“กล้วย” นับเป็นผลไม้ที่อยู่คู่คนไทยมานาน เป็นทั้งอาหารเด็ก อาหารกลางวันนักเรียน ผลไม้ให้พลังงานนักกีฬา ของหวานของผู้ใหญ่ ไปจนถึงผลไม้นิ่มๆ เคี้ยวง่ายของผู้สูงอายุ นอกจากรสชาติอร่อยหวานหอมจนสามรถนำมารับประทานได้ทั้งแบบสดๆ และแปรรูปเป็นสารพัดขนมแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายอีกด้วย

ประโยชน์ของ “กล้วย”

ลดระดับคอเลสเตอรอล

เนื่องจากกล้วยเป็นผลไม้ที่มีกากใยอาหารอย่างพอเหมาะ จึงทำให้กล้วยมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลไม่ให้สูงเกินไป ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอื่นๆ ตามมา เช่น โรคเบาหวาน และโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น

ผลไม้ของคนอยากลดน้ำหนัก

กล้วย เป็นอาหารที่รับประทานแล้วอิ่มเร็ว อยู่ท้อง และให้พลังงานกับร่างกายได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม กล้วยเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาล และยังไม่มีรายงานวิจัยไหนยืนยันว่าช่วยลดน้ำหนักได้ จึงควรบริโภคอย่างพอเหมาะ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย

ควบคุมระดับความดันโลหิต

สารโพแทสเซียมที่พบในกล้วยจะช่วยให้ร่างกายขับโซเดียมออกมาทางปัสสาวะได้มากขึ้น ส่งผลดีต่อระดับความดันโลหิตที่ลดลงตามไปด้วย

ลดอาการท้องเสีย

เส้นใยอาหารที่ย่อยง่ายของกล้วย ช่วยลดอาการท้องเสียได้ เพราะกล้วยมีคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้ เป็นแหล่งอาหารของเหล่าจุลินทรีย์โปรไบโอติก ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดดีที่พบในลำไส้ ช่วยลดอาการท้องเสีย ที่เป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการรับประทานยาปฏิชีวนะบางชนิดได้ด้วย

แก้อาการท้องอืด

คาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้ที่อยู่ในกล้วย ที่เป็นแหล่งอาหารชั้นดีของจุลินทรีย์โปรไบโอติกในลำไส้ นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงอาการท้องเสียแล้ว ยังรวมถึงปัญหาท้องอืดท้องเฟ้อได้อีกด้วย

ดีต่อสุขภาพคนโลหิตจาง

กล้วย มีธาตุเหล็กที่ดีต่อสุขภาพของคนที่มีอาการโลหิตจาง เพราะการเพิ่มธาตุเหล็กในร่างกายจะช่วยเพิ่มการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่ากล้วยจะช่วยรักษาโรคโลหิตจางได้แต่อย่างใด

ข้อควรระวังในการกินกล้วย

กล้วย เป็นผลไม้ที่ให้พลังงาน เพราะมีน้ำตาลที่ร่างกายสามารถดึงพลังงานไปใช้ได้ในทันที เพราะกับการกินเพื่อให้พลังงานในการออกกำลังกาย ดังนั้นหากคิดจะกินกล้วยเพื่อการลดน้ำหนัก ควรควบคู่ไปด้วยกันกับการออกกำลังกายด้วย หากกินมากไป อาจทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไป และอาจอ้วนได้

นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการกินกล้วยดิบ เพราะกล้วยดิบจะมีแป้งมาก ย่อยยาก ทำให้ท้องอืด และท้องผูก เพราะเส้นใยอาหาร (เพคติน) ในกล้วยที่อาจไปดูดซึมน้ำในลำไส้ เมื่อลำไส้ไม่มีน้ำไปหล่อเลี้ยงกากอาหาร อุจจาระจึงแข็งตัวจนเกิดอาการท้องผูก

กล้วย ไม่ใช่อาหารเพื่อรักษาโรค ควรกินอย่างพอเหมาะในปริมาณที่เหมาะสม และออกกำลังกายเป็นประจำ ผู้ป่วยเบาหวานและโรคประจำตัวอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ถึงปริมาณที่เหมาะสมในการกิน

ที่มา : Sanook

แม้ญี่ปุ่นจะนำเข้ากล้วยมาจากประเทศฟิลิปปินส์เป็นส่วนใหญ่ แต่ด้วยราคาที่ถูก กล้วยจึงเป็นผลไม้ที่คนญี่ปุ่นนำมารับประทานในชีวิตประจำวันมากกว่าผลไม้ใดๆ มารู้ประโยชน์มากมายของกล้วยตามที่คนญี่ปุ่นเขาแนะนำกันนะคะ

1. กล้วยเป็นของว่างที่ดีสำหรับเด็กๆ

ในญี่ปุ่นคุณแม่ส่วนใหญ่นิยมให้ลูกรับประทานกล้วยเป็นอาหารว่าง เนื่องจากกล้วยอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อยได้แก่ วิตามินบี 2 ซึ่งช่วยในกระบวนการเจริญเติบโต แมกนีเซียมซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน รวมถึงช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย และวิตามินบี 6 ซึ่งช่วยในกระบวนการเผาผลาญของโปรตีนไปเป็นกล้ามเนื้อและเลือด

2. กล้วยกับความงาม

กล้วยอุดมไปด้วยวิตามินบี 2 ซึ่งช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีของผิวพรรณและเส้นผม วิตามินบี 6 ซึ่งช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้น ลดความหยาบกร้าน และโพลีฟีนอลซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันไม่ให้แก่ก่อนวัย

3. ช่วยในการสร้างสมดุลของร่างกายในระหว่างการลดความอ้วน

กล้วยอุดมไปด้วยโพแทสเซียมที่ช่วยลดอาการบวมน้ำของร่างกาย เส้นใยอาหารซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีและป้องกันอาการท้องผูก และวิตามินบี 2 ซึ่งช่วยในการเผาผลาญไขมันส่วนเกินในร่างกาย

4. ช่วยลดความเครียด

กล้วยอุดมไปด้วยกรดอะมิโนทริปโทเฟนซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสร้างสารสื่อประสาทชื่อ เซโรโทนิน ซึ่งมีผลในการช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ช่วยลดอาการหงุดหงิดและช่วยให้นอนหลับดี นอกจากนี้กล้วยยังมีแมกนีเซียมสูงซึ่งมีบทบาทสำคัญในการทำให้รู้สึกผ่อนคลายและมีจิตใจเบิกบาน

5. ช่วยลดอาการเมาค้าง

กล้วยอุดมไปด้วยไนอะซิน (Niacin) ซึ่งช่วยสลายแอลกอฮอล์ที่ตกค้างในร่างกาย ช่วยให้การไหลเวียนเลือดดี และช่วยลดอาการปวดหัว มีโพแทสเซียมซึ่งช่วยขจัดโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย และวิตามินบี 1 ซึ่งมีบทบาทในการบรรเทาความเหนื่อยล้าจากอาการเมาค้าง และช่วยเสริมการหลั่งน้ำย่อยในระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น

กล้วย 1 ผลมีพลังงานเพียง 86 กิโลแคลอรี่ แต่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารและสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย จึงไม่แปลกใจว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงนิยมรับประทานกล้วย เพราะนอกจากจะมีราคาถูกแล้วก็มีคุณค่าต่อร่างกายมากมาย เราคนไทยโชคดีกว่าคนญี่ปุ่นที่มีกล้วยมากมายหลากหลายพันธุ์ให้เลือกรับประทานค่ะ

ที่มา : Sanook.com

สำหรับคนรักการออกกำลังกายที่ไม่รู้ว่าจะกินอะไรก่อนออกกำลังกาย จะกินข้าวก็อิ่มไป จะไม่กินอะไรเลยก็กลัวไม่มีแรง เราขอแนะนำ “กล้วย” ผลไม้กินง่ายที่ใครๆ ก็ต้องรู้จักให้เป็นทางเลือกสำหรับสายเฮลท์ตี้ทั้งหลาย เพราะในกล้วยนั้นมีน้ำตาลธรรมชาติอยู่ และโพแทสเซียมในกล้วยยังช่วยลดความดันโลหิต โดยกล้วยสุกขนาด 100 กรัม จะมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากถึง 75 กรัม ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ และยังให้พลังงาน 85 แคลอรี เพราะอย่างนี้เวลากินกล้วยก่อนออกกำลังกายจึงทำให้เรามีกำลังวังชามากขึ้น และสำหรับสาวๆ ไม่ต้องกลัวว่ากล้วยจะทำให้อ้วนขึ้น เพราะในกล้วยมีคุณค่าทางอาหารสูง แต่ไขมันต่ำ เหมาะมากๆ กับคนที่กำลังลดหุ่น รู้แบบนี้แล้วรีบไปซื้อกล้วยมาตุนไว้กินก่อนไปออกกำลังกายกันดีกว่า
 
ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

โอ้โห น้ำหนักขึ้นอีกแล้ว ถึงเวลาต้องควบคุมอาหารแบบจริงจัง แต่เชื่อหรือไม่คะ ว่าผลไม้รสหวานอย่าง “กล้วย” เป็นหนึ่งในตัวช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ไม่แพ้อาหารชนิดอื่นเช่นกัน ถ้าอยากรู้ว่าทาน “กล้วย” แบบไหนจะช่วยให้คุณหุ่นสวยได้ ตามมาดูกันเลย

“กล้วย” ผลไม้รสหวานหลากหลายสายพันธุ์มีประโยชน์มากมายและอุดมไปด้วยเส้นใย กากอาหาร วิตามินและแร่ธาตุนานาชนิด เช่นธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และวิตามินซี ฯลฯ ทั้งนี้ยังอุดมไปด้วยน้ำตาลจากธรรมชาติไม่ว่าจะเป็น ซูโครส กลูโคสและฟรุกโทสที่ช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย

เริ่มต้นมื้อเช้าด้วยกล้วย 1 ผล
ทานกล้วย 1 ผลในมื้อเช้า (สามารถทานได้มากกว่า 1 ผล) เน้นการเคี้ยวให้ละเอียด หลังจากนั้นทานกล้วยแล้วให้ดื่มน้ำอุณหภูมิปกติอีก 1 แก้วจากนั้นให้พักท้องโดยไม่ทานอะไรตามลงไปเป็นเวลาประมาณ 30 นาที เพื่อให้กล้วยได้ย่อย และหากยังรู้สึกหิวให้ทานอาหารเบาๆ ตามไป เช่น ข้าวต้ม หรือขนมปังโฮลวีทสักแผ่นให้พออยู่ท้อง การทานกล้วยในตอนเช้าจะช่วย

ในการย่อยอาหารและช่วยทำให้สารอาหารดูดซับไปใช้ได้ในทันที แถมในกล้วยยังสารกลูโคส ฟรักโทส ซูโครสและแป้งที่ช่วยให้อิ่มท้องได้นานขึ้น ดังนั้นคุณแม่บ้านเลือกกล้วยเป็นตัวเลือกแรกในมื้อเช้า ก็จะช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น

ระหว่างมื้อทาน “กล้วย” แก้หิว
เปลี่ยนอาหารว่างแคลอรีสูงเป็นกล้วย 1 ผลสำหรับทานในช่วงระหว่างมื้อ โดยเฉพาะ “กล้วยน้ำว้า” เพราะกล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้แคลอรีต่ำ มีเส้นใยสูง และช่วยในการขับถ่ายและระบบย่อยได้ดี

ใครว่ามื้อเย็นทานกล้วยไม่ได้?
ผลวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นพบว่า การลดน้ำหนักด้วยการเลือกทาน “กล้วย” ในมื้อเย็น ช่วยลดน้ำหนักได้ดีไม่แพ้การทานกล้วยในมื้อเช้า เพราะกล้วยมีสารอาหารมากมาย กากใยสูง ที่สำหรับช่วยในการขับถ่าย เพราะฉะนั้นหากคุณกำลังอยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนัก ให้เปลี่ยนจากอาหารมื้อเย็น เป็นกล้วย 1 ผลตามด้วยน้ำเปล่า 1-2 แก้วจะช่วยให้อิ่มท้องได้ตลอดคืน และส่งผลให้ในเช้าวันถัดไปมีการขับถ่ายที่ดีอีกด้วย ลองทานกล้วยเป็นอาหารมื้อเย็นติดต่อกันประมาณ 1 สัปดาห์ น้ำหนักจะเริ่มลดลง คราวนี้แหละคือคุณมาถูกทางแล้ว ข้อแม้ในการเลือกทานกล้วยในช่วงมื้อเย็นก็คือ คุณจะต้องไม่ทานกล้วยในมื้ออื่นๆ เพราะในตัวกล้วยหอมก็มีความหวาน แป้งและน้ำตาลที่ซ่อนอยู่เช่นกัน หากทานในปริมาณที่มากเกินไปก็ไม่ช่วยในการลดน้ำหนักนะคะ

ประยุกต์กล้วยหอมธรรมดาเป็นเมนูแปลกใหม่ ทานได้อร่อยไม่กลัวอ้วน
เมนูที่ 1 อร่อยยามเช้าแค่มี กล้วยหอม+เม็ดแมงลัก+นมพร่องมันเนยหรือนมถั่วเหลือง
ใช้กล้วยหอมสองผล หั่นเป็นชิ้นบางพอดีคำใส่ลงในถ้วย ตามด้วยเม็ดแมงลักที่แช่น้ำจนพองตัวแล้ว และนมพร่องมันเนยหรือนมถั่วเหลือง 1 กล่อง ทานเป็นอาหารเช้าติดต่อกัน 5-7 วัน เมนูนี้ช่วยในการลดความอยากอาหารในระหว่างวันได้ดีทีเดียวและทานติดต่อกันจะช่วยให้น้ำหนักลดลงถึง 2 กิโลกรัมเลยค่ะ แต่ที่สำคัญต้องควบคุมอาหารมื้ออื่นๆ ด้วยเช่นกันนะคะ

เมนูที่ 2 อร่อยอิ่มท้องด้วย กล้วยหอม+ขนมปังโฮลวีท+น้ำผึ้ง+เบอร์รี
สาวๆ ที่ชอบทานขนมปังแต่ก็อยากควบคุมน้ำหนักไม่ต้องกังวลใจไปค่ะ หากเบื่อการทานอาหารควบคุมน้ำหนักในบางวัน ลองทำเมนูนี้ทานเป็นมื้อเช้าได้เลย โดยใช้ขนมปังโฮลวีท 1 แผ่นจากนั้นฝานกล้วยหอมเป็นชิ้นบางลงไปให้เต็มขนมปัง ราดด้วยน้ำผึ้งประมาณ 2 ช้อนชา ตบท้ายด้วยผลเบอร์รีที่ชอบอีกเล็กน้อย ทานกับกาแฟดำหรือน้ำเปล่า 1 แก้ว เท่านี้ก็ได้เมนูแคลอรีต่ำจากกล้วยที่ไม่น่าเบื่อแล้วล่ะค่ะ

เมนูที่ 3 สดชื่นกับ สมูทตี้ลาเต้กล้วย
ระหว่างวันหากต้องการความสดชื่น แบบไม่ต้องกลัวอ้วน แถมแก้ง่วงได้อีกต่างหาก แนะนำให้ลองทำสมูทตี้ลาเต้กล้วยหอมดื่มทานได้ 1 แก้ว โดยมีส่วนผสมดังนี้ กล้วย 1 ผล, กาแฟเย็นไม่ใส่น้ำตาล 1/2 ถ้วย, ผงโกโก้ 2 ช้อนโต๊ะ, ผักโขม 1 ถ้วย, ผงอัลมอนด์ 1/2 ช้อนชา กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา ปั่นส่วนผสมรวมกันจนละเอียด นำมาดื่มระหว่างวัน รับรองว่าสดชื่น หายง่วง ที่สำคัญรสชาติอร่อยไม่ต้องกลัวน้ำหนักขึ้นเลยค่ะ แต่สูตรนี้เราไม่แนะนำให้ทานทุกวันนะคะ เลือกทานสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว

การดูแลตัวเองจริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก การเลือกทาน “กล้วย” นี่แหละค่ะดีที่สุด เลือกทานให้ถูกต้อง ถูกเวลาก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักของคุณยิ่งได้ผล แค่ตั้งใจและทำอย่างสม่ำเสมอเท่านี้ก็เพียงพอและชนะใจตัวเองได้อย่างแน่นอนค่ะ

ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

เสิร์ฟของหวานวันนี้กับเมนูทำง่ายแค่มี “กล้วย” กับเมนู “กล้วยอบน้ำผึ้งคาราเมล” ความอร่อยหาง่ายแค่ลงมือทำ จัดการกับเมนูนี้กันดีกว่า พร้อมแล้วลุยเลยค่ะซิส

ส่วนผสม

กล้วยหอมหรือกล้วยชนิดอื่นๆ3ลูก
เนยสด50กรัม
น้ำผึ้ง4ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายแดง1/2ถ้วย
น้ำตาลทรายขาว3ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า1ถ้วย

วิธีทำ

  1. ทำในส่วนของซอสคาราเมลกันก่อน โดยตั้งกระทะด้วยไฟอ่อน – กลาง ตามด้วยเนยสด น้ำตาลทรายแดง น้ำผึ้งและน้ำเปล่า ใช้เวลาเคี่ยวประมาณ 10 นาที จากนั้นซอสคาราเมลจะเหนียวข้นได้ที่ ให้ปิดเตา เทซอสพักใส่ถ้วยให้เย็นลง
  2. นำกล้วยหอมหรือกล้วยชนิดอื่นที่มี ผ่าครึ่งด้านยาวโดยไม่ต้องปอกเปลือกออก เน้นเป็นกล้วยที่เพิ่งเริ่มสุก จากนั้นโรยน้ำตาลทรายด้านที่เห็นเนื้อกล้วยให้ทั่ว แล้วนำลงจี่ในกระทะร้อนตั้งไฟให้น้ำตาลละลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนบนเนื้อกล้วย
  3. เมื่อจี่ได้ที่แล้วให้นำซอสคาราเมลลงราดให้ทั่วกล้วยอีกครั้งในกระทะ ใช้เวลาประมาณ 1 นาทีค่อยปิดเตา นำกล้วยคาราเมลจัดใส่ถาดเข้าตู้อบไฟบน-ล่างด้วยอุณหภูมิ 180 องศา ใช้เวลาอบอีกประมาณ 5 นาที
  4. นำกล้วยอบน้ำผึ้งคาราเมลจัดใส่จานเสิร์ฟ

เคล็ดลับ : โรยน้ำตาลทรายแดงหรือน้ำตาลไอซิ่ง (ถ้ามี) ก่อนเสิร์ฟ จะได้ความสวยงามและมีรสชาติความอร่อยยิ่งขึ้น

หอมน่าทานมากๆ สายกล้วยต้องไม่พลาด อยากทำเมนูขนมหวานง่ายๆ ก็ต้องลองสูตรนี้กันนะคะ

ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

กล้วย เป็นผลไม้ที่มีสารอาหารครบถ้วน ทั้งคาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก วิตามินก็มีครบ ทั้งวิตามินเอ บี อี ซี และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ คลายเครียด กล้วย เป็นผลไม้ที่มีโปรตีน จึงเป็นอาหารสุขภาพสำหรับเด็กและคนทุกเพศทุกวัย สำหรับคนที่มีกลิ่นปาก เพียงแต่กินกล้วยสุกหลังตื่นนอนแล้วจึงค่อยแปรงฟัน ทำอย่างนี้ประมาณ 1 สัปดาห์ กลิ่นปากก็จะหายไป

รักษาโรคกระเพาะ

กล้วย เป็นผลไม้ที่เกิดมาเพื่อดูแลท้องไส้โดยเฉพาะ ไม่ว่าท้องเสีย ท้องผูก เป็นโรคกระเพาะ นอกจากนี้ หยวกกล้วย และปลีกล้วย เป็นอาหารที่มีเส้นใย ทำหน้าที่เป็นพนักงานเก็บกวาดขยะของแข็งที่ตกค้างในลำไส้ได้เป็นอย่างดี ในวัฒนธรรมไทยจึงมีตำรับอาหารหลากหลายจากกล้วย ทั้งอาหารหวาน คาว และของว่าง

หมอยาไทยใหญ่เชื่อว่าการกินกล้วยน้ำว้าจะทำให้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ และให้ความฉ่ำเย็นกับที่อยู่อาศัย ดังนั้น ในการสร้างบ้าน หรือการแยกครอบครัวใหม่ จะต้องมีต้นกล้วยเป็นพืชมงคลที่นำไปปลูกไว้เสมอ

การที่กล้วยเป็นยาเย็น หมอยาไทยใหญ่ หมอยาไทยเลย จึงบอกว่า เมื่อรู้สึกแสบร้อนในกระเพาะอาหาร ซึ่งถือว่าเป็นการกำเริบของธาตุไฟ ให้กินกล้วยจะช่วยได้ ทั้งในแบบของการตากแห้ง ตำผงกินกับน้ำร้อน หรือคลุกกินกับน้ำผึ้ง หรือกินกล้วยสุกธรรมดาก็ได้

มีการวิจัยโดยใช้กล้วยรักษาโรคกระเพาะ พบว่า ได้ผลน่าพอใจ เนื่องจากกล้วยไปกระตุ้นให้ผนังกระเพาะสร้างเยื่อเมือกมากขึ้น เยื่อเมือกนี้จะปิดแผลทำให้แผลหายเร็ว ผู้ที่มีปัญหาแผลในกระเพาะจะมีอาการดีขึ้น กระเพาะแข็งแรงขึ้น โอกาสเป็นแผลก็น้อยลง แต่ไม่ไปลดกรดอันจะไปทำลายกลไกธรรมชาติของร่างกาย จนทำให้เกิดความแปรปรวนของธาตุในร่างกาย ดังนั้น กล้วย จึงเป็นทั้งยารักษาและป้องกันโรคกระเพาะในเวลาเดียวกัน

นอกจากนี้ กล้วย ยังช่วยคลายเครียดจากการที่กรดอะมิโนทริปโทเฟนที่มีอยู่ในกล้วยเปลี่ยนเป็นซีโรโทนิน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้เกิดอาการผ่อนคลาย อารมณ์ผ่องใส และรู้สึกมีความสุข เรารู้กันดีว่าความเครียดเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ กล้วยจึงช่วยรักษาโรคกระเพาะอย่างเป็นองค์รวมเลยทีเดียว

ตำรับยาแก้โรคกระเพาะ

ให้นำกล้วยดิบมาฝานเป็นแว่นบางๆ อบให้แห้ง ที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส หรือตากแดดอ่อนๆ จนกว่าจะแห้ง ห้ามใช้ความร้อนสูงกว่านี้เด็ดขาด เพราะสารที่มีฤทธิ์รักษาโรคกระเพาะในกล้วยจะสูญเสียหรือหมดฤทธิ์ไป จากนั้นนำมาบดเป็นผง รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา ก่อนอาหารวันละ 3 เวลา หรือจะผสมกับน้ำผึ้งด้วยก็ได้

 

4-33-696x462
2-43
กล้วยดิบ แก้ท้องเสีย

กล้วยดิบ มีสารฝาดสมานที่เรียกว่า แทนนิน ซึ่งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าไปทำลายผนังกระเพาะลำไส้ แก้ท้องเสีย กล้วยที่เพิ่งเริ่มสุกเปลือกยังมีสีเขียวอยู่ประปรายนั้น เป็นทั้งยาและอาหารที่ดีมากสำหรับคนท้องเสีย นอกจากแก้ท้องเสียแล้ว ยังช่วยหล่อลื่นลำไส้ เพิ่มกากเวลาถ่าย และมีธาตุโพแทสเซียมสูงมาก ดังนั้น การใช้กล้วยแก้ท้องเสียเท่ากับให้ธาตุโพแทสเซียมชดเชยกับที่สูญเสียไปเวลามีอาการท้องร่วง ถ้าร่างกายสูญเสียโพแทสเซียมไปมากๆ จะทำให้การเต้นของหัวใจผิดปกติ ในคนชราอาจทำให้หัวใจวาย และเสียชีวิตได้

กล้วยสุก แก้ท้องผูก

กล้วยสุกงอม มีฤทธิ์ช่วยระบาย เนื่องจากมีเพคตินอยู่เป็นจำนวนมาก จึงช่วยเพิ่มกากให้กับลำไส้ เมื่อผนังลำไส้ถูกดันก็จะทำให้รู้สึกอยากขับถ่าย นอกจากนี้ กล้วยยังมีเส้นใยอาหารชนิดหนึ่งที่ร่างกายไม่ย่อย เรียกว่า อินูลิน ซึ่งเป็นอาหารที่เหมาะกับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้ หรือโปรไบโอติกส์ ซึ่งทำหน้าที่ปรับระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ

และเนื่องจากกล้วยน้ำว้าสุกมีฤทธิ์ระบายไม่แรงมาก จึงต้องรับประทานเป็นประจำ วันละ 5-6 ลูก ติดต่อกันอย่างน้อย 7 วัน จึงจะเห็นผล โดยสังเกตได้ว่าอุจจาระจะเป็นสีเหลือง ไม่มีกลิ่นเหม็น เนื่องจากการทำงานของโปรไบโอติกส์นั่นเอง อีกทั้งกล้วยยังช่วยหล่อลื่นในการขับถ่าย จึงไม่ต้องออกแรงเบ่งมาก และรู้สึกว่าถ่ายออกหมดไม่เหลือกากตกค้าง

หยวกกล้วย ช่วยขจัดของเสียในลำไส้

หยวกกล้วยอ่อน คือ แกนในต้นกล้วยอ่อน เป็นผักพื้นบ้านที่พบได้ทั่วไปในภาคเหนือ ภาคอีสานเหนือ และใต้ คนโบราณบอกว่า ต้องกินแกงหยวกกล้วยอย่างน้อยปีละหน เพื่อไปพันเอาสิ่งตกค้าง เช่น กระดูก เส้นผม รวมทั้งคุณไสยที่ตกค้างอยู่ในท้องออกมา จากความเชื่อนี้มีเหตุผลทีเดียว คือ เพราะหยวกกล้วยประกอบด้วยเส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำเป็นส่วนใหญ่ เส้นใยเหล่านั้นจะช่วยดูดซับสิ่งสกปรก สารพิษตามลำไส้ สิ่งที่ไม่สามารถย่อยได้ และยังช่วยกระตุ้นลำไส้ให้บีบตัวดันของเสียนั้นออกมา ซึ่งหมายถึงการลดโอกาสที่สารพิษเหล่านั้นจะไปก่อให้เกิดมะเร็งในระบบทางเดินอาหารนั่นเอง

 น่ารู้

– การกินกล้วยสุก ควรเคี้ยวให้ละเอียด เพราะเนื้อกล้วยมีแป้งอยู่ถึง 20-25% มิเช่นนั้นจะท้องอืดได้

– เด็กเล็กควรเริ่มให้กินกล้วยสุกเมื่อเด็กเริ่มกินข้าวบดได้ คือ อายุราว 3 เดือน โดยขูดเนื้อกล้วยสุก (ไม่เอาไส้กล้วยเพราะจะทำให้เด็กท้องผูก) ให้กินครั้งละน้อยๆ ไม่เกินครึ่งช้อนชา วันละครั้ง เพราะเด็กยังมีน้ำย่อยแป้งไม่พอ อาจเกิดอาการท้องอืดได้ เด็กอายุครบขวบกินกล้วยครั้งละ 1 ลูก วันละครั้ง

– ตุ่มคันจากยุงกัด มดกัด หรือผื่นคันเนื่องจากลมพิษ ใช้เปลือกกล้วยน้ำว้าสุกด้านในทาถูบริเวณนั้นประมาณครึ่งนาที

– ผู้หญิงคลอดลูกใหม่ๆ ในสมัยก่อนจะเอาปลีกล้วยมาต้มให้กิน ช่วยทำให้มีน้ำนม

– ยางกล้วย ช่วยห้ามเลือดและฆ่าเชื้อ ทำให้ไม่เกิดแผลเป็น

– กาบกล้วย สามารถนำมาทำเป็นเชือกกล้วยได้ โดยนำต้นกล้วยมาขูดเป็นเส้นๆ ตากแดดให้แห้ง หากต้องการใช้เป็นเส้นใหญ่ๆ ที่มีความคงทน ให้นำมาถักต่อกัน ม้วนเก็บไว้ใช้งาน

ขอบคุณข้อมูล : หนังสือบันทึกของแผ่นดิน เล่มที่ 6 สมุนไพรท้องไส้ในวิถีอาเซียน โดย เภสัชกรหญิง ดร. สุภาภรณ์ ปิติพร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร

ที่มา : เทคโนโลยีชาวบ้าน

บางคนชอบกินกล้วยที่กำลังห่ามๆ เปลือกเหลืองๆ เขียว แต่บางคนชอบกินกล้วยสุกงอมมากๆ จนเปลือกเป็นสีน้ำตาล นอกจากรสชาติและเนื้อสัมผัสแล้ว กล้วย 2 แบบนี้ต่างกันจริงหรือ ก็คงต้องบอกว่าใช่ ที่กล้วยทั้ง 2 แบบมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพแตกต่างกัน

โดยการเปิดเผยคุณประโยชน์ของกล้วยที่แตกต่างกันนี้เริ่มจากภาพหนึ่งบนอินสตาแกรมที่แชร์มาโดย @fitness_meals ซึ่งเป็นรูปกล้วย 15 ลูกที่มีความสุกไม่เท่ากัน พร้อมตั้งคำถามว่ากล้วยลูกไหนที่เหมาะแก่การกินมากที่สุด โดยมีผู้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นถกเถียงกันเป็นจำนวนมาก

https://www.instagram.com/p/Bkp_a_2H9eS/?taken-by=fitness_meals

สำนักข่าวเดลี่ เมล์ จึงได้สอบถามไปยังนักโภชนาการในสหราชอาณาจักรเกี่ยวกับประเด็นนี้ เพื่อหาคำตอบว่ากล้วยสุกแค่ไหนถึงจะดีที่สุด

ทั้งนี้ กล้วยนั้นเป็นแหล่งโพแทสเซียมและสารอาหารอื่นๆ ชั้นดี แต่ก็มีประโยชน์ที่แตกต่างกันหากเรากินกล้วยที่สุกไม่เท่ากัน โดยขึ้นอยู่กับสุขภาพของแต่ละคนด้วย ซึ่งความแตกต่างนั้น มีดังนี้

กล้วยห่ามมีน้ำตาลน้อยกว่า

หากคุณเป็นโรคเบาหวาน คุณควรเลือกกินกล้วยห่ามๆ มากกว่ากล้วยที่สุกเกินไป เพราะในกล้วยสุกนั้น แป้งจะเริ่มเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาล

นักวิจัยระบุว่า กล้วยห้ามนั้นมีปริมาณแป้งประมาณ 80-90% ของปริมาณคาร์โบไฮเดรตทั้งหมด ซึ่งหากกล้วยสุกก็จะเปลี่ยนแป้งนี้ไปเป็นน้ำตาลอิสระ จึงแนะนำว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานควรกินกล้วยที่ไม่สุกเกินไป เพื่อจะได้ไม่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดนั่นเอง

กล้วยสุกนั้นย่อยง่ายกว่า

สำหรับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการย่อยอาหารนั้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่ากินกล้วยสุกจะดีกว่า ทั้งนี้ กล้วยที่ห่ามมากกว่าจะมีแป้งทนการย่อย หรือ “resistant starch” มากกว่ากล้วยสุก ซึ่งเป็นแป้งที่มนุษย์ย่อยไม่ได้ด้วยเอนไซม์ แต่ถูกย่อยได้ด้วยจุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่ และเมื่อแป้งชนิดนี้เปลี่ยนเป็นน้ำตาลอิสระ กล้วยสุก ก็จะทำให้ง่ายต่อการย่อยนั่นเอง

กล้วยสุกงอมจนเปลือกเป็นสีน้ำตาล เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Spoon ระบุว่า เมื่อกล้วยสุกจนเปลือกกลายเป็นสีน้ำตาลหรือเกือบน้ำตาลทั้งหมด โดยทั่วไปคือแป้งทั้งหมดจะถูกย่อยเป็นน้ำตาลแล้ว ซึ่งทำให้กล้วยประเภทนี้หวานกว่า โดยนอกจากแป้งแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนด้วยก็คือคลอโรฟิลล์ ที่จะกลายสภาพเป็นรูปแบบใหม่ และทำให้ระดับสารต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น ดังนั้น กล้วยที่สุกจนเปลือกน้ำตาลหรือเปลือกดำทั้งหมดนั้นจะเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระนั่นเอง

สุดท้ายแล้วนักโภชนาการไม่ได้บอกว่ากินกล้วยสุกขนาดไหนถึงจะดีที่สุด แต่อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงของแป้และน้ำตาลในกล้วย ซึ่งการสุกแต่ละแบบก็เหมาะกับแต่ละคน แตกต่างกันไปนั่นเอง