แกงเลียงกะทิเป็นอาหารที่หากินยากจนหลายคนอาจจะลืมไปแล้ว วิธีทำก็เหมือนกับการทำแกงเลียงทุกประการ เพียงแต่ต้มกับกะทิ จึงได้รสความหอมมันของกะทิ ใครชอบกินต้มกะทิคงชอบ

ผักที่ใช้ในแกงเลียงกะทิจะนิยมให้เป็นผักที่เป็นลูกมากกว่าผักที่เป็นใบ ได้แก่ ฟัก น้ำเต้าอ่อน ฟักทองแก่ และบวบ เลือกเอาตามสะดวก แต่อย่างน้อยควรจะมีทั้งสองอย่าง คนอยู่เมืองกรุงอาจจะหาฟักทองอ่อนยากสักหน่อย เพราะไม่ค่อยมีใครขาย นอกจากปลูกเองจึงได้เด็ดกิน ขอแนะนำให้ใช้ซูกินีแทน ซูกินีนั้นชาวเกาหลีเรียกว่าฟักทองน้อย เราอาจจะนึกไม่ถึงว่าฟักทองและซูกินีนั้นเกี่ยวพันกัน ถึงแม้ว่าจะนิยมแกงกับผักที่เป็นลูก แต่อย่างไรเสียแกงเลียงก็จะขาดใบแมงลักไม่ได้แน่นอน

ไปดูสูตรทำกันเลย!

 

จากหนังสือ ปลูกเองกินเอง เนูอร่อยจากสวนครัวคนเมือง สนพ.มติชน

รู้หรือไม่ว่า 80% ของคนในโลกนี้มีอาการปวด “หลัง” ซึ่งถึงแม้ไม่ใช่โรคเจ็บป่วยร้ายแรง แต่ก็สร้างความทุกข์ทรมานให้ได้ ทั้งนี้ อาการเกี่ยวกับหลังหลายครั้งมาจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งหลายอย่างก็เป็นสิ่งที่คุณสามารถเลิกทำได้ ลองไปดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

1.อาชีวปัจจัย หรือปัจจัยจากอาชีพการงาน

การปวดหลังไม่ได้พบเฉพาะในหมู่อาชีพที่ต้องทำงานยกของหนักเท่านั้น แต่อาชีพอื่นๆ ก็มีความเสี่ยงด้วย เช่น ช่างแต่งหน้า, ช่างทำเล็บ, วิศวกร, คนขับรถ, สถาปนิก, คนทำงานในออฟฟิศ, ช่างเย็บผ้า ฯลฯ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาชีพที่มีความเสี่ยงที่จะมีอาการปวดหลัง

ดังนั้น คุณอาจจะหาเวลาพักจากการนั่งท่าเดิมๆ อย่างน้อยชั่วโมงละ 1 ครั้ง หรือหากเป็นไปได้ เดินออกจากที่ทำงานแล้วยืดแข้งยnดขาเล็กน้อย เพื่อลดความเครียดของกล้ามเนื้อหลังนั่นเอง

2.การทำงานบ้านที่บ้าน

คุณอาจคิดว่าเมื่อได้กลับจากที่ทำงานไปอยู่บ้าน หลังของคุณจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ อีก เพราะบรรยากาศที่บ้านนั้นผ่อนคลาย จนทำให้คุณอาจลืมเกี่ยวกับการรักษาท่าทางที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คุณจะอยู่บ้านแต่ปัจจัยเสี่ยงยังมีอยู่ นั่นก็คือการทำงานบ้านของคุณ เช่น ขณะกำลังล้างจาน, เตรียมอาหาร หรือรีดผ้า หากคุณก้มหลังระหว่างทำกิจกรรมเหล่านี้ นั่นอาจทำลายกล้ามเนื้อของคุณได้

สิ่งสำคัญคือความสูงของซิงค์ล้างจาน, โต๊ะ หรือโต๊ะรองรีด จะต้องสูงพอดีกับความสูงของคุณด้วย นี่จะช่วยให้กระดูกสันหลังของคุณตรง และช่วยให้กล้ามเนื้อหลังผ่อนคลายด้วย

3.ใส่รองเท้าที่ใส่ไม่สบาย

เรื่องความสวยความงามเป็นสิ่งที่ผู้หญิงต้องคำนึงถึงกันอยู่แล้ว และแน่นอนว่า “รองเท้าส้นสูง” ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย แต่บางครั้งเราอาจลืมไปว่ารองเท้าที่ใส่นั้นมีผลโดยตรงกับท่าทางของเรา รวมไปถึงกล้ามเนื้อหลังด้วย ซึ่งทางที่ดีที่แนะนำคือ ไม่ควรใส่รองเท้าส้นสูงเกิน 2 ชั่วโมง/วัน

อย่างไรก็ตาม การใส่รองเท้าส้นแบนตลอดทั้งวันก็ทำให้ปวดหลังได้พอๆ กัน ซึ่งเป็นผลมาจากการกระจายน้ำหนักตัวที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น แนะนำว่ารองเท้าที่ดีสำหรับใส่ในทุกๆ วัน จึงควรเป็นรองเท้าส้นเตี้ย

4.ใช้กระเป๋าใบใหญ่

เทรนด์แฟชั่นใช้กระเป๋าใบใหญ่นั้นก่อให้เกิดภัยร้ายต่อสุขภาพของคุณได้ ซึ่งการใช้กระเป๋าใบใหญ่ทำให้คุณรู้สึกว่าอยากใส่ของลงไปมากขึ้นแม้มันจะไม่มีประโยชน์อะไรก็ตาม จนทำให้เกิด “น้ำหนักเกินจำเป็น” ที่ไหล่ต้องแบกรับ

ดังนั้น คุณควรจะใช้กระเป๋าที่มีขนาดพอดีๆ เอาของที่ไม่จำเป็นออก ให้เหลือเฉพาะสิ่งที่คุณใช้เป็นประจำทุกวัน

ทั้งนี้ กระเป๋าเป้สะพายหลังถือเป็นทางออกที่ดีหากคุณจะต้องแบกกระเป๋าไปทุกวัน เพราะจะช่วยกระจายน้ำหนักไปที่ไหล่ทั้งสองข้างแทนข้างเดียว โดยการใช้เป้สะพายหลังคุณควรปรับสายเป้ให้โอบรัดพอดีกับไหล่ของคุณด้วย แทนที่จะปล่อยให้ยาวๆ จนกระเป๋าห้อยมาถึงเอว

5.ใส่เสื้อผ้าแน่นเกินไป

บางครั้งเราก็อยากตามแฟชั่นจนต้องยอมใส่เสื้อผ้าที่ใส่แล้วอึดอัด หรือใส่ไม่สบาย เช่น กระโปรงทรงดินสอ, ชุดเดรสทรงแคบ และกางเกงยีนส์แบบสกินนี่ ซึ่งเสื้อผ้าเหล่านี้จำกัดการเคลื่อนไหวของร่างกาย การไหลเวียนของเลือด และยังรวมไปถึงกล้ามเนื้อหลังจะเครียดเกร็ง จนนำมาสู่อาการปวดหลัง

สำหรับผู้หญิง ชุดชั้นในก็มีส่วนสำคัญด้วยเช่นกัน พวกชุดรัดรูปต่างๆ จะเพิ่มความดันให้กล้ามเนื้อ ซึ่งไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือด ดังนั้นเวลาเลือกใส่จึงควรคำนึงถึงการสวมใส่สะดวกสบายก่อนความสวยงาม

6.ความเครียดและภาวะซึมเศร้า

งานวิจัยในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่า ความเครียดที่เราได้รับในชีวิตประจำวันนั้นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีการตึงเครียดมากเกินไปในกล้ามเนื้อหลัง

เพราะเมื่อเวลาเราอารมณ์เสีย เราจะหยุดให้ความสำคัญกับท่าทาง คือไหล่เราจะงอ และหลังจะห่อลง ซึ่งนำไปสู่การปวดหลังและเอวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ การออกกำลังกายช่วยขจัดความเครียดได้ ดังนั้น คุณอาจจะใช้เวลาไปกับการทำกิจกรรมที่ทำให้มีความสุข เช่น เต้น, ว่ายน้ำ หรือวิ่ง เพื่อช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น

ในกรณีที่อยู่ในภาวะซึมเศร้าเป็นเวลานาน คุณอาจจะต้องพบผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาได้เร็วขึ้น

7.การนอนในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง

การนอนหลับผิดท่านอกจากจะทำให้คุณไม่ได้มีการพักผ่อนที่ดีแล้ว ยังทำให้คุณมีอาการปวดหลังได้อีกด้วย นอกจากนี้ การนอนบนที่นอนแข็งก็ไม่ส่งผลดีเช่นกัน เพราะการนอนบนที่นอนแข็งจะทำให้กระดูกสันหลังคด จึงควรนอนบนที่นอนที่นิ่มแบบพอดีจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

ขณะเดียวกัน ในเวลาที่คุณนอนหลับ กระดูกสันหลังของคุณจะต้องอยู่ในแนวตรงเสมอด้วย ดังนั้นหากคุณชอบนอนตะแคง ต้องมั่นใจว่าหมอนของคุณไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป หรือหากคุณนอนหงาย อาจใช้หมอนอิงวางใต้ขาที่ระดับหัวเข่า ก็จะช่วยลดน้ำหนักจากช่วงเอวได้

8.ยกของหนักไม่ถูกวิธี

เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย เพราะการยกของหนักนั้นเกี่ยวข้องกับหลังของคุณแน่นอน แต่บางครั้งก็มีสถานการณ์ในชีวิตประจำวันที่ทำให้เราหลีกเล่ยงการยกของหนักไม่ได้

ดังนั้น เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่หลัง วิธีง่ายๆ คือ แทนที่จะยกของด้วยการก้มหลังลงไป ให้ย่อตัวลงไปแล้วยกของขึ้นมาแทน


Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111
ติดตามอ่านข่าวสารได้ที่ www.matichonacademy.com

ไม่พลาดข่าวสารอาหาร ท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ เกร็ดความรู้
คอร์สเรียนสนุกๆได้ประโยชน์-เสริมอาชีพ
คลิกติดตามเพจเฟซบุ๊ค MatichonAcademy

มะลิร่วมกับมติชนอคาเดมี เสนอ 10 หลักสูตรสุดคุ้มน่าเรียน กับโครงการ “มะลิสร้างอาชีพกับทุกเมนูความอร่อย”โดยเปิดคอร์สสอน 10 เมนู ในราคาเพียง 599 บาท และ เรียนแบบลงมือปฏิบัติจริงทุกเมนู!!

1.หลักสูตร ข้าวแกงกะหรี่   สอนโดย อ.นวลปรางค์ วรรณพงศ์     เรียนวันที่ 18 พ.ค.2561

เมนูนี้เป็นแกงกะหรี่ญี่ปุ่น สอนตั้งแต่การเลือกตั้งวัตถุดิบ แนะนำแหล่งซื้อวัตถุดิบ การเตรียมวัตถุดิบ การปรุง และสอนทำหมูทอดทงคัตสึ สำหรับทานคู่กับแกงกะหรี่และหมูผัดขิงด้วย รวมถึงสอนการขาย การเลือกทำเลที่ตั้งของร้าน และแนะนำเทคนิคการขาย

2.หลักสูตร Freppe Fancy  สอนโดย อ.ธนะวดี สำราญ              เรียนวันที่ 18 พ.ค.2561

มีการสาธิตทำน้ำปั่น หรือ Freppe Fancy 12 เมนู  และให้คนเรียนลงมือทำ เฟรปเป้ เป็นของตัวเอง รวมทั้งแนะนำวัตถุดิบ และครีเอทการจัดตกแต่งแก้วในรูปแบบของตัวเอง

โดย Freppe Fancy 12 เมนู ประกอบด้วย 1.นมชมพูเฟรปเป้ 2.คาราเมลเฟรปเป้ 3.บราวนี่เฟรปเป้ 4.คุ้กกี้แอนด์ครีมเฟรปเป้ 5.นูเทลล่าซีเคร็ทเฟรปเป้ 6.สตรอเบอรี่ชีสเค้กเฟรปเป้ 7.บานอฟฟี่เฟรปเป้ 8.ทีรามิสุเฟรปเป้ 9.มัทฉะเกียวโตเฟรปเป้ 10.พานาคอตต้าเฟรปเป้ 11.โอวัลตินภูเขาไฟเฟรปเป้ 12.บลูเบอรี่ชีสพายเฟรปเป้

3.หลักสูตร แยมโรลหลากสไตล์ สอนโดย อ.เขมจิรา คำสุวรรณ  เรียนวันที่  18 พ.ค.2561

สอนทำแยมโรล2รูปแบบ เริ่มต้นจากการอธิบายแนะนำส่วนผสม วัตถุดิบต่างๆและอุปกรณ์ที่ใช้ เช่น เตาอบขนม เครื่องผสมแป้ง จนถึงแหล่งที่สามารถหาซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์ สอนเทคนิคการทำแยมโรล การตีแป้ง การอบ และสอนแนวทางการตกแต่งขนม และให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วย รวมถึงอธิบายการขาย การคำคำนวณต้นทุนที่ใช้และการตั้งราคาขาย

4.หลักสูตร โตเกียวชาร์โคล    สอนโดย อ.ธยศ ทองแจ้ง    เรียนวันที่ 15 มิ.ย.2561

สอนทำขนมโตเกียว ทั้งสูตรแป้งชาร์โคล และสูตรแป้งธรรมดา ตั้งแต่การเลือกซื้อวัตถุดิบ แหล่งซื้อวัตถุดิบ การตีผสมแป้งทั้ง2แบบ และสอนทำไส้ต่างๆทั้งหมด4ไส้ ไส้ครีมนม ไส้ใบเตย ไส้ชาไทย และไส้ครีมชาร์โคล โดยเปิดให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติทุกขั้นตอน รวมถึงการสอนเทคนิคการขายด้วย

5.หลักสูตร ช็อคโกแลตดิปเค้ก    สอนโดย อ.เขมจิรา คำสุวรรณ  เรียนวันที่ 20 ก.ค.2561

สอนทำช็อคโกแลตดิปเค้ก ตั้งแต่การแนะนำส่วนผสม วัตถุดิบที่ใช้ เช่น เตาอบขนม เครื่องผสมแป้ง จนถึงแหล่งซื้อวัตถุดิบ และอุปกรณ์ สอนเทคนิคการทำตัวเค้ก การตีแป้ง การอบ และสอนแนวทางการตกแต่งขนม จะให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติเองด้วย

รวมถึงอธิบายการขาย การคิดคำนวณต้นทุนที่ใช้และการตั้งราคาขาย โดยผู้เรียนจะได้ลงมือปฏิบัติด้วยทุกขั้นตอน และได้เค้กที่ตัวเองทำกลับบ้านด้วย

6.หลักสูตร ขนมปังหลากไส้  สอนโดยเชฟสมพบ กาศยปนันทน์    เรียนวันที่ 17 ส.ค. 2561

สอนทำขนมปังอย่างละเอียดทุกขึ้นตอน ตั้งแต่อธิบายและนำส่วนผสม วัตถุดิบและอุปกรณ์ที่ใช้ สอนเทคนิคการทำแป้งขนมป้ง การทำไส้ขนม มี4ไส้ คือ ไส้สังขยาใบเตย ไส้ไก่ผัดผงกะหรี่ ไส้สังขยาชาไทย และไส้คัสตาร์ดแครนเบอรี่ โดยให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติทุกขั้นตอน

7.หลักสูตร Dessert Cafe    สอนโดยเชฟภัชราพร เปี่ยมชูชาติ    เรียนวันที่ 21 ก.ย.2561

สอนทำขนม3เมนู คือ แพนเค้ก วาฟเฟิ้ล และคุกกี้กระทะ โดยอธิบายแนะนำส่วนผสม วัตถุดิบ และอุปกรณ์การใช้ ตลอดจนเทคนิคต่างๆทุกขั้นตอน สอนแนวทางการตกแต่งขนม ผู้เรียนจะได้ลงมือปฏิบัติจริงทุกขั้นตอน ตลอดจนเทคนิคการขาย การคิดคำนวณต้นทุนและการตั้งราคาขาย

8.หลักสูตร ช็อคโกแลตมูส    สอนโดยเชฟศิราพันธ์ พุ่มพานุพันธ์   เรียนวันที่ 19 ต.ค.2561

สอนการทำช็อคโกแลตมูล รูปแบบต่างๆ ตั้งแต่แนะนำส่วนผสม วัตถุดิบ จนถึงแหล่งที่สามารถหาซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์ได้ สอนเทคนิคการทำตัวมูสต่างๆ และสอนแนวทางการตกแต่งขนม รวมทั้งให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วย ตลอดจนอธิบายการขาย การคิดคำนวณต้นทุนที่ใช้และการตั้งราคาขาย

9.หลักสูตร ไอศกรีม โฮมเมด  สอนโดยเชฟศิราพันธ์ พุ่มพานุพันธ์    เรียนวันที่ 23 พ.ย.2561

สอนทำไอศกรีมแบบง่ายๆ 3 รสชาติ วานิลลา คุ้กกี้แอนด์ครีม และชาไทย เริ่มจากการอธิบายและแนะนำส่วนผสม วัตถุดิบ และอุปกรณ์ที่ใช้ จนถึงแหล่งที่สามารถหาซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์ต่างๆ สอนเทคนิคการทำตัวไอศกรีมต่างๆ และสอนแนวทางการตกแต่งขนม และให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วย ตลอดจนอธิบายการขาย การคิดคำนวณต้นทุนที่ใช้และการตั้งราคาขายด้วย

10.หลักสูตร ยูนิคอร์นเค้ก    สอนโดย อ.เขมจิรา คำสุวรรณ   เรียนวันที่ 14 ธ.ค.2561

สอนการทำเค้กรูปม้ายูนิคอร์นสุดน่ารัก เริ่มจากการอธิบายและแนะนำส่วนผสม วัตถุดิบต่างๆ และอุปกรณ์ที่ใช้ เช่น เตาอบขนม เครื่องผสมแป้ง จนถึงแหล่งที่สามารถหาซื้อวัตถุดิบ อุปกรณ์ สอนเทคนิคการทำตัวเค้ก การตีแป้ง การอบ และแนวทางการตกแต่งขนม รวมถึงอธิบายการขาย การคิดคำนวณต้นทุนที่ใช้และการตั้งราคาขาย โดยให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงทุกขั้นตอน และได้เค้กที่ตัวเองลงมือทำกลับบ้านด้วย


สนใจสมัครเรียนโทร 0-2954-3977-84 ต่อ 2123 , 2124, 08-2993-9097
Id Line @matichonacademy

 

 

ครก็ตามหาบอกว่าจะ “ลดความอ้วน” และบอกว่าจะ “กินเจหรือมังสวิรัติ” แน่นอนว่าพืชชนิดหนึ่งที่ต้องอยู่ในเมนูดังกล่าวก็คือ “เห็ด” ไม่ว่าเห็ดอะไรก็ได้ทั้งนั้น อย่าเป็นเห็ดมีพิษก็แล้วกัน เห็ดชนิดหนึ่งที่รสชาติอร่อย ส่วนมากแล้วคนเหนือและภาคอีสานนิยมนำมาทำอาหารกินกัน คือ “เห็ดกระด้าง” ที่เห็นๆ ก็มีนำมาแกงใส่ใบย่านาง ใส่แกงแคของภาคเหนือ และที่เป็นอาหารภาคนิยมก็คือ “ซุปเห็ด”

อะอะ อย่าพิ่งเข้าใจผิดคิดว่าเป็น “Soup” นะ เพราะคำว่า “Soup” นี้ เป็นคำภาษาอังกฤษ ความหมายคนละทวีปเลยทีเดียว “Soup” ของฝรั่งนั้น เป็นอาหารเหมือนกันแต่เป็นอาหารที่ทำมาจากเนื้อสัตว์ ผัก ส่วนมากใช้แคร์รอตและมันฝรั่ง มีน้ำสต็อก แต่บางครั้งก็มีการเติมเนย ไข่ ด้วย จะเสิร์ฟในอุณหภูมิที่ร้อน โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ซุปใสและซุปข้น เพราะฉะนั้น “ซุปเห็ด” ที่เราจะพูดถึงนี้จึงไม่ใช่ “Mushroom soup” อย่างแน่นอน เป็นคนละชนิดและคนละความหมาย

มาว่ากันด้วยเรื่องของซุปเห็ดที่จะเล่านี้ เป็นเมนู “ซุปเห็ดกระด้าง” ซึ่งก่อนจะกินก็ต้องรู้จักเห็ดกระด้างกันก่อนว่าเป็นอย่างไร

“เห็ดกระด้าง” มีชื่อเรียกหลายชื่อ ภาคกลางเรียกเห็ดกระด้าง ภาคเหนือเรียก เห็ดลม ภาคอีสานเรียก เห็ดบด ส่วนภาคใต้ ไม่มีเห็ดชนิดนี้ การที่คนเรียกว่าเห็ดกระด้างก็เพราะ เนื้อเห็ดค่อนข้างเหนียว และแข็ง

เห็ดกระด้างเป็นเห็ดที่ขึ้นตามธรรมชาติ หรือเรียกว่าเป็นเห็ดพื้นเมืองรสชาติดี พบขึ้นตามขอนไม้ล้มหรือขอนไม้ผุๆ ในป่า พบมากในช่วงรอยต่อของฤดูร้อนต่อกับฤดูฝนหรือฤดูฝนต่อกับฤดูหนาวที่อุณหภูมิระหว่างกลางวันกับกลางคืนแตกต่างกันมากๆ ลักษณะเป็นรูปกรวยลึกคล้ายพัด สีขาวนวลหรือสีน้ำตาลอ่อนปนเทา เส้นผ่านศูนย์กลาง 5-8 ซ.ม. ขอบงอลงเล็กน้อย ผิวมีขนสั้นๆ สีน้ำตาล

ดอกอ่อนจะนิ่มมีขอบบางและม้วนงอลง เมื่อแก่จะแข็งและเหนียว เห็ดกระด้างเป็นเห็ดที่มีรสหวานกว่าเห็ดชนิดอื่นๆ ในตระกูลเดียวกัน เป็นเห็ดเก็บไว้กินข้ามปีได้ด้วยการผึ่งให้แห้ง เมื่อต้องการจะใช้ก็นำมาแช่น้ำให้นิ่ม จากนั้นซอยหรือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปต้ม ทางภาคอีสานนิยมนำเห็ดอ่อนมาใส่แกงหน่อไม้ และภาคเหนือนิยมนำมาใส่แกงแค

เห็ดกระด้างมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกาย บำรุงกำลังและแก้ไข้พิษ โดยนำเห็ดทั้งแบบสดหรือแบบแห้ง ต้มกับน้ำจนเดือด ให้ผู้ที่มีร่างกายอ่อนเพลียจากการทำงานหรือไม่แข็งแรงเนื่องจากเพิ่งฟื้นจากไข้ดื่ม นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยพบว่าสารสกัดจากเห็ดกระด้างสามารถลดไขมันในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ติดเชื้อ HIV ได้ผลดี จะทำให้ผู้ป่วยมีอายุยืนยาวต่อไปได้อีก สำหรับราคาของเห็ดกระด้างค่อนข้างสูงกว่าเห็ดพื้นเมืองชนิดอื่นๆ จึงมีการพัฒนาเพื่อเพาะเป็นการค้า

คนเหนือและอีสานนิยมกินเห็ดกระด้าง นอกจากจะมีรสชาติดีแล้ว ยังสามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลายเมนู อาทิ ดอกอ่อนผัดน้ำมันหอย ลวกจิ้มกินกับน้ำพริกชนิดต่างๆ ทำแกงส้ม ลาบเห็ดกระด้าง ยำเห็ดกระด้าง คั่วเห็ดกระด้าง หรือใส่ในแกงหน่อไม้ ใส่ในแกงแค หรือทำซุปแบบอีสาน ที่แน่ๆ คือ ซุปเห็ด

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าเมนูเห็ดกระด้างนั้นสามารถทำได้หลากหลายมาก ตามความชอบของแต่ละบุคคล ที่สำคัญถูกปากถูกใจแบบไม่ต้องกลัวโรคอ้วนถามหา และในเห็ดก็ยังไม่มีน้ำตาล สาเหตุของโรคร้าย กินได้แบบสบายใจ อยู่ที่ว่าจะเลือกเมนูไหนมาทำกินเท่านั้นเอง ซึ่งหากยังคิดไม่ออก ก็มีเมนูฮิตระดับโลกคือ “ซุปเห็ดกระด้าง” มาให้ทดลองลงมือทำกิน

ก่อนอื่นต้องเตรียมอุปกรณ์และวัตถุดิบ ได้แก่ เห็ดกระด้าง 200 กรัม / ถั่วฝักยาว 5 ฝัก / น้ำ 1 ถ้วย / ปลาร้า 4 ตัว / หอมแดงเผา 6 หัว / กระเทียมไทยกลีบเล็กเผา 1/4 ถ้วย / พริกขี้หนูสีเขียวและแดงเผา 25 เม็ด / ปลาช่อน 200 กรัม 1 ชิ้น / งาขาวคั่วโขลกหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ / น้ำปลา 2 1/2 ช้อนโต๊ะ / ซีอิ๊วขาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ / สะระแหน่เด็ดใบ 1/4 ถ้วย / ผักชีฝรั่งหั่นหยาบ 1/2 ถ้วย / ต้นหอมซอย 1/2 ถ้วย / ผักสดใช้กินกับซุปเห็ดประกอบด้วย ผักกาดขาว ถั่วฝักยาว มะเขือเปราะ แตงกวา ยอดกระถิน ผักชี

ทีนี้ก็ถึงขั้นตอนลงมือทำ เริ่มด้วยต้มหรือนึ่งเห็ดกระด้างและถั่วฝักยาวให้สุก แล้วนำมาสับหยาบใส่ลงในครก โขลกรวมกันพอนุ่ม ตักใส่ถ้วยพักไว้ ต้มน้ำในหม้อด้วยไฟปานกลางจนเดือด ใส่ปลาร้าลงต้มจนเนื้อปลาร้าละลายและน้ำงวดลง ปิดไฟ ยกลง กรองเอาก้างออก

ใส่น้ำปลาร้าที่กรองในหม้ออีกใบ ยกขึ้นตั้งไฟกลาง ใส่หอมแดงเผา กระเทียมเผา พริกขี้หนูเผา พอน้ำเดือดใส่ปลาช่อนลงต้มจนสุก ปิดไฟ ตักขึ้น แกะเอาแต่เนื้อปลาใส่ถ้วย ตักน้ำต้มปลาไว้ประมาณ 1/4 ถ้วย โขลกพริกขี้หนูเผา หอมแดงเผา กระเทียมเผา เข้าด้วยกันพอหยาบ ใส่เนื้อปลาต้ม เห็ดกระด้างและถั่วฝักยาวที่โขลกไว้แล้ว ใส่งาคั่ว โขลกต่อเบาๆ พอเข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำปลา ซีอิ๊วขาว น้ำต้มปลา ใส่ใบสะระแหน่ ผักชีฝรั่ง ต้นหอม คนให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย ตกแต่งด้วยพริกขี้หนูสีแดง เสิร์ฟกับผักสด

เท่านี้ในครัวก็จะมีเมนูเด็ดเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง แถมอร่อยด้วยสิ


Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111
ติดตามอ่านข่าวสารได้ที่ www.matichonacademy.com

ไม่พลาดข่าวสารอาหาร ท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ เกร็ดความรู้
คอร์สเรียนสนุกๆได้ประโยชน์-เสริมอาชีพ
คลิกติดตามเพจเฟซบุ๊ค MatichonAcademy

เราทุกคนต่างยอมรับว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดน้ำหนักและสุขภาพดี แต่เชื่อว่าหลายคนคงเป็นเหมือนกันคือ ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน ซึ่งก็อาจทำให้คุณกังวลได้ คราวนี้ลองไปดู 9 สิ่งที่ทำขณะนอนหลับแล้วจะทำให้การลดน้ำหนัดของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นกัน!

9.ดื่มโปรตีนเชคก่อนนอน

หนึ่งในนั้นคือการดื่มโปรตีนเชค ซึ่งมีโปรตีนประมาณ 30 กรัม ก่อนไปนอน โดยงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าการดื่มโปรตีนเชคก่อนนอนจะช่วยเพิ่มปริมาณแคลอรี่ที่ถูกเผาผลาญขณะนอนหลับ นอกจากนี้โปรตีนยังช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อ และเพิ่มมวลกล้ามเนื้อด้วย

8.กินมื้อเย็นให้เป็นมื้อเล็กๆ

หลีกเลี่ยงการกินอาหารมื้อใหญ่ตอนเย็น และงดเว้นการกินแบบจัดหนักก่อนนอน เพราะเมื่อเวลาเราหลับลึก สมองของเราจะหลั่งโกรท ฮอร์โมน (growth hormone) ออกมา ซึ่งหากเรากินมื้อดึก ฮอร์โมนนี้จะสั่งให้จัดเก็บอาหารไว้ในรูปแบบของไขมันแทน

7.หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์

การดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอนทำให้ร่างกายต้องเผาผลาญแอลกอฮอล์ขณะนอนหลับ ซึ่งทำให้การนอนของคุณไม่เข้าสู่ระยะ REM ซึ่งเป็นระยะที่มีการหลับและฝัน และเป็นช่วงที่ร่างกายของเราจะเผาผลาญแคลอรี่มากที่สุด การดื่มไวน์เพียง 1 แก้วในช่วงดินเนอร์นั้นยังโอเคอยู่ แต่พึงระลึกไว้ว่าห้ามดื่มแอลกอฮอล์ใน 3 ชั่วโมงก่อนนอนเป็นอันขาดเลย

6.ตั้งเวลานอนของคุณ

เราทุกคนรู้ว่าการได้รับการนอนหลับที่ดีที่สุดเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ แต่เชื่อว่าพฤติกรรมก่อนนอนของใครหลายคนมักจะเป็นคือดูหนัง, เล่นโทรศัพท์ จนเผลอหลับไป ซึ่งรู้หรือไม่ว่าการตั้งเวลาให้หลับ 7-8 ชั่วโมง/คืน จะช่วยเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น โดยงานวิจัยที่เผยแพร่ใน American Journal of Clinical Nutrition พบว่า คนที่มีการพักผ่อนแบบพอดีจะเผาผลาญแคลอรีได้มากกว่าคนที่นอนไม่หลับ 20%

5.หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายก่อนนอน

การออกกำลังกายจะช่วยปลุกร่างกายคุณขึ้น ซึ่งทำให้ยากต่อการหลับที่ดีในตอนกลางคืน ดังนั้น สิ่งที่ควรทำคือปรับเปลี่ยนมาออกกำลังกายในช่วงเช้า เพราะจะช่วยปลุกร่างกายของคุณ และทำให้คุณมีพลังงานตลอดทั้งวัน อย่างไรก็ตาม หากคุณมีเหตุผลจำเป็นจริงๆ ที่ไม่สามารถออกกำลังกายตอนเช้าได้ ก็ควรออกกำลังกายก่อนนอนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง

4.ปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดในห้องนอน

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดชี้ให้เห็นว่า แสงสีฟ้าที่ปล่อยออกมาจากสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตนั้นมีส่วนยับยั้งการผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการนอนหลับอย่างเมลาโทนิน งานวิจัยอีกชิ้นจากสิงคโปร์ยังพบว่า การดูทีวีต่อเนื่องนานหลายชั่วโมงเป็นสาเหตุให้ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้น และระดับอะดีโพเนคติน ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลกลูโคสและการแตกตัวของกรดไขมัน ลดลง

3.ลดอุณหภูมิในห้องนอน

การนอนหลับในที่ที่มีอากาศเย็นจะช่วยให้การสะสมเนื้อเยื่อไขมันสีน้ำตาลของร่างกายเราทำได้ดีขึ้น ซึ่งเนื้อเยื่อดังกล่าวจะช่วยเผาผลาญไขมันที่สะสมอยู่บริเวณหน้าท้อง โดยงานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสารการแพทย์อย่าง Diabetes แสดงให้เห็นว่า คนที่นอนหลับในห้องที่มีอุณหภูมิราว 66 องศาฟาเรนไฮต์ หรือประมาณ 18.9 องศาเซลเซียส สามารเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าผู้ที่นอนในอุณหภูมิอุ่นกว่าประมาณ 75 แคลอรี่

2.นอนหลับในที่มืดสนิท

การนอนหลับในที่มืดสนิทจะช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินได้ดีขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้นอนหลับดีขึ้นเท่านั้น แต่งานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสาร Journal of Pineal Research พบว่ายังช่วยในกระบวนการเผาผลาญในไมโทคอนเดรียอีกด้วย

1.นอนเปลือยกาย

อาจฟังดูแปลก แต่การล่อนจ้อนนอนหลับนั้นมีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าการทำให้ร่างกายเย็นนั้นจะไปช่วยกระบวนการเผาผลาญไขมัน ดังนั้น การเปลือยกายนอนจึงเป็นอีกวิธีที่ทำให้ร่างกายเย็นนั่นเอง

ทั้งนี้ นี่เป็นเพียงเกร็ดเล็กน้อยที่จะช่วยการลดน้ำหนักของคุณได้ แต่ยังไงก็ยังแนะนำว่าสิ่งที่คุณยังควรทำอยู่สม่ำเสมอก็คือ การออกกำลังกายอย่างเป็นประจำนั่นเอง


Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111
ติดตามอ่านข่าวสารได้ที่ www.matichonacademy.com

ไม่พลาดข่าวสารอาหาร ท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ เกร็ดความรู้
คอร์สเรียนสนุกๆได้ประโยชน์-เสริมอาชีพ
คลิกติดตามเพจเฟซบุ๊ค MatichonAcademy

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มักมีนวัตกรรมใหม่ๆ อยู่เสมอ หนึ่งในนั้นคือ “เทคโนโลยีช้อปปิ้ง” อันใหม่ ที่ฝังมากับตะกร้าช้อปปิ้ง โดยตะกร้าช้อปปิ้งสุดล้ำนี้จะเป็นวิธีที่ลูกค้าสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง คือเมื่อตัดสินใจซื้อสินค้า ก็สแกนบาร์โค้ดเข้ากับตัวรับที่ติดอยู่ที่ตะกร้า เมื่อเลือกสินค้าครบแล้วก็นำมาชำระเงินผ่านเครื่อง ซึ่งจะนำของลงถุงโดยอัตโนมัติ และให้ลูกค้าชำระเงิน เป็นอันเสร็จเรียบร้อยไม่ต้องพึ่งพนักงานอีกต่อไป

ชมคลิป

New Shopping Technology in Japan 🇯🇵 Video by-朝日新聞

โพสต์โดย Japan Inside เมื่อ วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม 2017

ในช่วงอากาศร้อนแบบนี้ โดยเฉพาะเมืองไทยบ้านเราที่ร้อนเกือบตลอดทั้งปี หลายคนคงมีวิธีคลายร้อนในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นออกไปเดินห้าง, แช่น้ำเล่น หรือตากแอร์เย็นๆ อยู่บ้าน แล้วเรื่องของกินล่ะ มีเมนูอะไรที่กินแล้วช่วยดับร้อนให้เย็นชื่นใจบ้างนะ

ลองไปดู 5 เมนูกินแล้วช่วยคลายร้อนกันว่ามีอะไรบ้าง

1.เฉาก๊วย ขนมของไทยซึ่งมีต้นตำรับมาจากประเทศจีน รสชาติหวานเย็น แถมยังมีสรรพคุณช่วยคลายร้อนได้เป็นอย่างดี

2.ไอศกรีม ของหวานที่ช่วยคลายร้อนได้เป็นอย่างดี มีทั้งแบบโคน แบบแท่ง และแบบถ้วย แถมยังมีหลายรสชาติให้เลือกอีกด้วย

3.บิงซู เกล็ดน้ำแข็งไสสุดฮิตจากประเทศเกาหลี บวกกับผลไม้และนมข้นหวานๆ ฟินอย่าบอกใคร

4.แตงโม ผลไม้หวานฉ่ำดับร้อน แถมยังสดชื่นสุดๆ

5.น้ำเปล่าเย็น หรือน้ำสมุนไพรต่างๆ ก็มีสรรพคุณดับร้อนได้ดีเหมาะกับซัมเมอร์นี้อย่างแรงเลยจ้า


Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111
ติดตามอ่านข่าวสารได้ที่ www.matichonacademy.com

ไม่พลาดข่าวสารอาหาร ท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ เกร็ดความรู้
คอร์สเรียนสนุกๆได้ประโยชน์-เสริมอาชีพ
คลิกติดตามเพจเฟซบุ๊ค MatichonAcademy

“จันทบุรี” จังหวัดที่มีตราประจำจังหวัดเป็นรูปกระต่ายในดวงจันทร์ ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด อาคาร สิ่งปลูกสร้าง ตึก รีสอร์ท เพิ่มมากขึ้น ผู้คนหนาตามากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยว และยิ่งหน้าผลไม้ด้วยแล้ว ที่พักในตัวจังหวัดและชานเมืองแม้แต่ต่างอำเภอยังเต็มแน่นไม่ว่างเลยจริงๆ อาจเป็นเพราะความเจริญทางเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ไต่ระดับเพิ่มมากขึ้น จนเดี๋ยวนี้จันทบุรีกลายเป็นเมืองหลักด้านการท่องเที่ยวไปแล้ว

อีกไม่กี่วัน ราววันที่ 1 พฤษภาคมนี้ งานบุฟเฟต์เปิดสวนผลไม้ให้อิ่มกันไม่อั้นจะเริ่มขึ้นแล้ว ไม่ว่าทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง สละ ไปจนถึงผลไม้แปรรูปทั้งหลาย แต่ละสวนต่างเตรียมไว้รองรับนักท่องเที่ยวกันถ้วนหน้า นอกเหนือจากผลไม้ “ของดี” จันทบุรียังมี “อัญมณี” พลอยชั้นดีระดับโลก และธรรมชาติอันสวยงาม ทั้งป่าไม้ ภูเขา วัดวาอาราม รวมทั้งโบราณสถาน ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบจังหวัดอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด

“จอมศักดิ์ ภูติรัตน์” ประธานหอการค้าจันทบุรี ที่ยังครองเก้าอี้เป็นสมัยที่ 3 มาอัพเดตภาพรวมของผลไม้ที่จันทบุรีให้ฟัง โดยกล่าวว่า ต้องถือว่าจันทบุรีเป็นแหล่งผลิตผลไม้คุณภาพเยี่ยมระดับโลก ซึ่งที่ผ่านมาได้เสนอยุทธศาสตร์ “มหานครผลไม้” ให้กับรัฐบาลไปดำเนินการ และได้ทำมา 3-4 ปีแล้ว ปีนี้ก็ยังจะทำต่อไปอีก เพราะได้ผลเป็นอย่างดี ช่วยให้ราคาผลไม้สูงขึ้น เกษตรกรชาวสวนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น จากเดิมกิโลกรัมละ 20-30 บาท แต่เดี๋ยวนี้ราคาบวกลบ 100 บาท ถือว่าเป็นที่น่าพอใจของชาวสวน และต้องบอกว่าสามารถสร้างความรับรู้และการนำเสนอยุทธศาสตร์ให้เป็นที่ยอมรับ ประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง

“จอมศักดิ์” เล่าถึงภาพรวมของสวนผลไม้จันทบุรีขณะนี้ว่า พื้นที่ปลูกผลไม้ในจันทบุรีเพิ่มมากขึ้นจากเดิม เพราะได้ราคาดี คนจึงหันมาทำสวนมากขึ้น โดยพื้นที่การเกษตรทั้งจังหวัดขณะนี้มีประมาณ 4 ล้านไร่ เป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ประมาณ 2 ล้านไร่ พื้นที่สวนผลไม้ 1 ล้านไร่ พื้นที่ปลูกยางพาราประมาณ 7 แสนไร่ และพื้นที่อื่นๆ เช่น เลี้ยงกุ้งชายฝั่ง หอย ปลา

“สรุปสถานการณ์โดยรวมราคาผลไม้ถือว่าสูงขึ้นน่าพอใจ แต่ราคายางพาราไม่ดี ส่วนข้าวก็กระเตื้ยงขึ้นบ้าง แต่หอการค้าจังหวัดอยากให้ชาวสวนมีรายได้มากกว่านี้ เพราะยังมีศักยภาพที่เพิ่มได้เยอะ ยิ่งตัวเกษตรกรหรือชาวสวนเองก็ไม่ได้งอมืองอเท้า เร่งผลผลิตของตนให้ได้มาตรฐาน ได้คุณภาพ ให้ทันกับตลาดยุค 4.0 เป็นผลจากการส่งเสริมให้เปลี่ยนวิธีคิดในการปลูกใหม่ ว่าไม่เอาปริมาณ แต่เอาคุณภาพแทน”

“สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นได้ คือเรื่องการขยายตลาด จะเห็นว่าเวลานี้มี ล้ง เข้ามาซื้อผลไม้ในจันทบุรีเพิ่มขึ้นถึง 30% จำนวนนี้เป็นล้งเจ้าใหม่ทั้งหมด ซึ่งมีผลต่อราคา แต่ก่อนมีไม่กี่เจ้าจึงทำให้เกิดการผูกขาด กดราคา แต่ตอนนี้เขามาซื้อของที่นี่เขารู้แล้วว่าจะได้สินค้าคุณภาพ สร้างกำไร ก็มากันใหญ่ ตลาดเลยขยายตัวมากขึ้น แต่ปีนี้ราคาผลไม้คาดว่าจากการแปรปรวนของธรรชาติ โดยเฉพาะมังคุด ผลผลิตลดลงไม่ต่ำกว่า 70% ลดลงมากจนน่าตกใจ น่าเสียดายด้วย เพราะความต้องการยังเยอะ ทุเรียนได้รับผลกระทบบ้างแต่ไม่มากเท่ามังคุด ปีที่แล้วทุเรียนผลิตได้ประมาณ 4 แสนตัน แต่ปีนี้อาจไม่ถึง ได้น้อยกว่า อย่างไรก็ตาม ยังพอรองรับนักท่องเที่ยวและงานบุฟเฟต์ผลไม้ที่จะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม เป็นต้นไป ที่ผมกล้าพูดได้ว่าชาวสวนจันทบุรีแฮปปี้ เพราะมีตัวชี้วัด ที่เห็นชัดคือตอนนี้รถปิคอัพขายดีขึ้น และมีการปลดหนี้ ธกส. ได้มากขึ้น จนทางธนาคารออกปากว่าลดหนี้ชาวสวนลงไปได้เยอะเลย ไม่ค่อยเป็นหนี้แล้ว และยังมีการสร้างบ้านใหม่กันมากขึ้นด้วย”

หากมองอย่างประธานหอการค้าจันทบุรีกล่าวแล้ว ราคาผลไม้ปีนี้และปีหน้าไม่น่าห่วงแต่อย่างใด อย่างน้อยคาดว่าปีหน้าราคายังโตต่อเนื่อง ชาวสวนยังแฮปปี้กันต่อได้อีกปี ตรงกันข้ามกับชาวสวนยางพารา อาจหน้าตาไม่สดใส เพราะขณะที่ราคาผลไม้ไปได้สวย แต่ราคายางพารายังต่ำไม่ขยับไปไหน

“อย่างไรก็ดี หอการค้าเราอยากวิงวอนให้ชาวสวนผลไม้อย่าทุบหม้อข้าวตัวเอง ต้องพยายามรักษาคุณภาพของผลผลิตให้ผลไม้ได้คุณภาพ ได้มาตรฐาน”

สิ่งที่ประธานหอการค้าจันทบุรีกล่าวถึงว่าเป็นแนวทางในการส่งเสริมผลไม้ของจังหวัด ก็คือในงานไทยเฟ็กซ์ที่จะมีขึ้นในเดือนมิถุนายน 2561 ทางพาณิชย์จังหวัดร่วมกับหอการค้าจันทบุรีจะจัดพาวิลเลียน “มหานครผลไม้” ขึ้นในงานดังกล่าว ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้คนรู้จักผลไม้ของจันทบุรีและภาคตะวันออกมากขึ้น นอกจากนั้นแล้วยังได้ร่วมมือกับหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ ส่งผลผลิตจากภาคตะวันออกกระจายไปตามจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยจัดเป็นแหล่งซื้อพิเศษขึ้นในสนามบิน เช่น เชียงใหม่ อุดรธานี หาดใหญ่ ฯลฯ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย

“คุณกลินท์ สารสิน ประธานหอการค้าแห่งประเทศไทย ยังจะร่วมมือกับสวนนงนุช จ.ระยอง จัดพาวิลเลียนผลไม้ในสวนนงนุชด้วย เพราะมีนักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวสวนนงนุชเยอะมาก เวลานี้กำลังประสานงานกันอยู่ ถือเป็นการโปรโมตเพื่อเพิ่มช่องทางการขายผลไม้อีกช่องทาง”

ขั้นต่อไป แผนงานระยะกลางไปจนถึงปลายทาง จะทำอย่างไรให้เกษตรกรชาวสวนได้ราคาดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่มองเห็นระยะกลาง คือการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์หรือสินค้า ส่วนระยะปลายทางเป็นการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งต้องใช้เวลาในการทำ และคนที่จะดำเนินการได้ก็คือภาครัฐ เช่น กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น เพราะมีทั้งคนและงบประมาณ ส่วนภาคเอกชนเป็นคนเสนอให้รัฐเห็นว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง และทำอย่างไร

จอมศักดิ์ ภูติรัตน์

“ในโลกดิจิทัล คิดและทำแบบเดิมมันไม่พอ แต่ต้องมีนวัตกรรมใหม่ที่สามารถเพิ่มรายได้ เพิ่มมูลค่าของผลไม้หรือพืชเกษตรได้อีก เช่น ทำเป็นอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมอาหารเสริม เครื่องสำอางบำรุงความงาม เป็นต้น โดยใช้วัตถุดิบจากผลไม้ จะเพิ่มมูลค่าได้อย่างมหาศาล เพราะราคาจะแตกต่างกันมาก ตรงนี้รัฐต้องเข้ามาส่งเสริม เราเพียงแต่ชี้เป้าให้เห็นว่ามันมีศักยภาพตรงไหนบ้าง ลำพังหอการค้าเราไม่มีคน ไม่มีงบเพียงพอ แค่ทำเรื่อง R&D ก็ใช้คนใช้งบมหาศาลแล้ว เพราะฉะนั้นกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ หรือ สวทช. สสว. สำนักงานวิจัยแห่งชาติ และมหาวิทยาลัย ต้องเข้ามามีบทบาท มันเกินกำลังของเราจริงๆ และการเข้ามาก็ต้องดูด้วยว่ามีพืชเกษตรกี่ตัวที่คุ้มกับการลงทุนลงแรง ถ้ารัฐไม่ขยับตรงนี้ ชาวสวนในระยะยาวก็อยู่ไม่ได้ เพราะประเทศเรารากเหง้าเป็นประเทศเกษตรกรรม”

สำหรับการท่องเที่ยวของจังหวัดจันทบุรีนั้น จอมศักดิ์กล่าวว่า โตมาตลอดไม่ต่ำกว่า 10 % ในแต่ละปี คาดว่าปีหน้า (2562) ก็เช่นเดียวกัน โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวมีทั้งคนไทยที่มากินอาหารทะเล กินผลไม้ เพราะราคาไม่แพง และอาหารทะเลสดใหม่ ส่วนอัญมณีก็เป็นของแท้ ไว้ใจได้

“แต่ก็น่ากังวลว่าอัญมณีค่อนข้างมีปัญหาเรื่องวัตถุดิบ กำลังเสนอแนวทางแก้ไขกันอยู่ ซึ่งปัญหาเบื้องต้นคือเราขาดวัตถุดิบ พลอยก้อน ต้องการให้ภาครัฐส่งเสริมหรือหาช่องทางนำพลอยก้อนมาสู่ตลาดที่เมืองจันท์ให้สะดวกขึ้น”

ปัญหาที่พบ คือปัจจุบันคนไทยต้องเดินทางไปซื้อวัตถุดิบถึงแอฟริกา ไม่ว่าที่ประเทศโมซัมบิก แทนซาเนีย และศรีลังกา ทำให้เสียค่าใช้จ่ายสูงและเสี่ยงต่ออันตรายมากขึ้น ทั้งที่จริงแล้วสมัยก่อนจันทบุรีเป็นแหล่งขุดและผลิตพลอย ทั้งเผาทั้งเจียระไน แล้วส่งไปขายให้แก่ร้านโบรกเกอร์ย่านสีลม กรุงเทพฯ เพื่อส่งไปขายต่อในต่างประเทศ แต่ปัจจุบันต่างประเทศบินตรงมาซื้อพลอยที่จันทบุรี ทำให้ย่านสีลมต้องเงียบและยุติบทบาทไป

“ผลที่ตามมา คือผู้ค้าต่างประเทศที่มาจันท์เป็นคนอินเดียเป็นส่วนใหญ่ กลายเป็นว่ามาซื้อแล้วเลยคุมตลาดเสียเอง มีอำนาจทางการตลาดสูง กดราคา พ่อค้าคนกลางที่เป็นคนไทยก็จบวงจรลงไป จากเมื่อก่อนที่วัตถุดิบมาจากจันท์และประเทศเพื่อนบ้าน ตอนนี้น้อยมาก แม้แต่แอฟริกาก็เริ่มลดลงแล้ว ดังนั้นทำอย่างไรให้ได้วัตถุดิบมาสะดวกขึ้น เช่น ถ้ามีการประมูลพลอยก้อน ควรจะให้มาประมูลที่จันทบุรีโดยตรงจะดีกว่า ซึ่งการให้ไปประมูลที่สิงคโปร์หรือจีน อินเดีย มาเลเซีย ระยะทางไกลไป เพราะประมาณ 80% ไปจากจันทบุรีทั้งนั้น อีกอย่างความสามารถในการเผา การเจียระไนเรามีความสามารถ เป็นจุดแข็งของเรา ถ้านำมาทำที่นี่ได้จะสร้างมูลค่าเพิ่มและตลาดแรงงานก็จะดีขึ้น จะช่วยส่งเสริมได้มาก เพราะตลาดอัญมณีปีที่แล้วมูลค่า 4 แสนล้านบาทเลยทีเดียว ถ้านำมาทำที่จันทบุรีได้สัก 10% ของ 4 แสนล้าน ไม่ใช่น้อยเลย ตรงนี้อยากให้รัฐบาลใส่ใจมองเป็นยุทธศาสตร์ว่าต้องรักษาไว้สมกับที่จะทำให้จันทบุรีเป็น นครอัญมณี”

ฟังประธานหอการค้าอัพเดตสถานการณ์แล้ว จะเห็นว่าจันทบุรีที่กล่าวมาเป็นเมืองสำคัญอย่างมาก เป็นทั้งเมืองท่องเที่ยวและเมืองที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ


Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111
ติดตามอ่านข่าวสารได้ที่ www.matichonacademy.com

ไม่พลาดข่าวสารอาหาร ท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ เกร็ดความรู้
คอร์สเรียนสนุกๆได้ประโยชน์-เสริมอาชีพ
คลิกติดตามเพจเฟซบุ๊ค MatichonAcademy

เมื่อวันที่ 24 เม.ย. กรมอุตุนิยมวิทยา เผยประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา “พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 24-27 เมษายน 2561)” ฉบับที่ 9 ลงวันที่ 24 เมษายน 2561 ในช่วงวันที่ 24-27 เมษายน 2561 ประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง กับมีฟ้าผ่าและลูกเห็บตกบางพื้นที่

ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่จะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมถึงระวังอันตรายจากฟ้าผ่า สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย โดยมีผลกระทบตามภาคต่างๆ ดังนี้

ในวันที่ 24 เมษายน 2561 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จังหวัดหนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ยโสธร ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี

ในช่วงวันที่ 25 เมษายน 2561 ภาคเหนือ : จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จังหวัดเลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี

ภาคกลาง : จังหวัดนครสวรรค์ สิงห์บุรี อ่างทอง ลพบุรี สระบุรี และพระนครศรีอยุธยา

ภาคตะวันออก : จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ในช่วงวันที่ 26 เมษายน 2561 ภาคเหนือ : จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จังหวัดเลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี

ภาคกลาง : จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง ลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี นครปฐม รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

ภาคตะวันออก : จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ในวันที่ 27 เมษายน 2561 ภาคเหนือ : จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง สุโขทัย กำแพงเพชร และตาก

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จังหวัดเลย ชัยภูมิ นครราชสีมา และบุรีรัมย์

ภาคกลาง : จังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา นครปฐม รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

ภาคตะวันออก : จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ภาคใต้ : จังหวัดเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์

ทั้งนี้ เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมถึงบริเวณประเทศจีนตอนใต้ และเวียดนามตอนบนแล้ว คาดว่า จะแผ่เข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนในคืนวันนี้ (24 เม.ย. 2561) และจะแผ่ขยายเข้าปกคลุมภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ในวันที่ 25-27 เมษายน 2561 ในขณะที่ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยจะมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และฟ้าผ่า กับมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด

 

ที่มา ข่าวสดออนไลน์

ที่มา หนังสือ JAPAN DARK SIDE ถึงร้ายก็รัก สนพ.มติชน

 

รู้หรือไม่ว่า ซาลารี่แมนญี่ปุ่นผู้ทุ่มเทชีวิตและจิตวิญญาณให้แก่บริษัท ในปัจจุบันก็ต้องหารายได้เสริม!

จากที่เราเคยติดภาพว่ามนุษย์เงินเดือนญี่ปุ่นจะรักงานประจำมากถึงขนาดถวายชีวิต ทุ่มเทเวลาทุกอย่างให้งานประจำ กระทั่งวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ตัวอยู่บ้าน แต่ก็ยังเอาคอมพ์ขึ้นมาทำงาน หรือยังคอยรับโทรศัพท์ลูกค้า

ซาลารี่แมนแบบนี้มันใช้ได้เมื่อหลายปีที่แล้ว ยุคนี้อะไรเปลี่ยนไปเยอะ คนญี่ปุ่นเองเริ่มมีความกังวลกับการมีรายได้ทางเดียว

เงินบำนาญที่ได้ทยอยสะสมจากการหักเงินเดือนทุกเดือน ตอนแรกคิดว่าเกษียณไปแล้วจะได้ใช้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่อนาคตก็ไม่รู้จะเป็นแบบนั้นหรือไม่ … ทำให้คนญี่ปุ่นโดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่เริ่มขวนขวายหนทางการสร้างรายได้รูปแบบอื่นๆ

ลองมาดูกันดีกว่าว่า ถ้าจะทำงานเสริมไปพร้อมๆ กับงานประจำ นอกจากเขียนบล็อกหรือเขียนหนังสืออย่างที่ผู้เขียนทำอยู่ คนญี่ปุ่นเขาเลือกลักษณะใดเป็นงานเสริมกันบ้าง แต่ละงานให้รายได้เท่าไร จะได้เป็นไอเดียสำหรับคนที่สนใจหารายได้เพิ่มนอกเหนือจากงานประจำ

1.ล่ามแปลอักษรภาษาอังกฤษ (ชั่วโมงละ 1,000-3,000 เยน หรือประมาณ 300-900 บาท)

ญี่ปุ่นในยุคหลังๆ เริ่มเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะ Tokyo 2020 ที่ถือเป็นงานช้างของมหานครโดตเกียวที่กำลังจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ความต้องการของการแปลภาษาก็มีมากขึ้น ทำให้อาชีพนี้กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมาก

ราคากลางของการแปลภาษาอังกฤษเป็นญี่ปุ่นนั้นอยู่ที่ตัวอักษรละ 3-10 เยน (หรือประมาณ 1-3 บาท) ยิ่งถ้าแปลภาษาในวงการแพทย์ได้ยิ่งมีมูลค่า

ถ้ากลับมามองในประเทศไทยจะเห็นว่า ถ้าเราแปลภาษาญี่ปุ่นเป็นไทย หรือไทยเป็นญี่ปุ่นได้ ก็สามารถสร้างรายได้จากงานเสริมได้

2.ผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่น (ชั่วโมงละ 2,000-5,000 เยน หรือประมาณ 600-1,500 บาท)

อาชีพนี้อาจจะต้องอาศัยบุญเก่าที่ทำมานิดหนึ่ง ถ้าใครเรียนมาหรือชอบทางนี้ นี่คืออาชีพที่จะตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ได้ดีมากๆ เพราะสินค้าและบริการทั้งหลายก็อยากแปลงร่างมาเป็นแอปพลิเคชั่นในมือถือให้เข้าถึงผู้ใช้งานทั้งนั้น งานนี้ในไทยเองก็ยอดฮิตนะครับ ผมเคยเข้าร่วมงานสัมมนาครั้งหนึ่ง วิทยากรถามว่าใครเขียนแอปฯได้บ้าง มีคนยกมืออยู่แค่ 2-3 คนเท่านั้นจาก 500 คน แต่ประมาณ 30-40 คนในงานสัมมนาอยากจ้างเขามาเขียนแอปฯให้ โอกาสมีอยู่เห็นๆ ครับ

3.ช่างภาพ (วันละ 5,000-10,000 เยน หรือประมาณ 1,500-3,000 บาท)

อาจจะออกไปถ่ายภาพแล้ววางขายในอินเทอร์เน็ตแบบ Shutter Stock, Stock Photos หรือรับถ่ายงานตามเทศกาลต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะจัดกันวันเสาร์อาทิตย์อยู่แล้ว จันทร์ถึงศุกร์ทำงานประจำ เสาร์อาทิตย์ออกไปถ่ายภาพ ก็ไม่ได้หนักมากเกินไปนะครับ โดยเฉพาะถ้าเป็นคนชอบถ่ายภาพ เรียกว่า ทั้งเพลิน ทั้งได้เงินเพิ่ม

4.อาชีพที่ปรึกษา (consultant) (วันละ 10,000-100,000 เยน หรือประมาณ 3,000-30,000 บาท)

ผมสังเกตว่าค่าตัวอาชีพนี้ค่อนข้างสูง แต่จะเป็นที่ปรึกษาที่ดีได้ต้องเริ่มจากผู้มีประสบการณ์ มีผลลัพธ์จริงๆ ถึงจะเป็นที่น่าเชื่อถือต่อลูกค้าได้

ถ้าในญี่ปุ่นเขาจะพยายามเก็บเกี่ยวความรู้ต่อยอดมาจากงานประจำ และสร้างผลงานจนเป็นที่ยอมรับในวงการเสียก่อน ถึงจะสามารถทำงานในฐานะที่ปรึกษาได้ ซึ่งงานที่ปรึกษาก็มีหลายแขนง ทั้งด้านที่ปรึกษาผู้บริหาร ที่ปรึกษาการสร้างเว็บ ที่ปรึกษาการบริหารบุคลากร และอื่นๆ อีกมากมาย ลองดูนะครับว่าเราพอจะให้คำปรึกษาและช่วยแก้ปัญหาในเรื่องใดได้บ้าง

5.อาจารย์สอนพิเศษ (ชั่วโมงละ 1,500-4,000 เยน หรือประมาณ 450-1,200 บาท)

อาชีพนี้ยังมีความต้องการอยู่เสมอ ตราบใดที่ยังมีการแข่งขันสอบเข้า การเรียนการสอนส่วนใหญ่มักจะจัดในเวลาเย็น หรือเสาร์อาทิตย์ ทำให้ไม่กระทบต่อการทำงานหลักด้วย ที่สำคัญยุคหลังๆ สามารถสอนออนไลน์ได้ด้วย สอนครั้งเดียวอัดวิดีโอเก็บไว้ สามารถสร้างรายได้ได้ตลอดครับ (ถ้าคอร์สที่เราเปิดสอนดีจริงด้วยนะ)

6.นักวาดภาพประกอบ (Illustrator) (ผลงานละ 500-10,000 เยน หรือประมาณ 150-3,000 บาท)

ยุคนี้มีภาพให้ใช้ฟรีอยู่มาก ทำให้มูลค่าต่องานไม่ได้สูงมาก แต่ก็ยังเป็นงานที่มีความต้องการอยู่ โดยเฉพาะยุคนี้มีคนอยากสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง น่าจะทำให้มีจำนวนงานมากขึ้น นักวาดภาพประกอบที่เป็นกันเอง มีความยืดหยุ่น และสามารถแก้งานให้ลูกค้าได้ มักจะเป็นที่ชอบใจของลูกค้า

7.Affiliate Marketing (ชั่วโมงละ 0-10,000 เยน หรือประมาณ 0-3,000 บาท)

อาชีพที่ต้องนำสินค้า/บริการไปโปรโมตในอินเทอร์เน็ต ช่วยให้ลูกค้าปลายทางมาซื้อสินค้า/บริการผ่านการแนะนำของเรา เมื่อมีลูกค้าคลิกซื้อสินค้า/บริการเมื่อไร เราก็จะได้ค่าคอมมิชชั่น และต้องบอกว่าอาชีพนี้เป็นที่นิยมในญี่ปุ่นมาก เพราะต้นทุนต่ำ มีอินเทอร์เน็ตใช้ก็ทำได้แล้ว แต่ที่มันไม่ง่าย เพราะไม่ใช่ทุกคนจะขายเก่ง จูงใจเก่งนี่ครับ แวดวงนี้จึงมีทั้งคนที่สร้างรายได้ได้เยอะ และคนที่ทำแทบเป็นแทบตายไม่มีรายได้เลย


Content Team Matichon Academy
[email protected]
0-2954-3971 ต่อ 2111
ติดตามอ่านข่าวสารได้ที่ www.matichonacademy.com

ไม่พลาดข่าวสารอาหาร ท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ เกร็ดความรู้
คอร์สเรียนสนุกๆได้ประโยชน์-เสริมอาชีพ
คลิกติดตามเพจเฟซบุ๊ค MatichonAcademy