ดูแลผิวสวยง่ายๆ ด้วยมะเขือเทศ

Tips & Tricks สารพันเกร็ดน่ารู้

ช่วงนี้ นอกจากจะต้องทนกับสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวแล้ว ยังจะต้องต่อสู้กับแสงแดดที่เป็นตัวการทำให้ผิวคล้ำเสียได้ง่าย สาวๆ อย่ารอช้า มีคำแนะนำสำหรับการดูแลผิวด้วยมะเขือเทศมาบอกกัน

1. ชะลอริ้วรอยแห่งวัย สาวๆ หลายคนคงไม่อยากให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า จึงพยายามหาสารพัดวิธีมาลดริ้วรอย โดยเริ่มจากนำมะเขือเทศมาปลอกเปลือกออกแล้วนำเนื้อมะเขือเทศมามาสก์หน้า ทิ้งไว้จนแห้ง แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

2. รักษาสิว วิธีง่าย แสนง่าย เพียงแค่นำมะเขือเทศมาฝานเป็นแว่นๆ แล้วมาถูบนใบหน้าต่อเนื่องประมาณ 10 นาที จึงค่อยล้างออกด้วยน้ำเย็น

3. ช่วยให้หน้าดูสดใส นำมะเขือเทศมาปั่นผสมกับโยเกิร์ตจนละเอียด แล้วนำมามาสก์หน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที วิธีนี้เหมาะมากสำหรับหน้าร้อนที่ผิวได้รับมลพิษจากฝุ่นควันต่างๆ และแสงแดด

4. ลดความมันบนใบหน้า เพียงแค่นำมะเขือเทศมาผสมรวมกันกับน้ำแตงกวา แล้วนำสำลีมาชุบถูให้ทั่วใบหน้า ซึ่งจะช่วยกระชับรูขุมขนอีกด้วยนะ

5. ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส วิธีนี้เป็นวิธีที่สาวๆ ส่วนใหญ่นิยมมาก เพียงแค่ดื่มน้ำมะเขือเทศทุกวันเท่านั้นเอง เพราะในมะเขือเทศมีไลโคปีนและวิตามินอื่นๆ นอกจากจะช่วยบำรุงให้มีสุขภาพดีแล้วยังช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วยนะ

สาวๆ คนไหนที่อยากฟื้นฟูผิวแนะนำให้ลองทำตามวิธีเหล่านี้ดู ที่สำคัญมะเขือเทศเป็นวัตถุดิบที่ใกล้ตัวและประโยชน์เพียบ และหากชื่นชอบการบำรุงผิวหน้า ต้องไม่พลาดการนำโยเกิร์ตมามาสก์หน้า เพราะโยเกิร์ตช่วยทำให้หน้าดูเนียนนุ่ม ของแบบนี้ไม่ลองไม่รู้นะ

ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

ชื่อสามัญ : Tomato, Love apple, หมากเขือ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lycopersicon esculentum

วงศ์ : Solanaceae

เมื่อดูจากวงศ์แล้วจะเห็นว่า มะเขือเทศนั้น เป็นพี่น้องคลานตามกันมากับ ยาสูบ แต่มะเขือเทศนิสัยดีกว่าเยอะ อุดมด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย เป็นแหล่งรวมแร่ธาตุและวิตามิน ไม่ทำร้ายสุขภาพร่างกายเหมือนเจ้ายาสูบ มะเขือเทศมีแหล่งกำเนิดจากเปรู กับเอกวาดอร์ จัดเป็นไม้ประเภทล้มลุกฤดูกาลเดียว หรือฝรั่งเรียกว่าพวก annual plants เนื่องจากมีวงจรอายุสั้นๆ ไม่ยืนยาว

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ ชนิดล้มลุกกึ่งเลื้อยกึ่งต้น ลำต้นอ่อนอวบน้ำ มีขนอ่อนๆ คลุม ใบเดี่ยวเรียงสลับขอบใบเป็นจักๆ เว้าลึก ดอกมีขนาดเล็กๆ สีเหลืองสด ออกตามซอกใบ ผลทรงกลม หรือรีๆ เมื่ออ่อนจะมีสีเขียว พอแก่ก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้ม แดง ผลอวบน้ำภายในมีเมล็ดเล็กๆ มากมาย

สรรพคุณทางอาหารและยา : ในมะเขือเทศ 1 ลูก จะประกอบไปด้วย สารอาหารที่เป็นประโยชน์มากมาย มีเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี มีกรดมาลิกทำให้มีรสเปรี้ยว มีกลูตามิกแอซิด (Glutamic acid) ซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่มีในผงชูรส จึงเป็นแนวคิดที่อาจทำให้นำมาปรุงแต่งรสชาติอาหารได้หลายชนิด และยังมีวิตามินซี หรือ ซิทริน (citrin) ที่มีสรรพคุณในการป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด ช่วยขับปัสสาวะ ลดความดัน ช่วยระบบย่อยอาหาร ระบายท้องกับลำไส้ได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้แล้ว มะเขือเทศ ยังมีสารไลโคปีน (lycopene) เป็นตัวแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือตัวช่วยล้างพิษอีกด้วย และจากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยโตรอนโต้ในประเทศแคนาดา ยังเผยถึงความมหัศจรรย์ยิ่งของน้ำมะเขือเทศ ว่าสามารถบำรุงเสริมสร้างกระดูก และป้องกันโรคกระดูกพรุนได้เป็นเลิศ

ในด้านความงามก็ไม่เบา มะเขือเทศสุก นำมาหั่นเป็นแว่นๆ แปะหน้า แปะแก้ม จะช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ เพิ่มความชุ่มชื้น ลดความมันให้ผิวหน้าคุณสาวๆ ได้อีกแน่ะ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ต้องดูกาลเทศะให้ดี ให้เหมาะสมด้วยนะ ไม่ใช่พ่อตัวดีอยู่บ้าน จะกะหนุงกะหนิงซะหน่อย เราดันหั่นมะเขือ แตงกวา บัวบก หรืออะไรก็แล้วแต่ มาโบ๊ะหน้าจนดูคล้ายปีศาจผักละก็ ตัวใครตัวมัน หลบกันเอาเองครับ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือนไม่ได้นะ เราเตือนท่านแล้วเดี๋ยวรอยตีนกาจะหายไป แต่ได้รอยเท้าอย่างอื่นมาแทน

มะเขือเทศนั้น สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายอย่าง เช่น ผัดผักรวม ผัดเปรี้ยวหวาน ข้าวผัด ส้มตำ ต้มยำสารพัด หรือกินเล่นสดๆ ได้ยิ่งดี หรือจะคั้นน้ำดื่มสดๆ ก็อร่อยไปอีกแบบหนึ่ง

วิธีการปลูก นำเมล็ดมาเพาะในกระบะ โดยกรีดร่อง หรือเจาะเป็นหลุมเล็กๆ ลึกประมาณ 1 นิ้ว หยอดเมล็ดลงไป หลุมละ 2-3 เมล็ด กลบดินพอหลวมๆ โรยฟางทับหน้า รดน้ำให้ชุ่ม รอสัก 1 สัปดาห์ ต้นอ่อนมะเขือเทศก็จะงอกขึ้นมา เราก็เลือกต้นที่แข็งแรง แยกไปปลูกในกระถาง กระถางละ 1 ต้น ง่ายๆ เองครับ ถ้าจะให้ดีก็เหลาไม้ไผ่มาปักประคองลำต้นไว้สักนิดเวลาติดลูก เพราะหากมีจำนวนหลายลูกลำต้นต้องรับน้ำหนักมาก

สูตรผสมดินปลูกก็เหมือนพืชผักธรรมดาทั่วไป ดินร่วน 2 ส่วน ปุ๋ยคอก 1 ส่วน แกลบดิบหรือขุยมะพร้าว 1 ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากันดี ใช้ได้เลยครับ เล่นง่ายๆ เอง

ที่มา : เทคโนโลยีชาวบ้านออนไลน์

รศ.รัชนี คงคาฉุยฉาย ผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงประโยชน์ของมะเขือเทศ ว่า มะเขือเทศ 1 ถ้วยตวง มีน้ำค่อนข้างมาก คือประมาณ 124 กรัม ให้แบต้าแคโรทีนพอควร และมีลูทีนอยู่บ้าง ให้วิตามินซีพอควรประมาณร้อยละ 26 ใยอาหารร้อยละ 3 โพแทสเซียมร้อยละ 6 ทองแดงร้อยละ 5 ฟอสฟอรัสร้อยละ 4 และแมกนีเซียมร้อยละ 3 ของปริมาณที่แนะนำให้บริโภคใน 1 วันตามลำดับ มีแคลเซียมเล็กน้อย มีเหล็กและโซเดียมน้อยมาก มีสารต้านอนุมูลอิสระคือโพลีฟีนอลและประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระอยู่บ้าง

รศ.รัชนี กล่าวต่อว่า หากดื่มน้ำมะเขือเทศกล่อง อาจจะได้สารอาหารที่ควรจะได้น้อย สารอาหารส่วนใหญ่อาจจะได้เป็นน้ำตาลมากกว่า เพราะเชื่อว่าน้ำมะเขือเทศกล่องนั้นไม่ได้คั้นสด อาจจะทำโดยการนำผงมาละลาย แล้วก็ผสมน้ำตาลลงไปทำให้ได้ประโยชน์ของมะเขือเทศน้อย แต่ถ้ารับประทานเป็นซอสมะเขือเทศก็จะได้สารไลโคปินสูง ด้วยวิธีการทำซอส ซึ่งสารไลโคปินที่ว่านี้ก็จะสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากของผู้ชายได้ แต่ปกติแล้วจะไม่รับประทานซอสมะเขือเทศเป็นจำนวนมากอยู่แล้วเพราะมีรสเค็ม ถ้ารับประทานเป็นมะเขือเทศสด มีวิตามินซี แคโรทีนอย สารตัวนี้จะทำให้ผิวดีขึ้นได้จริง ผิวจะใสขึ้น เช่นที่วัยรุ่นนิยมทานเพื่อให้ผิวสวย แต่ต้อง

ทานติดต่อกันสักระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งเมื่อหยุดทานไม่นานสัก 1 หรือ 2 อาทิตย์ ผิวก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ดังนั้นหากให้แนะนำก็ควรทานเป็นมะเขือเทศสด มากกว่าการกินเป็นน้ำมะเขือเทศเพราะจะได้สารอาหารเยอะกว่า ถ้าดื่มเป็นน้ำมะเขือติดต่อกันเป็นระยะเวลานานด้วยน้ำตาลของมันอาจจำให้เกิดโรคอ้วนได้

“แต่ทางที่ดีนั้นหากต้องการผิวมีสุขภาพผิวที่ดีให้กินผักผลไม้ที่หลากหลาย กินผักผลไม้ครบ 5 สี ในทุกๆวันจะช่วยให้มีสุขภาพผิวที่ดีได้ถาวรกว่า ส่วนใครที่กินแต่มะเขือเทอศเพียงอย่างเดียวเป็นวันละกิโลกรัมเพื่อเร่งให้ผิวสวยขึ้นภายใน 1-2 เดือน นอกจากอาจจะทำให้ขาดสารอาหารอย่างอื่นแล้ว ในกรณีหากมะเขือเทศสดมีสารยาฆ่าแมลงปนเปื้อนอยู่ แม้จะล้างแล้วก็อาจมียาฆ่าแมลงตกค้าง เมื่อกินติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจะทำให้มีสารตกค้างสะสมในร่างกายและเป็นอันตรายต่อไปในอนาคตได้ อีกกรณีคือที่มีการแจ้งเตือนข้อมูลในอินเตอร์เน็ตว่าการกินน้ำมะเขือเทศติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เกิดโรคไตนั้นไม่เป็นความจริง ถือว่าเป็นข้อมูลที่ผิด เพราะมะเขือเทศจะไม่ก่อนให้เกิดโรคไต แต่คนที่เป็นนั้นอาจจะเป็นคนที่มีนิสัยการกินที่กินเค็มอยู่แล้ว มีภาวะไตเสื่อมมาก่อนหน้าอยู่แล้ว’’ รศ.รัชนี กล่าว

ที่มา : มติชนออนไลน์

เดี๋ยวนี้เทรนด์ดูแลรูปร่างตัวองกำลังมาแรง หลายคนใช้วิธีการนับแคลอรี่ในการควบคุมน้ำหนัก จนหลายครั้งก็กังวลว่าอันนั้นก็กินเยอะไม่ได้ อันนี้ก็กินมากไม่ดี ชีวิตเป็นอันไม่มีความสุข

ดร.ลิซ่า ยัง นักโภชนาการ ระบุว่า มีอาหารอยู่ 2 ชนิดที่กินแล้วไม่ต้องมากังวลเรื่องน้ำหนัก คือ ผลไม้ไร้แป้ง และพืชผัก เพราะเต็มไปด้วยน้ำ, แคลอรี่ต่ำ และประกอบด้วยไฟเบอร์ซึ่งช่วยให้เรารู้สึกอิ่ม

ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผลไม้กับผักก็เหมือนกับอาหารอย่างอื่นตรงที่หากกินมากเกินไปก็ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ แต่ก็ไม่ใช่กับผักผลไม้ทุกชนิด ลองมาดูกันว่าผักผลไม้ 14 อย่างที่กินไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนักมีอะไรบ้าง

1.ผักชีฝรั่ง

กว่า 95% ของผักชีฝรั่งเป็นน้ำ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผักชนิดนี้ไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยผักชีฝรั่งนั้นประกอบด้วยโพแเซียม, โฟเลต, ไฟเบอร์ และสารอาหารที่เราต้องการในชีวิตประจำวันอย่างวิตามินเค แถมยังมีแคลอรี่ต่ำ

การกินผักชีฝรั่งควรกินตอนยังสดใหม่ เพราะผักชนิดนี้จะเริ่มสูญเสียสารต้านอนุมูลอิสระภายใน 5-7 วัน นับจากวันที่ซื้อมา

2.ผักเคล

ผักเคลเป็นผักที่มีแคลอรี่ต่ำ โดยผักเคลดิบ 1 ถ้วยให้พลังงานพียง 33 แคลอรี่เท่านั้น แถมยังเป็นหนึ่งในอาหารไม่กี่ชนิดที่ประกอบด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งคนส่วนใหญ่รับจากปลา นอกจากนี้ ผักเคลยังเป็นผักที่มีวิตามินและโฟเลตสูงเหมือนกับผักกาดหอมชนิดอื่นๆ

3.บลูเบอร์รี่

บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีชื่อเสียงในเรื่องสารต้านอนุมูลอิสระ เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ แถมบลูเบอร์รี่ 1 ถ้วยยังมีแคลอรี่ราว 85 แคลอรี่เท่านั้น

4.แตงกวา

แตงกวาเป็นผักที่ประกอบด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่ โดยให้พลังงานแค่ 16 แคลอรี่/จำนวนบริโภคเท่านั้น เมล็ดและเปลือกมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ดังนั้นวิธีการกินแตงกวาที่ดีที่สุดก็คือไม่ต้องปอกเปลือกนั่นเอง นอกจากนี้ เปลือกและเมล็ดยังให้ทั้งไฟเบอร์และวิตามินเอ ซึ่งดีต่อสายตา

5.มะเขือเทศ

 

อย่างที่รู้กันดีว่ามะเขือเทศประกอบด้วยไลโคปีน, แคโรทีนอยด์ ซึ่งมีส่วนช่วยต่อสู้กับโรคเรื้อรัง และยังทำให้มะเขือเทศมีสีแดง นอกจากนี้ มะเขือเทศยังมีวิตามินเอ, ซี และบี 2 สูง รวมไปถึงมีโฟเลต, โครเมียม, โพแสเซียม และไฟเบอร์ด้วย

โดยมะเขือเทศลูกขนาดกลางให้พลังงานราว 25 แคลอรี่เท่านั้น

6.เกรปฟรุต

งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าการเพิ่มเกรปฟรุตเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมื้ออาหารทำให้น้ำหนักลดลงได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอาหารเสริมลดน้ำหนักถึงมีเกรปฟรุต โดยเกรปฟรุตประกอบด้วยไฟเบอร์สูง นอกจากนี้ยังช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้เรารู้สึกอิ่มนานขึ้น โดยเกรปฟรุตครึ่งลูกให้พลังงานเพียง 50 แคลอรี่เท่านั้น

เกรปฟรุตยังมีวิตามินซี และมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอล และช่วยย่อย นอกจากนี้ยังมีโฟเลตอีกด้วย

7.บร็อคโคลี

บร็อคโคลีมีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุดเมื่อกินแบบดิบๆ หรือนำไปนึ่ง โดยบร็อคโคลีเป็นผักที่ประกอบด้วยสารซัลโฟราเฟน ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็งที่ทำหน้าที่ทำลายสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็ง

นอกจากนี้ยังมีวิตามินเอ, ซี, อี และเค โดยบร็อคโคลีนึ่ง 1 จำนวนบริโภค ประกอบด้วยไฟเบอร์ราว 20% ของไฟเบอร์ที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน และยังให้พลังงานเพียง 31 แคลอรีเท่านั้น

8.แคนตาลูป

แคนตาลูปเป็นผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีนมากกว่าส้ม, เกรปฟรุต, พีช และมะม่วง โดยแคนตาลูปแค่ 1 ถ้วย มีโพแทสเซียมมากกว่า 100% ของจำนวนที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน นอกจากนี้ยงมีวิตามินเอและวิตามินซีด้วย

แคนตาลูปยังมีน้ำมากถึง 90% โดยในหนึ่งหน่วยบริโภคให้พลังงานเพียง 55 แคลอรี่เท่านั้น

9.กะหล่ำดอก

ถึงแม้จะมีดอกสีขาวแต่ก็เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและไฟโตเคมิคอล ซึ่งช่วยต่อสู้โรคเรื้อรัง นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งโฟเลต, ไฟเบอร์ วิตามินเคและซีชั้นเยี่ยม

โดยใน 1 จำนวนบริโภคให้พลังงานเพียง 25 แคลอรี่เท่านั้น

10.แบล็คเบอร์รี่

แบล็คเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์เหมือนผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ชนิดอื่นๆ คือ อุดมไปด้วยวิตามินซี และมีสารค้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่าไบโอฟาโวนอยด์

การกินแบล็คเบอร์รี่ยังมีส่วนในการช่วยย่อย ช่วยให้ผิวพรรณกระชับ นำไปสู่การที่ผิวดูอ่อนเยาว์ โดยใน 1 จำนวนบริโภคให้พลังงานเพียง 62 แคลอรี่

11.ผักกาดหอม

ผักกาดหอมส่วนใหญ่จะให้พลังงานราว 10-20 แคลอรี่/1 จำนวนบริโภค และถึงแม้จะเป็นผักที่ไม่ได้มีโปรตีนสูง แต่อุดมไปด้วยวิตามิและแร่ธาตุ เช่น โฟเลต, เหล็ก, วิตามินเอและซี

12.ส้ม

คนส่วนใหญ่รู้อยู่แล้วว่าส้มมีวิตามินซี แต่จริงๆ แล้วส้มยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีกมาก โดยวิตามินซีมีส่วนช่วยในขั้นตอนการผลิตคอลลาเจน ส้มจึงมีส่วนช่วยให้ผิวพรรณกลับมาดูดี นอกจากนี้ยงมีแคลอรี่ต่ำ โดยส้มขนาดกลางให้พลังงานราว 80 แคลอรี่

ที่สำคัญเวลากินส้มควรกินใยขาวๆ ของส้มด้วย เพราะเป็นส่วนท่ประกอบด้วยไฟเบอร์จำนวนมาก ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลและระดับน้ำตาลในเลือด

13.สตรอว์เบอร์รี่

สตรอว์เบอร์รี่ 1 จำนวนบริโภค ให้วิตามินซีมากกว่าส้มเสียอีก นอกจากนี้ สตรอว์เบอรี่ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่าโพลีฟีนอลอีกด้วย

สตรอว์เบอร์รี่ยังเป็นแหล่งโพแทสเซียมและไฟเบอร์ชั้นดี ไม่มีไขมัน, โซเดียม และคอเลสเตอรอล ทำให้เป็นผลไม้ที่ดีต่อหัวใจ โดยสตรอว์เบอร์รี่ 1 ถ้วยให้พลังงานราว 50 แคลอรี

14.เมล่อนผิวเรียบ

เมล่อนผิวเรียบ หรือ Honeydew melon หนึ่งจำนวนบริโภคให้พลังงานมากกว่าแคนตาลูปเล็กน้อย คือ 64 แคลอรี่ นอกจากนี้ เมล่อนผิวเรียบยังมีวิตามินซี ทองแดง ซึ่งดีต่อสุขภาพผิว

 

 

ที่มา www.thisisinsider.com

————————————————-

 

Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
         โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111