หลัง “รอมแพง” ผู้เขียน “บุพเพสันนิวาส” นวนิยายที่กลายมาเป็นละครสุดโด่งดัง สร้างกระแสออเจ้าไปทั่วบ้านทั่วเมือง คอนเฟิร์มแล้วว่าจะแต่งนิยายบุพเพสันนิวาส ภาค 2 ที่ใช้ชื่อเรื่องว่า “พรหมลิขิต” ออกมาให้แฟนๆ ได้อ่านกัน ทำเอาหลายคนลุ้นไปพร้อมๆ กันว่า ภาคต่อจากนี้ เรื่องราวจะออกมาเป็นอย่างไร

ล่าสุด “มติชน อคาเดมี” สัมภาษณ์ รศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี นักวิชาการประวัติศาสตร์ ถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่อาจเกี่ยวข้องกับภาคต่อของนิยายดังกล่าว โดย รศ.ดร.ปรีดี กล่าวว่า ภาคต่อของนิยายเรื่องนี้คาดว่าจะเกี่ยวข้องกับลูก 4 คนของขุนศรีวิสารวาจาและแม่หญิงการะเกด และลูกสาว 2 คนของขุนเรืองอภัยภักดีและแม่หญิงจันทร์วาด

“หากพูดถึงเรื่องของประวัติศาสตร์แล้ว เรื่องราวในนิยายจะตรงกับสมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งจะอยู่ในยุคของพระเพทราชาและพระเจ้าเสือนิดหน่อย แต่จะหนักไปที่ยุคของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระมาก เพราะเป็นยุคที่ลูกๆ ของตัวเอกในบุพเพสันนิวาสโตพอดี ซึ่งเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่สำคัญในยุคนี้มีหลายเรื่อง ได้แก่ เหตุการณ์ชีวิตของทองกีร์มา, เรื่องของพระอุบาลี ที่มีการส่งสมณทูตไปลังกา”

นอกจากนี้ ยังน่าจะมีสถานที่สำคัญ เช่น คลองโคกขาม ซึ่งเป็นคลองที่ขุดเสร็จในยุคของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ เป็นต้น ส่วนในแผ่นดินของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เรื่องราวค่อนข้างเงียบ แต่ก็มีเหตุการณ์ที่น่าสนใจคือเรื่องเจ้าฟ้ากุ้ง

ขณะเดียวกันประวัติศาสตร์อยุธยาตอนปลายจะเป็นเรื่องปัญหาการเมืองภายใน ไม่ใช่เรื่องการติดต่อกับต่างประเทศแบบในยุคสมเด็จพระนารายณ์ด้วย

ฟังแค่นี้ก็น่าสนใจแล้ว คงต้องรอลุ้นว่า “รอมแพง” จะเขียนเรื่องราวออกมาเป็นอย่างไร ส่วนใครที่สนใจประวัติศาสตร์ในยุคนี้ “มติชน อคาเดมี” อาจจัดทริปไปย้อนอดีตกับเรื่องราวในยุคปลายของกรุงศรีอยุธยา รอติดตามข่าวสารกันได้!

ห็นออกมาในละคร “บุพเพสันนิวาส” อยู่หลายฉากหลายครั้ง สำหรับ “พระปีย์” ที่แสดงโดย “เก่ง ธชย” จนบางคนสงสัยว่า พระปีย์เป็นใคร? เป็นโอรสของสมเด็จพระนารายณ์จริงหรือไม่? ทำไมพระนารายณ์ทรงโปรด?

เรื่องนี้ “รศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี” นักวิชาการประวัติศาสตร์ยุคพระนารายณ์ ให้สัมภาษณ์กับ “มติชน อคาเดมี” ว่า ในพงศาวดารบอกว่าสมเด็จพระนารายณ์มีพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียว คือ เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ ที่น่าจะประสูติแต่พระอัครมเหสี แต่ไม่มีการปรากฏว่าพระอัครมเหสีชื่ออะไร

“อย่างไรก็ดี มีอีก 2 คนที่เข้าข่ายความเป็นพระราชโอรสด้วย คือ 1.ออกหลวงสรศักดิ์ เพราะในพงศาวดารจะพูดถึงตอนที่สมเด็จพระนารายณ์เสด็จไปปราบหัวเมืองเหนือที่เชียงใหม่ และน่าจะทรงได้พระธิดาของกษัตริย์เชียงใหม่มาเป็นพระชายา ซึ่งต่อมาจะมีพระโอรส และพระโอรสองค์นี้จะมาประสูติแถบ จ.พิจิตร ที่โพธิ์ประทับช้าง ซึ่งต่อมาก็รู้กันว่าเป็นออกหลวงสรศักดิ์หรือพระเจ้าเสือ แล้วก็ทรงให้พระเพทราชาดูแลพระเจ้าเสือมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์หรือเด็กมาก เพราะฉะนั้นพระเจ้าเสือก็น่าจะเป็นโอรสแท้ๆ แต่เป็นโอรสลับของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งจะต่างไปจากกรณีของพระปีย์”

โดยพระปีย์น่าจะเป็นคนคุ้นเคยที่ท่านทรงรู้จักหรือคุ้นเคยมาก่อนหน้านั้นแล้ว เพราะว่าพงศาวดารให้พระปีย์เป็นชาวบ้านแก่ง ที่พิษณุโลก แต่จะมีประวัติความเป็นมาอย่างไรไม่ปรากฏ ทราบแต่ชื่อพ่อว่าชื่อขุนไกร แต่ก็ไม่มีบทบาทหน้าที่ของฝ่ายบิดาของพระปีย์เลย และไม่รู้ด้วยว่าพระปีย์เข้ามาอยู่ในพระราชสำนักด้วยเหตุผลกลใด ทราบแต่ลักษณะบุคลิกว่าเป็นคนเตี้ย คนค่อมที่ทรงโปรดปรานใช้งาน และอยู่ใกล้ชิดพระองค์มากที่สุด

“พระปีย์ถือว่าเป็นลูกบุญธรรม ตามที่เอกสารไทยและเอกสารตะวันตกบันทึกเอาไว้ ซึ่งเอกสารทั้งคู่บันทึกไว้ว่าเป็นลูกบุญธรรมของสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งในตอนปลายรัชกาลจะมีปัญหาเรื่องการเมือง เพราะว่าพระปีย์เองก็จะกลายเป็นหุ่นเชิดที่ฟอลคอนคิดว่า ถ้าสนับสนุนฝ่ายพระปีย์แล้วก็จะได้ราชบัลลังก์ของสมเด็จพระนารายณ์ได้ เพราะหากสมเด็จพระนารายณ์สวรรคต พระปีย์อาจจะอยู่ในข่ายของผู้ที่จะมาครองราชสมบัติต่อไป ฟอลคอนก็อาจจะเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังพระปีย์ แล้วหาทางกำจัดพระปีย์ต่อไปก็ได้”

ทั้งนี้ จริงๆ แล้วพงศาวดารไม่ได้บอกว่าเหตุใดสมเด็จพระนารายณ์ถึงโปรดปรานพระปีย์ แต่พระปีย์เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดพระองค์ท่านมากที่สุด เช่น อยู่ในห้องข้างพระที่ เวลาที่บรรทม ก็น่าจะอยู่ใกล้ที่สุด เป็นผู้ที่คอยรับคำสั่งโดยตรงจากสมเด็จพระนารายณ์ เช่น จะบอกให้ใครเข้าเฝ้าก็ต้องบอกผ่านพระปีย์ให้ไปบอกต่ออีกทอดหนึ่ง เพราะฉะนั้นพระปีย์จึงน่าจะเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดสมเด็จพระนารายณ์ที่สุดแล้ว ด้วยเหตุนั้นจึงอาจจะยังทรงไว้วางพระทัยพระปีย์

“ผนวกกับการที่พระปีย์มีลักษณะพิเศษ คือด้วยความที่เป็นค่อม เตี้ย ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มของคนที่ต้องไปรับราชการฝ่ายในอยู่แล้ว จากตามกฎหมายตราสามดวง จะมีกลุ่มหนึ่งที่เป็นกลุ่มคนพิเศษ เช่น เตี้ย ค่อม กะเทย คนเผือก คนพวกนี้จะกลายไปป็นคนที่เข้าไปอยู่ใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ ซึ่งจะกลายเป็นที่ไว้วางพระทัยมาก เพราะฉะนั้นคำว่าเป็นคนโปรด อาจจะเป็นคำของคนสมัยหลัง เพราะเห็นว่าถ้าจะเข้านอกออกใน หรือจะพูดอะไรกับสมเด็จพระนารายณ์ ก็จะต้องพูดผ่านพระปีย์” รศ.ดร.ปรีดี กล่าว

ปัจจุบันเทคโนโลยีก็ยิ่งพัฒนาไปเรื่อย มนุษย์เรามีการประดิษฐ์หุ่นยนต์ให้สามารถทำงานได้อย่างอัจฉริยะ ไม่ว่าจะเป็น หุ่นยนต์ที่สามารถสำรวจความลึกของมหาสมุทร ที่สามารถเข้าไปในสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าไปได้ นอกจากนี้เรายังมีการประดิษฐ์หุ่นยนต์ขึ้นมาทำงานอีกหลายอย่าง จนหลายคนกังวลว่าหุ่นยนต์จะเข้ามาแย่งงานของมนุษย์

แต่รู้หรือไม่ว่ายังมีงานบางประเภทที่ยังไงๆ หุ่นยนต์ก็ทำได้ดีไม่เท่าคนเลย ซึ่งงานนั้นก็คือ “การเก็บผัก-ผลไม้” นั่นเอง

การเก็บผลไม้ถือเป็นปัญหาสำหรับนักพัฒนาหุ่นยนต์ เนื่องจากการคัดเลือกผลไม้เป็นเรื่องยากสำหรับเครื่องจักร เพราะหุ่นยนต์นั้นไม่เหมือนกับมนุษย์ พวกมันไม่มีประสาทสัมผัสที่จะจับดูแล้วรู้ว่าผลไม้นี้สุกหรือไม่สุก นี่จึงเป็นความท้าทายในการออกแบบของนักพัฒนาเลยทีเดียว

เส้นทางของเครื่องเก็บเกี่ยวผลไม้

ถึงแม้ว่าหุ่นยนต์เก็บผลไม้จะยังทำงานได้ไม่ดีเท่ามนุษย์ แต่ก็ยังมีการศึกษาและพัฒนาหุ่นยนต์สำหรับเก็บสตรอว์เบอร์รี่ โดยบริษัทสัญชาติสหรัฐที่มีชื่อว่า Harvest CROO Robotics กำลังพัฒนาเครื่องจักรที่จะสามารถเก็บสตรอว์เบอร์รี่ทั้งไร่ได้ภายในเวลาเพียงแค่ 8 วินาที ย้ายไปยังแปลงถัดไปได้ภายใน 1.5 วินาที และเก็บเกี่ยวผลผลิต 30 เอเคอร์ ได้ภายใน 1 วัน โดยบริษัทดังกล่าวระบุว่า เครื่องจักรชิ้นนี้จะทดแทนแรงงานเก็บเกี่ยวได้มากกว่า 30 คน

ซึ่งการทดลองครั้งล่าสุดของ Harvest CROO Robotics พบว่า เครื่องจักรดังกล่าวจะเคลื่อนที่ไปบนทางรอบๆ แปลงโดยใช้จีพีเอสและแผนที่ในระบบของเครื่อง ซึ่งจะแสดงตำแหน่งของพืชผลแต่ละชนิด จากนั้นจะใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับว่าเป็นสตรอว์เบอร์รี่ โดยเครื่องเก็บเกี่ยวนี้ยังติดตั้งกล้องความละเอียด HD เพื่อจับตำแหน่งของผลไม้ และกรงเล็บจากหุ่นยนต์ก็จะเข้าไปเก็บผลไม้นั่นเอง

“ไม่มีใครบังคับหุ่นยนต์ดังกล่าว” พอล บิสเสตต์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Harvest CROO Robotics กล่าวระหว่างทำการทดสอบ และว่า หุ่นยนต์จะจดจำเส้นทางในแต่ละแถว และจดจำได้หมดว่าพืชผลอยู่ตรงไหน

อย่างไรก็ตาม บ็อบ พิตเซอร์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทนี้ กล่าวว่า หุ่นยนต์ดังกล่าวยังมีประสิทธิภาพไม่ดีเท่ามนุษย์ ปัจจุบันหุ่นยนต์สามารถค้นหาและเก็บสตรอว์เบอร์รี่สุกได้มากกว่า 50% เท่านั้น ขณะที่มนุษย์สามารถเก็บได้ 60-90%

แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ดีเท่าที่ควร แต่พิตเซอร์ก็คาดว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะมีการใช้เครื่องจักรชนิดนี้อย่างแพร่หลาย โดยเป้าหมายของบริษัทก็คือการพัฒนา “หุ่นยนต์บริการ” และทำกำไรจากการให้เช่าอุปกรณ์เหล่านี้ ซึ่งตอนนี้โครงการดังกล่าวก็เรียกได้ว่าดึงดูดความสนใจจากอุตสาหกรรมสตอร์เบอร์รี่ได้เป็นอย่างดี หลังเปิดตัวโครงการตั้งแต่ปี 2013 ก็มีบริษัทในอุตสาหกรรมสตรอว์เบอร์รี่ 2 ใน 3 บริษัท สนใจลงทุน

และไม่ใช่เพียงบริษัทนี้เท่านั้นที่กำลังลงทุนกับการพัฒนาหุ่นยนต์เก็บสตรอว์เบอร์รี่ แต่มีอีกหลายบริษัทที่กำลังพัฒนาเครื่องจักรชนิดนี้เช่นกัน เนื่องจากตลาดกำลังเติบโต หนึ่งในนั้นคือบริษัท Agrobot ซึ่งเป็นคู่แข่งรายแรกที่ได้ทดสอบการทำงานเต็มรูปแบบของหุ่นยนต์

หุ่นยนต์ทดแทนคนงานเพิ่มสูงขึ้น?

แกรี่ วิชแนทซ์กี้ อีกหนึ่งผู้ร่วมก่อตั้ง Harvest CROO กล่าวว่า ตลาดการเก็บเกี่ยวสตรอว์เบอร์รี่ในสหรัฐมีมูลค่าสูงถึงปีละ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในปี 2015 การเก็บเกี่ยวสตรอว์เบอร์รี่สร้างเม็ดเงินสูงถึง 1.63 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่ดีมานด์ของสตรอว์เบอร์รี่และผลไม้ชนิดอื่น เช่น บลูเบอร์รี่และอโวคาโด กำลังเพิ่มขึ้น แต่จำนวนแรงงานเก็บเกี่ยวในภาคเกษตรกลับน้อยลง

ซินดี้ แวน ริจสวิค นักวิเคราะห์จาก Rabobank กล่าวกับเว็บไซต์ FreshPlaza เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า แรงงานเก็บเกี่ยวนั้นหายากขึ้น เพราะเป็นงานที่ทำชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงแต่ในสหรัฐหรือยุโรป แต่ยังพบปัญหานี้ในภูมิภาคอื่นๆ รวมทั้งอเมริกาใต้ด้วย

ปัญหาดังกล่าวมาจากหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้นคือเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เอื้ออำนวยนัก ทำให้แรงงานข้ามชาติหลายคนเลือกที่จะกลับบ้านเกิดมากกว่า ขณะที่คนหนุ่มสาวก็ไม่อยากทำงานในไร่สวน ด้วยชื่อเสียงของอาชีพเก็บผลไม้ว่าเป็นอาชีพที่ค่าแรงต่ำ

นักวิจารณ์หลายคนเตือนว่า เราอาจจำเป็นต้องใช้หุ่นยนต์ในการเก็บเกี่ยวพืชไร่หลายชนิด เพื่อให้ประสบความสำเร็จและยั่งยืน

“ภูธร ภูมะธน” ชี้ ควรถือโอกาสกระแสละครฮิต เรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่แค่แต่งไทย แต่ต้องเปิดโลกทัศน์ รู้จักนำมาพัฒนาปรับปรุงสังคม

นายภูธร ภูมะธน ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ของไทย ให้สัมภาษณ์ “มติชน” ว่า เวลานี้ความอยากรู้เรื่องประวัติศาสตร์ครั้งสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นที่แพร่หลายกว้างขวาง คนอินจากละครจึงอยากเรียนรู้ สืบค้น ซึ่งคิดว่าสิ่งที่เป็นรูปธรรมจากกระแสของละครที่เห็นได้ชัด คือ การแต่งกาย เวลานี้มีการแต่งกายย้อนยุคครั้งโบราณหลายรูปแบบ ตั้งแต่กลุ่มชาติพันธุ์ สมัยอยุธยา สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็มี แล้วแต่จะคิดสรรค์กันไป สรุปว่าถ้าย้อนยุคก็สอดคล้องกับอารมรณ์ของละครบุพเพสันนิวาส อย่างไรก็ตาม มองว่าที่แต่งกันอยู่นั้น ไม่ใช่การแต่งกายสมัยพระนารายณ์จริง ซึ่งสังคมไทยเวลานั้นมีหลายชั้น ตั้งแต่เจ้าไปจนกระทั่งไพร่ ทาส ระดับชั้นเหล่านี้จะแต่งกายกันคนละแบบ ส่วนการแต่งกายที่แต่งกันวันนี้ ไม่รู้ลึกๆ ว่าอยากจะสื่อหรือระลึกถึงครั้งหนึ่งไทยเราเคยรุ่งเรืองหรือไม่ อย่างไร ซึ่งก็เป็นประโยชน์กับคนทอผ้า คนตัดผ้า คนซักรีดผ้า เป็นการขับเคลื่อนทางธุรกิจ

“แต่เรื่องที่ผมอยากให้เป็น คือประวัติศาสตร์ยุคสมเด็จพระนารายณ์ มีความพิเศษยิ่ง นั่นคือ การเปิดโลกประเทศไทยสู่โลกสากล และการรับมาซึ่งวิทยาการจากชาติตะวันตก การนำเข้าบรรดาพวกนักการเมืองระหว่างประเทศ ที่มีความคิดเชิงซับซ้อน ซ่อนเร้น คิดอย่าง ทำอย่าง พูดง่ายๆ ว่าเป็นการเมือง สิ่งเหล่านี้ทำให้การเมืองไทยยุคนั้นเมื่อ 300 ปีก่อนเริ่มเข้าสู่อารมณ์ความเป็นการเมืองในความเป็นสากลแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อบรรพรรพบุรุษเราเมื่อ 300 ปี เริ่มเรียนรู้แล้วว่าจะเจอปัญหาการเมืองแบบนี้ ดังนั้น เราจะอยู่กับมันได้อย่างไร และจะแก้อย่างไร ซึ่งผมอ่านประวัติศาสตร์ยุคนี้แล้วรู้เลยว่ามีการตกหลุมพรางบ้าง กระโดดขึ้นจากหลุมพรางได้บ้าง หรือหลอกเขากลับบ้าง สิ่งเหล่านี้จากประวัติศาสตร์เป็นการสอนให้สังคมรู้จักการปรับตัว การพัฒนาตัว ผมคิดว่าบทเรียนประวัติศาสตร์นี้ต่างหากที่ควรนำมาตีแผ่ มาแฉ และเรียนรู้ซึ่งกันและกัน อะไรที่เดินลงเหว อะไรเป็นทางเดินสู่สวรรค์ สู่ความจริงหรือความสำเร็จ เรื่องแบบนี้เรายังพูดกันน้อยในสังคมไทย”

อาจารย์ภูธร ภูมะธน

นายภูธร กล่าวอีกว่า เราต้องเข้าใจว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีบรรพบุรุษที่ดีงาม มีการสืบทอดจากอดีตเรื่อยมาถึงปัจจจุบัน ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นพรวดๆ อยู่กลางทาง เพราะฉะนั้นเรื่องของพระนารายณ์เป็นสายป่านอันยาว เป็นประสบการณ์จากอดีต จากบรรพบุรุษเรา ไม่ว่าการสร้างอาคาร วัด ถนน การจัดวางผังเมือง การจัดสาธารณูปโภค เราเริ่มเมื่อ 300 ปีที่แล้วทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่คิดว่าได้โอกาสมาฟื้นฟูบูรณะปรุงแต่งให้เป็นประจักษ์พยานสำหรับลูกหลานไทยในอนาคต เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เป็นการนำมาปรับปรุงพัฒนา เพราะสถานที่ต่างๆ ที่พูดถึงในละคร โดยความเป็นจริงแล้วยังถูกละทิ้ง ละเลยอยู่ ก็จะได้ใช้โอกาสนี้บูรณะปรับปรุงเสียเลย

“เรียกว่าตอนนี้เรามีแนวร่วมเยอะมากแล้ว จะได้ช่วยกันดูแลอนุรักษ์ ปัญหาคือผู้มีหน้าที่จะเอาตรงนี้มาเป็นประโยชน์ได้อย่างไร และจะประกาศหาภาคีหรือพันธมิตรอย่างไร ถ้าทำได้ก็จะเป็นโมเดลที่ดี ที่ลุกขึ้นมาทั้งองคาพยพเพื่อจะทำกิจกรรมนี้ร่วมกัน ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของราชการอย่างเดียว หรือประชาชนก็ทู่ซี้คอยลุ้นกันว่าจะปรับปรุงพัฒนาอย่างไร” นายภูธรกล่าว

สำหรับพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ จ.ลพบุรี นั้น ปัจจุบันหากมองเรื่องความยั่งยืนในการอนุรักษ์หรือรักษาไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เลว ยังดีกว่าไม่มีเอาเสียเลย แต่สิ่งที่ควรทำ คืออาจจัดกิจกรรมเป็นรายเดือน ในหนึ่งเดือนมีกิจกรรมรายสัปดาห์หรือรายวันที่มีการย้อนยุคเข้าไปสู่สมัยพระนารายณ์ แล้วในกิจกรรมนั้นก็สอนคนที่มาชมทุกเรื่อง ทุกอย่าง อาทิ การแต่งกายทำไมต้องเป็นอย่างนี้ ชนชั้นอย่างนี้แต่งแบบไหน เกี้ยวหรือลอมพอกคืออะไร เป็นเครื่องบอกตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ของคน เป็นต้น พูดง่ายๆ ว่าไม่ใช่ชวนกันมาแต่งไทยอย่างเดียว โดยไม่มีการเรียนรู้ผ่านการแต่งไทย

“เฉพาะวังนารายณ์การอนุรักษ์พอไปได้อยู่ แต่สิ่งที่ควรจะเพิ่มคือความรู้เรื่องพระนารายณ์ที่มากกว่านี้ การสัมพันธ์กับนานาชาติ ควรดึงเข้ามา ผมเห็นว่าที่นครนิวยอร์ก ที่เมโทรโปลิแตนส์ ตอนนี้เขามีการจัดนิทรรศการเรื่องของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ความสัมพันธ์กับนานาประเทศ ฉะนั้น เป็นไปได้หรือไม่ที่จะขอเคลื่อนย้ายนิทรรศการบางส่วนมาจัดแสดงที่ประเทศไทยในระยะนี้ เพราะมีความหมายต่อประเทศเรา เนื่องจากบรรดาทูตานุทูตที่ไปเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือโกษาปานด้วย แต่ละคนได้เรียนรู้อะไร และเราไม่จำเป็นต้องเรียนรู้แค่โกษาปานกับพระเจ้าหลุยส์เท่านั้น แต่เราจะได้เรียนรู้ว่าทูตเปอร์เซียไปทำอะไรกับพระเจ้าหลุยส์ หรือทูตจีนไปทำอะไร ซึ่งจะทำให้โลกทัศน์ของเรากว้างขวางมากยิ่งขึ้น” นายภูธร กล่าวทิ้งท้าย

หลายคนมักกล่าวกันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตจะเปลี่ยนไป เมื่อคุณมีลูก กับบางคนเรียกได้ว่ากลับตาลปัตรเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเวลานอนน้อยลง, เข้าสังคมแบบเดิมน้อยลง รวมไปถึงเรื่องอื่นๆ พื้นฐานในชีวิตประจำวันก็เปลี่ยนไปด้วย นอกจากนี้คุณอาจจะยังสังเกตได้ว่าคุณจะต้องเปลี่ยนครัวเล็กน้อย เพื่อรองรับกับสมาชิกคนสำคัญคนใหม่ในบ้านด้วย

คราวนี้เราลองมาดูกันว่า เมื่อคุณมีลูก ครัวในบ้านของคุณจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

1.ช่องฟรีซเต็มไปด้วย “นม”

ไม่ว่าจะอย่างไร เรียกได้ว่าการมีสต๊อกน้ำนมที่เพียงพอสำหรับลูกก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ และยิ่งถ้าหากคุณเป็นพ่อแม่มือใหม่ คุณก็จะยิ่งสต๊อกน้ำนมไว้มาก เพราะกลัวว่าจะไม่พอ หรือยังไม่แน่ใจว่าลูกกินบ่อยแค่ไหน นั่นทำให้ตู้เย็นจึงเต็มไปด้วยนมแช่ฟรีซไว้นั่นเอง

2.ช่องแช่แข็งยังเต็มไปด้วยอาหารพร้อมอุ่นกินทันที

การเป็นคุณพ่อคุณแม่บางครั้งก็หมดแรงที่จะทำอาหารกินเอง อาหารพร้อมอุ่นกินทันทีจึงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่พ่อแม่หลายคนพึ่งพา ซึ่งถ้าหากคุณโชคดีหรือมีการจัดวางของล่วงหน้า ตู้เย็นของคุณก็จะมีพื้นที่พอสำหรับอาหารพร้อมอุ่นเหล่านี้ แทนที่จะมีแต่นมอย่างเดียว

3.เคาน์เตอร์ครัวของคุณจะรกเป็นพิเศษ

เมื่อมีลูกน้อยกลอยใจแล้ว แน่นอนว่าคุณจะต้องมีชิ้นส่วนของเครื่องปั๊มนม, ขวดนมเด็ก, เครื่องทำอาหารเด็ก, อุปกรณ์ฆ่าเชื้อ เพราะการทำอาหารให้เด็กกิน อุปกรณ์ต่างๆ จะต้องทำความสะอาดบ่อยๆ แห้ง และมีการฆ่าเชื้อ ทำให้ครัวของคุณจะเต็มไปด้วยอุปกรณ์เหล่านี้นั่นเอง

4.พื้นของคุณจะสะอาดกว่าที่เคย

แม้กระทั่งก่อนที่ลูกของคุณจะเริ่มคลาน คุณก็อาจจะเคยปล่อยให้ลูกนั่งอยู่ที่พื้นบ้าง และจะทำให้คุณสังเกตเห็นทุกจุดที่มีฝุ่น ดังนั้น คุณควรเริ่มทำความสะอาดพื้นทุกวัน ก่อนที่ลูกของคุณจะเริ่มหยิบจับของเข้าปาก

5.อ่างล้างจานจะเต็มไปด้วยจานมากมาย

เรื่องนี้คงไม่มีใครเข้าใจจริงๆ จนกว่าจะมีลูก แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าการมีลูกนั้นเวลานอนยังแทบจะไม่พอ ทำให้ในช่วงไม่กี่เดือนแรกหลังคลอด เวลาที่จะใช้ทำความสะอาดจึงถูกใช้ไปกับการนอนหลับแทน

6.คุณจะพบ “เปลเด็ก” หรือเก้าอี้โยกในห้องครัว

ถึงแม้ไม่ใช่เปล แต่อาจจะเป็นเปลนอน เก้าอี้โยก หรือเก้าอี้เด็ก ก็ได้ ซึ่งหลักการคือ ช่วงเวลาที่คุณเข้ามาครัว บางครั้งก็ต้องพาลูกเข้ามาด้วย ดังนั้น การสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับให้ลูกน้อยนั่งดูคุณทำอาหารจึงเป็นเรื่องสำคัญเลยทีเดียว

7.จากพื้นที่สร้างสรรค์อาหาร อาจกลายเป็น “เขตอันตราย”

ไม่ว่าจะเป็น มีด, น้ำยาทำความสะอาด, อะไรต่างๆ ที่ทำจากแก้ว หรือแม้กระทั่งปลั๊กไฟ ของพื้นฐานในครัวนั้นล้วนเป็นสิ่งที่อันตรายต่อลูก คุณอาจจะเคยหลงรักพื้นที่ส่วนนี้ แต่ตอนนี้คุณจะมองเห็นมันเป็นแดนอันตราย ก่อนที่ลูกของคุณจะหัดคลาน คุณควรจะเตรียมพื้นที่ให้เขาเดินผ่านได้อย่างปลอดภัย

ปฏิเสธไม่ได้ว่าภูมิทัศน์ของมนุษย์นั้นกำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในปี 2017 สิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นที่สุดออกแบบมาสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์กับความสงบและธรรมชาติ และนำเสนอโซลูชั่นที่ลดความแออัดของเมืองใหญ่

การออกแบบบ้านและที่อยู่อาศัยเรียกได้ว่ามีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดวิวของโลก ซึ่งแนวคิดของสถาปัตยกรรมเหล่านั้นก็เป็นคอนเซ็ปต์แห่งอนาคตที่คุณอาจไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่กำลังจะกลายเป็นของจริงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ลองมาดูกันว่าในปีนี้มีการออกแบบอะไรที่น่าทึ่งที่สุดบ้าง!

เริ่มกันที่ “อาคารกลับหัว” ที่ลอยอยู่เหนือพื้นโลก ส่วนฐานติดอยู่กับดาวเคราะห์อื่นๆ ที่โคจรอยู่รอบโลก ถือเป็นอาคารที่จะมีประโยชน์มากในวันที่พื้นโลกมีการอยู่อาศัยหนาแน่นเกินไป

ภาพจาก Futurism

ถัดมาคือ เดอะ นอติลุส อีโค-รีสอร์ท ที่การออกแบบได้แรงบันดาลใจมาจาก Fibonacci spiral โดยอาคารดังกล่าวยังติดตั้งเทคโนโลยีการปลูกพืชไฮโดรโปรนิกส์ และเครื่องมืออื่นๆ ที่ช่วยให้พืชเติบโตในสถาปัตยกรรม

ภาพจาก Futurism

บริเวณชายหาดประเทศนอร์เวย์ ยังมีแนวคิดในการก่อสร้าง ภัตตาคารใต้ทะเล ซึ่งภัตตาคารดังกล่าวยังเป็นที่วิจัยสิ่งมีชีวิตในทะเลด้วย ซึ่งการก่อสร้างคาดว่าจะเริ่มต้นในปลายปี 2018

ภาพจาก Futurism

อีกหนึ่งผลงานสุดตระการตาก็คือ “เดอะ บิ๊ก เบนด์” ที่ออกแบบโดย Oiio ตึกระฟ้าทรงโค้งที่ออกแบบมาจากจินตนาการว่าพื้นที่ว่างในนิวยอร์กลดลงเรื่อยๆ ทำให้ออกแบบฐานอาคารมาค่อนข้างเล็ก และเชื่อมสองอาคารด้วยส่วโค้งด้านบน ซึ่งสามารถจุคนได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ

ภาพจาก Futurism

การออกแบบที่อยู่อาศัยที่ทำจาก ตู้คอนเทนเนอร์ ถือว่าป๊อปปูลาร์สุดๆ ในปี 2017 ซึ่งแนวคิดดังกล่าวมาจากไอเดียมินิมอล ซึ่งบ้านจากสิ่งที่ใช้ขนส่งนี้ก็มีการออกแบบรูปทรงและนวัตกรรมอย่างที่เห็นในภาพด้านล่าง ซึ่งมีกำหนดสร้างขึ้นในปี 2018 ที่ทางใต้ของแคลิฟอร์เนีย ซึ่งบ้านดังกล่าวจะถูกยกขึ้นได้ ทำให้เมื่อน้ำท่วมก็ไม่เสียหาย และเนื่องจากแต่ละห้องพักชี้ไปในทิศทางที่ต่างกัน ทำให้บ้านจะไม่ขาดแสงจากธรรมชาติ

ภาพจาก Futurism

หรือจะเป็นการออกแบบหมู่อาคารสำหรับท่าเรือในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ที่ผสมผสานนวัตกรรมของสถาปัตยกรรมและโซลูชั่นพลังงานสีเขียว โดยออกแบบมาคล้ายกับปลากระเบนราหู นอกจากนี้ อาคารเหล่านี้ยังสามารถผลิตพลังงานจากโซลาร์เซลล์และพลังงานลมเท่าที่จำเป็นต้องใช้ได้อีกด้วย

ภาพจาก Futurism

สถาปัตยกรรมที่รูปทรงเหมือนปีกของหุ่นยนต์กันดั้มนี้เป็น “สะพานลอยได้” ซึ่งเป็นผลงานการทดลองออกแบบจาก Margot Krasojević ตามที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลมองโกเลีย ซึ่งเป็นสะพานที่สามารถพับเก็บปีกละเคลื่อนย้ายไปที่อื่นได้

ภาพจาก Futurism

กลุ่มนักออกแบบเกาหลีใต้ยังออกแบบ “The Giant Sequoia Skyscraper” ในการแข่งขันแนวคิดตึกสูง eVolo ซึ่งผลงานชิ้นนี้ออกแบบมาให้สร้างตึกระฟ้าในต้นไม้ใหญ่ ที่จะเป็นแนวทางใหม่ในการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ

ภาพจาก Futurism

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าผลงานการออกแบบทุกอันจะกลายเป็นจริงในอนาคต แต่วิทยาศาสตร์ก็สอนให้เรารู้ว่าสิ่งที่เราจินตานาการในวันนี้อาจเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ซึ่งหากมีการนำเทคโนโลยีต่างๆ ที่มีอยู่ เช่น เทคโนโลยีไฮโดรโปรนิกส์, พลังงานหมุนเวียน และวัสดุขั้นสูง ไปใช้กับการสร้างอาคาร ก็จะเป็นสิ่งที่ดีต่อโลก

รียกขานกันมานมนานหนักหนาแล้ว สำหรับคำว่า “พระเจ้าเหา” ซึ่งเป็นชื่อมาจากตึกหรืออาคารโบราณสถานตั้งอยู่ในพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ จ.ลพบุรี ที่ตอนนี้กลายเป็นสถานที่สำคัญที่ใครต่อใครต้องเดินทางไปดูให้เห็นกับตา เพื่อตามอย่างละครบุพเพสันนิวาส คราวที่แม่การะเกดเธอทำตาโตบอกคุณพี่หมื่น ว่าอยากเห็นตึกพระเจ้าเหา ประเด็นนี้คุณพี่หมื่นไม่ได้บอกว่าพระเจ้าเหาเป็นใคร แต่มีผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์สมัยพระนารายณ์ “อาจารย์ภูธร ภูมะธน” มาเฉลยให้ทราบกัน

“ผมคิดว่ารูปธรรมทั้งหลายที่สร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ที่ จ.ลพบุรี มีมากมายหลายที่ บางที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ดีงาม บางที่ก็ทรุดโทรม บางที่มีความหมายแต่คนไม่รู้ สำหรับกรณี ตึกพระเจ้าเหา ซึ่งตั้งอยู่ในวังนารายณ์ราชนิเวศน์ อยู่ ณ มุมหนึ่งของพระราชวัง เป็นตึกที่มีสถาปัตยกรรมแบบไทย ซึ่งในวังนารายณ์นั้นจะมีสถาปัตยกรรมในสมัยพระนารายณ์หลายแบบ แบบไทยหรือแบบฝรั่งปนแขก หรืออะไรก็ตาม กรณีของตึกพระเจ้าเหา จะตรงกับตำแหน่งที่ระบุในแผนที่ของชาวฝรั่งเศสว่าเป็น หอพระประจำพระราชวัง…”

อาจารย์ภูธร ภูมะธน

“โดยสถาปัตยกรรมของตึกพระเจ้าเหา จะเห็นว่ามีกำแพงแก้วล้อมรอบอีก เพราะฉะนั้น น่าจะตรงกับที่ฝรั่งเศสระบุไว้ คือเป็นหอพระประจำพระราชวังแน่นอน ถามต่อไปว่าชื่อของตึกที่รู้จักกันในนาม พระเจ้าเหา นั้นคืออะไรกันแน่? ถ้าเป็นหอพระประจำพระราชวัง คำว่าพระเจ้าเหาน่าจะเป็นชื่อพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำอาคารหลังนี้ก็ได้ ทีนี้มีเหรอพระพุทธรูปชื่อ เหา มีการวิเคราะห์ศัพท์นี้ เพราะกังขากันมานับศตวรรษ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการบันทึกไว้ว่าเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินมาที่นี่ ก็ทรงตั้งคำถามนี้เช่นกัน…”

“เหา คืออะไร? มีการตีความกันไปต่างๆ นานา โชคดีที่คนโบราณเมื่อตีความก็มีทางออกหลายทาง หนึ่ง-เหา มาจากคำว่า “House” ที่ฝรั่งอาจเรียกหอพระว่า God’s House สอง-เหา มาจากภาษาเขมรเป็นรากศัพท์มาจากเขมร แปลว่า รวมเข้ามาหากัน เสมือนหนึ่งเป็นที่ประชุม เอาล่ะ..ในระยะหลังที่พบหลักฐานว่าที่ตรงนี้คือหอพระประจำพระราชวัง พระเจ้าเหาก็ต้องเป็นชื่อพระพุทธรูปที่สำคัญประจำพระราชวัง ที่ประดิษฐานอยู่ในอาคารหลังนี้ ถามว่า เหา เป็นชื่อพระพุทธรูปได้ไหม? ต้องผูกโยงไปอีกว่าตอนต้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ได้เสด็จไปตีดินแดนล้านนาก่อนมาสถาปนาเมืองลพบุรีให้มั่นคง แล้วมีไหมพระพุทธรูปในล้านนาที่เริ่มคำแรกว่า พระเจ้า อันนี้ธรรมดามาก ใครไปล้านนาจะรู้ว่าพระพุทธรูปสำคัญของล้านนาขึ้นต้นด้วยคำว่าพระเจ้าทั้งสิ้น อย่างพระเจ้าตนหลวง พระเจ้าเก้าตื้อ คือชื่อพระพุทธรูปสำคัญประจำพื้นที่นั้นๆ…”

“คราวนี้มาถึงพระเจ้าเหา พระเจ้าเหาเป็นชื่อพระพุทธรูปแน่ๆ ส่วนคำว่า เหา มีความหมายว่าเหาบนหัว หรือมีความหมายอื่น สำหรับผมเองสันนิษฐานเลยว่า ด้วยเหตุที่ท่านยกทัพไปตีเชียงใหม่มาก่อนแล้วค่อยมาสถาปนาลพบุรีเป็นเมืองสำคัญ คำว่า เหา เป็นชื่อพระพุทธรูป ซึ่งน่าจะตรงกับคำว่า หาว ก็ได้ ซึ่งแปลว่าสวรรค์หรือท้องฟ้า แต่สำหรับคนภาคกลาง การออกเสียงอาจจะลำบาก จากหาวมาเป็นเหาก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น สรุปชื่อ พระเจ้าเหา คือชื่อพระพุทธรูปสำคัญที่ประดิษฐานในหอพระแห่งนี้ซึ่งเป็นหอพระประจำพระราชวังนารายณ์นั่นเอง”

อย่างไรก็ตาม ยังมีความเห็นต่างไปจากอาจารย์ภูธรอีกหลายแนวคิด อาทิ แนวคิดที่อธิบายโดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อธิบายว่า คำว่า พระเจ้าเหา มาจากชื่อตึกหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ในพระนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี รัชกาลที่ 5 มีพระราชวิจารณ์ว่า ‘คำว่าเหานี้ สันนิษฐานว่าเป็นภาษาเขมร แปลว่าเรียก หมายความว่ารับสั่งให้เข้าหา หรือเข้ามาประชุม นึกสงสัยต่อไปว่า จะมีศาลพระเจ้าเหาหรืออย่างไรทำนองเดียวกันแต่โบราณมาแล้ว เป็นแต่เอาชื่อเดิมมาเรียก มิใช่คิดขนานใหม่สำหรับตึกที่สมเด็จพระนารายณ์ฯทรงสร้างที่ในพระราชวังเมืองลพบุรี ตึกพระเจ้าเหาจึงแปลได้ว่า “ตึกพระเจ้าเรียก” เป็นที่สำหรับขุนนางประชุมปรึกษาราชการ ถ้าจะแปลเป็นฝรั่งก็แปลได้ตรงๆ ตัวว่า “Convocation Hall”

ในสมัยปลายแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ พระเพทราชากับหลวงสรศักดิ์์ได้กระทำรัฐประหารในตึกนี้ กล่าวคือ ในขณะที่ขุนนางทั้งปวงประชุมกันอยู่พร้อมเพรียง ก็ให้ทหารเอาหอกดาบและปืนสอดเข้าไปตามช่องหน้าต่างประตูโดยรอบ แล้วพระเพทราชาก็ประกาศตนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ให้ขุนนางทั้งหลายกระทำสัตย์สาบาน ณ ที่นั้น หลังจากรัฐประหารครั้งนี้แล้วเหตุการณ์ในกรุงศรีอยุธยาและระเบียบวิธีปฏิบัติราชการคงจะเปลี่ยนไปมาก ของอะไรที่เกิดขึ้นใหม่ถ้ามีคนถามว่าเกิดขึ้นเมื่อไร ก็คงจะตอบกันว่า “แต่ครั้งตึกพระเจ้าเหา” ราชวงศ์บ้านพลูหลวงนั้นก็เกิดขึ้น “แต่ครั้งตึกพระเจ้าเหา” ต่อมาคำว่า “ตึก” เห็นจะหายไป คงเหลือแต่คำว่า “ตั้งแต่ครั้งพระเจ้าเหา” แปลว่า ‘ตั้งแต่ครั้งเปลี่ยนแปลงการปกครอง’ หรือ ‘ตั้งแต่ครั้งรัฐประหาร’ นั่นเอง

แนวคิดเรื่องพระเจ้าเหามาจากชื่อตึกนี้ สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เคยระบุไว้เช่นกันว่า เคยทรงสอบถามศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส ได้รับคำตอบว่า เป็นภาษาเขมร แปลว่าที่พระเจ้าแผ่นดินตรัสเรียก เคาน์ซิลออฟแชมเบอร์ (Council of Chamber) มาประชุม

เฉลยกันไปแล้วว่า พระเจ้าเหา คือชื่อพระพุทธรูปสำคัญของพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ ซึ่งเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของอาจารย์ภูธร ภูมะธน ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์สมัยพระนารายณ์ หากยังมีความเห็นต่าง ผิดแผกออกไปอีกหลายแนวคิด ทั้งนี้ ก็เป็นเรื่องของปัญญาชนคนสยามที่จะมาวิสาสา ปรมา ญาติ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและความรู้ที่ทำให้เกิดปัญญาเป็นคุณค่ากับประวัติศาสตร์ของชาติไทยต่อไป

“ความสนุกของประวัติศาสตร์อยุธยาอยู่ที่ว่า ข้อมูลแต่ละข้อมูลเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เมื่อเราหาหลักฐานหรืออะไรต่างๆ ที่มาเจอใหม่ แต่ว่าเราต้องใจกว้าง เพราะว่าถ้าเรียนประวัติศาสตร์แล้วทำใจแคบ แปลว่าเรายึดสิ่งนั้นเป็นสรณะไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นประวัติศาสตร์จะหยุดนิ่งแล้วก็ตาย” รศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี
.
รวมบรรยากาศความประทับใจทัวร์ ดูละครบุพเพสันนิวาส ดูประวัติศาสตร์อยุธยา รอบแรก เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ที่นอกจากจะสนุก ยังเต็มอิ่มไปด้วยสาระความรู้ของประวัติศาสตร์อยุธยาที่ชวนค้นหาได้อย่างไม่รู้จบ…

สนใจทัวร์ประวัติศาสตร์กับมติชนอคาเดมี ติดตามได้ที่เพจ Matichon Academy และ เพจ ทัวร์มติชนอคาเดมี เราจะอัพเดทโปรแกรมทัวร์ล่าสุดและข่าวสารด้านศิลปวัฒนธรรมที่น่าสนใจ

รับจัดทัวร์แบบ PrivateTour และ VIPTour ในเส้นทางศิลปวัฒนธรรม และเส้นทางทัวร์สายเกษตร

สนใจติดต่อ
0-2954-3977-84 ต่อ 2115, 2116, 2123, 2124
Mobile : 08-2993-9097
หรือ line @m.academy

หลังจากกระแสละครบุพเพสันนิวาสทำให้คนไทยทั่วทั้งประเทศมีความตื่นตัว สำนึกความเป็นไทย ติดใจการแต่งกายแบบย้อนยุค การแต่งกายของตัวละคร สร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยหันมานิยมการแต่งกายชุดไทย กระทั่งกระทรวงวัฒนธรรมมีนโยบายให้ข้าราชการแต่งกายชุดไทยทุกวันศุกร์ สัปดาห์ละ 1 วัน ทำให้ชุดไทย มีไม่พอกับความต้องการของผู้บริโภค ล่าสุดพบว่า เสื้อผ้าชุดไทยเริ่มขาดตลาด ร้านตัดเย็บเสื้อผ้าชุดไทยต่างได้รับอานิสงส์ มีลูกค้าสั่งตัดเพิ่มขึ้น กระทั่งตัดไม่ทัน ในขณะที่ใกล้วันสงกรานต์ ออเดอร์ตัดชุดไทยยิ่งเพิ่มทวีคูณ ร้านตัดเสื้อชุดไทยต่างรับทรัพย์อื้อตามๆ กัน

เมื่อวันที่ 9 เมษายน น.ส.กาญจนา หรืออุ๋ม จันทร์สง อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 117 หมู่ 14 บ้านหนองผูกเต่า ต.บ้านแก้ง อ.เมือง จ.สระแก้ว หนึ่งในช่างตัดเย็บเสื้อผ้าชุดไทย เปิดเผยว่า เรียนจบปริญญาตรี ด้านคหกรรมศาสตร์ แต่ชอบการตัดเย็บมากกว่าการทำอาหาร จึงได้ฝึกการตัดเย็บและเรียนเพิ่มเติมด้านการตัดเย็บจากช่างผู้ชำนาญการ และชื่นชอบการแต่งกายชุดไทยมาตั้งแต่เด็ก เมื่อมีบุตร 2 คน ก็ได้ตัดชุดไทยให้ลูกใส่เป็นประจำ

“ก่อนหน้านี้ได้ทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ได้เงินเดือนหลายหมื่นบาท แต่ก็ไม่พอใช้ เนื่องจากสิ้นเดือนต้องกลับบ้านที่ จ.สระแก้ว เพื่อดูแลลูก 2 คน ที่ฝากให้แม่เลี้ยง การอยู่ห่างจากครอบครัว ถึงแม้จะได้เงินมาก แต่ก็รู้สึกขาดความอบอุ่นจากครอบครัว เมื่อปี 2558 จึงได้ลาออกจากงานประจำ กลับมาทำงานที่บ้านเกิด ทำสวนทำไร่ สืบทอดอาชีพของพ่อแม่ แต่สิ่งที่ชอบคือการเย็บผ้าเสื้อผ้า เมื่อกลับมาอยู่บ้าน จึงได้ยึดอาชีพตัดเย็บเป็นอาชีพหลัก แต่ก็ทำได้ไม่เต็มที่เนื่องจากขาดเงินลงทุน จึงทำได้ในจำนวนจำกัด แต่ละวันจะตัดเสื้อผ้าที่เป็นชุดไทย จำนวน 10 ตัว จากนั้นจะมีแม่ค้ามารับไปขาย โดยขายส่งในราคาตัวละ 100-180 บาท แต่เมื่อมีกระแสละครบุพเพสันนิวาสเข้ามา ทำให้มีลูกค้าเข้ามาสั่งจำนวนมาก มีทั้งกลุ่มเจ้าหน้าที่ สำนักงาน สมาชิก อบต. ได้นำผ้ามาให้ตัดจำนวนมาก และขณะนี้ใกล้กับวันสงกรานต์แล้ว ก็ยิ่งมีหน่วยงานต่างๆ มาสั่งตัดเพิ่มขึ้นอีก ทำให้ระยะนี้มีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 1,000-1,800 บาท หักค่าใช้จ่ายแล้ว เหลือวันละ 500-800 บาทเศษ” น.ส.กาญจนา กล่าว

 

ที่มา มติชนออนไลน์

หน้าร้อนอย่างนี้ ไอศกรีม น้ำแข็งใส ขายดิบขายดี รวมถึงน้ำแข็งใสสไตล์เกาหลี หรือ บิงซู ผ่านร้านไหนๆก็คนแน่น แต่ใครอยากลองทำกินเอง เรามีสูตรง่ายๆมาบอกต่อ

เมลอน บิงซู

ส่วนผสม

เมลอนหั่นชิ้น 500 กรัม

นมสด 250 กรัม

นมข้นหวาน ½ ถ้วยตวง

ซีสเค้กหั่นชิ้นสี่เหลี่ยม 200 กรัม

อัลมอนด์สไลซ์อบสุขสำหรับโรย

เมลอนตักเป็นลูกกลมสำหรับตกแต่ง

วิธีทำ

1.ใส่เมลอน นมสด และนมข้นหวาน ลงในโถปั่นน้ำผลไม้ ปั่นจนละเอียด

2.เทส่วนผสมที่ได้ลงในภาชนะ นำเข้าช่องแช่แข็ง ประมาณ 12 ชั่วโมง หรือจนแข็งตัว

3.น้ำส่วนที่ได้ขูดเป็นฝอยๆ ใส่ลงในถ้วย ตกแต่งด้วยชีสเค้ก เมลอน และอัลมอนต์ พร้อมเสิร์ฟได้เลยจ้า เห็นไหมล่ะทำง่ายๆ ไม่ยากเลย