หลายคนที่ใช้เตาปิ้งย่างหรือเตาบาร์บีคิวคงประสบปัญหาเหมือนกัน หลังจากย่างเสร็จ ขั้นตอนการล้างตะแกรงนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นเสียเหลือเกิน และคงจะดีไม่น้อย หากมีนวัตกรรมช่วยทำความสะอาดก็คงจะดีไม่น้อยเลย

ล่าสุด กับนวัตกรรมหุ่นยนต์ทำความสะอาดตะแกรงเตา ที่จะทำความสะอาดโดยการกำจัดขยะที่ติดอยู่บนตะแกรง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สุดแสนจะน่ารำคาญ

โดยหุ่นยนต์ดังกล่าวมีชื่อว่า กริลล์บ็อท ที่ถูกออกแบบมาให้มีหน้าตาคล้ายกับหุ่นยนต์ดูดฝุ่น โดยกริลล์บ็อทนี้จะมีแปรงโลหะอยู่ด้านล่างคอยขัดเศษอาหารออกไปพร้อมๆ กับหุ่นยนต์ที่เคลื่อนที่ไปด้านหน้า

ทั้งนี้ หุ่นยนต์ดังกล่าวจะทำงานได้ภายใต้อุณหภูมิไม่เกิน 250 องศาฟาเรนไฮต์ หรือประมาณ 121 องศาเซลเซียส

Robot cleans grill after a barbecue

Like a Roomba for your grill, this robot will help clean up after a barbecue.

โพสต์โดย State of the Carte เมื่อ วันพุธที่ 23 พฤษภาคม 2018

พ่อแม่ในสังคมยุคปัจจุบัน ต่างเร่งรีบกับการทำงานในแต่ละวัน จนในบางครั้งไม่มีเวลาที่จะดูแลลูก จนเกิดเป็นกังวลว่าระหว่างที่ออกไปทำงานอยู่นั้น ลูกจะอยู่อย่างไร?

หลายคนใช้วิธีจ้างพี่เลี้ยงมาดูแลลูก แต่ในยุคที่หุ่นและ AI หรือปัญญาประดิษฐ์กำลังพัฒนาและเข้ามามีบทบาท จึงเกิดการคิดค้น “หุ่นยนต์” สำหรับเป็นเพื่อนกับเด็กที่ต้องอยู่คนเดียวขึ้น

เพื่อนหุ่นยนต์สำหรับเด็กที่ต้องอยู่คนเดียวนี้ผลิตขึ้นในประเทศจีน โดยมีชื่อว่า “iPal” ผลิตโดยบริษัท “Avatar Mind” มีจุดประสงค์ เพื่อดูแลเด็กที่ต้องอยู่คนเดียว ถือว่าเป็นการตอบสนองความต้องการของพ่อแม่ในยุคเทคโนโลยีได้

ความพิเศษของ iPal คือ สามารถพูดได้ถึงสองภาษา และยังสามารถสอนคณิตศาสตร์ พูดเรื่องตลก โดยจะมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กๆ ผ่านทางหน้าจอแท็บเล็ตในหน้าอกของหุ่นยนต์ และเจ้าหุ่นยนต์
“iPal” ตัวนี้เป็นตัวล่าสุดของจีน

ทั้งนี้ มนุษย์หุ่นยนต์ “iPal” เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีใหม่ที่ได้รับการเปิดตัวในงาน “Consumer Electronics Show Asia” ซึ่งจัดขึ้นที่เซี่ยงไฮ้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมนุษย์หุ่นยนต์ iPal มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์อายุ 5 ปี เคลื่อนไหวในลักษณะของล้อเลื่อน และใช้ดวงตาในการติดตามผ่านเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า โดยพ่อแม่เด็กยังสามารถพูดคุยและตรวจสอบเด็กจากระยะไกลผ่านแอปพลิเคชั่นสมาร์ทโฟน iPal ที่เชื่อมโยงกับมนุษย์หุ่นยนต์ ซึ่งจะช่วยให้รู้ความเคลื่อนไหวของลูก และสามารถได้ยินทุกอย่างอีกด้วย

นายติงยู่ ฮวง ผู้ร่วมก่อตั้ง Avatar Mind กล่าวว่า แนวคิดสำหรับหุ่นยนต์ตัวนี้ คือ การเป็นเพื่อนสำหรับเด็ก เมื่อเด็กเห็นหุ่นยนต์ตัวนี้จะทำให้เด็กรู้สึกว่าหุ่นยนต์เป็นเหมือนเพื่อนหรือคนในครอบครัว โดยราคาอยู่ของหุ่นยนต์ iPal อยู่ที่ 9,000 หยวน หรือประมาณ 45,000 บาท

ทั้งนี้ ในปัจจุบันพ่อแม่วัยทำงานของจีนมักเผชิญกับภาระในการดูแลเด็กหรือผู้สูงอายุ โดยปราศจากความช่วยเหลือจากครอบครัวใหญ่ ซึ่งเป็นผลกระทบจากนโยบายที่ดำเนินมานานเป็นสิบๆ ปีอย่าง นโยบายลูกคนเดียว ที่ส่งผลให้โครงสร้างประชากรเปลี่ยน คนในวัยแรงงานเริ่มหายไป จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น

นายฮวงกล่าวเพิ่มเติมว่า ไม่คิดว่าหุ่นยนต์จะสามารถแทนที่พ่อแม่หรือครูได้ แต่ iPal จะสามารถเป็นเครื่องมือเสริม เพื่อลดภาระการเลี้ยงดูบางส่วนได้

ทั้งนี้ ในปัจจุบันตลาดหุ่นยนต์ของจีนกำลังถูกจับตามอง เนื่องจากประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผู้สูงอายุเหล่านี้ต้องการอยู่ที่บ้านตนเองมากกว่าที่บ้านพักคนชรา โดยในเร็วๆ นี้ Avatar Mind จะเปิดตัวหุ่นยนต์อีกตัวหนึ่งที่สามารถพูดคุยกับผู้สูงอายุ และเตือนให้พวกเขาใช้ยาทั้งยังสามารถโทรไปหาโรงพยาบาล เมื่อพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน

ขณะที่กรุงปักกิ่งได้ทุ่มเงินและกำลังคนในการพัฒนาเอไอ (AI) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผน “Made in China 2025” โดยบริษัท Avatar Mind ประเทศจีน ได้มีการเปิดตัวหุ่นยนต์มนุษย์ตัวแรกของประเทศ ที่สามารถพูดคุยง่ายๆ และแสดงออกทางสีหน้า ในระหว่างงาน “Consumer Electronics Show” ในเมืองลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปีที่ผ่านมา


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

“แสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์” ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการ เว็บไซต์จ๊อบไทยดอทคอม (JobThai.com) กล่าวว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้โลกธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง จนทำให้หลายองค์กรต่างนำระบบและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงานมากขึ้น

หนึ่งในนั้นคือเรื่องระบบอัตโนมัติหรือปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ที่มีบทบาทอย่างเห็นได้ชัดในหลากหลายอาชีพ ทำให้หลายคนเกิดความวิตกกังวลว่าหุ่นยนต์จะเข้ามาทำหน้าที่ทดแทนมนุษย์ได้ทั้งหมดในระยะเวลาอันใกล้นี้ แต่ในความเป็นจริงหากลองวิเคราะห์ข้อมูลแล้ว งานที่หุ่นยนต์จะเข้ามาทดแทนนั้นมักจะเป็นงานที่มีรูปแบบการทำงานแบบเดิมซ้ำๆ หรือเป็นงานที่เน้นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์มีความสามารถในการคำนวณข้อมูลที่ซับซ้อนได้รวดเร็วและแม่นยำกว่ามนุษย์

“เทคโนโลยีด้าน AI จะมีผลเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของมนุษย์ไปในทิศทางที่ดีขึ้น งานบางอย่างจะถูกหุ่นยนต์ทดแทนแต่ก็จะเกิดงานในรูปแบบใหม่ๆ ที่หุ่นยนต์ยังไม่สามารถทำแทนได้ เช่น งานที่ใช้ทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ งานที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ตลอดจนงานบางอย่างที่มนุษย์สามารถนำจุดแข็งของหุ่นยนต์มาใช้และทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

ทั้งนั้น เว็บไซต์จ๊อบไทยดอทคอมได้รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล พบว่ามี 3 สายงานหลักที่หุ่นยนต์จะมาช่วยสนับสนุนการทำงานของมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังนี้

· อาชีพด้านบริการ เช่น พนักงานจองตั๋วเครื่องบิน พนักงานต้อนรับในโรงแรม – แนวโน้มการใช้งานหุ่นยนต์ในภาคบริการมีโอกาสแซงหน้าหุ่นยนต์ภาคการผลิต โดยจะเห็นว่ามีองค์กรจากหลากหลายธุรกิจที่นำหุ่นยนต์ไปใช้ในการให้บริการ ซึ่งหุ่นยนต์สามารถเข้ามาช่วยทำให้การทำงานง่ายขึ้นทั้งผู้ให้บริการและลูกค้าที่มาใช้บริการ แต่หากมีเรื่องที่ซับซ้อนหรือนอกเหนือจากที่สั่งการให้หุ่นยนต์จัดการได้ ท้ายที่สุดมนุษย์ก็ยังจำเป็นต้องเป็นผู้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

เพราะถึงแม้คอมพิวเตอร์จะสามารถประมวลผลข้อมูลมหาศาลได้รวดเร็วแค่ไหน ก็ยังไม่สามารถมาทำหน้าที่แทนมนุษย์ในเรื่องของการตัดสินใจตลอดจนการแสดงความรู้สึกนึกคิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการแท้จริงได้

· อาชีพเฉพาะทาง เช่น ผู้ช่วยแพทย์ – แวดวงการแพทย์เริ่มนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในการทำงานมากขึ้น ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือการผ่าตัด โดยหุ่นยนต์นั้นสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถึงอย่างไรการใช้หุ่นยนต์ยังมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น การผ่าตัดที่ซับซ้อนในอวัยวะสำคัญ ที่ต้องอาศัยความรู้ความชำนาญของแพทย์เป็นหลัก รวมถึงยังต้องอาศัยทักษะการตัดสินใจในเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่มีในมนุษย์เท่านั้นอีกด้วย

· อาชีพให้คำปรึกษา เช่น ที่ปรึกษาทางการเงิน – มนุษย์ได้พัฒนาหุ่นยนต์ที่จะช่วยให้คำปรึกษาด้านการลงทุนผ่านซอฟต์แวร์การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง เพื่อแนะนำให้นักลงทุนจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม และข้อมูลที่ได้มีความแม่นยำสูง

อย่างไรก็ตาม หุ่นยนต์ยังมีข้อจำกัดอยู่แค่เฉพาะคำแนะนำด้านการลงทุนเท่านั้น ยังไม่สามารถให้คำปรึกษาหรือแนะนำวางแผนการเงินเชิงลึกในด้านอื่นๆ เช่นเดียวกับมนุษย์ได้ เนื่องจากบางสิ่งมีความซับซ้อนเกินกว่าที่เทคโนโลยีหรือหุ่นยนต์จะเข้าใจและตอบสนองได้อย่างตรงจุด

จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่ามีสอดคล้องกับ 3 ทักษะสำคัญที่ทำให้มนุษย์ยังเหนือกว่าหุ่นยนต์ในโลกของการทำงาน คือ 1) ทักษะทางสังคม (Social Skills) เนื่องจากโลกใบนี้ประกอบไปด้วยหลายสิ่งมากมาย มนุษย์จึงรู้จักเรียนรู้ที่จะมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและพึ่งพาอาศัยกัน ผ่านการสื่อสารทั้งการพูด การฟัง การแสดงออก เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางบวกให้เกิดขึ้น

2) ทักษะทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) เพราะมนุษย์มีความสามารถในการตระหนักรู้ถึงความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น และใช้สิ่งดังกล่าวในการสร้างความสัมพันธ์เพื่อให้เกิดประโยชน์ได้ และ 3) ทักษะความคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) เพราะสมองของมนุษย์มีความซับซ้อนและมีความสามารถในการคิดได้หลากหลายรูปแบบ จนนำไปสู่การคิดค้นและสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น

“จะเห็นได้ว่าทักษะเหล่านี้ล้วนเกิดจากการเรียนรู้โดยธรรมชาติของมนุษย์เป็นทุนเดิม ถือเป็นจุดแข็งของมนุษย์ที่เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ยังไม่สามารถทำได้ดีในระดับเทียบเท่า แม้การพัฒนาของเทคโนโลยีหรือปัญญาประดิษฐ์จะมีความก้าวหน้ามากขึ้นก็ตาม ดังนั้น มนุษย์จึงต้องเรียนรู้และพัฒนาทักษะดังกล่าว รวมถึงทักษะเฉพาะด้าน ตลอดจนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้โลกการทำงานในอนาคตของทั้งมนุษย์และหุ่นยนต์สามารถทำงานและอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข”

 


ที่มา นสพ.ประชาชาติธุรกิจ

เรียกได้ว่าทำเอาลูกค้าในวอลมาร์ทที่แคลิฟอร์เนียตกตะลึงกันเป็นแถว เมื่อได้เห็นหุ่นยนต์เคลื่อนที่มาตามทางเดินระหว่างชั้นวางของในซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้

แวบแรกที่เห็น บางคนอาจคิดว่ามันเป็นหุ่นยนต์ทำความสะอาด แต่ความจริงหุ่นยนต์ดังกล่าวมีหน้าที่สแกนชั้นวางของในซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อตรวจดูข้อมูลว่าของขาดหรือไม่, วางผิดที่หรือเปล่า, ฉลากถูกต้องหรือไม่ รวมไปถึงติดราคาถูกต้องหรือไม่

โดยข้อมูลดังกล่าวจะถูกส่งกลับมาอยู่ในฐานข้อมูลที่อยู่ในระบบคลาวด์ ให้พนักงานได้รับรู้และตัดสินใจว่าจะจัดการกับสินค้าอย่างไร เช่น เติมสินค้าให้เต็มชั้น หรือแก้ไขข้อมูลราคา เป็นต้น

ทั้งนี้ ห้างสรรพสินค้าวอลมาร์ทได้ติดตั้งเทคโนโลยีดังกล่าวใน 50 สาขา ทั่วสหรัฐอเมริกา โดยวอลมาร์ทเชื่อว่าหุ่นยนต์ดังกล่าวจะช่วยพนักงานประหยัดเวลาในการทำงานมากขึ้น แต่ยังไม่มีแผนว่าจะติดตั้งเพิ่มในสาขาที่เหลือ

ชมคลิป

Robots have begun to roam the aisles of Walmart stores

“Are machines taking over?”Towering, autonomous robots are beginning to roam the aisles of select Walmart stores, scanning shelves for data on out-of-stock, misplaced or mislabeled items. https://abcn.ws/2GhMpOy

โพสต์โดย Good Morning America เมื่อ วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2018

ปัจจุบันเทคโนโลยีก็ยิ่งพัฒนาไปเรื่อย มนุษย์เรามีการประดิษฐ์หุ่นยนต์ให้สามารถทำงานได้อย่างอัจฉริยะ ไม่ว่าจะเป็น หุ่นยนต์ที่สามารถสำรวจความลึกของมหาสมุทร ที่สามารถเข้าไปในสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าไปได้ นอกจากนี้เรายังมีการประดิษฐ์หุ่นยนต์ขึ้นมาทำงานอีกหลายอย่าง จนหลายคนกังวลว่าหุ่นยนต์จะเข้ามาแย่งงานของมนุษย์

แต่รู้หรือไม่ว่ายังมีงานบางประเภทที่ยังไงๆ หุ่นยนต์ก็ทำได้ดีไม่เท่าคนเลย ซึ่งงานนั้นก็คือ “การเก็บผัก-ผลไม้” นั่นเอง

การเก็บผลไม้ถือเป็นปัญหาสำหรับนักพัฒนาหุ่นยนต์ เนื่องจากการคัดเลือกผลไม้เป็นเรื่องยากสำหรับเครื่องจักร เพราะหุ่นยนต์นั้นไม่เหมือนกับมนุษย์ พวกมันไม่มีประสาทสัมผัสที่จะจับดูแล้วรู้ว่าผลไม้นี้สุกหรือไม่สุก นี่จึงเป็นความท้าทายในการออกแบบของนักพัฒนาเลยทีเดียว

เส้นทางของเครื่องเก็บเกี่ยวผลไม้

ถึงแม้ว่าหุ่นยนต์เก็บผลไม้จะยังทำงานได้ไม่ดีเท่ามนุษย์ แต่ก็ยังมีการศึกษาและพัฒนาหุ่นยนต์สำหรับเก็บสตรอว์เบอร์รี่ โดยบริษัทสัญชาติสหรัฐที่มีชื่อว่า Harvest CROO Robotics กำลังพัฒนาเครื่องจักรที่จะสามารถเก็บสตรอว์เบอร์รี่ทั้งไร่ได้ภายในเวลาเพียงแค่ 8 วินาที ย้ายไปยังแปลงถัดไปได้ภายใน 1.5 วินาที และเก็บเกี่ยวผลผลิต 30 เอเคอร์ ได้ภายใน 1 วัน โดยบริษัทดังกล่าวระบุว่า เครื่องจักรชิ้นนี้จะทดแทนแรงงานเก็บเกี่ยวได้มากกว่า 30 คน

ซึ่งการทดลองครั้งล่าสุดของ Harvest CROO Robotics พบว่า เครื่องจักรดังกล่าวจะเคลื่อนที่ไปบนทางรอบๆ แปลงโดยใช้จีพีเอสและแผนที่ในระบบของเครื่อง ซึ่งจะแสดงตำแหน่งของพืชผลแต่ละชนิด จากนั้นจะใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับว่าเป็นสตรอว์เบอร์รี่ โดยเครื่องเก็บเกี่ยวนี้ยังติดตั้งกล้องความละเอียด HD เพื่อจับตำแหน่งของผลไม้ และกรงเล็บจากหุ่นยนต์ก็จะเข้าไปเก็บผลไม้นั่นเอง

“ไม่มีใครบังคับหุ่นยนต์ดังกล่าว” พอล บิสเสตต์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Harvest CROO Robotics กล่าวระหว่างทำการทดสอบ และว่า หุ่นยนต์จะจดจำเส้นทางในแต่ละแถว และจดจำได้หมดว่าพืชผลอยู่ตรงไหน

อย่างไรก็ตาม บ็อบ พิตเซอร์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทนี้ กล่าวว่า หุ่นยนต์ดังกล่าวยังมีประสิทธิภาพไม่ดีเท่ามนุษย์ ปัจจุบันหุ่นยนต์สามารถค้นหาและเก็บสตรอว์เบอร์รี่สุกได้มากกว่า 50% เท่านั้น ขณะที่มนุษย์สามารถเก็บได้ 60-90%

แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ดีเท่าที่ควร แต่พิตเซอร์ก็คาดว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะมีการใช้เครื่องจักรชนิดนี้อย่างแพร่หลาย โดยเป้าหมายของบริษัทก็คือการพัฒนา “หุ่นยนต์บริการ” และทำกำไรจากการให้เช่าอุปกรณ์เหล่านี้ ซึ่งตอนนี้โครงการดังกล่าวก็เรียกได้ว่าดึงดูดความสนใจจากอุตสาหกรรมสตอร์เบอร์รี่ได้เป็นอย่างดี หลังเปิดตัวโครงการตั้งแต่ปี 2013 ก็มีบริษัทในอุตสาหกรรมสตรอว์เบอร์รี่ 2 ใน 3 บริษัท สนใจลงทุน

และไม่ใช่เพียงบริษัทนี้เท่านั้นที่กำลังลงทุนกับการพัฒนาหุ่นยนต์เก็บสตรอว์เบอร์รี่ แต่มีอีกหลายบริษัทที่กำลังพัฒนาเครื่องจักรชนิดนี้เช่นกัน เนื่องจากตลาดกำลังเติบโต หนึ่งในนั้นคือบริษัท Agrobot ซึ่งเป็นคู่แข่งรายแรกที่ได้ทดสอบการทำงานเต็มรูปแบบของหุ่นยนต์

หุ่นยนต์ทดแทนคนงานเพิ่มสูงขึ้น?

แกรี่ วิชแนทซ์กี้ อีกหนึ่งผู้ร่วมก่อตั้ง Harvest CROO กล่าวว่า ตลาดการเก็บเกี่ยวสตรอว์เบอร์รี่ในสหรัฐมีมูลค่าสูงถึงปีละ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในปี 2015 การเก็บเกี่ยวสตรอว์เบอร์รี่สร้างเม็ดเงินสูงถึง 1.63 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่ดีมานด์ของสตรอว์เบอร์รี่และผลไม้ชนิดอื่น เช่น บลูเบอร์รี่และอโวคาโด กำลังเพิ่มขึ้น แต่จำนวนแรงงานเก็บเกี่ยวในภาคเกษตรกลับน้อยลง

ซินดี้ แวน ริจสวิค นักวิเคราะห์จาก Rabobank กล่าวกับเว็บไซต์ FreshPlaza เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า แรงงานเก็บเกี่ยวนั้นหายากขึ้น เพราะเป็นงานที่ทำชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงแต่ในสหรัฐหรือยุโรป แต่ยังพบปัญหานี้ในภูมิภาคอื่นๆ รวมทั้งอเมริกาใต้ด้วย

ปัญหาดังกล่าวมาจากหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้นคือเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เอื้ออำนวยนัก ทำให้แรงงานข้ามชาติหลายคนเลือกที่จะกลับบ้านเกิดมากกว่า ขณะที่คนหนุ่มสาวก็ไม่อยากทำงานในไร่สวน ด้วยชื่อเสียงของอาชีพเก็บผลไม้ว่าเป็นอาชีพที่ค่าแรงต่ำ

นักวิจารณ์หลายคนเตือนว่า เราอาจจำเป็นต้องใช้หุ่นยนต์ในการเก็บเกี่ยวพืชไร่หลายชนิด เพื่อให้ประสบความสำเร็จและยั่งยืน

อีกหนึ่งเรื่องที่คนมักจะนึกถึงเวลาพูดถึงเรื่องโลกอนาคตก็คือ “การนำหุ่นยนต์มาใช้ทำงานแทนคน” ตั้งแต่ในระดับครัวเรือนไปจนถึงภาคอุตสาหกรรม

โดยในคลิปวิดีโอดังกล่าว ถือเป็น “ครัวหุ่นยนต์” เต็มรูปแบบครัวแรกของโลก ที่จะมีแขนหุ่นยนต์ 1 คู่ คอยปรุงเมนูโปรดไว้ให้เราได้กิน เพียงแค่ผู้ใช้เลือกเมนูด้วยการแตะที่หน้าจอทีชสกรีนหรือบนแอปพลิเคชั่น

ทั้งนี้ หุ่นยนต์ดังกล่าวผ่านการเรียนรู้จากเชฟระดับมืออาชีพที่ถูกถ่ายทำการทำอาหารแบบสามมิติ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้หุ่นยนต์สามารถทำอาหารได้เหมือนที่เชฟทำอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

สำหรับ “ครัวหุ่นยนต์” นี้จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการภายในปี 2018

ชมคลิป

Step into a fully robotic kitchen

Fully robotic kitchens may become our chefs.

โพสต์โดย State of the Carte เมื่อ วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม 2018