ปัจจุบันตลาดแรงงานในประเทศไทยมีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งในภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามทิศทางเศรษฐกิจ นวัตกรรม เทคโนโลยี ทั้งในระดับโลก เอเชีย และในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนระดับมหภาคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีที่ผ่านมามีการเติบโตขึ้นจากการขยายงานในหลายภาคส่วน

ผลเช่นนี้ จึงทำให้มีอาชีพเกิดใหม่ขึ้นมากมาย ซึ่งล้วนเกิดจากปัจจัยด้านการพัฒนาทางเทคโนโลยี ไลฟ์สไตล์ของคนยุคดิจิทัลที่สามารถทำงานหลากหลายอาชีพผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ กล่าวกันว่ากลุ่มอาชีพเกิดใหม่ทำให้คนหลากหลายเจเนอเรชั่นหันมาสร้างอาชีพ และสร้างรายได้ ทั้งในหมวดของออนไลน์ และออฟไลน์

“สุทธิดา กาญจกันติกุล” ผู้จัดการฝ่ายการตลาด แมนพาวเวอร์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า จากการสำรวจกลุ่มอาชีพเกิดใหม่ในปัจจุบัน พบว่ากลุ่มบุคคลที่ชื่นชอบงานสายไอที ที่มีองค์ความรู้ และถนัดด้านการใช้เทคโนโลยี ซึ่งมีหลายอาชีพที่เห็นในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็น data analysis, content editor, social admin, application creator และอื่น ๆ

“เหมือนดั่ง content editor อาชีพสร้างสรรค์คอนเทนต์สู่ผู้บริโภค โดยผ่านช่องทางออนไลน์ เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่ใช้สมาร์ทโฟน แล็ปทอป ในการเข้าถึงข้อมูลมากขึ้น รวมถึงอาชีพ social admin ซึ่งหลายธุรกิจจัดทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ และโซเชียลเพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้า จึงต้องมีบุคลากรมาทำงาน และให้ข้อมูล ตอบคำถามลูกค้าผ่านช่องทางดังกล่าว และบุคลากรที่ทำอาชีพนี้ต้องมีองค์ความรู้ ความเข้าใจในการใช้เครื่องมือ และข้อมูลสินค้า หรือบริการ ที่จะสามารถให้ข้อมูลกับลูกค้าอย่างถูกต้องและรวดเร็ว”

“อีกหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจ และน่าจับตาอย่างมากคือ application creator ด้วยวิถีการใช้ชีวิตยุคดิจิทัล การพัฒนาแอปพลิเคชั่นเพื่อตอบโจทย์ และเพื่อความสะดวกให้กับผู้บริโภคถือเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นการใช้บริการ และซื้อสินค้า ตัวอย่าง แอปพลิเคชั่นซื้อสินค้า ซึ่งบางองค์กรยังต่อยอด โดยนำข้อมูลจากการซื้อนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอสินค้าตรงตามความต้องการลูกค้ามากยิ่งขึ้น ทั้งยังส่งผลต่อยอดขายด้วย”

“เช่นเดียวกับแอปพลิเคชั่นในการใช้บริการแท็กซี่ หรือวินมอเตอร์ไซค์ รวมถึงแอปพลิเคชั่นสั่งซื้ออาหารร้านดัง โดยไม่ต้องต่อคิว สั่ง และรอรับประทานอาหารที่บ้าน นอกจากนั้น สถาบันการเงินธนาคารยังมีแอปพลิเคชั่นเพื่อให้ลูกค้าใช้บริการโดยง่าย ไม่ต้องไปที่ธนาคาร แต่ทำผ่านโมบายแอปพลิเคชั่นได้ทันที”

“สุทธิดา” กล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มงานทางด้านการตลาด sales & marketing อาชีพที่เกิดใหม่ในสายงานนี้ที่เห็นได้ชัดในปัจจุบัน และปฏิเสธไม่ได้คืออาชีพ reviewer และ blogger สินค้า บริการ และข่าวสาร โดยการถ่ายทอดสดวิดีโอต่าง ๆ ผ่าน facebook live application นอกจากนี้ อีกหนึ่งอาชีพที่น่าจับตาคือ youtuber เป็นอาชีพที่มีการใช้งานมากขึ้นในการรีวิวสินค้าเช่นกัน

“อาชีพเหล่านี้ถือเป็นอาชีพที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างมาก เพราะตอบโจทย์รูปแบบการทำงานที่อิสระ สร้างรายได้จากการโฆษณาสินค้าแบรนด์ใหญ่มากมาย ที่สำคัญ อาชีพนี้ยังอาศัยทักษะความรู้ประกอบการสร้างสรรค์คอนเทนต์ จึงทำให้เกิดรายได้มหาศาล บางคนสามารถสร้างรายได้หลักแสนบาทเลยทีเดียว”

“นอกจากนี้ กลุ่มงานออฟไลน์เป็นอีกหนึ่งกลุ่มอาชีพที่สามารถทำเป็นอาชีพหลัก และอิสระได้ในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำออฟฟิศในด้านต่าง ๆ เช่น งานด้านบัญชี, งานธุรการ, งานบริการลูกค้า ฯลฯ อาชีพ fitness trainer เป็นอาชีพอิสระที่สร้างรายได้ และมีสุขภาพดี แต่มีบางคนนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเทรนนิ่งออนไลน์อีกด้วย เพราะช่วยทำให้สะดวก ประหยัดเวลาการเดินทาง ส่วนอีกหนึ่งอาชีพด้านความสวยความงาม make-up artist ก็เป็นอาชีพที่ทำงานอย่างอิสระ และมีรายได้เฉลี่ยต่อการให้บริการต่อครั้งต่อคนตั้งแต่ 1,500-5,000 บาท”

“ที่สำคัญ อาชีพที่เกิดใหม่ และรุ่งไม่แพ้กันคือ tutor สำหรับคนทำงานนอกจากจะทำเป็นอาชีพเสริมแล้ว กลุ่มนักเรียนนักศึกษายังใช้ความรู้ความถนัดในวิชา เช่น คณิตศาสตร์, ภาษาอังกฤษ, ภาษาญี่ปุ่น, ภาษาเกาหลี มาสอนพิเศษให้กับกลุ่มคนที่สนใจ สามารถทำในเวลาว่าง หรือช่วงวันหยุด นอกจากนี้ บางกลุ่มยังนำช่องทางออนไลน์มาเสริมเป็นช่องทางในการสอน ดังจะเห็นได้จากเฟซบุ๊กตามเพจต่าง ๆ ที่ปรากฏออกมา”

ทุกอาชีพล้วนน่าสนใจทั้งสิ้น

 


ที่มา นสพ.ประชาชาติธุรกิจ

เมนูดับร้อนแบบโบราณของบ้านเราอาจจะมีข้าวแช่ แต่ของญี่ปุ่นเป็นเส้นหมี่เย็นที่ไหลออกมาตามรางไม้ไผ่ หรือเรียกว่า “นางาชิ โซเมง” ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ชาวเกียวโตและคาโกชิมะจะกินบะหมี่ชนิดนี้ในช่วงฤดูร้อน เพื่อช่วยคลายร้อนนั่นเอง

โซเมงนี้จะไหลมาพร้อมกับน้ำเย็นในรางไม้ไผ่ ซึ่งคนกินจะต้องใช้ตะเกียบคีบออกมา แล้วจิ้มในซอสเปรี้ยวนั่นเอง

ชมคลิป

https://www.facebook.com/redduckpost/videos/806305602896835/

เป็นธุรกิจที่ฮอตมาพักใหญ่แล้ว สำหรับธุรกิจแชริ่ง โดยเฉพาะในจีนที่มีหลากหลายบริการ ตั้งแต่รถยนต์, จักรยาน ไปจนถึงร่ม

ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก China Xinhua News ได้โพสต์ภาพธุรกิจแชร์ใช้อันใหม่ นั่นก็คือ “ยิมแชร์ใช้” หรือสถานที่ออกกำลังกายขนาดเล็กประมาณ 1 ตู้คอนเทนเนอร์ เปิดให้บริการแล้วที่เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน ให้บริการ 24 ชั่วโมง ตั้งอยู่ใกล้อาคารที่พักอาศัย ง่ายต่อการเข้าถึง และเข้าใช้บริการได้เพียงแค่สแกน QR code เหมือนธุรกิจแชร์ใช้ทั่วไป อยากออกกำลังกายเมื่อใดก็มาใช้บริการได้ทุกเมื่อ ไม่จำเป็นต้องกังวลกับค่าสมาชิกรายเดือนหรือรายปีอีกต่อไป

ภายในติดตั้งเครื่องออกกำลังกายไว้ประมาณ 4-5 เครื่อง พร้อมเครื่องปรับอากาศ เครื่องฟอกอากาศ และตู้กดน้ำ ผนัง 2 ด้านออกแบบให้เป็นกระจกเพื่อความปลอดภัย ให้คนผ่านไปผ่านมาสามารถมองเห็นภายในได้ นับว่าครบเครื่องใน 1 ตู้เลยทีเดียว น่าสนใจว่าโมเดลนี้จะได้รับความสนใจหรือตอบโจทย์ชาวเมืองได้มากน้อยเพียงใด

ที่มา เพจเฟซบุ๊ก China Xinhua News

เมื่อเทคโนโลยีก้าวล้ำนำสมัย การสาธารณสุข การแพทย์และยารักษาโรคก็เจริญก้าวหน้าตอบโจทย์แทบทุกความต้องการพื้นฐาน ส่งผลให้ “อายุขัย” ของคนทั้งโลกยืนยาวกว่าแต่ก่อน อัตราการเสียชีวิตก็ลดลงด้วย ผู้คนเริ่มมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันสิ่งที่เกิดขึ้นสวนทางกลับกันก็คือ อัตราการเกิดและอัตราการเจริญพันธุ์กลับลดลง ทำให้สังคมทุกสังคมทั่วโลกในเวลานี้มีจำนวนประชากร “สูงอายุ” เพิ่มมากขึ้นทุกที

จากรายงาน “สูงวัยในศตวรรษที่ 21: การเฉลิมฉลองและความท้าทาย” โดยกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (United Nations Population Fund: UNFPA) ร่วมกับองค์การช่วยเหลือผู้สูงอายุระหว่างประเทศ (HelpAge International) พบว่าปัจจุบัน ใน 33 ประเทศ มีอายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดมากถึง 80 ปี และเมื่อสิ้นสุดปี 2050 จะมี 64 ประเทศที่มีประชากรสูงวัยมากกว่าร้อยละ 30 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ของสังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-Aged Society) เช่นเดียวกับญี่ปุ่น ขณะที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ระดับดังกล่าวในช่วงปี 2031- 2032 ส่วนวัยแรงงานในฝั่งยุโรปจะเหลือเพียง 265 ล้านคนเท่านั้นในปี 2060

 

คำนิยามของผู้สูงอายุ คือคนทั้งเพศหญิงและชายที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีความแตกต่างจากอายุอื่น เป็นอายุบั้นปลายของชีวิต ดังนั้นปัญหาของผู้สูงอายุในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านสาธารณสุขและสังคมจึงแตกต่างจากอายุในวัยอื่น แม้ว่าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเป็นผู้สูงอายุได้ แต่เราสามารถชะลอความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ได้ โดยการดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง ซึ่งสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง คือเรื่องการกินอาหาร

ร่างกายของผู้สูงอายุมีความต้องการสารอาหารต่างๆ เช่นเดียวกับคนวัยหนุ่มสาว แต่เพราะเป็นวัยที่ร่วงโรย ทำให้ระบบการย่อยและดูดซึมอาหารเป็นไปอย่างช้าๆ ผู้สูงอายุโดยทั่วไปมักมีกิจกรรมน้อยลง ใช้พลังงานก็น้อยลงไปด้วย ฉะนั้น อาหารที่ให้พลังงานจึงควรกินให้น้อยลง เพื่อจะได้ไม่เกิดการสะสมมากเกินไปจนทำให้อ้วน แต่นิสัยของผู้สูงอายุมักจะชอบกินอาหารซ้ำๆ ชอบกินอะไรก็จะกินแต่อย่างนั้น จนอาจทำให้เกิดโรคขาดสารอาหารได้ ผู้สูงอายุทั่วไปมักจะอ้วนหรือผอมเกินไป ทั้งนี้ เพราะขาดภาวะโภชนาการที่ดีนั่นเอง

 

ผู้สูงอายุที่ผอมเกินไป มักเกิดจากความเบื่ออาหาร ระบบการย่อยและดูดซึมอาหารเสื่อมสภาพลง มีกรดในกระเพาะมาก หรือชอบกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ส่วนผู้สูงอายุที่อ้วนเกินไป มักเกิดจากการกินอาหารมากเกินความต้องการของร่างกาย ชอบกินข้าว ขนมหวาน ซึ่งให้พลังงานสูง เมื่อร่างกายใช้พลังงานน้อยลงจะเกิดการสะสมของไขมันทำให้อ้วนและเสี่ยงกับภาวะมีคลอเรสเตอรอลสูง ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายต่อผู้สูงอายุ แต่ไม่ว่าจะอ้วนหรือผอมไป ล้วนเป็นเรื่องไม่ดีสำหรับผู้สูงอายุทั้งสิ้น จากการสำรวจและศึกษาผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป จะมีความต้องการใช้พลังงาน 1,700-2,400 แคลอรี่ต่อวัน และพลังงานควรมาจากเนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ นม เพราะจะได้สารอาหารประเภทโปรตีน

สารอาหารที่ผู้สูงอายุต้องการ ได้แก่ โปรตีน ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรค และทำให้เกลือแร่ชนิดต่างๆ ดูดซึมได้ดี ในผู้สูงอายุต้องการโปรตีนเพียง 0.9 กรัมต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ถึงกระนั้นผู้สูงอายุก็มีโอกาสขาดโปรตีนได้ ซึ่งอาจเกิดจากฟันไม่ดี ทำให้เคี้ยวอาหารประเภทเนื้อสัตว์ไม่สะดวก และระบบการย่อยไม่ดีพอ ผู้สูงอายุที่ขาดโปรตีนมักจะขาดเกลือแร่และวิตามินต่างๆ ด้วย ดังนั้น ถ้าร่างกายขาดโปรตีนถึงจะกินอาหารที่มีเกลือแร่ ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้ อาหารที่ให้โปรตีน เหมาะกับผู้สูงอายุคือ ปลา เนื้อไก่ ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น

สำหรับคาร์โบไฮเดรตนั้น ผู้สูงอายุต้องการน้อยลง ในร่างกายผู้สูงอายุมักจะรักษาระดับน้ำตาลในเลือดได้น้อยลง เพราะภาวะเสื่อมของตับอ่อน ทำให้เกิดอาการของโรคเบาหวาน เมื่อเป็นเบาหวานแล้วน้ำตาลในเลือดจะลดได้ยาก ฉะนั้น ควรควบคุมภาวะแป้งและน้ำตาลไว้แต่เนิ่นๆ จะเป็นสิ่งที่ดี

ส่วนไขมัน เป็นอาหารที่ให้พลังงานอีกชนิดหนึ่ง แต่ถ้าผู้สูงอายุได้รับไขมันมากเกินไป นอกจากจะทำให้อ้วนแล้ว ยังเสี่ยงกับภาวะคลอเรสเตอรอลสูง เป็นสาเหตุของไขมันอุดตันในหลอดเลือดของหัวใจ อาหารที่มีคลอเรสเตอรอลสูง มักเป็นอาหารที่มีสารอาหารต่างๆ มาก เช่น ไข่แดง นม และเครื่องในสัตว์ ดังนั้น ควรกินบ้างแต่พอดี เพราะหากขาดไขมันแล้วการดูดซึมแคลเซียมก็ไม่ดีด้วย ถ้าจำเป็นต้องใช้ไขมันควรเลือกใช้ไขมันที่ได้จากพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว น้ำมันเมล็ดฝ้ายและดอกทานตะวัน

เกลือแร่ โดยทั่วไปผู้สูงอายุมักมีภาวะกระดูกเสื่อม เส้นเลือดเปราะได้ง่าย แคลเซียมและเหล็กจึงเป็นเกลือแร่ที่สำคัญมาก ฉะนั้น การกินอาหารที่มีแคลเซียมพร้อมกับออกกำลังกายอยู่เสมอ จะช่วยป้องกันได้ นอกจากนั้นแล้วการดูดซึมแร่ธาตุของผู้สูงอายุยังไม่ดีเท่าเดิม ดังนั้น การกินอาหารมีธาตุเหล็ก จะทำให้ได้ธาตุเหล็กมากขึ้น แต่ต้องกินคู่กับอาหารที่มีวิตามินซีด้วย เพราะวิตามินซีช่วยในการดูดซึมเหล็กเข้าสู่ร่างกาย

สิ่งที่ผู้สูงอายุควรทำ

1.กินอาหารให้มีความหลากหลาย ประกอบด้วยแป้ง เนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเลือกเนื้อสัตว์ที่มีไขมันน้อย หากเป็นไปได้ควรเลือกกินปลา เพราะเนื้อปลามีโปรตีนสูง ย่อยง่าย ไขมันต่ำ ไขมันในปลาเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว ไม่มีคลอเรสเตอรอล ดังนั้น ควรกินปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง กินไข่สัปดาห์ละ 1-2 ฟอง กินถั่วเมล็ดแห้ง ดื่มนมพร่องมันเนย และผักชนิดต่างๆ ผลไม้สด รวมทั้งน้ำมันพืชเพื่อให้ร่างกายได้สารอาหารตามที่ต้องการ ในแต่ละวันควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ของไทย การกินอาหารหลากหลายเพื่อให้ได้รับสารอาหารหลายชนิด เพราะในอาหารแต่ละชนิดมีสารอาหารแตกต่างกัน อีกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงสารตกค้างในอาหาร ไม่ให้เกิดการสะสมในร่างกาย

2.รับประทานอาหารที่พอเหมาะ แต่แบ่งเป็นหลายๆ มื้อ เช่น อาจแบ่งเป็นวันละ 5-6 มื้อ เพื่อให้กระเพาะอาหารไม่ต้องทำงานหนักเกินไป ระบบการย่อยการดูดซึมของผู้สูงอายุจะช้ากว่าวัยหนุ่มสาว การกินอาหารมากๆ ในมื้อเดียวกัน อาจทำให้จุกแน่น ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ในการจัดอาหารควรให้มีสีสัน กลิ่น รส น่ากิน เพื่อเชิญชวนให้เกิดความอยากอาหาร เพราะต่อมรับรสในผู้สูงอายุจะทำงานได้ไม่ดีเหมือนแต่ก่อน ความอยากอาหารจะพลอยลดลงไปด้วย

3.พยายามรับประทานอาหารที่ปรุงจากอาหารสด แทนอาหารกระป๋องหรืออาหารสำเร็จรูป เพราะในอาหารกระป๋องหรืออาหารสำเร็จรูป มักไม่มีเส้นใย มีการปรุงแต่งด้วยสารปรุงรสเพื่อให้เก็บได้นาน ซึ่งทำให้สูญเสียคุณค่าอาหาร พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลมาก ถ้ากินมากเกินไปจะเกิดการสะสมเป็นไขมันพอกตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้อ้วน และถ้าเป็นโรคเบาหวานอยู่ด้วย น้ำตาลก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพ อีกเรื่องที่ต้องระวังคือคลอเรสเตอรอล จะทำให้เกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้ คลอเรสเตอรอลมักมีมากในไขมันต่างๆ โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์

4.อาหารผู้สูงอายุควรเป็นอาหารที่เคี้ยวง่าย ย่อยง่าย นุ่ม เพราะคนวัยชราโดยทั่วไปมักฟันหลุดร่วงและไม่แข็งแรงเหมือนเดิม ระบบย่อยอาหารไม่ดีเช่นเดิม การกินอาหารนุ่มๆ จะช่วยให้กินอาหารได้ดีและย่อยง่าย และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด เพราะมีโอกาสทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูงได้ เกลือทำให้เกิดการคลั่งของน้ำในร่างกาย ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคหัวใจอยู่แล้วจะเกิดอาการกำเริบรุนแรงขึ้นได้

5.ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ และดื่มนมเป็นประจำทุกวัน โดยดื่มนมพร่องมันเนย อย่างน้อยวันละ 1 แก้ว เพราะในนมมีแคลเซียมบำรุงกระดูก ขณะเดียวกันก็ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ให้น้อยลง กินผักผลไม้ให้มากขึ้น กินอาหารที่ให้แคลเซียม เช่น ถั่วเมล็ดแห้ง นม เต้าหู้ งา เพื่อเสริมสร้างกระดูก ป้องกันภาวะกระดูกพรุน กินอาหารที่มีเส้นใยมากพอ กินข้าวไม่ขัดจนขาว ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง การกินอาหารมีเส้นใยก็เพื่อให้ร่างกายขับถ่ายได้สะดวก ในข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ นอกจากมีเส้นใยแล้วยังมีวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินบี ช่วยบำรุงประสาทให้ระบบต่างๆ ทำงานได้เป็นปกติ และคนสูงอายุควรดื่มน้ำผลไม้วันละ 1 แก้วด้วย เพื่อให้ได้วิตามิน เกลือแร่เพียงพอ ลดการดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทั้งหลาย เพราะจะทำให้ตับทำงานมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อม ความจำไม่ดี

คนสูงอายุไม่สามารถกินอาหารรสจัดได้ จะรู้สึกเผ็ดหรือเค็มหรือเปรี้ยวมากกว่าคนหนุ่มสาว แต่ก็ไม่ควรเป็นอาหารที่รสจืดชืด หรือไม่มีรสชาติ เพราะคนแก่เบื่ออาหารง่าย สีสันและรสชาติจะช่วยให้เกิดความอยาก และกินอาหารได้ดี อาหารของผู้สูงอายุก็ไม่ควรซ้ำซาก ต้องมีการวางแผนให้ดีและจัดให้สวยงาม มองดูน่ากิน ทำอย่างนี้แล้วปัญหาเรื่องคนแก่กินอาหารยาก จู้จี้ขี้บ่น อาจจะลดลงไปกลายเป็นความสุขในครอบครัวเกิดขึ้นมาแทน

นรักสุขภาพทั้งหลายไม่พลาดคำนี้แน่ เพราะ “อาหารธรรมชาติ” เป็นสิ่งที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน และยังเป็น 1 ใน 5 เทรนด์หลักของเรื่องอาหารการกินในปี 2018 ว่ากันด้วยความหมายของคำว่า “อาหารธรรมชาติ” ก็คืออาหารที่ได้จากธรรมชาติหรือผลิตจากธรรมชาตินั่นเอง เป็นอาหารที่ไม่มีสารพิษและสิ่งแปลกปลอมเจือปน ไม่ผ่านการฉีดยาฆ่าแมลง ไม่ผ่านกระบวนการปรุงแบบซับซ้อน ไม่มีการเพิ่มสารสังเคราะห์ หรือรวมถึงสารที่สกัดและสังเคราะห์จากธรรมชาติ เช่น สารกันบูด ผงชูรส การแต่งกลิ่นแบบธรรมชาติ

จะเห็นว่าอาหาร เครื่องดื่ม ที่เขียนบนฉลากว่า แต่งสี กลิ่นเลียนแบบธรรมชาติ เติมสารให้ความหวานแทนน้ำตาล เหล่านี้ถือว่า ไม่ใช่อาหารธรรมชาติ

บางคนอาจเข้าใจว่าอาหารธรรมชาติ คืออาหารประเภทออร์แกนิค ซึ่งไม่ใช่เลย เป็นคนละเรื่อง อาหารธรรมชาติ มีความหมายตามที่กล่าวมาข้างต้น ส่วน อาหารออร์แกนิค อยู่เหนือชั้นกว่าอาหารธรรมชาติ ลำดับขั้นมีว่าจากอาหารธรรมชาติแล้วจึงไปสู่ ออร์แกนิค หรือ เกษตรอินทรีย์ ซึ่งหมายถึงอาหารที่ไม่มีการปนเปื้อนสารเคมี ทั้งจากดิน น้ำ เมล็ดพันธุ์ หรือการปนเปื้อนทางอากาศจากพื้นที่ข้างเคียง ไม่น้อยกว่า 3-5 ปี แล้วแต่มาตรฐาน ตลอดจนไปถึงขั้นตอนการผลิตในโรงงาน ออกมาเป็นบรรจุภัณฑ์ ต้องไม่ผลิตรวมกับสินค้าเกรดที่ไม่เป็นอินทรีย์

และยังต้องเป็นอาหารที่ปรุงมาจากวัตถุดิบที่ได้จากธรรมชาติ ไม่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม บอกถึงแหล่งที่มาอย่างชัดเจน ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย ดังนั้น อาหารธรรมชาติ และ ออร์แกนิค จึงแตกต่างกัน

การกินอาหารธรรมชาติที่มีอยู่ในท้องถิ่นและมีอยู่ตามฤดูกาล เชื่อว่ามีผลดีต่อสุขภาพและช่วยรักษาโรคต่างๆ ได้ เหตุที่ต้องกินอาหารธรรมชาติที่มีอยู่ในท้องถิ่นและมีอยู่ตามฤดูกาล เพราะถ้ากินอาหารที่มาจากถิ่นอื่น ซึ่งมีสภาพแวดล้อมและภูมิอากาศแตกต่างไป จะทำให้มีความต้านทานโรคตามธรรมชาติลดลง นอกจากนั้น อาหารเหล่านี้ยังอาจใส่สารเคมีต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เน่าเสียได้ง่าย ดังนั้น การกินอาหารที่มีอยู่ตามฤดูกาลจะทำให้ร่างกายสามารถปรับตัวให้สมดุลกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้ดี

วัฒนธรรมการกินอาหารของคนไทย แต่ไหนแต่ไรมา เน้นการกินพืชผักเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นของในท้องถิ่น ไม่ต้องซื้อหา หรือถ้าซื้อก็ซื้อในราคาถูก และปริมาณอาหารที่กินแต่ละมื้อต้องพอเหมาะกับความต้องการของร่างกาย ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ผักพื้นบ้านไทย จัดเป็นอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ เป็นได้ทั้งอาหารและยา โดยช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคไขมันในเส้นเลือดสูง ผักพื้นบ้านส่วนใหญ่มักเป็นพืชที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือนิยมปลูกไว้ใช้ในครัวเรือน เช่น ตำลึง กระถิน กระเพรา ตะไคร้ มะกรูด มะนาว กล้วย ฟักทอง มะเขือ เป็นต้น

อีกชนิดที่ถือเป็นอาหารธรรมชาติ ก็คือ พืชสมุนไพร นิยมนำมาปรุงเป็นอาหาร เพราะสมุนไพรส่วนใหญ่ปลอดจากสารพิษ ทั้งยังอร่อยและเป็นยาช่วยป้องกันและรักษาโรคได้อย่างคุ้มค่าเช่นเดียวกัน แม้คนเราจะรักสุขภาพด้วยการกินอาหารธรรมชาติ แต่การบริโภคเพื่อสุขภาพที่ดีนั้น ร่างกายต้องได้รับสารอาหารครบถ้วนตามหลักโภชนาการ มื้ออาหารควรมีความหลากหลาย เพื่อความสมดุลของสารอาหารและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ

ควรเลือกอาหารที่แตกต่างไปจากเดิมบ้าง ไม่ควรตามใจปาก และปรุงแต่งอาหารโดยไม่จำเป็น อาหารธรรมชาติที่มีการปรุงแต่งน้อยที่สุดจะเป็นสิ่งให้ประโยชน์สูงสุดแก่ร่างกาย ที่สำคัญต้องนึกถึงอาหารประเภทที่มีเส้นใยเสมอ อาหารนั้นมีให้เราเลือกรับประทานอยู่มากมาย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสุขภาพของคนๆ นั้นด้วย ว่าในช่วงเวลาขณะนั้น ควรเลือกรับประทานอาหารแบบใดให้เหมาะสมตามสภาพร่างกายของตัวเอง

รอยัล แคริบเบียน อินเตอร์เนชั่นแนล ประกาศ “ควอนตัม ออฟ เดอะ ซีส์” (Quantum of the Seas) เรือสำราญที่ยิ่งใหญ่และทันสมัยที่สุดในเอเชีย จะกลับมาให้บริการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่พฤศจิกายน 2562 ถึงเมษายน 2563 โดยเป็นเส้นทางการล่องเรือสำราญที่ยาวที่สุดของภูมิภาคนี้

การประกาศนำเรือสำราญลำนี้มาให้บริการ นอกจากจะเป็นการปฏิวัติการให้บริการเรือสำราญครั้งยิ่งใหญ่ในเอเชีย ทั้งในด้านขนาดของเรือและสิ่งอำนวยความสะดวกบนเรืออันทันสมัยแล้ว ยังตอกย้ำถึงความมั่นใจของรอยัล แคริบเบียน ในการขยายตลาดสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย

ด้วยบริการทั้งหมดกว่า 34 เที่ยว ในช่วง 6 เดือน ซึ่งจะเริ่มในเดือนพฤศจิกายน 2562 ไปจนถึงเมษายน 2563 รอยัล แคริบเบียน อินเตอร์เนชั่นแนล คาดว่าเรือควอนตัม ออฟ เดอะ ซีส์ จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 150,000 คนสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีโปรแกรมท่องเที่ยวระยะเวลา 4-7 คืน จะเริ่มต้นจากสิงคโปร์สู่ปีนัง กัวลาลัมเปอร์ (ท่าเรือกลัง) ภูเก็ต กรุงเทพฯ (ท่าเรือแหลมฉบัง) และโฮจิมินห์ (ท่าเรือพู่เหม่) การนำเรือสำราญควอนตัม ออฟ เดอะ ซีส์ ซึ่งมีความสูง 18 ชั้น ขนาดระวางขับน้ำ 168,666 ตัน และสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ถึง 4,905 คน มาให้บริการจะช่วยให้รอยัล แคริบเบียนสามารถเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการในภูมิภาคได้ราวร้อยละ 30

ในจำนวนเที่ยวบริการทั้งหมดที่กล่าวข้างต้น จะประกอบด้วย 24 เที่ยวบริการสู่ประเทศไทย โดยแบ่งเป็นโปรแกรมล่องเรือ ดังนี้ โปรแกรมล่องเรือ 4 คืน เดินทางสู่ภูเก็ต โปรแกรม 5 คืน สู่ภูเก็ต กัวลาลัมเปอร์ (ท่าเรือกลัง) และปีนัง โปรแกรม 7 คืน สู่ภูเก็ต (พัก 1 คืน) กัวลาลัมเปอร์ (ท่าเรือกลัง) และปีนัง และโปรแกรม 7 คืน สู่กรุงเทพฯ (พัก 1 คืน) และโฮจิมินห์ ซิตี้ โดยตั้งเป้าจะนำนักท่องเที่ยวกว่า 105,000 คนมายังประเทศไทย

เรือควอนตัม ออฟ เดอะ ซีส์ จะได้รับการปรับโฉมและพัฒนาก่อนจะกลับมาให้บริการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยงบประมาณหลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อมอบประสบการณ์การล่องเรือที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า

นายไมเคิล เบย์เลย์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รอยัล แคริบเบียน อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า ความมุ่งมั่นของบริษัทในการนำเรือที่มีขนาดและบริการที่ดียิ่งขึ้นอย่าง ควอนตัม ออฟ เดอะ ซีส์ มาให้บริการ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการเติบโตของรอยัล แคริบเบียน ที่มีต่อภูมิภาคแห่งนี้

“เราตัดสินใจนำเรือสำราญ ควอนตัม ออฟ เดอะ ซีส์ กลับมาให้บริการอีกครั้ง เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวในภูมิภาค ด้วยโปรแกรมแบบไป-กลับ 4 คืน และเป็นครั้งแรกที่เพิ่มโปรแกรมแบบ 7 คืน ด้วยเส้นทางใหม่สุดพิเศษที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับตลาดเอเชียโดยเฉพาะ ซึ่งจะทำให้ผู้เข้าพักทุกท่านประทับใจไปกับประสบการณ์เหนือระดับที่เรือลำนี้จะมอบให้

ผู้เข้าพักจะเพลิดเพลินไปกับการชมวิวทะเลกับ กระเช้าลอยฟ้าแบบแคปซูลใส ‘North Star’ ซึ่งสูง 92 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ศูนย์รวมความบันเทิงแบบไฮ-เทค Two 70 การเสิร์ฟเครื่องดื่มที่ผสมโดยหุ่นยนต์บาร์เทนเดอร์ ณ Bionic Bar และสนุกสนานไปกับกิจกรรมสกายไดฟ์วิง และการโต้คลื่น รวมทั้งกิจกรรมอีกมากมายที่ Seaplex ทั้งสนามบาสเกตบอล โรลเลอร์สเก็ต รถบั๊ม และอื่นๆ นอกจากนี้ยังมี 18 ร้านอาหารดังจากทั่วโลก ทั้งอาหารชั้นเลิศสไตล์แปลกใหม่ ที่ Wonderland และห้องอาหาร Jamie’s Italian ของเชฟชื่อดัง Jamie Oliver

ผู้สนใจสามารถจองบริการเรือสำราญ ‘ควอนตัม ออฟ เดอะ ซีส์’ ผ่านบริษัท ดิสคัฟเวอร์ เดอะ เวิลด์ (ไทยแลนด์) จำกัด และบริษัท ทราเวิล เอเลเม้นท์ส จำกัด ตัวแทนขายของ รอยัล แคริบเบียน ในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน เป็นต้นไป

อเกาะกระแสละครฮิตอีกสักหน่อย เกี่ยวกับอักษรไทย ตามอย่างในละคร บุพเพสันนิวาส ที่กล่าวถึงออกญาโหราธิบดี ผู้ประพันธ์หรือแต่งหนังสือ “จินดามณี” แบบเรียนในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ จนกระทั่งกลายมาเป็นต้นเค้าของตำราเรียนภาษาไทยที่ใช้ในยุคปัจจุบัน

เกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจารย์นิตยา กาญจนะวรรณ ผู้เชี่ยวชาญภาษาไทย เขียนไว้ในนิตยสาร “มติชนสุดสัปดาห์” ตอนหนึ่ง ว่า ตำราภาษาไทยนับแต่จินดามณี ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นต้นมา เมื่อกล่าวถึงอักษรไทย ก ถึง ฮ ก็เรียกแต่ ก ข ค ง โดยไม่มีชื่อกำกับว่า ก ไก่ ข ไข่ ดังในปัจจุบัน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 (พ.ศ.2367-2394) ตัว ก ข ค ง ฯลฯ จึงเริ่มมีชื่อกำกับอยู่ 36 ตัว (จากจำนวน 44 ตัว) แต่ก็เป็นไปเพื่อการเล่นหวยเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการศึกษา

ในครั้งนั้น ฌ ได้ชื่อว่า “ฌ ฮวยกัง” หรือ “ฌ ฮวยกัว”

สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 (พ.ศ.2411-2453) พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) จึงได้คิดคำกำกับพยัญชนะเฉพาะ ที่มีเสียงพ้องกัน 26 ตัวขึ้น ในครั้งนั้น ฌ ได้ชื่อว่า “ฌ ฌาน” ต่อมาใน พ.ศ.2442 หนังสือแบบเรียนเร็ว ฉบับที่โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งที่ 10 ก ถึง ฮ จึงเริ่มมีชื่อกำกับครบทั้ง 44 ตัวเป็นครั้งแรก รวมทั้งมีภาพประกอบด้วย แบบเรียนเร็วนี้เป็นพระนิพนธ์ของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ในครั้งนั้น ฌ ได้ชื่อว่า “ฌ เฌอ” จากนั้นตำราเรียนในยุคหลังๆ ก็ล้วนแต่มีชื่อกำกับให้ ก ไก่ ถึง ฮ นกฮูก ทั้งสิ้น

เล่มที่สำคัญ มีดังนี้

“ดรุณศึกษา” ของ ฟ.ฮีแลร์ เริ่มใช้ในโรงเรียนอัสสัมชัญ และเริ่มพิมพ์เป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2453 ต้นรัชกาลที่ 6 ในครั้งนั้น ฌ ก็ยังคงเป็น “ฌ เฌอ”

“มูลบทบรรพกิจ” ฉบับโรงพิมพ์ราษฎร์เจริญ หรือโรงพิมพ์วัดเกาะ พ.ศ. 2458 และ 2463 มีคำเรียก ก ไก่ ถึง ฮ นกฮูก แถมมาให้ด้วย ในครั้งนั้น ฌ ได้ชื่อ “ฌ ฤๅษีเข้าฌาน”

ส่วนฉบับของโรงพิมพ์ห้างสมุด พ.ศ.2465 ฌ กลายเป็น “ฌ อุปัชฌาย์” และฉบับของโรงพิมพ์พานิชศุภผล ซึ่งพิมพ์ในปีเดียวกัน เรียก ฌ ว่า “ฌ คิชฌะ” (แร้ง)

ต่อจากนั้นมีการแต่ง ก ไก่ คำกลอน เพื่อให้จดจำง่ายยิ่งขึ้น ที่เก่าแก่ที่สุดคือคำกลอนของ ย้วน ทันนิเทศ ซึ่งอยู่ในหนังสือแบบเรียนไว พ.ศ. 2473 ซึ่งเขียนว่า “ฌ เฌอ ริมทาง” แต่ พ.ต.อ.(พิเศษ) ฉลาด พิศาลสงคราม จำข้อความได้เป็นว่า “ฌ กะเฌอ ริมทาง” ต่อมา พยงค์ มุกดา ได้นำคำกลอนนี้มาแต่งเป็นเพลง และได้ใช้ถ้อยคำ “ฌ กะเฌอ ริมทาง”

อย่างไรก็ตาม ได้มีผู้แต่งคำกลอนนี้ขึ้นมาใหม่อีก ที่มีชื่อเสียงมากและได้เข้ามาแทนที่คำกลอนของย้วน ทันนิเทศ ก็คือคำกลอนที่ปรากฏใน แบบเรียน ก ไก่ ชั้นเตรียมของบริษัทประชาช่าง พิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2490 ซึ่งใช้ว่า “ฌ กะเฌอ คู่กัน” หนังสือ ก ไก่ ภาพเรียนเขียนอ่าน ของบริษัทประชาช่าง ฉบับราว พ.ศ.2500 ใช้ว่า “ฌ กะเฌอ ริมทาง” หนังสือแบบเรียน ก ไก่ อนุบาล ของบริษัทประชาช่าง พ.ศ. 2533 ใช้ว่า “ฌ เฌอ คู่กัน”

ในปี พ.ศ.2535 มนตรี ศรีบุษรา ได้เสนอว่า “เฌอ” เป็นภาษาเขมร แปลว่า “ไม้” ถ้าจะให้มีความหมายว่า “ต้นไม้” ต้องมีคำว่า “เดิม” อยู่ข้างหน้าด้วย เป็น “เดิมเฌอ” ฉะนั้น ฌ ควรจะเป็น “ฌ เดิมเฌอ”

จะเห็นได้ว่า ฌ มีชื่อเรียกมาอย่างมากมาย คือตั้งแต่ ฌ ฮวยกัง (ฮวยกัว) มาจนถึง ฌ เฌอ ในปัจจุบัน ชื่อที่เรียกต่างกันไปนั้น บางครั้งผู้คิดก็ให้เหตุผลไว้ บางครั้งก็มิได้ให้ เช่น พระยาศรีสุนทรโวหาร ไม่อยากให้เอาชื่อหวยมาเป็นชื่อตัวอักษร ส่วนที่มีพยางค์ “กะ” หรือ “กระ” มานำอยู่ข้างหน้านั้น สามารถใช้เรื่องเสียงมาอธิบายได้ว่า เพื่อให้ออกเสียงได้ถนัดกว่าที่จะพูดแยกกันเป็นคำๆ

กลายเป็นธุรกิจฮิตติดตลาดสำหรับ “เทศกาลทัวร์ผลไม้” ภาคตะวันออก ระยอง จันทบุรี ตราด ความร่วมมือระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเกษตรจังหวัด เกษตรกรเจ้าของสวน สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัด สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และชมรมธุรกิจการท่องเที่ยว

ตั้งแต่เดือนเมษายนไปจนถึงกรกฎาคมนี้ เจ้าของสวนภาคตะวันออกเตรียมเปิดสวนเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวถึง 63 แห่ง นอกจากจะได้รับประทานผลไม้สด ๆ ในสวน หรือจะซื้อกลับบ้านได้ในราคาถูกกว่าท้องตลาดแล้ว ยังจะได้สัมผัสและเก็บเกี่ยวบรรยากาศวิถีชีวิตของชาวสวนควบคู่กันไปด้วย

“ระยอง-จันท์” กระหน่ำบุฟเฟต์

“อุทิศ ลิ่มสกุล” ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานระยอง (ดูแลพื้นที่ระยอง-จันทบุรี) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้จังหวัดระยองและจันทบุรีได้เตรียมความพร้อมที่จะเปิดสวนผลไม้ให้นัก ท่องเที่ยวได้มาสัมผัส รวมมากถึง 56 สวน แบ่งเป็น ระยอง 31 สวน จันทบุรี 25 สวน กระจายไปตามอำเภอต่าง ๆ จากปีที่ผ่านมา ที่มีสวนผลไม้เข้าร่วมโครงการ 34 สวน แบ่งเป็น ระยอง 19 สวน จันทบุรี 15 สวน

สำหรับปีนี้ขายแพ็กเกจบุฟเฟต์เป็นรายหัวราคา 299-500 บาท และสามารถซื้อผลไม้หน้าสวนได้ในราคาถูกกว่าท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็น ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง สละ และมีการรับรองคุณภาพด้วย

แน่นอนว่านักท่องเที่ยวที่มาทัวร์สวนผลไม้ 95% ชื่นชอบ ทุเรียน มากเป็นอันดับ 1นอกจากนี้ ททท.ระยองยังจัดแคมเปญ “เที่ยววันธรรมดา ตะลุยสวนระยอง-จันท์” ด้วยการมอบคูปองส่วนลดทัวร์สวนผลไม้ และร้านค้าประชารัฐ สุขใจ คนละ 100 บาท สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาพักค้างโรงแรมในวันธรรมดา วันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดี ตลอดช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคมนี้

ขณะที่ “วณิชชา วัฒนพงศ์” นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดจันทบุรี กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การจัดทัวร์สวนผลไม้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้มาก คาดว่าน่าจะทำรายได้ด้านการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น นอกจากทัวร์สวนผลไม้แล้ว ระหว่างวันที่ 19-27 พฤษภาคมนี้ จันทบุรียังมีการจัดงานประจำปี เทศกาลของดีเมืองจันท์ วันผลไม้ เสริมเข้ามาอีก เพื่อดึงนักท่องเที่ยวให้มาท่องเที่ยวและพักในจังหวัดจันทบุรี

กิจกรรมนี้จะทำให้นักท่องเที่ยวได้รับประทานผลไม้ที่สด แก่จัด รสชาติอร่อย ได้ชมวิถีชีวิตชาวสวน ได้รับรู้ภูมิปัญญา หรือบางสวนมีคุณลักษณะพิเศษ เช่น มังคุด 100 ปี ทุเรียนพันธุ์โบราณหายาก บางสวนมีฟาร์มพืชออร์แกนิก การเลี้ยงสัตว์ต่าง ๆ ให้เที่ยวชมด้วย

ล่าสุดเริ่มมียอดจองทัวร์ผลไม้เข้ามาเป็นระยะ ๆ แล้ว

“ชะนี เกาะช้าง” ไฮไลต์ตราด

“วรรณประภา สุขสมบูรณ์” ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานตราด กล่าวว่า ขณะนี้ตราดได้เตรียมพร้อมสำหรับเทศกาลทัวร์สวนผลไม้ โดย ททท.ตราด ร่วมกับสำนักงานเกษตรจังหวัด สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัด ชมรมธุรกิจนำเที่ยวจังหวัดตราด และบริษัท บางกอกแอร์เวย์ส จำกัด ได้เข้ามาสนับสนุนแคมเปญ “อร่อยทุกไร่ ชิมไปทุกสวน” เป็นปีที่ 3 โดยมีสวนผลไม้เข้าร่วม 7 สวน จากปีที่ผ่านมาที่เข้าร่วม 10 สวน เพราะปัญหาผลผลิตมีน้อย กำหนดเปิดเข้าชมสวน ตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายน และกำหนดราคาเข้าเที่ยวชมชิมผลไม้ แบบบุฟเฟต์ราคาเดียวกัน 200 บาท/คน

ปีนี้ผลผลิตผลไม้ของตราดออกมาค่อนข้างน้อยและผลผลิตออกไม่ตรงตามฤดูกาล เนื่องจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ แต่สวนที่ร่วมแคมเปญทั้ง 7 สวน รับรองว่าจะมีผลไม้ไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวตลอดฤดู เพียงแต่ขอให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการจะเข้าชมสวน ติดต่อประสานงานกับเจ้าของสวน หรือประสานผ่านชมรมธุรกิจนำเที่ยวจังหวัดตราด ล่วงหน้า

“ไฮไลต์ตราดอยู่ที่ทุเรียนชะนี เกาะช้าง ทุเรียนพรีเมี่ยม มีอัตลักษณ์ที่โดดเด่น อุดมด้วยวิตามินอีและธาตุไอโอดีน มีพื้นที่ดินเป็นดินภูเขาไฟ แหล่งน้ำที่มาจากน้ำตก ซึ่งปีนี้คาดว่ามีผลผลิตออกมาเพียง 300 ตันเศษเท่านั้น ซึ่งกลุ่มเกษตรกรเกาะช้างกำหนดราคาที่กิโลกรัมละ 200 บาท

“ไพฑูรย์ วานิชศรี” เจ้าของสวนทุเรียน “สวนไพฑูรย์” ที่ได้รับการรับรองคุณภาพ GAP (good agriculture practice) กล่าวว่า ปีนี้ผลผลิตผลไม้หลัก ๆ ของภาคตะวันออกมีปริมาณลดลง 20-30% และผลผลิตออกล่าช้า ราคาผลไม้มีการปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย สำหรับที่สวนเอง ปกติสวนจะเปิดรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนถึงมิถุนายน แต่ปีนี้ผลผลิตล่าช้า จากปกติที่ผลผลิตจะเริ่มออกในช่วงปลายเดือนมีนาคม ขณะนี้ทุเรียนหลายพันธุ์เริ่มทยอยออกแล้ว เช่น พวงมณี ชะนี หมอนทอง

การจัดทัวร์ผลไม้นอกจากนักท่องเที่ยวชาวไทย ระยะหลังมีเพื่อนบ้านกัมพูชา และนักท่องเที่ยวจีนสนใจและติดต่อเข้ามาทัวร์สวนมากขึ้น

สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้ชาวสวนได้ไม่น้อย

 

 


ที่มา นสพ.ประชาชาติธุรกิจ

ป็นอีกตัวละครหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญทั้งในประวัติศาสตร์จริง และในละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส ตัวตนจริงของออกญาโหราธิบดีในประวัติศาสตร์นั้น รับรู้กันโดยทั่วไปว่าเป็นคนแต่งแบบเรียนภาษาไทยเล่มแรกชื่อ “จินดามณี” ซึ่งว่ากันว่าเป็นเล่มที่ดีที่สุดและแพร่หลายที่สุด

จินดามณีเป็นแบบเรียนภาษาไทยที่เป็นมาตรฐานสำหรับการเล่าเรียนเขียนอ่านของลูกหลานคนไทยมาอย่างยาวนาน มากกว่าแบบเรียนภาษาไทยเล่มใด คือตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จึงได้ค่อยๆเสื่อมความนิยมลง

 

ที่จริงแล้วคำว่า “พระโหราธิบดี” มิใช่ชื่อบุคคล แต่เป็นตำแหน่งและบรรดาศักดิ์ กล่าวคือเป็นตำแหน่งอธิบดีแห่งโหร หรือ โหรหลวงประจำราชสำนัก อีกทั้งยังเป็นผู้ควบคุมหรือเป็นหัวหน้าการประกอบพิธีการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์อีกด้วย ซึ่งต้องเป็นบุคคลที่รู้หนังสือรวมถึงรอบรู้สรรพวิทยาต่าง ๆ

วารสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือน มิถุนายน 2546 กล่าวถึงออกญาโหราธิบดีว่าเป็นปราชญ์เมืองเหนือและปราชญ์ทางภาษาไทยสมัยนั้น ประวัติของท่านมีกล่าวไว้ในหนังสือจินดามณีเกือบทุกฉบับว่า “จินดามณีนี้ พระโหราธิบดี เดอมอยู่เมืองสุโขทัย แต่งถวายแต่ครั้งสมเด็จพระนารายณ์เปนเจ้าลพบุรี” และอีกตอนหนึ่งว่า “ขุนปราชญ์หนึ่งเลิศ เปนโหรประเสริฐ ปัญญาชำนาญ ชาวโอฆบุรี สวัสดีพิศาล ข้าพระภูบาล เจ้ากรุงพระนคร”

จากข้อความข้างต้นพอสรุปได้ว่า “พระโหราธิบดีนี้ บ้านเดิมท่านน่าจะอยู่สุโขทัย ต่อมาได้ย้ายมาอยู่โอฆบุรีหรือพิษณุโลก แล้วค่อยย้ายมากรุงศรีอยุธยา สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระโหราธิบดีผู้นี้ ว่า

“น่าจะเป็นบุคคลคนเดียวกันกับพระโหราที่พงศาวดารกรุงศรีอยุธยากล่าวถึง ว่าเป็นโหราที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงเชื่อถือว่าทายได้แม่นยำนั่นเอง” ซึ่งถ้าข้อสันนิษฐานของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ถูกต้อง ก็นับว่าเส้นทางชีวิตของพระโหราธิบดีผู้นี้ยาวไกลมาก คือจากสุโขทัย จากโอฆบุรี ลงไปรับราชการที่กรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองเป็นต้นมา และได้ดิบได้ดีจนกระทั่งได้แต่งจินดามณี รวบรวมพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา และถึงแก่มรณกรรมในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อันเป็นที่สุดของชีวิต

อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ยังไม่สามารถไขปริศนาได้ว่า พระโหราธิบดีผู้นี้เป็นบุคคลคนเดียวกันกับมหาราชครู กวีผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งแต่งเสือโคคำฉันท์และสมุทรโฆษคำฉันท์ หรือไม่ และพระโหราธิบดีผู้นี้คือพ่อของศรีปราชญ์ กวีผู้ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งของสมัยนั้นด้วยหรือไม่ เพราะมีแนวคิดของนักประวัติศาสตร์อีกแนวว่า “ศรีปราชญ์” เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา ไม่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์

พระโหราธิบดีจะเป็นพ่อของศรีปราชญ์และเป็นคนคนเดียวกับมหาราชครูหรือไม่ต้องรอข้อเท็จจริงมาพิสูจน์ แต่ที่ไม่ต้องรอข้อพิสูจน์เพราะหลักฐานชัดเจนก็คือ พระโหราธิบดีท่านเป็นคนจากดินแดนซึ่งเคยเป็นแว่นแคว้นสุโขทัย หรือที่คนกรุงศรีอยุธยาเรียกขานกันว่า “เมืองเหนือ” เมื่อท่านเกิดที่แคว้นสุโขทัย ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าการศึกษาเล่าเรียนของท่านก็ต้องศึกษาจากสำนักราชบัณฑิตและสำนักวัดต่างๆ ในแคว้นสุโขทัย โดยเฉพาะจากเมืองสุโขทัย กำแพงเพชร และพิษณุโลก เป็นเบื้องต้น

ทราบกันดีว่าแคว้นสุโขทัยนั้นเคยเป็นดินแดนที่รุ่งเรืองศิลปวัฒนธรรมด้านภาษาศาสตร์และอักษรศาสตร์มาก่อน อีกทั้งมีแนวทางด้านภาษาและอักษรเป็นของตนเอง เมื่อพระโหราธิบดีท่านมีฐานทางภูมิปัญญาจากถิ่นนี้ ท่านก็ย่อมซึมซับเอาภูมิรู้ด้านภาษาและอักษรศาสตร์แบบสุโขทัย ซึ่งอย่างน้อยในสมัยของท่านจักต้องคงความรุ่งเรืองอยู่บ้าง เอาไว้ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

ในเรื่องการทำนายเหตุการณ์ต่างๆ ของท่านโหราธิบดีผู้นี้ โจษขานกันว่าแม่นยำยังกะตาเห็น ที่เล่าลือกันอย่างมากจนกลายมาเป็นฉายา “พระโหราธิบดีทายหนู” นั้น เรื่องมีอยู่ว่า

ในคราวที่รับราชการในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พระราชบิดาของสมเด็จพระนารายณ์) วันหนึ่งขณะประทับในพระที่นั่งจักรวรรดิ์ไพชยนต์มหาปราสาทกับเหล่าข้าราชการทั้งหลาย ได้มีมุสิก (หนู) ตกลงมาแล้ววิ่งเข้าหาที่ประทับ พระองค์ทรงใช้ขันทองครอบไว้แล้วให้มหาดเล็กไปตามพระโหราธิบดีมาทายว่าสิ่งใดอยู่ในขันทองนี้ พระโหราธิบดีมาตามรับสั่ง เมื่อคำนวณดูแล้ว จึงกราบบังคมทูล ว่า

“เป็นสัตว์สี่เท้า” พระเจ้าปราสาททองตรัสว่า “ชนิดใด” พระโหรากราบบังคมทูลว่า “มุสิก” สมเด็จพระเจ้าปราสาททองตรัสต่อว่าแล้วมีกี่ตัว พระโหราคำนวณแล้วกราบบังคมทูลว่า “มี 4 ตัว พระเจ้าข้า ” พระเจ้าปราสาททองทรงพระสรวล แล้วตรัสว่า “มุสิกนั้นถูกต้องแล้ว แต่มีแค่ตัวเดียว มิใช่ 4 ตัว คราวนี้เห็นทีท่านจะผิดกระมังท่านโหรา” เมื่อทรงเปิดขันทองที่ครอบหนูไว้ ก็ปรากฏว่ามีหนูอยู่ 4 ตัวจริง

เพราะหนูที่ตกลงมานั้นเป็นหนูตัวเมียท้องแก่ เมื่อตกลงมาก็ตกลูก 3 ตัวในขันทองพอดี การพยากรณ์ครั้งนั้นจึงสร้างชื่อเสียงให้แก่พระโหราธิบดีเป็นอันมากจนได้รับสมญานาม ว่า “พระโหราธิบดีทายหนู” สมเด็จพระเจ้าปราสาททองจึงโปรดให้พระโหราธิบดีเป็นพระราชครูถวายพระอักษรสมเด็จพระนารายณ์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เป็นต้นมา

“แสนสิริ” ร่วมกับ “นักรบ มูลมานัส” ศิลปินภาพประกอบแนวคอลลาจสไตล์ไทย รังสรรค์อาร์ทคอลเลคชั่น ‘SANSIRI x NAKROB MOONMANAS’ เป็นครั้งแรก หนึ่งในกิจกรรมภายใต้คอนเซ็ปท์ Sansiri Art Series ที่ร่วมมืออาร์ทิสหน้าใหม่ที่มีผลงานโดดเด่นมากมาย โดยถ่ายทอด 3 แรงบันดาลใจผ่านมุมมองการจัดแสดงนิทรรศการศิลปะคอลลาจสุดเอ็กซ์คลูซีฟในรูปแบบ Mini Art Gallery ระหว่างวันที่ 9-16 เม.ย นี้ ที่แสนสิริ เลานจ์ ภายใต้คอนเซ็ปท์ “Songkran Gathering” เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่ไทย ผ่านมนต์เสน่ห์เรื่องราวและประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ใหม่ของหัวหิน พร้อมจัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เอาใจสมาชิกแสนสิริ แฟมิลี่ ได้เสพย์งานศิลป์และเพลิดเพลินกับขนมหวานเมนูพิเศษประจำฤดูร้อน ด้วยการเสิร์ฟ ‘มะม่วงแก้วร้านแม่นงนุช’ ร้านข้าวเหนียวมะม่วงชื่อดังแห่งหัวหินที่ทำเมนูพิเศษนี้ขึ้นเฉพาะทุกเดือนเมษายนเท่านั้น เฉพาะที่แสนสิริ เลาจน์ ชั้น 3 สยามพารากอน

นอกจากนี้ สำหรับผู้สนใจทั่วไป แสนสิริ ชวนคุณร่วมสนุกกับกิจกรรมต้อนรับวันสงกรานต์ รับฟรี Headscarf ลายลิมิเต็ด เอดิชั่น จาก SANSIRI x NAKROB MOONMANAS เล่นน้ำสงกรานต์แบบเก๋ๆ โดยสามารถรับได้ ที่เคาน์เตอร์ แสนสิริ เลาจน์ เพียงแค่ทำตามกติกาง่ายๆ

ถ่ายภาพของคุณหรือจะเซลฟี่ก็ได้กับมุมสวย บริเวณด้านหน้าแสนสิริ เลาจน์ และโพสต์ลงบนเฟซบุคหรือไอจี ติด #SansiriSummerVibes #JoyofHuahin #SiriExperience ตั้งค่าเป็นสาธารณะ แสดงโพสต์ของคุณกับเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ด้านใน Sansiri Lounge

หรือร่วมสนุกกับ SANSIRI x NAKROB MOONMANAS photo frame เปลี่ยนกรอบภาพ โพรไฟล์สุดชิคในสไตล์คุณ

ตั้งแต่วันที่ 9-16 เม.ย นี้ ที่ แสนสิริ เลานจ์ ชั้น 3 สยาม พารากอน ตั้งแต่เวลา 10.30-20.00น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-201-3999