ใครที่กำลังอยากลดไขมันหน้าท้อง นอกจากการควบคุมอาหารแล้ว การออกกำลังกายก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ควรทำควบคู่กันไปด้วยจึงจะเห็นผลได้เร็ว ซึ่งการออกกำลังกายเพื่อลดหน้าท้องนั้นมีอยู่หลายท่า แต่ท่าที่นิยมเป็นอันดับต้นๆ คงหนีไม่พ้นท่า ‘แพลงก์’ (Plank) เพราะเป็นท่าที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรเลย แต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีเกินคาด ซึ่งไม่เพียงแค่ทำให้หน้าท้องกระชับเท่านั้น ขอบอกเลยว่าประโยชน์ของท่าแพลงก์ยังมีอีกมาก ถ้าอยากรู้ว่ามีประโยชน์ในเรื่องใดบ้าง ตามเรามาเลยค่ะ

เพิ่มความแข็งแรงให้กับแผ่นหลัง

การทำแพลงกิ้งเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดในการสร้างกล้ามหน้าท้อง และเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับแผ่นหลังของคุณ รวมทั้งข้อต่อ กล้ามเนื้อ และกระดูกที่เชื่อมต่อร่างกายส่วนล่างไปที่ส่วนล่างของร่างกาย เมื่อคุณทำแพลงกิ้ง ร่างกายของคุณจะได้รับการออกกำลังในส่วนของกล้ามเนื้อหลักและเสริมให้มันแข็งแรงยิ่งขึ้น

ความสมดุลของร่างกายดีขึ้น

แพลงกิ้งเป็นการฝึกกล้ามเนื้อให้ทำงานในท่าทางที่เหมาะสม เช่น หลัง หน้าอก ไหล่ ท้อง และคอ ถ้าคุณทำเป็นประจำ คุณจะสามารถนั่งหลังตรงได้ง่ายๆ หลายคนมักจะห่อไหล่หรือสูญเสียความสมดุลของร่างกายในขณะที่เดิน สาเหตุนั้นเกิดจากการสูญเสียความสมดุลเพราะกล้ามเนื้อส่วนหน้าท้องนั้นอ่อนแอ การทำแพลงกิ้งจะช่วยเพิ่มความสมดุลได้

เพิ่มอัตราการเผาผลาญในร่างกาย

เนื่องจากแพลงกิ้งต้องใช้ความพยายามและกล้ามเนื้อ

หลายส่วนมากในการยึดร่างกายของคุณในท่าแพลงกิ้งนี้ ซึ่งจะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ส่วนเกินของคุณได้มากกว่าการออกกำลังกายแบบซิทอัพ โดยการทำแพลงกิ้งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีวิถีชีวิตที่นิ่งเฉย เพราะช่วยเผาผลาญไขมัน และช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหาร การทำแพลงกิ้งทุกวันจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญของคุณให้สูงขึ้น

ลดอาการบาดเจ็บที่หลังและกระดูกสันหลัง

จากที่ได้กล่าวไปว่าการทำแพลงกิ้งนั้นช่วยให้กระดูกสันหลังมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น จึงลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการบาดเจ็บที่บริเวณแผ่นหลังและกระดูกสันหลัง อีกทั้งการทำแพลงกิ้งที่ถูกต้อง ยังช่วยลดอาการปวดหลังที่เกิดจากการนั่งนานๆ หรือจากสาเหตุอื่นๆ อีกด้วย

ช่วยให้มีบุคลิกที่ดีขึ้น

การทำแพลงกิ้งจะช่วยยืดกระดูกสันหลังให้ตรง ทำให้คุณมีบุคลิกภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าการเดิน การนั่ง ซึ่งการที่มีกระดูกสันหลังที่ตั้งตรง จะช่วยทำให้คุณดูสง่ามากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะขยับด้วยท่วงท่าใดๆ

ช่วยด้านการพัฒนาอารมณ์

การออกกำลังกายทุกอย่างช่วยพัฒนาอารมณ์ แพลงกิ้งก็เช่นกัน แต่ความแตกต่างที่ได้จากแพลงกิ้งคือการที่จะช่วยยืดและผ่อนคลายกล้ามเนื้อกลุ่มที่มักจะยึดและตึงจากการนั่งเป็นเวลานานๆ เมื่อได้ปล่อยความตึงเครียดก็จะทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย

เห็นมั้ยคะว่าท่าแพลงก์ไม่เพียงแต่ช่วยลดไขมันหน้าท้องได้ แต่ยังช่วยในเรื่องอื่นๆ อีกมากมายเลย แถมยังเป็นท่าที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดๆ อีกด้วย รู้อย่างนี้แล้วเรามาออกกำลังกายด้วยท่าแพลงก์กันดีกว่าค่ะ

การวิ่งขึ้นลงบันได เป็นรูปแบบการออกกำลังกายที่สามารถทำได้ง่าย แถมส่งผลดีต่อสุขภาพมากมาย นอกจากนี้การวิ่งขึ้นลงบันได ยังเป็นรูปแบบการออกกำลังกายที่ช่วยสร้างความคล่องตัวให้กับเรา นอกจากนี้ยังช่วยสร้างความเร็วอีกด้วย วันนี้เรามีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการวิ่งขึ้นลงบันไดมาฝากกัน

วิ่งขึ้นลงบันได (Stair Running) คืออะไร

การวิ่งขึ้นลงบันไดเป็นรูปแบบการวิ่งรูปแบบหนึ่ง ที่เปลี่ยนจากการวิ่งพื้นราบหรือการวิ่งที่ลู่วิ่งมาเป็นการวิ่งขึ้นลงบันไดแทน ซึ่งการวิ่งขึ้นลงบันไดนั้นนอกจากความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาแล้ว ยังช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้ผู้วิ่งได้อีกด้วย แถมยังช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีกว่าการวิ่งรูปแบบธรรมดาอีกด้วย

ซึ่งการวิ่งรูปแบบนี้สามารถทำได้ง่ายๆ แค่มองหาสถานที่ที่มีบันได ไม่ว่าจะเป็นบันไดกลางแจ้ง บันไดอาคาร หากคุณไม่สามารถหาบันไดได้ การวิ่งขึ้นเนินก็เป็นอีกวิธีที่มีความคล้ายกับการวิ่งขึ้นลงบันได อาจจะง่ายกว่าเล็กน้อย แต่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายไม่น้อยไปกว่ากันเลยค่ะ

ประโยชน์ของการวิ่งขึ้นลงบันได

  • หัวใจแข็งแรง

การวิ่งขึ้นลงบันได เป็นรูปแบบการวิ่งที่ดีสำหรับการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด การวิ่งรูปแบบนี้จะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดและออกซิเจนดีขึ้น

ขณะที่วิ่งขึ้นลงบันไดหัวใจจะเต้นเร็วขึ้น ทำให้หัวใจมีการปรับตัวให้เข้ากับการออกกำลังกายเช่นนี้ เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงร่างกายให้เร็วขึ้น หัวใจจึงมีการเริ่มขยายตัวมากขึ้น เมื่อหัวใจขยายได้มากเท่าไรก็จะยิ่งมีการสูบฉีดเลือดได้ดีมากขึ้นเท่านั้น การที่ร่างกายสูบฉีดเลือดได้มากขึ้นเท่าไรร่างกายก็จะได้รับออกซิเจนมากขึ้นและปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้เร็วขึ้นเท่านั้น

  • ช่วยเผาผลาญแคลอรี่

การวิ่งขึ้นลงบันได เป็นการวิ่งที่มีแรงต้าน เพิ่มความหนืดในการวิ่ง ทำให้การวิ่งขึ้นลงบันไดเป็นรูปแบบการวิ่งที่ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าการวิ่งรูปแบบปกติ เนื่องจากการวิ่งขึ้นลงบันไดเป็นรูปแบบการวิ่งที่มีความเข้มข้นมากๆ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายรูปแบบนี้ในทุกๆ วัน แต่ควรทำไม่เกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์

  • เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อน่อง

การวิ่งขึ้นลงบันได เป็นรูปแบบการวิ่งที่อาจทำให้ร่างกายได้ใช้กล้ามเนื้อในส่วนที่ไม่ได้ใช้ การวิ่งขึ้นลงบันไดเป็นรูปแบบที่ช่วยเพิ่มความชันในการวิ่ง ทำให้มีการใช้กล้ามเนื้อในส่วนอื่นๆ เพิ่มขึ้น เมื่อมีการวิ่งรูปแบบนี้ ร่างกายก็จะมีการปรับตัวตามรูปแบบการใช้ชีวิตของเรา ทำให้กล้ามเนื้อน่อง กล้ามเนื้อขามีความแข็งแรง มั่นคงมากขึ้น

ลู่วิ่งในฟิตเนสก็สามารถทำได้ เพียงเพิ่มค่าความชัน ก็จะทำทำให้รู้สึกเหมือนมีการวิ่งขึ้นเขา หรือวิ่งขึ้นบันได

ประโยชน์สุขภาพอื่นๆ

การออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูง อย่างการวิ่งขึ้นลงบันได เป็นรูปแบบการออกกำลังกายที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย การออกกำลังกายแบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จากการศึกษาการเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายนั้นช่วยลดการเกิดโรคต่างๆ อย่างโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ความเครียดหรือแม้กระทั่งภาวะซึมเศร้าได้

มาเริ่มต้น วิ่งขึ้นลงบันได กันเถอะ

หากยังไม่เคยออกกำลังกายด้วยการวิ่งขึ้นลงบันไดมาก่อน ควรมีการวางแผนที่ดีเพื่อไม่ให้ร่างกายบาดเจ็บ และได้ประโยชน์อย่างเต็มที่

ในช่วงแรกที่เริ่มวิ่งขึ้นลงบันไดควรเริ่มอย่างช้าๆ และค่อยๆ เพิ่มเวลาและความเข้มข้นในการวิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะการวิ่งขึ้นลงบันไดนั้นอาจใช้กล้ามเนื้อส่วนที่คุณไม่เคยใช้มาก่อน ดังนั้นหากออกอย่างหนักเลยในครั้งแรกอาจทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อได้ ซึ่งวิธีการเหล่านี้อาจช่วยให้คุณออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. อบอุ่นร่างกายก่อนการออกกำลังกายเสมอ โดยการยืดกล้ามเนื้อขา น่อง เป็นเวลา 5-10 นาทีเพื่อให้เลือดได้ไหลเวียนและช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อขา
  2. ไม่วิ่งขึ้นลงบันไดเลยในครั้งแรก แต่ใช้วิธีการเดินขึ้นลงบันไดทีละขั้น ที่สำคัญขณะที่วิ่งควรมองไปข้างหน้า ไม่ก้มลงมองที่เท้าของตนเอง
  3. เมื่อผ่านไปได้ 3 สัปดาห์ ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นวิ่ง หากต้องการเพิ่มความเข้มข้นในการออกกำลังกายสามารถวิ่งทีละ 2 ขั้นได้
  4. ควรวิ่งออกกำลังกาย 20-30 นาที เพื่อให้การวิ่งมีประสิทธิภาพ
  5. ที่สำคัญไม่ควรวิ่งขึ้นลงบันไดในทุกๆ วัน ควรวิ่งไม่เกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์

ที่มา : Sanook.com

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แนะประชาชนเลือกซื้อเครื่องดื่มเกลือแร่ที่มีเครื่องหมาย อย. และเลือกซื้อเครื่องดื่มเกลือแร่ให้เหมาะสมต่อทางร่างกาย เช่น ผู้ป่วยอาการท้องเสียควรเลือกซื้อเครื่องดื่มเกลือแร่ชนิดผงละลายน้ำ ผู้ออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ต้องเสียเหงื่อมาก ควรเลือกเครื่องดื่มเกลือแร่ชนิดเครื่องดื่ม

เครื่องดื่มเกลือแร่ สำหรับออกกำลังกาย VS ท้องร่วง ท้องเสีย

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า เครื่องดื่มเกลือแร่ เป็นเครื่องดื่มที่สามารถชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่ร่างกายสูญเสียไปได้ ซึ่งมีส่วนผสมของน้ำตาล และเกลือแร่ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมน้ำไปใช้ได้ง่ายขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ร่างกายขาดน้ำและขาดสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย ช่วยแก้กระหาย ให้ความสดชื่นหลังเสียเหงื่อมาก

เครื่องดื่มเกลือแร่มี 2 ชนิด คือ ชนิดเครื่องดื่ม และชนิดผงแห้งละลายน้ำ

ออกกำลังกาย เลือกชนิดเครื่องดื่ม

ผู้ที่ต้องออกกำลังหรือทำกิจกรรมที่ต้องเสียเหงื่อมาก ควรเลือกซื้อเครื่องดื่มเกลือแร่ชนิดเครื่องดื่มสำหรับออกกำลังกาย หรือที่เรียกว่า Sport drink โดยคนที่ออกกำลังกายหนักมากต้องการเติมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ควรเลือกซื้อชนิดที่ได้ครบทั้งน้ำตาลและเกลือแร่ ส่วนคนที่ทำ

กิจกรรมเบาๆ มีเสียเหงื่อบ้าง ก็ควรเลือกชนิดที่ให้น้ำตาลและเกลือแร่น้อยหรือปานกลาง

ท้องร่วง ท้องเสีย เลือกชนิดผงแห้งละลายน้ำ

สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสียควรจะเลือกซื้อเครื่องดื่มเกลือแร่ชนิดผงละลายน้ำที่มีส่วนประกอบของสารใกล้เคียงกับพลาสมาของคนเพื่อให้ผู้ป่วยดื่มชดเชยปริมาณน้ำและเกลือแร่ที่ถูกขับออกมาทางอุจจาระ โดยซองบรรจุต้องปิดผนึก ซึ่งจะต้องนำผงเครื่องดื่มเกลือแร่นั้นมาผสมกับน้ำต้มสุกสะอาดตามที่กำหนดระบุไว้ข้างซอง เมื่อละลายน้ำแล้วควรดื่มภายใน 24 ชั่วโมง โดยจิบช้าๆ แทนน้ำเมื่อเริ่มมีอาการท้องเสียหรืออาเจียน ไม่แนะนำให้ผสมกับนมหรือน้ำผลไม้เนื่องจากอาจส่งผลให้ปริมาณสัดส่วนสารในสารละลายเกลือแร่เปลี่ยนแปลงได้ ควรระมัดระวังการใช้เกลือแร่ในคนที่มีการทำงานของหัวใจและไตผิดปกติ ไม่ควรใช้เกลือแร่ในผู้ป่วยที่มีภาวะท้องเสียอย่างรุนแรงซึ่งอาจจะนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ

ตามปกติร่างกายได้รับเกลือแร่จากอาหารมากพออยู่แล้ว การขาดสมดุลเกลือแร่พบได้ในคนที่สูญเสียน้ำในร่างกายมาก เช่น เสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย อาเจียน หรือท้องเสีย เป็นต้น ดังนั้นการชดเชยการสูญเสียน้ำโดยการดื่มเกลือแร่ทดแทนเพื่อป้องกันการเสียสมดุลเกลือแร่ในร่างกายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

ขณะเดียวกันการได้รับโซเดียมและโพแทสเซียมที่อยู่ในเครื่องดื่มเกลือแร่มากเกินไป จะมีผลต่อการทำงานของตับและไต การเต้นของหัวใจ การทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อผิดปกติ ทั้งนี้ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 195 (พ.ศ. 2543) เรื่องเครื่องดื่มเกลือแร่ กำหนดให้เครื่องดื่มเกลือแร่ต้องมีโซเดียมไม่น้อยกว่า 460 มิลลิกรัม และไม่เกิน 920 มิลลิกรัมโพแทสเซียมไม่เกิน 195 มิลลิกรัม ของน้ำหนักปริมาณเกลือแร่ต่อลิตร

เลือกซื้อเครื่องดื่มเกลือแร่อย่างไร?

  1. ควรเลือกซื้อเครื่องดื่มเกลือแร่ควรเลือกดูผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมาย อย. ที่ข้างบรรจุภัณฑ์เพื่อความปลอดภัยต่อผู้บริโภค
  2. ควรเลือกซื้อเครื่องดื่มเกลือแร่ให้เหมาะสมต่อทางร่างกาย เช่น เลือกชนิดเครื่องดื่มสำหรับดื่มหลังออกกำลังกาย และเลือกชนิดผงแห้งละลายน้ำ สำหรับดื่มหลังมีอาการท้องเสีย ท้องร่วง

นอกจากนี้การดื่มเกลือแร่พร่ำเพรื่อหรือดื่มในช่วงเวลาที่สภาพร่างกายไม่ต้องการอาจมีผลเสียต่อร่างกาย เช่น ทำให้ฟันผุ เนื่องจากส่วนผสมของน้ำตาล และกรดต่างๆ จะไปกัดกร่อนสารเคลือบฟัน

ที่มา : Sanook.com

ใครที่ออกกำลังกายเป็นประจำและอยากหาอะไรรับประทานรองท้องเพื่อเพิ่มพลังก่อนออกกำลังกาย จะได้ออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น วันนี้เรารวบรวม อาหาร 5 ชนิดที่ช่วยเพิ่มพลังก่อนออกกำลังกาย มาให้เลือกรับประทานก่อนไปออกกำลังกายกันค่ะ

1. อะโวคาโด

สำหรับใครที่ต้องการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง อะโวคาโดราดด้วยน้ำเลมอนสดๆ ถือเป็นอาหารสำหรับรับประทานก่อนออกกำลังกายที่ดีทีเดียว เพราะอะโวคาโดมีไขมันดีที่ช่วยเพิ่มพลังหลังจากที่ร่างกายใช้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตหมดแล้ว นอกจากนั้น อะโวคาโดและเลมอนยังช่วยให้ดวงตา ผิวพรรณ และเส้นผมมีสุขภาพดีขึ้นในระยะยาวอีกด้วย

2. นมช็อกโกแลต

การดื่มนมช็อกโกแลตอาจจะดูผิดธรรมเนียมไปซักหน่อย แต่จริงๆ แล้ว นมช็อกโกแลตนั้นมีประโยชน์ต่อการออกกำลังกายอย่างเหลือเชื่อเชียว เพราะอุดมไปด้วยแคลเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก การดื่มนมช็อกโกแลตเพื่อรับแคลเซียมก่อนออกกำลังกายจะช่วยให้คุณสูญเสียแคลเซียมที่ออกมากับเหงื่อน้อยลงด้วย

3. ขนมปังโฮลเกรน

ขนมปังโฮลเกรนเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ดีทีเดียว และยังสามารถรับประทานคู่กับอาหารได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นน้ำผึ้งหรือแยมเพื่อเพิ่มพลังงาน หรือรับประทานคู่กับไข่ต้มเพื่อเพิ่มโปรตีนก็ได้

4. กรีกโยเกิร์ต

กรีกโยเกิร์ตนั้นไม่เพียงแต่อุดมไปด้วยโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตที่สำคัญต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีน้ำตาลน้อยกว่าโยเกิร์ตทั่วไปอีกด้วย นอกจากนั้นกรีกโยเกิร์ตยังรับประทานง่าย เหมาะสำหรับรับประทานก่อนออกกำลังกายแบบหนักหน่วงและต้องใช้แรงเยอะ ลองรับประทานคู่กับผลไม้ น้ำผึ้ง หรือข้าวโอ๊ตเพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหารอื่นๆ เพิ่มเติมก็เป็นไอเดียที่ดี

5. แครอท

อย่ามองข้ามผักอย่างแครอทเชียว เพราะแครอทมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ให้พลังงานแก่กล้ามเนื้อ และโพแทสเซียมที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและช่วยป้องกันการหดตัวของกล้ามเนื้อต่างๆ

ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

สำหรับคนรักการออกกำลังกายที่ไม่รู้ว่าจะกินอะไรก่อนออกกำลังกาย จะกินข้าวก็อิ่มไป จะไม่กินอะไรเลยก็กลัวไม่มีแรง เราขอแนะนำ “กล้วย” ผลไม้กินง่ายที่ใครๆ ก็ต้องรู้จักให้เป็นทางเลือกสำหรับสายเฮลท์ตี้ทั้งหลาย เพราะในกล้วยนั้นมีน้ำตาลธรรมชาติอยู่ และโพแทสเซียมในกล้วยยังช่วยลดความดันโลหิต โดยกล้วยสุกขนาด 100 กรัม จะมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากถึง 75 กรัม ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ และยังให้พลังงาน 85 แคลอรี เพราะอย่างนี้เวลากินกล้วยก่อนออกกำลังกายจึงทำให้เรามีกำลังวังชามากขึ้น และสำหรับสาวๆ ไม่ต้องกลัวว่ากล้วยจะทำให้อ้วนขึ้น เพราะในกล้วยมีคุณค่าทางอาหารสูง แต่ไขมันต่ำ เหมาะมากๆ กับคนที่กำลังลดหุ่น รู้แบบนี้แล้วรีบไปซื้อกล้วยมาตุนไว้กินก่อนไปออกกำลังกายกันดีกว่า
 
ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

หลังผ่านวันหยุดยาวๆ มาแล้วก็ต้องช็อกเพราะน้ำหนักขึ้นเอาขึ้นเอานี่แหละค่ะ หาวิธีจัดการกลับมาทำหุ่นเฟิร์ม ให้เหมือนเดิมต้องทำอย่างไร? มาดูกัน

คาร์ดิโอ้ช่วยได้
ผ่านมรสุมปาร์ตี้วันหยุดจนหุ่นไม่ฟิตแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการเบิร์นออกไปค่ะ วันนี้เราแนะนำวิธีการออกกำลังกายที่เรียกว่า “คาร์ดิโอ้” ซึ่งก็เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิคที่ช่วยในการกระตุ้นการเผาผลาญในร่างกาย การออกกำลังกายชีวิตนี้จึงแสนเหมาะสำหรับคนที่ต้องการเบิร์นไขมันออก รวมไปถึงการยกดัมเบลล์ในน้ำหนักที่ร่างกายรับได้เพื่อเฟิร์มหลังการเบิร์นออกไปแล้ว หมั่นทำเป็นประจำ เริ่มด้วยวันละ 20 นาทีสำหรับคาร์ดิโอ้ ยกดัมเบลล์ต่ออีกสักข้างละ 20 ครั้ง ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีแน่นอน

เลี่ยงอาหารปรุงสำเร็จ

อาหารกึ่งสำเร็จรูปหรืออาหารปรุงสำเร็จหลายๆ อย่างมักจะอุดมไปด้วยโซเดียมที่สร้างอาการบวมน้ำในร่างกาย ทำให้

หน้าท้องหรือแม้แต่ใบหน้าของคุณบวมขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน ซึ่งจะขัดต่อวิถีการฟิตหุ่นเฟิร์มที่คุณกำลังจะเริ่มปฏิบัติการอยู่ ถ้าเป็นไปได้ขอให้เลือกทานอาหารที่มีกากใยสูง อาทิ ผักต่างๆ จะเน้นเป็นสลัดกับเนื้อสัตว์ไขมันต่ำก็ช่วยให้ปฏิบัติการของคุณในครั้งนี้เป็นไปได้ด้วยดี

ขับสารพิษตกค้างด้วยน้ำมะนาวอุ่นๆ
ทานเข้าไปเยอะก็มีสารพิษตกค้างเยอะเช่นกัน วิธีการนี้จะเรียกว่าดีท็อกซ์ก็ได้ค่ะ เราเน้นการทำในช่วงเช้าหลังจากตื่นนอน ก็ต้องดื่มน้ำมะนาวอุ่น 1 แก้วโดยห้ามปรุงด้วยน้ำตาลหรือเกลือ น้ำมะนาวจะช่วยขับสารพิษตกค้างในร่างกายและยังช่วยในการกระตุ้นการเผาผลาญได้ดีอีกด้วย

บอกลา “น้ำตาลและแป้ง” ชั่วคราว
ช่วงเวลาที่อยากปั้นหุ่นเฟิร์ม เราแนะนำให้หลีกเลี่ยงการทานของหวานหรืออาหารที่มีส่วนผสมจากน้ำตาลในปริมาณที่สูง รวมไปถึงอาหารจำพวกแป้งชนิดต่างๆ สายขนมปัง เบเกอรีต้องอดใจในช่วงนี้กันหน่อยเพื่ออนาคตที่สดใส แต่ว่าถ้าใครระงับความอยากอาหารชนิดนี้ไม่ได้เต็มที่ ก็ให้เลือกทานน้ำตาลและแป้งชนิดที่มีประโยชน์มากขึ้นเช่น ขนมปังไม่ขัดสี ขนมปังธัญพืช ฯลฯ ข้อสำคัญสำหรับหลายๆ คนที่ยังคงเข้าใจผิดว่าน้ำตาลที่น่ากลัวจะอยู่แค่ในขนมหวาน แต่แท้จริงแล้ว ผลไม้บางชนิดก็ให้ปริมาณน้ำตาลที่สูงเกินไปได้เหมือนกัน แนะนำว่าก่อนจะทานก็ต้องศึกษาและทำการบ้านสักหน่อยเพื่อสุขภาพและเป้าหมายการฟิตหุ่นของคุณ

ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน
หลายคนพลาดท่ากับคำว่า “ฉันจะฟิตหุ่นให้ได้” กันมานักต่อนัก เพราะสุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับนานาของกินแสนอร่อยรอบตัว คราวนี้ถ้าอยากกลับมาหุ่นเฟิร์ม นอกเหนือจากการแนะนำข้ออื่นๆ ที่กล่าวมาแล้ว สำคัญที่สุดเราจะต้องตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น จะต้องเต้นคาร์ดิโอ้ให้ได้วันละ 20 นาที ยกดัมเบลล์วันละ 40 ครั้ง งดน้ำอัดลม 1 สัปดาห์ โดยอาจทำปฏิทินการออกกำลังกายฉบับที่เป็นคุณ แล้วตั้งใจดูสักครั้ง รับรองว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น แน่นอน

แค่เริ่มต้นด้วย 5 เคล็ดลับที่เรานำมาฝากกัน รับรองได้เลยว่าเป้าหมายในการเรียกหุ่นเฟิร์มกลับมาไม่ยากอย่างที่คิด ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มกันตั้งแต่วันนี้เลยนะคะ

ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

การออกกำลังกาย ไม่จำเป็นต้องวิ่ง หรือเล่นกีฬาต่างๆ เสมอไป เพราะ “การเดิน” ก็ถือเป็นการเคลื่อนไหวร่างกาย ที่ทำให้เราสามารถมีสุขภาพที่ดีได้เหมือนกัน!

เว็บไซต์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ได้เผยแพร่เกร็ดความรู้สุขภาพ ว่าด้วยเรื่อง อยากมีสุขภาพดี ให้เริ่มต้นด้วยการเดิน เพราะการเคลื่อนไหวร่างกายด้วยการเดิน มีประโยชน์มากกว่าที่คิด

โดยการเดินช้าๆ ประมาณ 3-5 นาที และเพิ่มความเร็วขึ้น จนเริ่มรู้สึกเหนื่อย หรือเดินให้ต่อเนื่องให้ได้ระยะทาง 2.5-3 กิโลเมตร หรือใช้เวลา 30 นาที หากลองทำให้ได้เป็นประจำ สัปดาห์ละ 3 วัน หรือเพิ่มได้เป็น 5-6 วันต่อสัปดาห์ หากทำได้ดังนี้ การเดินเพียง 1 ชั่วโมงต่อวัน จะลดโอกาสการเป็นโรคเบาหวานได้ถึง 34% หรือหากเดินเร็ว 1 ชั่วโมงต่อวัน นาน 3 เดือน ควบคู่กับการคุมอาหาร เครื่องดื่ม ลดน้ำหนักส่วนเกิน 7 กิโลกรัม และหากเดิน 10,000 ก้าวต่อวัน นาน 12 สัปดาห์ ลดความดันโลหิต 8-10 มิลลิเมตรปรอท เลยทีเดียว!

การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และป้องกันโรคได้หลายชนิด หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าหลังจากการออกกำลังกายนั้น ร่างกายจำเป็นต้องได้รับสารอาหารเพื่อทดแทนพลังงานที่สูญเสียไป มีครูฝึกการออกกำลังกายและนักโภชนาการหลายคนกล่าวไว้ว่า ต้องหาอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสมไว้รับประทานหลังออกกำลังกาย เช่น โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต เพื่อเติมเต็มพลังงานร่างกายและสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาใหม่

ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า การกินอาหารประเภทโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตหลังการออกกำลังกายจะส่งผลดีต่อสุขภาพ และเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการกินอาหารหลังการออกกำลังกายซึ่งเป็นการสูญเสียพลังงาน

คราวนี้ ลองมาดูกันว่าอาหารว่าง 6 อย่างที่สามารถเติมพลังงานหลังการออกกำลังกายนั้นมีอะไรกันบ้าง

1.ไข่ต้มและขนมปังปิ้ง

ไข่และขนมปังปิ้ง มีสารอาหารประเภทโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต มีส่วนช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และยังช่วยสร้างกล้ามเนื้อ โดยควรกินภายใน 30 นาทีหลังจากออกกำลังกายเสร็จ

2.เนยถั่วและแอปเปิล

ขนมขบเคี้ยวทานเล่นอย่างเนยถั่วและแอปเปิลจะช่วยเร่งการดึงไกลโคเจนกลับเข้ามาที่กล้ามเนื้อ เพื่อสร้างกล้ามเนื้อนั่นเอง

3.ถั่ว

ถั่วเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี และยังเป็นตัวดูดซับกรดอะมิโนจำเป็นได้อย่างรวดเร็ว เพื่อนำมาใช้ในการฟื้นฟูและสร้างกล้ามเนื้อ

4.กล้วย

กล้วยอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดตะคริว และป้องกันไม่ให้เป็นตะคริวซ้ำ นอกจากนี้ยังมีน้ำตาล ซึ่งน้ำตาลธรรมชาติจากผลไม้สามารถให้พลังงานทดแทนหลังการออกกำลังกายได้

5.ไก่งวง ชีส และแอปเปิล

เมื่อรับประทานไก่งวงและชีสหลังออกกำลังกาย จะได้รับสารอาหารประเภทโปรตีน ส่วนแอปเปิลจะให้พลังงาน และเสริมการเก็บไกลโคเจนด้วย

6.เนื้อแดดเดียวและลูกแพร์

การกินเนื้อสัตว์คู่กับผลไม้นั้นเข้ากันดีอย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจาก 2 ใน 3 ส่วนของเนื้อแดดเดียวนั้นเป็นโปรตีนถึง 15-20 กรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่เราสามารถดูดซึมได้ใน 1 ครั้ง ซึ่งการกินเนื้อสัตว์คู่กับผลไม้หรืออาหารที่มีไฟเบอร์ จะช่วยชะลอกระบวนการย่อยโปรตีน และชะลอการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินด้วย

ทั้งนี้ จากบทความเรื่อง “กล้ามเนื้อล้าจากการสลายไกลโคเจน” โรงพยาบาลกรุงเทพ ได้เขียนแนะนำว่า เมื่อมีการออกกำลังกายจะมีการนำพลังงานจากไกลโคเจนที่สะสมไว้มาใช้ ดังนั้นอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตจึงสำคัญมากในนักกีฬาทุกชนิด ซึ่งอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ได้แก่ แป้ง ข้าว ข้าวโพด เผือก มัน ขนมปัง เส้น ก๋วยเตี๋ยว น้ำตาล น้ำผึ้ง และผลไม้ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นหลังการออกกำลังกาย

ทุกคนเตรียมรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงรึยัง ไม่ใช่แค่ทำใจกับรถติด หรือพกร่มออกจากบ้านนะ แต่ยังหมายถึงสุขภาพร่างกายของเราด้วย ยิ่งหนุ่มสาวออฟฟิศทั้งหลายที่ใช้ชีวิตเร่งรีบในแต่ละวันก็อาจจะละเลยการดูแลตัวเองกันได้ง่ายๆ เผลอนิดเดียวโรคภัยไข้เจ็บถามหา เพราะฉะนั้น มาออกกำลังกายเป็นประจำกันดีกว่า ร่างกายจะได้มีภูมิคุ้มกัน ไม่ป่วยง่าย แถมยังสดชื่น ควบคู่ไปกับรูปร่างที่ดีด้วย วันนี้ พาขวัญ สุพานิชรัตนา ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายจาก ฟิตเนส เฟิรส์ท จะมาให้เหตุผลชัดๆ ว่าทำไมการออกกำลังกายถึงช่วยให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรงได้

ระบบภูมิคุ้มกันถูกกระตุ้นจากการออกกำลังกาย

เมื่อออกกำลังกาย หัวใจของเราก็จะแข็งแรงขึ้น ส่งผลให้การหมุนเวียนโลหิตในร่างกายดีขึ้น ปอดทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนไปตามส่วนต่างๆ ในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายก็เช่นกัน ระบบนี้มีหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ที่ดาหน้ากันเข้ามาทุกวัน การออกกำลังกายจะเพิ่มการหมุนเวียนของเลือดโดยรวม ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาว (White Blood Cell) ถูกหมุนเวียนไปยังเซลล์ทั้งร่างกาย และทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวมีความสามารถในการเก็บกินสิ่งแปลกปลอมมากขึ้น

ถ้าเราออกกำลังกายเป็นประจำ จะเป็นการไปกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้ตื่นตัว และจะยังทำงานได้ดีต่อไปอีก 2-3 ชั่วโมงหลังการออกกำลังกาย เพราะฉะนั้นการออกกำลังกายเป็นประจำจะเป็นการกระตุ้นให้ระบบทำงานตลอดเวลา นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ และทำไมคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกายถึงป่วยได้ง่ายกว่านั่นเอง

ออกกำลังกายแค่ไหนถึงจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน

สำหรับคนทั่วไป ควรออกกำลังกายอย่างเหมาะสม โดยออกกำลังกายหนักปานกลาง 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือ 30 นาที ต่อวัน ทั้งหมด 5 วัน  ทั้งนี้สามารถทำครั้งละ 10 นาที แล้วพัก และทำต่อในรอบที่2 และ 3 อย่างละ 10 นาที รวม 30 นาทีก็ได้

ถ้าออกกำลังกายหนัก ให้ออก 75 นาทีต่อสัปดาห์ หรือ 20 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ทั้งนี้ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิคที่เป็นการออกกำลังกายแบบต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นระบบหัวใจ สามารถทำได้หลายวิธี เช่น วิ่งหรือการปั่นจักรยาน แบบง่ายๆ รวมถึงหากใครที่เป็นสมาชิกสถานออกกำลังกายก็สามารถ เลือกอุปกรณ์ได้หลากหลายในแบบที่ชอบได้มากขึ้น และควบคู่สลับกับการเล่นเวทเทรนนิ่ง ก็จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงทั้งระบบหัวใจ ปอด และกล้ามเนื้อไปด้วย เมื่อเราทำแบบสม่ำเสมอ นอกจากจะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายได้แล้ว ยังจะส่งผลให้นอนหลับง่าย สดชื่น สมองปลอดโปร่ง ลดความเครียดสะสม แถมยังลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ ใระยะยาว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และ ภาวะน้ำหนักเกิน เป็นต้น ทั้งนี้ก็ไม่ควรออกกำลังกายอย่างหักโหมเช่นกัน เพราะร่างกายที่เหนื่อยล้าถึงขีดสุดจะหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันลดต่ำลง กลายเป็นเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยไปแทน

สุขภาพดีต้องมีตัวช่วยเสริม เพิ่มเติมจากการออกกำลังกาย

การรับประทานอาหารที่หลากหลายและสารอาหารครบถ้วนก็ช่วยเสริมภูมิต้านทานได้อีกทางหนึ่ง แต่ควรได้สัดส่วนด้วย ไม่มากไป เพราะเสี่ยงต่อภาวะอ้วน และโรคภัยอีกสารพัด แล้วก็ไม่น้อยไป จนแทบไม่มีเรี่ยวแรงทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน จำไว้ว่าสุขภาพดี ไม่ได้แปลว่าต้องผอมเสมอไป นอกจากนี้ สุขภาพจิตก็สำคัญ หาทางจัดการกับความเครียด ตั้งสติ ทำสมาธิ ทำกิจกรรมที่ชอบ ออกไปพบปะเพื่อนฝูง หรือการออกกำลังกายนี่ก็ช่วยได้

 

ใครรู้สึกว่าช่วงนี้ชักจะหย่อนๆ เรื่องออกกำลังกายเกินไป หรือกินตามใจตัวเอง รวมทั้งเครียดจากปัญหาต่างๆ หาเวลาวันละเพียง 30 นาที – 60 นาที ต่อวันเพื่อมาออกกำลังกาย ยืดเส้นยืดสายกัน รับรองว่าจะเจอกับหน้าฝน หรือหน้าไหน เราก็จะไม่อ่อนแอแน่นอน

 

สามารถติดตามข้อมูลเรื่องสุขภาพอื่นๆ จากฟิตเนส เฟิรส์ท ได้ที่ www.fitnessfirst.co.th และ facebook.com/FitnessFirstThailand

หลายคนคงเคยได้ยินคำขู่ว่า “เวลาออกกำลังกายเหนื่อยๆ ถ้าหยุดนั่งทันทีจะทำให้ก้นใหญ่”

คิดว่าจริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่?

บางคนบอกไม่รู้ แต่ไม่เสี่ยงดีกว่า ยืนก่อนก็ยังดี เดี๋ยวก้นใหญ่ แต่สาวๆ บางคนบอกถ้าเป็นอย่างนี้ไม่นั่งหรอก นอนคว่ำเลยดีกว่า เผื่อจะช่วยให้ส่วนอื่นใหญ่ได้ แต่แท้จริงแล้วเวลาออกกำลังกายหรือทำอะไรเหนื่อยๆ มาเรายังไม่ควรหยุดทันที ไม่ว่าจะนั่ง นอน หรือแม้แต่ยืนเฉยๆ

การหยุดทันทีภายหลังการออกกำลังกายอย่างหนักจะเกิดอันตราย เพราะในขณะที่ออกกำลังกายหนักๆ หัวใจต้องทำงานมากขึ้นเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ ในขณะเดียวกันกล้ามเนื้อที่ได้รับเลือดมามากก็จะหดตัว บีบเอาเลือดที่ใช้แล้วกลับไปยังหัวใจมากขึ้นด้วย เป็นการรักษาวงจรการไหลเวียนโลหิตของร่างกายให้เป็นปกติ แต่ถ้าเราหยุดออกกำลังกายทันทีจะทำให้กล้ามเนื้อที่ทำงานไม่สามารถหดตัวบีบเลือดกลับสู่หัวใจได้ ผลคือจะมีเลือดคั่งอยู่ที่กล้ามเนื้อเป็นจำนวนมาก และหัวใจที่ยังเต้นเร็วและแรงอยู่นั้นก็จะได้รับเลือดไม่พอ

วิธีที่ถูกต้องภายหลังการออกกำลังกายอย่างหนัก (หนักจนพูดไม่เป็นคำ หายใจหอบ) คือ ให้เคลื่อนไหวด้วยการวิ่งช้าๆ หรือเดินต่อไปอีกระยะหนึ่งจนอัตราการเต้นของหัวใจลดลง และสามารถพูดประโยคยาวๆ ได้เป็นปกติ เป็นการคลายอุ่นและวอร์มดาวน์ร่างกาย นอกจากนั้นยังมีผลทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตนำเอาของเสียหรือกรดแลกติกออกไปจากกล้ามเนื้อได้เร็วขึ้น ช่วยลดอาการปวดเมื่อยได้เป็นอย่างดี

รู้อย่างนี้แล้วหลังออกกำลังกายเสร็จอย่างเพิ่งรีบหยุด เดินไปมาสักครู่ ยืดเส้นยืดสายกันสักนิดนะครับ


จากหนังสือ รู้งี้ผอมไปนานแล้ว! โดย สาธิก ธนะทักษ์ (โค้ชเป้ง) สนพ.มติชน