ของหวานกับผู้หญิงเป็นของคู่กัน ผู้ชายบางคนก็ยังแอบปันใจให้กับขนมหวานหน้าตาน่ารักไปบ้างเหมือนกัน และลองสังเกตดู ผู้หญิงชอบช็อกโกแลต แต่ผู้ชายจะชอบสตรอว์เบอร์รี่ ไม่รู้ทำไม (แฟนใครเป็นแบบนี้บ้าง) นัดเดทกับหวานใจ หรือจะสังสรรค์กันในหมู่เพื่อนสาว สถานที่โปรดปรานก็ต้องร้านขนมหวานนี่แหละ ทานไปเม้าท์ไปเพลินเชียว

แต่หารู้ไหมว่าแคลอรี่สูงปรี๊ดชนิดที่วิ่ง 30 นาทีก็เพิ่งจะเผาผลาญไปได้แค่ครึ่งถ้วย มีขนมหวานอะไรบ้างที่ความอร่อยมาพร้อมกับแคลอรี่มหาศาลจนน่าตกใจ แล้วลองทายกันดูเล่นๆ นะคะว่าอันดับ 1 คือขนมอะไร (จำนวนแคลอรี่ วัดจากปริมาณอาหารเท่ากันที่ 100 กรัม)

10. ลอดช่อง

จำนวนแคลอรี่ : 133 Kcal

ถึงจะเป็นแป้งนิ่มๆ กับน้ำกะทิหวานๆ แต่จำนวนแคลอรี่ก็ไม่ได้สูงปรี๊ดอย่างที่หลายคนคิดกัน อาจจะด้วยจำนวนที่เราทานเข้าไปไม่ได้มากมายจนถึงขั้นจะยกทานกันเป็นหม้อๆ แต่หากราดน้ำเชื่อมเยอะ ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มแคลอรี่เข้าไปด้วย เพราะฉะนั้นลองทานจืดๆ หน่อยก็อร่อยได้เหมือนกันนะ

9. ทาร์ตไข่

จำนวนแคลอรี่ : 140 Kcal

ขนมหวานทานง่าย หอมอร่อย ถูกใจคนทุกเพศทุกวัย เห็นชิ้นเล็กๆ แบบนี้ ความหวานมันไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ ถึงแม้แคลอรี่จะไม่สูง แต่อย่าเผลอทานหลายชิ้น เพราะถ้าลองคูณสอง คูณสามดูจะพบว่า จำนวนแคลอรี่ใกล้เคียงกับข้าวจานหนึ่งมากเลยนะ

8. เครปญี่ปุ่น

จำนวนแคลอรี่ : 200 Kcal

ในกรณีที่เป็นเครปญี่ปุ่นแบบต้นตำรับ ใส่ไส้เป็นวิปครีมและผลไม้สด ก็จะได้จำนวนแคลอรี่อย่างที่เห็น แต่หากเป็นท้อปปิ้งที่หวานกว่านี้ หนักกว่านี้ เช่น เครปญี่ปุ่นบ้านเราที่โรยหน้าแฮม ไส้กรอก หมูหยอง ทูน่า ฝอยทอง ช็อคโกแลต ก็เตรียมตัวบวกเพิ่มไปอีก 20-80 Kcal ได้เลย

7. สตรอว์เบอร์รี่ชีสเค้ก

จำนวนแคลอรี่ : 200 Kcal

ถึงจะแค่ 200 Kcal แต่ความน่ากลัวมันอยู่ที่ “ชีส” นี่แหละ หากคิดจะทานบ่อยๆ โดยไม่ระวัง และไม่ออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยละก็ มีหวังก่อนอ้วนอาจจะเป็นเบาหวานเสียก่อน

6. ลูกชุบ

จำนวนแคลอรี่ : 284 Kcal

ขนมไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก ไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาตินะ จำนวนแคลอรี่ด้วย หากเห็นวิธีการทำลูกชุบจะต้องร้องว่า “มันหวานมากจริงๆ” มีทั้งแป้งจากถั่ว และน้ำเชื่อมที่เคลือบอยู่ด้านนอก แถมที่อันตรายคือยิ่งทานก็ยิ่งเพลิดเพลินด้วยเนี่ยสิ เห็นเป็นชิ้นเล็กๆ ก็ทานเอาๆ น่ากลัวไม่ใช่เล่นเลยขอบอก

5. ไอศกรีมช็อกโกแลต

จำนวนแคลอรี่ : 300 Kcal

มาถึงขนมที่ทานคนเดียวเหมาเรียบทั้งถ้วยกันบ้าง หากทานเป็นไอศกรีมเพียวๆ ก็อาจจะ 300 Kcal แต่หากมะรุมมะตุ้มไปด้วยสารพัดท็อปปิ้งเข้าไปอีก เชอร์รี่หวานเจี๊ยบ ช็อกโกแลตไซรัป น้ำตาลสีรุ้ง ช็อกโกแลตบอล ช็อกโกแลตแท่ง และสุดท้ายวิปครีม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแคลอรี่จะพุ่งไปขนาดไหน เผลอๆ หากทานคนเดียวทั้งถ้วยจะหนักกว่าทานบิงซูกับเพื่อนเสียอีก

4. ทองหยอด/ฝอยทอง

จำนวนแคลอรี่ : 340-430 Kcal

ขนมหวานเชื้อสายไทย สัญชาติโปรตุเกสชนิดนี้ งานบุญงานบาปทานได้ทานดีกันทุกเพศทุกวัย อร่อยล้ำกันง่ายๆ ทานเพลินกันตลอด แต่ใครที่ชอบทานจะทราบดีว่าภายใต้หน้าตาเรียบๆ สีเหลืองอมส้มที่เห็น เต็มไปด้วยไข่ น้ำตาล น้ำตาล และน้ำตาล เพราะฉะนั้นนอกจากปริมาณโปรตีนจากไข่แล้ว นอกนั้นน้ำตาลทั้งสิ้น น้ำตาลล้วนๆ

3. ข้าวเหนียวมะม่วง/ทุเรียน

จำนวนแคลอรี่ : 365-450 Kcal

มาถึงขนมหวานของไทยที่เป็นที่นิยมของคนต่างชาติอย่างข้าวเหนียวมะม่วง และข้าวเหนียวทุเรียน ลำพังผลไม้ทั้งสองชนิดนี้ก็มีน้ำตาลสูงปรี๊ดพออยู่แล้ว เอามาทานกับข้าวเหนียวมูลหอมหวานมันเข้าไปอีก จะไม่ให้จำนวนแคลอรี่พอๆ กับขาหมูได้อย่างไร ยิ่งได้ข่าวว่าบางที่เปิดให้ทานเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ด้วย ไม่อยากจะคิดว่าในมื้อนั้นคนที่ทานจะได้รับแคลอรี่เข้าไปมากมายเพียงไหน

2. ฮันนี่โทสต์

จำนวนแคลอรี่ : 300-700 Kcal

อีกหนึ่งขนมที่เป็นที่นิยมไม่เสื่อมคลาย จริงๆ แล้วความร้ายกาจของจำนวนแคลอรี่พอๆ กันเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะเสิร์ฟเป็นขนมปังราดเนยจนชุ่ม ตามด้วยน้ำผึ้ง หรือสารพัดท้อปปิ้งสุดหวานแล้ว ยังมาพร้อมไอศกรีมลูกโตอีกด้วย แต่อย่างน้อยก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่สาวๆ จะช่วยกันแบ่งกันอ้วนคนละคำสองคำ อย่าทานบ่อยก็แล้วกัน

1. บิงซู

จำนวนแคลอรี่ : 300-750 Kcal

ยกให้เป็นอันดับหนึ่งในขณะนี้ โดยเฉพาะสาวๆ หนุ่มๆ ที่ชอบทานแบบท็อปปิ้งล้นๆ มะม่วงสุกหวานจ๋อย สตรอว์เบอร์รี่รายล้อม ก้อนชีสถาโถม ราดเพิ่มด้วยนมข้นหวานไม่ยั้ง ถ้าได้ทานแบบนี้ติดต่อกันทุกอาทิตย์ แล้วยังใช้พลังงานเท่าเดิม เชื่อได้เลยว่าน้ำหนักขึ้นแน่ๆ แต่หากทานกันหลายๆ คน คนละคำสองคำก็ยังพอช่วยแบ่งๆ กันอ้วนได้บ้าง ใจชื้นขึ้นไหม

ขนมหวานเป็นอาหารชั้นยอดจากความสร้างสรรค์ของมนุษย์ เกิดมาทั้งทีเราก็ต้องลองทานนะคะ เพียงแต่หากทานในปริมาณที่พอเพียง ไม่มากเกินไป และออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ รับรองได้ว่าจำนวนแคลอรี่พวกนี้ทำอะไรกับรูปร่าง และสุขภาพของคุณไม่ได้อย่างแน่นอน

ที่มา : Sanook

เสิร์ฟของหวานวันนี้กับเมนูทำง่ายแค่มี “กล้วย” กับเมนู “กล้วยอบน้ำผึ้งคาราเมล” ความอร่อยหาง่ายแค่ลงมือทำ จัดการกับเมนูนี้กันดีกว่า พร้อมแล้วลุยเลยค่ะซิส

ส่วนผสม

กล้วยหอมหรือกล้วยชนิดอื่นๆ3ลูก
เนยสด50กรัม
น้ำผึ้ง4ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายแดง1/2ถ้วย
น้ำตาลทรายขาว3ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า1ถ้วย

วิธีทำ

  1. ทำในส่วนของซอสคาราเมลกันก่อน โดยตั้งกระทะด้วยไฟอ่อน – กลาง ตามด้วยเนยสด น้ำตาลทรายแดง น้ำผึ้งและน้ำเปล่า ใช้เวลาเคี่ยวประมาณ 10 นาที จากนั้นซอสคาราเมลจะเหนียวข้นได้ที่ ให้ปิดเตา เทซอสพักใส่ถ้วยให้เย็นลง
  2. นำกล้วยหอมหรือกล้วยชนิดอื่นที่มี ผ่าครึ่งด้านยาวโดยไม่ต้องปอกเปลือกออก เน้นเป็นกล้วยที่เพิ่งเริ่มสุก จากนั้นโรยน้ำตาลทรายด้านที่เห็นเนื้อกล้วยให้ทั่ว แล้วนำลงจี่ในกระทะร้อนตั้งไฟให้น้ำตาลละลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนบนเนื้อกล้วย
  3. เมื่อจี่ได้ที่แล้วให้นำซอสคาราเมลลงราดให้ทั่วกล้วยอีกครั้งในกระทะ ใช้เวลาประมาณ 1 นาทีค่อยปิดเตา นำกล้วยคาราเมลจัดใส่ถาดเข้าตู้อบไฟบน-ล่างด้วยอุณหภูมิ 180 องศา ใช้เวลาอบอีกประมาณ 5 นาที
  4. นำกล้วยอบน้ำผึ้งคาราเมลจัดใส่จานเสิร์ฟ

เคล็ดลับ : โรยน้ำตาลทรายแดงหรือน้ำตาลไอซิ่ง (ถ้ามี) ก่อนเสิร์ฟ จะได้ความสวยงามและมีรสชาติความอร่อยยิ่งขึ้น

หอมน่าทานมากๆ สายกล้วยต้องไม่พลาด อยากทำเมนูขนมหวานง่ายๆ ก็ต้องลองสูตรนี้กันนะคะ

ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

เมื่อไม่กี่วันก่อน มีโอกาสได้ไปเดินเล่นในงานแฟร์แห่งหนึ่ง ภายในงานมีร้านอาหารต่างๆ มาออกบู๊ธหลากหลาย ทั้งร้านข้าว ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านขนมหวานต่างๆ เดินซื้อกินไปเรื่อย ก็ไปเจอกับร้านขนมหวานร้านหนึ่ง ลักษณะเหมือนร้านขายน้ำแข็งไส ขนมหวานเย็นทั่วๆ ไป เพราะมีทั้งเครื่องสำหรับใส่ในน้ำแข็งไส ซ่าหริ่ม ลอดช่อง ทับทิมกรอบ และเฉาก๊วย

แต่เมื่อสังเกตดีๆ กลับไม่เจอน้ำแดงหรือน้ำเขียว และนมข้น อุปกรณ์เบสิกที่ร้านน้ำแข็งใสทุกร้านจะต้องมี จึงถือโอกาสพูดคุยกับแม่ค้าพ่อค้าคู่หนึ่ง ที่ยืนมองด้วยรอยยิ้ม โดยมี คุณยุ้ย – ทัศนภรณ์  ไข่เกตุ แม่ค้าวัย 41 ปี ยืนตอบคำถามด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำอยู่ตลอด

เธอเล่าให้ฟังว่า ร้านนี้ชื่อร้าน บ้านขนมพิชามญชุ์ เป็นสถานีนมที่ขาย นมสดทรงเครื่อง จริงๆ แล้ว เธอเพียงมาช่วยขายของเท่านั้น เพราะร้านนี้เป็นร้านของลูกสาว ซึ่งก็คือ น้องเมย์ – พิชามญชุ์  ไข่เกตุ วัย 22 ปี ที่เพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยศรีปทุม มาหมาดๆ ยังไม่ได้สมัครงานหรือทำงานประจำที่ไหนได้มาช่วยงานธุรกิจทำขนมหวานส่งโต๊ะจีนของเธอมาตลอดอยู่แล้ว บวกกับน้องเมย์ไม่อยาก

เป็นลูกจ้างใคร จึงคิดต่อยอดธุรกิจทำขนมหวานขายส่งของครอบครัว ให้มีความแปลกใหม่มากขึ้น

“น้องเมย์เขาอยากต่อยอดธุรกิจของแม่ ก็เลยคิดนั่นนี่ของเขานั่นแหละ เอาพวกนมสดอะไรนี่ มาลองกินกับพวกลอดช่อง ขนมหวานไทยต่างๆ มันก็เกิดเข้ากันได้ดี เขาก็เลยได้รู้ว่า ขนมไทยมันไม่ได้กินกับแค่พวกกะทิแล้วอร่อยนะ เอามากินกับนมสดก็อร่อยเหมือนกัน แถมยังดีต่อสุขภาพด้วยเพราะนมสดที่ใช้ เป็นนมสดที่น้องเมย์เขาคิดสูตรทำขึ้นเอง ก็เลยกลายมาเป็นธุรกิจ นมสดทรงเครื่อง นี่แหละ” คุณยุ้ย กล่าว

นมสดของที่ร้าน เป็นนมพาสเจอไรซ์ที่ใช้นมวัวดิบผสมหัวนมผงจากนิวซีแลนด์ ปรุงแต่งกลิ่นให้มีความหอม แต่มีความหวานน้อย แม้ทานโดยไม่ใส่น้ำแข็งก็อร่อย เรียกว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีการนำขนมไทยมาประยุกต์เข้ากับนมสดที่มีรสชาติกลมกล่อม คนรักสุขภาพก็ทานได้

คุณยุ้ย เล่าต่อว่า ธุรกิจนมสดทรงเครื่องนี้ ทำกันมาได้หนึ่งปีแล้ว ในตอนที่เริ่มธุรกิจใหม่ๆ ก็ไปตั้งร้านขายตามงานแฟร์ต่างๆ และถนนคนเดิน ลูกค้าส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าเป็นร้านน้ำแข็งใส จึงต้องมีการอธิบายทำความเข้าใจกันใหม่เล็กน้อย บวกกับมีสีสันสดใส จนคนเริ่มมีการบอกต่อ และกลายเป็นที่รู้จักในที่สุด

คุณยุ้ย - ทัศนภรณ์  ไข่เกตุ
น้องเมย์ - พิชามญชุ์ ไข่เกตุ วัย 22 ปี เจ้าของร้านตัวจริง

“เรามีการลงทุนค่อนข้างเยอะ ทั้งคิดค้น ดัดแปลง ว่าจะได้สูตรที่ต้องการจริงๆ แล้ววัตถุดิบอย่างหัวนมผงก็นำเข้ามาจากนิวซีแลนด์ แล้วเราก็มีการทำการตลาดด้วย กว่าจะเป็นที่รู้จัก ทุนมันก็เลยสูง แต่เราต้องการให้คนกินรู้สึกคุ้ม และเมื่อกินเข้าไปเขาสัมผัสได้ว่า มันเป็นของที่อร่อยจริงๆ ก็เลยยอมที่จะได้กำไรน้อย ซึ่งมันก็ยังดีกว่าไม่ได้ล่ะนะ” คุณยุ้ย ว่ามาอย่างนั้น

นมสดทรงเครื่อง ขายในราคาแก้วละ 35 บาท มีเครื่องให้เลือกหลากหลาย ทั้งรวมมิตร แป้งครองแครง ลอดช่อง ทับทิมกรอบ ซ่าหริ่ม เฉาก๊วย ฟรุตสลัด เม็ดแมงลัก วุ้นนมสด และธัญพืช ลูกค้าสามารถเลือกใส่เครื่องได้ประมาณ 3-4 อย่าง แล้วแต่ความชอบของลูกค้า

“ตามงานแฟร์แบบนี้ ลูกค้าเข้าร้านมาเรื่อยๆ วันหนึ่งก็ขายได้ประมาณ 5,000 แก้ว แต่ถ้าไปขายทั่วๆ ไป ก็ขายได้เฉลี่ยวันละ 200 แก้วนะ แต่เราเจาะขายพวกงานแฟร์อะไรแบบนี้ และก็ทำส่งเป็นหลัก โดยใครอยากขายนมสดทรงเครื่อง ทางเราก็ไม่หวงนะ มีตังค์แค่พันสองพัน ก็เข้ามาซื้อของ หรือซื้อแค่นมสดของเราไปขายก็ได้นะ เพราะนมสดของร้านกิโลละ 60 บาทเอง  แล้วคุณก็ไปหาซื้อเครื่องเอาเองก็ได้ เพราะมันหาง่ายอยู่แล้ว ทางเราก็ไม่ขาดทุนมากนัก ส่วนทางคุณก็ได้ทุนถูก ไปขายต่อยอดก็ยังมีกำไร อยู่ได้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย” คุณยุ้ย กล่าวทิ้งท้าย

หากใครสนใจ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก บ้านขนมพิชามญชุ์ หรือที่เบอร์ (063) 924-9444

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์                                                                                                                                                                                                                                                                                              ผู้เขียน : พัชรพร องค์สรณะคมกุล

ของแท้แน่นอนสำหรับขนมหวาน “ป้าพะเยาว์” เจ้าเก่าติวานนท์ หรือชื่อจริง “พะเยาว์ กฤษแก้ว” ที่ตรงกับสโลแกน “เชลล์ไม่ต้องชวน ก็ควรไปชิม” ซึ่งจะไปเปิดตัวทำขนมหวานไทยๆ ให้ลิ้มรสกันในงาน “เมกะ ฟู้ด เทสติวัล 2019” (Mega Food Testival 2019) ระหว่างวันที่ 8-12 สิงหาคมนี้ ที่ ฟู้ด วอล์ค เมกะ บางนา  ด้วยความอร่อยขั้นเทพระดับตำนาน ขายมากว่า 20 ปี รสชาติฟินนน..นนสุด ได้อารมณ์ขนมไทยโบราณพื้นบ้านของจริง  “ป้าพะเยาว์”  เป็นทั้งแม่ค้าทำขนมหวานขาย และเป็นอาจารย์สอนประจำการอยู่ที่ศูนย์อาชีพและธุรกิจ  “มติชนอคาเดมี”  ปัจจุบันอายุ 68 ปี

พื้นเพ “ป้าพะเยาว์” เป็นคน อ.บ้านแพน จ.พระนครศรีอยุธยา พ่อแม่ย้ายครอบครัวมาตั้งรกรากในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ครั้งนั้นเมื่อยังสาวป้าไม่ได้มีฝีมือในการทำขนม แต่เป็นสาวโรงงานทอผ้าอยู่บริษัทโทเรไนล่อนไทย แถวลาดปลาเค้า  พอแต่งงานมีครอบครัว ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีนัก ทำงานในโรงงานไม่พอกินค่าแรงไม่ถึง 300 บาท  ป้าจึงตัดสินใจ ลาออกมาค้าขายเล็กๆ น้อยๆ อยู่กับบ้าน พอได้ค่ากับข้าว  “…ตอนนั้นเราก็มีลูกแล้ว ค่าใช้จ่ายก็เยอะมีภาระเพิ่มขึ้น ก็เลยคิดทำขนมขายเป็นการหารายได้เสริมอีกทาง..”  ขนมหวานหม้อแรกที่ป้าพะเยาว์ทำเป็นอาชีพ คือ “ขนมบัวลอยเผือก”

“ถือเป็นเมนูแรกในชีวิตเลย ไม่ได้เรียนมาจากไหน ก็ทำแบบลองผิดลองถูก ครั้งแรกลองหัดทำ ถือว่าใจรักด้วย เจ้าไหนใครว่าอร่อยก็ไปชิมมาหมด แล้วเอามาปรับสูตรเป็นของเราเอง ปรับโน่นปรับนี่ เพราะมีพื้นฐานอยู่แล้ว คนมีพื้นฐานทำอะไรก็ไม่ยาก ทำออกมาขายดีมากจนคนเรียกติดปากแม่ค้าบัวลอย ไม่รู้เหมือนกันว่าอร่อยหรือเปล่า แต่ถามคนกินเขาว่า อร่อยนะ..”            ป้าพะเยาว์กล่าวหัวเราะชอบใจ

จากจุดเริ่มต้นตรงนี้ทำให้ป้ามีกำลังใจมากขึ้น จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มเมนูอื่นๆ ขึ้นมา  ป้าเล่าว่าทำขนมขายทีแรกไม่คิดเรื่องกำไร-ขาดทุน คิดแต่ว่าต้องทำให้อร่อย มีมาตรฐาน ใช้วัตถุดิบคุณภาพเต็มที่ จึงทำให้ขนมออกมาอร่อยกว่าเจ้าอื่น “ทุกวันนี้ก็ยังยึดหลักการเดิม ไม่ขี้เหนียวของ ใช้ของดีมีคุณภาพเหมือนเดิม อย่างกะทิก็กระทิสด แป้งก็อย่างดี  ส่วนประกอบอื่นๆ ถ้าเป็นของสดก็ต้องสด ใหม่”  จากบัวลอยเผือก ที่เสริมเข้ามาเป็น “ข้าวเหนียวมูน” และข้าวเหนียวหน้าต่างๆ ซึ่งเมนูนี้เป็นเพียงอย่างเดียวที่ได้รับถ่ายทอดมาจากแม่ และยังเป็นเมนูที่ขึ้นชื่อของป้าพะเยาว์อีกด้วย 

ชื่อเสียงที่สั่งสมไว้นานวันเข้ากลายเป็นว่าขนมหวานอะไรก็ตาม  หากเป็นชื่อ “ป้าพะเยาว์ ติวานนท์” แล้ว  คนกินไม่ผิดหวัง รสชาติหวาน มัน อร่อยคุ้มราคา จนได้ฉายา “ป้าเยาว์อร่อยร้อยหม้อ” เพราะมีขนมมากมายหลากหลายเมนู นับรวมกันแล้ว ไม่ว่าขนมถาด ขนมหม้อ ขนมนึ่ง ไปจนถึงจำพวกรวมมิตร ลอดช่องน้ำกะทิ  ลอดช่องสิงคโปร์  ทับทิมกรอบและสลิ่ม เป็นต้น ที่ป้าพะเยาว์ทำขายมา ล้วนอร่อยถูกอกถูกใจคนกินทุกอย่าง

ถามถึง “เคล็ดลับความอร่อย” ป้าบอกชัดเจนโดยไม่ลังเลอยู่ที่คุณภาพและมาตรฐานของวัตถุดิบ ที่สำคัญคือ “ใจ” การทำขนมต้องใส่ใจในการทำ พร้อมยกตัวอย่างกล้วยบวชชี คนบอกว่าทำง่าย ป้าบอกไม่ง่ายเลย  เคล็ดลับของป้าคือกะทิต้องไม่แตกมัน และใส่น้ำมะพร้าวอ่อนลงไปด้วย  “..กินแล้วชื่นใจจริงๆ  อันนี้ทำให้เราโดดเด่นกว่าที่อื่น ป้าเองชอบทำอะไรให้ออกมาแล้วต้องดี”    ขนมหวานป้าเยาว์จึงแตกต่าง

ปัจจุบันป้าพะเยาว์ยังคงทำขนมขายเป็นปกติ มีพี่ๆ น้องๆ รวม 5 คน ล้วนอายุเลยวัยกลางคนไปแล้วคอยเป็นลูกมือช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ป้าบอกว่ามีลูกสาวแต่ไม่ชอบทำขนม เลยกลายเป็นว่ามีแต่พี่น้องที่มาช่วยกัน “…ขายขนมหวานเป็นอาชีพที่ใจเรารัก เพราะฉะนั้นทำอะไรก็ขายได้หมด  มันมาจากความเชื่อถือของคน เมื่อขายได้ก็ทำให้เรามีรายได้จะมากจะน้อยอยู่ที่ความขยันด้วย แล้วที่สำคัญคือนอกจากใส่ใจกับสิ่งที่เราทำขายแล้ว ต้องซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ซื่อสัตย์ต่อใจตัวเอง ไม่ละโมบโลภมาก ไม่งั้นจะส่งผลต่อสินค้าของเรา ทุกวันนี้ป้าเยาว์ทำอะไรออกมาคนกินเขาเชื่อถือหมด พอเราเอาไปวางขาย เขาหยิบๆเอาไปเลยด้วยความเชื่อใจว่าไม่ผิดหวัง”

ป้าพะเยาว์ขนมหวานอร่อยร้อยหม้อ  ปัจจุบันขายสองแห่ง ที่หน้าโรงพยาบาลกรมชลประทาน ขายสองวัน คือวันอังคารและวันศุกร์ เวลา 10.00-12.00 น. พอขายหมดก็กลับบ้านทำขนมสำหรับขายในตอนเย็นจนถึงหัวค่ำ ที่หน้าธนาคารกสิกรไทย ปากซอยติวานนท์ 25  นอกจากขายแล้ว ยังรับสั่งออร์เดอร์อีกด้วย  เมนูยอดนิยมเป็นข้าวเหนียวมูน อันดับหนึ่ง รองลงมามี          ข้าวเหนียวถั่วดำน้ำกะทิ  ลอดช่องสิงคโปร์  รวมมิตร  ลอดช่องน้ำกะทิ   บัวลอย และขนมถาดต่างๆ

ส่วนการเป็นวิทยากรสอนทำขนมหวานที่มติชนอคาเดมี  ป้าพะเยาว์บอกว่าการทำขนมไทยจุกจิก ดังนั้น ต้องมีความอดทน ต้องใจรัก เวลาไปสอนป้าจึงสอนแบบหมดไส้หมดพุง ให้เต็มร้อย  นอกห้องเรียนกลับบ้านแล้วยังโทรสอบถามได้  “..ป้าบอกเลยว่าเมื่อมาเรียนแล้วก็อยากให้คนเรียนได้วิชามากที่สุดเท่าที่เขาจะรับได้ สอนให้เต็มที่ไม่มีหวง แต่ที่สำคัญต้องกลับไปฝึกด้วย ไม่ใช่มานั่งเรียนอย่างเดียว ต้องไปลองผิดลองถูก ถ้าสงสัยอะไรก็โทรมาถามได้ตลอด  ป้ายินดีตอบ เพราะอยากให้เขาได้วิชาจริงๆ และเป็นประโยชน์กับคนเรียน ให้ใช้หากินได้ตลอดชีวิต” ป้าพะเยาว์กล่าวจากใจจริง

ฉะนั้น ใครอยากเรียนกับป้าพะเยาว์ ตอนนี้ก็ต้องรีบ ป้าบอกว่าอายุมากแล้วร่างกายสังขารเสื่อมไปตามกาล ยังแต่จิตใจเท่านั้นที่อยากถ่ายทอดความรู้ให้คนรุ่นหลัง เพราะ “ให้เขา    เราก็ได้บุญ”

เป็นอีกหนึ่งศูนย์การค้าที่ครบเครื่องไปเสียทุกสิ่งเลยจริงๆ สำหรับ “เมกา บางนา” ที่เพียบพร้อมทั้งของใช้ สินค้าแฟชั่น ไปจนถึง “อาหาร” ที่มีให้เลือกกินสารพัดร้าน หลากเมนู ชนิดที่คนโซนกรุงเทพฯตะวันออกไม่ต้องเข้าเมืองกันเลยทีเดียว

ที่พลาดไม่ได้เห็นจะเป็นบรรดา “ของหวาน” ที่แต่ละร้านมีเมนูยั่วยวนชวนเพิ่มน้ำตาลให้ชีวิตเสียจริงๆ งานนี้ “มติชนอคาเดมี” เลยขอพาไปชิมของหวาน 5 ร้าน ที่หากไปเมกา บางนา แล้วบอกเลยว่าพลาดไม่ได้!!

1.ร้าน White day

พิกัด : ชั้น 1 ศูนย์การค้าเมกา บางนา

พูดถึงของหวานแนวเค้ก ขนม เบเกอรี่แล้ว White day คงเป็นร้านในอันดับต้นๆ ที่หลายคนนึกถึง เมนูเด่นที่ไปแล้วต้องโดนเลย Strawberry Dome (สตรอเบอรี่โดม) ราคา 205 บาท แค่เห็นยกมาเสิร์ฟตรงหน้าก็อยากจะกรีดร้องให้กับโดมช็อกโกแลตก้อนโตชวนฟินแล้ว

Strawberry Dome

โดยสตรอเบอรี่โดมนี้เป็นขนมที่มีต้นแบบมาจากแนวคิดการให้ของขวัญของประเทศญี่ปุ่น ข้างในโดมเป็นสตรอเบอรี่ พุดดิ้งเครป, สตรอเบอรี่ มูส, ไอศกรีมวานิลา, สตรอเบอรี่สดสับ และวานิลาครัมเบิ้ล ราดด้วยซอสสตรอเบอรี่หวานอมเปรี้ยวชื่นใจ

อีกเมนูแนะนำที่อยากให้ลองกินกันดูคือ Fruit Puff Parfait (ฟรุ๊ต พัฟ พาเฟ่ต์) ราคา 215 บาท ความอร่อยอยู่ที่แป้งพัฟกรอบนุ่ม เสิร์ฟพร้อมมินิไอศกรีม 3 รสชาติ ราดด้วยซอสเบอรี่ ตกแต่งด้วย กีวี่, พีช และคาราเมลอัลมอนด์

Fruit Puff Parfait

และสำหรับใครที่ไม่อยากทานหวานมากเกินไป ที่นี่ยังมีเมนูของหวานเพื่อสุขภาพอย่าง TOFU BUALOY KAKIGORI ราคา 219 บาท เป็นน้ำแข็งไสรสน้ำเต้าหู้ ราดด้วยเฉาก๊วย แปะก๊วย ปาท่องโก๋กรอบ เสิร์ฟพร้อมบัวลอย ดีงามแบบไม่ต้องกลัวเบาหวานกันเลยจ้า

TOFU BUALOY KAKIGORI

หรือสำหรับใครที่ชอบสไตล์เค้ก ที่นี่ก็มีเค้กให้เลือกละลานตาไปหมด หนึ่งในตัวที่ขายดีก็คือ White Day Shortcake ราคา 125 บาท ตัวเค้กเนื้อนุ่มๆ กับครีมรสละมุน และสตรอเบอรี่ลูกโต อร่อยจนต้องเทใจให้ไปเลย

White Day Shortcake

2.ร้าน Farm Design

พิกัด : ชั้น 2 ศูนย์การค้าเมกา บางนา

หากจะพูดถึงร้านเครื่องดื่มและขนมที่ขึ้นชื่อเรื่อง “นม” และ “ชีส” ก็คงต้องยกให้ Farm Design เขาเลยล่ะ โดยเมนูเครื่องดื่มที่อยากจะบอกว่าอร่อยต้องลองเลยก็คือ สตรอเบอรี่ ชีสเค้ก เฟรปเป้, โอริโอ มิ้นท์ ชีสเค้ก เฟรปเป้ และ ไวท์มอลต์ ชีสเค้ก เฟรปเป้ ราคาเมนูละ 125 บาท

ส่วนเค้กก็ดีงามไม่แพ้กันเลย โดยเฉพาะ 3 เมนูนี้ คลาสสิค ชีสเค้ก ราคา 110 บาท, ช็อกโก มู ราคา 115 บาท และ ดับเบิ้ล มัทฉะ ชีสเค้ก ราคา 125 บาท

คลาสสิค ชีสเค้ก
ช็อกโก มู
ดับเบิ้ล มัทฉะ ชีสเค้ก

3.ร้าน IHOP

พิกัด : เมกา ฟู้ดวอล์ก โซนใหม่ ชั้น L1

ร้านแพนเค้กอันโด่งดังจากสหรัฐอเมริกาที่มาเปิดในไทยเมื่อไม่นานมานี้ และที่เมกา บางนา เป็นสาขาที่ 3 หากไม่ลองกินก็กลัวจะคุยกับใครเขาไม่รู้เรื่อง

Berries & Cream Waffle

ประเดิมด้วยเมนู Berries & Cream Waffle ราคา 195 บาท เบลเยี่ยมวาฟเฟิลกรอบนิดๆ ราดด้วยครีมวานิลา, บลูเบอรี่, สตรอเบอรี่เกลช และชูก้าร์พาวเดอร์ ดีงามเกินห้ามใจสุดๆ

สำหรับคนรักชีสเค้ก ขอแนะนำ New York Cheesecake ราคา 195 บาท บัตเตอร์มิลค์แพนเค้ก ราดด้วยสตรอเบอรี่เกลช และชีสเค้กไบท์

New York Cheesecake

และอีกเมนูน่ากิ๊นน่ากินจนต้องขอลองสั่งมาชิมดู Strawberries & Cream Crepes ราคา 195 บาท เป็นเครปพับ ราดด้วยสตรอเบอรี่เกลช และครีมวานิลา

Strawberries & Cream Crepes

ตบท้ายด้วยเครื่องดื่มเย็นๆ สีสันสดใสสไตล์แคลิฟอร์เนียสุดๆ อย่าง BLUESPLASHER ราคา 85 บาท ซึ่งเป็นน้ำบลูเบอรรี่ผสมน้ำอัดลม และ SPLASHER ราคา 85 บาท น้ำส้มด้านล่างแก้วมีซอส และเนื้อสตรอเบอรี่

4.ร้านซอลบิง Sulbing

พิกัด : เมกา ฟู้ดวอล์ก โซนใหม่

ไม่พูดถึงคงไม่ได้กับร้านน้ำแข็งไสจากเกาหลีร้านนี้ “Sulbing” กับของดีของเด็ดก็คือ “บิงซู” แสนอร่อยนั่นเอง

ที่ฮิตสุดๆ ใครไปเป็นต้องสั่งก็คือ “โยเกิร์ตเมล่อน” ราคา 395 บาท เมนูนี้ว้าวมากเพราะเขาเสิร์ฟเมล่อนมาเลยครึ่งลูก ด้านในเป็นน้ำแข็งไส รสชาติโยเกิร์ต พร้อมชีสเค้ก ราดด้วยน้ำข้นหวาน

ส่วนสาวกช็อกโกแลตต้องเมนูนี้เลย “ช็อคโกแลตสตรอเบอรี่” ราคา 385 บาท เป็นน้ำแข็งไสท้อปปิ้งด้วยไอศกรีมช็อคโกแลต, บราวนี่เข้มข้น ช่วยตัดความเปรี้ยวของสตรอเบอรี่ได้เป็นอย่างดี ราดด้วยน้ำข้นหวาน และซอสสตรอเบอรี่ เข้ากันสุดๆ

ปิดท้ายด้วยเมนูที่กำลังมาแรงในตอนนี้อย่าง “ซอลบิงซูเฟล่เค้ก” ราคา 255 บาท ซูเฟล่ ฟูนุ่ม ราดด้วยเนยร้อนๆ เสิร์ฟพร้อมวิปครีมตีขึ้นเองใหม่ๆ และสตรอเบอรี่สดๆ ราดด้วยน้ำผึ้ง อร่อยยอมใจจริงๆ

5.ร้าน Guss Damn Good

บอกเล่าเรื่องราวของไอศครีมที่แตกต่างด้วย ‘ความคราฟต์’ และการตั้งชื่อรสชาติแบบมีสตอรี่ อาทิ Sleepy Potion ที่ต้องสื่อว่า ไอศกรีมรสกาแฟนี้เปรียบเสมือนยาพิษของความง่วง และ Dragon on Cloud ไอศกรีมรสชาร์โคลผสมชีสเค้กฮอกไกโด นอกจากนี้ยังมีรสชาติอื่นๆ อีกมายอีกกว่า 31 รสชาติ ปัจจุบันมีทั้งหมด 6 สาขา ไปลองไปตำกันได้จ้า

นี่แค่ตัวอย่างเท่านั้น เพราะจริงๆ แล้วเมกา บางนา ยังมีร้านอร่อยอีกเพียบ จนเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของนักกินที่คุณไม่ควรพลาด!

ขนมหวานแบบไทยๆ อย่างเมนู “สาคูเปียก ข้าวโพด” ที่ใครๆ ก็ชอบหาทานกัน รสชาติหวาน หอมข้าวโพด หอมกะทิ ยิ่งทานยิ่งเพลิน เป็นเมนูที่ทำง่ายขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ใครอยากรู้วิธีการทำจะเป็นแบบไหนมาดูพร้อมๆ กันเลยค่ะทุกคน

วัตถุดิบสาคูข้าวโพด
1. สาคูเม็ดเล็ก
2. ข้าวโพดดิบ
3. น้ำตาลทราย
4. น้ำเปล่า
ส่วนผสมหน้ากะทิ
1. เกลือ
2. กะทิ
3. แป้งมันหรือแป้งข้าวโพด

 

วิธีทำสาคูข้าวโพด
1. ใส่น้ำเปล่าลงในหม้อตั้งไฟไว้ให้เดือด (ให้เม็ดใสข้างในยังเป็นตากบสีขาวขุ่นอยู่บ้าง)
2. ใส่ข้าวโพดดิบที่ฝานไว้ลงไป คนไปเรื่อยๆ จนเหลือสีขาวขุ่น
3. จากนั้นใส่น้ำตาลทรายลงไป คนให้ละลาย รอจนสาคูสุกทั่วกัน

มาทำส่วนของกะทิกันค่ะ
4. นำหัวกะทิไปเคี่ยว ใส่เกลือ ใส่แป้งมันหรือแป้งข้าวโพดลงไปคนๆ พอให้ข้นๆ และหนืดๆ เป็นอันเสร็จ
5. จัดใส่ถ้วยให้สวยงาม พร้อมรับประทานแล้วค่ะ

ขนมหวานแบบไทยๆ "สาคูเปียก ข้าวโพด"

Happy Dish: วิธีทำขนมหวานแบบไทยๆ "สาคูเปียก ข้าวโพด"Matichon Academy – ศูนย์อาชีพและธุรกิจมติชน

โพสต์โดย Khaosod – ข่าวสด เมื่อ วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน 2017

สนใจเรียนทำอาหาร
ดูได้ที่ www.matichonacademy.com
หรือดูตารางเรียนประจำเดือนได้ที่นี่ >ตารางเรียน

หรือติดตามอัพเดทเรื่องราวอาหารและไลฟ์สไตล์สนุกๆได้ที่
Facebook : MatichonAcademy

โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ทและวิลลา หัวหิน ขอเชิญทุกท่านมาพบกับผลไม้ขึ้นชื่อของไทย อิ่มอร่อยคลายร้อนส่งท้ายปลายฤดูกับหลากหลายเมนูของหวานพิเศษสำหรับฤดูกาล ที่คัดสรร “มังคุด” เนื้อแน่นฉ่ำ หวานอมเปรี้ยว มาปรุงเป็นเมนู “ขนมหวานมังคุดสุดเริ่ด” ที่รับประกันได้ว่าไม่ซ้ำใคร มาให้ทุกท่านได้ลิ้มลองตลอดเดือนมิถุนายนที่ เดอะมิวเซี่ยม คอฟฟี่ แอนด์ ทีคอร์เนอร์

ตลอดเดือนมิถุนายนนี้ เดอะมิวเซี่ยม คอฟฟี่ แอนด์ ทีคอร์เนอร์ ชวนคุณมาอิ่มอร่อยส่งท้ายปลายฤดูร้อนกับ “ขนมหวานมังคุดสุดเริ่ด” ที่นำเสนอรสชาติของราชินีผลไม้ในหลากหลายเมนูของหวาน รังสรรค์จากมังคุดพันธุ์เยี่ยม มามิกซ์ แอนท์ แมช เป็นเมนูสุดเริ่ด ที่แสนอร่อยเกินห้ามใจ ทั้งเมนู ทาร์ตมังคุดและทับทิม ที่ผสานความอมเปรี้ยวของทั้งมังคุดและทับทิม เข้ากับความหวานมันเค็มของครีมชีสและแป้งทาร์ตได้เป็นอย่างดี ครบรสชาติและรสสัมผัส พาร์เฟต์มังคุดมิกซ์เบอร์รี่ ที่ใช้มังคุดหวานฉ่ำ มิกซ์เบอร์รี่สดใหม่ และโยเกิร์ตที่ดีที่สุดที่เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมหวาน หอม ในทุกคำที่ลองลิ้มชิมรส หรือจะลองรับประทานเมนูยอดนิยม เค้กมังคุดนโปเลียน เมนูที่ผสานรสชาติดาร์กช็อกโกแลตรสเข้ม กับครีมวานิลลาที่ละเอียดอ่อน เพิ่มความสดชื่นด้วยรสหวานมันอมเปรี้ยวของมังคุด หวานมันกำลังดี อร่อยฟินอย่าบอกใคร

ไม่ว่าคุณจะชื่นชอบของหวานรูปแบบไหน เดอะมิวเซี่ยมโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ทและวิลลา หัวหิน พร้อมให้คุณได้ลิ้มลองหลากหลายเมนูขนมหวาน ขนมอบ เค้กและคุกกี้นานาชนิด เสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่ม ชาและกาแฟ รวมถึงเมนูอาหารว่าง ตลอดทั้งวัน พร้อมการบริการที่เอาใจใส่ท่ามกลางทัศนียภาพอันงดงามของสวยไม้ดัดในบรืเวณโรงแรม ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสวนที่สวยที่สุดในประเทศไทย

เมนูขนมหวานมังคุดสุดเริ่ด” ให้บริการตลอดทุกวัน ตั้งแต่ 1-30 มิถุนายนนี้ ณ เดอะมิวเซี่ยมโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ทและวิลลา หัวหิน ในราคาเริ่มต้น 150++ บาท

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งได้ที่ 0 3251 2021-38 หรืออีเมลล์ [email protected]

สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จัดทำภาพอินโฟกราฟิกเผยแพร่ในสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับพลังงานในขนมไทย โดยใช้ภาพประกอบจากละครดังที่กำลังเป็นกระแสโด่งดัง อย่างละครบุพเพสันนิวาส โดยมีตองกีมาร์ หรือเท้าทองกีบม้า ผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประดิษฐ์ขนมไทยขึ้นมา ทั้งทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ทองม้วน และหม้อแกง ขึ้นมา จนได้รับได้รับฉายา ”ราชินีแห่งขนมไทย”

โดยสำนักโภชนาการระบุว่า ฝอยทอง 1 แพ เท่ากับ น้ำตาล 3 ช้อนชา ได้พลังงาน 220 กิโลแคลอรี ไม่ควรอร่อยเกิน 3/4 แพ

เม็ดขนุน 1 ชิ้น เท่ากับน้ำตาล 1 ช้อนชา ได้พลังงาน 40 กิโลแคลอรี ไม่ควรอร่อยเกิน 2 เม็ด

ทองหยอด 1 ชิ้น เท่ากับน้ำตาล 1 ช้อนชา พลังงานที่ได้ 30 กิโลแคลอรี ไม่ควรอร่อยเกิน 3 เม็ด

ทองหยิบ 1 ชิ้น เท่ากับน้ำตาล 2 ช้อนชา พลังงานที่ได้ 60 กิโลแคลอรี ไม่ควรอร่อยเกิน 1-2 ชิ้น

 

ที่มา มติชนออนไลน์