วิธียอดนิยมในการลดน้ำหนัก คือ การลดการรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของ “แป้ง” เพราะเชื่อว่าแป้งเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง รับประทานมากเกินไปอาจสะสมจนกลายเป็นไขมันจนทำให้อ้วนขึ้นได้ แต่จริงๆ แล้วการลดแป้ง เป็นวิธีที่ถูกต้องในการลดน้ำหนักหรือไม่?

ลด “แป้ง” แล้วน้ำหนักจะลด จริงหรือ?

นศ.พญ.ดรุณีวัลย์ วโรดมวิจิตร แพทย์สาขาโภชนวิทยาและชีวเคมีทางการแพทย์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลเอาไว้ว่า การลดน้ำหนักด้วยวิธีลดการกินแป้ง สามารถลดน้ำหนักได้จริง แต่ได้ผลแค่เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ด้วยเหตุผลดังนี้

  1. การลดสารอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว และผลไม้ที่มีรสหวาน จะทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง และกระตุ้นการสลายไขมัน เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน
  2. เมื่อร่างกายสลายไขมัน จะเกิดสารคีโตบอดีส์ (ketone bodies) ทำให้เบื่ออาหาร และกินน้อยลง

ข้อควรระวัง หากลดน้ำหนักด้วยการลดแป้ง

  • หากกลับมากินแป้งอีกครั้ง น้ำหนักจะขึ้นเร็วมาก
  • อาจได้รับวิตามิน และแร่ธาตุไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
  • ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันโรคนิ่ว
  • เมื่อกินไขมันจากสัตว์ อาจทำให้คอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มลดน้ำหนักด้วยการลดแป้ง

สำหรับผู้ที่อยากลดน้ำหนักด้วยวิธีที่ปลอดภัยและยั่งยืน สามารถควบคุมอาหารโดยยังกินอาหารได้ครบทั้ง 5 หมู่ แต่จำกัดปริมาณของอาหารที่ให้พลังงานสูงให้น้อยลง เช่น ของมัน ของทอด อาหารที่มีน้ำตาลสูง เลือกรับประทานแป้งเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต เป็นต้น และอย่าลืมออกกำลังกายทั้งเวทเทรนนิ่งและคาร์ดิโอ แม้ว่าจะใช้เวลามากกว่าการอดแป้งอย่างเดียว แต่รับรองว่าปลอดภัยและยั่งยืนแน่นอน

ที่มา : Sanook

สาวๆ ทราบกันดีว่าการทานมื้อเช้ามีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมาก ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงของการลดน้ำหนักหรือไม่ก็ตาม การทานมื้อเช้าก็ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยเด็ดขาด วันนี้เราจึงขอนำ 5 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทานมื้อเช้า ที่ส่งผลให้การลดน้ำหนักไม่ได้ผลอย่างที่ตั้งใจไว้มาแนะนำ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับสาวๆ ที่มีแพลนลดน้ำหนักเลยทีเดียว จะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามอ่านพร้อมๆ กันเลยค่ะ

1. ทานมื้อเช้าไม่ตรงเวลา
ช่วงเวลาของการทานมื้อเช้าคือหลังจากตื่นนอนประมาณ 1 ชั่วโมง ดังนั้นเมื่อสาวๆ ทานอาหารในตอนเช้าหลังจากตื่นนอนแล้ว 1 ชั่วโมง ย่อมทำให้การทานอาหารมื้อเช้าตรงต่อเวลาในทุกวัน เพราะช่วงเวลาตื่นนอนมักเป็นเวลาเดิมทุกวัน ดังนั้นใครที่กำลังลดน้ำหนัก แต่ทานมื้อเช้าไม่ตรงเวลา จนเลยเวลามื้อเช้าเป็นมื้อสาย จะยิ่งทำให้ปริมาณอาหารที่ทานเข้าไปเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังจะเลือกทานแต่อาหารที่มีแคลอรีสูงอีกด้วย นั่นจึงส่งผลให้การลดน้ำหนักไม่ได้ผลเท่าที่ควร

2. เลี่ยงอาหารประเภทแป้งและไขมัน
สำหรับใครที่กำลังลดน้ำหนักแล้วมีพฤติกรรมเลี่ยงอาหารประเภทแป้งและไขมันในมื้อเช้า เพราะคิดว่าจะทำให้น้ำหนักไม่ลด ขอบอกเลยว่านี่คือความเข้าใจผิดที่จะทำให้การลดน้ำหนักไม่ได้ผล เพราะอาหารประเภทแป้งและไขมัน รวมทั้งโปรตีน คือสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย เมื่อทานเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอ จะช่วยให้อิ่มท้องได้นาน ไม่ทำให้รู้สึกหิวระหว่างวันได้ง่าย แถมยังช่วยลดอาการอยากกินจุบจิบอีกด้วย

3. ดื่มสมูทตี้แทนมื้อเช้า
แม้ว่าสมูทตี้จะเป็นเครื่องดื่มสุขภาพ และจัดเป็นเครื่องดื่มที่มีสารอาหารหลากหลาย แต่ก็ไม่ควรดื่มเพื่อทดแทนมื้อเช้า เพราะจะส่งผลให้การลดน้ำหนักไม่ได้ผลเท่าที่ควร เนื่องจากการดื่มสมูทตี้จะส่งผลให้ร่างกายรู้สึกหิวระหว่างมื้ออาหารได้

4. เน้นทานซูเปอร์ฟู้ดมากเกินไป
ซูเปอร์ฟู้ดมีทั้งน้ำมันมะพร้าว เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเจีย ถั่วเปลือกแข็ง เป็นต้น ซึ่งจัดเป็นอาหารที่คนลดน้ำหนักเลือกทานในมื้อเช้ากันเป็นจำนวนมาก แต่ทราบหรือไม่ว่าการเน้นทานแต่ซูเปอร์ฟู้ด จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ไม่สมดุลกัน บางครั้งอาจทำให้มื้อเช้ากลายเป็นมื้อที่ร่างกายได้รับปริมาณแคลอรีมากกว่าสารอาหารอื่นๆ

5. ดื่มน้ำเปล่าน้อย
เพื่อให้การลดน้ำหนักได้ผลตามที่ต้องการ สาวๆ ควรให้ความสำคัญกับการดื่มน้ำเปล่าในมื้อเช้าและมื้ออื่นๆ ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื่องจากน้ำเปล่ามีส่วนช่วยให้ร่างกายรู้สึกอิ่มไวและอิ่มนานนั่นเอง

จะเห็นได้ว่าการทานมื้อเช้ามีความสำคัญต่อการลดน้ำหนักให้ได้ผลตามที่ต้องการ แต่ก็ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทานมื้อเช้าให้ถูกต้องด้วยเช่นกัน เพื่อให้ร่างกายที่อยู่ในช่วงของการลดน้ำหนัก สามารถรับสารอาหารในตอนเช้าได้อย่างครบถ้วน

ที่มา : Sanook

เมื่อไม่นานมานี้มีเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากคนญี่ปุ่นมากคือ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกะทิและโยเกิร์ตและมีขายในชื่อ COYO (コヨ) คนญี่ปุ่นเชื่อว่าการดื่มเครื่องดื่มชนิดนี้บ่อยๆ จะดีต่อสุขภาพ และช่วยลดน้ำหนักได้ มารู้ประโยชน์ของเครื่องดื่มชนิดนี้ และวิธีดื่มเพื่อช่วยในการลดน้ำหนักกันนะคะ

ประโยชน์ของเครื่องดื่มน้ำกะทิผสมโยเกิร์ต
ประโยชน์ของเครื่องดื่มน้ำกะทิผสมโยเกิร์ตนั้นมาจากคุณค่าทางอาหารคูณสองของโยเกิร์ตและน้ำกะทิ ซึ่งหากดื่มติดต่อกันเป็นเวลานานจะช่วยป้องกันสิวฝ้า รอยเหี่ยวย่น ผิวหนังหมองคล้ำ และช่วยลดน้ำหนักได้ เพราะมีคุณค่าทางอาหารสำคัญในส่วนผสมของเครื่องดื่มดังนี้คือ

น้ำกะทิ

น้ำกะทิอุดมไปด้วยโทโคไตรอีนอล (Tocotrienols) ซึ่งเป็นวิตามินอี ชนิดหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ดี และกรดลอริก (Lauric acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัวสายกลางที่มีคุณสมบัติในการต้านการเจริญของแบคทีเรียและต้านการอักเสบของผิวหนัง ช่วยป้องกันสิวและผิวหนังขรุระ เป็นต้น อีกทั้งกรดลอริกเป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัวสายกลาง ที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ยากที่จะถูกสะสมเป็นไขมันไว้ในร่างกาย นอกจากนี้กรดไขมันชนิดนี้ยังช่วยเสริมการเผาผลาญไขมันในร่างกายด้วย ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่กำลังลดและควบคุมน้ำหนัก

โยเกิร์ต

โยเกิร์ตอุดมไปด้วยแลคติกแอซิดแบคทีเรีย ซึ่งช่วยปรับสภาพแวดล้อมในลำไส้ให้ดีขึ้น ส่งผลในการป้องกันท้องผูก เมื่อร่างกายขับถ่ายปกติก็จะช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ส่งผลให้การผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวหนังทำงานเพื่อผลัดเอาเซลล์เก่าทิ้งไปและสร้างเซลล์ให้ขึ้นมาทดแทนได้ดี คนที่มีระบบขับถ่ายดีจะมีผิวพรรณกระจ่างใส ไร้จุดด่างดำ

วิธีการเตรียมเครื่องดื่มน้ำกะทิผสมโยเกิร์ต
วิธีการเตรียมง่ายๆ เพียงนำกะทิ 100 มิลลิลิตรผสมกับโยเกิร์ต 200 มิลลิลิตร แล้วนำมาเขย่าให้เข้ากัน แล้วนำมาดื่มวันละ 1 ครั้ง

วิธีการดื่มเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมน้ำหนักและเพื่อความงาม
โดยปกติเครื่องดื่มกะทิผสมโยเกิร์ต 300 มิลลิลิตรให้พลังงานประมาณ 300 กิโลแคลอรี่ สำหรับคนที่กังวลเรื่องพลังงานก็ควรเลือกดื่มในช่วงเวลาเช้าก่อนบ่ายสามโมง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ระบบเผาผลาญพลังงานทำงานได้ดี หากต้องการดื่มเพื่อควบคุมน้ำหนักก็ควรดื่มก่อนมื้ออาหารประมาณ 2-3 ชั่วโมง เพราะสารประกอบในกะทิจะถูกสลายเป็นคีโตนบอดี้ ซึ่งช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันในร่างกาย ช่วยลดความอยากอาหารและลดปริมาณแคลอรี่ที่จะรับเข้าสู่ร่างกาย ทั้งนี้หากอยู่ในระหว่างการลดน้ำหนักก็สามารถดื่มเครื่องดื่มชนิดนี้แทนอาหารมื้อเช้าได้

ผู้อ่านหลายคนคงแปลกใจกับเนื้อหาในบทความเรื่องการนำกะทิมาเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพนี้ โดยปกติเรามักจะกังวลว่าการรับประทานกะทิแล้วจะมีผลเสียต่อสุขภาพ แต่เมื่อดูประโยชน์ของกะทิและปริมาณที่นำมาดื่มแล้ว ก็ไม่แปลกใจว่าทำไมเครื่องดื่มน้ำกะทิผสมโยเกิร์ตจึงเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของคนญี่ปุ่นในปัจจุบันนี้

ที่มา : Sanook

ผลไม้รูปทรงแปลกอย่าง ชมพู่ (Rose Apple) จัดเป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี หลายคนชอบกินชมพู่มาก โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อน เพราะกินแล้วสดชื่น ยิ่งหากแช่เย็นก่อนกินก็จะยิ่งกรอบ อร่อยขึ้นไปอีก แต่คุณรู้ไหมว่า นอกจากความอร่อยแล้ว ชมพู่ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากด้วย ว่าแต่ประโยชน์สุขภาพของชมพู่จะมีอะไรบ้าง แล้วเวลาบริโภคเราจะต้องระมัดระวังอะไรหรือเปล่า เราไปหาคำตอบจากบทความนี้กันเลย

คุณค่าทางโภชนาการใน “ชมพู่”

ชมพู่เป็นผลไม้ฉ่ำน้ำที่มีแคลอรี่ต่ำ แต่อุดมไปด้วยสารอาหารนานาชนิด ชมพู่สด 100 กรัม ให้พลังงาน 25 กิโลแคลอรี่ และให้สารอาหารต่างๆ ดังต่อไปนี้

  • โปรตีน 0.60 กรัม
  • วิตามินเอ 8.4 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 1 (ไทอามิน) 0.020 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 2 (ไรโบฟลาวิน) 0.030 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 3 (ไนอาซิน) 0.800 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 22.3 มิลลิกรัม
  • แคลเซียม 29 มิลลิกรัม
  • โพแทสเซียม 123 มิลลิกรัม
  • แมกนีเซียม 5 มิลลิกรัม

นอกจากวิตามินและแร่ธาตุข้างต้นแล้ว ในชมพู่ยังมี ซัลเฟอร์ (Sulfer) ฟอสฟอรัส (Phosphorus) แมงกานีส เหล็ก รวมถึงสารพฤกษเคมี เช่น กรดบิทูลินิก (Betulinic acid) สารแจมโบไซน์ (Jambosine) ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพหลายประการ เช่น ต้านมะเร็ง ต้านการติดเชื้อราที่ผิวหนัง

ประโยชน์สุขภาพของชมพู่

ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ในชมพู่มีสารแอลคาลอยด์ (Alkaloid) ซึ่งสารประกอบอินทรีย์ที่มีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบ ที่เรียกว่า “แจมโบไซน์” (Jambosine) ซึ่งงานศึกษาวิจัยเผยว่า สารประกอบชนิดนี้มีส่วนช่วยกระบวนการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลของร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ อีกทั้งชมพู่ยังเป็นผลไม้ที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ จึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดซึ่งอาจส่งผลดีต่อผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานด้วย

ช่วยในการขับถ่าย

นอกจากจะฉ่ำน้ำแล้ว ชมพู่ยังเป็นแหล่งไฟเบอร์ชั้นยอด เมื่อร่างกายของเราได้รับน้ำและไฟเบอร์อย่างเพียงพอ จะช่วยให้อาหารเคลื่อนผ่านจากกระเพาะอาหารไปสู่ลำไส้ใหญ่ได้สะดวกขึ้น จึงช่วยบรรเทาปัญหาเกี่ยวกับระบบอาหารและการขับถ่าย เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก ได้

ดีต่อสุขภาพหัวใจ

สารอาหารนานาชนิด และไฟเบอร์ที่มีมากในชมพู่ช่วยให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดของเราแข็งแรงขึ้นได้ นอกจากนี้ ชมพู่ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระและโพแทสเซียมสูง ที่ช่วยให้ระดับคอเลสเตอรอล (Cholesterol) ในเลือดเป็นปกติ ความเสี่ยงในการเกิดโรคในระบบหัวใจและหลอดเลือดที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต เช่น ภาวะหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง จึงลดลงตามไปด้วย

ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

วิตามินซี (Vitamin C) เป็นวิตามินที่มีส่วนสำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และชมพู่ก็เป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่มีวิตามินซีสูงมาก ชมพู่ 100 กรัม มีวิตามินซีถึง 22.3 ไมโครกรัม กินแล้วจึงช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน (Collagen) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันเช่นกัน นอกจากนี้ คอลลาเจนยังช่วยบำรุงผิวหนัง ชะลอการเกิดริ้วรอย ทั้งยังดีต่อสุขภาพข้อต่อและกระดูกด้วย

ช่วยป้องกันมะเร็ง

วิตามินซีและวิตามินเอที่มีมากในชมพู่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นยอด ซึ่งผู้เชี่ยวชาญยืนยันแล้วว่า ช่วยขัดขวางการเจริญเติบโตของเนื้องอกและเซลล์มะเร็ง จึงลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งบางชนิดได้ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งปอด

ความเสี่ยงในการบริโภคชมพู่ ที่เราควรรู้

เมล็ด ราก และใบชมพู่มีสารพิษอย่าง “ไซยาไนด์” (Cyanide) อยู่ในปริมาณเล็กน้อย หากเผลอกินเข้าไปจะส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตลดลงอย่างฉับพลัน และอาจร้ายแรงถึงขึ้นทำให้หยุดหายใจได้ ฉะนั้น เวลากินชมพู่ คุณจึงต้องระวังให้ดี อย่าให้มีเมล็ดติดไปกับเนื้อชมพู่ และคุณไม่ควรกินชมพู่มากเกินไปด้วย เพราะอาจทำให้เกิดอาการคันคอและไอได้

ที่มา : Sanook

“ต้นอ่อน” หากพูดแค่นี้หลายคนอาจจะงงๆ ว่าหมายถึงอะไร พืชผักชนิดไหน ต้นอ่อนก็คือต้นอ่อนของผักต่างๆ หลากหลายชนิด ซึ่งนับว่าเป็นพืชที่มีสารอาหารที่ดีต่อร่างกายหลายอย่าง จนอยากให้ทุกคนได้ลองรับประทานกัน

พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล หรือ หมอผิง ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและเวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ระบุเอาไว้ในเฟซบุ๊ก Pleasehealth Books ดังนี้

ต้นอ่อนของพืชที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีอะไรบ้าง

  • ถั่วงอก หรือต้นอ่อนถั่วเขียว
  • ถั่วงอกหัวโต หรือต้นอ่อนของถั่วเหลือง
  • ต้นอ่อนทานตะวัน
  • ต้นอ่อนข้าวสาลี หรือวีทกราส
  • ไควาเระ หรือต้นอ่อนหัวไชเท้า
  • โตวเหมี่ยว หรือต้นอ่อนถั่วลันเตา
  • อัลฟาฟ่า
  • ต้นอ่อนบร็อคโคลี่
  • ต้นอ่อนกะหล่ำดาว
  • ต้นอ่อนแรดิชแดง
  • ต้นอ่อนเคล

ทำไมต้นอ่อนถึงมีประโยชน์ และนิยมนำมารับประทานกัน?

ต้นอ่อนเป็นระยะที่พืชอัดแน่นด้วยสารอาหารและพลังงานเพื่อพร้อมเจริญเติบโต ดังนั้นเมื่อเรานำมารับประทาน ก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพ

ประโยชน์ของต้นอ่อน

  1. เป็นแหล่งของโปรตีนดี มีกรดอะมิโนที่ร่างกายพร้อมดูดซึมนำไปใช้
  2. โปรตีนจากพืชช่วยในการคุมน้ำหนัก และมีเส้นใยอาหารสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำ เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนอยากลดน้ำหนัก
  3. ลดความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดหัวใจได้ดีกว่าโปรตีนจากสัตว์
  4. อัดแน่นด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะต้นอ่อนกะหล่ำดาวและต้นอ่อนเคล ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระและต้านมะเร็งในกลุ่ม Glucosinolates และ Phenolics สูง

ระวังต้นอ่อนดิบ

ต้นอ่อนผักสามารถรับประทานได้ทั้งแบบดิบและปรุงสุก แต่ถ้าจะรับประทานแบบดิบ ต้องระวังการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียก่อโรคอาหารเป็นพิษ เพราะสภาพความชื้นและสารอาหารที่อัดแน่นในต้นอ่อน ทำให้ต้นอ่อนเป็นที่ชื่นชอบของแบคทีเรียต่างๆ เช่นกัน จึงต้องนำมาล้างให้สะอาด หรือปรุงให้สุกโดยผ่านความร้อนจะปลอดภัยกว่า

ต้นอ่อนของพืชในไทย ราคาไม่แรง และให้ประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกัน

เมื่อเทียบกับสารอาหารที่อัดแน่นแล้ว ต้นอ่อนแบบไทยๆ จัดว่าราคาไม่แพง แต่ต้นอ่อนแบบฝรั่งอาจจะราคาสูงและหาซื้อยากไปนิด สำหรับคนที่มีฝีมือทางการเกษตร แนะนำว่าซื้อเมล็ดมาเพาะเองได้ไม่ยาก ใช้เวลาไม่นาน ไม่ต้องการพื้นที่ใหญ่โตในการเพาะปลูก และยังมั่นใจในความสะอาดได้อีกด้วย

ที่มา : Sanook.com

เป็นที่ทราบกันดีว่าการทานเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของผัก ผลไม้นั้น ย่อมดีต่อสุขภาพของเราอย่างมาก เพราะล้วนมีแต่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่เข้ามาช่วยปรับความสมดุลให้แก่ร่างกาย และ น้ำมะนาว ก็เป็นอีกหนึ่งในเครื่องดื่มที่ให้ประโยชน์เช่นเดียวกัน ที่สำคัญยังเหมาะสำหรับผู้กำลังริเริ่มโปรแกรม ลดน้ำหนัก เลยทีเดียว แต่จะลดได้จริงหรือไม่ มากน้อยแค่ไหนนั้น ติดตามในบทความนี้กันได้เลย

น้ำมะนาว สามารถลดน้ำหนักได้จริงหรือ?

การดื่มน้ำมะนาว ในปริมาณที่เหมาะสม อาจเข้าไปช่วยทำให้ระบบอวัยวะภายในของคุณเพิ่มประสิทธิภาพในเรื่องของการเผาผลาญได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังอาจทำให้คุณรู้สึกลดความหิวลง รู้สึกอิ่มง่ายมากขึ้น

ตามการศึกษาของนักวิจัยพบว่า สารอาหารในมะนาว สามารถเข้าไปเพิ่มการทำงานของ ไมโตคอนเดรีย (Mitochondria) และ ออร์แกเนลล์ (Organelle) ที่เป็นเซลล์ในการสร้างพลังงาน นำไปสู่การกระตุ้นความร้อนให้แก่ระบบการเผาผลาญ จนได้ผลลัพธ์ของการลดน้ำหนักที่ดีตามมา

ผู้เข้าร่วมการทดลองครั้งนี้มีจำนวน 14 คนด้วยกัน โดยให้แต่ละคนดื่มน้ำมะนาวในปริมาณ 16.9 ออนซ์ หรือ 0.5 ลิตร ซึ่งผลสรุปออกมาค่อนข้างเป็นที่น่าพึงพอใจ เพราะนักวิจัยเล็งเห็นระบบของการเผาผลาญพลังงาน ซึ่งมีอัตราการทำงานเพิ่มขึ้นมากถึง 30%

ดื่มน้ำมะนาวอย่างไร ให้ดีต่อร่างกาย

ถึงน้ำมะนาวจะมีประโยชน์ในด้านการลดน้ำหนัก แต่ก็มิควรลืมคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันขาด เพราะน้ำมะนาวมีกรดบางอย่างสูง ที่อาจออกฤทธิ์เข้าไปกัดกร่อนอวัยวะภายในของคุณได้

การทำน้ำมะนาวดื่มด้วยตนเองที่ดีนั้น ควรผสมกับน้ำในปริมาณ 1 แก้ว เพื่อเจือจางความเป็นกรด หรืออาจนำไปผสมกับน้ำสมุนไพรอื่นๆ ที่สำคัญควรรับประทานควบคู่กับการออกกำลังกาย และรับประทานอาหารในแต่ละมื้อให้ครบหลักโภชนาการร่วม เพื่อส่งเสริมให้ร่างกายได้รับสารอาหารอื่นๆ ได้อย่างพอดี

ข้อเสียของการดื่มน้ำมะนาวเพื่อลดน้ำหนัก

นักโภชนาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพบางคนไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีนี้สักเท่าไรนัก เพราะการดื่มน้ำมะนาวเพียงอย่างเดียว โดยไม่ผ่านการปรึกษาจากแพทย์ หรือผู้มีประสบการณ์ อาจทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพในเชิงลบได้ ดังนี้

  • ร่างกายขาดสารอาหาร
  • น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วเกินไป
  • ก่อให้เกิดนิ่ว ท้องเสีย คลื่นไส้ อ่อนเพลียง่าย

ดังนั้นการดื่มน้ำมะนาวแต่ละครั้งไม่ควรดื่มในปริมาณที่มากเกินไป หรือไม่ควรดื่มน้ำมะนาวเป็นมื้อหลักแทนข้าว และอาจจำเป็นที่จะต้องขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากนักโภชนาการ เพื่อขอรับโปรแกรมจัดตารางอาหารในการลดน้ำหนักตามความเหมาะสมของปัญหาสุขภาพคุณ

ที่มา : Sanook.com

โอ้โห น้ำหนักขึ้นอีกแล้ว ถึงเวลาต้องควบคุมอาหารแบบจริงจัง แต่เชื่อหรือไม่คะ ว่าผลไม้รสหวานอย่าง “กล้วย” เป็นหนึ่งในตัวช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ไม่แพ้อาหารชนิดอื่นเช่นกัน ถ้าอยากรู้ว่าทาน “กล้วย” แบบไหนจะช่วยให้คุณหุ่นสวยได้ ตามมาดูกันเลย

“กล้วย” ผลไม้รสหวานหลากหลายสายพันธุ์มีประโยชน์มากมายและอุดมไปด้วยเส้นใย กากอาหาร วิตามินและแร่ธาตุนานาชนิด เช่นธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และวิตามินซี ฯลฯ ทั้งนี้ยังอุดมไปด้วยน้ำตาลจากธรรมชาติไม่ว่าจะเป็น ซูโครส กลูโคสและฟรุกโทสที่ช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย

เริ่มต้นมื้อเช้าด้วยกล้วย 1 ผล
ทานกล้วย 1 ผลในมื้อเช้า (สามารถทานได้มากกว่า 1 ผล) เน้นการเคี้ยวให้ละเอียด หลังจากนั้นทานกล้วยแล้วให้ดื่มน้ำอุณหภูมิปกติอีก 1 แก้วจากนั้นให้พักท้องโดยไม่ทานอะไรตามลงไปเป็นเวลาประมาณ 30 นาที เพื่อให้กล้วยได้ย่อย และหากยังรู้สึกหิวให้ทานอาหารเบาๆ ตามไป เช่น ข้าวต้ม หรือขนมปังโฮลวีทสักแผ่นให้พออยู่ท้อง การทานกล้วยในตอนเช้าจะช่วย

ในการย่อยอาหารและช่วยทำให้สารอาหารดูดซับไปใช้ได้ในทันที แถมในกล้วยยังสารกลูโคส ฟรักโทส ซูโครสและแป้งที่ช่วยให้อิ่มท้องได้นานขึ้น ดังนั้นคุณแม่บ้านเลือกกล้วยเป็นตัวเลือกแรกในมื้อเช้า ก็จะช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น

ระหว่างมื้อทาน “กล้วย” แก้หิว
เปลี่ยนอาหารว่างแคลอรีสูงเป็นกล้วย 1 ผลสำหรับทานในช่วงระหว่างมื้อ โดยเฉพาะ “กล้วยน้ำว้า” เพราะกล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้แคลอรีต่ำ มีเส้นใยสูง และช่วยในการขับถ่ายและระบบย่อยได้ดี

ใครว่ามื้อเย็นทานกล้วยไม่ได้?
ผลวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นพบว่า การลดน้ำหนักด้วยการเลือกทาน “กล้วย” ในมื้อเย็น ช่วยลดน้ำหนักได้ดีไม่แพ้การทานกล้วยในมื้อเช้า เพราะกล้วยมีสารอาหารมากมาย กากใยสูง ที่สำหรับช่วยในการขับถ่าย เพราะฉะนั้นหากคุณกำลังอยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนัก ให้เปลี่ยนจากอาหารมื้อเย็น เป็นกล้วย 1 ผลตามด้วยน้ำเปล่า 1-2 แก้วจะช่วยให้อิ่มท้องได้ตลอดคืน และส่งผลให้ในเช้าวันถัดไปมีการขับถ่ายที่ดีอีกด้วย ลองทานกล้วยเป็นอาหารมื้อเย็นติดต่อกันประมาณ 1 สัปดาห์ น้ำหนักจะเริ่มลดลง คราวนี้แหละคือคุณมาถูกทางแล้ว ข้อแม้ในการเลือกทานกล้วยในช่วงมื้อเย็นก็คือ คุณจะต้องไม่ทานกล้วยในมื้ออื่นๆ เพราะในตัวกล้วยหอมก็มีความหวาน แป้งและน้ำตาลที่ซ่อนอยู่เช่นกัน หากทานในปริมาณที่มากเกินไปก็ไม่ช่วยในการลดน้ำหนักนะคะ

ประยุกต์กล้วยหอมธรรมดาเป็นเมนูแปลกใหม่ ทานได้อร่อยไม่กลัวอ้วน
เมนูที่ 1 อร่อยยามเช้าแค่มี กล้วยหอม+เม็ดแมงลัก+นมพร่องมันเนยหรือนมถั่วเหลือง
ใช้กล้วยหอมสองผล หั่นเป็นชิ้นบางพอดีคำใส่ลงในถ้วย ตามด้วยเม็ดแมงลักที่แช่น้ำจนพองตัวแล้ว และนมพร่องมันเนยหรือนมถั่วเหลือง 1 กล่อง ทานเป็นอาหารเช้าติดต่อกัน 5-7 วัน เมนูนี้ช่วยในการลดความอยากอาหารในระหว่างวันได้ดีทีเดียวและทานติดต่อกันจะช่วยให้น้ำหนักลดลงถึง 2 กิโลกรัมเลยค่ะ แต่ที่สำคัญต้องควบคุมอาหารมื้ออื่นๆ ด้วยเช่นกันนะคะ

เมนูที่ 2 อร่อยอิ่มท้องด้วย กล้วยหอม+ขนมปังโฮลวีท+น้ำผึ้ง+เบอร์รี
สาวๆ ที่ชอบทานขนมปังแต่ก็อยากควบคุมน้ำหนักไม่ต้องกังวลใจไปค่ะ หากเบื่อการทานอาหารควบคุมน้ำหนักในบางวัน ลองทำเมนูนี้ทานเป็นมื้อเช้าได้เลย โดยใช้ขนมปังโฮลวีท 1 แผ่นจากนั้นฝานกล้วยหอมเป็นชิ้นบางลงไปให้เต็มขนมปัง ราดด้วยน้ำผึ้งประมาณ 2 ช้อนชา ตบท้ายด้วยผลเบอร์รีที่ชอบอีกเล็กน้อย ทานกับกาแฟดำหรือน้ำเปล่า 1 แก้ว เท่านี้ก็ได้เมนูแคลอรีต่ำจากกล้วยที่ไม่น่าเบื่อแล้วล่ะค่ะ

เมนูที่ 3 สดชื่นกับ สมูทตี้ลาเต้กล้วย
ระหว่างวันหากต้องการความสดชื่น แบบไม่ต้องกลัวอ้วน แถมแก้ง่วงได้อีกต่างหาก แนะนำให้ลองทำสมูทตี้ลาเต้กล้วยหอมดื่มทานได้ 1 แก้ว โดยมีส่วนผสมดังนี้ กล้วย 1 ผล, กาแฟเย็นไม่ใส่น้ำตาล 1/2 ถ้วย, ผงโกโก้ 2 ช้อนโต๊ะ, ผักโขม 1 ถ้วย, ผงอัลมอนด์ 1/2 ช้อนชา กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา ปั่นส่วนผสมรวมกันจนละเอียด นำมาดื่มระหว่างวัน รับรองว่าสดชื่น หายง่วง ที่สำคัญรสชาติอร่อยไม่ต้องกลัวน้ำหนักขึ้นเลยค่ะ แต่สูตรนี้เราไม่แนะนำให้ทานทุกวันนะคะ เลือกทานสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว

การดูแลตัวเองจริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก การเลือกทาน “กล้วย” นี่แหละค่ะดีที่สุด เลือกทานให้ถูกต้อง ถูกเวลาก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักของคุณยิ่งได้ผล แค่ตั้งใจและทำอย่างสม่ำเสมอเท่านี้ก็เพียงพอและชนะใจตัวเองได้อย่างแน่นอนค่ะ

ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

เราอาจทราบดีอยู่แล้วว่าหนทางลดน้ำหนักอย่างได้ผลจริงและยั่งยืนก็คือ การควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย แต่บางครั้งก็ดูเหมือนว่าเราทำแล้ว แต่น้ำหนักไม่เห็นจะลด แถมกลับเพิ่มขึ้นมาอีกต่างหาก

เราลองมาดูกันดีกว่าว่า 12 สิ่งที่คุณคิดว่าทำแล้วดีต่อสุขภาพ แต่กลับทำให้น้ำหนักขึ้นนั้นมีอะไรบ้าง

1.ดื่มน้ำไม่เพียงพอ

เรารู้อยู่แล้วว่าการดื่มน้ำไม่เพียงพอนั้นนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ แต่รู้หรือไม่ว่านี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้น้ำหนักขึ้นด้วย โดยบางคนไม่เข้าใจเกี่ยวกับการดื่มน้ำ หรือเข้าใจผิดว่าตนเองหิวทั้งๆ ที่รู้สึกกระหาย ทำให้แทนที่จะดื่มน้ำ แต่กลับไปกินอาหารมากเกินไป ทำให้น้ำหนักขึ้นนั่นเอง

2.กินอาหารดีต่อสุขภาพในปริมาณที่มากเกินไป

การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม เป็นวิธีที่จะลดน้ำหนักของคุณได้อย่างจริงจัง แต่ไม่ได้ความว่าคุณจะกินได้ในปริมาณที่มากๆ อย่างเช่น ถั่ว หรืออะโวคาโด ที่ถึงแม้จะดีต่อสุขภาพ แต่ต้องกินในปริมาณที่จำกัดด้วย

3.ตกเป็นเหยื่อการตลาด

บางคนพอได้ยินคำว่ากลูเต็น-ฟรี หรือเป็นอาหารสำหรับมังสวิรัติ ก็รีบซื้อทันทีถึงแม้ว่านั่นจะเป็นคุกกี้ก็ตาม อย่าลืมว่าถึงแม้จะมีคำบอกที่ดูเป็นอาหารสุขภาพ แต่คุกกี้ก็ยังเป็นคุกกี้อยู่ดี ดังนั้น ทางที่ดีคือไม่ควรเชื่อคำโฆษณาที่ติดอยู่บนฉลาก แต่ควรกินในปริมาณที่พอดีดีกว่า

4.กินพวกสารให้ความหวานแทนมากเกินไป

สารให้ความหวานแทนนั้นถูกจัดให้เป็นวิธีในการลดการบริโภคน้ำตาล แต่มีงานวิจัยพบว่าการบริโภคสารเหล่านี้จะทำให้น้ำหนักลดได้ยากขึ้น และยังทำให้เราอยากกินของหวานเพิ่มขึ้นด้วย

5.กินผลไม้มากเกินไป

ผลไม้ถือเป็นหนึ่งในอาหารที่มีประโยชน์ แต่การกินผลไม้ก็ต้องกินแบบจำกัดปริมาณด้วยเช่นกัน เพราะในผลไม้บางอย่างก็มีแคลอรี่สูง, มีแป้ง และมีน้ำตาลมาก จึงไม่ควรกินผลไม้มากเกินไป

6.ใส่ครีมลงในกาแฟมากเกินไป

สำหรับคนที่ไม่ชอบกินกาแฟดำ และมักจะใส่พวกครีมลงไป รู้หรือไม่ว่าการใส่ครีมอาจส่งผลเสียได้ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ดื่มกาแฟวันละหลายแก้ว และยังชอบใส่ครีมเทียมอีก ซึ่งในครีมเทียมเหล่านี้มีไขมัน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมน้ำหนักคุณถึงไม่ลด

7.สลัดที่กินมีส่วนประกอบหลายอย่างเกินไป

หากคุณกินสลัดแล้วมีพวกผักสลัดหรือผักใบเขียวก็ดีไป แต่บางคนใส่พวกชีส และส่วนประกอบอีกเพียบ เช่น อะโวคาโด, ถั่ว, ไข่, ไก่ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมกินสลัดแล้วน้ำหนักไม่ลดเสียที ซึ่งเพราะสิ่งต่างๆ ที่ใส่เพิ่มเข้าไปเหล่านี้จะไปเพิ่มแคลอรีนั่นเอง

8.นอนหลับไม่เพียงพอ

การนอนหลับไม่เพียงพอนั้นส่งผลให้เพิ่มระดับฮอร์โนคอร์ติซอลในร่างกาย ซึ่งส่งผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้นทางที่ดีจึงควรหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยแนะนำว่าควรนอนวันละ 7-8 ชั่วโมง/วัน

9.คุณมีระดับความเครียดสูง

คอร์ติซอลนั้นเรียกได้ว่าเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียด เพราะเมื่อเราเครียด ร่างกายจะหลั่งคอร์ติซอลออกมา ทำให้เรารู้สึกอยากอาหารมากขึ้น และนำมาสู่น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง

10.กินเร็วเกินไป

การกินเร็วจะทำให้เรากินอาหารในปริมาณที่มากกว่าการกินอย่างช้าๆ หรือมีการกินเบรกก่อนระหว่างมื้อ ดังนั้น ไม่ว่าจะหิวเพียงใด แนะนำว่าควรกินอย่างช้าๆ ให้ร่างกายค่อยๆ อิ่มขึ้นนั่นเอง

11.ดื่มน้ำผักมากเกินไป

หลายคนที่ไม่ชอบกินผักผลไม้ เลยหันมากินน้ำผักแทนเพราะคิดว่าทดแทนกันได้ ซึ่งหากดื่มแต่น้ำผักเขียวๆ ก็ดีไป แต่ถ้าคุณใส่อะไรก็ตามที่ทำให้รสชาติดีขึ้น นั่นเป็นการเพิ่มแคลอรี่ น้ำตาล และแป้งเลย

12.กินอาหารจานใหญ่เกินไป

หลายคนถูกสอนมาเหมือนกันว่าต้องกินอาหารให้หมดจาน แต่คงไม่ดีหากอาหารนั้นเสิร์ฟมาในจานที่ใหญ่เกินไป คือมีปริมาณอาหารมาก ทางที่ดีคือเวลาไปกินร้านอาหารข้างนอกแล้วเสิร์ฟมาในจานใหญ่ ได้ปริมาณเยอะจริงๆ ก็ควรแบ่งครึ่งแล้วเก็บที่เหลือห่อใส่ถุงกลับไปกินบ้าน หรือแบ่งให้คนที่มาด้วยกันก็ได้

ถ้าเรายังจำกันได้ สมัยประถมเราต้องท่องจำอาหารหลัก 5 หมู่กันอยู่เสมอ เราถูกย้ำว่าควรกินอาหารให้ครบมื้อครบหมู่ โดยสารอาหารสำคัญที่ผลไม้ไม่สามารถทดแทนอาหารหลักได้อย่างเพียงพอก็คือโปรตีนที่ช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อ (และคอลลาเจนที่จะทำให้คุณหน้าเด้งก็ได้มาจากเนื้อสัตว์นี่แหละ ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมคนอดอาหารถึงได้หน้าเหี่ยว) และไขมันที่ช่วยละลายวิตามิน ทำให้ฮอร์โมนต่างๆ ทำงานได้อย่างปกติ

ผลไม้ส่วนมากมีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตเช่นเดียวกับข้าว จึงไม่ได้หมายความว่าคุณสามารถกินผลไม้เท่าไรก็ได้โดยไม่จำกัด แต่ถ้ามีใครถาม่าผลไม้อะไรกินแล้วไม่อ้วน ผมก็ต้องขอตอบว่านอกจากน้ำเปล่า อะไรที่มีแคลอรี่ กินเข้าไปเยอะๆ มันก็อ้วนทั้งนั้น เราจึงมีหลักการจำง่ายๆ ว่าคลอรี่ที่ได้จากการกินผลไม้ 1 ครั้งคือ 70 แคลอรี่ อะไรหวานมากก็กินน้อยหน่อย อะไรที่หวานน้อยก็กินได้มากหน่อย โดยการกิน 1 ครั้งเราเรียกว่า 1 ส่วน หรือเท่ากับลำไย 6-8 ผล องุ่น 6-8 ผล ฝรั่งขนาดกลางครึ่งลูก กล้วยน้ำว้า 1 ผล เงาะ 4 ผล มังคุด 4 ผลเล็ก ชมพู่ 2 ผลเล็ก ส้มเขียวหวาน 1 ผลใหญ่ มะละกอ 6 ชิ้น มะม่วงสุกครึ่งลูก แตงโม 6 ชิ้น เป็นต้น

กรมอนามัยแนะนำว่าเราต้องกินผลไม้ขั้นต่ำ (ร่วมกับการกินอาหารปกติ) ให้ได้วันละ 3 ส่วน ส่วนผู้ชายตัวฌตห่อยควรกินให้ได้ 5 ส่วน ซึ่งถ้าดูจากปริมาณ แม้เราจะกินข้าวแล้วก็ยังต้องกินผลไม้อีกตั้งมากมาย โดยอาจเลือกกินเป็นของว่าง ทำให้เราไม่เหลือท้องไว้กินขนม นี่จึงจะเป็นวิธีกินผลไม้ลดความอ้วนที่ถูกวิธี ผลไม้ 3 ส่วนได้ 210 แคลอรี่ น้อยกว่าชาเขียวขวดเดียวแต่ช่วยให้อิ่มนาน แถมได้วิตามิน เกลือแร่เพียบ ไม่ใช่ว่าอดข้าวแต่ไปกินขนม น้ำหวาน แล้วมาบ่นว่าแค่ดมก็อ้วน ดังนั้นจึงขอย้ำอีกครั้งว่าต้องกินผลไม้มากๆ ร่วมกับอาหารหลักจึงจะเพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ ไม่ควรกินผลไม้อย่างเดียวแล้วงดอาหารประเภทอื่น เพราะจะทำให้ขาดสารอาหารได้

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่ากินครบส่วน?

ถ้าต้องการ 3 ส่วนต่อวัน เราสามารถเลือกผลไม้ได้ตามใจ เช่น วันนี้เราอาจจะเลือกกินกล้วยอย่างเดียว 3 ผล วันรุ่งขึ้นอาจจะเลือกกินกล้วยน้ำว้า 2 ผล ฝรั่งครึ่งผล หรือถ้ามีให้เอกกินหลากหลายก็เป็นกล้วยน้ำว้า 1 ผล ฝรั่งครึ่งผล ส้ม 1 ผล เป็นต้น

ฉะนั้น คนที่กินผลไม้แทนข้าวหรือกินผลไม้เพื่อลดความอ้วนช่วงแรกน้ำหนักจะลด แต่ที่หายไปจะมีน้ำในร่างกายและกล้ามเนื้อเท่านั้น (ซึ่งทีสาเหตุมาจากการขาดโปรตีน ทำให้ระบบการเผาผลาญเสีย) สังเกตได้ว่าแม้น้ำหนักจะลดแต่หุ่นก็จะอ้วนเหมือนเดิมหรือไม่ก็ผิวหนังหย่อนด้วย ซึ่งทันทีที่กลับมากินปกติ น้ำหนักตัวก็จะโยโย่กลับขึ้นมาสูงกว่าเดิม


จากหนังสือ รู้งี้ผอมไปนานแล้ว โดยสาธิก ธนะทักษ์ (โค้ชเป้ง) สนพ.มติชน

ช่วงลดน้ำหนัก หลายคนอาจใช้วิธีควบคุมอาหารด้วยการกินให้น้อยลง หรือบางคนใช้วิธีงดมื้อเย็นไปเลยก็มี ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ทรมานจากความหิว จนต้องมากินตอนดึก ซึ่งก็ทำให้อ้วนไปใหญ่

นักโภชนาการกล่าวว่า ถ้าต้องการลดน้ำหนัก ก็ควร “เลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่สูงขึ้น จะทำให้ไม่รู้สึกหิว” หรืออาจเริ่มต้นโดยกินอาหารที่มีแคลอรี่น้อยลง เพราะยิ่งลดน้ำหนักและอดอาหาร จะทำให้อยากกินมากขึ้น หากยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ลองมาดู 6 วิธีในการลดน้ำหนักโดยไม่กินอาหารน้อยลงกัน

1.กินอาหารที่มีไฟเบอร์มากขึ้น

เลือกกินอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ราสพ์เบอร์รี่ กะหล่ำดาว ถั่ว หรือถั่วดำ จะช่วยการย่อยอาหารให้ดีขึ้น และยังดีต่อสุขภาพ เพราะไฟเบอร์ในอาหารเหล่านี้จะช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น

2.ออกกำลังกาย เคลื่อนไหวร่างกายสักหน่อย

ร่างกายของเรามีการเผาผลาญพลังงานราว 1,000-2,000 แคลอรี่อยู่แล้วในแต่ละวัน ผ่านกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การพูด, การเคี้ยว, การย่อยอาหาร, การควบคุมอุณหภูมิ หรือแม้แต่การหายใจ

ซึ่งการออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายมากขึ้น ก็จะเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้นด้วย แต่กลับกันคือจะทำให้เรารู้สึกอยากกินมากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้น หากเรากินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ก็จะทำให้น้ำหนักลดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่างกายปรับสมดุลได้

3.กินโปรตีนในอาหารทุกมื้อ

การกินโปรตีนแบบสม่ำเสมอในทุกมื้ออาหาร ช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น และยังทำให้น้ำหนักลดลงเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่ง ดร.พอล อาร์ซีโร ศาสตราจารย์ด้านสุขภาพและสรีรวิทยาของมนุษย์ Skidmore College ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้พัฒนาระบบลดน้ำหนักและการออกกำลังกาย ซึ่งพบว่าการกินอาหารวันละ 4-6 มื้อ/วัน ซึ่งแต่ละมื้อมีโปรตีนราว 20-40 กรัม จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการออกกำลังกาย และช่วยให้น้ำหนักลดได้

4.ดื่มน้ำให้มากขึ้น

การดื่มน้ำให้มากขึ้น นอกจากจะให้ความชุ่มชื้นแก่ร่างกายแล้ว การดื่มน้ำมากขึ้นยังช่วยลด BMI (ดัชนีมวลกาย) อีกด้วย โดยมีข้อมูลอ้างอิงของสภาวิจัยแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาในปี 2549 แนะนำให้ผู้หญิงดื่มน้ำ 2.7 ลิตร/วัน และผู้ชาย 3.7 ลิตร/วัน หรือแปลงเป็นขนาดแก้วน้ำจุ 8 ออนซ์ (240 ซีซี) ได้เท่ากับ 11 แก้วสำหรับผู้หญิง และ 15 แก้วสำหรับผู้ชาย

5.เปลี่ยนมากินอาหารปริมาณที่ใกล้เคียงกัน

เปลี่ยนวิธีการกินอาหารแบบเดิม มากินอาหารที่ดีต่อสุขภาพในปริมาณที่ใกล้กับอาหารอื่นๆ ที่คุณเคยกิน เช่น ขนมขบเคี้ยว ก็เปลี่ยนจากมันฝรั่งทอดมาเป็นแอปเปิ้ล ป๊อปคอร์น หรือถั่วคั่ว เปลี่ยนจากกินข้าวสวยมาเป็นข้าวกล้อง/ข้าวไม่ขัดสี หรือเปลี่ยนเส้นพาสต้าที่ทำจากแป้งแบบเดิมเป็นเส้นพาสต้าที่ทำจากธัญพืช ซึ่งมีปริมาณไฟเบอร์มากกว่าเดิม 4 เท่า โปรตีนมากกว่าเดิม 2 เท่า

6.นอนให้เยอะขึ้น

หากต้องการลดน้ำหนัก อาจจะต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หรือเพิ่มชั่วโมงการนอนให้เยอะขึ้นกว่าเดิม มีการศึกษาหลายชิ้นพบว่าการนอนหลับน้อยลงอาจทำให้ดัชนีมวลกายเพิ่มขึ้น ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการนอนหลับเป็นส่วนประกอบสำคัญในการลดน้ำหนักอีกอย่างหนึ่งนั่นเอง