เมืองชัยนาทบุรีมีอาณาเขตคลุม2ฝั่งลำน้ำเจ้าพระยา คือรวมทั้งฝั่งตัวจ.ชัยนาทในปัจจุบันด้วย เพราะมีร่องรอยของวัดที่เกิดขึ้นตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 19-20 ลงมาหลายวัด เช่น วัดส่องคบ ที่พบจารึกที่เจ้าเมืองขุนเพชรสารสร้างสถูปบรรจุพระธาตุและเอ่ยชื่อเมืองใหญ่2เมืองในยุคนั้น คือเมืองสุพรรณภูมิและเมืองอโยธยา

เมืองชัยนาทที่ปากแม่น้ำน้อย คงเป็นเมืองบริวารของเมืองโบราณอีกแห่งหนึ่งอยู่ตามลำน้ำน้อยลงมาในเขต อ.สรรคบุรี คือเมืองสรรคบุรี หรือแพรกศรีราชา ซึ่งสรรคบุรีคงเป็นชื่อเมืองตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลางลงมา แต่ก่อนหน้านี้คือแพรกศรีราชา

โบราณสถานที่พบโดยเฉพาะบรรดาพระสถูปเจดีย์เป็นของที่มีมาแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 18-19 ก่อนการสร้างพระนครศรีอยุธยา เป็นสถูปเจดีย์ในศิลปะแบบอโยธยา-สุพรรณภูมิ ที่พบในบริเวณเมืองสำคัญร่วมสมัย เช่น เมืองลพบุรี สุพรรณภูมิ และอโยธยา

เมืองแพรกศรีราชามีชื่อกล่าวถึงในจารึกสุโขทัยหลักที่1 ครั้งพ่อขุนรามคำแหงความสัมพันธ์กับทางสุโขทัยนั้น สะท้อนให้เห็นจากรูปแบบพระพุทธรูปปูนปั้นในซุ้มทิศของ “พระปรางค์วัดสองพี่น้อง” และพระสถูปทรงดอกบัวตูมในวัดโตนดหลายในเขตเมือง แต่ที่สำคัญเมืองแพรกศรีราชาเป็นถิ่นกำเนิดที่สำคัญของพระพุทธรูปแบบอู่ทองที่มีความงดงามกว่าที่อื่นๆ

ในเขตวัดมหาธาตุอันเป็นวัดสำคัญกลางเมืองแพรกศรีราชา มีการนำพระพุทธรูปศิลาทั้งในแบบอู่ทอง ลพบุรี และทวารวดีมาตั้งไว้ตามระเบียงคด โดยเฉพาะพระพุทธรูปแบบทวารวดีและลพบุรีนั้นเป็นของที่ได้รวบรวมจากที่อื่นในละแวกใกล้เคียง

ในการสำรวจพบว่า บริเวณใต้เมืองแพรกศรีราชาลงมารวม4กิโลเมตร มีร่องรอยของเมืองโบราณสมัยทวารวดีที่มีคูน้ำคันดินล้อมแห่งหนึ่งในเขตบ้านดงคอน แต่ปัจจุบันการสร้างถนนและคลองชลประทานผ่าน ได้ทำลายเมืองโบราณแห่งนี้จนหมดไป

ในการสำรวจศึกษาแต่ก่อนพบว่าชุมชนโบราณแห่งนี้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำมีหนองและสระน้ำมากมาย มีโคกเนินโบราณสถานขนาดใหญ่ที่ชาวบ้านเรียกว่า “โคกปราสาท” พบอิฐสมัยทวารวดีขนาดใหญ่กว่าที่เคยพบในแห่งอื่นๆ พบชิ้นส่วนลายปูนปั้นประดับฐานและพระสถูปรูปคนแคระ พบกระเบื้องมุงหลังคาและบราลีสมัยลพบุรี แล้วพบตุ๊กตารูปสิงห์ ชิ้นส่วนภาชนะมีลวดลายสมัยทวารวดี ตะกรันเหล็กแวดินเผา ลูกปัดนานาชนิด

แต่ที่สำคัญคือ “เหรียญเงิน” แบบทวารวดีที่มีจารึกพระราชาและพระราชเทวีศรีทวารวดี รวมทั้งรูปลายสัญลักษณ์ต่างๆอีกมากมาย อันแสดงให้เห็นว่าเมืองโบราณแห่งนี้น่าจะเป็นเมืองสำคัญ เมื่อเมืองร้างไปแล้ว บรรดาศาสนาทั้งหลายได้ถูกโยกย้ายไปอยู่เมืองต่างๆในสมัยหลังลงมา

โดยเฉพาะเมืองแพรกศรีราชา ณ วัดพระแก้ว อันเป็นวัดนอกเมืองแพรกศรีราชาแห่งหนึ่ง ที่มีพระสถูปเจดีย์แบบอโยธยา-สุพรรณภูมิที่สวยที่สุดนั้น มีพระพุทธรูปหินทรายสีแดงตั้งเป็นพระประธานของพระวิหาร คนเรียก “หลวงพ่อฉาย” เป็นพระพุทธรูปแบบอู่ทองที่สลักขึ้นจากแท่งศิลาทรายที่เคยเป็นทับหลังของปราสาทของในสมัยลพบุรี นับเป็นโบราณวัตถุชิ้นหนึ่งที่น่าจะเคยเป็นส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรมในเมืองโบราณสมัยทวารวดีที่บ้านดงคอน

ความสำคัญของพระพุทธรูปหลวงพ่อฉายองค์นี้คือ การสะท้อนให้เห็นถึงการสืบเนื่องจากทับหลังสมัยลพบุรีลงสู่ศิลปะอู่ทองอันเป็นศิลปะของพระพุทธรูปในคติพุทธเถรวาทที่พัฒนาขึ้นแทนพุทธศาสนามหายานสมัยลพบุรี ในสมัยก่อนการสร้างพระนครศรีอยุธยา

จากความสัมพันธ์ของโบราณสถานวัตถุระหว่างเมืองดงคอนและเมืองแพรกศรีราชานี้ ทำให้อาจตีความได้ว่าเมืองแพรกศรีราชาน่าจะเป็นเมืองแต่พุทธศตวรรษที่ 18 ตอนปลาย ที่สืบทอดความสำคัญของบ้านเมืองสมัยทวารวดี-ลพบุรีจากเมืองดงคอน

การเกิดเมืองแพรกศรีราชานี้ สัมพันธ์กับการย้ายเส้นทางคมนาคมทางน้ำที่เคยใช้มาแต่สมัยทวารวดีมายังลำแม่น้ำน้อย ที่สะท้อนให้เห็นว่าบรรดาบ้านเมืองในยุคหลังๆ จนถึงสมัยอยุธยานั้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นตามลำน้ำน้อยและลำน้ำเจ้าพระยาที่อยู่กันมาจนถึงปัจจุบัน

เมืองแพรกศรีราชานับเป็นเมืองชุมชนการคมนาคมทางน้ำที่สามารถเดินทางลงมาตามลำน้ำน้อยที่ไปรวมกับลำน้ำเจ้าพระยาในเขตจ.ชัยนาทก็ได้ หรือเดินทางตามลำคลองบัวไปยังลำน้ำท่าจีนหรือสุพรรณบุรีก็ได้ นั่นคือเมืองแพรกศรีราชาติดต่อโดยทางน้ำไปยังเมืองสุพรรณบุรีและเมืองอยุธยา และสามารถออกสู่ทะเลที่อ่าวไทยได้ทั้ง2แม่น้ำ

ตำแหน่งของเมืองแพรกศรีราชาที่แวดล้อมไปด้วยบ้านเมืองเก่าแต่สมัยทวารวดี-ลพบุรี ตั้งแต่นครสวรรค์และชัยนาทลงมานี้ เมื่อเชื่อมโยงให้ดีแล้ว อาจนำไปสู่การค้นพบรัฐโบราณในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนบน ที่มีกล่าวถึงในเอกสารจีนสมัยพุทธศตวรรษที่ 18 ที่เรียกว่า “เจนลีฟู”ได้

การเกิดขึ้นของเมืองแพรกศรีราชาและเส้นทางคมนาคมทางน้ำนั้นคงพัฒนาขึ้นตั้งแต่พุทธศตวรรษที่18ตอนปลาย อันนับเนื่องในสมัยลพบุรีลงมา แต่บ้านเมืองสมัยทวารวดีที่มีอยู่นั้นคงใช้เส้นทางคมนาคมตามลำน้ำเก่าที่ผ่านเมืองเดิมไป เช่นเมืองอินทร์บุรี ที่มีลำน้ำแม่ลาไหลผ่านกึ่งกลางแม่น้ำน้อยและแม่น้ำเจ้าพระยา ไปจนถึงเมืองสิงห์บุรีที่วัดพระนอนจักรสีห์และเมืองพรหมบุรี

ส่วนบ้านเมืองสมัยทวารวดี เช่น เมืองดงคอนที่อยู่ระหว่างกลางขนาบด้วยแม่น้ำน้อยและแม่น้ำท่าจีนทางตะวันตกนั้น ก็มีเส้นทางน้ำที่ยาวต่อเนื่องไปจนถึงเขต จ.สิงห์บุรี อ่างทอง และอยุธยา ลำน้ำเก่าที่สำคัญคือ คลองสีบัวทอง ที่มีร่องรอยของต้นน้ำมาแต่หนองระหานในเขตบ้านหนองระหาน ผ่านบ้านแหลมข่อย และบ้านไม้แดงมายังบ้านดงคอน

ข้อมูลจาก : หนังสือสร้างบ้านแปงเมือง โดย ศรีศักร วัลลิโภดม จัดพิมพ์โดยศิลปวัฒนธรรม สำนักพิมพ์มติชน

______________________________________________________________________________

มติชนอคาเดมี ชวนย้อนรอยเมืองโบราณ ไปกับ ทัวร์ “ชัยนาท-สรรคบุรี” เมืองโบราณลุ่มน้ำเจ้าพระยา จ.ชัยนาท

เดินทางวันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม 2561

นำชมและบรรยายโดย ผศ.ดร.รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล

ราคา 2,800 บาท

.

คลิกอ่านโปรแกรมเดินทาง>>>>> https://bit.ly/2Q5oOZJ

.

สำรองที่นั่งติดต่อ  มติชนอคาเดมี  

Tel : 0-2954-3977-84 ต่อ 2115, 2116, 2123, 2124                            

Mobile : 08-2993-9097, 08-2993-9105

สอบถามทาง Inbox Facebook : คลิกที่นี่ได้เลย m.me/Matichon.Academy.Thailand

หรือ line : @matichonacademy คลิกhttps://line.me/R/ti/p/%40matichonacademy 

วันหยุดแบบมาทำขนมกินกันจ้าาา มีใครชอบทำขนมกันบ้างคะ ถ้าชอบต้องถูกใจกับสูตร “มัฟฟิน” มีขั้นตอนและวิธีทำไม่ซับซ้อน อบทีหอมฟุ้งไปทั้งบ้าน ทำง่ายได้ที่บ้าน ลองไปทำกันนะคะ

วัตถุดิบ
– ขนมปังธัญพืช
– แฮม
– Cheddar Cheese
– เกลือ
– น้ำมันมะกอก
– พริกไทย
– ไข่ไก่
– มะเขือเทศเชอรี่
– หอมใหญ่
– พาสลีย์
– มันฝรั่ง

 วิธีทำ
– ต้มมันฝรั่งจนสุกแล้วนำมาหั่นเป็นลูกเต๋า
– นำหอมหัวใหญ่, แฮม, มะเขือเทศเชอรี่มาหั่นเป็นลูกเต๋า
– ตั้งกระทะไฟปานกลางใส่น้ำมันมะกอกลงไป
– นำหอมหัวใหญ่, แฮม, มันฝรั่งต้มสุก ผัดให้เข้ากัน จากนั้นใส่มะเขือเทศเชอรี่ลงไป
– ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยผัดจนสุก 
– ต่อมานำขนมปังธัญพืชมาตัดขอบรีดให้บางลงเล็กน้อย แล้วตัดให้เป็นวงกลม
– จากนั้นนำขนมปังใส่ลงไปในแม่พิมพ์แล้วตักไส้ที่ผัดเสร็จแล้วลงในพิมพ์ที่มีขนมปัง
– นำไข่มาตอกใส่ลงไปแล้วโรยหน้าด้วยเชดด้าชีส
– จากนั้นนำเข้าเตาอบด้วยไฟ 180 องศา นาน 10 -15 นาที โรยหน้าด้วยพาสลีย์สับ เป็นอันเสร็จพร้อมเสิร์ฟแล้วจ้าาา

"มัฟฟิน" พิเศษเพิ่มไข่ ขนมทำเองได้ ถูกใจทั้งครอบครัว

"มัฟฟิน" พิเศษเพิ่มไข่ ขนมทำเองได้ ถูกใจทั้งครอบครัว#happydish #eggmuffin

โพสต์โดย Khaosod – ข่าวสด เมื่อ วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2018

สนใจเรียนทำอาหาร
ดูได้ที่ www.matichonacademy.com
หรือดูตารางเรียนประจำเดือนได้ที่นี่ >ตารางเรียน

หรือติดตามอัพเดทเรื่องราวอาหารและไลฟ์สไตล์สนุกๆได้ที่
Facebook : MatichonAcademy

หอมนุ่มชุ่มคาราเมลไปกับบานอฟฟี่ ไม่ใช้เตาอบ สูตรขนมรสชาติหวานละมุนผสมความกรุบกรอบของฐานพาย แม้ตัวจะแตกก็ไม่สน ใครอยากฟินต้องลอง

บานอฟฟี่  อีกหนึ่งสูตรขนมที่ไม่ต้องใช้เตาอบ และทำง่ายสุด ๆ มือใหม่ที่เพิ่งหัดทำขนมก็ทำได้สบาย เราขอนำเสนอวิธีทำเมนูบานอฟฟี่ คาราเมลหอมละมุน มาพร้อมกล้วยแน่นๆ และความกรุบกรอบของพาย ทำกินเองก็ดีงาม หรือทำเป็นของขวัญก็เก๋ล้ำ 

วัตถุดิบบานอฟฟี่พาย
1. แคร็กเกอร์/โอรีโอ้            150  กรัม
2. เนยสดชนิดเค็ม                 70  กรัม
3. กล้วยหอม                          5  ลูก
4. วิปปิ้งครีม  Non-dairy  ชนิดจืด

ทอฟฟี่ซอส
1. นมข้นจืด                        150  กรัม
2. นมข้นหวาน                      70  กรัม
3. เนยสดชนิดเค็ม                 80  กรัม
4. เกลือ                              1/4  ช้อนชา

  

วิธีทำบานอฟฟี่
1. นำหม้อมาละลายเนยก่อน
2. นำแครกเกอร์มาบด หรือจะใช้โอรีโอ้ก็ได้แล้วแต่เราชอบ บดให้แตกพอประมาณ
3. จากนั้น นำเนยที่เราละลายไว้มาผสมกับแครกเกอร์ที่บดละเอียดไว้ ผสมให้เข้ากัน
4. นำกล้วยมาหั่นเป็นแว่นๆ เตรียมไว้
5. จากนั้นนำหม้อมาเคี่ยวนมข้นหวาน จนเปลี่ยนสีเข้มขึ้นให้เติมนมข้นจืดลงไป
6. นำแครกเกอร์บด, กล้วย, มาจัดใส่ถ้วยหรือแก้วที่เราเตรียมไว้ แล้วราดด้วยทอฟฟี่ซอส
7. นำวิปปิ้งครีมมาบีบแล้วโรยด้วยผงโกโก้ พร้อมเสิร์ฟแล้วจ้าาา

วิธีทำ "บานอฟฟี่พาย"

"บานอฟฟี่พาย" ชื่อหรูอย่างนี้ ทำไม่ยากนะเธอ!Matichon Academy – ศูนย์อาชีพและธุรกิจมติชน

โพสต์โดย Khaosod – ข่าวสด เมื่อ วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน 2017

สนใจเรียนทำอาหาร
ดูได้ที่ www.matichonacademy.com
หรือดูตารางเรียนประจำเดือนได้ที่นี่ >ตารางเรียน

หรือติดตามอัพเดทเรื่องราวอาหารและไลฟ์สไตล์สนุกๆได้ที่
Facebook : MatichonAcademy

ขนมไข่นกกระทา หรือเรียกอีกอย่างว่าขนมไข่เต่า ที่เราคุ้นเคยกันอยู่ ขนมก้อนกลมๆ สีเหลือง กรอกนอกนุ่มใน ด้านในก็จะพองๆ อร่อยถูกปาก ขนมไข่นกกระทาเป็นที่นิยมมากตั้งแต่อดีตจนสู่ปัจจุบัน หาทานง่าย ราคาไม่แพง ที่สำคัญยังทำง่ายอีกด้วย มาดูกันดีกว่าค่ะว่าวิธีทำ ขนมไข่นกกระทา นั้นทำกันยังไง ไปค่ะลงมือพร้อมกันเลย

วัตถุดิบ
1.  มันเทศ (ต้มสุก)                 1  กิโลกรัม
2.  แป้งมัน                       350  กรัม
3.  แป้งท้าวยายม่อม             1  ช้อนโต๊ะ
4.  แป้งข้าวเจ้า                     1  ช้อนโต๊ะ
5.  น้ำตาลทราย               200  กรัม
6.  มาการีน (หรือเนย)          15  กรัม
7.  เกลือ                            10  กรัม

วิธีทำ

1. นำมันเทศมาหั่นเป็นชิ้นๆ เพื่อให้ต้มสุกง่าย (นำไปต้มให้สุกแล้วพักไว้)
2. ผสมแป้งกันต่อ โดยเตรียมชามมาผสมแป้ง เทแป้งมัน, แป้งท้าวยายม่อม, แป้งข้าวเจ้า, เกลือ คนให้เข้ากัน 
3. จากนั้นเทน้ำตาลทรายลงไป ตามด้วยมันเทศต้มสุก แล้วคลุกเคล้าจนเป็นเนื้อเดียวกัน พอเนื้อเนียนแล้วใส่เนยลงไป
4. นำมาปั้นเป็นก้อนๆ เตรียมไว้
5. ต่อมาตั้งกระทะให้ไฟร้อนพอประมาณ นำมันที่ปั่นไว้แล้วมาทอดให้เหลืองกรอบเป็นอันเสร็จ พร้อมเสิร์ฟแล้วจ้า

 

วิธีทำ "ขนมไข่นกกระทา"

"ขนมไข่นกกระทา" กรอบนอก นุ่มใน ทำไม่ยาก!Matichon Academy – ศูนย์อาชีพและธุรกิจมติชน

โพสต์โดย Khaosod – ข่าวสด เมื่อ วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน 2017

สนใจเรียนทำอาหาร
ดูได้ที่ www.matichonacademy.com
หรือดูตารางเรียนประจำเดือนได้ที่นี่ >ตารางเรียน

หรือติดตามอัพเดทเรื่องราวอาหารและไลฟ์สไตล์สนุกๆได้ที่
Facebook : MatichonAcademy

ลัดซูกินี อาหารคลีนแบบอร่อย กินได้ง่ายแถมทำง่ายได้ประโยนช์มากมายอีกด้วย วันนี้แอดมินนำสูตรมาฝากให้ทุกคนได้ไปลองทำกัน นอกจากจะสุขภาพดีแล้วไม่อ้วนอีกด้วยนะจ๊ะ 

วัตถุดิบ
1.  ผักสลัด
2.  ซูกินี
3.  ผักชีลาว
4.  ร็อกเก็ต
5.  น้ำตาลทราย
6.  แรดิส
7.  เกลือ
8.  มะเขือเทศเชอร์รี่
9.  น้ำมันมะกอก
10. งาขาวคั่ว
11. โชยุ
12. น้ำส้มสายชูหมักจากข้าว
13. มอสซาเรลล่าชีส

วิธีทำ

มาทำส่วนน้ำสลัดกันก่อนดีกว่าค่ะ
1. นำน้ำส้มสายชูหมักจากข้าวเทลงไปให้ชามที่เตรียมไว้ ใส่โชยุมาผสมกัน จากนั้นปรุงรสด้วยน้ำตาลทรายขาว, เกลือ, งาขาวคั่ว คนให้เข้ากัน
2. ต่อมาค่อยๆ เทน้ำมันมะกอกลงไปแล้วคนไปเรื่อยๆ 
3. นำซูกีนีมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำมาขูดให้เป็นแผ่นๆ นำมาทาน้ำมัน แล้วปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยให้ทั่วทุกอัน
4. นำแรดิสมาฝานให้เป็นแผ่นบางๆ จากนั้นนำกระทะมาตั้งไฟใช้ไฟกลาง นำซูกินี่ที่ได้มาย่างในกระทะให้ขึ้นสี พอได้แล้วให้พักทิ้งไว้
5. ต่อมาจัดจานตามใจชอบ แล้วราดน้ำสลัดที่เราทำไว้ เป็นอันเสร็จ

"Grilled Zucchini salad" สูตรสลัดซูกินี ทำง่ายอร่อย ดีต่อสุขภาพ

"Grilled Zucchini salad" สูตรสลัดซูกินี ทำง่ายอร่อย ดีต่อสุขภาพ#HappyDish #GrilledZucchinisalad

โพสต์โดย Khaosod – ข่าวสด เมื่อ วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2018

สนใจเรียนทำอาหาร
ดูได้ที่ www.matichonacademy.com
หรือดูตารางเรียนประจำเดือนได้ที่นี่ >ตารางเรียน

หรือติดตามอัพเดทเรื่องราวอาหารและไลฟ์สไตล์สนุกๆได้ที่
Facebook : MatichonAcademy

เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสนพระทัยในงานด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์เมื่อทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้ค้นพบทำเนียบเก่าบอกรายชื่อหัวเมืองมีชื่อ’เมืองศรีเทพ’ปรากฏอยู่แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่าเมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ใด

ต่อมาพระองค์ทรงค้นพบ‘สมุดดำ’เล่มหนึ่งเป็นต้นร่างกล่าวถึงการให้คนเชิญตราสารไปบอกข่าวการสิ้นพระชนม์ของรัชกาลที่2 ไปตามหัวเมืองต่างๆ มีเส้นทางหนึ่งไปทางเมืองสระบุรี เมืองชัยบาล เมืองศรีเทพ เมืองเพชรบูรณ์ จึงทรงตั้งสมมุติฐานว่าเมืองศรีเทพน่าจะตั้งอยู่ทางลำน้ำป่าสัก เมื่อเสด็จเพชรบูรณ์ในปี พ.ศ.2447 จึงให้หาผู้ชำนาญท้องที่มาสอบถามว่ามีเมืองโบราณอยู่ในลำน้ำป่าสักที่ไหนบ้าง ได้รับข้อมูลว่ามีเมืองหนึ่ง เป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่อยู่ในป่าแดงใกล้กับเมืองวิเชียรบุรีไปถึงได้ไม่ยาก

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงเสด็จไปยังเมืองวิเชียรบุรีโดยล่องเรือไปทางแม่น้ำป่าสัก เมื่อเสด็จถึงเมืองวิเชียรบุรี ทรงแวะเยี่ยมพระยาประเสริฐสงคราม อดีตผู้ว่าราชการจังหวัด ทรงสอบถามเรื่องเมืองศรีเทพได้ความว่า ‘เมืองวิเชียรบุรี’ แต่เดิมมีชื่อเรียก2อย่าง คือ ‘เมืองท่าโรง’ และ‘เมืองศรีเทพ’ ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นที่ ‘พระศรีถมอรัตน์’ จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อครั้งปราบกฏเวียงจันทน์ พระศรีถมอรัตน์มีความชอบมากจึงโปรดฯให้ยกศักดิ์เมืองศรีเทพเป็นเมืองตรี และเปลี่ยนนามเมืองเป็น ‘วิเชียรบุรี’ ดังนั้นชื่อเมืองศรีเทพที่ปรากฏในทำเนียบเก่าและหนังสือสมุดดำจึงเป็นชื่อเก่าของเมืองวิเชียรบุรี

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงล่องเรือจากเมืองวิเชียรบุรีไปขึ้นท่าเรือที่บ้านนาตะกรุด แล้วเดินทางบกมายังเมืองโบราณซึ่งอยู่ห่างจากลำน้ำราว 4.2 กิโลเมตร ทรงสำรวจเมืองโบราณแล้วมีพระราชวินิจฉัยว่า เมืองโบราณแห่งนี้เป็นต้นเค้า ของการเรียกชื่อเก่าของเมืองวิเชียรบุรี ว่าเมืองศรีเทพในปัจจุบันจึงมีการเรียกชื่อเมืองโบราณแห่งนี้ว่า เมืองศรีเทพ

เมืองศรีเทพ ตั้งอยู่ในต.ศรีเทพ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ เป็นเมืองโบราณที่มีคูเมือง กำแพงเมืองล้อมรอบ พื้นที่รวมประมาณ 2,889 ไร่ แบ่งออกเป็น2ส่วน ได้แก่

เมืองใน ผังเมืองค่อนข้างกลม เนื้อที่ประมาณ 1,300 ไร่ มีช่องประตูเมือง 6 ช่องทาง พื้นที่ภายในตัวเมืองเป็นลูกคลื่นเนินดินสูงต่ำไม่เท่ากัน กลุ่มโบราณสถานสำคัญขนาดใหญ่ ตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางเมืองค่อนไปทางทิศตะวันตก ได้แก่ ปรางค์ศรีเทพ ปรางค์สองพี่น้อง และเขาคลังใน นอกจากนี้ยังพบโบราณสถานขนาดเล็กอีก 45 แห่ง รวมทั้งสระน้ำและหนองน้ำ 70 แห่ง ตั้งกระจายตัวอยู่ในพื้นที่ สระน้ำที่มีขนาดใหญ่สุด คือสระปรางค์

เมืองนอก ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของเมืองใน มีคูเมือง กำแพงเมือง ล้อมรอบทุกด้าน ผังเมืองค่อนข้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมบน เนื้อที่ประมาณ 1,589 ไร่ มีช่องประตูเมือง 6 ช่องทาง ภายในตัวเมืองพบโบราณสถานขนาดเล็ก 64 แห่ง รวมทั้งมีสระน้ำขนาดเล็กตั้งกระจายอยู่ทั่วไป สระน้ำที่มีขนาดใหญ่สุด คือ สระขวัญ ตั้งอยู่กลางเมืองค่อนไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

พื้นที่นอกเมืองศรีเทพยังปรากฏเนินดินโบราณสถานตั้งกระจายตัวอยู่อีกราว 50 แห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางทิศเหนือของเมือง โบราณสถานที่สำคัญ คือ เขาคลังนอก ปรางค์ฤาษี และสระแก้ว ส่วนด้านทิศตะวันตกห่างออกไปประมาณ 20 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของถ้ำเขาถมอรัตน์ ศาสนสถานสำคัญที่ตั้งอยู่ภายในถ้ำหินปูน

หลุมขุดค้นทางโบราณคดี ตั้งอยู่บนเนินดินขนาดใหญ่เขตเมืองใน อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพทำการขุดค้นทางโบราณคดีเมื่อปี 2531 พบหลักฐานสำคัญที่บ่งชี้ให้เห็นร่องรอยของชุมชนดั้งเดิมในยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย เมื่อราว 2,000-1,500 ปีมาแล้ว คือโครงกระดูกมนุษย์ที่ฝังร่วมอยู่กับสิ่งของเครื่องใช้ในระดับความลึกจากผิวดินลงไปประมาณ 4 เมตร รวมทั้งโครงกระดูกช้างโบราณในสมัยหลังลงมา

เขาคลังใน

การขุดพบโครงกระดูกมนุษย์และสิ่งของเครื่องใช้นี้เป็นเครื่องยืนยันถึงการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มคนก่อนที่จะมีการพัฒนาขึ้นมาเป็นสังคมเมือง ที่รับอารยธรรมทวารวดีและเขมรโบราณในราวพุทธศตวรรษที่ 13-18 และ ถูกทิ้งร้างเสื่อมสลายไปก่อนหรือต้นสมัยสุโขทัย

เขาคลังใน ศาสนสถานในพุทธศาสนา ชื่อของโบราณสถาน มีที่มาจากความเชื่อของคนในท้องถิ่นที่เชื่อกันว่าเป็นคลังเก็บของมีค่าหรือคลังอาวุธในสมัยโบราณ

องค์ประธานมีขนาดใหญ่ก่อสร้างด้วยศิลาแลงฉาบปูน ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดความกว้าง 28 เมตร ความยาว 44 เมตร และความสูงประมาณ 12 เมตร หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ภายในก่อทึบตัน ส่วนฐานด้านล่างยังคงปรากฏภาพปูนปั้นประดับอาคารเป็นลายก้านขด รูปสัตว์และคนแคระแบบศิลปะทวารวดี กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 14

เขาคลังในมีบันไดขึ้น-ลงทางด้านหน้า ส่วนบนของฐานโบราณสถานเป็นลานกว้าง พบร่องรอยว่าเดิมอาจมีสถูปประดิษฐานอยู่ทางทิศตะวันตกและวิหารขนาดเล็กอยู่ด้านหน้า แต่ในปัจจุบันพังทลายไปเกือบหมด นอกจากนี้ยังพบฐานของเจดีย์ วิหาร และอาคารขนาดเล็กหลายแห่ง ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของเขาคลังใน เมืองศรีเทพ คล้ายกับโบราณสถานวัดโขลงสุวรรณคีรี เมืองคูบัว จ.ราชบุรี ร่วมสมัยในช่วงวัฒนธรรมทวารวดีเช่นกัน

ปรางค์สองพี่น้อง

ปรางค์สองพี่น้อง ปราสาทประธานก่อด้วยอิฐแบบศิลปะเขมร ส่วนฐานก่อด้วยศิลาแลงผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส เพิ่มมุมขนาดความกว้างด้านละ 10 เมตร ฉาบปูนทั้งหลัง หันหน้าไปทางทิศตะวันตก มีปราสาทขนาดเล็กตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ สร้างขึ้นเพิ่มเติมอยู่บนฐานเดียวกัน จึงเป็นที่มาของชื่อโบราณสถาน

นอกจากนี้ยังพบแนวทางเดินและอาคารขนาดเล็กสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอีกหลายหลัง จากการขุดแต่งทางโบราณคดีพบประติมากรรมรูปสุริยเทพ ศิวลึงค์ ฐานโยนี รูปโคนนทิ และทับหลังจำหลัก รูปอุมามเหศวร ศิลปะแบบบาปวน-นครวัด พุทธศตวรรษที่ 16-17 สันนิษฐานว่าคงจะสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 17 เป็นเทวาลัยในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ต่อมาอาจถูกเปลี่ยนแปลงให้เป็นพุทธสถานแบบมหายาน

เขาคลังนอก

เขาคลังนอก ตั้งอยู่นอกเมืองศรีเทพ ทางด้านทิศเหนือ ห่างออกไปราว 2 กิโลเมตร ลักษณะเป็นฐานอาคารขนาดใหญ่ก่อด้วยศิลาแลง ผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดความกว้างด้านละ 64 เมตร และความสูงประมาณ 20 เมตร มีบันไดตรงกึ่งกลางด้านทั้งสี่ด้าน ส่วนฐานของโบราณสถานซ้อนกัน2ชั้น ประดับตกแต่งด้วยรูปจำลองอาคาร โดยรอบเหนือส่วนฐานด้านบนเป็นลานประทักษิณ ตรงกึ่งกลางมีสถูปก่อด้วยอิฐผังรูปสี่เหลี่ยม สภาพส่วนยอดพังทลาย การขุดแต่งทางโบราณคดีพบโบราณวัตถุหลายชิ้นสำคัญ คือ พระพุทธรูปประทับยืนแสดงธรรม ศิลปะทวารวดี

นอกจากนี้ยังพบฐานสถูปเจดีย์ขนาดเล็กตั้งอยู่ตามแนวแกนทิศ และฐานอาคารขนาดเล็ก ก่อด้วยอิฐและศิลาแลงอีกหลายหลัง จากลักษณะทางสถาปัตยกรรมและโบราณวัตถุที่พบสันนิษฐานได้ว่าเขาคลังนอกเป็นสถูปเจดีย์ทางพุทธศาสนา กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 13-14 เขาคลังนอก ถือได้ว่าเป็นโบราณสถานสมัยทวารวดีที่มีขนาดใหญ่ และมีความสมบูรณ์มากที่สุดที่พบในปัจจุบัน

ปรางค์ฤาษี

ปรางค์ฤาษี ตั้งอยู่บริเวณวัดป่าสระแก้ว นอกเมืองศรีเทพทางทิศเหนือ ออกไปราว 2 กิโลเมตร ลักษณะเป็นเทวลัยในศาสนาฮินดู มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบเขมรโบราณ ตั้งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ปราสาทประธานมีขนาดเล็กก่อด้วยอิฐไม่สอปูน ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดความกว้าง 6.95 เมตร ความยาว 7.65 เมตร สูงประมาณ 10 เมตร ด้านหน้ามีฐานอาคารผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าและฐานอาคารก่อด้วยอิฐและศิลาแลง ลักษณะคล้ายมณฑปเชื่อมต่อกับโคปุระทางด้านทิศตะวันออก มีกำแพงแก้วก่อด้วยศิลาแลงล้อมรอบกลุ่มโบราณสถาน และแนวทางเดินด้านหน้าปูด้วยศิลาแลง

ทางด้านทิศใต้ของปราสาทประธาน มีปราสาทขนาดเล็กก่ออิฐมีฐานศิลาแลงรองรับ 1 หลัง และมีกำแพงแก้วล้อมรอบ การขุดแต่งทางโบราณคดีปรางค์ฤาษีพบ ศิวลึงค์ ฐานรูปเคารพ และชิ้นส่วนโคนนทิ กำหนดอายุสมัย ราวพุทธศตวรรษที่ 16 มีอายุร่วมสมัยกับปรางค์ศรีเทพและปรางค์สองพี่น้อง

______________________________________________________________________________

อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ เป็นหนึ่งในโบราณสถานที่ ทัวร์ ปริศนา”ศรีจนาศะ”รัฐโบราณที่ถูกลืม จ.ลพบุรี-เพชรบูรณ์-นครราชสีมา จะพาไปเยี่ยมชม และร่วมค้นหาคำตอบว่า ‘ศรีเทพ-เสมา’ที่ไหนคืออาณาจักรศรีจนาศะ กันแน่? 

ทริปนี้นำชมและบรรยายโดย รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ ภาคีสมาชิก สำนักศิลปกรรม ราชบัณฑิตยสภา

เดินทางวันที่ 17-18 พฤศจิกายน 2561

ราคา 5,900 บาท

คลิกอ่านโปรแกรมการเดินทาง : https://www.matichonacademy.com/tour/article_20284

มูฝอย กับข้าวเหนียวนุ่มๆ เหมาะมากในตอนเช้าก่อนไปเรียนหรือไปทำงาน เมนูที่ใครๆ ต่างก็นึกถึงกันทั้งนั้น แต่ถ้าหากให้ทำกินเองคงจะฟินไม่ใช่น้อย ฝึกฝีมือไปเรื่อยๆ อาจจะทำขายเป็นอาชีพได้เลย วันนี้เราจะมาแจกสูตร หมูฝอย ให้มือสมัครเล่นไปลองทำดูที่บ้าน

วัตถุดิบหมูฝอย
1. เนื้อหมู
2. ผงปรุงรสฟ้าไทย
3. น้ำมันพืช
4. เกลือ
5. น้ำตาลทรายแดง
6. น้ำตาลทรายขาว
7. น้ำปลา
8. กระเทียมเจียว

วิธีทำหมูฝอย
1. นำกระทะมาต้มน้ำให้เดือด ใส่เนื้อหมูลงไป ต้มจนสุก
2. และพอหมูสุกได้ที่ ก็ตักขึ้นวางพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ + หายร้อน
3. จากนั้น นำหมูมาฉีกไว้เป็นเส้นฝอย ๆ ยิ่งฉีกได้เส้นฝอยมากเท่าไหร่  หมูฝอยของเราจะยิ่งฟู
4. เมื่อฉีกเสร็จเรียบร้อยแล้ว นำมาปรุงรสใส่ผงปรุงรสฟ้าไทย, น้ำตาลทรายขาว, น้ำตาลทรายแดง, น้ำปลา, เกลือ แล้วขยำให้เข้ากันอีกที
5. จากนั้นหากระทะตั้งบนเตาไฟ แล้วเปิดไฟกลาง ทอดจนหมูเริ่มเปลี่ยนสี
6. พอหมูทอดเสร็จแล้วนำหมูที่ได้กดน้ำมันออก พักทิ้งไว้ให้เย็น
7. ตกแต่งจานให้สวยงามพร้อมโรยกระเทียมเจียว เป็นอันเสร็จ

"หมูฝอย" ทำยังไงถึงจะอร่อย?

Happy Dish: "หมูฝอย" อาหารชื่อง่ายๆ แต่ต้องทำยังไงถึงจะอร่อย?Matichon Academy – ศูนย์อาชีพและธุรกิจมติชน #happydish

โพสต์โดย Khaosod – ข่าวสด เมื่อ วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม 2018

สนใจเรียนทำอาหาร
ดูได้ที่ www.matichonacademy.com
หรือดูตารางเรียนประจำเดือนได้ที่นี่ >ตารางเรียน

หรือติดตามอัพเดทเรื่องราวอาหารและไลฟ์สไตล์สนุกๆได้ที่
Facebook : MatichonAcademy

ผันตัวมาเป็นกูรูเรื่องเมนูเป็ดอย่างเต็มตัว สำหรับ เชฟน้อย สุรศักดิ์ คงสวัสดิ์ สุดยอดเชฟอาหารไทยตำรับชาววัง ดีกรีอดีตหัวหน้าพ่อครัวประจำห้องอาหารไทยเบญจรงค์ โรงแรมดุสิตธานี ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาบริษัทดั๊กคิง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากเป็ดหลากหลายชนิด

เชฟน้อย ตอบรับการสอนคอร์สพิเศษ ให้กับมติชนอคาเดมี ในโอกาสครบรอบ 23 ปี ว่าด้วย ‘เมนูเป็ดๆ’ ทั้งขนมจีนน้ำยาเป็ด และเป็ดต่อยอด เมนูที่ปรุงจากเป็ดพะโล้ เป็ดย่าง ตลอดจนส่วนต่างๆของเป็ด ขอบอกว่า สูตรเชฟน้อยในคอร์สพิเศษครั้งนี้ กินแล้วว้าววว ดีงามพระรามแปดจริงๆ

เชฟน้อย บอกกับมติชนอคาเดมี ว่า จากคนที่มีความรู้ด้านการบริโภคเป็ดแค่3-5เปอร์เซ็นต์เท่านั้น โดยประสบการณ์ทำงาน 20-30 ปีที่ผ่านมา เชฟจับแต่พวกซีฟู้ด หมู เนื้อ ไก่ ส่วนเป็ดเป็นทางเลือกสุดท้ายเลย เพราะกลัวกลิ่น และขาดความมั่นใจว่าทำยังไงให้อร่อย เพราะเราเป็นคนปรุง เราเลยไม่กล้านำเสนอให้ลูกค้า

“เชฟโชคดีที่ได้รับความอนุเคราะห์จากเจ้าของบริษัทดั๊กคิง จำกัด ที่ให้มาร่วมงานด้วย และพอเข้ามาทำงานที่บริษัทดั๊กคิง จำกัด ทำให้เกิดความมั่นใจในการปรุงแต่งเมนูเป็ดมากกว่าเดิมเยอะเลย เรียกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้มีเมนูเป็ดที่เชฟคิดสูตรขึ้นมากว่า 100 เมนู

“เชฟเคยทำอาหารเลี้ยงรับรองแขกผู้ใหญ่หลายคน ตั้งแต่เวลา17.00-24.00น. ใช้เมนูทั้งหมดกว่า 20 เมนู ตอนแรกหลายคนก็อ้าปากค้างว่าจะกินกันไหวไหม แต่สรุปคือกินได้ทุกคน เราเอามาเสิร์ฟให้กินอย่างละคำ แล้วท่านก็ว้าววกันทุกเมนู เขาบอกว่าแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เมนูที่ทำให้กินมาจากผลิตภัณฑ์ที่เป็นเป็ดทั้งนั้นเลย”เชฟน้อยเล่า

สำหรับเป้าหมายที่มาสอนคอร์สพิเศษ ‘เมนูเป็ดๆ’ ให้กับมติชนอคาเดมีในโอกาสครบรอบ 23 ปี เชฟน้อย เผยว่า อยากสร้างทัศนคติจากเป็ดให้กับผู้ประกอบการด้านอาหารและพ่อครัวแม่ครัวเสียใหม่ อยากให้เป็ดเป็นแรงจูงใจที่สามารถเป็นอาหารอีก1ตัวเลือกในหมวดสัตว์ปีก เคยบริโภคไก่แล้ว ถ้าวันนี้เงินในกระเป๋าพอมีที่จะซื้อเป็ดมากินได้ คุณไม่ต้องเสี่ยงกับการซื้อเป็ดมาแล้วเจอกลิ่นเป็ด กลิ่นสาบเป็ด เพราะสามารถทำและบริโภคเป็ดที่อร่อยได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีกลิ่นไหม นี่คือสิ่งที่อยากจะทำขึ้นมา

“บางทีคนเรา กินอาหารที่จำเจตลอดเวลาก็น่าเบื่อ เชฟยังเคยทำน้ำมันสกัดเย็นจากเป็ด เอาไขมันเป็ดทั้งหมดที่มีอยู่มาเข้าเตาอบ อุณหภูมิกลางๆต่ำๆ จนกระทั่งได้น้ำมันสกัดเย็นออกมาเป็นมันใสขาวจั๊วะเอาไว้ทอด เป็นความเชื่อของคนฝรั่งเศสว่ากินไขมันเป็ดแล้วดีต่อสุขภาพ แต่ตามหลักวิทยาศาสตร์ไขมันจะมีประโยชน์พอเหมาะกับปริมาณที่ร่างกายรับได้ ถ้ากินมากเกินไป ทุกอย่างมีทั้งบวกและลบในตัวของมันเอง มีทั้งโทษและประโยชน์ เพราะฉะนั้นต้องกินในปริมาณที่พอเหมาะ”เชฟน้อยเผย

เชฟน้อย บอกด้วยว่า สำหรับเมนูเป็ดที่จะสอนคอร์สพิเศษให้กับมติชนอคาเดมี เชฟอยากนำเสนอนอกจากการบริโภคเป็ดพะโล้ เป็ดย่าง ถ้ากินแล้วเบื่อ สามารถมาต่อยอดเป็นเมนูพวกนี้

“ปัจจุบันตัวเชฟเอง เป็นที่ปรึกษาอยู่บริษัทดั๊กคิง จำกัด จะมีผลิตภัณฑ์เป็ดหลายชนิด อาทิ อกเป็ดเยอรมัน อกเป็ดรมควัน มีรสชาติถูกใจชาวเอเชีย สามารถหั่นกินได้เลย หรือนำไปอุ่นร้อนจะกินได้เลย เวลาเก็บรักษาหลังจากกินแล้วเหลือ สามารถเข้าช่องแช่แข็งได้ ไม่ต้องเวฟนาน เพราะถ้าเวฟนานหรือเอาไปนึ่งไปอุ่นนาน น้ำที่อยู่ในตัวเป็ดจะไล่ออกมา ทำให้แห้งและเค็มเกินไป สามารถกินเป็นอาหารว่างและกินกับสลัดก็ได้

“รวมถึงน่องเยอรมัน จะมีความเหมือนกับขาหมูเยอรมัน เวลาไปกินตามภัตตาคารทั่วไป น่องเยอรมันชิ้นไม่ใหญ่เกินไป น้ำหนักอยู่ที่ 200 กรัมเท่านั้น รสชาติไม่น้อยหน้ากว่าขาหมูเยอรมันเลย ที่สำคัญถ้าสั่งน่องเยอรมันที่มีชิ้นเล็กกว่าขาหมูเยอรมัน จะทำให้เราสั่งอาหารอย่างอื่นได้มากขึ้น 

“ส่วนทางเลือกสุดท้ายคือการนำเป็ดสดชิ้นส่วนต่างๆ อก สะโพก เนื้อส่วนคอ หรือตับไต มาแปรรูป ปรุงเป็นอาหารสไตล์ต่างๆ ตอนนี้เมนูที่เชฟทำอยู่และได้รับความนิยมคือ เมนูจากเป็ดอร่อย จะทำคล้ายๆห่อหมก แต่ไม่ได้ใส่กะทิลงไป ใส่ในใบจากและเอาไปย่าง รสชาติจะออกมาเหมือนงบ รวมถึงเป็ดกอและ เป็ดสะเต๊ะ ขนมปังหน้าเป็ด เป็นของทานเล่น

“ตลอดจนเมนูที่ผู้บริโภคนิยม ว้าววเลยก็คือ ขนมจีนน้ำยาเป็ด ตรงนี้อยากจะนำเสนอให้กลุ่มลูกค้าหลายๆคนเป็นอีก1ทางเลือก นำเนื้อเป็ดสด เศษเป็ด มาทำเป็นขนมจีนน้ำยาได้ แต่ถ้าอยากจะเปลี่ยนจากน้ำยาเป็ด เป็นอย่างอื่น อาทิ เนื้อหมู ไก่ ปลา ก็ได้ แต่อยากให้เป็ดเป็นอีก1ทางเลือกสำหรับการบริโภคอาหาร”เชฟน้อยเผย

______________________________________________________________________________

สำหรับผู้ที่สนใจเมนูเป็ดสุดว้าววว กับเชฟน้อย สุรศักดิ์ คงสวัสดิ์ ติดตามได้ทางเว็บไซต์ www.matichonacademy.com และ เพจเฟซบุ๊ก Matichon Academy – มติชนอคาเดมี เร็วๆนี้

 

หนึ่งในการกินที่ทำให้สุขภาพดี นอกจากตัวอาหาร วัตถุดิบ กรรมวิธีการปรุงแล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องใส่ใจคือ “ภาชนะ” ซึ่งภาชนะในการปรุงอาหารแต่ละชนิดมีข้อดีและวิธีใช้แตกต่างกัน ควรระมัดระวังในการใช้และการเก็บรักษา เพื่อป้องกันไม่ให้ส่งผลต่อสุขภาพและทำให้สูญเสียรสชาติของอาหาร

ภาชนะเคลือบ (non-stick) ไม่ควรใช้ไฟแรง

ภาชนะที่เคลือบสารเทฟลอนง่ายต่อการทำความสะอาด การตั้งไฟแรงหรือของใช้ของมีคมขูดขณะประกอบอาหารจะทำให้สารที่เคลือบไว้หลุดออก ปัจจุบันยังพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีผลเสียต่อสุขภาพ แต่จะทำให้อายุการใช้งานของภาชนะนั้นๆสั้นลง
*ไม่ควรใช้แปรงแข็งๆปัดแรงๆ

ภาชนะสเตนเลสไม่เหมาะสำหรับการตุ๋นยาจีน

ควรหลีกเลี่ยงการนำภาชนะสเตนเลสมาตุ๋นยาจีน เพราะว่าในยาจีนจะมีสารจำพวกกรดอินทรีย์หรือแอลคาลอยด์ เมื่อโดนความร้อนหรือผ่านการตุ๋นนานๆจะทำปฏิกิริยาทางเคมีกับโลหะจนทำให้สรรพคุณของยาจีนหมดไปและอาจก่อให้เกิดสารที่เป็นโทษต่อร่างกาย นอกจากนี้ยังไม่ควรใส่เหล้า หรืออาหารที่มีความเป็นกรดหรือด่างมากไว้ในภาชนะนั้นนานๆ
*ไม่ควรใช้โซดาที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนได้ดี ควรใช้ด่างหรือน้ำยาทำความสะอาดในการทำความสะอาดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการผุกร่อน

ภาชนะที่ทำด้วยเหล็กต้องระวังไม่ให้ขึ้นสนิม

ภาชนะที่ทำด้วยเหล็กนับเป็นภาชนะที่มีความปลอดภัยที่สุด แต่ต้องระวังห้ามนำไปตุ๋นยาจีน เหตุผลที่ต้องห้ามนำไปตุ๋นยาจีนเหมือนกับเหตุผลของภาชนะสเตนเลส ไม่ควรใส่อาหารทิ้งไว้ในภาชนะค้างคืน นอกจากนี้ เมื่อใช้ภาชนะเหล็กกับถั่วเขียวหรือชา และใช้ความร้อนสูง จะทำให้น้ำถั่วเขียวมีรสชาติผิดเพี้ยนและน้ำชามีรสฝาด
*ควรล้างและเช็ดให้แห้งทันที หลังใช้งานเสร็จ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นสนิม ควรใช้ฟองน้ำนุ่มๆในการล้าง

ภาชนะที่ทำจากอะลูมิเนียมไม่ควรนำมาอุ่นอาหารที่มีความเป็นกรดหรือด่าง

การผลิตภาชนะอะลูมิเนียมจะต้องผ่านกระบวนการทำให้ปฏิกิริยาทางเคมีคงที่ ทนต่อการผุกร่อนและกระจายความร้อนได้เร็ว แต่กระนั้นเมื่อโดนกรดหรือด่าง ก็ยังคงมีปฏิกิริยาอยู่นั่นเอง จึงไม่ควรนำมาอุ่นอาหารที่มีความเป็นกรดหรือด่าง
*ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีความเป็นด่างรุนแรง เพื่อป้องกันการผุกร่อน

ภาชนะที่เป็นกระเบื้องไม่ควรมีลวดลายด้านในภาชนะ

ภาชนะประเภทกระเบื้องต้นต่อความเป็นกรดและด่าง จึงเหมาะสำหรับการปรุงอาหารทุกวิธี ทั้งต้ม ตุ๋น ผัด และย่าง อีกทั้งยังทำความสะอาดง่าย หากมีการใช้โลหะมาประดับเป็นลวดลาย ไม่ควรใส่เข้าไปในไมโครเวฟ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการปล่อยสารพิษหรือเกิดประกายไฟ
*ควรหลีกเลี่ยงการเลือกภาชนะที่มีลวดลายด้านในภาชนะ ในการใช้งานครั้งแรกควรนำมาใส่น้ำและต้มให้เดือดเพื่อฆ่าเชื้อ

ภาชนะดินเผาเหมาะสำหรับการต้ม

ภาชนะที่ทำจากดินเผาจะเก็บอุณหภูมิได้ดี จึงนิยมนำมาใช้ในการทำหม้อไฟหรือต้ม ควรหลีกเลี่ยงภาชนะที่มีลวดลายด้านใน
*ก่อนนำมาใช้ครั้งแรก ควรล้างให้สะอาด ใส่น้ำและใบชา ต้มให้เดือดด้วยไฟอ่อน หรือแช่ด้วยน้ำซาวข้าวทิ้งไว้ 1 คืน เพื่อทำให้พื้่นผิวด้านในอ่อนตัว

ควรใช้ภาชนะพลาสติกอย่างเหมาะสม

การใช้ภาชนะพลาสติกควรสังเกตว่าภาชนะนั้นๆทำจากวัสดุใด เช่น หากทำจากวัสดุพอลิโพรพิลีน จะทนความร้อนได้ประมาณ 135 องศาเซลเซียส หากทำจากวัสดุพอลิสไตรีน ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนความร้อน ไม่ควรใช้กับอาหารที่มีความเป็นกรด และอาหารทอด ส่วนพลาสติกที่ทำให้จากวัสดุพอลิไวนิลคลอไรด์ จะปล่อยสารก่อมะเร็งเมื่อโดนความร้อน แต่ปัจจุบันไม่นิยมใช้กันแล้ว การใช้ฟิล์มถนอมอาหารในไมโครเวฟ ไม่ควรปิดฟิล์มให้สนิท และควรห่างจากอาหารอย่างน้อย 3 เซนติเมตร

 

 


ที่มา หนังสือกินเปลี่ยนชีวิต ด้วยอาหาร 100 ชนิด จากธรรมชาติ สนพ.นานมีบุ๊คส์

เทรนด์รักสุขภาพมาแรงและไม่มีวี่แววว่าจะแผ่วลงเลย ใครที่กินคลีนอยู่แล้วหรือสนใจอยากก้าวเข้าสู่วงการรักสุขภาพกับเขาดูบ้าง วันนี้เรามีเมนู อะโวคาโดแซลมอนสลัด เมนูกินง่ายที่เต็มไปด้วยของโปรดสำหรับใครหลายคนอย่างปลาแซลมอน ที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ทำกินเป็นอาหารเช้าหรือมื้อเย็นเบาๆ ก็ได้ ไม่ต้องกลัวอ้วนเลยจ้า

วัตถุดิบ
– กระเทียม
– น้ำมันงา
– ปลาแซลมอน
– อะโวคาโด
– น้ำตาลทรายขาว
– พริกขี้หนูและพริกชี้ฟ้า
– วาซาบิ
– น้ำมะนาว
  

วิธีการทำ

 

มาทำตัวน้ำราดซีฟู้ดก่อนเลย
–  นำพริกใส่ในเครื่องปั่นตามด้วยกระเทียม, น้ำมันงา, น้ำตาลทรายขาว, น้ำมะนาว แล้วปั่นให้ละเอียด พอเริ่มจะละเอียดใส่วาซาบิลงไปปั่นอีกที
– ต่อมานำอะโวคาโดมาปอกเอาแต่เนื้อ แล้วหั่นเป็นเต๋าเตรียมไว้
– จากนั้นหาจานมาจัดตามความต้องการ
– นำซอสที่ปั่นไว้นำมาราด พร้อมเสิร์ฟแล้วจ้า

"อโวคาโดแซลมอนสลัด" แซ่บซี้ดถึงใจ สูตรทำง่ายวัตถุดิบไม่ยุ่งยาก

"อโวคาโดแซลมอนสลัด" แซ่บซี้ดถึงใจ สูตรทำง่ายวัตถุดิบไม่ยุ่งยาก #happydish #อโวคาโดแซลมอนสลัด

โพสต์โดย Khaosod – ข่าวสด เมื่อ วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2018

สนใจเรียนทำอาหาร
ดูได้ที่ www.matichonacademy.com
หรือดูตารางเรียนประจำเดือนได้ที่นี่ >ตารางเรียน

หรือติดตามอัพเดทเรื่องราวอาหารและไลฟ์สไตล์สนุกๆได้ที่
Facebook : MatichonAcademy