เด็ก Gen Z ยังรู้จักกันอยู่ไหม 'ว่าวไทย'คืออะไร?

พูดถึง‘ว่าวไทย’เด็กยุคใหม่ Gen Z  หรือเด็กยุค 2000 คงนั่งงงไปตามๆกัน ว่ามันคือเกมอะไร หรือการละเล่นอะไร เพราะไม่ใช่เกมMinecraft หรือ ROV ที่พวกเขารู้จักกันดีในปัจจุบัน

การละเล่น ‘ว่าวไทย’หายไปอย่างรวดเร็วในช่วง10-20ปี จนกลายเป็นตำนานไปเสียแล้ว

ล่าสุดถือเป็นข่าวดีที่ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จัดสอนการทำว่าวไทย ในรูปแบบ “โครงการบริการชุมชนและจิตอาสาฝึกอบรมวิชาชีพว่าวไทย” โดยเปิดสอนเป็นเวลา 3 วัน ระหว่างวันที่ 21-23 สิงหาคม 2562 ณ วิทยาลัยสารพัดช่างสี่พระยา ซึ่งได้ครูทำว่าวมือฉมัง ที่รู้จักกันในนาม “ซุปเปอร์เป็ด” หรือนายปริญญา สุขชิต อดีตนักเชียร์ชื่อดังของประเทศไทย และเป็นผู้สืบสานตำนานว่าวไทย

ดร.บุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า สอศ.ได้น้อมนำพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เกี่ยวกับการสืบสาน รักษา ต่อยอด สิ่งดี ๆ ที่มีอยู่ให้เกิดความยั่งยืนสืบไป จึงได้ประชุมหารือกับสถานศึกษาประเภทวิทยาลัยสารพัดช่างทั่วประเทศ ให้ดำเนินการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบการฝึกอบรมวิชาชีพระยะสั้น เพื่อให้ประชาชนที่เข้ารับการฝึกอบรมมีความรู้เกี่ยวกับความเป็นไทยในอดีต เช่น อาชีพ การละเล่น และกิจกรรมกีฬา อีกทั้งสามารถนำความรู้ที่ได้จากการอบรมไปประกอบอาชีพ หรือทำเป็นอาชีพเสริมได้

โดยวิทยาลัยสารพัดช่างสี่พระยา ได้จัดฝึกอบรมวิชาชีพว่าวไทยขึ้น ใช้เวลา 3 วัน เปิดรับสมัครให้นักเรียน นักศึกษา ครู และประชาชนทั่วไปที่สนใจได้เข้ามาอบรม เพื่อมุ่งหวังให้ผู้เข้ารับการอบรมเกิดความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเป็นของการละเล่น และชนิดของว่าวไทย รวมทั้งการพัฒนาอาชีพให้แก่ตนเองตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยได้รับความอนุเคราะห์จาก นายปริญญา สุขชิต หรือ “ซุปเปอร์เป็ด” อดีตนักเชียร์ชื่อดังของประเทศไทย และเป็นผู้สืบสานตำนานว่าวไทยมือฉมัง พร้อมทั้งนายพนัส เทียนศิริ หรือ “เม่น มหาชัย” ครูภูมิปัญญาด้านอนุรักษ์และสืบสานการละเล่นว่าวไทย เป็นผู้ให้การอบรมและสอนวิธีการทำว่าว ซึ่งวิทยาลัยสารพัดช่างสี่พระยา โดยนางยุพิน พิมศร ผู้อำนวยการวิทยาลัย ได้เปิดพื้นที่รับผู้เข้ารับการอบรมกว่า 50 คน ฝึกทำว่าวประเภทต่าง ๆ เริ่มจากการทำโครงว่าวด้วยไม่ไผ่ จนถึงขึ้นเป็นตัวว่าวพร้อมที่จะนำไปเล่น

ด้านนายปริญญา สุขชิต หรือ “ซุปเปอร์เป็ด” ได้กล่าวเสริมว่า นับวันการละเล่นว่าวไทยดูเหมือนจะเลือนหายไปจากความทรงจำของคนไทยแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะเป็นภูมิปัญญาและการละเล่นที่มีมาแต่สมัยโบราณ เมื่อเห็นว่าสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มีนโยบายที่จะสืบสานเรื่องว่าวไทย จึงได้อาสามารื้อฟื้นและให้ความรู้พร้อมทั้งชวนเพื่อนคือ “ครูเม่น มหาชัย” มาช่วยสอนด้วย พร้อมทั้งได้นำอุปกรณ์การทำว่าวต่าง ๆ ให้ผู้เข้ารับการอบรมได้ทดลองทำจริง ซึ่งผู้เรียนที่เป็นเด็กนักเรียนก็ได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินในขั้นตอนการทำว่าว ทั้งการวาดภาพตามจินตนาการลงบนว่าว การให้สี การทำว่าวงูหางยาว ว่าวนกฮูก ว่าวการ์ตูนญี่ปุ่น ผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่ก็เน้นการทำว่าวประเภทสวยงาม นำไปใช้ตกแต่งบ้าน ร้านอาหาร บางคนก็จะนำไปชักจริง ๆ เพื่อการแข่งขัน และความสนุกสนาน รู้สึกปลาบปลื้มที่หัตถกรรมว่าวไทยยังคงมีเสน่ห์ มีคนสืบสาน ซึ่งเป็นการสร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ศิลปวัฒธรรมที่ควรจะอยู่คู่กับชาวไทยตลอดไป

ดร.บุญรักษ์  ยอดเพชร
ดร.บุญรักษ์ ยอดเพชร
S__19365899-1024x682

เลขาธิการ กอศ. กล่าวปิดท้ายว่า การจัดอบรมวิชาชีพระยะสั้นของวิทยาลัยสารพัดช่างนั้น มีหลากหลายสาขา ซึ่งล้วนแล้วแต่สร้างงาน สร้างรายได้ที่ดีให้กับผู้เรียน นอกจากนี้วิทยาลัยสารพัดช่างยังเป็นแหล่งอนุรักษ์ความรู้ แหล่งบ่มเพาะ สืบสานอาชีพในตำนานต่าง ๆ ทั้งเรื่องอาหารคาว หวาน การทำช่อดอกไม้ ร้อยมาลัย ศิลปะการถักเชือก การวาดรูปลายไทย วาดรูปด้วยสีน้ำ การทำเครื่องหนังรูปแบบต่าง ๆ หากใครสนใจที่จะมีอาชีพใหม่ หรืออาชีพเสริม หรือแม้แต่ต้องการมีความรู้เพิ่มเติมได้เรียนรู้ในสิ่งที่ชอบ ที่ใจรัก ก็ให้มาสมัครเรียนได้ที่สถานศึกษาประเภทวิทยาลัยสารพัดช่างทั่วประเทศ

ขอบคุณข้อมูลจาก : เทคโนโลยีชาวบ้านออนไลน์

เสวนาเบื้องหลังเรื่องรักของ “มะเมียะ”

เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม  ที่ห้องโถงศูนย์อาชีพและธุรกิจมติชน(มติชนอคาเดมี) หมู่บ้านประชานิเวศน์1 สโมสรศิลปวัฒนธรรม ในเครือมติชน จัดเสวนา เบื้องหลังเรื่องรักของ มะเมียะ โดย อ.สมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการอิสระ และนักเขียนผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมอุษาคเนย์ โดยมี อดิศักดิ์ ศรีสม ดำเนินรายการ

“มะเมียะ” ตำนานความรักที่เป็นเรื่องเล่ากันมาในคุ้มหลวงเจ้าหลวงเชียงใหม่ เรื่องนี้กลายเป็นที่โด่งดังเมื่อคุณ ปราณี ศิริธร ณ พัทลุง ระบุว่า ปี 2440 เจ้าน้อยศุขเกษม ราชโอรสของนายแก้วนวรัฐ ไปเรียนหนังสือที่มะละเหม่ง ได้พบรักกับสาวพม่า ชื่อมะเมียะ แม่ค้าขายบุหรี่ รักกันจนเรียนจบ ตัดผมมะเมียะให้เป็นผู้ชายแล้วปลอมตัวกลับมาเชียงใหม่ เมื่อถูกจับได้จึงต้องถูกส่งกลับไปเนื่องจากมะเมียะเป็นคนพม่าอยู่ภายใต้อังกฤษ ล้านนาจะได้รับความเดือดร้อน เรื่องนี้ถูกเผยแพร่ในหนังสือเพชรล้านนา และหนังสือชีวิตรักเจ้าเชียงใหม่ จากนั้นก็กลายเป็นที่โด่งดัง นำมาผลิตเป็นเพลง ละครภาพยนตร์ ละครเวที จนกลายเป็นที่รู้จักกันทั่ว ถึงกับมีการจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี ตำนานรักมะเมียะเมื่อ พ.ศ. 2546 อีกด้วย

อ.สมฤทธิ์ กล่าวว่า  “เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ประตูหายยา ฉากที่สะเทือนใจที่สุด มะเมียะกราบลาและสยายผมเช็ดพระบาท และได้วิ่งมากอดกันถึง 3 รอบ ชาวเมืองต่างมารุมเศร้าโศกเสียใจกับคู่รัก และหลังจากนั้นก็ไม่เคยได้เจอกันอีกเลย พอส่งเสร็จเจ้าศุขเกษมนั้นก็ถูกส่งไปรับราชการเป็นข้าราชการที่กรุงเทพฯ และได้สัญญากันว่า 1 เดือนจะตามไป มะเมียะก็รอ 1 เดือน พอ 1 เดือนแล้วไม่ไป มะเมียะก็บวชเป็นแม่ชี เจ้าน้อยศุขเกษมได้ถูกบังคับให้แต่งกับเจ้าหญิงบัวชุม วันหนึ่งเจ้าศุขเกษมกลับไปเชียงใหม่ มะเมียะก็ได้มาเชียงใหม่เป็นแม่ชี มาหาเจ้าศุขเกษม เจ้าศุขเกษมร้องไห้ไม่กล้าไปพบเพราะผิดสัญญา ก็เลยฝากเงิน 800 บาท กับแหวนทับทิม 1 วง ให้ข้าหลวงนำไปให้มะเมียะซึ่งเป็นแม่ชี แล้วก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย หลังจากนั้นเจ้าศุขเกษมก็ตรอมใจตายเพราะผิดสัญญา ไม่รักษาคำพูด เมื่ออายุ 33 ปี มะเมียะก็กลับไปอยู่มะละแหม่งเป็นแม่ชี ตายเมื่อปี 2505 เมื่ออายุ 75 ปี

อ.สมฤทธิ์ ยังตั้งข้อสังเกตอีกหลายประการในเรื่องราวของมะเมียะ ว่า  “การลงพื้นที่ ที่มะละเหม่งทำไมไม่มีใครรู้เรื่องมะเมียะ แต่ที่เชียงใหม่มีประเด็นคำสั่งห้ามเจ้าล้านนาแต่งงานกับคนต่างด้าว แต่มีอีกหลายกรณีที่เจ้าล้านนาไปแต่งกับต่างด้าว เช่น เจ้าอินทนนท์ ณ เชียงใหม่ เป็นน้องของเจ้าศุขเกษม ไปแต่งกับลูกสาวของเจ้าฟ้าเชียงตุง แต่งกันหลังจากเหตุการณ์เจ้าศุขเกษม ฉะนั้นคำสั่งนี้ไม่น่าจริง ถ้ามองในเชิงจารีตด้วยสถานะที่ไม่เท่ากัน ถ้ามะเมียะมีตัวตนจริง คนเกลียดมะเมียะไม่ใช่สยามแต่จะเป็นบ้านเจ้าศุขเกษมเอง เพราะเจ้าสุขเกษมหน้าตาดี มีฐานะ เป็นเจ้า แล้วมาได้สาวชาวบ้านเป็นไพร่ เป็นพม่า และที่สำคัญคือยากจน ขายบุหรี่

 “เหตุผลต่อมา คือ ตอนที่มะเมียะมาเชียงใหม่ได้ปลอมตัวเป็นชาย ซึ่งยากที่จะจับไม่ได้ เพราะมีหน้าอก ผิวพรรณผู้หญิง อีกทั้งในเอกสารเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าในวันที่จากกัน มะเมียะสยายผมลงเช็ดพระบาทเจ้าศุขเกษม แต่เพิ่งตัดผมตอนปลอมตัวมา ผมจะยาวเร็วขนาดนั้นเลยหรือไม่ จะเห็นว่ามันมีความย้อนแย้งเต็มไปหมด อีกเหตุผลหนึ่ง กู่วัดแก้วสวนดอก มีกู่ของเจ้าศุขเกษมที่เป็นทรงล้านนา และมีอีกกู่หนึ่งห่างออกไปไม่มาก เป็นกู่ทรงพม่า ว่ากันว่าเป็นกู่ของมะเมียะที่เอามาไว้ใกล้ๆเจ้าศุขเกษม แต่เมื่อตรวจสอบพบว่าเป็นกู่ของเจ้าแม่ทิพสม

อ.สมฤทธิ์กล่าวอีกว่า เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แต่ที่ไม่จริงคือรายละเอียด มีบุคคล 2 ท่านที่ระบุว่าเคยเห็นมะเมียะ คือ เจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุง และเจ้าสมบูรณ์ ณ เชียงใหม่  ซึ่งน้องสาวเจ้าสมบูรณ์เป็นคนเล่าว่า เจ้าสมบูรณ์เคยบอกว่าเคยพบมะเมียะตอนบวชเป็นชี กำลังกวาดวัดอยู่ แต่เจ้าสมบูรณ์รู้จักได้อย่างไรว่าคนนี้คือ มะเมียะ พบจริงหรือไม่ พูดภาษาอะไร มีคำถามเต็มไปหมด

ถ้าเจอมะเมียะจริง ก็น่าจะเจอหลักฐานที่มะละแหม่ง แต่ปรากฏว่าไม่มีใครรู้จักมะเมียะในมะละแหม่ง ทั้งที่เจ้าน้อยศุขเกษมเป็นคนหน้าตาดีขนาดนั้น เป็นที่รู้จัก ถึงขั้นฝรั่งยังเคยเขียนถึง แต่ไม่พบบันทึกเรื่องนี้ อีกทั้งถ้าเรื่องนี้กระทบกระเทือนต่อสยาม เอกสารราชการของสยามต้องบันทึกเรื่องนี้ไว้ ซึ่งไม่มี แล้วทั้งหมดเรื่อง มะเมียะ เกิดขึ้นเพราะงานเขียนของคุณปราณี

 ส่วนตัวคิดว่า ความรักของเจ้าศุขเกษมกับมะเมียะนั้นมันคือนิยายอิงประวัติศาสตร์ อาจจะเป็นการหยิบยกเรื่องราวในประวัติศาสตร์ขึ้นมาเขียน แต่ประเด็นคือว่าเราไปเชื่อคุณปราณีต่างหาก หลักฐานมีน้ำหนักน้อยมากที่จะเชื่อว่ามะเมียะมีตัวตนจริงๆ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การที่เราสนใจประวัติศสตร์อย่าอ่านหนังสือเล่มเดียวแล้วเชื่อ ต้องอ่านหลายๆเล่มเพื่อให้มีการตรวจสอบซึ่งกันและกัน บางอย่างเขียนเพื่อประโลมโลก ไม่ใช่ประโลมความรู้ แต่เราไปหลงเชื่อเอง อ.สมฤทธิ์ กล่าว

เพื่อนผมคนหนึ่งเคยบอกว่า ให้สังเกตคำศัพท์เกี่ยวกับการทำประมงน้ำเค็มที่ใช้ๆ กัน จะพบว่าส่วนใหญ่เป็นคำจีน เช่น ล้าต้า จุ้นจู๊ ไต้ก๋ง จุมโพ่ แสดงว่าเราน่าจะรับเอาเทคโนโลยีประมงมาจากคนจีน คำศัพท์เฉพาะก็เลยติดมาด้วย แล้วก็ใช้กันต่อมา จนบางคำก็ลืมๆ ไป นึกว่าเป็นคำไทยแท้ไปแล้วก็มี

เมื่อมาลองคิดเทียบศัพท์เกี่ยวกับอาหารดูบ้าง ผมคิดว่าน่าจะมีคำจีนที่เราใช้มานาน จนเผลอคิดว่าเป็นคำไทยไม่น้อย มันยืนยันอิทธิพลวัฒนธรรมอาหารจีนที่แพร่เข้ามาในดินแดนอุษาคเนย์ ทั้งเรื่องอุปกรณ์ วิธีการทำ วัตถุดิบ รวมทั้งสูตรอาหารแบบต่างๆ ไม่เชื่อก็ลองนึกไล่ไปเถิดครับ อย่างเช่น บะช่อ พะโล้ จับฉ่าย ตะหลิว ตุ๋น หมี่ ฯลฯ

มีคำอีกคำที่ผมสงสัยว่าเป็นคำจีน และเพียงเมื่อลองค้นในอินเตอร์เน็ต ก็พบคำอธิบายที่น่าจะเป็นนิยามดั้งเดิมได้ในทันที คือคำว่า “เจียว” ครับ คำนี้ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายว่า ก. ทอดมันสัตว์เพื่อเอานํ้ามัน เช่น เจียวนํ้ามันหมู ทอดของบางอย่างด้วยนํ้ามัน เช่น เจียวไข่ เจียวหอม เจียวกระเทียม (ถิ่น-พายัพ) แกง. ว. ที่ทอดด้วยนํ้ามัน เช่น ไข่เจียว หอมเจียว กระเทียมเจียว ทว่าก็ไม่ได้เชื่อมโยงว่ามีรากศัพท์มาจากที่ใด

แต่เว็บไซต์ของชุมชนชาวฮากกา ซึ่งอ้างอิงถึงจดหมายข่าว อาศรมสยาม-จีนวิทยา ฉบับที่ ๒๘ (ธันวาคม ๒๕๔๗) อธิบายว่า “เจียว” () เป็นคำคุณศัพท์จีนแต้จิ๋ว หมายถึงความกรอบ ไหม้ของอาหาร หรือสิ่งของทั่วไป ในกรณีอาหาร จะทำโดยใช้น้ำมันร้อนที่มีปริมาณไม่มาก คำๆ นี้จึงน่าจะเป็นคำยืมจากภาษาจีนแต้จิ๋ว ถึงการทอดอาหารให้สุกในน้ำมันร้อนๆ นั่นเอง

แน่นอนว่า จะทำเช่นที่ว่านี้ได้ ก็จำต้องมีกระทะเหล็กแบบจีน ซึ่งถ่ายเทความร้อนจากเตาไฟมายังน้ำมันและชิ้นอาหารได้ดีกว่ากระทะดินเผาที่ครัวอุษาคเนย์มีใช้แต่เดิม ซึ่งหลักฐานกระทะเหล็กแบบจีนนี้เคยพบที่แหล่งเรือสำเภาจมในอ่าวไทย ใกล้เกาะคราม อำเภอสัตหีบ ชลบุรี ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๘ กำหนดอายุได้ราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ เป็นสินค้าที่อยุธยานำเข้าจากจีนเพื่อจะส่งไปขายต่อยังแหล่งรับซื้ออื่นๆ การค้นพบนี้ยืนยันอิทธิพลวัฒนธรรมอาหารและการครัวแบบจีน ที่น่าจะส่งผลให้เกิดโลกาภิวัตน์ด้านอาหารระลอกแรกๆ ในดินแดนอุษาคเนย์

คำว่าเจียวนี้คงใช้มานาน ในหนังสือตำรับสายเยาวภา ของสายปัญญาสมาคม (พ.ศ. ๒๔๗๘) มีอธิบายไว้ว่า “๙. เจียว หมายความถึง ทำวัตถุละเอียดหรือเป็นฝอย ซึ่งต้องการให้สุกหรือกรอบด้วยน้ำมัน โดยอาการตักน้ำมันใส่ภาชนะอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วใส่วัตถุนั้นลงคนเรื่อยไปจนกว่าจะสุกตามต้องการ” ซึ่งชวนให้นึกถึงการเจียวหอมเจียวกระเทียมมากกว่าอย่างอื่น

ที่ผมเห็นว่าน่าสนใจ ทั้งยังอาจคิดต่อไปได้อีกถึงรายละเอียด วิธีการเฉพาะของอาการทำให้สุกในน้ำมันแบบต่างๆ ก็คือวิธีทำไข่เจียวของตำรับสายเยาวภาฯ นั้น ระบุว่าทำโดย “ตี (ไข่) ให้ฟูก่อนจึงค่อยเจียว เวลาเจียวไม่ควรกลับ ใช้จ่าหลิวแซะข้างกระทะเพื่อให้ไข่ที่ยังไม่สุกจะได้ไหลออก ทิ้งไว้ให้เหลือง จึงพับสอง ตักใส่จาน…”

อาการ “เจียวไม่ควรกลับ” นี้ สอดคล้องกับที่ อาจารย์ล้อม เพ็งแก้ว เขียนเล่าไว้ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐ ถึงคำว่า “เจี้ยน” ที่อาจารย์บอกว่าเป็นคำถิ่นใต้ หมายถึง “ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันพอกลั้วก้น” แล้วพอน้ำมันเดือด ก็ใส่เนื้อสัตว์ (ในบทความ คือกระรอกสับ) ลงไปผัดให้สุก โดยอาจารย์ล้อมได้ตั้งข้อสังเกตต่ออีกว่า “ครั้นจะใช้คำว่า เจียว ก็ไม่ค่อยตรง เพราะเจียวไม่ได้ผัดพลิกไปพลิกมาไม่ใช่หรือ?”

คงมีคำกิริยาในการครัวแบบจีนอีกหลายคำที่ถูกยืมมาใช้พร้อมการแพร่เข้ามาของวัสดุอุปกรณ์ ซึ่งคงสืบสวนค้นคว้ากันต่อไปได้อีกมากนะครับ จนชั้นแต่คำว่า “เจี้ยน” ที่อาจารย์ล้อมอธิบายนั้น ผมก็ยังสงสัยว่าจะเป็นคำจีนที่คนภาคใต้รับมาใช้จนกลายเป็นคำถิ่นไปอีกหรือไม่ เพราะพอได้ยินแล้วนึกถึงปลาจะละเม็ดเจี๋ยนขึ้นมาเลยทีเดียว

แกงจืดไข่เจียว หรือ “ไข่น้ำ”
แกงจืดไข่เจียว หรือ “ไข่น้ำ”

ไข่เจียวที่เป็นของพื้นๆ ในสำรับกับข้าวไทย ภายหลังเมื่อได้รับอิทธิพลอาหารอื่นๆ ก็คงมีวิวัฒนาการผันแปรไปอีกบ้าง เช่น ใครเคยได้กินกับข้าวสไตล์มุสลิมโบราณอย่างหรุ่ม ก็คงนึกในใจว่า นี่มันไข่ยัดไส้ชัดๆ เลย หรือที่ผมชอบทำกินบ่อยๆ ก็คือแกงจืดไข่เจียว ซึ่งถ้าทำตามสูตรของ ม.ร.ว. หญิงแฉล้ม มนูเวทย์วิมลนาถ ในตำรับสายเยาวภาฯ ก็อร่อยง่ายๆ ได้อย่างรวดเร็วครับ

เริ่มด้วยตีไข่ไก่ให้ฟู เอาลงเจียวในน้ำมันหมู โดย “ถ้าข้างบนยังไม่สุก จงใช้จ่าหลิวแซะก้นให้ไข่ดิบไหลลงไป พอไข่เกรียมดีให้เขี่ยขึ้นไว้ข้างกระทะ ทุบกระเทียมใส่ลงไปสัก ๓ กลีบ พอกระเทียมเหลือง จงใช้จ่าหลิวตัดไข่เป็นชิ้นๆ คนให้ทั่ว (จะใส่เนื้อหมูหั่นบางๆ ด้วยก็ได้ ไม่ใส่ก็ได้) ใส่น้ำลงไป ใส่น้ำปลา ปิดฝาไว้ให้เดือดพล่าน จึงใส่ผักกาดหอม ตังฉ่าย เป็นใช้ได้ ควรรับประทานทันที”

ลองทำกินตามสูตรโบราณง่ายๆ นี้ดูสักมื้อหนึ่งนะครับ

บัว ถือเป็นพืชที่น่าสนใจเพราะประโยชน์หลากหลายใช้ได้ทุกส่วนจริงๆ แล้วยังมีคุณสมบัติที่สามารถใช้เพื่อการบำรุงความงามได้ด้วย

บัวมีรสฝาด ขม หวาน มีคุณสมบัติเย็นเกือบทุกส่วน ใช้แก้ไข ร้อนใน กระหายน้ำ ขับปัสสาวะ หากแยกเป็นส่วนๆ จะพบว่า ลำต้นหรือสายบัว มีรสฝาด เย็น มีกลิ่นหอม ขับปัสสาวะ และขับพยาธิ แก้อาการปัสสาวะขัด

รากมีรสขม เย็น แก้ไข ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยขับปัสสาวะ เจ็บหน้าอก ควบคุมการหลั่งน้ำอสุจิไม่ได้ (spermatorrhoea)

ดอกบัว มีรสหวาน ฝาด เย็น และบำรุงหัวใจ ใช้แก้ท้องเสีย ไข้ แก้โรคตับ แก้ช้ำใน หลอดลมอักเสบ ไอ แผลพุพองตามผิวหนัง ช่วยให้นอนหลับ

 

ผลและเมล็ด รสขม ฝาด หวาน เย็น บำรุงร่างกาย ฟอกเลือด และบำรุงกำหนัด ใช้แก้อาการกระหายน้ำอย่างรุนแรง แก้โรคผิวหนัง ปาก (ลมหายใจ) มีกลิ่น ประจำเดือนมามากเกินไป ตกขาว ไข้

ใบบัว มีรสขม เย็น แก้ปัสสาวะขัด ริดสีดวงทวาร และโรคผิวหนังกำเริบ

เกสรบัว มีรสฝาด เย็น บำรุงหัวใจ ใช้แก้ท้องเสีย ริดสีดวงทวาร แก้อาการอักเสบ ร้อนใน (แผลในปาก) และประจำเดือนมามากเกินไป

อีกส่วนของบัวคือ ไหลบัว เปรียบเสมือนหน่อของบัว มีคุณสมบัติคล้ายกับหน่อไม้คือ มีคุณสมบัติร้อน เพราะเป็นส่วนที่กำลังเติบโต อุดมไปด้วยพลังชีวิต เพิ่มการไหลเวียนของเลือดลม บำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย

ในด้านความงาม เกสรบัว ถูกค้นพบว่ามีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวขาวโดยออกฤทธิ์ต่อต้านเอนไซม์ สร้างเม็ดสีในผิว ชะลอริ้วรอยผิวเสื่อมสภาพ นำเกสรบัวมาตำบดพอกหน้าก็น่าจะมีส่วนช่วยบำรุงผิวได้ดี

ส่วนใบบัวนั้น น่าสนใจทีเดียว…คนท้องทุ่งบางเดชะ ปราจีนบุรี เล่าต่อกันมานานว่า ใบบัวอ่อนจิ้มน้ำพริกช่วยลดน้ำหนัก มีงานวิจัยช่วยยืนยัน ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrition and Metabolism เมื่อปี 2553 พบว่า ใบบัวนั้นช่วยลดการสะสมของไขมันเข้าสู่เซลล์ไขมัน (adipocyte) และยังเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการเผาผลาญเซลล์ไขมันในร่างกายอีกด้วย

Lotus_root

โดยเปรียบเทียบกับสาร L-carnitine (ที่อ้างสรรพคุณกันว่า ช่วยควบคุมน้ำหนักได้วางขายกันอยู่มากมาย) ก็พบว่า มีฤทธิ์ใกล้เคียงกัน แม้การทดลองนี้จะเป็นการทำในหลอดทดลอง แต่ก็ทำให้เห็นแนวโน้มใบบัวน่าจะมีประโยชน์ต่อการควบคุมน้ำหนัก ลดไขมันสะสม และปลอดภัยแน่นอน แต่ L- carnitine ต้องซื้อหา ราคาแพง ปลอดภัยแค่ไหนไม่แน่ใจ ใครอยากผอมมากินใบบัวกัน

lotus-1549436_1280

พี่สาวที่เคยคุ้นกันมานาน คือคุณวันรวี รุ่งแสง เคยบอกสูตรหมูพะโล้ท้องถิ่นของเวียดนาม หลังจากเธอไปเที่ยวมาตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน คือให้เอาหมูสามชั้นหมักซีอิ๊วขาว กระเทียมพริกไทยตำแค่ราว 15 นาที แล้วต้มกับน้ำมะพร้าวอ่อน ใส่เกลือ พอใกล้เปื่อยก็ใส่ไข่ต้ม เต้าหู้แผ่นทอด โดยห้ามใส่ผงพะโล้อย่างเด็ดขาด

“พี่น้อย” บอกว่า สูตรนี้จะหอมน่ากิน รสชาตินุ่มนวล แล้วสีน้ำพะโล้จะค่อยๆ เข้มขึ้นเอง หลังต้มไปสักพัก ผมเองเคยลองทำเมื่อแรกได้รู้สูตร ก็เห็นจริงตามนั้น มันไม่ถึงกับเข้มมากหรอกครับ แค่เป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ เหมือนพวกซุปน้ำแดงแบบจีนนั่นแหละ

พอเมื่อเร็วๆ นี้ มานึกถึงสูตรนี้ อยากทำกินอีกครั้ง แต่ก็เกิดภาพซ้อนสองสามภาพขึ้นในใจ ชวนให้คิดท้าทายตัวเองว่า ขอฉันลองแปลงสูตรไปอีกนิดได้มั้ยล่ะ คือขอประสมวัตถุดิบที่อยากกิน และคิดตรองดีแล้วว่าพอจะเข้ากันได้ลงไปสักหน่อย

ภาพซ้อนที่ว่า คือภาพซุปก๋วยเตี๋ยวเนื้อน้ำใสๆ ซึ่งจะตรงกันข้ามกับซุปแบบน้ำแดงข้นๆ ที่พบทั่วไป กับภาพ “แกงร้อน” คือต้มจืดหมูใส่ดอกไม้จีน เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมจะมีกลิ่นหอมๆ ของผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองแปรรูปอบอวลไปทั้งหม้อ ทั้งสองภาพนี้ ในที่สุดมาซ้อนกันอีกที จนทำให้ผมจินตนาการถึงต้มพะโล้น้ำใสๆ (ต่างจากแบบน้ำแดงทั่วไป) รสโปร่งๆ แถมมีกลิ่นแบบต้มจืดแกงร้อนที่คุ้นเคย แต่กลิ่นนั้นจะลึกๆ และแน่นๆ กว่า เนื่องจากคราวนี้เราจะต้มเคี่ยวนานตามกระบวนการทำพะโล้นั่นเองครับ

เราเริ่มจากไปหาซื้อหมูสามชั้นและเนื้อติดกระดูกอ่อนมาล้าง หั่นเตรียมไว้

หัวกระเทียมลอกเปลือกออกบ้าง ใช้ทั้งหัว โดยเอามีดหรือส้อมจิ้มผิวให้เป็นรูรอบหัว พริกไทยเม็ดขาวบุบๆ พอแตก

ฟองเต้าหู้ผมใช้แบบแห้งที่เป็นแท่งๆ เอาแช่น้ำจนพองดี หั่นยาวพอคำ

ดอกไม้จีนแห้ง แช่น้ำให้นุ่ม

เต้าหู้ทอด จะลงมือทอดเองหรือซื้อสำเร็จจากร้านมาเลยก็ได้

พะโล้นั้นยากจะขาดไข่นะครับ ดังนั้นจงต้มไข่เป็ดจนสุกแข็ง ปอกเปลือก แล้วลอง “ย้อมสี” เสียหน่อย โดยเหยาะซีอิ๊วดำเค็มในชามไข่ คลุกเคล้าไปสักพัก สีซีอิ๊วจะจับผิวไข่ขาวพอให้ออกน้ำตาลอ่อนๆ สวยดีเชียวล่ะ

เครื่องปรุงเค็ม ใช้ซีอิ๊วขาวตามสูตรที่พี่น้อยบอก จะได้สีใสอย่างใจ เหมือนที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อสกุลน้ำใสเขามักใช้กันน่ะครับ

เครื่องปรุงหวาน ถ้าตามสูตรเดิมของเวียดนามคือน้ำมะพร้าวอ่อน ซึ่งเดี๋ยวนี้หาได้ง่ายอยู่ครับ แต่พอดีผมมีน้ำหวานจากงวงมะพร้าว ผลิตภัณฑ์ของบ้านตาลลูกอ่อน อำเภออู่ทอง สุพรรณบุรี เลยขอลองใช้แทนน้ำมะพร้าวอ่อน มันก็คล้ายน้ำตาลสดแหละครับ แต่ของมะพร้าวจะใสกว่า กลิ่นอ่อนกว่าตาลหน่อยหนึ่ง

ถ้าใครเกรงว่า กลิ่นพะโล้หม้อนี้ออกจะเรียบร้อยเกินไป ขอแนะนำให้เพิ่มขิงสดสัก 5-6 แว่น กับโป๊ยกั๊ก 1-2 ดอก ก็เห็นจะพอนะครับ

ตั้งหม้อต้มน้ำจนเดือด ใส่กระเทียม พริกไทย น้ำหวานมะพร้าว ขิง โป๊ยกั๊ก ซีอิ๊วขาว ไข่ต้ม เนื้อติดกระดูกอ่อนและสามชั้นลงไป เคี่ยวไฟอ่อนราว 1 ชั่วโมงกว่าๆ จึงค่อยใส่เต้าหู้ ถ้ายังไม่หวานก็เติมน้ำหวานมะพร้าวได้ตามที่ชอบ

2
ปก

ต้มต่อจนถึง 2 ชั่วโมง ตอนนี้ หมูจะเริ่มนุ่ม เราก็ใส่ฟองเต้าหู้ลงไป พอใกล้ๆ ครบ 2 ชั่วโมงครึ่ง ค่อยใส่ดอกไม้จีน เพราะว่าเป็นของที่เปื่อยง่ายที่สุดครับ

“พะโล้ญวน (แปลง)” หม้อนี้ ผมใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง ทุกอย่างจะเปื่อยนุ่มพอดีๆ และการเคี่ยวนานขนาดนี้ ย่อมทำให้เครื่องปรุงที่เคยอยู่ในต้มจืด อย่างเต้าหู้  ฟองเต้าหู้ ดอกไม้จีน และน้ำซุปรสอ่อนๆ นั้นงวดข้นขึ้น รสชาติก็ขยับเข้มขึ้น จนมีจิตวิญญาณเป็น “พะโล้น้ำใส” อย่างแท้จริง

มันเหมือนถ้าเราต้มจืดหัวไชเท้าและผักอื่นๆ รวมกันนานๆ เข้า ทั้งกลิ่น รส และน้ำเนื้อในหม้อก็จะไม่ใช่ต้มจืดอีกต่อไปแล้ว แต่จะกลายเป็นกลิ่นแน่นๆ ของ “จับฉ่าย” แทนไงล่ะครับ

เวลาที่ใช้ในการปรุงกับข้าว บางทีก็เปลี่ยนแปลงอะไรๆ บนเตาไฟได้อย่างชนิดที่ว่าน่าสนุกดีนะครับ..

ที่มาเสาร์ประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย

อันที่จริงเป็นคนไม่ค่อยกินบุฟเฟต์ แต่ถ้าจะกินทั้งทีก็ต้องกินให้คุ้ม เพราะถ้าคุ้มก็จะรู้สึกฟินมาก

อาทิตย์ก่อนได้ไปลอง Copper International Buffet ร้านนี้เป็นบุฟเฟต์นานาชาติ ตั้งอยู่ชั้น 2 ของ The Sense ปิ่นเกล้า คอมมิวนิตี้มอลล์ขนาดย่อม ทำเลอยู่เลยเซ็นทรัล ปิ่นเกล้ามานิดเดียว เลี้ยวซ้ายเข้ามาวนหาที่จอดรถในตึกไม่ยาก

ร้านเปิดให้บริการมา 3 ปีกว่าแล้ว ด้วยความที่รักษาคุณภาพสม่ำเสมอ ทำให้มีแฟนคลับเหนียวแน่น และลูกค้าหน้าใหม่อีกไม่น้อย ชนิดที่ว่าคนแน่นทุกรอบ ดังนั้น แนะนำว่าจองโต๊ะล่วงหน้าปลอดภัยที่สุด

ชื่อเสียงของที่นี่ คือ การคัดสรรวัตถุดิบระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น เนื้อวากิว แกะออสเตรเลีย ล็อบสเตอร์ หอยนางรม ซุปเห็ดทรัฟเฟิล ซูชิ สลัดออร์แกนิค ไปจนถึงของหวานที่เรียกว่าจัดหนักจัดเต็ม

ออเดิร์ฟที่มาแล้วห้ามพลาดเด็ดขาด คือ ซุปเห็ดทรัฟเฟิล ตัวนี้ถือเป็นนางเอกของร้านควรต้องโดนกันนะคะ เพราะที่ร้านใช้เห็ดทรัฟเฟิลแท้ๆ กิโลกรัมละเป็นแสนมาปรุงสูตรพิเศษ จนได้ซุปที่มีรสชาติกลมกล่อมถูกใจ

หรือจะไปตัก Seafood on ice มาเรียกน้ำย่อยอีกก็ได้ จัดจ้านสุดก็ยกให้ หอยนางรม เนื้อฉ่ำหวาน จะกินกับกระถิน น้ำจิ้มแซ่บ แบบไทย หรือจะบีบมะนาว เหยาะซอสแบบฝรั่งก็จี๊ดจ๊าด

ตามด้วยโซนย่าง ไฮไลต์จะมี สเต๊กเนื้อวากิว จากออสเตรเลียแท้ๆ ที่สามารถเลือกความสุกได้ตามใจชอบ หรือจะ ลองสเต๊กแกะออสเตรเลีย ก็ชุ่มนุ่มลิ้นไม่แพ้กัน คนไม่กินเนื้อก็จะมี หมูคุโรบูตะ และ กุ้งแม่น้ำเผา เนื้อแน่นหวาน คนรักกุ้งนี่กินจนหนำใจกันไปข้าง

อีกเมนูธรรมดาแต่ความอร่อยเบียดเมนูระดับโลกมาติดๆ คือ ก๋วยเตี๋ยวเรือ น้ำซุปเข้มข้นมาก เนื้อคุณภาพพรีเมียม สามารถเลือกเนื้อระหว่าง หมูสันคอสไลด์ หรือ เนื้อวากิว ถ้าไม่อยากอิ่มเกินไปก็สั่งเป็นเกาเหลา แต่ถ้าใครยังไหวอยากให้ลอง ผัดไทยกุ้งแม่น้ำ อร่อยไม่แพ้ก๋วยเตี๋ยวเรือ

ที่ดีงามจนต้องชม คือ ซูชิ มีให้เลือกหลายแบบ คนชอบแซลมอน ต้องลอง ซูชิแซลมอนไซเกียว เชฟจะปั้นข้าวคำเล็กๆ วางแซลมอนชิ้นโตราดด้วยซอสรสหวาน ใครชอบเนื้อก็มี ซูชิเนื้อวากิวซอสครั้นชี่ ให้ลองกัน หรืออยากกิน ซาชิมิ ก็สั่งที่เคาน์เตอร์รับมาได้ทันที

อีกมุมที่คนรักขนมหวานห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะที่ร้านจัดเต็มมาให้ฉ่ำใจ ตั้งแต่ พันนาคอตต้า เด้งดึ๋งๆ สไตล์อิตาลี เครมบูเล่ หอมคาราเมลสไตล์ฝรั่งเศส ช็อกลาวาเยิ้มๆ หรือ ฮันนี่โทสต์ ก็หอมหวานดีต่อใจมากๆ ไหนจะไอศกรีมอีกหลายชนิด บอกเลยว่ามันว้าวมากค่ะ

ความสนุกที่ทำให้แฟนคลับติดหนึบอีกอย่าง คือ ร้านจะหมุนเวียนสับเปลี่ยนโปรโมชั่นไปเรื่อยๆ อย่างเดือนสิงหาคมนี้ ที่ร้านจัดโปรเด็ดๆ ไว้เตรียมต้อนรับลูกค้าถึง 3 เมนูฮอต เริ่มจาก Australian Tomahawk ขนาดเบิ้มๆ 1.4 กิโลกรัม ถ้ามากัน 10 คนแล้วโชว์บัตรสมาชิกรับฟรีไปเลย 1 ที่ แต่ถ้ามาไม่ถึงสามารถใช้แสดงบัตรสมาชิกแลกซื้อได้ในราคา 1,990 บาท จากราคาเต็ม 4,200 บาท จานนี้มีเงื่อนไขนิดนึงตรงที่ว่าร้านต้องใช้เวลาเตรียมค่อนข้างนาน ประมาณ 1 ชั่วโมง จึงสงวนสิทธิ์สำหรับคนที่จองและมัดจำล่วงหน้าเท่านั้นนะคะ

2
หอยนางรมไซซ์บิ๊ก
สเต๊กเนื้อวากิว
สเต๊กเนื้อวากิว

จานนี้ขอท้าสายเนื้อให้ลองกัน ย่างแบบมีเดียวแรร์นี้ทั้งนุ่มชุ่มฉ่ำ เนื้อชมพูหวานอร่อยมาก เห็นว่าเชฟปรุงด้วย Rosemary oil สูตรพิเศษ ให้รสชาติและความหอมของเครื่องแท้ๆ เสิร์ฟกับ Potato wedge และซอส 2 แบบ คือ ไวน์แดง กับน้ำจิ้มแจ่ว เลือกจิ้มกันตามชอบใจได้เลย

และอีก 2 จานเด็ดสำหรับคนรัก ฟัวกราส์ คือ French Foie gras สไตล์ฝรั่งเศส เสิร์ฟพร้อม Raspberry Jelly สำหรับสมาชิกรับฟรี มูลค่าจานละ 590 บาท และ Foie gras Wagyu fusion Steak ที่ฟิวชั่นกันได้ลงตัวระหว่างเนื้อวากิวออสเตรเลีย กับฟัวกราส์สไตล์ฝรั่งเศส มูลค่าจานละ 1,100 บาท ก็รับฟรีเช่นกันสำหรับสมาชิก

ซัน-วีระพงษ์-พินิจศักดิ์กุล-เจ้าของร้าน-Copper-Buffet

ซัน-วีระพงษ์ พินิจศักดิ์กุล วัย 25 ปี คนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง เจ้าของร้าน Copper International Buffet บอกว่า ก่อนหน้าจะมาทำธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจดั้งเดิมครอบครัวเป็นร้านจิวเวลรี ร้านเพชรวิจิตรภัณฑ์ ที่ ดิโอลด์สยามพลาซ่า มาเกือบ 30 ปีแล้ว กระทั่งพี่สาวต้องการนำที่ดินที่เคยปล่อยเช่ามาพัฒนาเอง คุณพ่อ สมศักดิ์ พินิจศักดิ์กุล จึงตัดสินใจไม่ปล่อยเช่าต่อ นำมาพัฒนาเองเป็นคอมมิวนิตี้มอลล์ ชื่อ The Sense ปิ่นเกล้า

“เริ่มจากคุณพ่อเป็นนักกิน เป็นคนชอบทานอาหาร รู้ว่าอะไรอร่อย สมัยก่อนเดือนหนึ่งพ่อต้องพาไปกินบุฟเฟต์โรงแรม อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง พอจะพัฒนาธุรกิจเองเลยมีความคิดอยากทำร้านอาหารบุฟเฟต์นานาชาติแบบในโรงแรม”

“จังหวะได้เจอกับพี่เกษม (เกษมสันต์ สัตยารักษ์ ผู้จัดการทั่วไป) ที่มีประสบการณ์ด้านการทำร้านอาหาร เลยได้ร่วมงานกัน จนเกิดร้าน copper buffet เมื่อเดือนมีนาคม 2559 นโยบายสำคัญของที่ร้าน คือ คุณภาพ มีคำหนึ่งคุณพ่อเคยบอกว่า ถ้าร้านมันจะเจ๊งต้องปิด ต่อให้มาถึงวันสุดท้ายคุณภาพก็ต้องเหมือนเดิม ห้ามลดเด็ดขาด”

จากวันนั้นถึงวันนี้ คุณซัน บอกว่า คุณพ่อประทับใจมาก ท่านพูดประจำว่าไม่คิดว่าคอปเปอร์จะมาถึงจุดนี้ คิดว่าอย่างมาก เดือนหนึ่งลูกค้าสักเก้าพันถึงหนึ่งหมื่นคนก็น่าจะโอเคแล้ว แต่ตอนนี้เดือนนึงเรารับลูกค้าร่วม 12,000-13,000 คน ถือว่าเกินคาดมาก

บอกเลยว่าจะคอบุฟเฟต์หรือไม่ ควรได้ไปลองซักครั้ง ราคาหัวละ 987 บาท สำหรับเวลาจำกัดที่ 2 ชั่วโมง

วันธรรมดา จันทร์-พุธ มี 1 รอบ คือ 16.30-22.30 น. (เลือกทานเวลาไหนก็ได้เป็นเวลา 2 ชั่วโมง)

วันพฤหัสฯ-ศุกร์ มี 2 รอบ คือ 11.30-15.00 น. 16.30-22.30 น.

วันหยุด เสาร์-อาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์ มี 4 รอบ 11.00-13.00 น. 13.30-15.30 น. 17.00-19.00 น. 19.30-21.30 น.

หรือดูรายละเอียดเพิ่มที่เพจ Copper Buffet ได้เลย

7
9
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]
โคคอต ฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery)

เป็นธรรมเนียมสำหรับวันแม่ที่ครอบครัวจะมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา พาบุพการีลูกหลานออกไปกินข้าวนอกบ้าน ปีนี้ปิ่นโตเถาเล็กขอแนะนำร้านแนวสบายๆ ผ่อนคลายแต่ดูโก้ เป็นร้านสเต๊กเฮาส์ ปิ้งย่างในบรรยากาศฟาร์มชนบทของฝรั่งเศส มีชื่อว่า โคคอต ฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery) เรียกสั้นๆ ได้ว่า โคคอต (Cocotte) เปิดมาได้ 3 ปีกว่า (เมษายน 2559) นี่คืออีกหนึ่งร้านดังของกรุงเทพฯที่ชมรมคนรักเนื้อ (ทุกประเภท) นิยมไปอุดหนุน

ร้านโคคอตอยู่ใจกลางเมืองตรงโครงการ 39 บูเลอวาร์ด (39 Boulevard) ฝั่งขวาของเส้นทางเดินรถทางเดียวของซอยพร้อมจิต ที่มุ่งหน้าจากซอยสุขุมวิท 39 ไปสุขุมวิท 31

เชฟที่ดูแลร้านอาหารในเครือโคคอตทั้งหมด เป็นเชฟหนุ่มหล่อชาวฝรั่งเศสในวัยหนุ่มแน่น ชื่อว่า เชฟเจริโก้ แวนเดอร์วูล์ฟ (Jeriko Van Der Wolf) เห็นอายุแค่นี้แต่เคยผ่านประสบการณ์กับร้านมิชลิน 3 ดาวในฝรั่งเศสมาแล้ว

โคคอตคัดสรรวัตถุดิบชั้นดีทั้งจากในประเทศและจากทั่วโลก อีกทั้งยังสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าของฟาร์มและผู้ผลิตวัตถุดิบในเมืองไทย ที่นี่ใช้วัตถุดิบหลายอย่างจากโครงการหลวงอีกด้วย จุดเด่นอีกอย่างของโคคอตคือจะใช้เตาถ่านบาร์บีคิวปิ้งย่างและรมควันชั้นดีจากออสเตรเลีย ชื่อว่า Komado Joe จึงมั่นใจได้ว่าสเต๊กที่ได้จะนุ่มและชุ่มฉ่ำหอมอร่อยทุกชิ้น

แน่นอนว่ามาร้านโคคอตก็ต้องลิ้มลองเมนูปิ้งย่างต่างๆ ที่สุดของที่สุดต้องยกให้ สเต๊กโทมาฮอว์ค ชิ้นโตๆ หนาๆ มีกระดูกติดเหมือนรูปขวานของอินเดียนแดง ที่นี่ใช้ สเต๊กโทมาฮอว์ค ออสเตรเลียนวากิว (Tomahawk Australian Wagyu) ที่มีลายไขมันหรือมาร์เบิ้ลสกอร์เบอร์ 6 ซึ่งถือว่ามีมันแทรกเยอะเพียงพอ ให้ความนุ่มชุ่มฉ่ำดีนักแล พอย่างในเตาบาร์บีคิวแล้ว ก็จะนำไปอบให้ข้างในชุ่มฉ่ำอีกที เลือกได้หลายขนาดมีตั้งแต่ ขนาด 1.4 กิโลกรัม (3,980 บาท++) ที่เราชิมซึ่งสามารถแบ่งกัน 2-3 คนได้สบาย หรือถ้าต้องการชิ้นยักษ์กว่านี้ก็มี 1.6-1.8-2.0 กิโลกรัมให้เลือกด้วย (4,480-5,120-5,610 บาท++)

ข้อดีอีกอย่างคือเราสามารถเลือกซอสที่มากินคู่กับโทมาฮอว์คได้ถึง 3 ชนิด จากทั้งหมด 8 ชนิด ซอสยอดนิยมคือ ซอสพริกไทยเสฉวน หอมๆ ซอสแบร์เนส (Bearnaise) ข้นๆ น้ำจิ้มแจ่ว ถูกปากคนไทย และ ซอสเนยกระเทียมสมุนไพร นอกจากนี้ ยังมีซอสบลูชีส ซอสไทยวิสกี้บาร์บีคิว ซอสชิมิชูรีสีเขียวๆ ทำจากพาร์สลีย์ของฝรั่ง และมีซอสศรีราชาทำเองอีกด้วย ส่วนเครื่องเคียงก็มีให้เลือกมากมาย ของโปรดผมคือ มันบดทรัฟเฟิล (190++) ทั้งเนียนและหอมมากๆ

สำหรับคนที่ต้องการเนื้อชิ้นกำลังดีและนุ่มสุดสุดแล้วล่ะก็ ขอแนะนำ เนื้อริบอาย ออสเตรเลียน วากิว (Ribeye Wagyu “Infinite”) สายพันธุ์แท้ 100% ลายไขมันเบอร์ 8 มีมันแทรกเยอะจนนุ่มหอมมาก มีทั้งขนาด 300 กรัม (2,890 บาท++) สำหรับกินคนเดียวกำลังดี และ 500 กรัม (4,690 บาท++) แบ่งกันได้ 2 คน

เนื้อรมควันกับชีสบูราต้า
เนื้อรมควันกับชีสบูราต้า
สเต๊กโทมาฮอว์ค-ออสเตรเลียนวากิว
มันบดทรัฟเฟิล
มันบดทรัฟเฟิล

นอกจากนี้ ยังมีเนื้อส่วนที่หากินในร้านอื่นค่อนข้างยาก เป็นเนื้อ Hanger Steak หรือ เนื้อกะบังลม ซึ่งจะมีกลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเข้มข้นเป็นพิเศษ แค่ปรุงด้วยเกลือ พริกไทย ก็นุ่มหอมแล้ว ที่นี่ใช้เนื้อออสเตรเลียนวากิว ลายไขมันเบอร์ 6 (300-500 กรัม 1,380-2,290 บาท++)

สำหรับคนไม่กินเนื้อ ก็มีเมนูยอดนิยมที่ผมชื่นชอบมากด้วย คือ ไก่ย่าง เบบี้ชิคเก้น (Baby Chicken) ย่างบนเตาโรติสซารี่หมุนๆ ของฝรั่งเศส เสิร์ฟมาทั้งตัว ขนาด 900 กรัม (790 บาท++) บนถาดหลุมไม้ รองด้วยหญ้าอัลฟัลฟ่า ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในฟาร์มจริงๆ ไก่ที่ใช้เป็นไก่เลี้ยงปล่อยที่หมักจนนุ่มและหอม ย่างจนหนังกรอบ เนื้อในนุ่มชุ่มฉ่ำ จิ้มน้ำจิ้มแจ่วเข้ากันดี ห้ามพลาดเลยเป็นอันขาด

เนื้อกะบังลม

นอกจากนี้ โคคอตยังมีซี่โครงแกะย่าง (300-800 กรัม 1,380-2,690 บาท++) สันในหมูย่างที่เขาตั้งชื่อว่า Wagyu of Pork 2.0 (650 บาท++) อีกทั้งเมนูอาหารทะเล เช่น หอยเชลล์ ล็อบสเตอร์ และแซลมอน รวมถึงพาสต้า และสลัด รับรองว่าทุกคนที่มาด้วยกันต้องมีเมนูถูกใจแน่นอน

ลืมบอกไปว่ามีเมนูเรียกน้ำย่อยที่ไม่ควรพลาดเช่นกันคือ เนื้อรมควันกับชีสบูราต้า (Smoked Beef & Burrata) (390 บาท++) เนื้อรมควันชิ้นบางๆ นุ่มหอม ม้วนเป็นแท่งสอดไส้ชีสบูราต้าหอมมันถึงใจ โปะหน้าด้วยแยมมะเขือเทศเชอรี่หวานๆ เหยาะบัลซามิคเข้มข้นลงไปด้วย นี่ก็ห้ามพลาดอีกแล้วสำหรับคนชอบกินเนื้อ

อย่าเพิ่งอิ่มนะจ๊ะ โคคอตมีของหวานแบบฝรั่งเศสที่เข้มข้นอีกหลายอย่าง ให้ลอง ปารีส์เบรสท์ (Paris-Brest) (340 บาท++) แป้งชูว์เพสตรี้ไส้พราลีน เฮเซลนัทครีม รูปกลมเหมือนวงล้อ และอีกเมนู Valrhona Chocolate x Caramel (390 บาท++) ใช้ช็อกโกแลตชั้นเลิศของฝรั่งเศส มีองค์ประกอบที่ทำจากช็อกโกแลตหลายอย่างในจานเดียว เข้มข้นถึงใจ

ร้านโคคอต ฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery) เปิดบริการทุกวัน มื้อกลางวัน 11 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมง มื้อค่ำ 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน สำหรับมื้อค่ำควรจองล่วงหน้า ที่เบอร์ 09-2664-6777 เพราะมักจะแน่นอย่าบอกใครเลยนะจ๊ะ

โคคอต ฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery)


ที่ตั้ง
โครงการ 39 Boulevard ซ.พร้อมจิต สุขุมวิท 39 คลองเตย กรุงเทพฯ 10110

โทร 09-2664-6777

เปิดบริการ 11.00-15.00 น. และ 18.00-24.00 น. ทุกวัน (ครัวปิด 22.30 น. และ 23.00 น.เสาร์-อาทิตย์)

แนะนำ สเต๊กโทมาฮอว์ค ออสเตรเลียนวากิว เนื้อริบอายออสเตรเลียนวากิว Hanger Steak หรือเนื้อกะบังลม ไก่ย่าง เบบี้ชิคเก้น เนื้อรมควันกับชีสบูราต้า ปารีส์เบรสท์ (Paris-Brest) ขนม Valrhona Chocolate x Caramel

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
ไก่ย่าง เบบี้ชิคเก้น
ปารีส์เบรสท์
ปารีส์เบรสท์

มีคนตั้งข้อสังเกตว่า บรรยากาศวันสารทจีนปีนี้ไม่ค่อยคึกคักเท่าไรนัก เขาบอกว่าเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจกำลังย่ำแย่ ก็คงต้องต่อสู้กันต่อไปนะครับ อาจบางทีควันธูปแสงเทียนที่เพิ่งจุดเซ่นไหว้บูชาไปก็อาจเข้าหูเข้าตาให้เรามองเห็นต้นตอปัญหา จนพอจัดลำดับก่อนหลังในการแก้ไขมันได้ดีขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้

หลังวันไหว้ ก็ย่อมจะมีเนื้อหมูเห็ดเป็ดไก่เหลือไว้กินในครอบครัว หรือแจกจ่ายเพื่อนบ้านเหมือนเคย จำได้ว่าผมเคยเสนอให้เอาเนื้อไก่วันไหว้มาทำ น้ำพริกเผา (ผัด) ไก่ มาคราวนี้ก็เช่นกัน พอเห็นเป็ดไก่แขวนห้อยเป็นแถวทิวตามร้านข้างทาง ก็มานั่งคิดว่า เมื่อ “เจ้า” กินเสร็จแล้ว มนุษย์เราแต่ละบ้านจะเอาไปทำอะไรกินอร่อยๆ ต่อดีหนอ

ในที่สุดก็คิดออกครับ

ผมนึกถึง ไก่ผัดขิง คงนึกออกนะครับ ที่รู้จักหน้าค่าตาทั่วๆ ไปก็คือเนื้อไก่สดผัดใส่ขิงซอยนั่นแหละครับ บางคนใส่เห็ดหูหนูด้วย แต่โจทย์ของเทศกาลนี้คือไก่ไม่ได้สด มันเป็นไก่ต้ม ที่อาจเลาะกระดูกก่อนหั่นชิ้นแบบร้านข้าวมันไก่ หรือสับชิ้นใหญ่ทั้งกระดูกก็ได้ ที่จริงเราจะผัดไก่ต้มแบบนี้เลยก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร มันก็คงจะได้เนื้อ texture อีกแบบหนึ่งนั่นแหละ แต่ที่ผมคิดมันซับซ้อนกว่านั้นนิดหน่อย คือผมเอามันไปเชื่อมโยงกับปลาทอดผัดขิงน่ะครับ

เวลาพ่อครัวจีนทำปลาทอดผัดขิง เขาต้องแล่เอาแต่เนื้อปลา ทอดในกระทะน้ำมันร้อนๆ จนผิวกรอบดี แล้วจึงจะผัดกับเครื่องผัดขิง ทีนี้เนื้อไก่ที่เลาะกระดูกหั่นชิ้นแล้วมันก็คล้ายเนื้อปลาใช่ไหมล่ะครับ ทำไมเราจะเอามาทอดแบบเดียวกัน แล้วเบียดแทรกเข้าไปในสูตรเดียวกันนั้นบ้างไม่ได้เล่า

พอปิ๊งไอเดียแบบนี้แล้ว ก็มาสำรวจดูซิว่าเครื่องเคราเราครบหรือยัง แน่นอนครับว่าต้องมี ขิงอ่อน เอามีดเกลาๆ เปลือกออกบ้าง หั่นซอยเป็นเส้นเล็กๆ ไว้มากหน่อยก็ได้

กระเทียมทุบพอแตก สับหยาบๆ พริกชี้ฟ้าเขียวเหลืองแดงหั่นแฉลบ หอมใหญ่ ปอกเปลือกหั่นเสี้ยวหนาๆ

น้ำมันสำหรับทอด ถ้าใช้ น้ำมันหมู ก็หอมดีครับ และควรเตรียม น้ำมันงา ไว้เหยาะผสมด้วย

เครื่องปรุงเค็มใช้ เต้าเจี้ยวดำ ซีอิ๊วดำเค็ม

ขอ เหล้าจีน ไว้ใส่ให้ได้กลิ่นหอมๆ สักนิดหนึ่งนะครับ แต่หากไม่ชอบก็ไม่ต้อง นี่แหละครับทั้งหมดมีแค่นี้เองที่เราต้องเตรียม

3

เริ่มทำแบบสบายๆ โดยทยอยทอดชิ้นเนื้อไก่หั่นในกระทะน้ำมัน เหมือนเราทอดปลา พอให้ผิวแห้งกรอบ แต่ข้างในยังนิ่มอยู่ แล้วตักขึ้นไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน

หลังจากทอดไก่ ถ้าเห็นว่าน้ำมันในกระทะมากไป ก็เทออกบ้างนะครับ ทีนี้จะผัดจริงๆ แล้วนะ

เราก็ใส่กระเทียมลงไปเจียว ตามด้วยขิงซอยสักครึ่งหนึ่งก่อน พอขิงเริ่มสุกหอม ก็เติมเต้าเจี้ยวดำ ซีอิ๊วดำเค็ม เดาะน้ำตาลสักนิด แล้วทยอยใส่หอมใหญ่ พริกชี้ฟ้า ถ้าน้ำชักแห้ง เติมได้นิดหน่อยครับ

ผัดไปพอเห็นว่าหอมใหญ่ใกล้จะสุก จึงใส่ชิ้นไก่ที่เราทอดไว้ลงไป หยอดน้ำมันงา เหล้าจีน และขิงซอยที่เหลือ ผัดคลุกเคล้าให้ทั่ว

คะเนดูว่าทุกอย่างสุกเข้ากันดี ปรุงรสชาติได้เข้าท่าเข้าทีแล้ว ก็ตักใส่จานมากินกับข้าวต้มข้าวสวยร้อนๆ ได้เลยครับ

อย่าลืมโรยพริกไทยป่นใหม่ๆ เสียหน่อย จึงจะดีเลิศ

เท่านี้ก็ได้ “ไก่ทอดผัดขิงอ่อน” ซึ่งแม้เป็นของเหลือจากที่เจ้ากิน แต่เราเอามาปรุงเสียใหม่แบบซับซ้อนหน่อยๆ ใครดูเผินๆ อาจนึกว่าเราทำเนื้อปลาเก๋าปลากะพงผัดขิงแบบหรูหราราคาแพงเอาเลย

สูตรนี้คนไทยคงพอจะคุ้นเคย ถ้าใครชอบกิน อาจลองเพิ่มปริมาณน้ำมันและเหล้าจีน ผัดเคี่ยวนานหน่อยก็ได้ แต่นั่นก็จะทำให้มันเข้าใกล้สำรับผัดแบบจีนที่เรียกว่า “ซานเปยจี” (ไก่สามถ้วย) อันมีชื่อเสียงก้องโลกเข้าไปอีกนิดนึง

อาหารทั้งโลกก็เป็นแบบนี้ บางครั้งเราคิดว่าได้ลองปรับเครื่องปรุง ปรับวิธีปรุง จนกำลังจะเกิดสูตรใหม่ลับสุดยอดของตัวเองอยู่รอมร่อ ที่ไหนได้ สำรับหน้าตาแบบนั้นมีมาแล้วนานนับร้อยนับพันปี

ทำกับข้าวมันสนุกท้าทายก็ตรงนี้แหละครับ

ที่มา : มติชน

โดย : กฤช เหลือลมัย

วิธีทำแสนง่าย “ขนมวงทอง” ขนมไทยหาทานยาก ราดน้ำตาลมะพร้าว อร่อยมาก

ขนมวงทอง เป็นอีกหนึ่งขนมไทยที่หาทานยาก ลักษณะเป็นวงกลมคล้ายโดนัท ราดด้วยน้ำตาลมะพร้าว อร่อยมากหยุดกินแทบไม่ได้ หากจะทำกินเองวิธีทำก็แสนง่าย ไม่ต้องมีอุปกรณ์ทำครัวอะไรให้ยุ่งยาก โดยสูตรที่นำมาฝากนี้ เป็นสูตรจาก โครงการอัมพวา-ชัยพัฒนานุรักษ์ (มูลนิธิชัยพัฒนา)

ส่วนผสม

แป้งข้าวเหนียว 1 กก.

มะพร้าวทึนทึก 3 ขีด

กล้วยหอมงอม 4 ใบใหญ่

น้ำมะพร้าว 1 ถ้วยตวง

เกลือ 1 ช้อนชา

น้ำมันสำหรับทอด 2 ขวด

น้ำตาลมะพร้าว 1 กก.

2
วิธีทำ

นำแป้งข้าวเหนียว มะพร้าวทึนทึก กล้วยหอม น้ำมะพร้าว และเกลือเล็กน้อย ผสมกัน ใช้มือนวดให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน นวดจนแป้งไม่ติดมือ เหนียวนุ่ม จากนั้นให้นำมาปั้นเป็นรูปวงกลม มีรูตรงกลาง คล้ายโดนัท (ไม่ควรปั้นใหญ่มากเพื่อสะดวกในการทอด)

ตั้งน้ำมันให้ร้อน นำขนมลงทอดในกระทะ ใช้ไฟอ่อน ทอดจนเหลือง

 

ต่อมานำน้ำตาลมะพร้าวขึ้นตั้งไฟให้ละลายและเหนียว เสร็จแล้วนำขนมที่ทอดไว้ลงชุบหน้าเดียว เป็นอันเสร็จ

3
5

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

ตามรอยป๊า! ทายาท “เสี่ยพันล้าน” สู้ไม่ถอย เปิดร้านขายข้าวแกงปักษ์ใต้ เลี้ยงตัว

จากชีวิตที่พลิกผันของ คุณสมชาย ศรีสกุลภิญโญ ผู้ก่อตั้งบริษัท สตาร์มาร์ค เมนูแฟคเชอริ่ง จำกัด ผู้ผลิตชุดครัวไฟเบอร์กลาสแห่งแรกของเอเชีย แต่เกิดความไม่ลงตัวในธุรกิจ มีเหตุให้ไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อได้ จนนำไปสู่การฟ้องร้องถึง 13 คดี จนถึงวันนี้ก็ยังต้องขึ้นศาลอย่างต่อเนื่อง ทรัพย์สิน เงินทองที่สะสมมาก็นำไปใช้จ่ายในคดีความเป็นส่วนใหญ่ คุณสมชาย และครอบครัว จึงหันไปขายราดหน้า ซึ่งตัวเองได้คิดสูตรเฉพาะขึ้นมา จากการพัฒนาฝีมือยาวนานถึง 20 ปี และแม้ว่าจะเปิดให้บริการเพียงไม่นาน แต่ปรากฏได้รับความสนใจ มีคนแห่ไปอุดหนุนกันอย่างเนืองแน่น

อีกฟากหนึ่งของ คุณกอล์ฟ-เดชนันท์ ศรีสกุลภิญโญ ลูกชายคนโตของคุณสมชาย ในจำนวนพี่น้อง 5 คน ก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากคดีความ และถูกเลิกจ้างออกจากบริษัท ซึ่งที่ผ่านมาเขาตัดสินใจฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยจากการถูกเลิกจ้าง แต่ปัจจุบันยังไม่ได้รับ เพราะล่าสุดกรมบังคับคดี ได้อายัดเงินในบริษัทไว้

ที่ปรากฏว่ามีเงินสดคงเหลือเพียง 6,000 กว่าบาท และจนบัดนี้ก็ยังไม่ได้รับเงินชดเชย จึงต้องใช้เงินเก็บส่วนตัว ที่เก็บสะสมมาจากการทำงาน ที่เดิมตั้งใจจะใช้เพื่อจัดงานแต่งงานโดยไม่ต้องรบกวนพ่อแม่ แต่เรื่องนั้นในวันนี้กลายเป็นสิ่งสิ้นเปลืองไปเสียแล้ว จึงตัดสินใจนำมาลงทุนทำร้านอาหารปักษ์ใต้กับแฟนสาว คุณกวาง-ยูนิกา ชุมสุข ซึ่งมีฝีมือในการทำอาหาร เนื่องจากเป็นลูกมือและช่วยคุณแม่มาตั้งแต่เด็ก โดยยึดทำเลในซอยแจ้งวัฒนะ 14 ใช้ชื่อร้าน “ข้าวแกง สะตอ เบอร์รี่”

“ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาขายอาหาร อาชีพที่ไม่คุ้นเคย และค่อนข้างไกลตัวมาก ถึงคุณพ่อจะสอนให้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสมถะ แต่ก็ไม่เคยอยู่แบบนี้ ในวันที่เราต้องช่วยกันประหยัด ต้องยอมรับสภาพทุกอย่างได้ และทำทุกวันให้ดี คุณพ่อจะสอนเรื่องการจัดการ การใส่ใจในรายละเอียดความต้องการของลูกค้า คุณพ่อบอกว่า ไม่ว่าเราจะทำธุรกิจอะไรก็ตาม ลูกค้าต้องได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด ผมไม่เคยทำอาหารเลย แต่เป็นนักชิมที่ดี ทุกวันนี้ยังมีหน้าที่ชิมเหมือนเดิม เพียงแต่วันนี้ ชิมเพื่อเป็นต้นทางให้ลูกค้า มีความพอใจสูงสุด อาหารทุกเมนู ต้องชิม จนคิดว่าอร่อยที่สุดแล้ว จึงจะบอกว่าผ่าน และเป็นเมนูของร้านได้” คุณกอล์ฟ พูดไปยิ้มไป

ก่อนเล่าต่อ เขากับแฟนสาว หาทำเลกันอยู่หลายที่ ตั้งแต่แถวบางแค ฝั่งธนบุรี จนมาจบที่แจ้งวัฒนะ 14 เพราะเป็นแหล่งชุมชน มีคนอาศัยอยู่หนาแน่น เลยเช่าทั้งหลัง 4 ชั้น และเพื่อเป็นการประหยัด จึงพักอาศัยไปด้วยเลย เริ่มแรกคุณพ่อช่วยออกแบบแก้ไขพื้นที่ภายในร้านให้ และเดินทางไปเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์สเตนเลสและเครื่องมือในครัวจากประเทศจีน เนื่องจากราคาถูกกว่าที่เมืองไทยหลายเท่า โดยที่คุณพ่อออกค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้ ส่วนเขาติดต่อหาช่าง และวัสดุก่อสร้างในประเทศไทย ส่วนชั้น 2 ก็เตรียมไว้สำหรับการขยายเพิ่มเติม ชั้น 3 และ ชั้น 4 เป็นห้องพัก

ด้านคุณกวาง สาวปักษ์ใต้ร่างเล็ก หน้าคมเข้ม นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ บอกเล่าเพิ่มเติมว่า คลุกคลีกับการทำและการขายอาหารปักษ์ใต้มา 15 ปี โดยช่วยคุณแม่ขายอยู่ที่หลังศูนย์ราชการ ติดกับเคหะหลักสี่ ขายดีมาก ตัวเองเป็นทั้งเป็นลูกแม่ และลูกมือมาตั้งแต่เด็ก รู้กระบวนการขั้นตอนการปั่น โขลกพริกแกง แม่บอกทุกสูตรเด็ด ฝีมือช่วงแรกอาจจะสู้แม่ไม่ได้ แต่จากการคลุกคลี สู่การปรุงแทน วันนี้ แม่ทำอร่อยยังไง ลูกก็ทำได้แบบนั้น และในบางเมนู เธอคิดขึ้นมาเพิ่ม เพื่อประยุกต์ให้เข้ากับกลุ่มลูกค้า รวมถึง การขยายฐานลูกค้า ที่ไม่ได้รอเพียงกลุ่มวอล์กอิน แต่ต้องวอล์กเข้าไปหาลูกค้าด้วย มีการออกร้าน และมีเพจ “ข้าวแกงสะตอเบอร์รี่แจ้งวัฒนะ 14” เพื่อโปรโมทร้านค้าอีกทาง รวมถึงการให้บริการส่งตรงถึงบ้าน รับออร์เดอร์ผ่านทางเพจ ซึ่งมีความสำคัญมากในยุคปัจจุบัน

คุณกอล์ฟ-คุณกวาง
คุณกอล์ฟ-คุณกวาง
5

คุณกวาง บอกว่า ทุกเช้าจะไปจ่ายตลาดเอง ต้องหาวัตถุดิบเองเพื่อควบคุมคุณภาพ และที่สำคัญ จะลดการรั่วไหลของต้นทุนที่ไม่จำเป็น ลองผิดลองถูกกันอยู่หลายเดือน กว่าที่จะรู้ว่า ของที่ซื้อมาหลายอย่างนั้น แพงกว่าแหล่งผลิตถึง 3 เท่า ธุรกิจร้านอาหาร มีฝีมือ ทำอาหารอร่อยอย่างเดียวไม่พอ เพราะจะมีต้นทุนต่างๆ เยอะมาก โดยเฉพาะต้นทุนวัตถุดิบ หากไม่ได้ซื้อในแหล่งที่ถูกก็จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว

“ก่อนหน้านี้ ได้ไปเดินงาน THAIFEX ทำให้ได้รู้จักกับผู้ผลิตหลายคน ทำให้ได้วัตถุดิบคุณภาพดี ราคาถูก นอกจากนี้ กวางก็จะไปจ่ายตลาดเองตั้งแต่เช้ามืดที่ตลาดยิ่งเจริญ และใช้เครดิตของแม่ คือ การที่แม่แนะนำร้านวัตถุดิบที่แม่ซื้อมานานจนคุ้นเคยกันมา 17 ปี ทำให้ลดต้นทุนบางอย่างลงไปได้มาก ส่วนเนื้อหมู สั่งมาจากฟาร์มหมูที่ได้รับการรับรองความปลอดภัย ซึ่งร้านหมูจะอยู่ไม่ไกลจากร้านของเราเท่าไหร่ค่ะ”

คุณกวาง เผยถึงตรงนี้ คุณกอล์ฟ จึงพูดเสริมด้วยแววตาเป็นห่วงคนรักที่นั่งอยู่เคียงข้างว่า

“ผมสงสารกวางนะ เขาต้องตื่นแต่เช้า เพื่อไปตลาด แต่บอกเขาว่าให้อดทน เขาเคยบอกว่า อยากไปเที่ยวพักผ่อนบ้าง ผมก็บอกว่า เราพยายามทำให้ร้านอยู่ตัวก่อน เรื่องเที่ยวพักผ่อน ไปตอนไหนก็ได้ ตอนนี้ยังลำบากกันอยู่ต้องสู้กันอีกสักนิด เราต้องพิสูจน์อะไรหลายอย่าง เพื่อให้ธุรกิจที่ทำด้วยกันไปได้”

อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ยอมรับว่า ภาวะเศรษฐกิจนั้น มีผลกระทบต่อยอดขาย แม้ความอร่อย คุณภาพ จะไม่ได้ลดลง แต่จำนวนของลูกค้าประจำ ที่เคยพักอาศัยอยู่ในซอยแจ้งวัฒนะ 14 ที่ลดลง เนื่องจากถูกเลิกจ้าง จึงต้องย้ายออกไป ร้านค้าที่อยู่ในซอยเดียวกันหลายร้านเป็นเหมือนเพื่อนบ้านรู้จักกันมาตั้งแต่เริ่มมาเปิดร้านในช่วง 2 ปี ซึ่งล้มเลิกกิจการไปไม่น้อย ดังจะเห็นป้ายให้เช่าที่มีให้เห็นตลอดซอย ส่วนที่ร้านของพวกเขาเอง ยอดขายลดลงบ้าง แต่ลูกค้าประจำยังเหนียวแน่น ทำให้พออยู่ได้ เนื่องจากราคาไม่ได้สูงมากนัก และลูกค้าติดรสชาติและมีการบอกต่อ

สำหรับเมนูเด็ด ที่คุณกวาง บอกว่า ลูกค้าจะสั่งซ้ำเสมอ คือ น้ำยาปู ซึ่งขายอยู่ชุดละ 80 บาท ถ้าเป็น น้ำยาปู + ไข่ปู ชุดละ 120 บาท ส่วนเมนูข้าวแกงที่ขายดีมากคือ ผัดหมูกะปิ ปลาแดงทอดขมิ้น คั่วกระดูกหมู ผัดเผ็ดสะตอ ฯลฯ รับประทานได้ทั้งครอบครัว ราคาไม่แพง ลูกค้าส่วนใหญ่บอกว่า “อร่อยทุกเมนู”

หากท่านใด มองหาร้านอาหารอร่อย แวะไปที่ร้าน “สะตอ เบอร์รี่ ข้าวแกงเมืองคอน” เข้าซอยแจ้งวัฒนะ 14 ไปเพียง 400 เมตร อยู่ฝั่งซ้ายมือ ตึกสีชมพู หรือสั่งซื้อผ่าน ไลน์แมน วงใน LINE MAN Wongnai ได้โดยพิมพ์ชื่อร้าน “ข้าวแกงสะตอเบอร์รี่” หรือพิมพ์ค้นหาร้าน “ข้าวแกง” ใน “เขตหลักสี่” ก็จะพบชื่อร้านติดดีกรีอันดับ 1 ในพื้นที่ รับรองไม่ผิดหวัง

6

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์