จากคอลัมน์ กฤช เหลือลมัย นสพ.มติชน

 

บรรดาพืชที่ให้ประโยชน์ใช้งานทุกส่วน นอกจากกล้วย ต้นจาก และมะพร้าวแล้ว อีกอย่างหนึ่งเห็นจะเป็น ต้นตาล (Toddy palm) นะครับ แม้เดี๋ยวนี้พอพูดถึงต้นตาลก็มักคิดถึงแต่เพชรบุรี ทว่า สมัยก่อน ตาลปลูกกันทั่วไป แถบอีสานก็ปรากฏชื่อ “บ้านโตนด” มากมายหลายแห่ง มันเป็นคำเขมรที่ใช้เรียกต้นตาลนั่นเอง ผลผลิตสำคัญของต้นตาลก็คือน้ำตาล ซึ่งอาจคิดเล่นๆ ได้ว่ามันคงเป็นของหวานชนิดแรกๆ ที่ผู้คนแถบภาคกลางขึ้นไปเอามาใช้กระมัง ถึงได้เรียกติดปากว่าน้ำ “ตาล” ไงล่ะครับ

นอกจากน้ำตาลจากงวงตาล ยังมีลูกตาล ที่กินได้ตั้งแต่ลอนตาลอ่อน จาวตาล น้ำเนื้อจากเนื้อใต้เปลือกตาลเอามาทำขนมตาล หัวตาลอ่อนฝานหรือขูดฝอยทำแกงคั่วหรือยำใส่ใบอ่อนมะสังแบบปักษ์ใต้ ยังไม่ต้องนึกถึงลำต้นตาลทำครกทำสาก หรือใบตาลทำพัด และตาลปัตรของพระภิกษุสงฆ์ ทางตาลแห้งเอาทำเก้าอี้ ฯลฯ นะครับ

ในบรรดาเหล่านี้ ผมชอบเอาหัวตาลอ่อนมาแกงคั่วกินที่สุดเลย

ถ้าใครไปเที่ยวเมืองเพชร แล้วแวะกินข้าวแกงข้างทาง ก็มักจะเปิดเจอหม้อหนึ่งเสมอที่เป็นแกงคั่วกะทิสีส้มอ่อนๆ ไม่มันมาก อาจแกงหมูย่าง ปลาย่าง กับหัวตาลอ่อน ที่แม่ค้าจะต้มจนเหลือรสขมฝาดบางๆ เจือหวานมัน เป็นสำรับขึ้นชื่อของข้าวแกงเมืองเพชรทีเดียว อย่างไรก็ดี รสมือชาวเมืองเพชรมักติดหวานนำค่อนข้างมาก ก็น้ำตาลเขาแยะนี่ครับ ตอนปรุงจะยั้งมือทำไมเล่า ถ้าเราไม่ชอบหวานก็ต้องมาทำกินเอง

วันก่อน ผมไปได้หัวตาลอ่อนจากแม่ค้าเพชรบุรีที่ ตลาดอมยิ้ม วัดตลาดควาย อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี เขาหั่นบางๆ ต้มมาเรียบร้อยดีทีเดียว ความอยากกินแกงคั่วซึ่งมีมากมายมหาศาล ทำให้ผมจัดแจงอบปลากุเราสดในกระทะเคลือบจนเนื้อแข็งแห้งดี แกะเอาแต่เนื้อเป็นชิ้นใหญ่ๆ ไว้

ผมมีน้ำพริกแกงเผ็ดที่ชาวบ้านหนองกระทุ่ม ริมทุ่งจอมบึงเขาตำมือมาขายในตลาด แต่เขาตำเพียงหยาบๆ ครับ ผมนั้นอยากให้แกงหม้อนี้เนื้อเนียนๆ เลยเอาลงครกหินตำต่อจนละเอียด

รากกระชาย ตำให้ละเอียดเช่นกัน ใช้เพิ่มกลิ่นหอมและรสเผ็ดซ่า

น้ำปลาร้า เราจะต้มกรองจากปลาร้าตัวๆ หรือสะดวกใช้แบบขวดก็ได้ครับ แต่เลือกเอาที่เขาปรุงรสน้อยที่สุดก็แล้วกัน

นอกจากนั้นก็มีกะทิสด เกลือ แล้วก็ใบมะกรูด

แกงคั่วทำง่ายครับ หัวใจของมันก็คือการ “คั่ว” แกงไปนานๆ โดยเริ่มจากเทหางกะทิใส่หม้อ ตั้งไฟ เติมเกลือ ปลาย่าง (อบ) ลงไปเคี่ยวก่อน เนื้อจะได้นุ่มขึ้น (ในกรณีที่เราย่างหรืออบจนเนื้อปลานั้นแข็งมาก) ใส่พริกแกงกับรากกระชายตำลงไปสักหน่อยก่อนก็ได้ครับ พอให้กลิ่นซึมเข้าเนื้อปลา รอสักครู่ใหญ่ๆ ก็ใส่หัวตาลอ่อนลงไป ปรุงรสเค็มด้วยน้ำปลาร้า เดาะน้ำตาลเล็กน้อย แค่นิดเดียวพอครับ ถ้าเราไม่ชอบกินหวาน

“คั่ว” แกงในหม้อของเราไปจนหัวตาลเริ่มนุ่ม ทีนี้ก็บรรจงเติมพริกแกงกับรากกระชายลงไปตามส่วน คั่วต่ออีกสักพัก ให้กะทิแตกมันลอยหน้าเพียงเล็กน้อย จึงเติมหัวและหางกะทิเพิ่มให้ได้ความข้นมันอย่างที่ต้องการ ปิดท้ายด้วยใบมะกรูดฉีก

การที่เราเติมรากกระชายตำ แล้วปรุงเค็มด้วยน้ำปลาร้า มันเลยทำให้ “แกงคั่วหัวตาล” ของเราหม้อนี้ รสชาติเหมือนน้ำยาขนมจีนสไตล์ภาคกลางมากๆ เลย แถมมีรสขมนัวๆ ตัดแก้เลี่ยนเสียด้วย ใครมีเส้นขนมจีนดีๆ จงหยิบเรียงใส่จาน ตักแกงนี้ราดชุ่มๆ ลองกินดูนะครับ

หากใครไม่ชอบกลิ่นและรสปลาร้า ก็ย่อมใช้น้ำปลาแทนได้เลยทีเดียว

หัวตาลอ่อนที่สุกนุ่มในน้ำแกงคั่วมันๆ หอมปลาย่าง หนักกลิ่นรากกระชายและปลาร้าดีๆ แบบหม้อนี้ มันหาตัวจับยากจริงๆ ครับผม

เช้าวันพุธที่ผ่านมา ผมไปเดินซื้อของที่ตลาดนัดประจำสัปดาห์ หน้าวัดจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี มา

ตลาดแห่งนี้ ผมต้องไปเดินช่วยแม่หิ้วของที่ซื้อกลับบ้านตั้งแต่เด็กๆ มาบัดนี้ รู้สึกว่าร้านรวงเพิ่มจำนวนขึ้นมาก ข้าวของที่ขายก็มากมายขึ้น ทั้งปริมาณและประเภท และถ้าเอาตามความเห็นผม ก็ขอโฆษณาเลยว่า ที่นี่มีกุ้งจ่อมและหอยดองซึ่งทำจากบ้านปากไก่ อำเภอปากท่อ วางขายมานาน รสชาติเปรี้ยวอร่อย หอมข้าวคั่ว แล้วก็ไม่ใส่สี เป็นของแบบที่ผมไม่เห็นมีขายที่ไหนเลยล่ะครับ

ท่ามกลางข้าวของดีๆ ผมเจอร้านที่เอาปลาน้ำจืดธรรมชาติมาขาย มีทั้งปลาตะเพียนสดๆ ปลากระดี่ ปลาหมอ ปลากรายตัวโตๆ ปลาเนื้ออ่อน ที่ผมอดซื้อมาไม่ได้ เพราะไม่ค่อยเจอบ่อยนัก คือปลาช่อนนาตัวย่อมๆ ที่ขอดเกล็ด ผ่าท้อง แล่แผ่ครึ่งตัวเรียบร้อยแล้ว

ผมจำได้ว่า มีมะขามอ่อนถุงเล็กๆ อยู่ถุงหนึ่งที่บ้าน กับพริกขี้หนูสดดีๆ ก็เลยแวะซื้อข่าแก่กับผักชีมาเพิ่ม จงใจเดินผ่านเลยร้านขายตะไคร้ไป เพราะคิดว่าขุดเอาจากกอหลังบ้านก็พอได้ เช่นเดียวกับใบมะกรูด ที่อาศัยเด็ดจากต้นข้างบ้านก็พอควรแก่การ

คงเดาได้กระมังครับ ว่าผมคิดจะทำปลาช่อนต้มยำแน่ๆ ถูกแล้วครับ ผมนึกถึงสำรับรสจี๊ดชามหนึ่ง ที่ อาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ เคยเขียนไว้ในหนังสือ “อาหารรสวิเศษของคนโบราณ” ของท่าน

“ปลาช่อนโฮกอือ”

อาจารย์อธิบายสำรับนี้ประมาณว่า เป็นต้มซดน้ำร้อนๆ แบบบ้านๆ รสจัด ทั้งเปรี้ยว เค็ม เผ็ด หอมเครื่องสมุนไพรสดที่ต้มในหม้อ แล้วก็ยังมีพริกแห้งเผาอีกด้วย แถมยังต้มได้ทั้งปลา ไก่ หรือเนื้อสัตว์อื่นๆ แต่ส่วนใหญ่จะใช้ปลาช่อนนาตัวย่อมๆ ที่เนื้อแน่น รสหวาน

คำว่า “โฮก-อือ” นั้น น่าจะมาจากสุ้มเสียงที่แสดงความพึงพอใจ ทั้งขณะซดน้ำ และหลังกลืนความอร่อยคำนั้นล่วงลงคอไปแล้วนั่นเอง ดังมีกลอนเสภาโบราณคำครูแจ้ง เล่าเรื่องสำรับนี้ไว้ตอนหนึ่งว่า

“..เมื่อตักนั้นสันศีร์ษะกะพุงมา ช้อนเอาไข่ใส่น่าให้ชูใจ

กระเทียมสุกบดใส่สักสามกลีบ มะนาวบีบลงให้ดีผักชีใส่

น้ำพริกเจือน้ำปลาล่อให้จุใจ เอาช้อนโบกเข้าโฮกไรแล้วได้แรง”

แสดงว่าคนโบราณได้ยินเสียงนี้ไม่ค่อยเหมือนกัน เลยมีเรียกต่างกันไปนิดหน่อยด้วยนะครับ แถมผมได้ยินมาว่า อัน “ปลาช่อนโฮกอือ” นี้ ทุกวันนี้ก็มีสูตรใหม่ที่ใส่กะทิ แถมเอาไปนึ่งก็ได้อีก นับเป็นการคลี่คลายไปของอาหาร ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไปนั่นเองครับ

เพื่อจะได้โฮก-อือ (หรือโฮก-ไร ก็ได้) ในยามเช้าอันหนาวเหน็บ เราก็ตั้งหม้อน้ำบนเตาไฟให้เดือด ใส่เกลือ ข่าแก่ หอมแดงทุบ พอเดือดสักครู่ ใส่ตะไคร้ทุบพอแตก ตามด้วยปลาช่อนนาหั่นชิ้นใหญ่

ผมลืมบอกไปว่า มะขามอ่อนที่ผมมีถุงนั้น ผมเอาล้างจนสะอาด ต้มในหม้อน้ำเดือด ครู่เดียวมันก็จะสุกนุ่ม ยกลง รอให้เย็น เอาทัพพีบี้ๆ จนแตกตัว แล้ว

กรองด้วยกระชอน เราจะได้น้ำมะขามสดต้ม สีเขียวอ่อนสวย รสเปรี้ยวชื่นใจมากๆ เลยครับ

พอหม้อต้มโฮกอือเดือดจนปลาสุกแล้ว ก็เทน้ำมะขามสีสวยของเรานี้ลงไปปรุงรสเปรี้ยวให้นำรสเค็ม ใส่ใบมะกรูดฉีก การปรุงรสในหม้อก็ดูจะเสร็จสิ้นเพียงเท่านี้

ทีนี้ มาเตรียมปรุงในชามบ้าง โดยหั่นผักชี ทุบพริกขี้หนูสวนใส่ไปตามที่ต้องการรสเผ็ดมากน้อย ขยอกน้ำปลาดีสักหน่อยเอากลิ่นหอม แล้วจึงบรรจงตักต้มปลาร้อนๆ ใส่

สูตรนี้เป็นสูตรน้ำใสครับ รสจะโปร่งเบา ถ้าเป็นอีกแบบหนึ่ง จะต้องเผาหอมแดง เผากระเทียมทั้งหัว เผาพริกแห้งเม็ดใหญ่เม็ดเล็กใส่แทน คั้นน้ำมะขามเปียกเติมรสเปรี้ยวลึกๆ และอาจใช้ผักชีฝรั่งซอยหยาบแทน ส่วนใครชอบความร้อนฉุนของใบกะเพรา ก็ใส่ไปด้วยได้ แบบที่ว่านี้จะหอมกลิ่นเครื่องเผา น้ำต้มสีเข้มกว่าเล็กน้อย

แต่ครั้นซดแล้ว ก็ดัง “โฮก…อือ” เหมือนๆ กันครับผม


จากคอลัมน์ กฤช เหลือลมัย นสพ.มติชน

สมัยผมเด็กๆ จำได้ว่า พอถึงหน้าหนาว อากาศเย็นๆ แม่จะทำกับข้าวอย่างหนึ่งที่เมื่อซดกินร้อนๆ แล้วรู้สึกอุ่นดีมากๆ นั่นก็คือ “เนื้อต้มจิ๋ว” หม้อใหญ่เบ้อเริ่ม กินไปได้ราวสามมื้อ ยิ่งอุ่นก็ยิ่งเข้มข้นครับ โครงสร้างของมันก็คือเนื้อวัวติดมัน ต้มกับข่าตะไคร้เผา หอมกระเทียมเผา พริกแห้งเม็ดใหญ่เผา ใบมะกรูด มะขามเปียก ขมิ้นชัน น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา เอาใบผักกาดหอมรองก้นชามโคม แล้วตักต้มจิ๋วร้อนๆ ใส่ รสชาติเปรี้ยวเค็มนำ หวานตาม มีมันสีเหลืองๆ ลอยหน้า เผ็ดหอมอ่อนๆ ด้วยพริกแห้งเผาเท่านั้นเองแหละครับ

พอโตขึ้นมา ได้อ่านตำรากับข้าวกระแสหลัก จึงรู้ว่า มี “ต้มจิ๋ว” อีกแบบหนึ่ง ใช้เนื้อสันดีๆ ต้มกับมันเทศ หอมแดงซอย น้ำปลา น้ำมะขามเปียก ใส่ใบกะเพราและใบโหระพา ปรุงในชามด้วยพริกขี้หนูสับและน้ำมะนาว หนังสือ ตำรับอาหารวิทยาลัยในวัง ถึงกับประกาศว่า นี่คือต้มจิ๋วที่แท้จริง ส่วนแบบอื่นๆ นั้น “ไม่ถูกต้อง” เอาเลยทีเดียว

ก็แปลกดี เพราะนอกจากบ้านผมที่อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรีแล้ว ทางเมืองเพชรบุรีก็ทำและกินต้มจิ๋วสูตรเดียวกันนี้เปี๊ยบเลย แถมบางครั้งใช้ไก่ต้มจิ๋วด้วยซ้ำไป “ต้มจิ๋ว” จึงไม่น่าจะมีแบบเดียวนะครับ แล้วยิ่งกว่านั้นคือไม่น่าที่ใครจะมาเที่ยวชี้ว่าของคนอื่นนั้นผิด เพียงเพราะว่าเขาทำไม่เหมือนที่ตัวทำ

หากจะให้อธิบายโดยรวบรัด ผมคิดว่าสำรับนี้อาจเกี่ยวพันกับคำภาษาจีนแต้จิ๋ว ที่ออกเสียงว่า จื้อ หรือ จู้ หมายถึงการทำอาหารที่ใช้วิธีต้มให้สุกในน้ำ และเพราะเหตุนั้น จึงมีจิ๋ว จิ่ว จิ้ว และจู้ ในกับข้าวไทยหลายสูตร เพราะว่าเดิมมันเป็นวิธีการทำ ไม่ใช่นิยามศัพท์เฉพาะ

ระหว่างที่เรื่องนี้ยังเป็นปริศนา และอากาศต้นเดือนกุมภาพันธ์ยังเย็นๆ ผมอยากลองแผลงสูตรต้มจิ๋วของแม่ออกไปอีกหน่อยหนึ่ง เพื่อจะปรุงต้มเนื้อร้อนๆ น้ำข้นๆ ไว้ซดกินแก้หนาวสักหม้อหนึ่งครับ

ของที่เราต้องใช้ มีเนื้อวัว หม้อนี้ผมใช้เนื้อน่องลาย แล้วก็เครื่องเคราอันประกอบด้วยข่า ตะไคร้ หอมแดง กระเทียม พริกแห้ง ห้าอย่างนี้เอาลงกระทะ คั่วให้หอมกลิ่นไหม้หน่อยๆ ส่วนอีกสองอย่าง คือแง่งขมิ้นชันทุบพอแตก กับใบมะกรูดฉีกเอาเส้นใบออก

เราใช้รสเปรี้ยวหลักจากมะขามเปียก จะเอาลงคั่วในกระทะพร้อมหอมกระเทียมด้วยก็ได้นะครับ

กะทิสด เตรียมไว้ให้พร้อม ถ้าร้านเขาแยกหัวแยกหางมาให้ เราก็เทหางกะทิใส่หม้อ เจือจางน้ำสักหน่อยครับ ยกตั้งไฟเลย พอเดือด ใส่เนื้อวัวหั่นชิ้นลงไปต้ม เติมเกลือนิด น้ำปลาหน่อย ส่วนของคั่วของสดนั้น ที่จะต้องใส่พร้อมไปตั้งแต่แรก คือ ข่า หอมแดง หัวกระเทียม แง่งขมิ้นชัน

ต้มรุมไฟอ่อนไปเรื่อยๆ คอยเติมน้ำและหางกะทิ หากต้มจิ๋วของเราเริ่มแห้ง ราวหนึ่งชั่วโมง จึงค่อยใส่ตะไคร้ มะขามเปียก พริกแห้งคั่ว และใบมะกรูดแก่ๆ ตามไป

ถ้าชอบให้ต้มจิ๋วออกหวาน ก็ใส่น้ำตาลปี๊บตามที่ชอบ พอสองชั่วโมงผ่านไป เนื้อจะเปื่อย รสวัตถุดิบต่างๆ รวมกันเข้าเป็นรสชาติที่กลมกล่อมดีแล้ว ก็ค่อยทยอยเติมหัวกะทิ ให้ได้ความข้นมันอย่างที่เราต้องการ

ในชามโคม เราสับพริกขี้หนูสวน หั่นผักชี บี้พริกแห้งคั่ว บีบมะนาว เหยาะน้ำปลาดีๆ ไว้ พอจะกินก็ตัก “ต้มจิ๋วกะทิ” ร้อนๆ ใส่ให้เต็มชาม

ด้วยเครื่องเคราทั้งเผาทั้งสดที่เต็มยศขนาดนี้ ถ้าใครจะขยันจัดใส่หม้อไฟ ก็คงยิ่งเพลิดเพลินไปทั้งวงข้าววงเครื่องดื่ม ในห้วงยามท้ายๆ ของอากาศหนาวช่วงต้นปี พ.ศ.2562 นี้แน่ๆ เลยล่ะครับ

 

ที่มา คอลัมน์ กฤช เหลือลมัย นสพ.มติชน

ความสนุกรื่นรมย์ของคนชอบเดินตลาดสดหลายๆ คน (รวมทั้งผมด้วย) อยู่ที่การได้พบว่า ตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางตลาดเช้าที่มีร้านรวงคับคั่ง อากาศเย็นสบาย ข้าวของที่สรรหามาขายมีทั้งที่เคยคุ้นและแปลกตา และเมื่อเอ่ยปากถามไถ่ ก็ได้รับคำอธิบายถึงที่มาที่ไป รวมทั้งวิธีทำกินอย่างละเอียดลออ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มของบรรดาพ่อค้าแม่ค้า

ตลาดเช้าริมน้ำน่าน ในตัวอำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ เป็นอย่างที่ว่านี้ครับ

จากที่ไม่ได้แวะเวียนไปนาน เมื่อผ่านไปอีกครั้ง ก็พบว่ายังมีปลาน้ำจืดพันธุ์แปลกๆ สดๆ ให้เลือกซื้อหามากมายเช่นเดิม ทั้งปลาเนื้ออ่อน ปลาน้ำเงิน ปลาแดง ปลาเบี้ยว ปลากด ปลาหลด แถมคราวนี้ผมเห็นถุงใส่เนื้ออะไรสักอย่าง ที่ต้มสุกเสร็จสรรพแล้ววางขายในราคาถุงละสี่สิบบาท

“หอยกาบจ้ะ นี่แกะเนื้อมาเรียบร้อยแล้ว เอาไปต้มก็ได้ ลาบก็ดี ผัดเผ็ดก็อร่อย” แม่ค้าว่าเสียงแจ๋วๆ ทีเดียว

หอยกาบ (Clams) เป็นหอยน้ำจืดแบบสองเปลือกประกบ ตัวใหญ่ เนื้อมาก ชาวบ้านกินต้มจิ้มน้ำจิ้ม หรือแกะเนื้อไปผัดเผ็ดรสจัดๆ มันก็เหมือนหอยเนื้อแน่นชนิดอื่นๆ ที่คนชอบเอามาทำกับข้าวนั่นแหละครับ อย่างหอยหวาน หอยลาย หอยตลับ หอยขม หอยโข่ง เพียงแต่ถ้าไม่ใช่คนที่โตมาจากพื้นที่ชนบทหน่อย ก็อาจไม่คุ้นกับหอยกาบ จนพานไม่กล้ากินไปเลย

แต่ถ้าลองคิดเล่นๆ ว่า ข้อมูลของนักโบราณคดีที่ระบุตรงกันว่า มนุษย์โบราณทุกพื้นที่ในโลกนี้ ล้วนแต่กินสัตว์สารพัดชนิด โดยเฉพาะสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์น้ำ การกินหอยกาบ (หรือหอยอะไรที่คนอื่นเขากินกัน แต่เราไม่เคยกิน) จึงเป็นเรื่องพื้นๆ เลยแหละ

ผมซื้อหอยกาบถุงนั้นมาแช่ช่องแข็งในตู้เย็นอยู่พักใหญ่ๆ วันหนึ่งคิดว่าจะผัดเผ็ด จึงเอาออกมาวางให้น้ำแข็งละลาย แล้วจากนั้นเราจะผัดไปทั้งตัว หรือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนก็ได้ครับ

ได้พริกแกงเผ็ดชาวบ้านตำขายจากตลาดวัดเทพนิมิตรวราราม (วัดเขา) ตำบลคลองกระจัง อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ เขาตำหยาบๆ แถมหอมฉุนข่าดีมากครับ แล้วจานนี้ผมอยากได้กลิ่นหอมลึกๆ ของดอกกะเพราสด เลยเด็ดจากต้นมากำใหญ่

พริกหยวกเม็ดยาวสุกจนเป็นสีส้มอมแดง หั่นแฉลบยาวๆ

ใบโหระพาล้างเด็ดไว้แยะๆ น้ำปลาและน้ำตาลนิดหน่อยเตรียมไว้

เมื่อจะทำ ก็ตั้งกระทะน้ำมันบนเตาไฟ ผัดพริกแกง พอเริ่มหอม รูดดอกกะเพราใส่ ตามด้วยพริกหยวก และเนื้อหอยกาบ ปรุงรสเค็มหวานเสริมเผ็ดพริกแกงให้พอดี ผัดให้เนื้อหอยซึมซับรสชาติพริกแกงสักครู่ จากนั้นจึงใส่ใบโหระพาตบท้าย ผัดพอสลดก็ใช้ได้ครับ

สูตรผัดพริกแกงแบบนี้ ก็มีแค่พริกแกงเผ็ดเป็นหลัก ส่วนกลิ่นและรสอื่นๆ นั้นเราสามารถเพิ่มเข้าไปได้ตามที่ชอบ อย่างกระทะนี้ผมเพิ่มดอกกะเพราสด ใส่ใบโหระพา ดังนั้น หากใครชอบรากกระชาย ขมิ้นขาว หัวกระทือ ติดใจใบกะเพรา ยี่หร่า แมงลัก หรือใบมะกรูดอ่อน ก็เลือกใช้ได้ครับ

เช่นเดียวกับเนื้อหอยกาบ ที่เราอาจใช้หอยโข่ง หอยลาย หอยตลับ แทนได้แน่นอน

ผัดให้มีน้ำมันแดงๆ ไว้คลุกข้าวสวยร้อนๆ ก็นับเป็นจานเด็ดได้จานหนึ่งล่ะครับ

 

ที่มา คอลัมน์ กฤช เหลือลมัย นสพ.มติชน

หนึ่งในลูกไม้ที่แข่งกันสุกให้คนกินตามฤดูกาลช่วงปลายปี ก็คือ “มะกอกป่า” (Spondias pinnata Kurz.) นะครับ เราอาจได้กินยอดอ่อนรสเปรี้ยวฝาดของมันจิ้มน้ำพริกจิ้มหลนมาตลอดทั้งปี หรือชาวบ้านภาคเหนือบางแห่งนิยมถากเปลือกต้นมาคั้นในลาบวัวควายดิบ เป็นสูตรเฉพาะของพื้นที่ แต่กว่าจะมีโอกาสลิ้มรสหอมหวานเจือฝาดเปรี้ยวเล็กน้อยของเนื้อมะกอกสุกที่แสนจะชุ่มชื่นคอได้ ก็ต้องล่วงมาช่วงหน้าหนาวนี่แหละครับ

ลูกมะกอกสุกมีวางขายตามตลาดนัดทั่วไป โดยเฉพาะแผงผักลาว มันเป็นส่วนผสมที่ขาดไม่ได้ในครก “ตำลาว” นอกจากนี้ก็ยังอยู่ในน้ำปลาพริกขี้หนู ที่เมื่อไหร่ใส่มะกอกแล้วก็กินกับปลาย่างอร่อยที่สุด บางทีก็ไปอยู่ในต้มโคล้งปลาช่อนทั้งลูกเลยทีเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะเปลือกมะกอกมีน้ำมันหอมระเหย และมีรสมีชาติเสริมเนื้อมะกอกในสำรับอาหารได้อย่างพอดิบพอดีมากๆ

ถ้าถามว่าเหลือแต่เมล็ดกระมังที่กินไม่ได้ ก็ไม่เชิงอีกครับ คือถ้าเรากะเทาะเปลือกเมล็ดออก จะมีเนื้อแก่นเมล็ด รสมันอร่อย ยิ่งหากเป็นจำพวกมะกอกเกลื้อนหรือมะกัก ที่ร่วมสายพันธุ์กัน ยิ่งจะมีเนื้อเมล็ดมากขึ้นไปอีก

ใครเคยเอามะกอกสุกมาทำน้ำปลาพริก ตำส้ม ต้มโคล้ง จนเริ่มเบื่อแล้ว ขอให้ลองเอามาตำน้ำพริกกะปิกินสักครกหนึ่งเถิดครับ

“น้ำพริกมะกอก” นี้ แม่ผมตำกินที่บ้านราชบุรีมาตั้งแต่ผมยังเด็กๆ เพราะว่ามันมีกลุ่มมะกอกป่าต้นสูงใหญ่อยู่หน้าสวนรุกขชาติถ้ำจอมพล ที่ อ.จอมบึง พอหน้าหนาว พวกเราก็จะปั่นจักรยานไปเก็บลูกมะกอกที่ร่วงมาตำน้ำพริกกินกัน

เมื่อได้มะกอกสุกๆ หอมๆ มา เราต้องเอามีดคมๆ เกลาเปลือกซึ่งจะมีคราบยางสีน้ำตาลเป็นจุดๆ ออก ล้างให้สะอาด แล้วฝานเฉือนเป็นริ้วบางๆ ทั้งเปลือกทั้งเนื้อ แถมขูดเนื้อสุกที่ติดเมล็ดออกให้เกลี้ยงทีเดียว

ตำกระเทียมไทยกับเกลือและกะปิ ผมใช้กระเทียมอินทรีย์ศรีสะเกษ เกลือสินเธาว์จากบ่อหัวแฮด อ.เซกา จ.บึงกาฬ และกะปิกุ้งฝอยน้ำจืด ที่ชาวบ้านตาลลูกอ่อน อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ทำกินกันเองในครัวเรือน รสชาติดีมากๆ ครับ

พอเข้ากันดีแล้ว ใส่พริกขี้หนูสวนลงไปตำต่อ จะให้แหลกมากแหลกน้อยแล้วแต่อยากกินเผ็ดมากเผ็ดน้อยนะครับ ตามด้วยน้ำตาลปี๊บ แล้วก็มะกอกสุกที่ฝานเตรียมไว้

เอาสากขยอกคนเคล้าให้เข้ากันดี เติมน้ำปลาหน่อย ครกนี้ผมใช้น้ำปลาปลาสร้อยต้มใหม่ๆ จากบ้านเกยไชยใต้ อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ ชาวบ้านใช้แค่ปลาขาวสร้อยหมักเกลือไว้หนึ่งปีแล้วต้มกรอง เขาไม่เติมอะไรอื่นเลยครับ เพียงแค่นั้นก็เป็นน้ำปลาที่อร่อยมาก

ครู่เดียว สีม่วงของกะปิในครกจะยิ่งทวีความม่วงคล้ำขึ้นด้วยปฏิกิริยาจากกรดในมะกอกสุก รสเปรี้ยวจะไม่เปรี้ยวแหลมจี๊ดอย่างมะนาวหรือมะดันที่หลายคนคุ้นชินหรอกนะครับ แต่มีรสฝาดหวานนัวปนมาก คลุกข้าวหรือจิ้มผักเข้าไปคำแรกจะรู้สึกถึงความชุ่มชื่นในปากในคอทันทีเลยแหละ

อย่างไรก็ดี ถ้ามะกอกของเราหวานมากกว่าเปรี้ยว จนน้ำพริกไม่ออกรสเปรี้ยว ก็อาจบีบมะนาวเสริมได้นิดหน่อย โดยระวังอย่าให้ไปข่มกลิ่นมะกอกหอมๆ นั้นจนเสียรสไปนะครับ

ที่บ้านผมจะตำน้ำพริกนี้ให้ข้นๆ มักใช้คลุกข้าวมากกว่า แล้วกินกับไข่ต้มแข็ง ปลาทอด ปลาย่าง ผักกรอบๆ สักจาน

ถ้าวันไหนได้มะกอกป่าสุกๆ หอมๆ มา ลองตำกินดูนะครับ อยากให้ได้สัมผัสความรู้สึกหลังอิ่มข้าว แล้วยกแก้วน้ำขึ้นจิบคำแรก

ความชุ่มชื่นในคอ ณ จังหวะวินาทีนั้น เป็นอะไรที่ประทับใจจริงๆ ครับ

 

ที่มา : คอลัมน์ กฤช เหลือลมัย หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน

จากคอลัมน์ กฤช เหลือลมัย นสพ.มติชน

คงมีบางวันใช่ไหมครับ ที่เราอยากกินกับข้าวอะไรที่เบาๆ สบายๆ ปาก มันอาจเป็นเพราะเราเพิ่งจบการเดินทางไกลไปในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย จำต้องกินแต่อาหารเนื้อๆ จนพานท้องไส้อึดอัด หรือไม่ก็รู้สึกเบื่ออาหารรสจัด อยากกินแค่ข้าวสวยหรือข้าวต้มร้อนๆ ไข่เจียว แล้วก็ซุปอะไรผักๆ ที่พอซดได้สักชาม แต่ก็ต้องการมากกว่าแกงจืดใสๆ (เรื่องมากดี)

อย่างนี้ก็ทำต้มจับฉ่ายกินสักหม้อดีกว่าครับ

“จับฉ่าย” หรือแปลไทยได้ว่า “ผักสิบอย่าง” เป็นต้มซุปแบบจีนที่คอข้าวต้มกุ๊ยโบราณคงจดจำได้ดี ถึงกะละมังเคลือบใบโตหน้าร้าน ตั้งไฟอ่อนๆ บรรจุไว้ทั้งกระดูกเป็ด ซี่โครงหมู ผักสารพัดอย่าง (น่าจะเกินสิบ) ที่เจ๊กผู้ปรุงหั่นเติมเพิ่มใส่เข้าไปตลอดเวลา จนน้ำซุปสีเขียวคล้ำๆ นั้นเป็นแหล่งรวมรสหวานจากผัก ไขกระดูกหมูเห็ดเป็ดไก่ และเครื่องปรุงแบบจีน จนเรียกว่าถ้าไปนั่งล้อมวงกินข้าวต้มรอบดึกแบบนั้น ก็แทบไม่มีใครปฏิเสธต้มจับฉ่ายได้เอาเลย

สำรับจับฉ่ายนั้นมีหลายแบบ แต่ที่คนไทยคุ้นเคย คงเป็นแบบที่ต้มผักจีนหลายๆ อย่างรวมไปกับซี่โครงหมู หรือเนื้อส่วนอื่นๆ ที่อยากกิน ดังนั้น ถ้าจะทำกินตอนบ่ายหรือเย็น เช้าๆ เราก็ออกไปซื้อผักกันก่อน

จะกินอะไรดีล่ะครับ ปกติที่เขาใส่ๆ กัน ก็มีหัวไชเท้า ซึ่งให้กลิ่นและรสหวานหลักๆ ในหม้อจับฉ่าย มีผักคะน้า กะหล่ำปลี กวางตุ้งไต้หวัน ขึ้นฉ่าย ต้นกระเทียม ปวยเล้ง ได้อะไรมาก็ปอกล้าง หั่นให้สวยงาม

ซี่โครงหมู หรือสามชั้น สับหั่นตามชอบ เครื่องปรุงรสชาติ หลักๆ เราใช้แค่เกลือ หัวกระเทียม พริกไทยเม็ดบุบพอแตกนิดหน่อย ซีอิ๊วดำหวานและดำเค็ม ถ้าชอบซีอิ๊วขาว ก็ผสมด้วยได้ครับ

คนจีนทำต้มจับฉ่ายกันหลายแบบหลายวิธี ถ้าเอาที่ผมเคยทำ ก็คือตั้งกระทะน้ำมัน เอาหมูลงคั่วสักครู่เดียว ใส่เกลือหน่อย ตามด้วยผักที่ไม่สุกเละง่าย (เช่น ถ้าเราใส่ขึ้นฉ่ายและปวยเล้ง ก็ไม่ต้องเอาลงผัด) ขยอกซีอิ๊วดำหวานลงไปผัดพอให้ผักทั้งกระทะมีสีน้ำตาลคล้ำๆ และเริ่มสุก ก็เติมน้ำให้ท่วม ถ่ายใส่หม้อใบใหญ่ ใส่ผักที่เหลือ ปรุงด้วยซีอิ๊วดำเค็มและซีอิ๊วขาว

ตอนนี้ยังไม่ต้องกังวลเรื่องรสชาติมากหรอกครับ เคี่ยวไปก่อนสักชั่วโมง เดี๋ยวค่อยมาชิมปรับเอาเรื่อยๆ

ไม่มีใครสามารถต้มจับฉ่ายให้รสนัวนวลหวานอร่อยได้ในเวลาชั่วโมงเดียว ยิ่งนานไป ความนุ่มของผัก ของเนื้อหมู รสน้ำผัก และกลิ่นหอมๆ ของผักหลายๆ อย่างจะค่อยๆ กลมกลืนกัน ผสานกับรสหวานแต่เพียงพอดีๆ จากซีอิ๊วดำหวาน เค็มแหลมของเกลือ เค็มหอมของซีอิ๊วดำเค็ม นี่ทำให้ต้มจับฉ่ายร้อนๆ สักชามหนึ่งเป็นของอร่อยที่กินสบายปากสบายท้อง แถมยังทำเองได้ง่ายมากๆ อย่างที่สาธยายมานี่แหละครับ

ใครชอบกินเต้าหู้แข็งทอด เต้าหู้พวง เห็ดหอม หรือไข่ต้มสไตล์ไข่พะโล้ ก็สามารถเพิ่มเติมลงไปได้ ไม่จำกัดเลยครับ

ถ้าเอาที่ผมชอบ ผมชอบกินหนังหมูแผ่นต้ม ที่มันพองๆ น่ะครับ หั่นชิ้นย่อมๆ ต้มรวมไปในตอนหลัง จนนุ่ม แหม มันอร่อยจริงๆ ใครจะใช้กระเพาะปลาแทนก็ไม่เลว

จับฉ่ายหม้อนี้อุ่นกินได้หลายวัน เราจะลองเพิ่มผักไปเรื่อยๆ อย่างที่เจ๊กร้านข้าวต้มทำก็ได้ หมั่นสังเกตว่าผักอะไรให้กลิ่นรสยังไง เปื่อยเร็วเปื่อยช้าแค่ไหน รับรองว่าได้กินผักอร่อยๆ ในปริมาณมากสมใจ กับสำรับ “ต้มจับฉ่าย” นี้แน่นอน

ใครชอบกลิ่นเครื่องเทศอ่อนๆ ก็อาจหย่อนอบเชยสักแท่ง โป๊ยกั้กสักดอกสองดอก เร่วแห้งสักท่อน ต้มรวมไปด้วยในตอนแรก พอให้น้ำซุปมีกลิ่นหอมชื่นใจอบอวลแต่เพียงบางๆ ก็ได้

อ้อ! สำหรับหม้อนี้ ผมแอบหยอดเหล้ามิรินของญี่ปุ่นใส่เพิ่มความหอมหวานด้วยแหละครับ

ทุกวันนี้ เมื่อต้องเดินทางด้วยรถยนต์ออกจากเมืองนนทบุรี ตามเส้นทางหลวงสาย 340 ที่จะตรงไปเมืองสุพรรณในช่วงสายๆ สิ่งที่ผมและเพื่อนๆ ต้องทำทุกครั้ง ก็คือแวะกินข้าวแกงริมทาง ที่ร้าน “แกงป่าคุณยายตุ่ม” เขตชานเมืองย่านบางบัวทอง ซึ่งขายกับข้าวไทยภาคกลางรสชาติจัดจ้าน อย่างพวกผัดเผ็ด แกงป่า ด้วยสารพัดเนื้อ ตั้งแต่ปลาเล็กปลาน้อยสับทั้งก้าง หมูป่า เก้ง กวาง ไข่ปลายี่สก ปลากราย เนื้อวัว ฯลฯ แถมมีน้ำพริกแกงป่ารสดีมากๆ ให้ซื้อกลับไปทำกินเองที่บ้านด้วย

ใครชอบกินข้าวแกงภาคกลางสกุลชายแดนตะวันตก เป็นไม่ผิดหวังแน่ๆ ครับ

ก่อนที่จะกลายเป็นคอลัมน์แนะนำร้านอาหารไป จะบอกว่า มีกับข้าวอย่างหนึ่งของร้านคุณยายตุ่ม ที่ผมกินแล้วชอบมาก รู้สึกว่ามันลงตัวดี แถมมีความแตกต่างจากสำรับอื่นๆ ในร้านอย่างมีนัยสำคัญ นั่นก็คือ “กุ้งฝอยคั่วกระชาย” ครับ

กุ้งฝอยน้ำจืดตัวเล็กๆ นั้นเป็นที่พิสมัยของคนครัวเมืองน้ำจืดทุกแห่ง มันกลายเป็น “กุ้งเต้น” รสแซ่บจี๊ดในร้านเรือนแพย่านหาดคูเดื่อ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เป็นกุ้งชุบแป้งทอดโรยในชาม “ข้าวแห้ง” ของคนย่านคลองดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี แล้วก็เป็นฐานวัตถุดิบสำคัญในการทำกะปิกุ้งน้ำจืดของหมู่บ้านริมน้ำภาคกลางเมื่อศตวรรษก่อน แม้ทุกวันนี้จะเลิกทำกันไปเกือบหมด เนื่องจากกุ้งฝอยธรรมชาติเหลือน้อยมากแล้วก็ตาม

คนครัวร้านคุณยายตุ่มปรุงสำรับนี้ได้อร่อยครับ มันเป็นผัดคั่วแห้งๆ ที่ไม่มันเยิ้ม จากที่ได้กิน ผมคิดว่ามีส่วนผสมของพริกแกงเผ็ดในปริมาณไม่มากนัก จึงเผ็ดเพียงปลายลิ้น ไม่ถึงกับเป็น “ผัดเผ็ด” กุ้ง ดังนั้น สำหรับคนไม่กินรสเผ็ด ก็สามารถกินแนมกับของทอดอื่นๆ หรือผัดผักรสอ่อนๆ ได้ดี ความพิเศษของมันคือรากกระชายที่ส่งกลิ่นหอมโดดเด่น ไม่ถูกรสเผ็ดและกลิ่นแรงๆ ของพริกแกงกลบไปหมดเหมือนเมื่ออยู่ในแกงป่าปลาสับนก หรือผัดเผ็ดปลาไหลตามสำรับไทยปกติ

ผมถึงกับต้องกลับมา “แกะรอย” ลองทำกินเลยล่ะครับ ถึงแม้คงไม่เหมือนเป๊ะๆ ก็ตาม

ถ้าโชคดี หากุ้งฝอยสดๆ ใหม่ๆ ได้ ก็ล้างจนสะอาด สรงในกระชอนให้สะเด็ดน้ำ

เตรียมพริกแกงเผ็ดที่ชอบไว้นิดหน่อย กับเกลือป่น น้ำปลา ส่วนน้ำมันนั้นใส่ได้เล็กน้อยครับ ผมใช้พริกแกงชาวบ้านตำมือมาขายที่ตลาดสด อ.จอมบึง จ.ราชบุรีครับ เนื้อออกร่วนๆ หนักข่าตะไคร้มากจนรู้สึกได้ นับว่าเหมาะกับสำรับนี้ดีอยู่

รากกระชายล้างเกลาๆ ผิวออกบ้าง ซอยละเอียดเป็นชิ้นเล็กยาว ใส่ได้มากเท่าที่อยากกิน เครื่องเคราของสำรับนี้มันก็มีแค่นี้แหละครับ

เริ่มทำโดยตั้งกระทะบนเตาไฟกลาง เอากุ้งลงไปคั่วจนเกือบสุก จึงค่อยใส่พริกแกง รากกระชาย หยอดน้ำมันนิดเดียว ปรุงรสเค็มด้วยเกลือ ถ้าไม่ชอบกลิ่นน้ำปลา เราจะไม่ใส่เลยก็ได้นะครับ บรรจงผัดคั่วไปจนสุกทั่วกัน และส่วนผสมในกระทะแห้งดี

“กุ้งฝอยคั่วกระชาย” ของเรากระทะนี้ จะกินกับข้าวสวยให้เป็นกับข้าวรสเผ็ดอ่อนๆ แนมไข่ต้ม ไข่เจียว หรือปลาทอดก็อร่อยดี เป็นกับแกล้มเครื่องดื่มเย็นๆ ก็เห็นจะเหมาะ ผมคิดว่าคนที่ชอบกินกระชายต้องชอบมากๆ มันมีความแตกต่างจากผัดเผ็ด จากผัดจืด และก็ยังต่างจากสำรับปิ้งที่ใช้เครื่องปรุงเดียวๆ กัน เช่น งบกุ้งฝอย อย่างมีนัยสำคัญดังที่บอกแล้วนะครับ ความรวบรัดง่ายดายของขั้นตอนการปรุง ตลอดจนวัตถุดิบที่มีน้อยชนิดนั้น ส่งผลให้รสชาติของมันเรียบง่าย ตรงไปตรงมา และมีเสน่ห์มากๆ เลย

ถ้าไม่มีกุ้งฝอย เลือกใช้กุ้งตัวเล็กและเปลือกบางสุดเท่าที่หาได้ เพียงสับเอากรีแหลมๆ ออกก็พอแล้ว ใช้แทนกันได้เลยครับ

 


เรื่องโดย กฤช เหลือลมัย เซคชั่นประชาชื่น หนังสือพิมพ์มติชน

แกงบวนตำรับมาตรฐานในตำราอาหารทั่วไปมีลักษณะเป็นแกงน้ำข้น ทั้งจากการเคี่ยวเครื่องในกับน้ำคั้นใบไม้เขียวนานร่วมชั่วโมง และทั้งจากการที่ผสมปลาเค็ม กะปิ หรือกุ้งแห้ง ปลาย่างป่นเข้าไปในพริกแกง ความหอมได้จากน้ำคั้นที่เลือกใช้ได้ตามชอบ และตะไคร้ซอย ตลอดจนผักชีหั่นที่ใส่เพิ่มในภายหลัง

คำถามตรงๆ ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนแบบนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมต้องตอบได้ทันทีเลยแหละครับ

เพราะทั้งในตำรากับข้าวเก่าอย่างแม่ครัวหัวป่าก์ (ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์, ๒๔๕๑) หรือตำราร่วมสมัย เช่น อร่อยต้นตำรับ (ม.ร.ว. ถนัดศรี สวัสดิวัตน์, ๒๕๔๗) ตำรับอาหารวิทยาลัยในวัง (คณาจารย์จากวิทยาลัยในวัง, ๒๕๓๖) บอกสูตรไว้เกือบจะเหมือนกัน จนใครที่เคยอ่านผ่านตามาบ้าง ก็ย่อมจะนึกออกว่า แกงบวนเป็นแกงแบบโบราณ ทำโดยตำเครื่องแกงอันมีกะปิเผา หอมเผา กระเทียมเผา ข่าเผา ตะไคร้ พริกไทย ปลาสลาดแห้งป่นให้ละเอียด เอาละลายในน้ำคั้นใบมะตูม ใบตะไคร้ และใบผักชีผสมกัน ตั้งไฟจนเดือด ใส่หมูสามชั้น และเครื่องในหมูต้มหั่นชิ้นใหญ่ๆ เคี่ยวไปจนนุ่ม ปรุงรสให้หวานนำเค็มตาม พอเปื่อยได้ที่ น้ำข้นดีแล้ว จึงเติมใบมะกรูดฉีก ตะไคร้ซอย พริกชี้ฟ้าหั่นแว่น จากนั้นก็ตักใส่ชาม โรยผักชี


เครื่องเคราแกงบวนมีหลายอย่าง หลักๆ เป็นเครื่องในหมู พริกแกงที่ต้องเผาคั่วเครื่องตำเกือบทั้งหมดก่อน ที่สำคัญคือมักไม่ใส่พริก ปรุงรสเค็มด้วยปลาเค็มหรือกะปิ หวานด้วยน้ำตาลปี๊บ (หม้อนี้ผมใช้น้ำตาลมะพร้าวสดๆ) และน้ำคั้นใบไม้ ที่อาจใช้ใบมะตูม มะขวิด ย่านาง ตะไคร้ ผักชีรวมกัน หรือใช้อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เพิ่มกลิ่นหอมด้วยใบมะกรูด พริกชี้ฟ้า ผักชี และตะไคร้ซอยที่ใส่เพิ่มในตอนท้ายเมื่อเครื่องในเปื่อยนุ่มดีแล้ว

หลายคนแม้ไม่เคยกิน แต่ก็คงจินตนาการรสชาติได้ และย่อมตระหนักดีว่า แกงแบบนี้ไม่ได้ทำกินกันเป็นปรกติสามัญ เพราะสำหรับชาวบ้าน การจะได้กินหมูในสมัยก่อนเป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก นอกจากจะมีงานบุญในวาระต่างๆ หรือช่วงเทศกาลสำคัญ ที่มีการล้มสัตว์ใหญ่เพื่อทำอาหารเลี้ยงพระเลี้ยงคนจำนวนมากเท่านั้น

นอกจากนี้ การเตรียมเครื่องในหมูให้สามารถเอามาปรุงกับข้าวได้ ตั้งแต่ล้างอย่างมีขั้นตอนกระบวนการอันซับซ้อน จนถึงต้มตุ๋นให้เปื่อย ก็ไม่ใช่เรื่องหมูๆ จำต้องมีเคล็ดลับ ฝีมือ และมีลูกมือมากพอ การปรุงแกงบวนแต่ละครั้งในสมัยก่อนจึงไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ เสียเมื่อไร

งานวิจัยเรื่องอาหารชาติพันธุ์ชาวไทยเขมรจังหวัดสุรินทร์ ของ คุณสมนึก รัตนกำเนิด (สถาบันราชภัฏสุรินทร์, ๒๕๔๒) ถึงกับระบุว่า “…หากงานแต่งงานรายใดมีแกงบวนเป็นอาหารคาว จะถือว่าเป็นงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่มาก เนื่องจากแกงบวนมีวิธีการทำที่ยุ่งยากซับซ้อน…”

…………..

คำตอบมาตรฐานต่อคำถามที่ว่าอะไรคือแกงบวน มาถูกเขย่าอย่างแรงด้วยนิยามแกงบวนสายเพชรบุรีแบบหนึ่ง

คุณวริทธิ์ แจ่มใส ช่างภาพอิสระชาวเมืองเพชรบุรี เล่าให้ผมฟังว่า แกงบวนสำหรับคนเพชรบุรีแถบอำเภอเมืองฯ และอำเภอบ้านแหลม คือการเอาภัตตาหารคาวของพระที่เหลือหลายๆ ชนิด มาเทรวมกันแล้วเอาไปอุ่นให้เดือดอีกครั้ง หรือเรียกว่าเอาไป “บวน” กระบวนการนี้ต้องทำทันทีหลังเทรวมกันเพื่อไม่ให้บูดเสีย โดยหลักๆ แล้วก็มักมีแกงเผ็ด จะเข้ากะทิหรือไม่กะทิก็ได้ แต่ถ้ามีหน่อไม้จะอร่อยเป็นพิเศษ นอกนั้นก็อาจเป็นผัดพริก ผัดจืด ไข่เจียว ไข่พะโล้ แต่ต้องดูให้หน้าตาไปในทิศทางเดียวกัน

“ผมเคยเจอคนที่อยากกินแกงบวนนอกพรรษา เขาไปซื้อกับข้าวถุงมาสี่อย่าง คือ แกงหน่อไม้ไก่ แกงป่าหมู ไข่พะโล้ และผัดอะไรอีกอย่างหนึ่ง มาถึงก็แกะทุกอย่างรวมกันแล้วเอาไป ‘บวน’ คือตั้งไฟจนเดือด กลิ่นแกงบวนนี้จะหอมมากๆ ครับ” คุณวริทธิ์ยังบอกอีกว่า “เคยคุยกับญาติที่ไปทำงานภาคใต้ เขาบอกทางนั้นไม่รู้จักหรอกแกงบวนเขาเรียกกันว่าแกงสำรวม หรือแกงสมรม”


ผัดพริกแกงบวนในน้ำมันหมูก่อนให้หอม จึงค่อยละลายใส่ในหม้อต้มเครื่องใน

ในแง่นี้ แกงบวนเพชรบุรีสูตรนี้จึงเหมือน “แกงสำรวม” ที่เด็กวัดไทยสมัยก่อนรู้จักกันดี มันคือการจัดการกับข้าวถวายพระหลังวันพระใหญ่ได้อย่างน่าประทับใจ คุณวริทธิ์ยังบอกว่า ในทางพระนั้นมีคำว่า “เอาภัตต์มาสำรวมกัน” หมายถึงเอามารวบรวมไว้ที่เดียวกันนั่นเอง

ผมคิดว่า ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งของคุณวริทธิ์นั้นสำคัญมากๆ คือเป็นไปได้ไหมที่การใส่ผักหลายๆ ชนิดใน “แกงสมรม” ของคนภาคใต้นั้นมีฐานคิด (หรือการระลึกถึง) มาจากการ “สมรม/สำรวม” แบบมหกรรมจัดการอาหารเหลือหลังวันพระนี้เอง จนแม้ในวันธรรมดา ก็ยังทำกินกันเองที่บ้าน และเมื่อเวลาได้ผ่านไปนานเข้า ก็เหลือเพียงชื่อและลักษณะแกงที่รวมผักหลายๆ ชนิดไว้ในหม้อเดียวกัน
ให้พอเห็นเค้าเดิมเท่านั้น

พยุง วงษ์น้อย เพื่อนชาวเพชร บุรีอีกคนหนึ่งของผมเล่าว่า เธอได้คุยกับคนพื้นเพอยุธยาที่มาอยู่อำเภอบ้านลาด เพชรบุรีแล้วเขาทำแกงอย่างหนึ่งกิน วิธีคือเอาแกงเผ็ดจากหลายๆ เจ้า ที่เอาไปทำบุญมาอุ่นรวมกัน เรียก “แกงสำรวม” แต่พยุงบอกว่า เขาต้อง “เอาต้มรวมต้ม แกงรวมแกง ไม่เอาปนกัน” ขั้นตอนวิธีการนี้เหมือนกันเกือบเปี๊ยบกับแกงบวนแบบที่คุณวริทธิ์อธิบาย

แต่ผมยังค้นไม่พบ สอบถามคนเพชรบุรีคนอื่นๆ ก็ยังไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมนะครับว่า นอกจากเขตอำเภอเมืองฯ และบ้านแหลมแล้ว คำว่า “บวน” ถูกใช้เป็นกิริยาทำนองว่าเอาแกงเก่ามาปรุงใหม่แบบนี้ที่ไหนอีกบ้าง

คงต้องช่วยกันสืบค้นต่อไปล่ะครับ

……………..


เคี่ยวไฟอ่อนนานจนเครื่องในเปื่อยนุ่ม พริกแกงและน้ำคั้นใบไม้เขียวซึมเข้าในเนื้อ

อย่างไรก็ดี ผมนึกขึ้นมาได้ว่า เพื่อนชาวสุรินทร์เคยเล่าเกร็ดเรื่องแกงบวนให้ฟังเมื่อนานมาแล้ว เขาบอกว่า “บวน” นั้นเป็นภาษาเขมร แปลว่า “สี่” (๔) แกงบวนสุรินทร์คือแกงที่ต้องกินในงานมงคล (ตรงข้ามกับแกงกล้วย ที่แกงกินในงานอวมงคล) เท่านั้น โดยประกอบด้วยเครื่องในหมู ๔ อย่าง ตอนที่เล่านั้น เขาเองก็ระบุชัดๆ ไม่ได้ว่าคืออะไรบ้าง แต่จากสูตรแกงบวนเก่าๆ ที่มักบอกคล้ายๆ กันให้ใช้หัวใจ ปอด ตับ ม้าม ก็อาจส่อเค้าให้เราเห็นร่องรอยที่ว่านี้บ้างก็เป็นได้

คำอธิบายนี้นับว่าฟังดูมีน้ำหนักให้ค้นต่อนะครับ เพราะอย่างน้อยก็พอฟังขึ้น ว่าทำไมถึงเรียกแกง “บวน” ซึ่งผมคิดว่าคำอธิบายภาษาไทยเท่าที่ผ่านมายังทำได้ไม่จุใจพอ

………………

สำหรับผม แกงบวนมีนัยสำคัญอยู่อย่างน้อย ๒ เรื่อง คือ หนึ่ง มันดูเป็นกับข้าวโบราณสมัยก่อนที่สยามจะมีพริก (Chilli) กินมากๆ ค่าที่ว่าน้ำพริกแกงบวนแทบทุกสูตรจะแค่เผ็ดร้อนพริกไทย ไม่ใส่พริก และสอง การรื้อฟื้นแกงบวนให้กลับมาแพร่หลายอีกครั้งต้องเป็นเรื่อง “หิน” เอาการทีเดียว

มันไม่ใช่แค่เรื่องรสชาติ ที่คงยากจะสร้างความคุ้นเคยให้ลิ้นคนปัจจุบัน แต่รวมถึงปัญหาเรื่องวัตถุดิบ เช่น ใบมะตูม ใบมะขวิด ใบตะไคร้ ที่น่าจะหายากมากๆ แล้วด้วย อย่างไรก็ดี ความที่มันยากนี่แหละครับ มันจึงเป็นเรื่องท้าทาย ว่าถ้าทำได้สำเร็จ ย่อมไม่ใช่แค่สูตรอาหารเท่านั้น ทว่าคือสภาพแวดล้อมและความหลากหลายทางพันธุกรรมพืช ที่จะถูกคำนึงถึงคุณประโยชน์และการคงอยู่ แบบที่ไม่เคยมีใครมองเห็นมาก่อนหน้า

กับข้าวบางสำรับจึงอาจส่งผลเกี่ยวเนื่องไปถึงนโยบายการจัดสรรพื้นที่สาธารณะ ด้วยประการฉะนี้

 

 


ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ กุมภาพันธ์ 2560
ผู้เขียน กฤช เหลือลมัย

เรื่องโดย กฤช เหลือลมัย


 

เวลาเราพูดถึง “รสชาติ” ของอาหารแถบหมู่บ้านนั้นหมู่บ้านนี้ จังหวัดนั้นจังหวัดนี้ หรือภาคนั้นภาคนี้ บางทีมันก็ยากที่จะอธิบายชัดๆ ลงไปว่า มัน “ต้อง” เป็นยังไงแน่นะครับ เพราะว่ารสมือที่ต่างกันของบรรดาแม่ๆ พ่อๆ แต่ละบ้านนั่นเอง ที่เป็นตัวแปร ทำให้แม้แต่อาหารของบ้านตรงข้ามเรา ก็ยังรสไม่เหมือนบ้านเราเลย

ดังนั้น มิไยจะต้องเอ่ยถึงภาพรวมของ ตำบล อำเภอ ว่าจะกำหนดเหมารวมได้อย่างไร ว่ามันต้องมีลักษณะเด่นตรงไหน

ยิ่งมาสมัยนี้ ที่การขนส่งวัตถุดิบรวดเร็วทั่วถึง ไม่ว่าใครก็สามารถจับจ่ายซื้อหาผักหญ้า เครื่องเทศสมุนไพรข้ามภูมิภาค มาใส่ในหม้อในกระทะของตนได้อย่างแทบไร้ขีดจำกัด มิติความเป็น “ท้องถิ่น” ของอาหารก็ยิ่งพร่าเลือนเข้าหากัน จนแทบไม่สามารถจะนิยามเฉพาะเจาะจงลงไปได้เลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าแม้เราไม่สามารถผูกมัดจำกัดรสชาติอาหารที่กำลังเปลี่ยนไปได้แน่ๆ แต่หลายครั้ง เมื่อเรา “จับ” เค้าโครงหรือไวยากรณ์หลักของอาหารบางท้องถิ่นได้ มันก็พอจะนับเป็นความสนุกรื่นรมย์ในการกินอยู่ไม่น้อยทีเดียวแหละครับ

ท่ามกลางความดาดๆ เหมือนๆ กันไปหมด ก็คงมีแต่ความแตกต่างที่เราพอจับรสชาติได้ การล่วงรู้ที่มาของวัตถุดิบ ความเข้าใจกลวิธีการปรุง ฯลฯ เท่านั้นดอกกระมังครับ ที่จะกระตุ้นความตื่นเต้นในการลิ้มลองสำรับอาหารที่ไม่คุ้นชิน และเปิดโลกของรสชาติใหม่ๆ ที่เข้าถึงได้ด้วยประสบการณ์บนปลายลิ้นของเราเอง

ผมเพิ่งเข้าใจเรื่องนี้ขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่ง เมื่อดั้นด้นไปตามคำแนะนำของเพื่อนเก่าสมัยเรียนชั้นประถมฯ – สมัย พวงแฉล้ม ชาวบ้านหนองบัวค่าย ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ว่ายังมีคนที่ปรุง “พริกแกงตำมือ” ขายอยู่แถวบ้านของเขา และในที่สุด ผมก็ได้พบ “ป้าลี้” ชาวบ้านดงไผ่ นั่งขายพริกแกงอยู่ที่ตลาดเย็น บ้านหนองนกกะเรียน ตำบลรางบัว ทุกวันอังคารและวันเสาร์

“ป้าลี้” มักนั่งอยู่หลังแผงพริกแกงขนาดย่อม ใต้ต้นมะขามใหญ่ ปากทางเข้าตลาดบ้านหนองนกกะเรียน ขายพริกแกงเพียงสองอย่าง คือ พริกแกงเผ็ด และพริกแกงส้ม

“แกงเผ็ด มีแบบเผ็ดน้อยกับเผ็ดมาก เผ็ดน้อยเราใช้พริกมัน พริกชี้ฟ้าน่ะแหละ ผสมเยอะหน่อย ถ้าแบบเผ็ดมากก็ใช้พริกจินดาล้วนๆ เลย” ป้าลี้ บอก ผมนั้นยังทึ่งกับการตำมือของป้าลี้ ก็เลยถามเรื่องนี้เยอะหน่อย ป้าลี้บอกว่า ตำขายมานานเป็นสิบปีแล้ว ไม่ได้ไปเอาสูตรมาจากไหนหรอก ก็เป็นพริกแกงแบบที่บ้านเรากินกันนี่แหละ แต่ก่อนตำกับครกหินธรรมดา ขนาดใหญ่หน่อย มาเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง สามีป้าลี้ทำครกใหญ่ให้ใหม่หนึ่งใบ

“เขาแกะของเขาเอง ไปเอาหินจากเขาหินกลิ้งที่ชัฏป่าหวายโน่นมา ขุดๆ สกัดๆ เอง ทีนี้ก็สะดวกขึ้นน่ะ ใช้สากตำข้าวเลย เราตำเกือบทุกวันแหละ กลางคืนก็เตรียมหั่นเครื่องไว้ เมื่อก่อนต้องทำเอง เดี๋ยวนี้จ้างลูกมือมาช่วยบ้าง เช้าขึ้นเราก็ตำเลย แล้วแต่เรี่ยวแรงนะ ครกใหญ่ขนาดนี้เนี่ย ตำแล้วได้พริกแกง 5 กิโลกรัม วันหนึ่งๆ ก็ได้สักสองครกแหละ”

ผมลองถามสัดส่วนเครื่องปรุงพริกแกงเผ็ด ไม่ได้คิดว่าป้าลี้จะบอก แต่ปรากฏว่าป้าลี้ไม่หวงสูตรเลยล่ะครับ “พริกแกง 5 กิโล เนี่ย เราใช้พริก 6 ขีด กระเทียมไทยกิโลนึงกับ 3 ขีด ตะไคร้กับข่าใช้เท่ากับกระเทียม ผิวมะกรูด 3 ขีด กะปิตำน้ำพริกอีกกิโลนึง ตำไม่ต้องให้แหลกมาก มันจะอร่อยเวลาเคี้ยวถูกเม็ดพริก ชิ้นข่าชิ้นตะไคร้น่ะ” ปรากฏว่าป้าลี้จ่ายของที่ตลาดนัดวัดจอมบึงข้างบ้านผมนี่เอง มีทุกเช้าวันพุธ บอกว่าของถูกดี อย่างเช่น กระเทียมไทย ตอนนี้ลงมาเหลือกระสอบละแค่ราว 600 บาท กะปิ ปี๊บละ 500 บาท แต่เห็นถูกๆ อย่างนี้ จ่ายของครั้งหนึ่งๆ ก็ตกห้าหกพันบาททีเดียว

ดูเครื่องปรุงแล้วผมสงสัยว่า พริกแกงเผ็ด ไม่ใส่หอมแดงหรือ ป้าลี้บอกว่า แถวบ้านเราไม่ใส่หอมแดงกันหรอก ถ้าเป็นพริกแกงส้มจึงจะใส่ “แกงส้มใช้พริกมันอย่างเดียว แต่พริกมันเนี่ยยังมีแยกย่อยไปอีกนะ อย่างสีแดงจะเผ็ดพอดีๆ ถ้าสีดำก็เผ็ดมากหน่อย แล้วก็ใส่หอมแดง เกลือ กะปิ เท่านี้แหละ พวกกระชายอะไรนี่เราไม่ใส่ มันจะทำให้เปรี้ยวเร็ว คนซื้อเขาจะไปโขลกใส่เองตอนเขาทำกิน”

ผมว่าแบบนี้ดีครับ ทั้งในแง่ที่ว่าเก็บไว้ได้นานกว่า แล้วก็ไม่ปิดกั้นรสชาติที่คนซื้อแต่ละคนอยากจะกินอยากจะปรุงแบบไหน ก็ไปเพิ่มเอาเอง ตามแต่รสมือของตน โดยมีโครงสร้างหลักที่แน่นหนา แข็งแรง กลิ่นรสพริก ข่า ตะไคร้ชัดๆ แรงๆ ที่ผมรู้สึกได้จากพริกแกงเผ็ดสูตรป้าลี้เป็นฐานรองรับ

ราวยี่สิบนาทีที่ผมนั่งคุยกับป้าลี้ มีคนแวะเวียนมาซื้อพริกแกงตลอดเวลา

ทุกคนมาถึงก็จะแจ้งรสชาติที่ต้องการก่อน เอาเผ็ดน้อยนะ เอาเผ็ดมากนะ ป้าลี้บอกว่า นอกจากคนบ้านหนองนกกะเรียนซึ่งมาซื้อที่ตลาดวันเสาร์และอังคารแล้ว ป้าลี้ยังไปขายที่ตลาดบ้านรางอาวในวันพฤหัสบดีและวันจันทร์ด้วย นอกจากนี้ ความที่คนทำพริกแกงท้องถิ่นในละแวกนี้เหลือแค่ป้าลี้ ก็จึงมีคนที่อื่นแวะเวียนไปซื้อถึงบ้านอยู่ตลอด ทั้งเอาไปกินเองและไปขายต่อ

พริกแกงป้าลี้ กิโลกรัมละ 130 บาท ถ้าซื้อเป็นถุง ขนาด 1 ขีดครึ่ง ราคา 20 บาท

“บางวันเราก็พอได้นะสามสี่พัน แต่ก็ไม่ได้ทุกวันหรอก ก็มีพวกจากชัฏใหญ่ จากท่าเคย วังตะเคียน เขามาซื้อไป บางคนบอกเราว่า กินพริกแกงรสนี้แล้วถูกปาก ก็เลยไม่ตำเองแล้ว” ป้าลี้เล่ายิ้มๆ

เรื่องนี้สอดคล้องกับที่แม่ของสมัยบอกผม ก่อนที่จะชี้เป้าให้ผมมาเจอป้าลี้ ว่าคนแถวหนองบัวค่าย หนองนกกะเรียนก็กินแต่พริกแกงเจ้านี้แหละ เพราะว่า “มันเป็นรสที่เรากินกันมาจนติด พอเขาทำได้อย่างนี้ เราก็ไม่ต้องทำเองแล้ว แถมเขาตำมือด้วย เลยไม่ต้องผสมน้ำแบบของตลาด มันไม่แฉะไง เวลาเราผัดกับน้ำมันในกระทะ จะไม่กระเด็นเลยนะ ถ้าเป็นพริกแกงที่ขายๆ กันตามตลาดเนี่ย กระเด็นเลอะเทอะมากเลย”

ผมคิดว่า “ขอบเขต” (area) ของคนกินพริกแกงป้าลี้ ที่ครอบคลุมพื้นที่ตำบลรางบัวและใกล้เคียงส่วนใหญ่นี้เอง ที่ชี้วัดและพอจะพูดได้ว่า “อาหารแถบนี้” เป็นอย่างไร โดยมีฐานของรสชาติอยู่ที่พริกแกงป้าลี้อย่างที่ผมกล่าวไปข้างต้น

ถ้าจะให้อธิบายต่ออีกหน่อย ก็คงต้องบอกว่า มันเป็นพริกแกงรสเผ็ดโปร่งๆ จากพริก ข่า ตะไคร้ ที่ใส่หนักมือในปริมาณเท่าๆ กัน หอมผิวมะกรูดแรงทีเดียว มีกลิ่นกระเทียมจัดๆ โดยไม่มีรสหวานแบบฉ่ำๆ ของหอมแดงมาปน ปราศจากกลิ่นรสฉุนร้อนของพริกไทยตีซ้อนขึ้นมาเวลากิน ทั้งไม่มีกลิ่นหอมอื่นๆ เช่น รากผักชี ขมิ้นชัน เม็ดผักชี ยี่หร่า หรือดอกจัน ลูกจัน มาแทรกปน กระทั่งมะแขว่นพันธุ์เม็ดใหญ่ หรือพริกพรานป่า ที่ใช้กันมากในหมู่ชนกะเหรี่ยงชายแดนตะวันตกแถบอำเภอสวนผึ้ง ก็ไม่ได้ใช้ในสูตรนี้เลย

เมื่อผนวกกับใบกะเพราป่าฉุนร้อนที่มีเป็นดงๆ แถวบ้านหนองผีหลอก ในละแวกเดียวกันนั้น ก็ย่อมกลายเป็นรสชาติเฉพาะของพื้นที่ไปได้ไม่ยาก

การใส่เครื่องปรุงน้อยชนิด ไม่ได้แปลว่าจะทำให้พริกแกงรสอ่อนเบาลงแต่อย่างใดนะครับ ตรงกันข้าม มันกลับทำให้รสวัตถุดิบแต่ละชนิดแผลงฤทธิ์ออกมาได้เต็มที่ โดยไม่ต้องถ่วงกันไปมาเหมือนพริกแกงที่ใส่เครื่องมาก อย่างเช่นแบบของตำบลแสนตุ้ง จังหวัดตราด

ตอนที่ผมดมพริกแกงเผ็ดของป้าลี้ มันรู้สึกได้ถึงความเกรี้ยวกราดของพริกแห้ง ข่า ตะไคร้ โดยมีผิวมะกรูดเชื่อมโยงอยู่ห่างๆ อยากบอกว่า นี่ทำให้ผมระลึกชาติไปถึงกลิ่นแกงป่าใส่ใบกะเพราฉุนๆ ที่เคยได้กินสมัยเด็กๆ เวลาเพื่อนเอามากินที่โรงเรียนบ้าง หรือตอนที่มีงานบุญ แล้วเจ้าภาพเหมาจ่ายให้พวกป้าๆ ในชุมชนทำแกงป่ามาเลี้ยงดูแขกเหรื่อบ้าง

กลิ่นแบบนี้ รสแบบนี้ ไม่อาจหาได้จากร้านอาหารชื่อดังๆ ร้านไหนในตัวอำเภอจอมบึงของผมอีกแล้วนะครับ

ผมไม่รู้ว่ากลิ่นนี้จะยังลอยอ้อยอิ่งอยู่ในครัวเรือนชนบทแถบย่านรางบัวอีกนานแค่ไหน เพราะอาหารนั้นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตามแต่รุ่นของคน ลิ้นของคน ที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป ตามสภาพแวดล้อมบรรดามีรอบๆ ตัว

ความรื่นรมย์ในรสชาติอาหารที่เราคุ้นเคยนั้น ย่อมมีเวลาของมัน

เรื่องนี้ ใครที่ผ่านวัยกลางคนมาแล้ว ย่อมล่วงรู้เป็นอย่างดีครับ

โดย กฤช เหลือลมัย : นสพ.มติชนรายวัน


 

ในที่สุดสะตอฝักจากปักษ์ใต้ก็เริ่มปรากฏตัวหนาแน่นตามตลาดสดภาคต่างๆ แล้วนะครับ ราคาเริ่มจะถูกลง แล้วก็มี สะตอข้าว ให้เลือก เป็นสะตอรสมัน เม็ดเล็ก เนื้อหนึบแน่น ฉุนอ่อนๆ ไม่ใช่มีแต่ สะตอดาน ซึ่งกรอบ เม็ดใหญ่ และมีกลิ่นฉุนรุนแรงมาก

อันที่จริงสะตอคงมีสายพันธุ์แบบอื่นอีก เช่น ย่าผมซึ่งเป็นคนสุราษฎร์ธานีเคยพูดถึง สะเตียน คือสะตอที่มีเยื่อหุ้มเม็ดสีขาว แล้วที่มีวางขายหลายแห่งก็คือสะตอจากป่าภาคอีสาน ที่เรียก ลูกดิ่ง เพราะเม็ดเรียงเป็นแนวยาวตามแนวฝัก ต่างจากสะตอทั่วไป แถมพ่อผมยังเล่าว่าเคยเดินเท้าจากชายแดนอำเภอสวนผึ้งข้ามเข้าไปในเขตแดนกะเหรี่ยงพม่า สมัยเมื่อเกือบ 50 ปีก่อน ก็ว่ามีต้นสะตอใหญ่ๆ เต็มไปทั้งป่าเลย

คนเหม็นกลิ่นสะตอคงไม่เข้าใจว่าคนที่ชอบเขาทนกินกันเข้าไปได้ยังไง แต่แน่นอนว่าคนชอบสะตอก็จะชอบมาก ไม่ว่าจะกินสดๆ เผา ผัดหมู ดองเม็ด หรือดองทั้งฝักแบบคนกงหราที่พัทลุงเขาทำ สูตรที่คนปักษ์ใต้ทำบ่อยและแพร่หลายจนคนภาคอื่นๆ รู้จัก และพอกินตามได้อร่อยด้วย ก็เห็นจะมีผัดพริกแกงกับกุ้งสด และผัดกะปิใส่เนื้อหมูติดมัน บีบมะนาวตบท้ายให้ออกสามรส เค็ม เผ็ด เปรี้ยว

อ้อ มีสูตรต้มกะปิหอมแดง ใส่หางกะทิจางๆ หน่อไม้เปรี้ยวหรือหน่อไม้ต้มฝานบางๆ ยอดชะอม และกุ้งแห้งเป็นตัวๆ ด้วยครับ ผมคิดว่าเป็นสำรับสะตอที่กินง่าย ซดน้ำคล่องคอดี

อีกอย่างหนึ่งที่ไม่รู้บ้านอื่นเขากินกันไหม คือสะตอที่แก่จนเยื่อหุ้มเม็ดกลายเป็นสีส้มจัด เอาทั้งเม็ดทั้งเยื่อนั้นคั่วน้ำมันก้นกระทะ เติมซีอิ๊วดำเค็ม ได้สะตอทอดที่ทั้งหอมทั้งกรอบ พ่อผมชอบจิ้มน้ำพริกกิน อร่อยสุดสุด

มีสูตรกับข้าวแบบปาดัง ทางแถบตะวันตกของเกาะสุมาตราในอินโดนีเซีย คือ โกเร็ง บาดาร์

เปไต เป็นปลาข้าวสารทอดผัดพริกตำ ใส่สะตอ วิธีทำคล้ายๆ กับข้าวปักษ์ใต้ ผมเลยจะลองแปลงสักนิดๆ หน่อยๆ ให้เป็น “ปลาชิ้งชั้งผัดสะตอ” คือเอาปลาชิ้งชั้ง-ปลากะตักตัวเล็กๆ แบบหนึ่งที่คนปักษ์ใต้เอามาต้มแล้วตากแดดจนแห้ง มาทอด แล้วลองทำตามวิธีของคนปาดังดู

การทอดนี้ เราทอดเดี๋ยวเดียวก็พอครับ ไม่ต้องให้แห้งแบบที่จะทำปลาทอดกรอบหรอก เดี๋ยวจะแข็งเกินไป

ทอดพอเนื้อปลาแห้ง รัดตัวขึ้นอีกนิด แล้วตักออกก่อนนะครับ ถ้าน้ำมันในกระทะยังเหลือพอ ก็ตักพริกแกงเหลืองใส่ลงไปผัดจนหอม (สูตรปาดังใช้พริกแห้ง เกลือ หอมแดงตำละเอียด) จึงใส่ปลาชิ้งชั้งกลับลงไป พร้อมเม็ดสะตอแกะ พริกขี้หนูสดทั้งเม็ด และน้ำตาลอ้อยนิดหน่อย

ผัดกระทะนี้ควรจะเค็มอยู่แล้วนะครับ เพราะส่วนใหญ่เนื้อปลาชิ้งชั้งแห้งแบบนี้จะออกเค็มนำ แต่ถ้าชิมดูรสยังอ่อนอยู่ ก็เติมน้ำปลาได้อีกหน่อย ผัดให้แห้ง สะตอเริ่มสุกหอม จึงดับไฟ แล้วบีบน้ำมะนาวสดๆ ลงไปจนมีรสเปรี้ยวตัดเผ็ดเค็มขึ้นมาเป็นสามรส

เป็นกับข้าวจานเร่งด่วนที่ทำง่าย คนที่ผัดเผ็ดเก่งๆ คงมีวิธีเล่นกับปลาชิ้งชั้งได้ดีกว่าผมมาก เช่น อาจแช่น้ำสักครู่ ทั้งเพื่อล้างรสเค็มและเพิ่มความนุ่มให้เนื้อปลา หรือเขยิบไปอีกขั้น คือชุบแป้งทอดก่อนก็ยังได้ ไม่งั้นก็เปลี่ยนจากพริกแกงเหลืองเป็นน้ำชุบเคย (น้ำพริกกะปิ) เสียเลย ใครจะทำไม

ถ้าได้สะตอแก่ มันๆ เคี้ยวจมฟันหน่อยละก็ สูตรไหนๆ ก็อร่อยทั้งนั้นแหละครับ