แกงคั่วเห็ดเผาะปลากราย

อาหารแต่ละวัฒนธรรมย่อมมีความโดดเด่นในแบบฉบับของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ และวิธีการปรุงที่ต้องสอดคล้องไปกับไลฟ์สไตล์ของชนกลุ่มนั้นๆ กลายเป็นวัฒนธรรมการกินตามแบบฉบับของตัวเอง

ฉบับนี้จะชวนไปชิม อาหารไทยพวน ชื่อร้าน มัดหมี่ ร้านอาหารเก่าแก่กว่า 30 ปีที่อยู่คู่เมืองลพบุรี แขกไปใครมาต่างได้ยินกิตติศัพท์กันเป็นอย่างดี

อาหารที่ร้านมัดหมี่ขึ้นชื่อหลายอย่าง โดยเฉพาะเอกลักษณ์ของไทยพวน คือ ปลาร้าสับ ปลาร้าผัด แต่ที่เป็นซิกเนเจอร์ใครๆ ก็พูดถึงคือ “แกงคั่วเห็ดเผาะปลากราย” แม้จะไม่ใช่อาหารไทยพวน แต่ก็เป็นอาหารพื้นถิ่นที่ใครได้กินต่างก็ชมกันเปาะ

สำหรับอาหารมื้อนี้ ได้อานิสงส์จากการติดสอยห้อยตามคณะทัวร์ มติชน อคาเดมี (เจ้าเก่า) ที่มาเซอร์เวย์ทริป ท่องเที่ยวตามรอย อ.ปรีดี พนมยงค์ ที่จะมีขึ้นใน วันที่ 14-15 มีนาคม ที่จะถึงนี้

ที่เราลองสั่งมาชิมก่อน ต้องเป็นซิกเนเจอร์ที่ได้รับการกล่าวขวัญมาก คือ แกงคั่วเห็ดเผาะปลากราย (150 บาท) รสชาติของเมนูนี้มีความหวานนำแบบละมุน เห็ดเผาะนิ่มสะอาดกว่าทุกร้านที่เคยกินมา เนื้อปลากรายนุ่มเนียนชนิดที่เคี้ยวไปไม่มีฝอยอะไรให้ระคายลิ้นทั้งสิ้น ยกนิ้วให้สมกับเป็นเมนูยอดนิยม

ตามด้วย “น้ำพริกปลาร้าผัดหมูไข่ต้ม” (100 บาท) เด่นตรงกลิ่นปลาร้าหอมหวนชัดเจน รสชาติเค็มๆ นัวๆ เผ็ดร้อนนิดๆ กินกับไข่ต้มผักลวกเด็ดมาก อีกอย่างที่เป็นซิกเนเจอร์แต่เป็นจานเรียกน้ำย่อย คือ “ปลาส้มฟักทอด” (120 บาท) หั่นมาแบบก้อนสี่เหลี่ยมอวบอ้วน รสชาติเปรี้ยวเค็ม เนื้อหนึบเด้ง ผิวกรอบกินกับถั่ว พริก ขิง

ต่อมา “แกงส้มพวนไก่” (150 บาท) รสชาติหวานเปรี้ยวนัว ละมุนๆ แบบฉบับอาหารเพื่อสุขภาพ ชื่อว่าแกงส้มแต่ก็มีความต่างจากแกงส้มในภาคกลาง เพราะแกงส้มพวนจะใส่ปลาร้า และใส่ใบแมงลักให้หอมๆ คล้ายๆ แกงหน่อไม้ดองอีสาน แต่เมนูนี้ใช้หน่อไม้หวาน หรือ ยอดมะพร้าวก็ได้

“ไข่เค็มผัดพริกขิงปลาดุกฟู” (150 บาท) รสชาติมันหวานหน่อยๆ ถั่วฝักยาวกรอบเคี้ยวอร่อย และ ปิดท้ายด้วย “ไข่เจียวมดแดง” (140 บาท) ของที่นี่จะใช้ไข่เป็ดทอดออกมาเป็นสีส้มสวย เนื้อนุ่มฟู เหยาะพริกน้ำปลามะนาวซักนิด จะฟินมากค่ะ

ป้าติ๋ม-เนาวรัตน์ มุมบ้านเช่า เจ้าของร้านมัดหมี่ อาหารไทย (พวน) บอกเราว่า อาหารไทยพวน เอกลักษณ์ คือจะใช้น้ำปลาร้าแทนน้ำปลา และ เต็มไปด้วยสมุนไพรไม่เน้นกะทิ ถือเป็นอาหารแนวสุขภาพแบบหนึ่ง

“ไทยพวน คือ พวนที่มาจากเชียงขวาง ลาวเวียงจันทน์นะ แล้วมีมากที่สุดในลพบุรี ผ้าพื้นเมืองก็เป็นเอกลักษณ์ อาหารก็เป็นเอกลักษณ์ อย่างปลาร้าสับ ปลาร้าบอง ที่นี่เราขึ้นโต๊ะหมดเลย เราใช้ปลากระดี่และหมักต้องข้ามปี สองปีถึงจะอร่อย ทำเอง อาหารที่ร้านทำเอง ปีๆ หนึ่งก็ทำไว้เยอะ คือ เป็นอาหารประจำบ้านน่ะ คุณจะรวยขนาดไหนคุณต้องมีน้ำปลาร้าอยู่บนโต๊ะ”

น้ำพริกปลาร้าผัดหมูไข่ต้ม
แกงพวนส้มไข่
ไข่เค็มผัดพริกขิงปลาดุกฟู

ป้าติ๋มยกตัวอย่างการใช้ปลาร้า เช่น ไก่บ้านหากจะเอามารวน ก็จะรวนใส่น้ำปลาร้า แล้วใส่เครื่องเทศสมุนไพร ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ถือว่าเป็นอาหารสุขภาพ ส่วนปลาส้มฟักก็คือการถนอมอาหารแบบโบราณ เอาเนื้อปลากรายมาบดๆ ขยำๆ ใส่ข้าวสุกใส่กระเทียม เกลือนิดหน่อย ใช้เวลาสองวันก็มีรสชาติเปรี้ยว

ขณะที่ แกงคั่วเห็ดเผาะปลากราย แม้จะไม่ใช่อาหารไทยพวน ไม่มีปลาร้า แต่ก็เป็นซิกเนเจอร์ของร้าน เป็นอาหารพื้นเมืองที่การันตีด้วยรางวัลมากมาย หากพูดชื่อร้านแกงคั่วเห็ดเผาะปลากรายคืออาหารที่คนนึกถึง

ป้าติ๋มที่จบด้านคหกรรมมาโดยตรง เคยเป็นครูแล้วออกมาทำอาหารปลอดสารพิษ ที่สำคัญแม้จะวัยนี้แล้วก็ยังคงควบคุมการผลิตด้วยตัวเอง ยืนหน้าเตาปรุงเอง

“นี่ยังทำเองนะ เพราะลูกน้องไม่ได้เรื่อง คือเราใช้นานาชาติ กินกันคนละรส สมมุติว่าพม่ากินหวาน ลาวกินเค็ม เวียดนามกินเปรี้ยว เขมรกินเผ็ดอย่างนี้ คือ ทำออกมาแล้วไม่กลมกล่อมไม่ได้รสชาติ เราก็ยังต้องดูแลเอง ส่วนว่าถ้าใช้ชาติเดียวเขาก็พากันหนีหมด” ป้าติ๋มเล่าติดขำขัน

ไข่เจียวมดแดง

วัตถุดิบที่นี่ใครมากินสบายใจได้เลย เพราะใช้ผักปลูกเองทั้งหมด หรือไม่ก็ซื้อจากชาวบ้านที่รู้ถึงวิธีการผลิต หรือ ผักจากโครงการหลวงเท่านั้น

“รสชาติของที่นี่จะออกนัวๆ กลมกล่อม ใช้เครื่องปรุงที่ดี ไม่ใช่ผงชูรส ใช้ผักปลอดสารพิษ เป็นอาหารค่อนข้างจะคลีน ได้รางวัลจากกระทรวงสาธารณสุขอาหารคลีนนะ เขาจะมาจุ่มดูว่ามีปรอทไหม มีสารพิษ สิ่งเจือปนไหม เราก็ได้รางวัล”

ช่วงเสาร์อาทิตย์คนจะเยอะเป็นพิเศษ ซึ่งป้าติ๋มบอกว่าไม่รับจองนะคะ เพราะร้านมีขนาดเล็ก ทำเองดูแลเองคนเดียวดังนั้นใครมาก่อนได้นั่งก่อนค่ะ

เรื่องราวของชาวไทยพวนนี้ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลพบุรี ให้ข้อมูลไว้ว่า พวน ชาวพวน หรือไทยพวน เป็นกลุ่มชนที่มีอยู่กระจัดกระจายหลายจังหวัดในประเทศไทย ถิ่นฐานดั้งเดิมของชาวพวนอยู่ที่เมืองพวน ซึ่งอยู่ทางด้านเหนือของเมืองเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ชาวพวนได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยหลายครั้งด้วยกัน คือ สมัยกรุงธนบุรีตอนปลาย สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในครั้งที่ไทยยกทัพไปปราบฮ่อ ซึ่งชาวพวนที่อพยพมาแต่ละครั้งจะกระจายไปอยู่ตามจังหวัดต่างๆ เช่น สุพรรณบุรี สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี ลพบุรี ราชบุรี สุโขทัย ฉะเชิงเทรา เป็นต้น

สำหรับชาวพวนที่เข้าไปตั้งรกราก ในจังหวัดลพบุรีนั้น จะตั้งรกรากอยู่ที่ตำบลบ้านเซ่า อำเภอสนามแจง ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอบ้านหมี่

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]
ปลาร้าผัดหมู
ปลาส้มฟักทอด
ป้าติ๋ม-เนาวรัตน์
ถ่ายภาพคู่คุณชายถนัดศรี สวัสดิวัฒน์

เจ๊เค็ง&เจ๊งิ้ม – ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่เจ๊เค็ง & เจ๊งิ้ม สวนมะลิ ตำนานคั่วบนเตาถ่าน ทำชามต่อชาม

ร้านตั้งอยู่เลขที่ 105 ซอยสวนมะลิ 3 ถนนเฉลิมเขต 4 เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ

คุณลีลานุช นี หรือ เจ๊งิ้ม และ คุณซิซวน นี หรือ เฮียซวน เจ้าของร้าน กล่าวว่า ร้านเปิดขายมานาน 60 ปี เริ่มแรกเป็นสูตรของคุณแม่ และได้นำชื่อตนและพี่สาวมาตั้งเป็นชื่อร้านคือ ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ เจ๊เค็ง & เจ๊งิ้ม จนกระทั่งคุณแม่ไม่ได้ขาย และให้ตนและสามีขายมาจนทุกวันนี้

สำหรับเมนูอร่อยของร้านแน่นอนว่าต้องเป็นก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ที่เป็นเมนูธรรมดาแต่รสชาติไม่ธรรมดา เพราะนำไก่ไปคั่วก่อน จึงใส่เส้นก๋วยเตี๋ยวไปคั่วทีหลัง ตามด้วยการปรุงรส ใส่ไข่และซีอิ๊ว เคล็ดลับคือใช้น้ำมันหมูเจียว คั่วบนเตาถ่านด้วยไฟแรง ทำให้มีความหอมน่ากิน

ถัดมาเป็นหนังไก่ทอดสามารถกินเป็นเครื่องเคียงได้ แต่อยากกินต้องจองเท่านั้น ถ้าหมดแล้วคือหมดเลย เพราะทำวันต่อวัน

คั่วไก่ไข่อบเมนูก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ที่เพิ่มไข่อบเข้าไป ตัวไข่เป็นไข่ขาวสุก แต่ไข่แดงยังมีความเยิ้มอยู่ อร่อยไปอีกแบบ และจะยิ่งอร่อยถ้าคลุกไข่กับก๋วยเตี๋ยวให้เข้ากัน

สำหรับคั่วทะเลจานนี้ไม่ใส่ไก่ หรือคั่วรวมมิตรที่ใส่ไก่ ปลาหมึกกรอบ กุ้ง ลงไปคั่ว สองจานนี้จะอร่อยคนละแบบ หรือถ้าใครไม่ชอบกินเส้นสามารถกินเป็นเกาเหลาคั่วไก่ หรือรวมมิตรทะเลก็ได้

ที่เด็ดไม่แพ้กันคือก๋วยเตี๋ยวไก่หรือเกาเหลาไก่น้ำเนื้อไก่ชิ้นโต นุ่มแต่ไม่ถึงกับเปื่อยยุ่ย ได้รสสัมผัสนุ่มหนึบดี

ส่วนน้ำซุปกลมกล่อม เข้มข้นหวานน้ำต้มกระดูกหมูและฟัก ซึ่งน้ำซุปต้มนานกว่า 3 ชั่วโมง จนหวานน้ำต้มกระดูกหมู เสิร์ฟในถ้วย ใส่กระเทียมเจียว ใส่ผักกาดหอมกับฟักมา 1-2 ชิ้น เติมพริกไทยป่นเพิ่มรสชาติและความหอมยิ่งขึ้น

ร้านก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่เจ๊เค็ง & เจ๊งิ้ม เปิดให้บริการทุกวันจันทร์เสาร์ เวลา 09.00-21.30 . ส่วนวันอาทิตย์เปิดเวลา 13.00-21.30 . หยุดทุกวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือน

รับออกงานนอกสถานที่ด้วย สอบถามได้ที่เบอร์โทร.เจ๊งิ้ม 08-7028-0721, เฮียซวน 08-9532-6592

ที่มา : คอลัมน์อิ่มอร่อย ข่าวสด

🌾🌾🌾รีวิวร้านอาหารเปิดใหม่ แนวใหม่ Mixtaurant “สีสด บาย บานาน่า ลีฟ” เดอะเซอร์เคิล ราชพฤกษ์

กับความพิเศษ มี Rice Bar (ไรซ์ บาร์) แห่งแรกในเมืองไทย ให้คุณสีข้าวเองได้ในมื้ออาหาร และนำไปหุงทันที รอเพียงแค่15นาที ก็ได้กินข้าวที่ยังคงคุณประโยชน์เอาไว้ได้มากที่สุด เพื่อให้คุณค่าทางอาหาร พร้อม 6เบลนด์ข้าวสุขภาพ ให้เลือกกินตามชอบ

1.ข้าวหอมมะลิ 105 ออร์แกนิค รสชาติกลมกล่อมทานง่าย

2.ข้าวสูตรบำรุงผิวและความงาม บิวตี้เบลนด์ ผสมข้าว3สายพันธุ์ มีข้าวหอมมะลิแดง ข้าวหอมมะลิ และข้าวหอมปทุมเทพ ได้สารต้านอนุมูลอิสระสูง รสชาติอร่อย กลิ่นดอกไม้

3.ข้าวสูตรควบคุมน้ำหนัก เน้นไปที่กลุ่มที่มีกากใยสูงมาก กินแล้วจะอิ่มเร็ว มีค่ากลางของน้ำตาลต่ำ มีข้าวหอมนิลกับหอมมะลิแดง

4.ข้าวสูตรควบคุมน้ำตาล เหมาะกับกลุ่มผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพตัวเอง เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน สูตรนี้มี3สายพันธุ์ ข้าวหอมนิล หอมมะลิแดง และหอมมะลิ105 

5.ข้าวสูตรเด็กเล็กเพื่อพัฒนาการสำหรับเด็ก เน้นไปที่ข้าวที่มีโอรีลซานอล  คือ มีน้ำมันดี เป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างระบบประสาทและสมอง วิตามินต่างๆ โดยเฉพาะวิตามินบี1 สูตรนี้จะโดดเด่น เป็นข้าวขาว กินง่าย กลิ่นหอมหวานแบบข้าวโพด มีข้าวหอมปทุมเทพกับหอมมะลิ

6.ข้าวหอม5สายพันธุ์ เน้นรสชาติและจุดเด่นของข้าวทั้ง5สายพันธุ์ เป็นที่นิยม ตอบโจทย์เข้าได้กับทุกอย่าง อร่อย กินง่าย ครบถ้วนคุณค่าอาหาร

อ่านเพิ่มเติม : https://bit.ly/2Sjqei3

ปลาแซลมอนทอดบนกระทะ ซอสโรเมสโก้และมันบด

การตระเวนชิมอาหารสรรหาของอร่อยยังคงวนเวียนกันอยู่ที่ย่าน ประชานิเวศน์ 1 นะคะ ฉบับนี้มีร้านอาหารเปิดใหม่มาแนะนำกัน

ความรู้สึกแรก คือ แปลกใจนิดๆ นึกไม่ถึงว่าจะมีร้านหาญกล้าเปิดขึ้นมาสวนกระแสเศรษฐกิจในยามนี้ด้วย เลยต้องขอเข้าไปส่องซักหน่อย

ชื่อร้าน Pike/Pine ค่ะ เพิ่งเปิดใหม่ได้เพียง 3 เดือน เป็นร้านอาหารสไตล์ยุโรปแบบโฮมเมดแท้ๆ ด้วยความที่ยังไม่ค่อยมีร้านแบบนี้ให้เห็นในย่านนี้นัก ทำให้ร้านน้องใหม่ได้รับเสียงตอบรับค่อนข้างดี ฉายแววดาวรุ่งน่าจับตา

Pike/Pine เป็นร้านอาหารสไตล์ Casual Dining กึ่งคาเฟ่ กึ่งร้านอาหาร มีการตกแต่งค่อนข้างเนี้ยบ แต่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย หย่อนก้นลงนั่งแล้วรู้สึกสบายๆ เหมือนอยู่บ้าน

อาหารจะมีเมนูที่ยืนพื้นประจำ กับเมนูพิเศษที่จะหมุนเวียนเปลี่ยนไป เพื่อให้เห็นภาพรวมของอาหาร แฮ่ม..เราต้องจัดเต็มค่ะ

สำหรับเมนูประจำที่ปั๊วะปังสุดสุด ในตอนนี้ แคลร์ บริลเลียนเตส สาวลูกครึ่งไทย-ฟิลิปปินส์ วัย 26 ปี เจ้าของร้าน พ่วงตำแหน่งเชฟ และอีกหลายหน้าที่ในร้าน ภูมิใจนำเสนอ ได้แก่ ปลาแซลมอนทอดบนกระทะ ซอสโรเมสโก้ และมันบด (285 บาท)

แซลมอนชิ้นโตทอดหนังเกรียมกรอบเนื้อสุกพอดีวางบนมันบดที่เชฟตั้งใจทำให้มีความไลท์กว่าปกติเพื่อสุขภาพ คือ ไม่หนักเนยนมมากนัก พอกินผสมกับซอสโรเมสโก้แบบสเปนที่ร้านนำมาพลิกแพลงอีกทอดด้วยการใช้พริกหวานสีแดงก็ทำให้มันบดอร่อยขึ้นเยอะ กินพร้อมกับผักย่างตามฤดูกาลหลากหลาย เป็นจานที่กินเพลิน พอร์ชั่นนี้มาไม่เล็กถือว่าอิ่มกำลังดี

สลัดผักรวมเมล็ดฟาโรห์ (130 บาท) เป็นการรวมมิตรของผักใบเขียวที่สดกรอบหั่นมาเป็นชิ้นเล็กพอดีคำผสมกับผักดองที่ทำเองคลุกเคล้าน้ำสลัดสูตรเฉพาะเป็นเรดไวน์เวเนก้า พระเอก คือ เมล็ดฟาโรห์ ที่ว่ากันว่าเป็นพืชดึกดำบรรพ์อยู่คู่โลกมาเนิ่นนาน เทกเจอร์ของมันจะมีความกรึบหนึบ จานนี้ควรมีติดโต๊ะค่ะ

ต่อด้วยเมนูคนรักเนื้อ สเต๊กเนื้อบาแวต ซอสชิมิชูริ และมันบด (270 บาท) เนื้อย่างแบบมีเดียมฉ่ำๆ วางบนมันบด โรยเกลือ Sea Salt Flakes แบบผลึกแบน กินกับเห็ดย่าง ราดด้วยซอสชิมิชูริรสเปรี้ยวหวานซึ่งเป็นซอสที่ชาวอเมริกาใต้นิยมใช้ก็เข้ากันดีมาก

แคลร์บอกว่า ที่เลือกใช้เนื้อบาแวต หรือเนื้อส่วนพื้นท้อง เพราะว่าเป็นทางเลือกที่ 3 รองจาก นิวยอร์ก และริบอาย ด้วยราคาไม่สูงมากแต่หากมีกรรมวิธีการทำที่ถูกต้องก็ให้รสชาติที่น่าประทับใจเช่นกัน ข้อแนะนำควรสั่งแบบมีเดียมจะได้รสชาติและเนื้อสัมผัสที่ดีที่สุด

ตามด้วย สตูเนื้อไวน์แดง เสิร์ฟพร้อมขนมปังซาวร์โด (220 บาท) จานนี้รสชาติเข้มข้น ใช้เนื้อส่วนเสือร้องไห้โพนยางคำ ทำได้เปื่อยนุ่มดีเพราะมีกระบวนการทำค่อนข้างละเอียด ส่วนขนมปังซาวร์โดเป็นโฮมเมดที่เชฟบอกว่าเป็นอีกหนึ่งซิกเนเจอร์ที่เอาความรักความชอบส่วนตัวทุ่มลงไปในการทำ

ฟักทองญี่ปุ่นอบ (110 บาท) มันมีความหวานอร่อยด้วยคุณภาพของวัตถุดิบ ราดด้วยซอสบัลซามิกรีดักชั่นเพิ่มความจี๊ดจ๊าด

สเต๊กเนื้อบาแวต ซอสชิมิชูริ และมันบด
เฟตตูชินีกุ้งขาว
ฟักทองญี่ปุ่นอบ

มาถึงเมนูพิเศษไม่ประจำจะมีเป็นช่วงเวลาหนึ่ง สปาเกตตีไส้กรอก (210 บาท) จุดเด่นคือ ทั้งเส้นและไส้กรอกนั้นโฮมเมดทั้งหมด จานนี้ครบรสมีความเค็มนิดๆ สไปซี่หน่อยๆ จากไส้กรอก เปรี้ยวหวานจากมะเขือเทศ เฟตตูชินี่กุ้งขาว (230 บาท) เส้นทำเองสดใหม่เช่นกัน กุ้งขาวไซซ์เบิ้ม ปรุงรสชาติจัดจ้าน หอมจากเลมอน และเผ็ดเล็กๆ ด้วยพริกชี้ฟ้า

ส่วนคนรักเบอร์เกอร์ ที่ร้านก็มี เฮาส์เบอร์เกอร์ (250 บาท) โฮมเมดตั้งแต่บัน ไส้ ผักดอง พริกดอง ซอสอัลยอลี ทำเองทุกกระบวนการ เพราะเป็นอีกเมนูที่เชฟโปรดปรานเป็นการส่วนตัว

ส่วนเครื่องดื่มที่อยากให้ลอง คือ จินเจอร์ เบียร์ หรือ จินเจอร์ เอล (50 บาท) เป็นคราฟต์โซดาที่หมักเอง แซงเกรีย ไวน์แดงผสมผลไม้ เรด โพชั่น (75 บาท) เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นใหม่ แต่ถ้าเป็นชื่อฝรั่งจริงๆ คือ shrub เป็นสไตล์เอาผลไม้หมักกับแอปเปิลไซเดอร์แล้วผสมกับโซดา รสชาติเปรี้ยวสดชื่น สตรอเบอรี่ ลาเต้ (85 บาท) ใช้สตรอเบอรี่ที่กวนเองผสมกับนมสด

สำหรับคอกาแฟที่นี่ก็มีให้บริการเป็นเมล็ดกาแฟอราบิก้าคัดสรรจากภาคเหนือมานั่งจิบไปชิมขนมไปเพลินดีค่ะ ขนมที่นี่โดดเด่นมากคือครัวซองต์แบบฝรั่งเศส อร่อยแค่ไหนต้องลองมาชิมกัน

สตูเนื้อไวน์แดง เสิร์ฟพร้อมขนมปังซาวร์โด

แอบกระซิบว่าร้านนี้อนุญาตให้นำไวน์มาเปิดได้ จะมานั่งชนแก้วกรุ๊งกริ๊งกันตามสบาย ตราบใดที่สั่งอาหารในร้านก็โอเค

ที่พิเศษอีกอย่าง ร้านจะมีกิจกรรมต้อนรับเทศกาลต่างๆ อยู่เสมอ อาทิ แพคเกจวาเลนไทน์ที่จะถึงนี้ มีอะไรบ้างเข้าไปเช็กในเพจได้

สำหรับ “แคลร์” ในวัยที่เพิ่งจะ 26 ปี ด้วยบุคลิกภายนอกดูเป็นเชฟสาวห้าวเล็กๆ แววตาซนหน่อยๆ มีไฟฝันแรงกล้า ทุ่มเททำงานที่รักเกินร้อย ต้องยอมรับว่าในฐานะที่รับบทบาททั้งเชฟและเจ้าของร้านถือว่ามีความรับผิดชอบเกินวัยจริงๆ

ด้วยความที่เป็นลูกครึ่งฟิลิปปินส์ มีชื่อนามสกุลเป็นฝรั่ง แต่พูดไทยปร๋อ เพราะเกิดและเติบโตในเมืองไทย แคลร์เรียนจบปริญญาตรี นิติศาสตร์ จุฬาฯ แต่เมื่อทบทวนหัวใจตัวเองดูแล้วว่างานกฎหมายไม่น่าจะใช่ชีวิตตัวเอง เลยผันไปเรียนต่อด้านอาหารที่ซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา เรียนไปด้วยทำงานร้านอาหารไปด้วย รวมเวลาเกือบ 2 ปี และด้วยความที่ต้องการเปิดร้านอาหารที่มีทั้งคาวหวาน บวกกับมีความสนใจด้านเบเกอรี่อยู่แล้วเลยดั้นด้นไปเทกคอร์สทำขนมอบต่อที่ปารีสอีกราวครึ่งปี กลับมาลับคมฝีมืออยู่อีก 1 ปี จนตัดสินใจเปิดร้านของตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิตเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา

แคลร์ บอกว่า Pike/Pine เป็นย่านการค้า หัวใจของเมืองซีแอตเทิล มีผูกพันกับเมืองนี้เลยมาตั้งชื่อร้าน ถ้าถามว่าในร้านมีอะไรเป็นซีแอตเทิล ก็ต้องบอกว่าเป็นบรรยากาศ คือ มีความชิลไม่เป็นทางการจ๋า คนที่นั่นจะมีความชิลสูงแต่งตัวใส่เสื้อมีฮู้ด อาหารก็เลยมีความ Casual สูงตาม คือ อาหารหน้าตาดีแต่คุณแต่งตัวยังไงก็ได้ไปกิน ซึ่งนี่คือสิ่งที่เราชอบมาก

“ไอเดียอาหารคือทุกอย่างต้องไปด้วยกัน เป็นสไตล์ที่ดูง่ายทานง่าย เน้นทำเองทุกอย่าง อยากให้คนมาแล้วรู้สึกว่ามาบ้านใครซักคนที่คุณรู้จักแล้วกินอาหารอร่อยๆ เพราะเราทำทุกอย่างเองทั้งหมด ขนมปังทำเอง เบคอนทำเอง ไส้กรอกก็ทำเอง เราพยายามทำทุกอย่างที่เราทำได้จริงๆ”

พิกัดร้าน Pike/Pine อยู่บนถนนเทศบาลสงเคราะห์ ถ้ามาจากทางวัดเสมียนร้านอยู่ซ้ายมือ วิ่งมาเกือบถึงคลองประปาแล้ววกรถกลับไปนิดเดียว ถ้ามาจากถนนประชาชื่นร้านอยู่ซ้ายมือ ตั้งอยู่เยื้องกับสวนป่าน้อยๆ ประชานิเวศน์ 1 หรือจะเข้าตรงซอยเทศบาลรังสรรเหนือ 2 ก็ได้ ร้านไม่มีที่จอดรถต้องหาจอดริมฟุตปาธ หรือจอดที่จอดรถของตลาดประชานิเวศน์ 1 ค่าจอด 10 บาท เดินมานิดเดียว

ร้าน Pike/Pine วันอังคาร-พฤหัสฯ เปิดเวลา 09.00-20.00 น. วันศุกร์-เสาร์ เปิด 09.00-20.30 น.อาทิตย์เปิด 10.00-15.00 น. ปิดวันจันทร์ โทร 09-9287-0660 เฟซบุ๊ก @PikePineBKK หรือเว็บไซต์ www.pikepinebkk.com

สปาเก็ตตี้ไส้กรอก
สลัดผักรวมเมล็ดฟาโรห์
เฮ้าส์เบอร์เกอร์
ขนมปังโฮมเมดทั้งหมด รวมถึงเบค่อนที่ทำเองเช่นกัน
ด้านหลังติดถนนเทศบาลสงเคราะห์
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]
บะหมี่ใส่ก้ามปู(เฉพาะเสาร์-อาทิตย์-จันทร์)

คนฝั่งธนรุ่นพ่อสมัยเมื่อ 60 ปีก่อนทราบกันดีว่า แต่ก่อนนั้นช่วงตั้งแต่เชิงสะพานพุทธไปจนถึงตลาดพญาไม้คือดงบะหมี่ปูทะเลของกินอร่อย หลังจากความเจริญเยื้องกรายเข้ามา มีการสร้างสะพานคู่ ขยายถนนใหม่ ร้านเด็ดเหล่านี้ก็กระจัดกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆ ในเขตฝั่งธนบุรี

มีอยู่เจ้าหนึ่ง อากงหรือปู่อพยพมาจากเมืองจีนขายบะหมี่ปูอยู่ที่เชิงสะพานพุทธตั้งแต่ พ.ศ.2495 จนกระทั่งราวปี 2510 ลูกชายรุ่นที่สองหันไปขายกาแฟแทน เมื่อปี 2557 หลานชายรุ่นที่ 3 อันมีนามกรว่า เฮียเปี๊ยก บรรจบ ซื่อสุทธิกุล กลับมาสร้างตำนานบทใหม่ กับ ร้านบะหมี่ปูแปะชุ้น (ตั้งตามชื่อของอากง) จึงขอพามาที่สี่แยกวัดแขกในบัดดล

พ่อของเฮียเปี๊ยกได้ถ่ายทอดวิชาทำบะหมี่ปูไว้ให้ จึงมาเริ่มเปิดร้านใหม่ที่เจริญนครปากซอย 18 จากนั้นย้ายไปแถวเสือป่า ต่อมามีการจัดระเบียบร้านค้า เฮียเปี๊ยกจึงข้ามมาถิ่นเก่า ปักหลักขายในร้านทำผมเดิม ในตึกแถวคูหาเดียวใกล้ สี่แยกบ้านแขก ตั้งแต่ปลายปี 2558 เป็นต้นมา

ร้านนี้ไม่มีที่จอดรถ ไม่มีแม้กระทั่งห้องน้ำ ดังนั้นถ้าใครขับรถมาขอให้ไปจอดที่ ห้างบิ๊กซี สาขาถนนอิสรภาพ (ไม่เสียค่าจอด) อย่าลืมพกถุงผ้าไปด้วยนะจ๊ะ จะได้อุดหนุนซื้อของที่ห้างเสียก่อน จากนั้นควรแวะเข้าห้องน้ำในห้างให้เสร็จสรรพ ก่อนเดินออกมาข้างหน้าริมถนนแล้วเดินเลี้ยวซ้ายย้อนกลับไปทางสี่แยกบ้านแขก เพียงประมาณ 100 เมตร ก็จะเห็นร้านบะหมี่แปะชุ้นอยู่ฝั่งเดียวกันด้านซ้ายมือ ใกล้ ปากซอยอิสรภาพ 18

ที่นี่ทำกันในครอบครัว มีเฮียเปี๊ยก พี่อ๋อยภรรยา และน้องพีทลูกชาย (บางครั้งก็มีลูกสาวคนเล็กที่ยังเรียนอยู่มาช่วย) ด้วยความที่ลูกค้า 70 เปอร์เซ็นต์ คือนักเรียน นักศึกษา จึงมีเมนูสร้างสรรค์นอกเหนือจากบะหมี่ปูขึ้นมาอีกเพียบ นับได้ว่าเป็นร้านขวัญใจวัยรุ่นทีเดียว

ตรงข้างหน้าร้านจะตั้งรถเข็นใส่หม้อน้ำซุปทำจากน้ำต้มโครงไก่และ ปูม้าทั้งตัว ลอยหน้าเต็มหม้อ เพื่อเพิ่มกลิ่นรสความหอมของน้ำซุป ซึ่งเนื้อปูที่โรยหน้าบะหมี่นั้นคือปูทะเล ไม่ใช่เนื้อปูม้า โดยจะออกไปจ่ายตลาดตอนตี 4-ตี 5 จากเจ้าประจำที่ตลาดวงเวียนใหญ่ หรือไม่ก็ตลาดเก่าเยาวราช

ก่อนเดินผ่านประตูเข้ามา มีบทความของบล็อกเกอร์ดังๆ สรรเสริญถึงความอร่อยของบะหมี่ปูแปะชุ้นอยู่เต็มบานกระจก ที่ข้างในตั้งโต๊ะได้ประมาณ 7-8 ตัวเท่านั้น ติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ข้างฝาผนังมีภาพสเกตช์ของแปะชุ้น อากงเฮียเปี๊ยก ยืนยกนิ้วโป้งการันตีความอร่อย

เมนูเด็ดซิกเนเจอร์ของบะหมี่ปูแปะชุ้นย่อมต้องเป็น บะหมี่ปูใส่ไก่และหมูแดง อันประกอบไปด้วย บะหมี่เส้นกลมเล็กเหนียวนุ่ม สั่งทำเพิ่มไข่เป็นพิเศษจากเจ้าประจำที่ท่าดินแดง โรยหน้าด้วยปูทะเล ไก่ต้มฉีกใช้เนื้อสะโพก และหมูแดงทำเองไม่ใส่สี หน้าตาคล้ายหมูอบทำจากเนื้อหมูส่วนใกล้สันคอนุ่มๆ แล้วราดกระเทียมเจียว โรยกากหมู ถ้าเป็นอย่างแห้งจะใส่ผักกาดหอม ส่วนบะหมี่น้ำจะใส่ผักกวางตุ้ง ข้อสำคัญคือสนนราคาเพียงชามละ 45 บาทเท่านั้น (พิเศษ 60 บาท) ราคาสบายกระเป๋าแบบนี้แล้วจะไม่เป็นขวัญใจนักเรียนนักศึกษาได้อย่างไร

แนะนำว่าให้สั่ง บะหมี่แห้งใส่เกี๊ยวกุ้งผสมหมูสับ แล้วขอน้ำซุปหอมกลิ่นปูม้ามาอีก 1 ถ้วยเล็ก (ให้จดในใบตอนสั่ง ขอแถมน้ำซุปมาเลย ไม่เสียสตางค์เพิ่ม) สูตรบะหมี่ปูแปะชุ้นนี้ให้กินทั้งปู เนื้อไก่ และหมูแดงในคำเดียว จะได้กลิ่นรสและความหอมเข้ากันดีมาก เติมน้ำส้มพริกเหลืองตำเพิ่มรสชาติให้เข้มข้นยิ่งขึ้น

เฮียเปี๊ยก บรรจบ

ส่วนใครที่ชอบจัดเต็ม บะหมี่ปูใส่ก้ามปูทะเล ต้องมาวันเสาร์-อาทิตย์-จันทร์ 3 วันนี้เท่านั้น ก้ามปูสดเนื้อแน่นสะใจมาก (ชามละ 350 บาท) นอกจากนี้ยังมีเส้นเล็ก เส้นหมี่ให้เลือก อีกทั้งอยากเติมท็อปปิ้งอะไรให้ดูในเมนูได้เลย มีหลายอย่าง เช่น ไข่อบ (ฟองละ 10 บาท) ซึ่งไม่ใช่ไข่พะโล้ แต่อบกับน้ำหมูแดงจนกลายเป็นสีน้ำตาล

ชอบใจร้านนี้ตรงที่มีเมนูข้าวต่างๆ (หรือจะใส่บะหมี่แทนก็ได้) ให้กินหลากหลาย เฮียเปี๊ยกจัดให้ตามเสียงเรียกร้องของน้องๆ นักเรียน ที่ห้ามพลาดเลยเป็นอันขาดคือเมนูชื่อเก๋ พริกพสุธา (70-120 บาท) คือข้าว (หรือบะหมี่) กุ้งแชบ๊วย ราดเครื่องซอสกระเทียมพริกไทยหอมๆ บดผสมกับพริกขี้หนูสวนและพริกจินดา มีรสเค็มอมหวานเล็กน้อยและหอมเข้มข้นมาก จะใส่ปลากะพง (70-120 บาท) ปูม้า (100 บาท) ก็ได้

อีกอย่างที่ตั้งราคาดีมาก กลายเป็นเมนูโปรดของข้าพเจ้าไปแล้วก็คือ ข้าวซี่โครงรสโอชา ข้าวราดกระดูกหมูอ่อน ปรุงรสหวานมันเค็ม ใส่น้ำหมูแดง กากหมู น้ำมันงาและกระเทียมเจียว กินคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ด อิ่มอร่อยในสนนราคาเพียง 35 บาท (พิเศษ 45 บาท) หรือจะสั่ง ข้าวไก่อบ (35-45 บาท) ใช่ไก่เนื้อสะโพกนุ่มๆ หอมหวาน พอราดน้ำจิ้มซีฟู้ดแล้วมีครบทุกรส ซึ่งเด็กวัยรุ่นกำลังโตที่กินจุๆ นิยมสั่งเมนูข้าวขนาดโคตรพิเศษ 60 บาทอีกด้วย ใส่ในชามกระเบื้องให้ปริมาณมากจุใจ

พริกพสุธาใส่กุ้งแชบ๊วย

ต่อด้วยเมนูรสแซ่บ เผ็ดพงไพร (70-120 บาท) เป็นข้าวหรือบะหมี่ราดต้มยำแห้งกุ้งแชบ๊วย ใส่เครื่องต้มยำสมุนไพรบดเป็นซอสสำเร็จไว้เลย มีพริกเผา พริกขี้หนูสวนและพริกจินดาแดงแซ่บๆ เมนูนี้มีรสเปรี้ยวแซ่บเพิ่มขึ้นมาด้วย ถ้าชอบต้มยำน้ำข้นให้สั่ง แซ่บพิรุณ (70-120 บาท) บะหมี่หรือข้าวใส่ต้มยำกุ้งแชบ๊วยน้ำข้นผสมนมข้นจืดกับเครื่องต้มยำบด

ยังมีเมนูข้าวอื่นๆ อีกหลายอย่างให้เลือก ร้านบะหมี่ปูแปะชุ้นเปิดสายหน่อยตั้งแต่ 11 โมงครึ่งไปจนถึง 3 ทุ่มครึ่ง โดยจะมีช่วงพักเปลี่ยนน้ำซุปตอนบ่าย 2 โมงถึงบ่าย 3 โมงครึ่งอีกด้วย (แต่ยังมีเมนูข้าวต่างๆ ขายอยู่ในช่วงพัก) ร้านหยุดทุกวันอังคาร ขอเชียร์ให้มาชิมลิ้มลอง รับรองว่าต้องถูกใจแน่นอน

บะหมี่ปูแปะชุ้น

โดย คุณบรรจบ (เปี๊ยก) ซื่อสุทธิกุล

ที่ตั้ง 46 ใกล้ปากซอยอิสรภาพ 18 ถนนอิสรภาพ วัดกัลยาณ์ ธนบุรี กรุงเทพฯ 10600

โทร 08-7395-3278

เปิดบริการ 11.30-21.30 น. พุธ-จันทร์

หยุด อังคาร

แนะนำ บะหมี่ปู

Facebook ร้านบะหมี่ปู แปะชุ้น

ช่วงเวลาคนแน่น 18.00-20.30 น.

หมายเหตุ ร้านนี้ไม่มีที่จอดรถและห้องน้ำ ให้ไปจอดที่บิ๊กซีสาขาอิสรภาพ

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
แซ่บพิรุณ
ข้าวอบไก่

เชฟแพมเจ้าของแบรนด์ smoked (สโมค) ร่วมกับวิลล่ามาร์เก็ทหลังสวน เปิดตัวหมู เนื้อรมควัน ที่อร่อยไม่เหมือนใคร

พร้อมสาธิตการทำอาหารโดยใช้เนื้อsmoked 3 เมนู

  • ข้าวสามชั้นกะเพราคลุก
  • เบอเกอร์ซี่โครงเนื้อรมควัน
  • บะหมี่เกาหลีเนื้อรมควัน

หอมหวลชวนกินเบอร์แร๊งงงงง!!

ช่วงต้นปีหนองคายถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ยังน่าท่องเที่ยว ด้วยสภาพอากาศที่เย็นสบายน้ำท่าอาหารบริบูรณ์ อยู่ติดแม่น้ำโขง ทำให้อากาศโดยเฉพาะในยามเช้าสดชื่นมาก สูดหายใจได้เต็มปอด จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองน่าอยู่อันดับที่ 7 ของโลก จากการคัดเลือกของนิตยสาร Modern Maturity ของสหรัฐอเมริกา

สำหรับคนที่มองหาที่พักเพื่อผ่อนคลาย “วานา เวลเนส รีสอร์ท” คือ ตัวเลือกที่น่าสนใจค่ะ เพราะที่นี่เป็นโรงแรมเดียวในภาคอีสานที่คว้ารางวัลระดับดีเยี่ยม “กรีน โฮเทล” เหรียญทองสูงสุด ประจำปี 2561 จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และได้รับต่อเนื่องในปี 2562

ได้มีโอกาสติดตามทีมทัวร์ของ “มติชน อคาเดมี” กับภารกิจสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดหนองคาย เราได้เลือกพักกันที่รีสอร์ทแห่งนี้ ซึ่งความเป็นกรีนที่ว่านั้น เพียงแค่พ้นประตูทางเข้ามาก็พบเจอแต่ความร่มรื่นจากต้นไม้เขียวครึ้มแล้ว

ส่วนตัวตึกก็ออกแบบได้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างลงตัว ทั้งโถงทางเดินที่มีร่องให้แสงแดดส่องถึงลดการใช้ไฟฟ้า หรือฟังก์ชั่นในที่พักก็ออกแบบมาเพื่อประหยัดพลังงาน การตกแต่งด้านในให้ความรู้สึกเรียบง่ายแบบมีระดับ ในราคารวมอาหารเช้า เริ่มต้นคืนละ 1,100 บาทเท่านั้น

เรื่องของอาหารเช้าเดิมทีเราไม่ได้คาดหวังมากนัก แต่ผิดคาดเลย อาหารของที่นี่อร่อย เน้นความเป็นพื้นถิ่น ทำอย่างพิถีพิถัน แถมยังมีให้เลือกหลากหลาย กลายเป็นมื้ออาหารที่เอ็นจอยมากๆ

ใครที่ชอบกินอาหารเวียดนามน่าจะคุ้นเคยกันดี เริ่มจาก “ข้าวโซย” เป็นอาหารเช้าที่อุดมไปด้วยธัญพืชเพื่อสุขภาพ ตั้งแต่ข้าวโพด ลูกเดือย ข้าวเหนียว หอมเจียว โดยหน้าด้วยถั่วเหลืองบด งาบด และน้ำตาล ถ้าไม่ชอบหวานก็ไม่ต้องใส่ เคี้ยวๆไปรสชาติคล้ายถั่วแป็บอยู่เหมือนกัน

“กวยจั๊บญวนเส้นสด” รับรองจะลืมเส้นอบแห้งแบบในร้านอาหารเวียดนามที่อื่นไปเลย เส้นสดนุ่มมาก น้ำซุปหอมอร่อย หมูยอเกรดเอ โรยหอมเจียว เมนูนี้อุ่นท้องดีจริงๆ ค่ะ

นอกนั้นจะมี ไข่กระทะ บาแกต หรือ ข้าวจี่ฝรั่งเศสไส้ต่างๆ ให้เลือกชิมกันหลากหลาย

อีกเมนูที่ภูมิใจนำเสนอของพนักงานที่นี่ คือ “น้ำพริกวานา” สีสันหน้าตารสชาติคล้ายน้ำพริกอ่อง แต่ไม่มีหมูสับ รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ กินกับผักลวกที่ส่วนมากปลูกเองที่รีสอร์ทแบบปลอดสารพิษ มีตัวเอก คือ ดอกขจรลวก กับ ดอกอัญชัญ ที่นำมาทำเครื่องดื่ม

ส่วนซิกเนเจอร์ ที่ว่ากันว่ามาแล้วต้องสั่ง คือ ผัดกะเพรา ใครมีโอกาสมาต้องมาพิสูจน์นะคะ

ทิพยา บัวพิจิตร ผู้จัดการสาวระดับมือโปรจากโรงแรมชื่อดังในกรุงเทพฯ ดุสิตธานี และพูลแมน เธอให้ความเห็นเรื่องของ “โรงแรมสีเขียว” ว่าสิ่งสำคัญคือการมีส่วนร่วมกับชุมชน ช่วยเหลือชุมชน และต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขณะที่เรื่องอาหารก็เน้นสุขภาพเป็นหลัก โดยเฉพาะผักปลูกเองเกือบทั้งหมด

ข้าวจี่ฝรั่งเศส
ก๋วยจั๊บญวนเส้นสด
ทิพยา บัวพิจิตร

“แปลงผักเราจะมีคนสวนดูแลถึง 3 คน เป็นผักปลอดสารทั้งหลาย ถั่วฝักยาวก็มี ขึ้นอยู่ตามฤดูกาล และเมนูทางโรงแรม อันดับแรกเราต้องดูของในโรงแรมก่อน ถ้าไม่มีก็ไปสั่งชาวบ้านเพิ่ม ส่วนมากจะเป็นช่วงที่ลูกค้าเยอะๆ ทุกศุกร์-เสาร์ เราจะมีลูกค้าเยอะ ช่วงเทศกาลจะเยอะที่สุดเป็นลูกค้ามาทำบุญ พีคสุดจะเป็นธันวาคม มกราคม”

ว่าแล้วก็พากันเดินชมสวนปลอดสารเคมี ไล่ไปตั้งแต่พืชผักสวนครัว พริก หอม ผักกาดหอม คะน้า กระเทียม ใบผักแป้น ผักชี สาระแหน่ ต้นหอม พริกไทยอ่อน ชะอม ดอกขจร ซึ่งพืชผักเหล่านี้ส่วนมากจะนำมาทำเป็นอาหารพื้นบ้าน

นอกจากนี้ ยังมีมะพร้าวน้ำหอมที่ปลูกไว้เอง ใช้ต้อนรับผู้ที่มาพัก น้ำหอมหวานชื่นใจมากๆ นอกจากผลที่นำมาบริโภคแล้ว ทางรีสอร์ทยังได้คิดเพิ่มมูลค่าด้วยการทำ บอนไซมะพร้าว จากเดิมขายได้ลูกละ 50 บาท เมื่อเป็นบอนไซแล้วขายได้หลักร้อยถึงหลักพันขึ้นอยู่กับรูปร่างของต้น

ชินวัฒน์ สกุลตั้งไพศาล

ชินวัฒน์ สกุลตั้งไพศาล ทายาทรุ่นที่ 2 ของตระกูลสกุลตั้งไพศาล เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในหนองคาย ที่เบนเข็มจากที่สนใจการเมือง มาทำธุรกิจ ปลุกปั้นทำโรงแรมสีเขียว บอกว่า เรื่องอาหาร ของเราเป็นอาหารสุขภาพ ใช้ผักออร์แกนิคไม่มีสารเคมีเลย เพราะปลูกเองทุกอย่าง

“อยากให้ลองมาพักกัน เพราะอากาศที่โรงแรมดีมากจริงๆ เคยมีผู้ป่วยโรคปอดมาพัก เขาบอกว่าอยู่กรุงเทพฯ เขาหายใจไม่ออก แต่พอมาอยู่โรงแรมที่นี่อาการดีขึ้น หายใจได้ดีขึ้น ซึ่งสเต็ปต่อไปเราจะเน้นเรื่องของสุขภาพ โดยจะเพิ่มการนวดด้วย มีทั้งนวดที่ห้องพักและนวดกลางสวน พยายามหาความลงตัวอยู่ อยากได้อารมณ์แบบบ้านๆ เป็นบรรยากาศของภาคอีสาน”

คุณชินวัฒน์ บอกว่า โรงแรมของเราเป็นมิตรเชื่อมโยงกับชุมชน ยกตัวอย่างการซื้อผักหรือวัตถุดิบ ไข่ ปลา ข้าว ที่เราปลูกผักเองก็จริง แต่ก็พอใช้ในแต่ละวัน เวลามีกรุ๊ปทัวร์เข้ามาของไม่พอก็สั่งซื้อจากชุมชน วินวินกันไปทั้งสองฝ่าย ชาวบ้านก็แฮปปี้ เรายังจ้างชาวบ้านมาเป็นพนักงานเพิ่มเติม มารับงานพาร์ตไทม์ด้วย

“พนักงานของโรงแรมจะมีสมุดบันทึกเป็นข้อมูล ว่าชาวบ้านคนไหนว่างช่วงไหน สามารถทำงานอะไรได้ ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้เขามีรายได้เพิ่มขึ้นจากปกติ คนที่ไม่ได้ทำงานประจำ แต่มีเวลาว่าง ไม่อยากปล่อยเวลาว่างให้สูญเปล่าก็มาทำงานกับเรา ตั้งแต่ที่เปิดโรงแรมมาชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีชีวิตชีวา เป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชุมชนมากขึ้น”

ใครมีโอกาสมาหนองคายลองมาสัมผัสด้วยตัวเองกันนะคะ ห้องพักมีทั้งหมด 3 แบบ เริ่มต้นที่ 1,100 บาท ไปถึง 5,500 บาท สนใจสอบถามได้ที่ 0-4201-2767 หรือ เพจเฟซบุ๊ก VANA Wellness Resort Nongkhai

ไข่กระทะ
ข้าวโชย
บรรยากาศด้านหน้ารีสอร์ท
พนักงานวานารีสอร์ทยินดีต้อนรับ
ที่มามติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 19 ใกราคม 2563, หน้า 15
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]
ห่านพะโล้

ถนนแจ้งวัฒนะในอดีตเมื่อ 40 ปีก่อน ยังเป็นถนนกว้างแค่ 2 เลนยกระดับสูงเป็นหลังเต่า สองข้างทางเป็นคูระบายน้ำและเป็นที่โล่งมากมาย ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อ พ.ศ.2527 จะมีเจ้าห่านพะโล้และเป็ดพะโล้มาเปิดร้าน ปักหลักอยู่ที่เดิมจนกระทั่งปัจจุบัน มีชื่อเสียงเลื่องลือโด่งดังไปทั่วเรื่องความนุ่มหอมอร่อยไม่มีกลิ่นสาบ ร้านนี้มีชื่อว่า เบียร์โภชนา

ทางไปร้านนี้ไม่ยาก ให้ตั้งต้นที่ถนนแจ้งวัฒนะ หน้าศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ มุ่งหน้าไปทางปากเกร็ด แต่ไม่ต้องไปไกลขนาดนั้น เมื่อผ่าน กรมการกงสุล ที่เรามาทำหนังสือเดินทาง ให้ชิดซ้ายไม่ขึ้นสะพานลอย จากนั้นก็จะผ่าน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) พอสุดเขตศูนย์ราชการฯ ก็จะเห็นร้าน เบียร์โภชนาอยู่ในตึกแถวสองคูหาห้องแรกหัวมุมทางซ้ายมือ ส่วนเรื่องที่จอดรถนั้นค่อนข้างหายาก ให้ไปจอดในซอยแจ้งวัฒนะ 11 ซึ่งเจ้าของร้านบอกว่าเมื่อใกล้จะถึงร้านให้โทรถามที่ 0-2573-6866 และ 09-2671-1414 จะได้บอกทางไปที่จอดรถให้

ร้านเบียร์โภชนานั้น เมื่อได้ยินชื่อคงนึกว่าเป็นร้านขายเหล้าเบียร์ แต่ความจริงแล้วคือชื่อเล่นของลูกชายเจ้าของร้าน ซึ่งตอนนี้น้องเบียร์เป็นหนุ่มใหญ่อายุ 40 ปี ช่วยคุณแม่ คุณลัดดา จิตติมาถาวร ดูแลร้านอยู่ตลอด

คุณชายถนัดศรีแวะเวียนมาชิมห่านพะโล้อยู่เสมอ จนกระทั่งได้แนะนำในคอลัมน์เชลล์ชวนชิมเมื่อเดือนกรกฎาคม 2546 เนื่องจากเมนูเป็ดและห่านคือของโปรดของครอบครัวเรา ปิ่นโตเถาเล็กจึงชอบแวะไปกินที่ร้านเบียร์โภชนาอยู่เป็นประจำ เพราะเขาทำห่านและเป็ดพะโล้ได้อร่อยคงเส้นคงวาสมควรแก่เวลาที่จะแนะนำทบทวนอีกครั้งหนึ่ง

มาร้านนี้สั่งง่ายเพราะมีเมนูไม่กี่อย่างและอร่อยทุกอย่างเสียด้วย เริ่มกันที่พระเอกของเรา ห่านพะโล้ เมื่อใดก็ตามที่มีห่านพะโล้คู่กับเป็ดพะโล้ ผมจะเลือกห่านพะโล้ก่อนเสมอ เนื่องจากห่านจะตัวโตกว่าเป็ด มีหนังหนาหอม และเนื้อมันๆ ชุ่มฉ่ำกว่าเป็ด แต่จะว่าไปแล้วที่เบียร์โภชนาทำเป็ดพะโล้ได้นุ่มหอมเช่นกัน ถ้าชอบเนื้อแห้งหน่อยก็ให้สั่งเป็ดพะโล้

ใครชอบเนื้อนุ่มๆ ขอให้สั่งเน้นเฉพาะส่วน เนื้อสะโพก นะจ๊ะ นอกจากเนื้อจะนุ่มหอมมันแล้ว น้ำพะโล้ของเบียร์โภชนามีรสชาติเข้มข้นหอมเครื่องยาจีนแต่กลมกล่อมไม่แรงเกินไป เอามาคลุกข้าวร้อนๆ ราดด้วยน้ำส้มพริกตำใส่กระเทียม แค่นี้ก็อร่อยเหาะแล้ว

กรรมวิธีการทำห่านพะโล้และเป็ดพะโล้นั้นพิถีพิถันมาก โดยจะเลือกใช้เป็ดโป๊ยฉ่ายขนาดตัวละ 3 กิโลกรัม (เป็ดชนิดนี้จะมีเนื้อเยอะเหมาะสำหรับทำเป็ดพะโล้ ไม่ได้มีหนังหนา) และห่านพันธุ์ไทยตัวไม่ใหญ่มากหนักประมาณ 4 กิโลกรัม รับมาจากฟาร์มเล็กๆ ที่เป็นเจ้าประจำ นำมาล้างทำความสะอาด ถอนขน แยกเครื่องในและไส้ออก นำเป็ดและห่านไปต้มกับเครื่องยาจีนในหม้อเดียวกัน ซึ่งเครื่องเทศเครื่องยาจีนนั้นจะผสมเอง ใช้แต่ของดีๆ มีราคา เช่นโป๊ยกั้กหรือจันทน์แปดกลีบ พริกหอม เปลือกไม้ พริกไทยดำเป็นต้น (ที่ร้านไม่ได้ซีอิ๊วดำ) ต้มนาน 2 ชั่วโมงครึ่ง กะดูด้วยความชำนาญว่าเป็ดและห่านตัวไหนได้ที่แล้ว ความเข้มข้นหอมอร่อยและสีเข้มๆ ของน้ำพะโล้ได้จากเครื่องเทศเครื่องยาจีนนั่นเอง

สนนราคาเป็ดพะโล้และห่านพะโล้นั้นเท่ากัน เพียงแต่ว่าจะได้ปริมาณต่างกัน (เนื่องจากขนาดตัวที่แตกต่างกัน) แบ่งเป็น จานใหญ่ 700 บาท ได้เป็ดพะโล้ทั้งตัว ส่วนห่านพะโล้ได้เกือบครึ่งตัว ส่วน จานเล็ก 350 บาท ได้เป็ดพะโล้ครึ่งตัว ห่านพะโล้ได้เกือบตัว

01BeerPochana
เป็ดพะโล้
เป็ดตุ๋นฟักมะนาวดอง

นอกจากส่วนเนื้อแล้ว เราสามารถสั่ง เครื่องใน (กึ๋นและตับกับหัวใจ) ไส้ ซึ่งมีทั้งไส้เล็ก ไส้ใหญ่ ลิ้น เลือด ปีก ขา เครื่องใน เลือกรวมในจานเดียวได้ 2 อย่างอีกด้วย (200 บาท)

ถ้าอยากสั่งกลับบ้าน ห่านคิดตัวละ 1,600 ครึ่งตัว 800 บาท ตัว 400 บาท เป็ดคิดตัวละ 700 บาท ครึ่งตัว 350 บาท ปีกคู่ละ 80 บาท ขาคู่ละ 90 บาท เครื่องในพวงละ 50 บาท ไส้ 200 บาท ลิ้น 200 บาท

เป็ดพะโล้และห่านพะโล้ต้องกินคู่กับน้ำแกงต่างๆ ตุ๋นใส่โถอุ่นร้อนอยู่ในลังถึงตลอดเวลา (โถละ 100 บาท) มีตั้งแต่ ต้มมะระซี่โครงหมู ต้มผักเสฉวนซี่โครงหมู (ของโปรด) ต้มดอกไม้จีนซี่โครงหมู ต้มหัวไชเท้าซี่โครงหมู และ เป็ดตุ๋นฟักมะนาวดอง สำหรับคนที่ชอบรสเปรี้ยวอมหวานหอมเป็นเอกลักษณ์ของมะนาวดอง

เหลือเมนูที่ห้ามพลาดเช่นกัน คือ ผัดผักบุ้งไฟแดง และ ผัดคะน้าหมูกรอบ (จานละ 100 บาทเท่ากัน) ที่ใส่ก้านคะน้าอ่อนและกรอบมากๆ โดยจะใส่เห็ดหอมซึ่งหอมมีรสมีชาติทั้งในผัดผักบุ้งและคะน้าด้วย และสามารถสั่งให้ใส่หมูกรอบในผัดผักบุ้งเพิ่มความหอมมันได้เช่นกัน เนื่องจากเมนูทั้งร้านมีแค่นี้ ขอแนะนำให้สั่งผัดผักมาทั้ง 2 อย่างเลยดีที่สุด

และนี่คือร้านเป็ด-ห่านพะโล้ เจ้าโปรด 5 อันดับแรกในดวงใจเลยทีเดียว จึงขอเชียร์เชิญชวนให้มาลิ้มลองได้ทุกวันจันทร์-วันเสาร์ 10 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น โปรดหลีกเลี่ยงเวลาเที่ยง ซึ่งคนทำงานแถวนี้จะมาอุดหนุนกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง และอย่าลืมโทรมาถามเรื่องที่จอดรถที่เบอร์ 0-2573-6866 และ 09-2671-1414 ก่อนถึงร้านนะจ๊ะ

ข้อมูลร้านเบียร์โภชนา

โดย คุณลัดดา จิตติมาถาวร

ที่ตั้ง 123/4-5 ถ.แจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง หลักสี่ กรุงเทพมหานคร 10210

โทร 0-2573-6866, 09-2671-1414

เปิดบริการ 09.30-18.00 น. จันทร์-เสาร์-

หยุด อาทิตย์

แนะนำ ห่านพะโล้ เป็ดพะโล้ ผัดผักบุ้งไฟแดง ผัดคะน้าหมูกรอบ ต้มมะระซี่โครงหมู ต้มผักเสฉวนซี่โครงหมู ต้มดอกไม้จีนซี่โครงหมู ต้มหัวไชเท้าซี่โครงหมู เป็ดตุ๋นฟักมะนาวดอง

เครื่องใน ไส้
ต้มดอกไม้จีนซี่โครงหมู

ที่มา : มติชน

ผัดไทยแคบหมู

สําหรับคนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานประจำในกรุงเทพฯ ไม่มีอะไรดีไปกว่าได้เดินทางกลับบ้าน รถติดก็ต้องยอม เพราะกว่าจะหาเวลาพร้อมหน้าพร้อมตาญาติสนิทมิตรสหายก็ไม่ง่ายนัก

กลับบ้านที่จังหวัดเพชรบูรณ์รอบนี้ ตัดสินใจเลือกไปสูดอากาศดีๆ ที่เขาค้อ 1 คืน ว่ากันว่า “นอนเขาค้อ 1 คืน อายุยืน 1 ปี” เท็จจริงยังไงต้องลองพิสูจน์กันค่ะ

ช่วงต้นปีนี้อาจจะแล้งหน่อย ต้นไม้ใบหญ้าสีไม่เขียวสดนัก แต่ถ้าพูดถึงบรรยากาศถือว่ายอดเยี่ยมเช่นเคย คือมีอากาศที่เย็นสบายทั้งวัน ให้ความรู้สึกว่าได้พักผ่อนจริงๆ

ด้วยความที่เป็นช่วงเทศกาลบนเขาคนจะแน่น ญาติผู้ใหญ่แนะนำว่าให้ลองมาสัมผัสธรรมชาติพักผ่อนกางเต็นท์ที่ “ภูตาลี่” แทน แม้ว่าจะขึ้นเขามาเพียงนิดเดียว แต่ด้วยความที่ทำเลหลังติดเขา มีลำห้วยน้ำชุนไหลผ่าน ทำให้อากาศของที่นี่ดีมากๆ ไม่แพ้บนยอดเขาเลย

“ภูตาลี่” เป็นทั้งร้านอาหาร ไร่สวนผสม มีพื้นที่ธรรมชาติสวยๆ เปิดให้นักท่องเที่ยวมากางเต็นท์พักผ่อน โดยเพิ่งจะเปิดให้บริการสดๆ ร้อนๆ เมื่อไม่ถึง 2 เดือนมา

เป็นการรวมตัวเฉพาะกิจ (แต่เอาจริง) ของบรรดาลุงป้าวัยเกษียณที่เกิดเบื่อหน่ายการอยู่กับบ้านเฉยๆ เลยลุกขึ้นมาถากถางที่ดินที่ “คุณตาลี่-วุฒิพงษ์ นำพา” (ที่มาของชื่อภู) ทิ้งมรดกไว้ให้ลูกๆ โดยมีเขย 3 คนเป็นหัวหอกในการบริหารจัดการ นำโดยเขยใหญ่ ครูกร-คุณากร ทับพมาน ข้าราชการเกษียณจากโรงเรียนหล่มสักวิทยาคม มาดูแลร้านอาหาร เขยรอง พ.ต.อ.ประกอบ ศิริภาพ ดูแลไร่สวนผสม และเขยเล็ก คุณป๋อง-สมพงษ์ รักอิสสระ ดูแลผลผลิตจากไร่สวนผสมมาจำหน่าย

ครูคุณากร ในวัย 68 ปี บอกเล่าด้วยสีหน้าที่สดชื่นว่า ภูตาลี่ คือ ที่ดินที่พ่อตาทิ้งไว้ให้ ลูกเขยทั้ง 3 คนเลยตัดสินใจมาช่วยกันพัฒนาพื้นที่ ทำทั้งไร่สวนผสม ร้านอาหาร และให้บริการที่พักกางเต็นท์

และด้วยความที่เป็นลูกคนโต ในอดีตครูกรจึงมีหน้าที่ดูแลน้อง ทำอาหารให้น้อง ทำไปทำมาก็ชอบการทำอาหารจนเข้าไปอยู่ในสายเลือด เมื่อหันมาจับตะหลิวจึงคล่องแคล่วไม่แพ้มืออาชีพ

“ที่จริงบ้านผมเริ่มจากการทำขนม ทำเบเกอรี่ แต่พอเราเป็นข้าราชการก็ไม่ค่อยได้ทำพวกนั้น แต่ยังทำอาหารทุกวัน พอเกษียณก็ไปเที่ยว เที่ยวไปเที่ยวมา เงินก็หมดร่อยหรอลง แล้วก็เบื่อเข้า อยู่กับบ้านนั่งส่องแต่เฟซ(บุ๊ก) แต่ไลน์ นิ้วจะล็อกอยู่แล้ว ก็เลยมาลองดูซิ หงายกระทะ หาตะหลิว มีเตา เราก็มาทดลองดู”

และที่เลือกขาย ผัดไทย เป็นเมนูซิกเนเจอร์เพราะเป็นอาหารจานเดียว ทำง่ายกินอร่อย โดยผัดไทยเป็นสูตรแบบชาวบ้าน สูตรดั้งเดิมของหล่มสัก แล้วเอามาปรับปรุง เช่น สูตรเดิมใส่น้ำส้ม แต่เราจะใส่น้ำมะขามเปียก และใช้น้ำตาลปี๊บผสมน้ำตาลทราย ให้ได้รสชาติที่นิ่มนวล ใส่เต้าเจี้ยว ไม่ใส่กระเทียม แต่จะใช้หอมเจียวแทน

สำหรับผัดไทยครูกร จะมีให้เลือก 4 แบบ ราคา 40-50 บาท คือ ผัดไทยหมู ผัดไทยแคบหมู ผัดไทยห่อไข่ และผัดไทยขี้เมา ที่ไม่ว่าแบบไหนก็เด็ดทุกจาน

ครูกร
ด้านหน้าร้านภูตาลี่
บรรยากาศโต๊ะอาหาร

จุดเด่น คือ เส้นนุ่ม ฟังเคล็ดลับบอกว่า อันดับแรกที่ลุงป้าวัยเกษียณต้องทำในตอนเช้าคือการลวกเส้นไว้ให้นิ่ม พรมน้ำมันกันเส้นติด (น้ำมันที่พรมเส้นจะใช้น้ำมันที่เจียวหอมแล้วเก็บไว้) จากนั้นแพคเป็นห่อแช่ตู้เย็นไว้ ส่วนหมูจะเป็นหมูหมักสูตร เมื่อหมักได้ที่แล้วจะรวนปรุงรสไว้เสร็จสรรพแบ่งเป็นแพคไว้เช่นกัน ส่วนแคบหมูใช้วิธีสั่งจากพรรคพวก รสชาติเค็มกำลังดี เนื้อสัมผัสทั้งกรอบและนุ่มในชิ้นเดียว

นอกจากนี้ ที่นี่ยังมี ข้าวซอยไก่ 50 บาท เป็นจานเด็ดด้วย นั่นเพราะพื้นเพของครูกรเป็นคนลำปาง แต่มาเป็นเขยหล่มสัก ดังนั้นข้าวซอยที่ภูตาลี่จึงเป็นสูตรลำปางแต้ๆ นะเจ้า

ใครที่อยากกินอาหารตามสั่งก็มีเช่นกัน ในราคาจานละ 40 บาทเท่านั้น ส่วนในช่วงเทศกาลปีใหม่จะมีเมนูพิเศษเพิ่มขึ้นด้วย คือ 3 ส. สเต๊ก สตู (ลิ้นวัว) และ สลัด ให้ได้ลิ้มลองกันด้วย

อีกอย่างที่อยากให้ลอง แม้จะไม่มีในเมนู แต่ออเดอร์ล่วงหน้าได้ คือ “ยำนัว” ที่เป็นสูตรยำแบบใส่น้ำปลาร้า เป็นยำที่ทั้งแซ่บทั้งนัว ออกหวานนิดๆ เป็นเมนูของร้าน “ยำนัวไทหล่ม” เจ้าของเป็นลูกหลานตาลี่นั่นเอง

มีบริการแคร่นั่งปิกนิคริมห้วยน้ำชุน พร้อมปลั๊กไฟ

คนที่มารับประทานอาหาร ถ้าไม่อยากนั่งที่ร้าน สามารถเลือกไปนั่งปิกนิกกันด้านล่างริมห้วยน้ำชุนก็ได้ มีบริการแคร่ไม้ไผ่อย่างดี แถมมีปลั๊กเสียบไฟด้วย ใครจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์สื่อสารไม่ต้องกังวลเลย

นอกจากร้านอาหาร ยังมีร้านขายต้นไม้ มีพื้นที่ให้บริการสำหรับกางเต็นท์ โดยต้องนำเต็นท์และเครื่องนอนมาเอง มีห้องอาบน้ำให้บริการเสร็จสรรพ คิดค่าบริการรวมอาหารเช้าด้วยอยู่ที่คนละ 150-200 บาท รับวันละไม่เกิน 40 คน

สำหรับคนที่รักธรรมชาติขอแนะนำค่ะ ไม่ต้องเดินทางไกล ไม่ต้องเข้าป่าลึก ไม่ต้องเดินให้เมื่อย ก็ได้สัมผัสกับบรรยากาศที่สดชื่น ธรรมชาติยังมีความสด มีห้วยน้ำชุนที่ใสสะอาดไหลทั้งปี น้ำเย็นสบาย ในจุดที่เป็นวังน้ำยังไปนอนแช่ได้ให้ความรู้สึกว่าอยู่ในอ่างจากุชชี่อย่างไรอย่างนั้น
พิกัดของร้าน ภูตาลี่ ใครไม่เคยมาอาจจะรู้สึกเข้ายากหน่อย เพราะส่วนของร้านอาหารตั้งอยู่บนโค้งตัวเอส วิ่งจากอำเภอหล่มสักไปตามถนนหมายเลข 12 ทางขึ้นเขาค้อ เลาะเขาไปยังไม่ไกลมาก ให้สังเกตขวามือจะเห็นป้ายร้านภูตาลี่ แต่อย่าเพิ่งเลี้ยวทันที เพราะเป็นโค้งตัวเอสเลี้ยวยาก ให้เลยขึ้นไปอีกหน่อย หาจังหวะดีๆ เพื่อชิดขวา ดูรถฝั่งตรงข้ามให้ดีแล้วค่อยวกรถกลับมา

ที่นี่เหมาะมากสำหรับกลุ่มเพื่อน หรือ ครอบครัวที่อยากพาลูกหลานมาลองกางเต็นท์ ให้เรียนรู้สัมผัสธรรมชาติในราคาที่ประหยัดมากๆ แต่บรรยากาศที่ได้เกินคุ้มค่ะ

ภูตาลี่เปิดทุกวัน ปิดเฉพาะวันจันทร์ ตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้า ถึงประมาณบ่าย 3 โมงเย็นอาหารก็ใกล้หมดแล้ว สนใจสอบถามโทร 09-1026-9663 หรือ เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่เฟซบุ๊ก ไร่ภูตาลี่ เขาค้อ เพชรบูรณ์

เทาหรือสาหร่ายน้ำจืด ขึ้นตามห้วยน้ำขุน เป็นพื้นที่พบในแหล่งน้ำไหลและสะอาด
เฝอเนื้อหม้อไฟ

ร้านเวียดนามส่วนใหญ่นั้นเน้นเฉพาะเมนูยอดนิยมคล้ายๆ กัน และไม่ได้เน้นการตกแต่งร้านสักเท่าไหร่ แต่มีอยู่เจ้าหนึ่งที่จะขอทบทวนใหม่อีกครั้ง เป็นร้านอาหารเวียดนามน่านั่ง ตกแต่งแนวโมเดิร์นกรีนเฮาส์ มีมุมเทอเรซด้านนอก ให้ความรู้สึกผ่อนคลายในบรรยากาศสวนในบ้าน สดใสสไตล์โอเรียนทัล

ข้อสำคัญคือที่นี่มีเมนูอร่อยหลายอย่างซึ่งแปลกแตกต่างกว่าร้านเวียดนามทั่วไป ตั้งชื่อเก๋ไก๋ว่า โซลเวียด (Zoulviet) คำว่า โซล (Zoul) นั้นแผลงมาจาก Soul แปลว่าจิตวิญญาณ มาผสมกับคำว่า เวียด (Viet) บ่งบอกให้ทราบเป็นนัย ร้านนี้เวียดนามแท้ๆ เป็นชีวิตจิตใจนะ

แต่เดิมนั้นเกือบ 6 ปีก่อน โซลเวียดเปิดร้านอยู่ที่ย่านทองหล่อ สุขุมวิท เจ้าของร้านคือบรรดาหนุ่มสาวไฟแรง มีน้องฐา น้องเอ๋ และน้องปุ้มซึ่งมีคุณแม่เชื้อสายเวียดนามเป็นผู้ดูแลว่าการเรื่องอาหารให้ ปิ่นโตเถาเล็กได้ไปชิมรู้สึกประทับใจจนกลายเป็นขาประจำตั้งแต่เริ่มแรก

โซลเวียดได้ย้ายมาอยู่ที่ใหม่ใน ซอยพหลโยธิน 9 ใกล้กับย่านอารีย์ ได้ 2 ปีแล้ว จากถนนพหลโยธินเลี้ยวซ้ายเข้าซอยมาเพียง 150 เมตร อยู่ทางขวามือ จอดรถด้านในได้เกือบ 30 คัน และตอนกลางคืนยังจอดริมซอยด้านนอกได้ด้วย ร้านนี้จุคนทั้งข้างในและข้างนอกได้ 60 กว่าคน

เมนูแซ่บๆ รสจัดถึงใจที่ห้ามพลาด หากินในร้านเวียดนามอื่นๆ ได้ยากก็คือ ปูไข่ดอง (640 บาท+ค่าบริการ 10%) ใช้ปูทะเล ปูไข่สดๆ ที่ไปคัดเองจากตลาดวงเวียนใหญ่ แล้วนำมาล้างโซดา ดองด้วยน้ำปลา 15-20 นาที จากนั้นนำไปแช่ช่องแข็ง เวลาใครสั่งเมนูนี้ ก็จะปรุงน้ำยำสดๆ ใส่กระเทียม มะนาว พริก และใช้ซีอิ๊วขาวแทนน้ำปลา มาราดบนตัวปู ซึ่งจะเสิร์ฟแบบเย็นจัดมีน้ำแข็งเกาะ รสชาติจี๊ดจ๊าดแต่กลมกล่อม กินแล้วสดชื่นทันตาเห็น ควรกินตอนเย็นจัดๆ ทันที

ที่ห้ามพลาดอีกอย่างคือเฝอ นอกจากจะขายเฝอเป็นชามๆ แล้ว ที่นี่ยังมีของดี เฝอเนื้อหม้อไฟ (380 บาท+) เสิร์ฟมาเป็นชุดอลังการมาก คือมีทั้งหม้อไฟใส่น้ำซุปหอมหวานทำจากกระดูกวัวเคี่ยว ใส่ลูกชิ้นเนื้อ ต้นหอมสับและหอมหัวใหญ่ จุดไฟอุ่นร้อนตลอดเวลา และยังมีทาวเวอร์ 2 ชั้น จานด้านบนใส่เนื้อโคขุนส่วนหัวไหล่แล่มาเป็นแผ่นโตๆ สำหรับให้จุ่มลงในน้ำซุปหม้อไฟ เลือกสุกมากสุกน้อยได้ตามใจตัวเอง มีเส้นเล็กลวกคลุกน้ำมันกระเทียมเจียวแยกมาให้ด้วย ส่วนจานชั้นล่างมีผักสดสารพัดให้ลวกทั้งผักกาดหอม ผักชีฝรั่ง ถั่วงอก สะระแหน่ โหระพา ผักแพวที่มีกลิ่นรสเป็นเอกลักษณ์ ส่วนน้ำจิ้มเฝอนั้น มีทั้งน้ำจิ้มกะปิและน้ำจิ้มแจ่ว ชุดนี้กิน 2 คนได้สบายๆ ถ้าไม่จุใจสามารถสั่งเนื้อ สั่งลูกชิ้นเพิ่มได้ด้วย ใครไม่กินเนื้อ ก็มี เฝอหมูหม้อไฟ (280 บาท+) ใช้เนื้อหมูส่วนสันคอซึ่งนุ่มหอมไม่แพ้กัน ขอแนะนำว่าคนกินเนื้อ ให้สั่งหมูมาเพิ่มอีกจานคู่กัน

อีกเมนูใหม่สุดโปรดสไตล์เวียดนามปนจีนปนญี่ปุ่น ปลากะพงนึ่งซีอิ๊ว (260 บาท+) ใช้ปลากะพงชิ้นโตๆ หนาๆ ตรงส่วนกลางตัว นำไปนึ่ง 12-15 นาที โรยด้วยต้นหอม ขิงซอย พริกชี้ฟ้าซอย จากนั้นราดด้วยน้ำมันร้อนๆ ที่ปรุงด้วยโชยุหรือซีอิ๊วญี่ปุ่นสูตรไลต์ (Light) กับน้ำมันคาโนลาลงไปบนชิ้นปลา น้ำราดจะหอมเข้มข้นจนเอาไปคลุกข้าวกินได้เลย

ปูไข่ดอง (ปูทะเล)
ปากหม้อไข่ตอก
กุ้งพันอ้อย

มีเมนูกินเล่นกินจริงตัวใหม่ กุ้งเล็กพริกเกลือ (180 บาท+) กุ้งแชบ๊วยตัวเล็กทอดกรอบคลุกเคล้ากับพริก กระเทียมที่คั่วจนกรอบ ปรุงรสด้วยซีอิ๊ว ได้รสหอมๆ ของพริกกระเทียมสะใจ

ต่อด้วยอาหารจานเดียวที่ชอบสั่งประจำ ข้าวหน้าเนื้อย่าง ไข่ดาว เปาะเปี๊ยะทอด (320 บาท+) ถ้าไม่กินเนื้อก็มี ข้าวหน้าคอหมูย่าง (180 บาท+) เนื้อนุ่มหอมอร่อยมีรสหวานนิดๆ หมักด้วยรากผักชี กระเทียม พริกไทย น้ำตาลโตนด น้ำมันหอย แกล้มกับไข่ดาว และเปาะเปี๊ยะทอดเวียดนาม (วิธีกินคือให้ห่อเปาะเปี๊ยะด้วยผักสด)

ถ้ายังติดใจรสแซ่บๆ อยู่ ให้สั่ง ยำสลัดโซลเวียดหมูย่าง (240+) จานนี้น้ำยำคล้ายน้ำจิ้มซีฟู้ด ปรุงด้วยน้ำปลา โปะหน้าด้วยคอหมูย่างติดมัน กินกับไข่ต้ม มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ แตงกวา ผักสลัดกรีนโอ๊ค ต้นหอม

อาหารเวียดนามเมนูคุ้นเคยมีครบถ้วน ต้องลอง ขนมเบื้องญวน (240+) ให้กินตอนร้อนๆ แป้งถึงจะกรอบได้ใจ ไส้หมูสับกับเห็ดหูหนู ผัดกับกุ้งและถั่วงอก จิ้มกับน้ำจิ้มเปาะเปี๊ยะสดที่ใส่ถั่วลิสงบดเพิ่มลงไป

ขนมเบื้องญวน

บั๋นหอย (220 บาท+) เส้นหมี่กับหมูสามชั้นย่าง หมูสามชั้นติดหนังกรุบๆ หมักกับน้ำตาลปี๊บ ตะไคร้ และรากผักชี กระเทียม พริกไทย ย่างจนหอม กินคู่กับเส้นหมี่เป็นแพบางๆ จากเวียดนาม จิ้มได้ทั้งน้ำจิ้มหัวไชเท้าและน้ำจิ้มปลาร้าเวียดนามหอมๆ

เปาะเปี๊ยะสดโซลเวียด (180 บาท+) เด่นตรงที่ใช้กุ้งแชบ๊วยของดี ห่อกับหมูยอ และผักกาดหอม สะระแหน่ ผักชีฝรั่ง ผักชีไทย แครอต แตงกวา โรยหน้าด้วยไข่ปลาบิน (ที่เราชอบเรียกกันว่าไข่กุ้ง)

กุ้งพันอ้อย (240+) ใช้กุ้งแชบ๊วยล้วน ไม่ผสมแป้ง เนื้อจึงไม่ได้แน่นมาก จิ้มกับน้ำจิ้มใส่แครอตและหัวไชเท้า แกล้มด้วยเส้นหมี่

ส่วนหมูยอต้องสั่ง หมูยอแก้ว (60 บาท+) หน้าตาอาจจะไม่สวยแต่รับรองกินอร่อย ผสมหูหมูกรุบๆ จิ้มกับน้ำจิ้มเกลือ พริกไทย มะนาว ชูรสหมูยอให้โดดเด่น

ข้าวเกรียบปากหม้อไข่ตอก (180 บาท+) เนื้อแป้งข้าวเจ้าผสมแป้งเท้ายายม่อมและแป้งมัน เนื้อใสหนึบเนียนอร่อย ไส้หมูสับกับเห็ดหูหนู มีไข่ดาวเพิ่มความหอมมัน

แหนมเนือง (260 บาท+) ทำจากเนื้อหมูล้วน มีแป้งห่อสลับเป็นชั้นๆ กับผักสดมาให้เสร็จสรรพ ทีเด็ดอยู่ที่น้ำจิ้มรสเข้มคล้ายน้ำพริกเผาแต่หอมน้ำมะขามรสเข้มข้น ใส่หอมแดง พริกเจียว กระเทียมเจียว ปรุงรสด้วยน้ำมะขาม น้ำตาล น้ำปลา

ยำไก่ฉีกเวียดนาม (160 บาท+) ใส่ไก่ต้มฉีกเป็นชิ้นๆ ยำกับพริกกะเหรี่ยง หอมแดง ผักชี ฝรั่ง ต้นหอม และผักแพวซึ่งให้กลิ่นรสหอมเฉพาะตัว

อย่าลืมเก็บท้องไว้ให้กับของหวานอลังการ ไอศกรีมมะพร้าวทรงเครื่อง (120 บาท+) ไอศกรีมกะทิมะพร้าวอ่อนหอมมันไม่หวานจนเกินไป มีพวงใส่เครื่องต่างๆ หมุนเวียนเปลี่ยนไป มาให้ถึง 8 ชนิด ตักเท่าไหร่ก็ได้ วันนั้นมีข้าวโพด เฉาก๊วย ลูกชิด (บางวันก็มีลูกตาล) ถั่วลิสงคั่ว แปะก๊วย มันเชื่อม วุ้นมะพร้าว เม็ดมะม่วงหิมพานต์

นี่คือร้านเวียดนามซึ่งมีเมนูพิเศษอร่อยๆ หลากหลาย อีกทั้งตกแต่งให้มีบรรยากาศน่านั่ง แถมวันศุกร์มีดนตรีสดมาขับกล่อมเพิ่มความเพลิดเพลิน ตั้งแต่ช่วงค่ำไปจนถึงเวลาร้านปิด โทรสอบถามและจองโต๊ะได้ที่ 0-2077-7214

โซลเวียด (Zoulviet)

โดย คุณกรกมล (ปุ้ม) จันทร์แก้วและเพื่อนๆ

ที่ตั้ง 6 ซอยพหลโยธิน 9 ถนนพหลโยธิน สามเสนใน พญาไท กรุงเทพฯ 10400

โทร 0-2077-7214

เปิดบริการ อังคาร-ศุกร์ 11.30-14.30 น. และ 17.00-23.00 น. เสาร์-อาทิตย์ 11.30-23.00 น. (ครัวปิด 22.00 น.)

หยุด วันจันทร์ และเทศกาลปีใหม่ สงกรานต์

แนะนำ ปูไข่ดอง เฝอเนื้อ (และหมู) หม้อไฟ ปลากะพงนึ่งซีอิ๊ว กุ้งเล็กพริกเกลือ หมูยอแก้ว ข้าวหน้าเนื้อย่าง ไข่ดาว เปาะเปี๊ยะทอด ยำสลัดโซลเวียดหมูย่าง ขนมเบื้องญวน บั๋นหอย เปาะเปี๊ยะสดโซลเวียด กุ้งพันอ้อย ข้าวเกรียบปากหม้อไข่ตอก แหนมเนือง ยำไก่ฉีกเวียดนามไอศกรีมมะพร้าวทรงเครื่อง

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
ข้าวหน้าเนื้อไข่ดาว เปาะเปี๊ยะทอด
บั๋นหอย
ปลากะพงนึ่งซีอิ๊ว
ยำสลัดโซลเวียดหมูย่าง
หมูยอแก้ว
แหนมเนือง
เฝอหมูหม้อไฟ