Tour Story : เรื่องราวระหว่างทัวร์

เชิญชมนิทรรศการ “หนังสือการ์ตูนไทยไฉไลกว่าที่คิด”

เพื่อเป็นการเผยแพร่และสร้างการรับรู้ให้เห็นถึงความสำคัญของหนังสือการ์ตูนไทย ที่เป็นทรัพยากรสารสนเทศและเป็นมรดกทางวัฒนธรรม กรมศิลปากร โดย สำนักหอสมุดแห่งชาติ ได้จัดนิทรรศการเรื่อง “หนังสือการ์ตูนไทยไฉไลกว่าที่คิด” ซึ่งนิทรรศการดังกล่าวเป็นการบอกเล่าถึงประวัติความเป็นมา และวิวัฒนาการของหนังสือการ์ตูนไทย ตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นจนถึงยุคปัจจุบัน มีการจัดแสดงต้นฉบับหนังสือการ์ตูนไทยที่จัดเก็บและให้บริการที่สำนักหอสมุดแห่งชาติ ตั้งแต่เอกสารโบราณประเภทสมุดไทยขาว หนังสือหายาก หนังสือพิมพ์เก่า หนังสือการ์ตูนไทย จนถึงยุคดิจิทัล

สำหรับความเป็นมาของการ์ตูนไทย เริ่มจากการเข้ามาของวิทยาการเขียนภาพแบบตะวันตก ซึ่ง “ขรัวอินโข่ง” จิตรกรในสมัยรัชกาลที่ 3 – รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้นำมาใช้เป็นคนแรกในการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังลักษณะเหมือนจริง หลายคนจึงถือกันว่าขรัวอินโข่งเป็นนักเขียนการ์ตูนไทยคนแรกของไทย ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ภาพล้อหรือการ์ตูนในเมืองไทยเป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะแนวการ์ตูนล้อการเมือง ยุคนี้ได้มีนักเขียนการ์ตูนล้อการเมืองคนแรกเกิดขึ้น คือ “ขุนปฏิภาคพิมพ์ลิขิต” หรือ “เปล่ง ไตรปิ่น” แม้รัชกาลที่ 6 เองก็โปรดการ์ตูนลักษณะดังกล่าว ดังปรากฏหลักฐานว่ามีภาพวาดฝีพระหัตถ์ล้อเหล่าเสนาบดีและข้าราชบริพารในพระองค์อยู่เสมอๆ ตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ดุสิตสมัย

มาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 วงการการ์ตูนซบเซาลง เนื่องจากพิษเศรษฐกิจ กระทั่ง พ.ศ. 2475 ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทำให้นักเขียนการ์ตูนมีเสรีภาพในการเสนอความคิดเห็นมากขึ้น จึงมีนักเขียนการ์ตูนดังๆ เกิดขึ้นในยุคนี้หลายคน อาทิ สวัสดิ์ จุฑะรพ ผู้นำเรื่องสังข์ทองมาวาดเป็นการ์ตูนเรื่องยาวเรื่องแรก

ของประเทศไทย ลงในหนังสือพิมพ์สยามราษฎร์ และเจ้าของตัวการ์ตูน “ขุนหมื่น” ซึ่งดัดแปลงมาจากป๊อบอายและมิกกี้ เมาส์ โดยเป็นตัวตลกแทรกอยู่ในการ์ตูนจักรๆ วงศ์ๆ เรื่องต่างๆ

ต่อมานักเขียนการ์ตูนคนอื่นๆ จึงสร้างการ์ตูนตัวหลักของตัวเองขึ้นมาบ้าง นอกจากนี้ยังมีนักเขียนการ์ตูนแนวเดียวกับสวัสดิ์ จุฑะรพ เช่น วิตต์ สุทธิเสถียร, จำนงค์ รอดอริ ส่วนนักเขียนในยุคเดียวกันแต่วาดคนละแนวก็มี เป็นต้นว่า ฉันท์ สุวรรณบุณย์ ผู้บุกเบิกการ์ตูนสำหรับเด็กเป็นคนแรกของประเทศไทย

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 การ์ตูนไทยซบเซาลงจากภัยสงครามเช่นเดียวกับวงการวรรณกรรม เมื่อสิ้นสงครามแล้ว วงการการ์ตูนไทยจึงฟื้นตัวอีกครั้ง ในยุคนี้ปรากฏนักเขียนการ์ตูนที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น ประยูร จรรยาวงษ์ นักเขียนการ์ตูนเจ้าของฉายา “ราชาการ์ตูนไทย” ซึ่งวาดทั้งการ์ตูนตลกและการ์ตูนการเมือง ในยุคเดียวกันนี้ก็มีนักวาดภาพประกอบผู้โด่งดังเป็นที่รู้จักกันทั่วไป คือ “เหม เวชกร” น้อยคนนักจะรู้ว่าท่านก็วาดการ์ตูนด้วยเหมือนกัน

พ.ศ. 2495 ได้มีการ์ตูนสำหรับเด็กเกิดขึ้นเป็นเล่มแรก คือ หนังสือการ์ตูน “ตุ๊กตา” อันเป็นผลงานของ “พิมล กาฬสีห์” มีตัวละครหลักสี่คน คือ หนูไก่ หนูนิด หนูหน่อย และหนูแจ๋ว ประสบความสำเร็จอย่างสูง (เลิกออกประมาณ พ.ศ. 2530 เนื่องจากพิมล กาฬสีห์ เสียชีวิต) หลังจากนั้นจึงมีการ์ตูนสำหรับเด็กออกมาอีกหลายเล่ม เช่น การ์ตูน “หนูจ๋า” ของ จุ๋มจิ๋ม (จำนูญ เล็กสมทิศ) ซึ่งเริ่มวางแผงเล่มแรกเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2500 และที่ได้รับความนิยมตามมาอีกเล่มก็คือการ์ตูน “เบบี้” ของ วัฒนา เพ็ชรสุวรรณ เริ่มวางแผงฉบับแรกเมื่อ พ.ศ. 2504 ตัวการ์ตูนหลักของเบบี้นั้นมีมากถึงสิบกว่าคน บางตัวก็มีการนำไปแสดงหนังโฆษณาก็มี คือ คุณโฉลงและคุณเต๋ว หนังสือทั้งสองเล่มนี้อยู่ในเครือสำนักพิมพ์บรรลือสาส์น

นอกจากนี้แล้วก็ยังมีหนังสือการ์ตูนสำหรับเด็กที่แฝงสาระมากอีกเล่มหนึ่ง คือ ชัยพฤกษ์การ์ตูน ซึ่งมี “ทาร์ซานกับเจ้าจุ่น” เป็นตัวชูโรง ผู้วาดก็คือ “รงค์” นักเขียนการ์ตูน นอกจากนี้นิยายภาพที่สร้างชื่อเสียงในชัยพฤกษ์การ์ตูน อย่างเช่น เตรียม ชาชุมพร เขียนเรื่อง “เพื่อน” โอม รัชเวทย์ , สมชาย ปานประชา, พล พิทยกุล, เฉลิม อัคภู ปัจจุบันหนังสือเล่มนี้ปิดตัวไปแล้ว นักเขียนคนอื่นที่มีชื่อเสียงร่วมสมัยได้แก่ พ.บางพลี (เจ้าของผลงานเรื่อง อัศวินสายฟ้า และศรีธนญชัย), ราช เลอสรวง, จุก เบี้ยวสกุล ฯลฯ ซึ่งในยุคนี้ส่วนมากจะนิยมวาดการ์ตูนเรื่อง ซึ่งบางเรื่องยาวเป็นร้อยๆ หน้า นับว่าเป็นยุคทองของการ์ตูนเรื่องทีเดียว

มายุคต่อเนื่องจากชัยพฤกษ์การ์ตูน มีกลุ่มนักการ์ตูนแนวหน้ามารวมตัวกัน 5 คนใช้ชื่อว่า “กลุ่มเบญจรงค์” เปิดเป็นสำนักงานเล็กแถวสีแยกเสือป่า ถนนเจริญกรุง โดยมี เตรียม ชาชุมพร, โอม รัชเวทย์, สมชาย ปานประชา, พล พิทยกุล, เฉลิม อัคภู ทำหนังสือการ์ตูนรายเดือนขึ้นมา ชื่อ “เพื่อนการ์ตูน” อยู่ในตลาดได้พักใหญ่ก็ปิดตัวลง ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น ก็มีกล่มทำงานเล็กๆ กลุ่มหนึ่งอยู่ห้องข้างๆ ของกลุ่มเบญจรงค์ ปัจจุบันกลายเป็นสำนักพิมพ์คุณภาพผลิตหนังสือสำหรับเด็กมากมาย นั่นคือ “สำนักพิมพ์ห้องเรียน” โดยมี ศิวโรจน์, คุณเล็ก เป็นกำลังสำคัญตั้งแต่เริ่มต้น

การ์ตูนไทยมาถึงยุคซบเซา กลายเป็นการ์ตูนราคาถูกที่พอให้ผู้อ่านหาซื้อได้ แต่ลดคุณภาพลงบ้างตามความจำเป็น กลายเป็นยุค “การ์ตูนเล่มละบาท” เกิดขึ้นครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์สากล ต่อมาหลายสำนักพิมพ์ก็ทำตาม อาทิ สำนักพิมพ์สุภา, บางกอกสาส์น, สำนักพิมพ์สามดาว เป็นต้น แม้จะไม่ใช่ยุคทองของการ์ตูน กระนั้นนักเขียนการ์ตูนยุคนั้นก็ฝากฝีมือไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมหลายคนด้วยก้น เช่น นักรบ รุ่งแก้ว, รุ่ง เจ้าเก่า, ชายชล ชีวิน, แมวเหมียว, ราตรี, น้อย ดาวพระศุกร์, ดาวเหนือ, เพลิน, เทพบุตร, มารุต เสกสิทธิ์, นอม เป็นต้น บางครั้งก็ได้นักเขียนการ์ตูนที่มีชื่อเสียงในยุคก่อนหน้านั้นช่วยเขียนปกให้ เพื่อเสริมคุณภาพขึ้นอีกระดับหนึ่ง

เช่น จุก เบี้ยวสกุล เป็นเหตุทำให้การ์ตูนเล่มละบาทได้รับความนิยมขึ้นเป็นอย่างมากในยุคหนึ่ง จนสามารถทำให้คำว่า “การ์ตูนเล่มละบาท” กลายเป็นตำนาน และเป็นสัญลักษณ์ที่เรียกกันมาจนถึงทุกวันนี้ การ์ตูนเล่มละบาทยังเป็นที่ฝึกฝนฝีมือของนักเขียนการ์ตูนหน้าใหม่ นักเรียนศิลปะที่ต้องการหารายได้ในระหว่างเรียนหนังสือ ปัจจุบันหลายคนกลายเป็นนักเขียนการ์ตูนคุณภาพระดับแนวหน้าของเมืองไทย แนวเรื่องของการ์ตุนเล่มละบาทมีทั้งเรื่องชีวิต, เรื่องผี, เรื่องตลก, นิทาน, เซ็กซ์ โดยเฉพาะเรื่อง “ผี” เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และใกล้ชิดชาวบ้านมากที่สุด

มาถึงยุคปัจจุบัน (พ.ศ.2500-ปัจจุบัน) การ์ตูนไทยที่ถือได้ว่าครองใจคนไทยทุกเพศทุกวัยเป็นอันดับหนึ่งของประเทศในเวลานี้ คือ ขายหัวเราะ-มหาสนุก-ไอ้ตัวเล็ก-หนูหิ่นอินเตอร์ และหนังสือการ์ตูนอื่นๆ ในเครือสำนักพิมพ์บรรลือสาส์น ซึ่งแนวการ์ตูนจะเป็นประเภทการ์ตูนแก๊กและการ์ตูนเรื่องสั้นจบในตอนเป็นส่วนใหญ่ ขณะเดียวกันก็เริ่มมีการพัฒนาการ์ตูนไทยในรูปแบบคอมมิค จากกลุ่มคนที่มีประสบการณ์การอ่านการ์ตูนแนวมังงะของญี่ปุ่น เท่าที่ปรากฏในเวลานี้ สำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์การ์ตูนไทยแนวดังกล่าว ได้แก่ สำนักพิมพ์บุรพัฒน์ สำนักพิมพ์สยามอินเตอร์คอมิกส์ และสำนักพิมพ์เนชั่นเอ็ดดูเทนเมนท์ ตลาดของการ์ตูนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เน้นที่กลุ่มวัยรุ่น ในขณะที่การ์ตูนนิยายภาพแบบดั้งเดิมก็ยังคงมีการผลิตอยู่เรื่อยๆ

การ์ตูนไทยในปัจจุบันยังได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่นและจีน และเมื่อรูปแบบสังคมเข้าสู่ยุคดิจิทัล การ์ตูนได้ปรับเปลี่ยนก้าวข้ามจากสื่อสิ่งพิมพ์กระดาษไปสู่สื่อสิ่งพิมพ์ออนไลน์ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเนื้อหา รูปแบบการเข้าถึง และการผสมผสานทางวัฒนธรรม สะท้อนความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยได้เป็นอย่างดี

ผู้สนใจเข้าชมนิทรรศการ “หนังสือการ์ตูนไทยไฉไลกว่าที่คิด” สามารถไปได้ที่ ห้องวชิรญาณ 2 และ 3 อาคาร 2 ชั้น 1 สำนักหอสมุดแห่งชาติ เปิดแสดงตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 11 เมษายน 2564 วันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 09.00-16.30 น. วันเสาร์และวันอาทิตย์ เวลา 09.00-17.00 น. หยุดวันนักขัตฤกษ์