พี่สาวที่เคยคุ้นกันมานาน คือคุณวันรวี รุ่งแสง เคยบอกสูตรหมูพะโล้ท้องถิ่นของเวียดนาม หลังจากเธอไปเที่ยวมาตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน คือให้เอาหมูสามชั้นหมักซีอิ๊วขาว กระเทียมพริกไทยตำแค่ราว 15 นาที แล้วต้มกับน้ำมะพร้าวอ่อน ใส่เกลือ พอใกล้เปื่อยก็ใส่ไข่ต้ม เต้าหู้แผ่นทอด โดยห้ามใส่ผงพะโล้อย่างเด็ดขาด

“พี่น้อย” บอกว่า สูตรนี้จะหอมน่ากิน รสชาตินุ่มนวล แล้วสีน้ำพะโล้จะค่อยๆ เข้มขึ้นเอง หลังต้มไปสักพัก ผมเองเคยลองทำเมื่อแรกได้รู้สูตร ก็เห็นจริงตามนั้น มันไม่ถึงกับเข้มมากหรอกครับ แค่เป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ เหมือนพวกซุปน้ำแดงแบบจีนนั่นแหละ

พอเมื่อเร็วๆ นี้ มานึกถึงสูตรนี้ อยากทำกินอีกครั้ง แต่ก็เกิดภาพซ้อนสองสามภาพขึ้นในใจ ชวนให้คิดท้าทายตัวเองว่า ขอฉันลองแปลงสูตรไปอีกนิดได้มั้ยล่ะ คือขอประสมวัตถุดิบที่อยากกิน และคิดตรองดีแล้วว่าพอจะเข้ากันได้ลงไปสักหน่อย

ภาพซ้อนที่ว่า คือภาพซุปก๋วยเตี๋ยวเนื้อน้ำใสๆ ซึ่งจะตรงกันข้ามกับซุปแบบน้ำแดงข้นๆ ที่พบทั่วไป กับภาพ “แกงร้อน” คือต้มจืดหมูใส่ดอกไม้จีน เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมจะมีกลิ่นหอมๆ ของผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองแปรรูปอบอวลไปทั้งหม้อ ทั้งสองภาพนี้ ในที่สุดมาซ้อนกันอีกที จนทำให้ผมจินตนาการถึงต้มพะโล้น้ำใสๆ (ต่างจากแบบน้ำแดงทั่วไป) รสโปร่งๆ แถมมีกลิ่นแบบต้มจืดแกงร้อนที่คุ้นเคย แต่กลิ่นนั้นจะลึกๆ และแน่นๆ กว่า เนื่องจากคราวนี้เราจะต้มเคี่ยวนานตามกระบวนการทำพะโล้นั่นเองครับ

เราเริ่มจากไปหาซื้อหมูสามชั้นและเนื้อติดกระดูกอ่อนมาล้าง หั่นเตรียมไว้

หัวกระเทียมลอกเปลือกออกบ้าง ใช้ทั้งหัว โดยเอามีดหรือส้อมจิ้มผิวให้เป็นรูรอบหัว พริกไทยเม็ดขาวบุบๆ พอแตก

ฟองเต้าหู้ผมใช้แบบแห้งที่เป็นแท่งๆ เอาแช่น้ำจนพองดี หั่นยาวพอคำ

ดอกไม้จีนแห้ง แช่น้ำให้นุ่ม

เต้าหู้ทอด จะลงมือทอดเองหรือซื้อสำเร็จจากร้านมาเลยก็ได้

พะโล้นั้นยากจะขาดไข่นะครับ ดังนั้นจงต้มไข่เป็ดจนสุกแข็ง ปอกเปลือก แล้วลอง “ย้อมสี” เสียหน่อย โดยเหยาะซีอิ๊วดำเค็มในชามไข่ คลุกเคล้าไปสักพัก สีซีอิ๊วจะจับผิวไข่ขาวพอให้ออกน้ำตาลอ่อนๆ สวยดีเชียวล่ะ

เครื่องปรุงเค็ม ใช้ซีอิ๊วขาวตามสูตรที่พี่น้อยบอก จะได้สีใสอย่างใจ เหมือนที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อสกุลน้ำใสเขามักใช้กันน่ะครับ

เครื่องปรุงหวาน ถ้าตามสูตรเดิมของเวียดนามคือน้ำมะพร้าวอ่อน ซึ่งเดี๋ยวนี้หาได้ง่ายอยู่ครับ แต่พอดีผมมีน้ำหวานจากงวงมะพร้าว ผลิตภัณฑ์ของบ้านตาลลูกอ่อน อำเภออู่ทอง สุพรรณบุรี เลยขอลองใช้แทนน้ำมะพร้าวอ่อน มันก็คล้ายน้ำตาลสดแหละครับ แต่ของมะพร้าวจะใสกว่า กลิ่นอ่อนกว่าตาลหน่อยหนึ่ง

ถ้าใครเกรงว่า กลิ่นพะโล้หม้อนี้ออกจะเรียบร้อยเกินไป ขอแนะนำให้เพิ่มขิงสดสัก 5-6 แว่น กับโป๊ยกั๊ก 1-2 ดอก ก็เห็นจะพอนะครับ

ตั้งหม้อต้มน้ำจนเดือด ใส่กระเทียม พริกไทย น้ำหวานมะพร้าว ขิง โป๊ยกั๊ก ซีอิ๊วขาว ไข่ต้ม เนื้อติดกระดูกอ่อนและสามชั้นลงไป เคี่ยวไฟอ่อนราว 1 ชั่วโมงกว่าๆ จึงค่อยใส่เต้าหู้ ถ้ายังไม่หวานก็เติมน้ำหวานมะพร้าวได้ตามที่ชอบ

2
ปก

ต้มต่อจนถึง 2 ชั่วโมง ตอนนี้ หมูจะเริ่มนุ่ม เราก็ใส่ฟองเต้าหู้ลงไป พอใกล้ๆ ครบ 2 ชั่วโมงครึ่ง ค่อยใส่ดอกไม้จีน เพราะว่าเป็นของที่เปื่อยง่ายที่สุดครับ

“พะโล้ญวน (แปลง)” หม้อนี้ ผมใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง ทุกอย่างจะเปื่อยนุ่มพอดีๆ และการเคี่ยวนานขนาดนี้ ย่อมทำให้เครื่องปรุงที่เคยอยู่ในต้มจืด อย่างเต้าหู้  ฟองเต้าหู้ ดอกไม้จีน และน้ำซุปรสอ่อนๆ นั้นงวดข้นขึ้น รสชาติก็ขยับเข้มขึ้น จนมีจิตวิญญาณเป็น “พะโล้น้ำใส” อย่างแท้จริง

มันเหมือนถ้าเราต้มจืดหัวไชเท้าและผักอื่นๆ รวมกันนานๆ เข้า ทั้งกลิ่น รส และน้ำเนื้อในหม้อก็จะไม่ใช่ต้มจืดอีกต่อไปแล้ว แต่จะกลายเป็นกลิ่นแน่นๆ ของ “จับฉ่าย” แทนไงล่ะครับ

เวลาที่ใช้ในการปรุงกับข้าว บางทีก็เปลี่ยนแปลงอะไรๆ บนเตาไฟได้อย่างชนิดที่ว่าน่าสนุกดีนะครับ..

ที่มาเสาร์ประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย

อันที่จริงเป็นคนไม่ค่อยกินบุฟเฟต์ แต่ถ้าจะกินทั้งทีก็ต้องกินให้คุ้ม เพราะถ้าคุ้มก็จะรู้สึกฟินมาก

อาทิตย์ก่อนได้ไปลอง Copper International Buffet ร้านนี้เป็นบุฟเฟต์นานาชาติ ตั้งอยู่ชั้น 2 ของ The Sense ปิ่นเกล้า คอมมิวนิตี้มอลล์ขนาดย่อม ทำเลอยู่เลยเซ็นทรัล ปิ่นเกล้ามานิดเดียว เลี้ยวซ้ายเข้ามาวนหาที่จอดรถในตึกไม่ยาก

ร้านเปิดให้บริการมา 3 ปีกว่าแล้ว ด้วยความที่รักษาคุณภาพสม่ำเสมอ ทำให้มีแฟนคลับเหนียวแน่น และลูกค้าหน้าใหม่อีกไม่น้อย ชนิดที่ว่าคนแน่นทุกรอบ ดังนั้น แนะนำว่าจองโต๊ะล่วงหน้าปลอดภัยที่สุด

ชื่อเสียงของที่นี่ คือ การคัดสรรวัตถุดิบระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น เนื้อวากิว แกะออสเตรเลีย ล็อบสเตอร์ หอยนางรม ซุปเห็ดทรัฟเฟิล ซูชิ สลัดออร์แกนิค ไปจนถึงของหวานที่เรียกว่าจัดหนักจัดเต็ม

ออเดิร์ฟที่มาแล้วห้ามพลาดเด็ดขาด คือ ซุปเห็ดทรัฟเฟิล ตัวนี้ถือเป็นนางเอกของร้านควรต้องโดนกันนะคะ เพราะที่ร้านใช้เห็ดทรัฟเฟิลแท้ๆ กิโลกรัมละเป็นแสนมาปรุงสูตรพิเศษ จนได้ซุปที่มีรสชาติกลมกล่อมถูกใจ

หรือจะไปตัก Seafood on ice มาเรียกน้ำย่อยอีกก็ได้ จัดจ้านสุดก็ยกให้ หอยนางรม เนื้อฉ่ำหวาน จะกินกับกระถิน น้ำจิ้มแซ่บ แบบไทย หรือจะบีบมะนาว เหยาะซอสแบบฝรั่งก็จี๊ดจ๊าด

ตามด้วยโซนย่าง ไฮไลต์จะมี สเต๊กเนื้อวากิว จากออสเตรเลียแท้ๆ ที่สามารถเลือกความสุกได้ตามใจชอบ หรือจะ ลองสเต๊กแกะออสเตรเลีย ก็ชุ่มนุ่มลิ้นไม่แพ้กัน คนไม่กินเนื้อก็จะมี หมูคุโรบูตะ และ กุ้งแม่น้ำเผา เนื้อแน่นหวาน คนรักกุ้งนี่กินจนหนำใจกันไปข้าง

อีกเมนูธรรมดาแต่ความอร่อยเบียดเมนูระดับโลกมาติดๆ คือ ก๋วยเตี๋ยวเรือ น้ำซุปเข้มข้นมาก เนื้อคุณภาพพรีเมียม สามารถเลือกเนื้อระหว่าง หมูสันคอสไลด์ หรือ เนื้อวากิว ถ้าไม่อยากอิ่มเกินไปก็สั่งเป็นเกาเหลา แต่ถ้าใครยังไหวอยากให้ลอง ผัดไทยกุ้งแม่น้ำ อร่อยไม่แพ้ก๋วยเตี๋ยวเรือ

ที่ดีงามจนต้องชม คือ ซูชิ มีให้เลือกหลายแบบ คนชอบแซลมอน ต้องลอง ซูชิแซลมอนไซเกียว เชฟจะปั้นข้าวคำเล็กๆ วางแซลมอนชิ้นโตราดด้วยซอสรสหวาน ใครชอบเนื้อก็มี ซูชิเนื้อวากิวซอสครั้นชี่ ให้ลองกัน หรืออยากกิน ซาชิมิ ก็สั่งที่เคาน์เตอร์รับมาได้ทันที

อีกมุมที่คนรักขนมหวานห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะที่ร้านจัดเต็มมาให้ฉ่ำใจ ตั้งแต่ พันนาคอตต้า เด้งดึ๋งๆ สไตล์อิตาลี เครมบูเล่ หอมคาราเมลสไตล์ฝรั่งเศส ช็อกลาวาเยิ้มๆ หรือ ฮันนี่โทสต์ ก็หอมหวานดีต่อใจมากๆ ไหนจะไอศกรีมอีกหลายชนิด บอกเลยว่ามันว้าวมากค่ะ

ความสนุกที่ทำให้แฟนคลับติดหนึบอีกอย่าง คือ ร้านจะหมุนเวียนสับเปลี่ยนโปรโมชั่นไปเรื่อยๆ อย่างเดือนสิงหาคมนี้ ที่ร้านจัดโปรเด็ดๆ ไว้เตรียมต้อนรับลูกค้าถึง 3 เมนูฮอต เริ่มจาก Australian Tomahawk ขนาดเบิ้มๆ 1.4 กิโลกรัม ถ้ามากัน 10 คนแล้วโชว์บัตรสมาชิกรับฟรีไปเลย 1 ที่ แต่ถ้ามาไม่ถึงสามารถใช้แสดงบัตรสมาชิกแลกซื้อได้ในราคา 1,990 บาท จากราคาเต็ม 4,200 บาท จานนี้มีเงื่อนไขนิดนึงตรงที่ว่าร้านต้องใช้เวลาเตรียมค่อนข้างนาน ประมาณ 1 ชั่วโมง จึงสงวนสิทธิ์สำหรับคนที่จองและมัดจำล่วงหน้าเท่านั้นนะคะ

2
หอยนางรมไซซ์บิ๊ก
สเต๊กเนื้อวากิว
สเต๊กเนื้อวากิว

จานนี้ขอท้าสายเนื้อให้ลองกัน ย่างแบบมีเดียวแรร์นี้ทั้งนุ่มชุ่มฉ่ำ เนื้อชมพูหวานอร่อยมาก เห็นว่าเชฟปรุงด้วย Rosemary oil สูตรพิเศษ ให้รสชาติและความหอมของเครื่องแท้ๆ เสิร์ฟกับ Potato wedge และซอส 2 แบบ คือ ไวน์แดง กับน้ำจิ้มแจ่ว เลือกจิ้มกันตามชอบใจได้เลย

และอีก 2 จานเด็ดสำหรับคนรัก ฟัวกราส์ คือ French Foie gras สไตล์ฝรั่งเศส เสิร์ฟพร้อม Raspberry Jelly สำหรับสมาชิกรับฟรี มูลค่าจานละ 590 บาท และ Foie gras Wagyu fusion Steak ที่ฟิวชั่นกันได้ลงตัวระหว่างเนื้อวากิวออสเตรเลีย กับฟัวกราส์สไตล์ฝรั่งเศส มูลค่าจานละ 1,100 บาท ก็รับฟรีเช่นกันสำหรับสมาชิก

ซัน-วีระพงษ์-พินิจศักดิ์กุล-เจ้าของร้าน-Copper-Buffet

ซัน-วีระพงษ์ พินิจศักดิ์กุล วัย 25 ปี คนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง เจ้าของร้าน Copper International Buffet บอกว่า ก่อนหน้าจะมาทำธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจดั้งเดิมครอบครัวเป็นร้านจิวเวลรี ร้านเพชรวิจิตรภัณฑ์ ที่ ดิโอลด์สยามพลาซ่า มาเกือบ 30 ปีแล้ว กระทั่งพี่สาวต้องการนำที่ดินที่เคยปล่อยเช่ามาพัฒนาเอง คุณพ่อ สมศักดิ์ พินิจศักดิ์กุล จึงตัดสินใจไม่ปล่อยเช่าต่อ นำมาพัฒนาเองเป็นคอมมิวนิตี้มอลล์ ชื่อ The Sense ปิ่นเกล้า

“เริ่มจากคุณพ่อเป็นนักกิน เป็นคนชอบทานอาหาร รู้ว่าอะไรอร่อย สมัยก่อนเดือนหนึ่งพ่อต้องพาไปกินบุฟเฟต์โรงแรม อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง พอจะพัฒนาธุรกิจเองเลยมีความคิดอยากทำร้านอาหารบุฟเฟต์นานาชาติแบบในโรงแรม”

“จังหวะได้เจอกับพี่เกษม (เกษมสันต์ สัตยารักษ์ ผู้จัดการทั่วไป) ที่มีประสบการณ์ด้านการทำร้านอาหาร เลยได้ร่วมงานกัน จนเกิดร้าน copper buffet เมื่อเดือนมีนาคม 2559 นโยบายสำคัญของที่ร้าน คือ คุณภาพ มีคำหนึ่งคุณพ่อเคยบอกว่า ถ้าร้านมันจะเจ๊งต้องปิด ต่อให้มาถึงวันสุดท้ายคุณภาพก็ต้องเหมือนเดิม ห้ามลดเด็ดขาด”

จากวันนั้นถึงวันนี้ คุณซัน บอกว่า คุณพ่อประทับใจมาก ท่านพูดประจำว่าไม่คิดว่าคอปเปอร์จะมาถึงจุดนี้ คิดว่าอย่างมาก เดือนหนึ่งลูกค้าสักเก้าพันถึงหนึ่งหมื่นคนก็น่าจะโอเคแล้ว แต่ตอนนี้เดือนนึงเรารับลูกค้าร่วม 12,000-13,000 คน ถือว่าเกินคาดมาก

บอกเลยว่าจะคอบุฟเฟต์หรือไม่ ควรได้ไปลองซักครั้ง ราคาหัวละ 987 บาท สำหรับเวลาจำกัดที่ 2 ชั่วโมง

วันธรรมดา จันทร์-พุธ มี 1 รอบ คือ 16.30-22.30 น. (เลือกทานเวลาไหนก็ได้เป็นเวลา 2 ชั่วโมง)

วันพฤหัสฯ-ศุกร์ มี 2 รอบ คือ 11.30-15.00 น. 16.30-22.30 น.

วันหยุด เสาร์-อาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์ มี 4 รอบ 11.00-13.00 น. 13.30-15.30 น. 17.00-19.00 น. 19.30-21.30 น.

หรือดูรายละเอียดเพิ่มที่เพจ Copper Buffet ได้เลย

7
9
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]
โคคอต ฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery)

เป็นธรรมเนียมสำหรับวันแม่ที่ครอบครัวจะมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา พาบุพการีลูกหลานออกไปกินข้าวนอกบ้าน ปีนี้ปิ่นโตเถาเล็กขอแนะนำร้านแนวสบายๆ ผ่อนคลายแต่ดูโก้ เป็นร้านสเต๊กเฮาส์ ปิ้งย่างในบรรยากาศฟาร์มชนบทของฝรั่งเศส มีชื่อว่า โคคอต ฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery) เรียกสั้นๆ ได้ว่า โคคอต (Cocotte) เปิดมาได้ 3 ปีกว่า (เมษายน 2559) นี่คืออีกหนึ่งร้านดังของกรุงเทพฯที่ชมรมคนรักเนื้อ (ทุกประเภท) นิยมไปอุดหนุน

ร้านโคคอตอยู่ใจกลางเมืองตรงโครงการ 39 บูเลอวาร์ด (39 Boulevard) ฝั่งขวาของเส้นทางเดินรถทางเดียวของซอยพร้อมจิต ที่มุ่งหน้าจากซอยสุขุมวิท 39 ไปสุขุมวิท 31

เชฟที่ดูแลร้านอาหารในเครือโคคอตทั้งหมด เป็นเชฟหนุ่มหล่อชาวฝรั่งเศสในวัยหนุ่มแน่น ชื่อว่า เชฟเจริโก้ แวนเดอร์วูล์ฟ (Jeriko Van Der Wolf) เห็นอายุแค่นี้แต่เคยผ่านประสบการณ์กับร้านมิชลิน 3 ดาวในฝรั่งเศสมาแล้ว

โคคอตคัดสรรวัตถุดิบชั้นดีทั้งจากในประเทศและจากทั่วโลก อีกทั้งยังสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าของฟาร์มและผู้ผลิตวัตถุดิบในเมืองไทย ที่นี่ใช้วัตถุดิบหลายอย่างจากโครงการหลวงอีกด้วย จุดเด่นอีกอย่างของโคคอตคือจะใช้เตาถ่านบาร์บีคิวปิ้งย่างและรมควันชั้นดีจากออสเตรเลีย ชื่อว่า Komado Joe จึงมั่นใจได้ว่าสเต๊กที่ได้จะนุ่มและชุ่มฉ่ำหอมอร่อยทุกชิ้น

แน่นอนว่ามาร้านโคคอตก็ต้องลิ้มลองเมนูปิ้งย่างต่างๆ ที่สุดของที่สุดต้องยกให้ สเต๊กโทมาฮอว์ค ชิ้นโตๆ หนาๆ มีกระดูกติดเหมือนรูปขวานของอินเดียนแดง ที่นี่ใช้ สเต๊กโทมาฮอว์ค ออสเตรเลียนวากิว (Tomahawk Australian Wagyu) ที่มีลายไขมันหรือมาร์เบิ้ลสกอร์เบอร์ 6 ซึ่งถือว่ามีมันแทรกเยอะเพียงพอ ให้ความนุ่มชุ่มฉ่ำดีนักแล พอย่างในเตาบาร์บีคิวแล้ว ก็จะนำไปอบให้ข้างในชุ่มฉ่ำอีกที เลือกได้หลายขนาดมีตั้งแต่ ขนาด 1.4 กิโลกรัม (3,980 บาท++) ที่เราชิมซึ่งสามารถแบ่งกัน 2-3 คนได้สบาย หรือถ้าต้องการชิ้นยักษ์กว่านี้ก็มี 1.6-1.8-2.0 กิโลกรัมให้เลือกด้วย (4,480-5,120-5,610 บาท++)

ข้อดีอีกอย่างคือเราสามารถเลือกซอสที่มากินคู่กับโทมาฮอว์คได้ถึง 3 ชนิด จากทั้งหมด 8 ชนิด ซอสยอดนิยมคือ ซอสพริกไทยเสฉวน หอมๆ ซอสแบร์เนส (Bearnaise) ข้นๆ น้ำจิ้มแจ่ว ถูกปากคนไทย และ ซอสเนยกระเทียมสมุนไพร นอกจากนี้ ยังมีซอสบลูชีส ซอสไทยวิสกี้บาร์บีคิว ซอสชิมิชูรีสีเขียวๆ ทำจากพาร์สลีย์ของฝรั่ง และมีซอสศรีราชาทำเองอีกด้วย ส่วนเครื่องเคียงก็มีให้เลือกมากมาย ของโปรดผมคือ มันบดทรัฟเฟิล (190++) ทั้งเนียนและหอมมากๆ

สำหรับคนที่ต้องการเนื้อชิ้นกำลังดีและนุ่มสุดสุดแล้วล่ะก็ ขอแนะนำ เนื้อริบอาย ออสเตรเลียน วากิว (Ribeye Wagyu “Infinite”) สายพันธุ์แท้ 100% ลายไขมันเบอร์ 8 มีมันแทรกเยอะจนนุ่มหอมมาก มีทั้งขนาด 300 กรัม (2,890 บาท++) สำหรับกินคนเดียวกำลังดี และ 500 กรัม (4,690 บาท++) แบ่งกันได้ 2 คน

เนื้อรมควันกับชีสบูราต้า
เนื้อรมควันกับชีสบูราต้า
สเต๊กโทมาฮอว์ค-ออสเตรเลียนวากิว
มันบดทรัฟเฟิล
มันบดทรัฟเฟิล

นอกจากนี้ ยังมีเนื้อส่วนที่หากินในร้านอื่นค่อนข้างยาก เป็นเนื้อ Hanger Steak หรือ เนื้อกะบังลม ซึ่งจะมีกลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเข้มข้นเป็นพิเศษ แค่ปรุงด้วยเกลือ พริกไทย ก็นุ่มหอมแล้ว ที่นี่ใช้เนื้อออสเตรเลียนวากิว ลายไขมันเบอร์ 6 (300-500 กรัม 1,380-2,290 บาท++)

สำหรับคนไม่กินเนื้อ ก็มีเมนูยอดนิยมที่ผมชื่นชอบมากด้วย คือ ไก่ย่าง เบบี้ชิคเก้น (Baby Chicken) ย่างบนเตาโรติสซารี่หมุนๆ ของฝรั่งเศส เสิร์ฟมาทั้งตัว ขนาด 900 กรัม (790 บาท++) บนถาดหลุมไม้ รองด้วยหญ้าอัลฟัลฟ่า ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในฟาร์มจริงๆ ไก่ที่ใช้เป็นไก่เลี้ยงปล่อยที่หมักจนนุ่มและหอม ย่างจนหนังกรอบ เนื้อในนุ่มชุ่มฉ่ำ จิ้มน้ำจิ้มแจ่วเข้ากันดี ห้ามพลาดเลยเป็นอันขาด

เนื้อกะบังลม

นอกจากนี้ โคคอตยังมีซี่โครงแกะย่าง (300-800 กรัม 1,380-2,690 บาท++) สันในหมูย่างที่เขาตั้งชื่อว่า Wagyu of Pork 2.0 (650 บาท++) อีกทั้งเมนูอาหารทะเล เช่น หอยเชลล์ ล็อบสเตอร์ และแซลมอน รวมถึงพาสต้า และสลัด รับรองว่าทุกคนที่มาด้วยกันต้องมีเมนูถูกใจแน่นอน

ลืมบอกไปว่ามีเมนูเรียกน้ำย่อยที่ไม่ควรพลาดเช่นกันคือ เนื้อรมควันกับชีสบูราต้า (Smoked Beef & Burrata) (390 บาท++) เนื้อรมควันชิ้นบางๆ นุ่มหอม ม้วนเป็นแท่งสอดไส้ชีสบูราต้าหอมมันถึงใจ โปะหน้าด้วยแยมมะเขือเทศเชอรี่หวานๆ เหยาะบัลซามิคเข้มข้นลงไปด้วย นี่ก็ห้ามพลาดอีกแล้วสำหรับคนชอบกินเนื้อ

อย่าเพิ่งอิ่มนะจ๊ะ โคคอตมีของหวานแบบฝรั่งเศสที่เข้มข้นอีกหลายอย่าง ให้ลอง ปารีส์เบรสท์ (Paris-Brest) (340 บาท++) แป้งชูว์เพสตรี้ไส้พราลีน เฮเซลนัทครีม รูปกลมเหมือนวงล้อ และอีกเมนู Valrhona Chocolate x Caramel (390 บาท++) ใช้ช็อกโกแลตชั้นเลิศของฝรั่งเศส มีองค์ประกอบที่ทำจากช็อกโกแลตหลายอย่างในจานเดียว เข้มข้นถึงใจ

ร้านโคคอต ฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery) เปิดบริการทุกวัน มื้อกลางวัน 11 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมง มื้อค่ำ 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน สำหรับมื้อค่ำควรจองล่วงหน้า ที่เบอร์ 09-2664-6777 เพราะมักจะแน่นอย่าบอกใครเลยนะจ๊ะ

โคคอต ฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery)


ที่ตั้ง
โครงการ 39 Boulevard ซ.พร้อมจิต สุขุมวิท 39 คลองเตย กรุงเทพฯ 10110

โทร 09-2664-6777

เปิดบริการ 11.00-15.00 น. และ 18.00-24.00 น. ทุกวัน (ครัวปิด 22.30 น. และ 23.00 น.เสาร์-อาทิตย์)

แนะนำ สเต๊กโทมาฮอว์ค ออสเตรเลียนวากิว เนื้อริบอายออสเตรเลียนวากิว Hanger Steak หรือเนื้อกะบังลม ไก่ย่าง เบบี้ชิคเก้น เนื้อรมควันกับชีสบูราต้า ปารีส์เบรสท์ (Paris-Brest) ขนม Valrhona Chocolate x Caramel

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
ไก่ย่าง เบบี้ชิคเก้น
ปารีส์เบรสท์
ปารีส์เบรสท์

มีคนตั้งข้อสังเกตว่า บรรยากาศวันสารทจีนปีนี้ไม่ค่อยคึกคักเท่าไรนัก เขาบอกว่าเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจกำลังย่ำแย่ ก็คงต้องต่อสู้กันต่อไปนะครับ อาจบางทีควันธูปแสงเทียนที่เพิ่งจุดเซ่นไหว้บูชาไปก็อาจเข้าหูเข้าตาให้เรามองเห็นต้นตอปัญหา จนพอจัดลำดับก่อนหลังในการแก้ไขมันได้ดีขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้

หลังวันไหว้ ก็ย่อมจะมีเนื้อหมูเห็ดเป็ดไก่เหลือไว้กินในครอบครัว หรือแจกจ่ายเพื่อนบ้านเหมือนเคย จำได้ว่าผมเคยเสนอให้เอาเนื้อไก่วันไหว้มาทำ น้ำพริกเผา (ผัด) ไก่ มาคราวนี้ก็เช่นกัน พอเห็นเป็ดไก่แขวนห้อยเป็นแถวทิวตามร้านข้างทาง ก็มานั่งคิดว่า เมื่อ “เจ้า” กินเสร็จแล้ว มนุษย์เราแต่ละบ้านจะเอาไปทำอะไรกินอร่อยๆ ต่อดีหนอ

ในที่สุดก็คิดออกครับ

ผมนึกถึง ไก่ผัดขิง คงนึกออกนะครับ ที่รู้จักหน้าค่าตาทั่วๆ ไปก็คือเนื้อไก่สดผัดใส่ขิงซอยนั่นแหละครับ บางคนใส่เห็ดหูหนูด้วย แต่โจทย์ของเทศกาลนี้คือไก่ไม่ได้สด มันเป็นไก่ต้ม ที่อาจเลาะกระดูกก่อนหั่นชิ้นแบบร้านข้าวมันไก่ หรือสับชิ้นใหญ่ทั้งกระดูกก็ได้ ที่จริงเราจะผัดไก่ต้มแบบนี้เลยก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร มันก็คงจะได้เนื้อ texture อีกแบบหนึ่งนั่นแหละ แต่ที่ผมคิดมันซับซ้อนกว่านั้นนิดหน่อย คือผมเอามันไปเชื่อมโยงกับปลาทอดผัดขิงน่ะครับ

เวลาพ่อครัวจีนทำปลาทอดผัดขิง เขาต้องแล่เอาแต่เนื้อปลา ทอดในกระทะน้ำมันร้อนๆ จนผิวกรอบดี แล้วจึงจะผัดกับเครื่องผัดขิง ทีนี้เนื้อไก่ที่เลาะกระดูกหั่นชิ้นแล้วมันก็คล้ายเนื้อปลาใช่ไหมล่ะครับ ทำไมเราจะเอามาทอดแบบเดียวกัน แล้วเบียดแทรกเข้าไปในสูตรเดียวกันนั้นบ้างไม่ได้เล่า

พอปิ๊งไอเดียแบบนี้แล้ว ก็มาสำรวจดูซิว่าเครื่องเคราเราครบหรือยัง แน่นอนครับว่าต้องมี ขิงอ่อน เอามีดเกลาๆ เปลือกออกบ้าง หั่นซอยเป็นเส้นเล็กๆ ไว้มากหน่อยก็ได้

กระเทียมทุบพอแตก สับหยาบๆ พริกชี้ฟ้าเขียวเหลืองแดงหั่นแฉลบ หอมใหญ่ ปอกเปลือกหั่นเสี้ยวหนาๆ

น้ำมันสำหรับทอด ถ้าใช้ น้ำมันหมู ก็หอมดีครับ และควรเตรียม น้ำมันงา ไว้เหยาะผสมด้วย

เครื่องปรุงเค็มใช้ เต้าเจี้ยวดำ ซีอิ๊วดำเค็ม

ขอ เหล้าจีน ไว้ใส่ให้ได้กลิ่นหอมๆ สักนิดหนึ่งนะครับ แต่หากไม่ชอบก็ไม่ต้อง นี่แหละครับทั้งหมดมีแค่นี้เองที่เราต้องเตรียม

3

เริ่มทำแบบสบายๆ โดยทยอยทอดชิ้นเนื้อไก่หั่นในกระทะน้ำมัน เหมือนเราทอดปลา พอให้ผิวแห้งกรอบ แต่ข้างในยังนิ่มอยู่ แล้วตักขึ้นไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน

หลังจากทอดไก่ ถ้าเห็นว่าน้ำมันในกระทะมากไป ก็เทออกบ้างนะครับ ทีนี้จะผัดจริงๆ แล้วนะ

เราก็ใส่กระเทียมลงไปเจียว ตามด้วยขิงซอยสักครึ่งหนึ่งก่อน พอขิงเริ่มสุกหอม ก็เติมเต้าเจี้ยวดำ ซีอิ๊วดำเค็ม เดาะน้ำตาลสักนิด แล้วทยอยใส่หอมใหญ่ พริกชี้ฟ้า ถ้าน้ำชักแห้ง เติมได้นิดหน่อยครับ

ผัดไปพอเห็นว่าหอมใหญ่ใกล้จะสุก จึงใส่ชิ้นไก่ที่เราทอดไว้ลงไป หยอดน้ำมันงา เหล้าจีน และขิงซอยที่เหลือ ผัดคลุกเคล้าให้ทั่ว

คะเนดูว่าทุกอย่างสุกเข้ากันดี ปรุงรสชาติได้เข้าท่าเข้าทีแล้ว ก็ตักใส่จานมากินกับข้าวต้มข้าวสวยร้อนๆ ได้เลยครับ

อย่าลืมโรยพริกไทยป่นใหม่ๆ เสียหน่อย จึงจะดีเลิศ

เท่านี้ก็ได้ “ไก่ทอดผัดขิงอ่อน” ซึ่งแม้เป็นของเหลือจากที่เจ้ากิน แต่เราเอามาปรุงเสียใหม่แบบซับซ้อนหน่อยๆ ใครดูเผินๆ อาจนึกว่าเราทำเนื้อปลาเก๋าปลากะพงผัดขิงแบบหรูหราราคาแพงเอาเลย

สูตรนี้คนไทยคงพอจะคุ้นเคย ถ้าใครชอบกิน อาจลองเพิ่มปริมาณน้ำมันและเหล้าจีน ผัดเคี่ยวนานหน่อยก็ได้ แต่นั่นก็จะทำให้มันเข้าใกล้สำรับผัดแบบจีนที่เรียกว่า “ซานเปยจี” (ไก่สามถ้วย) อันมีชื่อเสียงก้องโลกเข้าไปอีกนิดนึง

อาหารทั้งโลกก็เป็นแบบนี้ บางครั้งเราคิดว่าได้ลองปรับเครื่องปรุง ปรับวิธีปรุง จนกำลังจะเกิดสูตรใหม่ลับสุดยอดของตัวเองอยู่รอมร่อ ที่ไหนได้ สำรับหน้าตาแบบนั้นมีมาแล้วนานนับร้อยนับพันปี

ทำกับข้าวมันสนุกท้าทายก็ตรงนี้แหละครับ

ที่มา : มติชน

โดย : กฤช เหลือลมัย

วิธีทำแสนง่าย “ขนมวงทอง” ขนมไทยหาทานยาก ราดน้ำตาลมะพร้าว อร่อยมาก

ขนมวงทอง เป็นอีกหนึ่งขนมไทยที่หาทานยาก ลักษณะเป็นวงกลมคล้ายโดนัท ราดด้วยน้ำตาลมะพร้าว อร่อยมากหยุดกินแทบไม่ได้ หากจะทำกินเองวิธีทำก็แสนง่าย ไม่ต้องมีอุปกรณ์ทำครัวอะไรให้ยุ่งยาก โดยสูตรที่นำมาฝากนี้ เป็นสูตรจาก โครงการอัมพวา-ชัยพัฒนานุรักษ์ (มูลนิธิชัยพัฒนา)

ส่วนผสม

แป้งข้าวเหนียว 1 กก.

มะพร้าวทึนทึก 3 ขีด

กล้วยหอมงอม 4 ใบใหญ่

น้ำมะพร้าว 1 ถ้วยตวง

เกลือ 1 ช้อนชา

น้ำมันสำหรับทอด 2 ขวด

น้ำตาลมะพร้าว 1 กก.

2
วิธีทำ

นำแป้งข้าวเหนียว มะพร้าวทึนทึก กล้วยหอม น้ำมะพร้าว และเกลือเล็กน้อย ผสมกัน ใช้มือนวดให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน นวดจนแป้งไม่ติดมือ เหนียวนุ่ม จากนั้นให้นำมาปั้นเป็นรูปวงกลม มีรูตรงกลาง คล้ายโดนัท (ไม่ควรปั้นใหญ่มากเพื่อสะดวกในการทอด)

ตั้งน้ำมันให้ร้อน นำขนมลงทอดในกระทะ ใช้ไฟอ่อน ทอดจนเหลือง

 

ต่อมานำน้ำตาลมะพร้าวขึ้นตั้งไฟให้ละลายและเหนียว เสร็จแล้วนำขนมที่ทอดไว้ลงชุบหน้าเดียว เป็นอันเสร็จ

3
5

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

ตามรอยป๊า! ทายาท “เสี่ยพันล้าน” สู้ไม่ถอย เปิดร้านขายข้าวแกงปักษ์ใต้ เลี้ยงตัว

จากชีวิตที่พลิกผันของ คุณสมชาย ศรีสกุลภิญโญ ผู้ก่อตั้งบริษัท สตาร์มาร์ค เมนูแฟคเชอริ่ง จำกัด ผู้ผลิตชุดครัวไฟเบอร์กลาสแห่งแรกของเอเชีย แต่เกิดความไม่ลงตัวในธุรกิจ มีเหตุให้ไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อได้ จนนำไปสู่การฟ้องร้องถึง 13 คดี จนถึงวันนี้ก็ยังต้องขึ้นศาลอย่างต่อเนื่อง ทรัพย์สิน เงินทองที่สะสมมาก็นำไปใช้จ่ายในคดีความเป็นส่วนใหญ่ คุณสมชาย และครอบครัว จึงหันไปขายราดหน้า ซึ่งตัวเองได้คิดสูตรเฉพาะขึ้นมา จากการพัฒนาฝีมือยาวนานถึง 20 ปี และแม้ว่าจะเปิดให้บริการเพียงไม่นาน แต่ปรากฏได้รับความสนใจ มีคนแห่ไปอุดหนุนกันอย่างเนืองแน่น

อีกฟากหนึ่งของ คุณกอล์ฟ-เดชนันท์ ศรีสกุลภิญโญ ลูกชายคนโตของคุณสมชาย ในจำนวนพี่น้อง 5 คน ก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากคดีความ และถูกเลิกจ้างออกจากบริษัท ซึ่งที่ผ่านมาเขาตัดสินใจฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยจากการถูกเลิกจ้าง แต่ปัจจุบันยังไม่ได้รับ เพราะล่าสุดกรมบังคับคดี ได้อายัดเงินในบริษัทไว้

ที่ปรากฏว่ามีเงินสดคงเหลือเพียง 6,000 กว่าบาท และจนบัดนี้ก็ยังไม่ได้รับเงินชดเชย จึงต้องใช้เงินเก็บส่วนตัว ที่เก็บสะสมมาจากการทำงาน ที่เดิมตั้งใจจะใช้เพื่อจัดงานแต่งงานโดยไม่ต้องรบกวนพ่อแม่ แต่เรื่องนั้นในวันนี้กลายเป็นสิ่งสิ้นเปลืองไปเสียแล้ว จึงตัดสินใจนำมาลงทุนทำร้านอาหารปักษ์ใต้กับแฟนสาว คุณกวาง-ยูนิกา ชุมสุข ซึ่งมีฝีมือในการทำอาหาร เนื่องจากเป็นลูกมือและช่วยคุณแม่มาตั้งแต่เด็ก โดยยึดทำเลในซอยแจ้งวัฒนะ 14 ใช้ชื่อร้าน “ข้าวแกง สะตอ เบอร์รี่”

“ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาขายอาหาร อาชีพที่ไม่คุ้นเคย และค่อนข้างไกลตัวมาก ถึงคุณพ่อจะสอนให้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสมถะ แต่ก็ไม่เคยอยู่แบบนี้ ในวันที่เราต้องช่วยกันประหยัด ต้องยอมรับสภาพทุกอย่างได้ และทำทุกวันให้ดี คุณพ่อจะสอนเรื่องการจัดการ การใส่ใจในรายละเอียดความต้องการของลูกค้า คุณพ่อบอกว่า ไม่ว่าเราจะทำธุรกิจอะไรก็ตาม ลูกค้าต้องได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด ผมไม่เคยทำอาหารเลย แต่เป็นนักชิมที่ดี ทุกวันนี้ยังมีหน้าที่ชิมเหมือนเดิม เพียงแต่วันนี้ ชิมเพื่อเป็นต้นทางให้ลูกค้า มีความพอใจสูงสุด อาหารทุกเมนู ต้องชิม จนคิดว่าอร่อยที่สุดแล้ว จึงจะบอกว่าผ่าน และเป็นเมนูของร้านได้” คุณกอล์ฟ พูดไปยิ้มไป

ก่อนเล่าต่อ เขากับแฟนสาว หาทำเลกันอยู่หลายที่ ตั้งแต่แถวบางแค ฝั่งธนบุรี จนมาจบที่แจ้งวัฒนะ 14 เพราะเป็นแหล่งชุมชน มีคนอาศัยอยู่หนาแน่น เลยเช่าทั้งหลัง 4 ชั้น และเพื่อเป็นการประหยัด จึงพักอาศัยไปด้วยเลย เริ่มแรกคุณพ่อช่วยออกแบบแก้ไขพื้นที่ภายในร้านให้ และเดินทางไปเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์สเตนเลสและเครื่องมือในครัวจากประเทศจีน เนื่องจากราคาถูกกว่าที่เมืองไทยหลายเท่า โดยที่คุณพ่อออกค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้ ส่วนเขาติดต่อหาช่าง และวัสดุก่อสร้างในประเทศไทย ส่วนชั้น 2 ก็เตรียมไว้สำหรับการขยายเพิ่มเติม ชั้น 3 และ ชั้น 4 เป็นห้องพัก

ด้านคุณกวาง สาวปักษ์ใต้ร่างเล็ก หน้าคมเข้ม นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ บอกเล่าเพิ่มเติมว่า คลุกคลีกับการทำและการขายอาหารปักษ์ใต้มา 15 ปี โดยช่วยคุณแม่ขายอยู่ที่หลังศูนย์ราชการ ติดกับเคหะหลักสี่ ขายดีมาก ตัวเองเป็นทั้งเป็นลูกแม่ และลูกมือมาตั้งแต่เด็ก รู้กระบวนการขั้นตอนการปั่น โขลกพริกแกง แม่บอกทุกสูตรเด็ด ฝีมือช่วงแรกอาจจะสู้แม่ไม่ได้ แต่จากการคลุกคลี สู่การปรุงแทน วันนี้ แม่ทำอร่อยยังไง ลูกก็ทำได้แบบนั้น และในบางเมนู เธอคิดขึ้นมาเพิ่ม เพื่อประยุกต์ให้เข้ากับกลุ่มลูกค้า รวมถึง การขยายฐานลูกค้า ที่ไม่ได้รอเพียงกลุ่มวอล์กอิน แต่ต้องวอล์กเข้าไปหาลูกค้าด้วย มีการออกร้าน และมีเพจ “ข้าวแกงสะตอเบอร์รี่แจ้งวัฒนะ 14” เพื่อโปรโมทร้านค้าอีกทาง รวมถึงการให้บริการส่งตรงถึงบ้าน รับออร์เดอร์ผ่านทางเพจ ซึ่งมีความสำคัญมากในยุคปัจจุบัน

คุณกอล์ฟ-คุณกวาง
คุณกอล์ฟ-คุณกวาง
5

คุณกวาง บอกว่า ทุกเช้าจะไปจ่ายตลาดเอง ต้องหาวัตถุดิบเองเพื่อควบคุมคุณภาพ และที่สำคัญ จะลดการรั่วไหลของต้นทุนที่ไม่จำเป็น ลองผิดลองถูกกันอยู่หลายเดือน กว่าที่จะรู้ว่า ของที่ซื้อมาหลายอย่างนั้น แพงกว่าแหล่งผลิตถึง 3 เท่า ธุรกิจร้านอาหาร มีฝีมือ ทำอาหารอร่อยอย่างเดียวไม่พอ เพราะจะมีต้นทุนต่างๆ เยอะมาก โดยเฉพาะต้นทุนวัตถุดิบ หากไม่ได้ซื้อในแหล่งที่ถูกก็จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว

“ก่อนหน้านี้ ได้ไปเดินงาน THAIFEX ทำให้ได้รู้จักกับผู้ผลิตหลายคน ทำให้ได้วัตถุดิบคุณภาพดี ราคาถูก นอกจากนี้ กวางก็จะไปจ่ายตลาดเองตั้งแต่เช้ามืดที่ตลาดยิ่งเจริญ และใช้เครดิตของแม่ คือ การที่แม่แนะนำร้านวัตถุดิบที่แม่ซื้อมานานจนคุ้นเคยกันมา 17 ปี ทำให้ลดต้นทุนบางอย่างลงไปได้มาก ส่วนเนื้อหมู สั่งมาจากฟาร์มหมูที่ได้รับการรับรองความปลอดภัย ซึ่งร้านหมูจะอยู่ไม่ไกลจากร้านของเราเท่าไหร่ค่ะ”

คุณกวาง เผยถึงตรงนี้ คุณกอล์ฟ จึงพูดเสริมด้วยแววตาเป็นห่วงคนรักที่นั่งอยู่เคียงข้างว่า

“ผมสงสารกวางนะ เขาต้องตื่นแต่เช้า เพื่อไปตลาด แต่บอกเขาว่าให้อดทน เขาเคยบอกว่า อยากไปเที่ยวพักผ่อนบ้าง ผมก็บอกว่า เราพยายามทำให้ร้านอยู่ตัวก่อน เรื่องเที่ยวพักผ่อน ไปตอนไหนก็ได้ ตอนนี้ยังลำบากกันอยู่ต้องสู้กันอีกสักนิด เราต้องพิสูจน์อะไรหลายอย่าง เพื่อให้ธุรกิจที่ทำด้วยกันไปได้”

อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ยอมรับว่า ภาวะเศรษฐกิจนั้น มีผลกระทบต่อยอดขาย แม้ความอร่อย คุณภาพ จะไม่ได้ลดลง แต่จำนวนของลูกค้าประจำ ที่เคยพักอาศัยอยู่ในซอยแจ้งวัฒนะ 14 ที่ลดลง เนื่องจากถูกเลิกจ้าง จึงต้องย้ายออกไป ร้านค้าที่อยู่ในซอยเดียวกันหลายร้านเป็นเหมือนเพื่อนบ้านรู้จักกันมาตั้งแต่เริ่มมาเปิดร้านในช่วง 2 ปี ซึ่งล้มเลิกกิจการไปไม่น้อย ดังจะเห็นป้ายให้เช่าที่มีให้เห็นตลอดซอย ส่วนที่ร้านของพวกเขาเอง ยอดขายลดลงบ้าง แต่ลูกค้าประจำยังเหนียวแน่น ทำให้พออยู่ได้ เนื่องจากราคาไม่ได้สูงมากนัก และลูกค้าติดรสชาติและมีการบอกต่อ

สำหรับเมนูเด็ด ที่คุณกวาง บอกว่า ลูกค้าจะสั่งซ้ำเสมอ คือ น้ำยาปู ซึ่งขายอยู่ชุดละ 80 บาท ถ้าเป็น น้ำยาปู + ไข่ปู ชุดละ 120 บาท ส่วนเมนูข้าวแกงที่ขายดีมากคือ ผัดหมูกะปิ ปลาแดงทอดขมิ้น คั่วกระดูกหมู ผัดเผ็ดสะตอ ฯลฯ รับประทานได้ทั้งครอบครัว ราคาไม่แพง ลูกค้าส่วนใหญ่บอกว่า “อร่อยทุกเมนู”

หากท่านใด มองหาร้านอาหารอร่อย แวะไปที่ร้าน “สะตอ เบอร์รี่ ข้าวแกงเมืองคอน” เข้าซอยแจ้งวัฒนะ 14 ไปเพียง 400 เมตร อยู่ฝั่งซ้ายมือ ตึกสีชมพู หรือสั่งซื้อผ่าน ไลน์แมน วงใน LINE MAN Wongnai ได้โดยพิมพ์ชื่อร้าน “ข้าวแกงสะตอเบอร์รี่” หรือพิมพ์ค้นหาร้าน “ข้าวแกง” ใน “เขตหลักสี่” ก็จะพบชื่อร้านติดดีกรีอันดับ 1 ในพื้นที่ รับรองไม่ผิดหวัง

6

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

อายุน้อย-ทุนจำกัด ไม่ใช่อุปสรรค สาวนศ.ผุดไอเดียทำ “หมูกระทะพร้อมทาน” ขายดีวันละ 50 แก้ว!

อีกหนึ่งตัวอย่างธุรกิจของผู้ที่ตั้งใจจริง  “หมูกระทะพร้อมทาน”  เป็นกิจการ หมูกระทะดิลิเวอร์รี่ปรุงสำเร็จบรรจุในแก้วพลาสติก สามารถแกะน้ำจิ้มราดแล้วทานได้เลย ไม่ต้องปิ้งย่างให้เสียเวลา ที่สำคัญสามารถพกพาไปทานที่ไหนก็ได้ เพราะใส่มาในแก้วพลาสติก แบบครบเซ็ต

เจ้าของคือ คุณดาว – ชลธิชา โกติยะ อายุ 21 ปี นักศึกษา จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เธอเล่าว่า ปกติทำหมูกระทะทานที่บ้านอยู่แล้ว เพื่อนบอกว่าอร่อย จึงอยากทำร้านหมูกระทะ แต่ด้วยอายุน้อย ยังไม่มีทุนมากพอที่จะเปิดร้าน จึงทำในรูปแบบย่างสำเร็จพร้อมทาน ใส่ในแก้วพลาสติก เพื่อประหยัดต้นทุน

ก่อนเล่าต่อว่า หลังจากเปิดร้าน ผลตอบรับดีเกินคาดคงเพราะราคาถูก แก้วละ 39 บาท คนจึงให้ความสนใจกันเยอะแบบไม่น่าเชื่อ ยอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 50 แก้ว แต่บางวันขายได้ 80-90 แก้วเลยทีเดียว กลุ่มลูกค้ามีทุกเพศทุกวัย แต่ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น คิดว่าคนให้ความสนใจเพราะความแปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร

ถามถึงข้อแตกต่างจากหมูกระทะรูปแบบทั่วไป คุณดาวเผยว่า ลูกค้าสามารถพกพาไปทานที่ไหนก็ได้ สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยเพราะใส่ในแก้วพลาสติก นอกจากนี้ น้ำจิ้มของร้านรสชาติอร่อย ใช้วัตถุดิบสด สะอาด ทำใหม่วันต่อวัน ที่สำคัญราคาไม่แพง ยุติธรรมกับลูกค้า

 

ด้านแผนการตลาด คุณชลธิชา บอกยิ้มๆ

“ตอนนี้อยากขายแบบดิลิเวอร์รี่นี้ไปเรื่อย ๆ ก่อน ยังไม่อยากทำร้าน เพราะเรายังเรียนอยู่ ที่สำคัญ ทุนไม่พอที่จะเปิดร้านใหญ่ ๆ สำหรับอุปสรรคสำคัญในการทำธุรกิจ คือ  ทางร้านขาดกำลังคนในการขนส่ง ยิ่งวันไหน ออเดอร์เยอะ ลูกค้าก็รอนาน เพราะมีคนส่งอยู่ไม่กี่คน”

สนใจอยากอุดหนุน สามารถเข้าไปได้ที่ facebook : shake it dao หรือโทร 080-704-5631 (คิดค่าส่งตามระยะทาง

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

อยากเดาว่า คงมีคนเคยกิน เห็ดตับเต่า (King bolete mushroom) ไม่มาก แม้ส่วนใหญ่น่าจะเคยเห็นวางขายตามตลาดสดบ้านๆ ในช่วงต้นถึงกลางฤดูฝน ซึ่งก็คือช่วงนี้แหละนะครับ อาจเพราะด้วยชื่อ ด้วยรูปทรง และด้วยสีที่ออกดำๆ ดูไม่ชวนกินเอาเสียเลยก็เป็นได้

เท่าที่รู้ คนเหนือเอามันมาแกงอ่อมเปล่าๆ บ้าง ใส่หมูบ้าง แกงใบมะขามอ่อนน้ำใสๆ บ้าง ส่วนคนบ้านสวนภาคกลางแถบบางกรวย ไทรม้า นนทบุรี มีสูตรยำใส่กะทิ หมูสามชั้น กุ้งแห้ง ตะไคร้ใบมะกรูดซอย กับทำฉู่ฉี่น้ำข้นๆ ใส่เนื้อปลาทูนึ่ง ทั้งสองสูตรนี้อร่อยมากๆ ครับ โดยเฉพาะถ้าได้เห็ดอ่อน ดอกเล็กๆ ซึ่งมีความกรุบกรอบ เคี้ยวมันอย่างหาตัวเปรียบได้ยาก

สมัยก่อน ที่ผมทำบ่อยคือแกงอ่อมแบบอีสาน ใส่พริกสด หอมแดง ตะไคร้ตำ ในหม้อน้ำใบย่านาง ปลาร้า ชะอม ต้นหอม ใบแมงลัก ผมคิดว่าคงไม่ได้รู้สึกไปเองคนเดียว ว่าเห็ดตับเต่าอ่อนๆ กรอบๆ นั้น ได้สังเคราะห์กลิ่นดินหอมๆ เข้าไว้ในน้ำเนื้อของมันมากยิ่งกว่าเห็ดเผาะเสียอีก ทำให้เมื่อเอามาปรุงกับข้าวแล้ว กับข้าวชามนั้นก็จะมีเอกลักษณ์ในตัวเองสูง

ความที่เพิ่งได้เห็ดตับเต่ามาถุงหนึ่ง แต่เป็นเห็ดที่ไม่ใหม่เท่าใดนัก ความกรุบกรอบลดน้อยไปเกือบครึ่ง ดังนั้น จึงไม่สามารถจะเอามายำอร่อยๆ กินได้นะครับ จำต้องยักย้ายไปปรุงเป็นสำรับอื่นที่จะช่วยพยุงรสชาติเอาไว้ให้ได้

มันก็เหมือนเวลาเราได้กุ้ง ปู ปลาที่ไม่สดมากนักมา จะปิ้งจะยำก็ไม่ได้แล้ว ต้องเอาไปต้มไปแกง ให้เครื่องต้มเครื่องแกงช่วยดึงรสชาติขึ้นมา อย่างนี้เป็นต้น

ผมนึกถึงสำรับไทยภาคกลางระดับคลาสสิก คือ ต้มกะทิสายบัวปลาทูนึ่ง แต่ครั้งนี้ผมจะชักเอาสายบัวออก ใส่เห็ดตับเต่าเข้าไปแทนที่เลย ก็ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ?

หลังจากใช้มีดเล่มเล็กๆ เกลาเศษดินตรงโคนเห็ดออก ล้างน้ำเร็วๆ โดยใช้กาบมะพร้าว ใยบวบ หรือฟองน้ำขัดคราบดำๆ ออกบ้างจนดอกเห็ดสะอาดดีแล้ว ก็หั่นเป็นชิ้นหนาๆ ไว้

ตำพริกไทยขาว รากผักชี หอมแดง กะปิเข้าด้วยกันในครกหินจนละเอียด เป็นพริกแกง

แกะปลาทูนึ่งเอาแต่เนื้อไว้เป็นซีกๆ

เตรียมหากะทิสดไว้ให้พร้อม

ละลายพริกแกงในกะทิใสหน่อย ต้มจนเดือดสักครู่ ถ้าจะให้รสชาติกลมนัว ควรจะเติมเปรี้ยวนิดเดียวด้วยน้ำมะขามเปียก หรือชิ้นส้มแขกแห้งนะครับ จากนั้นใส่เห็ดตับเต่าลงไป ต้มราว 5 นาที เติมหัวและหางกะทิให้แกงข้นใสพอดีๆ อาจเพิ่มน้ำตาลปี๊บได้ ถ้าชอบให้มีรสหวานอ่อนๆ ใส่เนื้อปลาทูนึ่งตามลงไป ถ้าต้องการให้เนื้อนิ่มๆ ก็รีบยกลงหลังใส่ไปราวสองสามอึดใจ ไม่อย่างนั้นเนื้อปลาทูนึ่งที่แกะออกจากก้างแล้วจะแข็งกระด้างเร็วมากในหม้อแกงเดือดๆ นะครับ

โรยต้นหอมหั่นยาวๆ ลงในหม้อเพื่อเพิ่มกลิ่นผักๆ ไปตัดความมันเลี่ยนของกะทิ และสร้างดุลยรสกับกลิ่นดินของเห็ดตับเต่า สีน้ำแกงจะออกคล้ำๆ ปนเหลืองนิดๆ จากสีของเนื้อในเห็ดตับเต่าเอง และที่ค่อนข้างแปลก คือเราจะรู้สึกว่ากลิ่น ?ต้มกะทิเห็ดตับเต่า? ใส่เนื้อปลาทูนึ่งของเราหม้อนี้ คล้ายว่ามีกลิ่นถั่วเมล็ดแข็งอย่างถั่วลิสงปนอยู่ด้วยหน่อยๆ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ใส่ลงไปแม้แต่เม็ดเดียว

มันเป็นความลี้ลับพิสดารอีกประการหนึ่งของการปรุงกับข้าวกับปลา ที่การผสมผสานของวัตถุดิบบางสิ่ง กลับทำให้เกิดกลิ่น รส หรือกระทั่งเนื้อสัมผัสเหมือนอีกสิ่งหนึ่งที่เราคุ้นชิน โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ

กินราดข้าวชุ่มๆ หรือซดน้ำร้อนๆ ก็ชื่นใจเหมือนเราเคยกินต้มกะทิสายบัวปลาทูนึ่งทุกประการครับ

1
4

ที่มา : มติชน

ผู้เขียน : กฤช เหลือลมัย

คอพะโล้ จะต้องติดใจ หมูพะโล้ปลาเค็ม

ลืมเรื่อง ไข่พะโล้บูดเอาไว้ชั่วคราว

เพราะคราวนี้ กฤช เหลือลมัย คอลัมนิสต์ คอลัมน์อาหาร ในหนังสือพิมพ์ มติชน ได้นำเสนอ “หมูพะโล้ปลาเค็ม” มายั่วยวน คอพะโล้ และไม่พะโล้ทุกคน ที่รับรองว่า เอาสูตรนี้ไปทำแล้วจะติดอกติดใจในรสชาติไปอีกนาน

พะโล้ปลาเค็ม โดย กฤช เหลือลมัย

การต่อยอดจากสูตรของ ประยูร จรรยาวงษ์

 

ใครก็ตามที่ชอบทำอาหาร คงเคยรู้สึกเหมือนผมบ้างไม่มากก็น้อย คือรู้สึกว่า สูตรอาหารบางสำรับนั้น มันแสนที่จะลงตัว พอเหมาะพอดี ไม่มีขาดมีเกิน กินครั้งใดก็อร่อย ทั้งอยากกินไปเรื่อยๆ ไม่มีหยุด จนพาลสงสัยว่าคนคิดเขาคิดขึ้นมาได้ตอนไหนอย่างไรเอาเลยทีเดียว

สูตรหนึ่งที่ผมยอมใจมานาน ก็คือ “หมูตุ๋นปลาเค็ม” ของ คุณประยูร จรรยาวงษ์ นักเขียนการ์ตูนผู้ยิ่งยง ซึ่งแม้ท่านล่วงลับไปแล้วเมื่อ 27 ปีก่อน ทว่ารสมือของท่านในหมูตุ๋นฯ หม้อนี้ย่อมจะส่งต่อไปยังใครต่อใครอีกมากมายไม่มีวันจบสิ้น คุณประยูรใช้หมูสามชั้นติดหนัง ตุ๋นในหม้อน้ำมัน กับปลาสละเค็ม ตะไคร้ กระเทียม พริกไทย ปรุงด้วยซีอิ๊วขาวและซอสปรุงรส จนน้ำแห้ง หมูเดือดฉ่า ผิวนอกเกรียมน้ำมันนิดๆ

กลิ่นและรสเปรี้ยวซ่าของตะไคร้ ผสานกับกระเทียมพริกไทยสุกหอมในน้ำมันของชิ้นหมูเกรียม ซึ่งพลอยซึมซับรสเค็มลึกๆ ของปลาเค็มไว้อย่างเต็มที่ แถมมีซีอิ๊วขาวแต่งรสให้มีสีสันขึ้นอีก มันทำให้แม้ผมจะเคยพยายามลองเพิ่ม ลด ดัดแปลงวิธีปรุงและวัตถุดิบบางตัวให้ต่างออกไปบ้าง ทว่าก็ไม่อาจสร้างหมูตุ๋นปลาเค็มหม้อใหม่ที่พอเทียบเคียงสูตรคุณประยูรได้เลยจริงๆ

ผมจึงคิดว่า ถ้าอย่างนั้น เรา “ขอยืม” มาใช้กับสำรับที่ใกล้เคียงกันน่าจะดี เช่น หมูพะโล้ โดยนึกเชื่อมโยงไปถึงขาหมูพะโล้สูตรหนึ่งซึ่งพ่อครัวใส่ปลาเค็มต้มรวมไปในหม้อด้วย กับนึกถึงพะโล้ที่บ้านเพื่อนผมคนหนึ่ง ซึ่งแทนที่จะใช้ไข่เป็ดไข่ไก่ เขาก็ใช้ไข่นกกระทาแทน

บางที การที่เราพออธิบายได้ว่า สิ่งที่เรากำลังจะต้มผัดแกงทอด ฯลฯ ต่อไปนี้ มันมี “ราก” ที่อ้างอิงได้ พูดง่ายๆ คือไม่ได้มั่วนิ่ม ก็ช่วยเรียกความมั่นใจได้ไม่น้อยนะครับ

ถ้ามั่นใจกันแล้ว ก็เริ่มทำ “หมูพะโล้ปลาเค็ม” ของเราเลยดีกว่า ค่อยๆ เตรียมไปทีละอย่างครับ เช่นว่า หั่นหมูเป็นชิ้นใหญ่ๆ ต้มไข่นกกระทาในหม้อน้ำจนสุก ปอกเปลือกไว้

ทอดปลาอินทรีเค็ม แล้วทำใจแข็งไว้ อย่าได้ซอยพริกซอยหอมบีบมะนาวลงไปเป็นอันขาด เดี๋ยวเผลอกินหมดซะก่อน

1

ทอดเต้าหู้แข็งพอให้ผิวนอกเกรียมๆ

ตัดตะไคร้ ทุบพอแตก หัวกระเทียมปอกเปลือกแค่เกลาๆ เอาปลายมีดจิ้มให้เป็นรูทั้งหัว

เตรียมรากผักชี เกลือ พริกไทยดำบุบ น้ำตาลอ้อย และซีอิ๊วดำหวานดำเค็ม เพื่อ “แปลงร่าง” สูตรของคุณประยูรให้มีความเป็นพะโล้มากขึ้น

ผมเพิ่มพริกขี้หนูแห้งเม็ดใหญ่ เพื่อให้มีรสเผ็ดแหลมแทรกบ้างนิดหน่อยด้วยครับ

พอเตรียมครบแล้ว ก็เอาชิ้นหมูสามชั้นลงผัดในกระทะน้ำมัน เติมเกลือ ซีอิ๊วดำหวานดำเค็ม เพื่อย้อมสีหมูให้คล้ำสวยสักครู่ จึงวางชิ้นปลาเค็มให้เข้าที่เข้าทาง สลับด้วยหัวกระเทียม พริกไทย รากผักชี พริกแห้ง และท่อนตะไคร้ทุบ แล้วเติมน้ำให้ท่วม ทยอยใส่เต้าหู้ทอด ไข่นกกระทา เติมน้ำตาลปรุงรสหวานได้อีกหน่อยถ้าชอบ

ต้มรุมไฟอ่อนไปราว 2 ชั่วโมง คอยเติมน้ำไว้อย่าให้แห้ง กับชิมให้ได้รสเค็มหวานอย่างที่ต้องการ ทั้งหมู ปลาเค็ม เครื่องปรุง และน้ำพะโล้จะค่อยๆ จัดการตัวเองให้รสชาติกลมกลืนกัน โดยที่เราไม่ต้องห่วงเรื่องการปรุงสักเท่าไหร่หรอกครับ

พอหมูสามชั้นเปื่อยนุ่มดีแล้ว มันจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของตะไคร้ เจือรสเค็มลึกๆ และกลิ่นยั่วยวนของปลาเค็มอบอวลไปทั้งหม้อ แถมไข่นกกระทาก็ให้เนื้อสัมผัสกรุบกรอบที่แปลกออกไป มีรสเผ็ดพริกแซมแทรกเล็กน้อย เรียกว่าจิตวิญญาณของกับข้าวหลายจานดูจะมารวมกันอยู่ที่นี่

พะโล้ของเราหม้อนี้ ถึงจะแปลก แต่ย่อมอร่อยถูกปากแน่นอนครับ

ที่มา : มติชน

ผู้เขียน : กฤช เหลือลมัย

เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 8 สิงหาคม ที่ลานฟู้ดวอล์ค พลาซ่า ชั้น G ศูนย์การค้าเมกาบางนา ศูนย์การค้าเมกาบางนา สุดยอดแหล่งช้อปปิ้งและสถานที่พบปะสังสรรค์แห่งย่านกรุงเทพตะวันออก ร่วมกับ ศูนย์อาชีพและธุรกิจมติชน(มติชนอคาเดมี) สร้างปรากฎการณ์ความอร่อย เปิดงาน  “เมกา ฟู้ด เทสติวัล 2019” ภายใต้แนวคิด“Eat Like A Local”  จัดโดยมติชนอคาเดมี ตั้งแต่วันนี้ – 12 สิงหาคม โดยมีคุณสิรินฉัตร แสงศรี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ศูนย์การค้าเมกาบางนา และ คุณสกุณา ประยูรศุข ผู้อำนวยการมติชนอคาเดมี ร่วมเปิดงาน

โดยงาน  “เมกา ฟู้ด เทสติวัล 2019” ได้รวบรวมกว่า 30 ร้านอร่อยระดับตำนานมาไว้ในแห่งเดียว ให้สายชิม สายช้อป ได้มารวมตัวกันอิ่มอร่อยและฟินสุดๆ กับเมนูอร่อย หาทานยากที่ทุกคนรอคอย อาทิ ร้านเฮียจกโต๊ะเดียว, ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวนายหมี วัดหนามแดง, ขนมไทยป้าเยาว์ 

เจ้าเก่าติวานนท์ ฯลฯ พร้อมสนุกสนานกับเวิร์คช้อปพิเศษต้อนรับเทศกาลวันแม่ อาทิ เวิร์คช้อปการชงชาเฉพาะบุคคล การทำ DIY โปสการ์ดแม่-ลูก การทำเจลลี่ดอกไม้ และการประดิษฐ์ช่อดอกมะลิ ฯลฯ

คุณสิรินฉัตร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ศูนย์การค้าเมกาบางนา เปิดเผยว่า ด้วยแนวคิดของศูนย์การค้าเมกาบางนา ที่นำเสนอการเป็น  “Meeting Place” สุดยอดแหล่งช้อปปิ้งและสถานที่พบปะสังสรรค์แห่งย่านกรุงเทพตะวันออก รองรับทุกเจนเนอเรชั่น ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงกลุ่มคนสูงอายุ โดยกิจกรรมสำคัญที่เป็นศูนย์รวมของทุกคน ในครอบครัว คือ การมาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน เพื่อสร้างประสบการณ์แห่งความสุขร่วมกัน ดังนั้นศูนย์การค้า               เมกาบางนา จึงเป็น Food Destination แห่งกรุงเทพตะวันออกที่รวบรวมร้านอาหารกว่า 165 ร้าน ทั้ง ร้านอร่อย ร้านชิล ร้านฮิตอินเทรนด์ และร้านชื่อดังในตำนาน ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกรับประทานได้หลากหลายในทุกๆ โอกาส

“โดยงาน “เมกา ฟู้ด เทสติวัล 2019 เรามีความตั้งใจจะสร้างสีสันแห่งความสุข ความอร่อยในรสชาติ และ มอบประสบการณ์ใหม่ๆ ในการมารับประทานอาหารที่เมกาบางนาให้กับลูกค้า พร้อมทั้งกระชับความสัมพันธ์ครอบครัว เนื่องในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นเดือนแห่งวันแม่อีกด้วย”คุณสิรินฉัตรกล่าว

ทั้งนี้ คุณสิรินฉัตรและคุณสกุณา ยังได้ร่วมพูดคุยถึงแนวคิด Eat Like a Local ด้วย

โดยคุณสิรินฉัตร กล่าวว่า โดยส่วนตัวเป็นสายหวาน สายขนม ชอบขนมไทย พอรู้ว่าเครือมติชนนำขนมหม้อของป้าเยาว์ร้านอร่อยมาออกบูธในงานนี้ก็รู้สึกดีใจที่ได้ทาน

คุณสิรินฉัตร แสงศรี
จก โต๊ะเดียว
จก โต๊ะเดียว

ด้านคุณสกุณา กล่าวว่า ถ้าถามว่าเมนูสุดโปรดคืออะไร ตอบยากที่สุดในชีวิต เพราะชอบรับประทานชอบชิมอาหารอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้ตอบจริงๆ ชอบเมนูเส้นทุกชนิด ทุกอย่าง

ส่วนเทรนด์อาหารที่กำลังมาในตอนนี้ คุณสกุณา บอกว่า ยังคงเป็นอาหารสุขภาพ ปัจจุบันคนยังห่วงใยสุขภาพตัวเองมาก ก่อนจะกินอาหารจะดูก่อนว่าอันตรายไหม ปลอดภัยไหม เชื่อว่าเทรนด์อาหารสุขภาพยังคงอยู่และยังอยู่ต่อไปอีกหลายปี

นอกจากนี้ เฮียจก – สมชาย ตั้งสินพูลชัย ได้โชว์สาธิตการทำเกี๊ยวกุ้ง ที่เพิ่งได้รับมิชลินไกด์ มาหมาดๆ โดยเฮียจก เผยถึงเคล็ดลับการก้าวมาสู่ร้านอร่อยระดับตำนาน คือ 1.คัดสรรวัตถุดิบอย่างดี 2.ต้องมีเทคนิคการทำ และ3.ทำด้วยใจ

แยม ฐปณีย์

ด้าน แยม ฐปณีย์ เอียดศรีชัย ผู้สื่อข่าวชื่อดัง ที่มาออกบูธร้านขนมจีนบ้านพี่แยม กล่าวถึงแรงบันดาลใจในการทำขนมจีนมาจาก เป็นคนจ.สงขลา จึงชื่นชอบอาหารใต้เป็นพิเศษอยู่แล้ว และเรามีสูตรพิเศษขนมจีนน้ำยา ลองทำให้เพื่อนกิน และเพื่อนเชียร์ให้เปิดร้าน จึงเป็นที่มาของขนมจีนบ้านพี่แยม ของเราจะเป็นสูตรพิเศษนอกจากขนมจีนน้ำยาปลาแล้ว เรายังใส่ปู และซีฟู้ด มีให้เลือกหลายแบบด้วย รสชาติของเราจะไม่เผ็ดมากอย่างอาหารใต้ จะเผ็ดกลางๆเพื่อให้คนภาคกลางทานได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงาน “เมกา ฟู้ด เทสติวัล 2019” ได้รวบรวมเอาร้านดังร้านเด็ดที่เป็นไฮไลท์ตามแนวคิด “Eat Like A Local” กว่า 30 ร้านอร่อย ทั้งอาหารหลัก ขนมหวาน และเครื่องดื่มสูตรพิเศษ อาทิ ร้านเฮียจกโต๊ะเดียว, ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวนายหมี, ขาหมูกรอบ บาย เชฟเดย์, ดีว่ะ แหนมเนือง, ร้านถนัดหอย, ร้านขนมจีนบ้านพี่แยม(ฐปณีย์) , ขนมไทยสูตรต้นตำรับ ขนมไทยป้าเยาว์ เจ้าเก่าย่านติวานนท์,

ร้านพริกไทยสด Peppercorn อาหารใต้รสชาติเข้มข้นจัดจ้าน , ร้าน Grün cafe’& Eatery และ ร้าน Piset Restaurant Phuket เป็นต้น พร้อมทั้งมีกิจกรรมสาธิตแนะนำวิธีการปรุงอาหารเมนูอร่อยจากเชฟคนดังอีกด้วย อาทิ เชฟเฮียจก – สมชาย ตั้งสินพูลชัย และ เชฟแจ็ค – จักรภัทร กีรพัฒนพิบูลย์ จากร้านขาหมูกรอบ บาย เชฟเดย์ เป็นต้น

พร้อมกันนี้ ภายในงานยังจัดเวิร์คช้อปพิเศษต้อนรับเทศกาลวันแม่ อาทิ เวิร์คช้อปการชงชา (Tea Blending) ที่แนะนำการชงชาที่เหมาะกับแต่ละบุคคล ทั้งชาเขียว ชาขาว ชาดำ และชาอูหลง, การถ่ายทอดความรักความผูกพันของคุณแม่คุณลูก ผ่านการประดิษฐ์โปสการ์ด, เวิร์คช้อปการเจลลี่ดอกไม้ และการทำซุ้มดอกมะลิที่สวยงามเป็นสัญลักษณ์ในวันแม่ เป็นต้น

อีกทั้งยังมอบสิทธิพิเศษสุด! สำหรับสายชิมสายช้อปรับสิทธิประโยชน์ สุดคุ้ม 2 ต่อ คุ้มต่อที่ 1 ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นเมกาบางนา (Megabangna) รับฟรีทันที Megabangna Application Shopping Bag ผลิตจากวัสดุกันน้ำได้ ดีไซน์สวยเท่แบบรักษ์โลก และคุ้มต่อที่ 2 สมาชิกเมกาสไมล์รีวอร์ดส กดแลกรับ อี – คูปองส่วนลดสูงสุด 20 บาท สำหรับซื้ออาหารและเครื่องดื่มภายในงาน

สายช้อปสายชิม ห้ามพลาด! ตามรอยอร่อยในสไตล์ Eat Like A Local ในงาน “เมกา ฟู้ด เทสติวัล 2019  จัดโดย เครือมติชน” ตั้งแต่วันนี้ – 12 สิงหาคมนี้ ณ ชั้น G โซนฟู้ดวอล์ค พลาซ่า ศูนย์การค้าเมกาบางนา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-105-1000 และ  www.mega-bangna.com

#Megabangna #เมกาบางนา #MegaFoodTastival

DSCF5789