร์แกนิกที่เชียงใหม่
เมนู World Syphon Blendของน้องแนท แชมป์โลก
Nitro Tea ชาสกัดจากผลไม้
เครื่องไซฟ่อนSyphon
ชาร้อน Steampunk Tea
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)

ไอศกรีมยุคนี้ไม่ได้เป็นแค่ไอศกรีมธรรมดาๆ บอกชื่อรสชาติตรงๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะไอศกรีม Guss Damn Good (อ่านว่า กั๊สส์ แดมน์ กู๊ด) ก้าวข้ามไปอีกขั้นหนึ่ง เป็น คราฟต์ไอศกรีม (Craft Ice Cream) รสชาติแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร แทนที่จะบอกรสชาติ กลับตั้งชื่อตามอารมณ์ความรู้สึกและเรื่องราวเบื้องหลัง ใช้ของดีจากธรรมชาติคุณภาพสูง ส่วนผสมวิธีการทำไม่เหมือนใคร สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับคนชิม จนตอนนี้มีสาวกแฟนคลับมากมาย

Guss Damn Good เกิดขึ้นได้ด้วยน้ำมือของหนุ่มสาวความคิดกว้างไกล 2 คน คือคุณระริน ธรรมวัฒนะ และคุณนที จรัสสุริยงค์ ฝ่ายชายเรียนวิศวะ ส่วนฝ่ายหญิงจบบัญชีไฟแนนซ์ แต่กลับสร้างสรรค์ไอศกรีมได้อย่างล้ำลึก

ตอนเรียนปริญญาโทอยู่ที่บอสตัน เกิดแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมการกินไอศกรีมสไตล์ปาร์ตี้สนุกสนานของคนเมืองนั้น จึงตระเวนชิมเข้าออกร้านหรือบาร์ไอศกรีมเป็นว่าเล่น นำตำรามาศึกษาอย่างถ่องแท้ ทดลองทำคิดสูตรไอศกรีม จนกลับมาเปิดร้านที่เมืองไทย เริ่มออกงานในปี 2558 และมีร้านไอศกรีมเล็กๆ เพียง 7 ตารางเมตรอีก 1 ปีถัดมา

ปัจจุบัน Guss Damn Good มีหน้าร้านทั้งหมด 9 สาขา ที่ศาลาแดงในอาคาร Wolf Pack ที่เพลินจิต Bar Storia del Caffe มหาทุนพลาซ่า ที่ The Commons ศาลาแดง (สาขานี้ทำเป็น บาร์ไอศกรีมซันเดย์ ย้อนวัย) The Commons ทองหล่อ (สาขานี้มีเมนู มิลค์เชค และ Affogato ราดซอสต่างๆ ด้วย) Eight ทองหล่อ (หน้าฟู้ดแลนด์) Emquartier (ทำเป็น คุกกี้บาร์) ชั้น G หน้า Gourmet Market เซ็นทรัลเวิลด์ชั้น 3 เมกา บางนาชั้น 2 ฝั่งอิเกีย และสามย่านมิตรทาวน์

ไอศกรีมของ Guss Damn Good มีความเนียนนุ่มเหนียว มีปริมาณไขมันมากกว่าไอศกรีมเจลาโต้ แต่เนื้อแน่นน้อยกว่าไอศกรีมอเมริกัน การตั้งชื่อไอศกรีมตามเรื่องราวและความรู้สึกนั้น ทำให้เราไม่สามารถคาดเดาถึงรสชาติได้ อีกทั้งจะไม่เติมสี จึงอาจจะเห็นรสชาติสีขาวเรียงรายอยู่ในตู้ถึง 5 ชนิด ก่อให้เกิดวัฒนธรรมที่ให้ลูกค้าทดลองชิมก่อนในช้อนเล็กๆ ได้อย่างเต็มที่ ชิมไปเถอะไม่ต้องเหนียมอาย เพราะพนักงานขายจะคะยั้นคะยอให้เราชิมได้ตามสบายจนพอใจ แค่นี้ก็รู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับการชิมมาก

ปัจจุบันนี้ไอศกรีม Guss Damn Good แบ่งหมวดหมู่ใหม่ง่ายๆ เป็น 3 ประเภท คือไอศกรีมซอร์เบต์ (Sorbet) ทำจากผลไม้ไม่ใส่นม และไอศกรีมทำจากนมเรียกว่า แดรี่ (Dairy) ปิดท้ายด้วยทิปซี่ (Tipsy) ที่แปลว่าโซเซ เป็นไอศกรีมผสมเหล้า (แต่ไม่ได้ผสมเยอะ) มีหมุนเวียนเปลี่ยนไปถึงกว่า 60 รสชาติ ทั้งไอศกรีมแบบตักเป็นสกู๊ป (สกู๊ปละ 85-95 บาท) และเป็นถ้วยๆ

โดยคุณระรินเสริมว่า รสชาติที่ต้องยืนพื้นเพราะลูกค้าถามหาตลอด คือ Don”t Give Up #18 ที่ทดลองทำลองผิดลองถูกมากกว่า 18 ครั้ง กว่าจะลงตัวรสชาติถูกใจ เป็นไอศกรีมสีขาวที่หอมนมมากๆ มีส่วนผสมของนมสดจากฟาร์มโคนมลพบุรี และครีมนำเข้าจากฝรั่งเศส

ต่อด้วยรสชาติที่ต้องมีตลอดคือ Here”s Your Damn Good Chocolate Ice Cream ดาร์กช็อกโกแลตเข้มข้น 70% จากเบลเยียม รสเข้มๆ และที่ประทับใจมากๆ เช่นกันคือ Maine Rocky Coast ไอศกรีมซีซอลต์ (Sea salt) รสเค็มๆ หอมๆ สอดแทรกด้วยอัลมอนด์บริทเทิล (almond brittle) ชิ้นเล็กๆ กรุบๆ ให้อารมณ์เหมือนอยู่ริมชายหาดโขดหินในรัฐเมน อร่อยเพลินหยุดไม่ได้จริงๆ อีกรสชาติที่ทำให้ผมตกหลุมรัก Guss Damn Good เป็นครั้งแรกก็คือ Bonfire ไอศกรีมคาราเมลไหม้ๆ นิดๆ รสเข้มๆ ทำจากคาราเมลที่นำน้ำ น้ำตาล และครีมมาเคี่ยวเท่านั้น คนรักก็รักลุ่มหลงเลย ส่วนคนที่ไม่ชอบก็มีบ้าง ดังนั้น จึงควรลองชิมก่อนว่าถูกใจหรือไม่

รสยอดนิยม Naugthy Honey และ In Good Hands

หรือถ้าชอบแนวผลไม้สดชื่น ก็มี Tokyo Mist ไอศกรีมยูสึ (Yuzu) รสเปรี้ยวหอมที่ทำจากยูสึถึง 3 ชนิด และที่กำลังมาแรงคือ In Good Hands เป็นไอศกรีม burnt vanilla ทำจากนมผสมวานิลลาชั้นเลิศแกะจากฝักของมาดาร์กัสการ์ หอมวานิลลาและมีกลิ่นรสเข้มๆ อร่อยเกินคำบรรยาย ใส่ถั่วพิสตาชิโอ้ (pistachio) แคนดี้เคี้ยวกรุบๆ ห้ามพลาดเลย

ซึ่งไอศกรีมบางรสชาตินั้นจะมีการคอลลาโบเรชั่น (collaboration) หรือเรียกสั้นๆ ว่า คอลแล็บ กับแบรนด์หรือพาร์ตเนอร์อื่นๆ เพื่อสื่อสารถึงคาแร็กเตอร์ของแบรนด์นั้นๆ ผ่านการชิมไอศกรีม ดังเช่น In Good Hands ที่ร่วมกับบริษัทตรวจสอบบัญชี Deloitte สื่อให้เห็นความเป็นมืออาชีพแต่มีความผ่อนคลายซุกซ่อนอยู่ในตัวด้วย

หรืออย่างเช่นรสชาติ A GOOD DAY ที่คอลแล็บกับ x Carnation Plus ออกรสชาติย้อนวัยที่คุ้นเคย รสนมเย็นผสมถั่วแมคคาเดเมีย และรสชาติ RISE AND SHINE ไอศกรีมนมผสมวานิลลาโอ๊ตมีลและคุกกี้โดกับนมข้นหวาน เปรียบเสมือนเด็กที่โตเป็นสาวไลฟ์สไตล์คนเมือง

การคอลแล็บนั้นไม่จำกัดอยู่แค่กับแบรนด์ต่างๆ มีแม้กระทั่งคู่บ่าวสาวขอให้ทำ รสชาติ Make a Toast ไปฉลองในงานแต่งงาน คือ ไอศกรีม Sorbet สตรอเบอรีผสมแชมเปญ คู่รักคู่นี้มองว่าการฉลองเกิดขึ้นได้ทุกวันเวลา จะเห็นได้ว่า Guss Damn Good เก่งมากในการเล่าเรื่องราวผ่านไอศกรีม ซึ่งรสชาติเหล่านี้จะมีขายที่ร้านตลอดไป นับเป็นเสน่ห์ของการทำตลาดที่ทันสมัยมาก

แต่ละรสชาติก็จะมีเสน่ห์ดึงดูดใจไปคนละแบบ เช่น Frozen Fenway ไอศกรีมมินต์คุกกี้ชิปส์สีขาว (เพราะไม่ผสมสี) ซึ่งมีขายเฉพาะเป็นถ้วยเท่านั้น ไม่มีตักขายเป็นสกู๊ป มิฉะนั้นกลิ่นมินต์หอมๆ จะแทรกไปอยู่ในไอศกรีมรสชาติอื่นๆ ทั้งตู้

ต่อด้วย Virgin Umeshu ไอศกรีมรสชาติเหล้าบ๊วยที่ไม่ได้ผสมเหล้าเลย Why Can”t Coffee Be White? ไอศกรีมรสกาแฟหอมๆ ที่ออกมาเป็นสีขาว ไม่ใช่สีกาแฟ B-Cube ไอศกรีม B ยกกำลังสาม คือไอศกรีม brown butter กับ brown sugar ใส่บราวนี่ (Brownie) ชิ้นเล็กๆ ให้ความหนึบหอมหวานมัน PB Jelly ไอศกรีมรสเนยถั่วแทรกด้วยเยลลีสตรอเบอรี Naughty Honey ไอศกรีมรสน้ำผึ้งที่หอมถูกใจมากๆ ทำจากน้ำผึ้งดอกลำไยผสม Honey comb แคนดี้หนึบๆ ที่ทำจากน้ำผึ้งตัวเดียวกัน

อีกไม่นาน Guss Damn Good จะออกไอศกรีมกาแฟรสชาติใหม่ ชื่อว่า Intro to Coffee สำหรับผู้เริ่มหัดกินรสกาแฟ คือ ไอศกรีมคาราเมลมัคคิอาโต้ (Caramel Macchiato) และรส Afternoon Kick เป็นไอศกรีมคอฟฟี่ซอร์เบต์ผสมซิตรัสหอมๆ กินแล้วปลุกให้ตื่น

เรื่องการขายนั้นที่ร้านพิถีพิถันมาก ถ้าสั่งไอศกรีม 2 ลูก พนักงานจะทราบเลยว่ารสไหนต้องอยู่ด้านล่าง รสไหนต้องอยู่บน เพราะควรจะกินก่อนรสชาติเบาๆ ข้างบนก่อน นอกจากนี้ ยังมีบริการส่งถึงบ้านหรือที่ทำงานด้วย ซึ่งน้องระรินจะถามย้ำเสมอว่าจะกินจริงกี่โมง เพราะต้องกะเวลาในการส่งด้วยการใส่น้ำแข็งแห้ง (ไม่ควรนานเกิน 2 ชั่วโมง) ให้ไม่ละลาย

ในปีนี้ (2563) จะไม่ขยายสาขาแต่เน้นอบรมพนักงานให้รู้จักวัฒนธรรมองค์กรอย่างเข้มข้นเพื่อการบริการที่ดียิ่งขึ้น สำหรับใครที่ชื่นชอบการกินไอศกรีมและยังไม่เคยลิ้มลอง Guss Damn Good ควรรีบตามไปชิม รับรองว่าจะได้ประสบการณ์แปลกใหม่ตื่นตาตื่นใจอย่างแน่นอน

ข้อมูลร้าน

Guss Damn Good

โดย คุณระริน ธรรมวัฒนะ และคุณนที จรัสสุริยงค์

โทร 0-2121-7138

ที่ตั้ง มี 9 สาขา

อาคาร Wolf Pack ศาลาแดง 10.00-22.00 น.

Bar Storia del Caff มหาทุนพลาซ่า 10.00-21.00 น.

The Commons ศาลาแดง 10.00-20.00 น.

The Commons ทองหล่อ 10.00-20.00 น.

Eight ทองหล่อ หน้า Foodland 10.00-21.00 น.

Emquartier ชั้น G หน้า Gourmet Market 10.00-21.00 น.

เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 3 10.00-21.00 น. และ 11.00-21.00 น.

เมกา บางนา ชั้น 2 ฝั่งอิเกีย 10.00-21.00 น.

สามย่านมิตรทาวน์ 10.00-21.00 น.

แนะนำ ไอศกรีม Guss Damn Good ทุกรสชาติ

IG : GussDamnGood

Line : @GussDamnGood

Facebook Guss Damn Good

ที่มา : คอลัมน์ตามรอยพ่อไปชิม มติชนรายวัน