พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์

โควิด-19ทำเครียด – สถานการณ์ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทำให้เกิดความเครียดและความกังวลใจ พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้อำนวยการศูนย์จิตรักษ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ มีคำแนะนำในการดูแลจิตใจ

และผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน ว่า 4 สาเหตุหลักในผู้ป่วยที่มาพบจิตแพทย์ ระบุว่า โควิด-19 ทำให้เกิดความเครียดคือ 1.กลัวการติดเชื้อ เพราะไม่แน่ใจได้ว่าที่ไหนจะปลอดภัย 2.สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงรายวันนโยบายรัฐฯ ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์เกือบทุกวัน

3.ความกังวลเรื่องหน้าที่การงานบางคนโดนสั่งพักงานหรือที่ทำงานต้องปิดตัว

และ 4.สิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดความเครียด คือ การที่ไม่รู้ว่าสถานการณ์นี้จะยาวนานเพียงใดผลกระทบทางเศรษฐกิจจะนานแค่ไหน แม้หลายคนจะให้ความร่วมมือกับนโยบายเว้นระยะห่างทางสังคม

หรือปฏิบัติตามรายงานของภาครัฐอย่างเคร่งครัดแต่การแพร่ระบาด ก็อาจจะยังไม่ยุติในระยะเวลาอันใกล้

วิธีเตรียมรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเข้าใจคือ 1.ไม่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ในสถานการณ์แบบนี้อาจเกิดความเครียดขึ้นได้

แต่ความเครียดอาจทำให้เกิดภาวะท้อถอยหมดหวัง อารมณ์ที่ไม่เป็นปกติทำให้เรามีโอกาสตัดสินใจทำสิ่งใดๆ โดยไม่รอบคอบ คำแนะนำคือ ควรประคับประคองอารมณ์ให้ผ่านสถานการณ์ไปให้ได้ในแต่ละวันรักษาตัวให้ดีอย่าให้ติดเชื้อ

2.ติดตามข่าวสารเท่าที่จำเป็น เช็กข่าววันละครั้งก็เพียงพอเลือกรับข่าวสารจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ลดการเสพโซเชี่ยลมีเดีย ระมัดระวังข่าวปลอม

3.ปฏิบัติตามคำแนะนำจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เป็นต้น

4.ตรวจสอบอาการทางร่างกายจิตใจอารมณ์ของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเฝ้าระวังอาการซึมเศร้า

5.ใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติและมีคุณค่า แม้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ เราก็จำเป็นต้องดำเนินชีวิตให้เป็นปกติ อย่ามัวแต่จดจ่ออยู่กับข่าวจนป่วยทั้งใจและกาย เทคนิคใช้ชีวิตให้ปกติ ประกอบด้วยกินให้เป็นปกติ นอนให้ปกติ

การนอนหลับให้เพียงพอเป็นภูมิคุ้มกันชั้นดี ป้องกันไวรัสและภาวะซึมเศร้าได้ เชื่อมต่อกับผู้คน แม้จะเจอเพื่อนฝูงผู้คนเหมือนเมื่อก่อน ไม่ได้ แต่ยังสามารถเชื่อมต่อ พูดคุยปรึกษาหารือกันได้ โดยใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อถึงกัน หากิจกรรมทำอย่าให้ว่าง

แม้จะทำงานจากบ้านก็ควรทำตัวเหมือนปกติ ตื่นเช้า อาบน้ำ แต่งตัว หรือออกกำลังกายตามยูทูบแทนการไปฟิตเนสทำสิ่งที่สนใจและงานอดิเรกที่ชอบ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

ออกกำลังกายสมอง ใช้ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ ทำกิจกรรมในเงื่อนไขสถานการณ์ที่จำกัด เช่น ลองวาดรูปภาพด้วยอุปกรณ์เท่าที่มี อบขนมหรือทำอาหารง่ายๆ ฟังเพลง เป็นต้น

สุดท้าย คือ ฝึกปรับทัศนคติ อย่าตระหนก อย่ากังวลจนเกินไป โดยใช้หลักการ Cognitive Behavioral Therapy (CBT) คือ ทุกครั้งที่มีความรู้สึกแย่ๆ เกิดขึ้นต้องรู้สึกตัว ลองใช้เวลาสักวันละ 5 นาที สำรวจ ทบทวนความคิด ความรู้สึก หรือการตอบสนองทางร่างกาย

หรือถ้าไม่แน่ใจลองถามคนรอบข้างและคนใกล้ชิด เมื่อรับรู้ถึงความรู้สึกลบ ไม่ต้องพยายามปรับให้เป็นบวก โดยการอยู่บนพื้นฐานความจริงอยู่แบบกลางๆ (Neutral) มีทั้งลบและบวก

เมื่อรู้สึกแล้วก็แค่รับรู้ว่ามันเป็นความรู้สึก ไม่ต้องไปหงุดหงิดซ้ำซ้อนยอมรับว่าความผิดพลาด ความล้มเหลวเป็นสิ่งที่อาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ Mindfulness ช้าลงช่วยให้เร็วขึ้น ใช้ชีวิตให้ช้าลงสักนิด เช่น ขณะทานข้าวลองใช้เวลาสั้นๆ รับรู้รสชาติ พักความคิดสัก 10 วินาที แล้วลองฝึกที่จะจดจ่ออยู่กับวินาทีที่เป็นปัจจุบัน นั่นคือช่วงที่ Mind ได้รับการบำบัด Take A Break หยุดทั้งความคิดลบและบวก

เทคนิคนี้เรียกว่า Mindfulness ฝึกให้ได้วันละนิดเมื่อนึกได้ เมื่อ Mind ได้พักเติมพลังเป็นระยะๆ จะมีเรี่ยวแรงออกไปสู้รบกับสถานการณ์ยากๆ ได้ใหม่ Sharing is Caring คงความสัมพันธ์ไว้ให้มั่น แม้จะห่างกายตามนโยบายเว้นระยะห่างทางสังคม แต่ไม่จำเป็นต้องห่างกัน สามารถโทร.คุยกัน หรือจะ วิดีโอคอลให้เห็นหน้ากันบ้าง

ที่มา : ข่าวสดออนไลน์

ฟ้าทลายโจร – ฟ้าทลายโจร ชื่อวิทยาศาสตร์ Andrographis paniculata (Burm.f.) Wall. ex Nees ชื่อเรียกอื่น ฟ้าทลาย หญ้ากันงู เป็นไม้ล้มลุก สูงถึง 50 ซ.ม. ลำต้นเป็นเหลี่ยม ผิวเกลี้ยง ใบเดี่ยวออกตรงข้าม รูปใบหอกแกมรูปไข่ หรือรูปรีแคบ กว้าง 1.0-2.5 ซ.ม. ยาว 1.5-7.0 ซ.ม. ผิวเกลี้ยง

 

ดอกออกเป็นช่อที่ซอกใบบริเวณปลายยอด กลีบดอกสีขาว ยาว 0.9-1.5 ซ.ม. ส่วนฐานเชื่อมกันเป็นรูปกรวย ยาว 4-8 ม.ม. ปลายแยกเป็นแฉก ผลแบบแห้งแตก รูปทรงรี กว้าง 0.3-0.4 ซ.ม. ยาว 1.5-2.0 ซ.ม.

สรรพคุณ แก้บิดชนิดติดเชื้อ ทางเดินอาหารอักเสบ แก้หวัด แก้ทอนซิล แก้ปอดอักเสบ แก้เจ็บคอ แก้ไข้ ช่วยให้เจริญอาหาร

อย่างไรก็ดีในการกินเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย หรือเสริมภูมิต้านทาน ควรปรึกษาแพทย์ด้วย

ที่มา : ข่าวสดออนไลน์

พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข หวั่นปิดเทอม เด็กใช้เวลาว่างไปกับเกมคอมพิวเตอร์ เล่นโทรศัพท์ ดูโทรทัศน์เป็นเวลานาน กินอาหารไม่มีประโยชน์และไม่ขยับร่างกาย เสี่ยงโรคอ้วน แนะพ่อแม่ ผู้ปกครอง คุมเข้มทั้งด้านโภชนาการและส่งเสริมให้เด็กเคลื่อนไหวออกกำลังกายมากขึ้น

แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ช่วงปิดเทอมพฤติกรรมการบริโภคอาหารของเด็กอาจเปลี่ยนไป โดยส่วนใหญ่เด็กจะเลือกกินอาหารที่มีแป้ง น้ำตาล ไขมัน รวมทั้ง อาหารขยะหรือ JUNK FOOD ในปริมาณมากเกินไป และใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปกับการดูโทรทัศน์ เล่นเกมคอมพิวเตอร์ มากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน มีการเคลื่อนไหวหรือออกกำลังกายน้อยลง ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไปและมีการเก็บสะสมในรูปไขมัน 

ทำให้เป็นโรคอ้วนได้ พ่อแม่ ผู้ปกครอง จึงต้องใส่ใจสุขภาพเด็กเป็นพิเศษ โดยเฉพาะด้านโภชนาการและการออกกำลังกาย ควรจัดอาหารให้มีคุณค่าและถูกหลักโภชนาการ ทั้งปริมาณและความเหมาะสมกับวัย โดยกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และหลากหลาย เน้น ผัก ผลไม้ นมสดรสจืด และ ไข่ เพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโตทั้งร่างกายและสมอง ใน 1 วัน เด็ก (อายุ 6 -14 ปี) ควรได้รับพลังงานเฉลี่ย 1,600 กิโลแคลอรี โดยกิน ข้าวหรือแป้ง 8 ทัพพี เนื้อสัตว์ 6 ช้อนกินข้าว ผัก 12 ช้อนกินข้าว นม 2 แก้ว ผลไม้ 6 – 8 ชิ้นพอดีคำทุกมื้อ หากเด็กไม่ชอบกินผัก ให้เลือกผักรสชาติไม่ขม อาจสับละเอียดเข้ากับอาหารเพื่อฝึกให้เด็กได้กินผัก โดยพ่อแม่ ควรเปิดโอกาสให้เด็กเสนอเมนูอาหารที่ชอบในแต่ละวัน ฝึกให้เด็กช่วยปรุงอาหารเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วม และฝึกเด็กให้กินอาหารตรงเวลาไม่กินจุบจิบ ไม่กินขนมก่อนกินอาหารมื้อหลัก เพราะจะทำให้อิ่มจนไม่สามารถกินอาหารมื้อหลักได้ สำหรับอาหารว่าง ควรเป็น ผลไม้สด ขนมไทยรสหวานน้อย หลีกเลี่ยงอาหารทอด อาหารรสจัด ขนมกรุบกรอบ และให้ดื่มน้ำสะอาด 6 – 8 แก้วต่อวัน

“ดังนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรเพิ่มกิจกรรมทางกายและส่งเสริมให้ออกกำลังกาย เช่น การเล่น วิ่ง กระโดดเชือก กระโดดโลดเต้น จนเหนื่อยหอบ อย่างน้อย 60 นาทีทุกวัน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและ ความอ่อนตัวของกล้ามเนื้อ แต่ต้องอยู่ในความดูแลของผู้ใหญ่เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุขณะออกกำลังกายด้วย ซึ่งช่วงเวลานี้พ่อแม่อาจหยุดทำงานอยู่กับบ้าน สามารถเพิ่มกิจกรรมการออกกำลังกายร่วมกันในครอบครัว และในบริเวณบ้าน นอกจากนี้ต้องให้เด็กนอนหลับสนิทเพียงพอ วันละ 9–11 ชั่วโมง เพื่อช่วยพัฒนาสมรรถภาพหัวใจ สมอง การเจริญเติบโต ให้สมวัย สูงสมส่วน และแข็งแรง ทั้งนี้ จากสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID-19) พ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรให้เด็กอยู่บ้าน หลีกเลี่ยงการเดินทางไกลหรือไปต่างจังหวัด แต่หากจำเป็นต้องให้เด็กสวมหน้ากากผ้าและหมั่นล้างมือบ่อยๆ เพื่อลดความเสี่ยง” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

ภาพและข้อมูลจาก กรมอนามัย

เดี๋ยวนี้ในบ้านเรามีพืชผักที่มีคุณค่ามากมายเป็นทั้งอาหาร เป็นยาสมุนไพร เป็นสิ่งให้สารบำรุงร่างกายและจิตใจ จนมีคำแนะนำรักษ์สุขภาพทางการแพทย์ว่า “ให้กินผักเป็นยา กินปลาเป็นอาหาร” พืชผักหลายชนิดมีแหล่งกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในประเทศไทย ผักบางชนิดมีการนำเข้ามาแพร่พันธุ์จากต่างประเทศ พอปลูกในไทยนานเข้าจนคุ้นเคยดูเหมือนจะเป็นพืชท้องถิ่นไทยไปเลย

“กระเทียม” นับได้ว่าเป็นพืชผักที่เก่าแก่ชนิดหนึ่งที่คนไทยรู้จัก มีสารประกอบอินทรีย์กำมะถันสูง ซึ่งเป็นสารที่ทำให้กระเทียมมีกลิ่นหอม มีรสเผ็ดร้อน ให้พลังงาน มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย แต่ไม่แน่ใจว่าต้นกำเนิดแรกอยู่ในประเทศใด อาจจะเป็นพืชดั้งเดิมของไทยเราก็ได้

เพราะเราเห็น เรารู้จักกันมาตั้งแต่ปู่ ย่า ตา ทวด รู้จักกิน รู้จักนำมาเป็นยารักษาบรรเทาโรค จนปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยเราเช่นปัจจุบันนี้ พอที่จะรู้ว่าชาวจีนนำกระเทียมใช้เป็นยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ เป็นยาบำรุงธาตุ บำรุงร่างกาย บำรุงกำหนัด เรื่องเพศสัมพันธ์ และใช้ถ่ายพยาธิ ชาวอียิปต์สมัยโบราณรู้จักการนำกระเทียมไปใช้ประโยชน์เมื่อมีโรคระบาด เช่น อหิวาตกโรค กาฬโรค ไข้รากสาดใหญ่ เอากระเทียมแขวนคอเด็กเพื่อขับไล่พยาธิต่างๆ

กระเทียม มีชื่อสามัญว่า GARLIC ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Allium sativum Linn. เป็นไม้ล้มลุกเนื้ออ่อน จัดอยู่ในวงศ์พลับพลึง AMARYLLIDACEAE วงศ์ย่อย ALLIOIDEAE มีพืชที่อยู่ในตระกูลเรียงพี่เรียงน้องกัน คือ กระเทียมหัว กระเทียมใบ หอมหัวใหญ่ หอมแดง และ หอมแบ่ง กระเทียมหัว (Garlic) มีชื่อเรียกทางภาคกลางและทั่วไปว่า กระเทียม ภาคเหนือเรียก หอมเตียม หอมเทียม ภาคใต้ เรียก เทียม หัวเทียม อีสาน เรียก กระเทียมขาว หอมขาว

กระเทียมที่มีปลูกในบ้านเรา มี 2 ชนิด ได้แก่ “กระเทียมจีน” จะมีหัวใหญ่ มีอายุเก็บเกี่ยวยาว กว่า 5 เดือน กระเทียมจีนเป็นพันธุ์หนัก หัวใหญ่ แต่นิยมเก็บเกี่ยวก่อนแก่ เก็บสดๆ หัวใหญ่ น้ำหนักดี ใบยังเขียวอยู่ จะเก็บไว้ได้ไม่นานจะเน่าเสีย เหมาะสำหรับเอามากินสด และทำกระเทียมดอง

และ “กระเทียมไทย” เดี๋ยวนี้ค่อนข้างจะหาคนปลูกเป็นการค้ายากหน่อย ไม่เป็นที่นิยมปลูก เพราะหัวเล็ก ขายไม่ค่อยได้ราคา คนไม่ค่อยนิยม มีแต่กลุ่มคนที่มีข้อจำกัดด้านอาหาร หรือเพื่อสุขภาพ รักษาโรค และที่ปลูกไว้กินทั่วไป กลับชอบปลูกกระเทียมไทยกัน เนื่องจากปลูกหน้าหนาว หลังเกี่ยวข้าวแล้ว อายุเก็บเกี่ยวเมื่อแก่จัด 3-4 เดือน บางทีก็ใช้เวลาแค่ 2-3 เดือน เก็บได้แล้ว เพราะหน้าหนาวมันแล้ง กระเทียมลงหัว แก่ไว

เรื่องพันธุ์กระเทียม มีข้อสงสัยกันว่า ทำไมจึงมีกระเทียมหลายอย่าง บ้างก็ว่าแบบหัวเล็กกลีบเล็กดีกว่า ประเภทหัวใหญ่กลีบใหญ่ อย่างชนิดกลีบเบ้อเร่อเทิ้มก็มี ก็อย่างที่บอกไว้ เราแยกเป็นกระเทียมไทย กับกระเทียมจีน ก็มีพันธุ์ต่างๆ แตกต่างกัน

กระเทียมไทย ส่วนใหญ่ที่นิยมปลูกเป็นพันธุ์กลาง อายุเก็บเกี่ยว 90-120 วัน เช่น พันธุ์พื้นเมืองเชียงใหม่ พันธุ์บางช้าง พันธุ์พม่า พันธุ์เบา หรือพันธุ์ขาวเมือง อายุเก็บเกี่ยว 75-90 วัน เช่น พันธุ์พื้นเมืองศรีสะเกษ จำพวกพันธุ์หนัก อายุเก็บเกี่ยว เกิน 150 วัน เช่น พันธุ์จีน หรือพันธุ์ไต้หวัน

วิธีปลูกกระเทียม

เนื่องจากพันธุ์กระเทียมมีราคาแพง การปลูกโดยวิธีหว่านจะใช้พันธุ์มาก จึงควรใช้วิธีปลูกเรียงกลีบบนแปลง ระยะวางกลีบ 10 เซนติเมตร แล้วใช้ฟางข้าวคลุม รดน้ำให้ชุ่ม เคยมีบางแห่งจะปลูกโดยการแกะกลีบกระเทียม แล้วแช่น้ำ 1 คืน เอาออกมาผึ่งแดดให้พอหมาด แล้วนำไปคลุกมูลค้างคาว เพื่อไม่ให้ลื่น และเป็นปุ๋ยบำรุงเจริญเติบโตเร็ว

ปักกลีบกระเทียมลงดิน ระยะปลูก 10×20 เซนติเมตร ลึก 2 ส่วน 3 ของกลีบ ประมาณ 1 เซนติเมตร คลุมด้วยฟางข้าว แปลงกว้าง 2 เมตร ยาว 10 เมตร เว้นร่อง 50 เซนติเมตร พื้นที่ 1 ไร่ แบ่งได้ 80 แปลงย่อยๆ ละ 900 ต้น หรือ 72,000 ต้น ต่อไร่ ใช้กลีบพันธุ์ขนาดกลาง น้ำหนัก 2 กรัม ต่อกลีบ น้ำหนักรวม 144 กิโลกรัม ต่อไร่

จึงแนะนำให้เกษตรกรปลูกแบบใช้กลีบ ต้นทุนค่าพันธุ์ต่ำลงมาก ถ้าปลูกไว้กินเล็กๆ น้อยๆ ขอให้ใช้กลีบพันธุ์ขนาดใหญ่ ปลูกแปลงเล็กๆ หรือในกะละมังก้นรั่ว ได้กิน ทั้งต้น ใบ ดอก หัว คอยตัดกินทีละน้อย 5-6 เดือนถึงหมด ได้หัวที่แก่จัดทำพันธุ์ต่อได้ และถ้าปลูกเว้นเวลากัน ก็มีกินตลอดปี ข้อจำกัดคือ ถ้าไม่เจอหนาว จะไม่ลงหัว จึงนิยมปลูกกันช่วงเดือนพฤศจิกายน เก็บเกี่ยวมีนาคม หรือ เมษายน

สรรพคุณทางยาของกระเทียม

สารสำคัญของกระเทียม ที่ทำให้กระเทียมมีสรรพคุณและคุณภาพความเป็นกระเทียม ดังที่รู้จักกัน กระเทียมจะมีกลิ่นหอมฉุน มีน้ำมันหอมระเหย คือสารอินทรีย์กำมะถัน อัลลิอิน เมื่อถูกเอนไซม์ อัลลิเนส เป็นตัวเปลี่ยนแปลงเป็นน้ำมันกระเทียม (Garlic Oil)

กระเทียมจะมีกลิ่นหอมก็ต่อเมื่อ อัลลิอิน และอัลลิเนส ซึ่งปกติจะแยกกันอยู่คนละส่วน เมื่อถูกทุบ หั่น หรือทำให้ช้ำ สารทั้ง 2 ชนิด จะรวมกันทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมี กลายเป็นสารอัลลิซีนในรูปน้ำมันที่มีประโยชน์ สารอัลลิอิน น้ำย่อยอัลลิเนส และสารอัลลิซิน ในกระเทียมสดๆ จะไม่มีกลิ่น กลิ่นตามมาทีหลังเมื่อเกิดปฏิกิริยาดังที่กล่าวมา

น้ำมันหอมระเหย (Essential Oil) มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับเหงื่อ แก้น้ำลายเหนียว ขับเสมหะ บำบัดโรคหลอดลมอักเสบ บรรเทาอาการไอ การสูดดมน้ำคั้นจากกระเทียมรักษาวัณโรค เพิ่มอาการหลั่งของน้ำดี ทำให้ความดันโลหิตต่ำ ใช้บำบัดโรคความดันโลหิตสูง บำรุงธาตุ แก้จุกเสียดแน่นท้อง แน่นอก แก้อาการอักเสบในลำไส้ ขับลมในลำไส้ ป้องกันกรดไหลย้อน ขับเลือดระดู แก้อัมพาตอัมพฤกษ์

โขลกพอกหัวเหน่าแก้ขัดเบา บดผสมน้ำส้มสายชูกวาดแก้คออักเสบเสียงแหบแห้ง แก้ไข้ แก้โรคเส้นประสาท น้ำคั้นใช้ทาบรรเทาอาการปวดข้อ ต้มกับน้ำมันงาใช้หยอดหูแก้ปวดหู ใช้พอกแผลหนอง ช่วยบำรุงระบบสืบพันธุ์ และทางเดินปัสสาวะ มีสารที่ควบคุมฮอร์โมนเพศชายและหญิง

คุณค่าของกระเทียมที่ได้จากสารอินทรีย์กำมะถันอัลลิซิน อัลลิอิน เป็นยาปฏิชีวนะ ฆ่าเชื้อแก้อักเสบ ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน ป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจหยุดทำงานเฉียบพลับ ลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดความดันโลหิตสูง ลดปริมาณน้ำตาลในเลือด รักษาโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ลำไส้ ป้องกันโรคหวัด วัณโรค หรือนิวโมเนีย โรคคอตีบ ปอดบวม ไทฟอยด์ มาลาเรีย คออักเสบ อหิวาตกโรค ช่วยขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ ขับลมภายในกระเพาะ แก้ท้องอืดเฟ้อ รักษาแผลสด แผลเป็นหนอง โรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน น้ำกัดเท้า เชื้อราในร่มผ้า ปวดฟันจากฟันผุ ปวดหู หูอื้อ หูตึง ฯลฯ

มีสูตรเด็ดใช้รักษาโรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง ภูมิปัญญาพื้นบ้านชาวใต้ปัตตานี ใช้กระเทียม 1 กิโลกรัม ใส่เครื่องปั่น บีบมะนาวใส่ประมาณ 50 ลูก หมักไว้ 25 วัน นำมากินครั้งละ 1 ช้อน ก่อนอาหาร 3 เวลา ร่างกายจะปรับสมดุล และแข็งแรง

ประโยชน์ทางโภชนาการ กระเทียมมีวิตามินเอ บี ซี และสารจำพวกฮอร์โมน ใช้ต้น ใบ ดอก หัว ปรุงเป็นอาหาร หัวแก่เป็นเครื่องปรุง ดับกลิ่นคาวเนื้อสัตว์ หมู ปลา เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของน้ำพริกต่างๆ

ต้ม ผัด แกง ทอด หอมอร่อยในพริบตา รสแซ่บซ่า กินแหนมสดขาดกระเทียมกับพริกขี้หนูหมดอร่อย และในการทำแหนม เขาโขลกหรือทุบกระเทียมผสมข้าวสุกใส่ห่อแหนม จะทำให้แหนมสุกเปรี้ยวอร่อยถูกคอสุรายิ่งนัก ส่วนกระเทียมดองก็นำมาประกอบอาหารได้หลากหลายชนิด อร่อยมาก

คุณค่าทางโภชนาการ กระเทียม 100 กรัม ให้พลังงาน 149 กิโลแคลอรี ประกอบด้วยสาระสำคัญ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต 33.06 กรัม โปรตีน 6.36 กรัม กากใยอาหาร 2.1 กรัม น้ำตาล 1.0 กรัม ไขมัน 0.5 กรัม วิตามินB1 หรือไทอะมีน 0.2 มิลลิกรัม วิตามินB2 หรือไรโปฟลาวิน 0.11 มิลลิกรัม วิตามินB3 หรือไนอะซิน 0.7 มิลลิกรัม วิตามินB5 หรือกรดแพนโทเทนิก 0.596 มิลลิกรัม วิตามินB6 หรือไพริด็อกซิน 1.235 มิลลิกรัม วิตามินB9 หรือกรดโฟลิก 3 ไมโครกรัม วิตามินC 31.2 มิลลิกรัม แคลเซียม 181 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 25 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 153 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 401 มิลลิกรัม เหล็ก 1.7 มิลลิกรัม แมงกานีส 1.672 มิลลิกรัม สังกะสี 1.16 มิลลิกรัม ซีลีเนียม 14.2 ไมโครกรัม

กระเทียม มีสรรพคุณและคุณประโยชน์มากกว่า 200 อย่าง การกินกระเทียมไม่ว่าจะรูปแบบไหน ถ้ากินพอประมาณ มีประโยชน์ที่ได้รับมากมาย บรรพบุรุษเราก็ใช้ประโยชน์จากกระเทียมมากันนับไม่รู้กี่รุ่นกี่ยุคกี่สมัย

ชาวโลกทั่วไปก็รู้จักใช้ประโยชน์ และบอกเล่าสืบต่อกันมานานนับร้อยๆ ปี จะถือได้ว่า กระเทียมเป็นพืชโบราณที่เปี่ยมล้นด้วยนานาสรรพคุณ มหาศาลด้วยคุณประโยชน์ ที่สุดแห่งพืชที่เอื้อประโยชน์แก่มนุษย์โลกมาอย่างยาวนาน แล้วเราจะปล่อยละทิ้งไปให้สิ้นสูญไร้ค่าอย่างนั้นหรือ?

เมื่อรู้ว่ากระเทียมมีประโยชน์มากมาย ช่วงนี้มีราคาแพงเอามากๆ แหล่งปลูกเดิมก็ปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น เป็นเพราะกระเทียมใช้เวลานานถึงได้ผลผลิต ใช้เวลานานพอๆ กับทำนา

เมื่อนับช่วงปลูกกระเทียม คือหน้าหนาวหลังเกี่ยวข้าวนาปีแล้วถึงลงมือปลูก ดินมีความชื้นอยู่บ้าง ข้างนาพอมีน้ำในสระในหนองอยู่บ้าง มีฟางข้าวอยู่ในแปลงนาแล้ว ขุดไถปรับหน้าดินนานิดหน่อย ใส่ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมัก แล้วปลูกกระเทียม 3-4 เดือน ได้ผลผลิต เก็บเกี่ยวแล้ว

ดินยังมีปุ๋ยเหลืออยู่บ้าง ฟางข้าวที่คลุมแปลงย่อยสลาย เหลือปุ๋ยในดินกับจากฟางข้าวไว้ พร้อมที่จะให้ทำนาต่อได้อีก เพราะการปลูกกระเทียมใช้เวลานาน และต้องปลูกในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็นจึงจะให้หัว ทำให้ชาวบ้านเกิดความท้อแท้ กังวลว่าต้องหาน้ำเพิ่ม จึงไม่ค่อยนิยมปลูกกัน สู้ปลูกพืชอื่นที่ให้ผลให้เงินไว มีเวลาพักผ่อนใช้เงินจากการขายข้าวได้ วิถีกระเทียมจึงมีข้อจำกัดด้วยประการฉะนี้

ผู้ป่วยสูงอายุและผู้ป่วยที่มีโรคร่วม เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ โรคหอบหืด มีโอกาสที่จะเกิดการติดเชื้อ COVID-19 ได้รุนแรงกว่า

ผู้เป็นเบาหวานที่มีการติดเชื้อ การคุมระดับน้ำตาลในเลือดจะผันผวนและควบคุมได้ยาก ส่งผลทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้ อธิบายได้จาก 2 เหตุผล เหตุผลแรกคือภูมิคุ้มกันต่ำลง ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น และอีกเหตุผลคือเชื้อมักเจริญเติบโตได้ดีในภาวะที่มีน้ำตาลในเลือดสูง

จึงขอแนะนำวิธีการป้องกันตัวเองในช่วงโรคระบาด COVID-19 ดังนี้

  1. สำหรับผู้เป็นเบาหวาน ควรระมัดระวัง การหลีกเลี่ยงการติดเชื้อเป็นสิ่งสำคัญ
  • ล้างมือสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสบริเวณใบหน้า ควรล้างมือและทำให้มือแห้งสะอาดก่อนสัมผัสใบหน้า
  • ทำความสะอาดวัตถุหรือบริเวณที่ถูกสัมผัสบ่อยๆ
  • เวลาไอหรือจาม ควรนำต้นแขนหรือข้อพับแขนมาปิดบริเวณปากและจมูก ไม่ควรใช้มือปิดเนื่องจากมืออาจไปสัมผัสวัตถุสิ่งของอื่นต่อ เพิ่มความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ
  • หลีกเลี่ยงการติดต่อกับผู้ป่วยที่มีอาการเสี่ยงต่อโรคไวรัสนี้ เช่น ไอหรือจาม
  • คอยแนะนำหรือพูดคุยกับคนในครอบครัวถึงการป้องกันหรือหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ เช่น คุณควรหลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยรถโดยสารที่แออัด คุณควรหลีกเลี่ยงการไปเที่ยว หรือคุณควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีผู้คนชุมนุมกันจำนวนมาก
  • ถ้ารู้สึกว่าตัวเองมีอาการหรือสงสัยจะป่วย โปรดพักผ่อนอยู่บ้าน และโทรศัพท์เพื่อขอคำแนะนำได้ที่ กรมควบคุมโรค หมายเลขโทรศัพท์ 1422 หรือสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ หมายเลขโทรศัพท์ 1669
  • หากมีอาการหนัก ควรโทรศัพท์เพื่อขอคำแนะนำวิธีการไปพบแพทย์ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1422 หรือ 1669
  1. ถ้าหากคุณเป็นเบาหวาน
  • เตรียมตัวให้พร้อมหากคุณรู้สึกไม่สบาย
  • ติดต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือหากจำเป็น
  • ตั้งใจควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดีขึ้น
  • หากคุณมีอาการไข้สูง ไอ จาม หรือหายใจลำบาก ควรรีบไปพบแพทย์ หากมีเสมหะร่วมด้วยบ่งบอกว่ามีการติดเชื้อ คุณควรได้รับการรักษาอย่างทันที
  • การติดเชื้อทุกชนิดสามารถเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด และทำให้ร่างกายขาดน้ำ จึงควรดื่มน้ำอย่างเพียงพอ
  • เช็กดูว่ายารักษาเบาหวานมีเพียงพอหรือไม่หากคุณต้องถูกกักตัวอยู่บ้านเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
  • สำรองอาหารโดยเฉพาะประเภทน้ำตาลอย่างเพียงพอ สำหรับการแก้ไขภาวะน้ำตาลต่ำได้ทันท่วงที
  • ถ้าหากคุณอยู่บ้านคนเดียว หาคนที่สามารถไว้วางใจและมั่นใจว่าจะช่วยเหลือคุณได้หากคุณต้องการความช่วยเหลือ

.

ภาพและข้อมูลจาก : สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี , เพจรู้สู้ COVID-19

ไก่ย่างส้มตำ

หากตั้งคำถามว่าอาหาร 3 มื้อ คือ มื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น มื้อไหนสำคัญกว่ากัน อย่างไร  ดูเหมือนหาคำตอบยากเอาการ เพราะมีหลากหลายทฤษฏีและหลากหลายความเชื่อ บางทฤษฏีบอกว่ามื้อเช้าดีที่สุด สำคัญที่สุด บางทฤษฏีให้น้ำหนักไปที่มื้อเที่ยง หรือมื้อกลางวัน โดยให้เหตุผลว่าเพราะมื้อกลางวันร่างกายต้องใช้พลังงานมากที่สุดและยาวนานไปถึงตอนเย็น  ส่วนมื้อเย็นจึงไม่จำเป็นเท่าไหร่ เนื่องจากร่างกายไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรมากมาย

อย่างไรก็ตาม มีหลายทฤษฏีเหมือนกันที่ให้น้ำหนักกับการกินอาหารมื้อเย็น ว่า เป็นมื้อที่ร่างกายขาดไม่ได้ โดยให้เหตุผลว่า ในแต่ละคนนั้นการกินอยู่หลับนอนย่อมไม่เหมือนกัน และแตกต่างกัน บางคนนอนหัวค่ำ มื้อเย็นก็ไม่จำเป็นอะไร แต่สำหรับคนนอนดึก ตีหนึ่งตีสอง หากไม่ได้กินมื้อเย็นแล้วคงนอนไม่หลับ หรือหลับยาก บางครั้งอยู่ไม่ได้ต้องลุกขึ้นมาควานหาอะไรในตู้เย็นกิน

การรับประทานมื้อเย็นจะมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ ในทางการแพทย์เองก็ยังถกเถียงอย่างหาข้อยุติได้ยาก แต่ที่สำคัญกว่า คือ มีคำแนะนำกินอาหารให้ครบ 3 มื้อ ส่วนแต่ละมื้อจะกินอย่างไรให้ดีกับสุขภาพ นี่ต่างหากเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึง  สำหรับบางความเชื่อบางทฤษฏีบอกว่า การงดมื้อเย็นถือเป็นเรื่องที่อันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก

เพราะโดยปกติแล้วร่างกายคนเราเหมือนถูกตั้งเวลาเอาไว้ เมื่อถึงเวลาต้องกินอาหาร กระเพาะจะหลั่งกรดออกมาเพื่อย่อยอาหาร แต่พอมื้อเย็นไม่มีอาหารในกระเพาะ กรดที่หลั่งออกมาก็จะไปย่อยกระเพาะแทน ส่งผลให้เกิดโรคกระเพาะอักเสบ  หรือเป็นแผลในกระเพาะอาหารในระยะยาว  อาการท้องอืด และอาจส่งผลให้ท้องไส้ปั่นป่วนจนนอนไม่หลับ  ร่างกายอ่อนเพลีย ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป บางคนถึงขั้นอาเจียน ยังไม่รวมโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้จากการที่ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ  ดังนั้นสำคัญแค่ “เปลี่ยนจากงดมื้อเย็น เป็นแค่ลดปริมาณลง” ก็พอ

ส่วนความคิดที่ว่า “การงดมื้อเย็นเป็นการลดน้ำหนัก” นั้น นับเป็นความคิดที่ผิด เพราะจะส่งผลให้ร่างกายของคนเราเสื่อมประสิทธิภาพลง ดังนั้น ไม่ควรงดมื้อเย็นโดยเด็ดขาด ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรับประทานมื้อเย็น คือ ไม่ควรน้อยกว่า 3-4 ชั่วโมงก่อนเข้านอน หรือเป็นไปได้ไม่ควรเกิน 18.00-19.00 น. จะดีที่สุด นอกจากนี้ ควรเลือกวิธีลดปริมาณอาหาร หรือควบคุมอาหารน่าจะดีกว่า รวมถึงงดอาหารบางประเภท เช่น ของมัน ของทอด ของหวาน แล้วเลือกรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย พวกผักลวก ผักต้ม เนื้อปลา เนื้อไก่ โดยยึดหลักกินให้ได้สารอาหารครบ 5 หมู่  ควรเน้นผักกับผลไม้และกินให้หลากหลาย ควรกินให้ได้ทุกวัน เพราะในผักแต่ละชนิดมีสารอาหารวิตามินและเกลือแร่ไม่เหมือนกัน จะไปช่วยเสริมกันและกัน

ยำวุ้นเส้น
น้ำพริก
ยำมะเขือยาว

แนะนำอาหารมื้อเย็นง่ายๆ กินแล้วสบาย ดังนี้ “ยำวุ้นเส้น” เป็นเมนูที่หลายคนนึกถึงเวลาอยากลดความอ้วนด้วย เพราะยำวุ้นเส้นมีแคลอรีต่ำ ให้พลังงานเพียง 120 แคลอรีเท่านั้น “น้ำพริก-ผักต้ม” ผักสามารถหาได้หลากหลายชนิด ส่วนน้ำพริกก็ไม่จำกัด จะเป็นน้ำพริกปลาร้า หรือน้ำพริกกะปิ ก็แซ่บได้แบบไม่ต้องกลัว แต่แนะนำว่าน้ำพริกอย่าปรุงเค็มจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้บวมน้ำได้ และควรลดข้าว โดยเปลี่ยนเป็นกินผักต้มกับน้ำพริกแทน เมนูต่อมาคือ “ขนมจีนน้ำยาป่า” หรือน้ำยาที่ไม่มีกะทิ ถ้าจะให้ผลดีที่สุด ควรกินเส้นขนมจีนน้อยๆ ใส่ผักเยอะๆ หรือเปลี่ยนไปกินผักแทนเส้นขนมจีนราดด้วยน้ำยาป่า

“ยำมะเขือยาว” เป็นอาหารมื้อเย็นที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ แถมยังมีเส้นใยอาหารที่ช่วยให้อิ่มได้นานและทนอีกด้วย แทนที่จะเลือกกินผัดมะเขือยาวที่มีน้ำมันเยอะ แนะนำเป็นยำมะเขือยาวที่แคลอรีน้อยจะดีกว่า  เมนูขาดไม่ได้ที่ต้องมีในลิสต์ “ไก่ย่างส้มตำ” เป็นเมนูที่หากินง่าย แต่ถ้าจะให้ดีแนะนำว่าส้มตำต้องไม่ใส่ผงชูรสและน้ำตาลจนหวานเจี๊ยบ กินกับไก่ย่างไม่มีหนังแทนข้าวเหนียว

อีกเมนู “แกงเห็ด” สำหรับใครที่ชอบกินเห็ด เมนูเป็นตัวเลือกสำหรับมื้อเย็นที่ดีไม่น้อย  เพราะเห็ดมีเส้นใยอาหารสูง แต่แคลอรีต่ำ ทำให้อิ่มสบายท้องแบบไม่มีไขมันมากวนใจ ใครจะเลือกใส่เห็ดอย่างเดียว หรือใส่สารพัดเห็ด เช่น เห็ดออรินจิ  เห็ดนางฟ้า เห็ดเข็มทอง ก็อร่อยได้ไม่ต่างกัน ตามมาด้วย “แกงเลียง” เมนูอาหารไทยที่อุดมด้วยผักหลากหลายชนิด นอกจากไขมันต่ำแล้ว แกงเลียงยังมีเส้นใยมาก ช่วยให้อิ่มท้องและช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหารด้วย

สลัดโรล

มื้อเย็นที่ลดอ้วนได้ด้วย ไม่พลาดจาก “ไข่ต้ม” จำนวน 1 ฟอง กินเปล่าๆทั้งอร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกาย  หรือหยิบไข่มาทำ “ไข่ตุ๋น” ก็ไม่ผิดกติกา เป็นมื้อเย็นที่กินแล้วช่วยคุมน้ำหนัก คุมแคลอรีได้ดี  แต่ถ้ากลัวจะไม่อิ่ม แนะนำว่าให้ใส่ผัก เช่น ฟักทอง แครอท หรือต้นหอม ลงไปด้วยจะได้สารอาหารมากขึ้น “ส้มตำผลไม้” เป็นเมนูแคลอรี่ต่ำอีกเช่นกัน เพราะส้มตำผลไม้ 1 จาน แคลอรีเพียง 150 เท่านั้น แต่อย่าลืมเลือกผลไม้ที่น้ำตาลน้อยๆ ดีที่สุด  “สลัดโรล” เป็นอีกหนึ่งจานที่กินแล้วอิ่มอยู่ท้อง แต่ต้องกินคู่กับน้ำสลัดแแบบแคลอรีต่ำ หรือน้ำสลัดโยเกิร์ตแทนน้ำสลัดแบบครีม

ปิดท้ายด้วยเมนู “เมี่ยงปลาทู” มีประโยชน์มากๆ ทั้งสารอาหารจากปลาทูช่วยเผาผลาญกรดไขมันอิ่มตัว ลดการสะสมไขมันบริเวณผนังหลอดเลือด ที่สำคัญเป็นปลาทูนึ่งจะดีกว่าปลาทูทอด ส่วนผักที่กินเป็นส่วนประกอบก็มีประโยชน์ทั้งนั้น โดยเฉพาะช่วยเพิ่มกากใย และทำให้อิ่มแต่ไม่อ้วนด้วย

เพจ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้แชร์ภาพ อินโฟกราฟิก ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ว่าด้วยเรื่องการทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้และสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันโรคไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ไวรัสโควิด-19 โดยมี 4 วิธี ดังนี้

1. สิ่งของเครื่องใช้ที่สัมผัสบ่อย อาทิ โทรศัพท์มือถือ แท็บเลต

– วิธีทำความสะอาด : ให้เช็ดด้วยแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 70 – 90% แล้วทิ้งไว้ให้แห้ง

2. พื้นผิวที่สัมผัสบ่อย เช่น เตียง โต๊ะ เก้าอี้ ของใช้รอบตัว รวมไปถึงห้องน้ำ

– วิธีทำความสะอาด : ให้ใช้น้ำยาฟอกผ้าขาว ( 3 – 6% โซเดียมไฮโปคลอไรท์) ผสมกับน้ำยา 1 ส่วน ต่อน้ำ 49 ส่วน ยกตัวอย่าง ไฮเตอร์ 1 ฝาขวด (ประมาณ 10 ซีซี) ผสมน้ำครึ่งลิตร เช็ดหรือแช่ทิ้งไว้ 10 นาที จากนั้นเช็ดออกด้วยน้ำสะอาด *

3. พื้นผิวโลหะ

– วิธีทำความสะอาด : ให้เช็ดด้วยแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 70 – 90% แล้วทิ้งไว้ให้แห้ง *  ห้ามใช้น้ำยาฟอกผ้าขาว เพราะมีฤทธิ์กร่อนโลหะ

4. ผ้า เช่น เสื้อผ้า ผ้าปูเตียง หรือ ผ้าขนหนู

– วิธีทำความสะอาด : สามารถซักได้ตามปกติ (ใช้ผงซักฟอกธรรมดาและน้ำ) หรือ ซักด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 60 – 90 องศาเซลเซียส

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

 

 
เลือกกิน ‘ให้ปลอดภัย’ ช่วง ‘ไวรัสโควิด-19’ ระบาด

ในช่วงเวลาที่ทั่วโลกกำลังระส่ำกับการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มรักษาระยะห่างทางสังคม บริษัทใหญ่ๆ หลายบริษัทเริ่มมีนโยบายให้ทำงานจากที่บ้าน

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือ การทำคุณภาพชีวิตของตัวเองให้ดีเมื่อต้องอยู่บ้าน โดยคุณภาพชีวิตที่ดีที่บ้าน ประกอบด้วย การมีโภชนาการที่ดี การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และการออกกำลังกายเป็นประจำ หลายๆ คนเริ่มทำอาหารเองหรือสั่งอาหารมาที่บ้านมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารนอกบ้าน

ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าการแพร่เชื้อของโรคโควิด-19 เกิดขึ้นได้จากคนสู่คนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าให้มองข้ามความจำเป็นในการปฏิบัติตามสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเข้มงวดในการจัดเตรียมอาหาร องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้

– ใช้เขียงและมีดแยกต่างหากสำหรับเนื้อดิบและอาหารที่ปรุงสุกแล้ว

– ล้างมือทุกครั้งระหว่างการเตรียมเนื้อดิบและอาหารที่ปรุงสุกแล้ว

– ไม่ควรรับประทานสัตว์ป่วยหรือสัตว์ที่ตายจากโรค

– ถึงแม้ในพื้นที่ที่มีการระบาดของไวรัส วัตถุดิบเนื้อต่างๆ ยังสามารถรับประทานได้หากผ่านการปรุงสุกอย่างทั่วถึงและมีการจัดเตรียมอย่างถูกต้อง

การมีโภชนาการที่ดี ควรมีสัดส่วนของโปรตีนที่เหมาะสม นอกเหนือจากเนื้อสัตว์แล้ว ยังมีตัวเลือกอาหารอื่นๆ ที่มีโปรตีนสูง เช่น เต้าหู้ ชีส เห็ด ถั่ว ธัญพืชต่างๆ และปลา อาหารทะเลถือเป็นแหล่งโปรตีนสำหรับอนาคตของโลก เพราะมีกรรมวิธีการผลิตที่ยั่งยืนปล่อยก๊าซคาร์บอนออกมาน้อยกว่ากรรมวิธีการผลิตเนื้อสัตว์

ในบรรดาผู้ส่งออกอาหารสู่ประเทศไทย นอร์เวย์เป็นผู้นำตลาดอาหารทะเล โดยเฉพาะแซลมอนและฟยอร์ดเทราต์ ซึ่งมีสัดส่วนถึงร้อยละ 87 จากมูลค่าการส่งออกกว่า 5.2 พันล้านบาท ในปี 2562 ที่ผ่านมา โดยสภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ (NSC) ได้ดำเนินการเพื่อตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการจัดส่งอาหารที่ปลอดภัย ยั่งยืน และมีคุณค่าทางโภชนาการท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด-19 นอร์เวย์มีมาตรการที่เข้มงวดในการควบคุมการระบาดของโรค

สิ่งสำคัญที่เราต้องทำในช่วงเวลาวิกฤตแบบนี้คือ “ตั้งสติให้ดี” รับข้อมูลข่าวสารจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ก่อนลงมือทำอะไรก็ตาม หากต้องกักตุนอาหารเพื่อการอยู่บ้านให้เลือกวัตถุดิบคุณภาพสูงจากร้านค้าปลีกที่น่าเชื่อถือ มีบรรจุภัณฑ์ที่สะอาด ปลอดภัย

ที่มา : มติชน

Getty Images

ยิ่งโรคโควิด-19 แพร่ระบาดมากขึ้นเท่าไร เราก็ยิ่งกลัวผิวสัมผัสตามที่ต่าง ๆ มากขึ้น กลายเป็นภาพที่เห็นกันปกติในชีวิตประจำวันไปแล้ว เวลาคนพยายามใช้ศอกเปิดประตูแทน หรือพนักงานออฟฟิศที่หมั่นเช็ดโต๊ะทุกเช้า

ในประเทศที่ไวรัสโคโรนาระบาดหนัก มีการส่งเจ้าหน้าที่ในชุดป้องกันพิเศษไปสเปรย์ฆ่าเชื้อตามที่สาธารณะ

โควิด-19 ก็เหมือนกับโรคที่เกิดจากไวรัสทางระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ ที่ติดต่อทาง “ละอองฝอย” (droplets) เมื่อคนไอหรือจาม การไอครั้งเดียวสามารถสร้างละอองฝอยได้ถึง 3 พันหยด ซึ่งจะไปถูกตัวคนอื่น ไปอยู่ตามเสื้อผ้าและพื้นผิวโดยรอบ แต่บางส่วนก็สามารถลอยอยู่ในอากาศได้

ยังมีหลักฐานอีกด้วยว่า ไวรัสในอุจจาระสามารถแพร่เชื้อได้นานกว่า คนที่เข้าห้องน้ำแล้วไม่ล้างมือจึงสามารถนำเชื้อไปแพร่ที่อื่นอีกได้เมื่อไปจับอะไรเข้า

ถึงแม้ว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (CDC) บอกว่า “ไม่ได้คิดกันว่าสาเหตุหลักของการแพร่ไวรัส” มาจากการไปจับพื้นผิวที่มีไว้รัสติดอยู่แล้วมาจับหน้าตัวเอง แต่พวกเขา รวมถึงองค์การอนามัยโลก ก็เชื่อว่าการล้างมือและฆ่าเชื้อไวรัสบริเวณพื้นผิวต่าง ๆ เป็นตัวช่วยสำคัญ

เรายังไม่รู้แน่ชัดว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ SARS-CoV-2 นี้สามารถอาศัยอยู่นอกร่างกายมนุษย์ได้นานเท่าไร

ที่ผ่านมา งานวิจัยพบว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์อื่น ๆ ที่ทำให้เกิดโรคซาร์ส (SARS) และโรคเมอร์ส (MERS) สามารถมีชีวิตอยู่บนพื้นผิวอย่างโลหะ แก้ว และพลาสติก ได้นานถึง 9 วัน เว้นแต่จะถูกฆ่าเชื้ออย่างดี บางกรณีสามารถอยู่ได้นานถึง 28 วันในช่วงที่อุณหภูมิต่ำ

นีลเชอร์ ฟาน ดอรีมาลิน นักไวรัสวิทยาจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ และผู้ร่วมวิจัยของเธอที่ห้องปฏิบัติการวิจัยร็อกกีเมาน์เทน (Rocky Mountain Laboratories) ที่เมืองแฮมิลตัน รัฐมอนทานา ได้ทำการทดลองครั้งแรก ๆ เพื่อหาคำตอบว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สามารถมีชีวิตอยู่พื้นผิวชนิดต่าง ๆ ได้นานเท่าไร

งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ (New England Journal of Medicine) พบว่า ไวรัสในละอองฝอยสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 3 ชั่วโมงหลังจากมีคนติดเขื้อไอออกมา ละอองฝอยละเอียดขนาด 1-5 ไมโครเมตร (เล็กกว่าความกว้างเส้นผมมนุษย์ 30 เท่า) สามารถอยู่ในอากาศที่นิ่งสนิทได้หลายชั่วโมง

นั่นหมายความว่าไวรัสที่หมุนเวียนผ่านระบบปรับอากาศที่ไม่มีการกรองอากาศจะลอยอยู่อย่างมากก็ 3 ชั่วโมง ละอองฝอยมักจะตกลงบนพื้นผิวเมื่ออยู่ในที่ที่อากาศไม่นิ่ง นักวิจัยพบว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สามารถมีชีวิตอยู่บนกระดาษลังได้ถึง 24 ชั่วโมง และ 2-3 วัน สำหรับพื้นผิวพลาสติกและสแตนเลส

ผลวิจัยพบว่าไวรัสอาจอยู่ได้นานกว่าบนลูกบิดประตู โต๊ะทำงาน และพื้นผิวแข็งอื่น ๆ แต่พื้นผิวที่เป็นทองแดงจะฆ่าไวรัสภายใน 4 ชั่วโมง

Getty Images

วิธีฆ่าเชื้อที่เร็วที่สุดคือใช้แอลกอฮอล์ 62-71 เปอร์เซ็นต์ หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 0.5 เปอร์เซ็นต์ หรือน้ำยาฟอกขาวโซเดียมไฮเปอร์คลอไรต์ 0.1 เปอร์เซ็นต์

ไวรัสจะตายเร็วขึ้นเมื่ออยู่ในที่ที่อุณหภูมิสูงและชื้น เราสามารถฆ่าไวรัสที่ทำให้เกิดโรคซาร์สได้ด้วยอุณหภูมิ 56 องศาเซลเซียส โดยอัตรา 10,000 เซลล์ไวรัสทุก 15 นาที

แม้ว่าจะยังไม่มีข้อมูลว่ามีอนุภาคไวรัสกี่หน่วยในละอองฝอยที่คนติดเชื้อคนหนึ่งไอออกมา แต่งานวิจัยเรื่องไวรัสไข้หวัดธรรมดาพบว่าละอองฝอยเล็ก ๆ มีอนุภาคไวรัสเป็นหลายหมื่นหน่วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าพบไวรัสนี้ที่ส่วนใดของระบบทางเดินหายใจ และคนไข้ติดเชื้อไปถึงขั้นไหนแล้ว

ยังไม่รู้แน่ชัดว่าบนพื้นผิวที่ทำความสะอาดยากอย่างเสื้อผ้า ไวรัสสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไร

วินเซนต์ มุนสเตอร์ หัวหน้าฝ่ายนิเวศวิทยาไวรัสของศูนย์ฏิบัติการวิจัยร็อคกี้เมาต์เทน (Rocky Mountain Laboratories) บอกว่า สำหรับกระดาษลัง เยื้อวัสดุที่เป็นธรรมชาติอาจทำให้ไวรัสแห้งตัวเร็วกว่าเวลาอยู่บนพลาสติกและโลหะ

“เราคาดว่าด้วยความที่เป็นวัสดุมีรูพรุน มันแห้งตัวอย่างรวดเร็ว และอาจจะติดอยู่กับเนื้อเยื่อ”

การเปลี่ยนแปลงด้านอุณหภูมิและความชื้นก็อาจจะมีผลด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่นักวิจัยกำลังศึกษาต่อ และนี่อาจช่วยอธิบายได้ว่าเหตุใดไวรัสไม่สามารถคงตัวได้ดีเวลาอยู่ในละอองฝอยในอากาศ

มุนสเตอร์บอกว่าความสามารถของไวรัสที่จะมีชีวิตอยู่ได้นานนอกร่างกายมนุษย์ยิ่งย้ำให้เราเข้าใจว่าการล้างมือและเช็ดทำความสะอาดพื้นผิวเป็นประจำสำคัญแค่ไหน

ที่มา : ข่าวสด

 

Getty Images

เด็กม.หอการค้าเจ๋ง! ปลูกผักออร์แกนิก ผลิตน้ำสมุนไพรเตย-กระเจี๊ยบ-บัวบก หวังสู้โควิด-19

ปัจจุบันสินค้าออร์แกนิกแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยและชาวต่างประเทศทุกคนเริ่มตระหนักและให้ความสำคัญกับสารเคมีที่มาจากอาหารทุกชนิดที่มีผลทำให้ร่างกายเกิดโรคร้ายต่างๆ มากมาย เช่น โรคภูมิแพ้ โรคมะเร็ง ฯลฯ ที่สำคัญช่วงเวลานี้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จากคนสู่คน โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็น “การระบาดใหญ่” หรือ pandemic หลังจากเชื้อลุกลามไปใน 118 ประเทศและดินแดนทั่วโลก การที่ทุกคนหันมาใส่ใจและให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพร่างกาย รับประทานอาหารผักผลไม้ที่มีประโยชน์และปลอดสารพิษแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับใครหลายๆ คน

น้ำดื่มสมุนไพร Aroma Drink ออร์แกนิกแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่การปลูกใบเตย กระเจี๊ยบ ใบบัวบก และตะไคร้ที่ปลูกเองทั้งหมดบนพื้นที่จังหวัดนนทบุรี โดยปลูกเป็นแบบออร์แกนิกปลอดสารพิษ ใช้กรรมวิธีในการปลูกแบบชาวบ้านดั้งเดิมเลย ปุ๋ยที่ใช้ในการปลูกนั้นส่วนใหญ่มาจากมูลของสัตว์ ได้แก่ เป็ด ไก่ มีการบำรุงดูแลรักษาสภาพของดินที่ใช้เพาะปลูกให้คงความเป็นธรรมชาติทั้งหมด หรือเป็นรูปแบบการเกษตรหมุนเวียนเศรษฐกิจพอเพียงตามโครงการพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9

นางสาวรินทร์ฤดี จาดเกิด (น้องต๊อบนักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะวิทยาลัยผู้ประกอบการ สาขาการประกอบการ .หอการค้าไทย เจ้าของธุรกิจน้ำดื่มสมุนไพร Aroma Drink เล่าว่า “เริ่มจากตัวเองเป็นคนที่ชอบดื่มน้ำสมุนไพรมาตั้งแต่เด็ก เวลาไปตลาดก็จะชอบซื้อมาดื่มตลอดทุกครั้งและพอเข้าสู่ช่วงมัธยมก็อยากมีรายได้ เราก็เลยไปรับจ้างเสิร์ฟอาหารในร้านอาหารตามสั่ง พอเราทำงานไปได้สักพักเราก็สังเกตเห็นว่าในร้านนั้นมีเพียงแค่น้ำเปล่าที่ให้บริการฟรีไม่มีน้ำอย่างอื่นเลย ประกอบกับที่บ้านเรานั้น ตาได้ปลูกใบเตย ตะไคร้ กระเจี๊ยบ ใบบัวบก อยู่แล้ว ทำให้เกิดความคิดริเริ่มที่จะทำน้ำสมุนไพรขาย โดยเริ่มจากการที่ขออนุญาตเจ้าของร้านขายคู่กับร้านอาหารตามสั่งที่ไปรับจ้างเป็นเด็กเสิร์ฟอาหาร เป็นรูปแบบที่ตักน้ำใส่แก้ว ทำไปเรื่อยๆ เราก็เริ่มได้เงินจากการค้าขายตรงนี้พอสมควร ซึ่งระยะเวลาในการทำธุรกิจนี้นั้นเราเริ่มทำมาตั้งแต่ ม.5 จนถึงปัจจุบันรวมเป็นระยะเวลา 4 ปี

 

พอเราเริ่มก้าวเข้าสู่ช่วงการเรียนมหาวิทยาลัย เราก็ได้เลือกเข้ามาเรียนที่คณะวิทยาลัยผู้ประกอบการ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และพอเราได้เข้ามาเรียน ทางคณะก็มีโครงการธุรกิจตั้งต้นโดยให้เราทำแผนธุรกิจไปนำเสนอเพื่อที่จะรับเงินสนับสนุนในการทำธุรกิจ เราก็เลยนำธุรกิจที่เราทำอยู่นั้นมาต่อยอดจากปกติที่ขายเป็นแก้ว มาเป็นบรรจุใส่ขวด เพื่อที่จะง่ายต่อการค้าขายและสามารถที่จะส่งไปยังที่ต่างๆ ได้อย่างสะดวกอีกทั้งแบบขวดนั้นยังสามารถเก็บรักษาไว้ได้นานขึ้นด้วย โดยการขายน้ำสมุนไพร Aroma Drink นั้นจะขายตามตลาดนัด แต่ตลาดนัดประจำที่เราไปขายคือตลาดน้ำไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี เปิดวันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เนื่องจากตลาดนี้นั้นเปิดให้บริการตรงกับวันที่เราว่างจากการเรียนพอดี เราก็เลยเลือกที่จะขายในตลาดนี้เป็นประจำ แต่นอกจากขายที่ตลาดน้ำนี้แล้ว เราก็มีการออกบู๊ธตามงานอีเว้นต์ต่างๆ” 

รายได้ต่อเดือนก็ประมาณ 20,000 – 30,000 บาท สามารถสร้างรายได้ระหว่างเรียนและไม่เป็นภาระแก่ผู้ปกครองที่บ้าน ที่สำคัญยังสามารถช่วยเหลือจุนเจือรายจ่ายบางรายการให้กับครอบครัวได้ ในอนาคตอยากที่จะมีการเปิดบู๊ธหลายสถานที่ เพิ่มบู๊ธในการขาย พัฒนาและเพิ่มสาขาออกไปให้ได้มากกว่าตอนนี้ เพื่อที่จะได้เพิ่มยอดขายให้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมและจะทำให้แบรนด์เราแข็งแรงขึ้นเป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งช่องทางการติดต่อของทางร้านเพื่อสั่งซื้อหรือออร์เดอร์ไปตามงานต่างๆ ที่อยากจะให้เราไปบริการนั้น สามารถติดต่อได้ทาง Facebook และ Instagram ที่ชื่อว่า Aroma Drink โดยถ้ามีการสั่งซื้อผ่านช่องทางนี้สามารถสั่งได้ตามสะดวกไม่มีขั้นต่ำ เพียงแต่เราจะคิดค่าบริการในการจัดส่งตามระยะทางเท่านั้น 

เราอยากย้ำว่า Aroma Drink เป็นเครื่องดื่มน้ำสมุนไพรออร์แกนิกแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ อยากส่งต่อสุขภาพที่ดีให้กับกลุ่มผู้บริโภค ช่วงนี้ยิ่งไวรัสโควิด-19 ระบาดอย่างหนัก คนไทยทุกคนต้องดูแลรักษาสุขภาพ ทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับร่างกาย น้ำดื่มสมุนไพรเราสามารถดื่มได้ทุกเพศทุกวัย ให้คุณประโยชน์สารอาหารจากธรรมชาติจริงๆ

เจ้าของธุรกิจน้ำดื่มสมุนไพร Aroma Drink กล่าวทิ้งท้าย

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์