ในพระที่นั่งศิวโมกขพิมานได้เก็บเศียรพระพุทธรูป ที่มีความสูงราว 173 เซนติเมตร ตามประวัติในทะเบียนโบราณวัตถุระบุว่าพบในพระวิหารหลวงวัดพระศรีสรรเพชญ์ แต่ในราชกิจจานุเบกษาระบุว่าพบที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งถ้าเศียรใหญ่นี้มีความสมบูรณ์จะเป็นพระพุทธรูปที่มีขนาดความสูงมาก ซึ่งอาคารที่สามารถรองรับพระพุทธรูปสูงขนาดนี้ได้มีเพียงหลังเดียวในวัดพระศรีสรรเพชญ์คือ พระวิหารพระศรีสรรเพชญ์ ประกอบกับอายุของเศียรพระองค์นี้อยู่ในราวต้นพุทธศตวรรษที่ 21 ถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 22 จึงทำให้ผู้เขียนสันนิษฐานว่าเศียรใหญ่นี้คือเศียรของพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งจากการขุดแต่งทางโบราณคดี ไม่ปรากฏชั้นดินไฟไหม้ก่อนที่พระอารามจะทิ้งร้าง ดังนั้น พระอารามแห่งนี้จึงไม่เกิดไฟไหม้ใหญ่หลังจากกองทัพกรุงอังวะเข้ากรุงศรีอยุธยาและเศียรพระพุทธรูปนี้จึงยังคงอยู่ที่วัดพระศรีสรรเพชญ์จนถูกค้นพบในภายหลัง

อย่างไรก็ตาม ต่อมาเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2563 พิชญา สุ่มจินดา ได้นำเสนอว่า เศียรนี้ไม่ใช่พระเศียรของพระศรีสรรเพชญ์ แต่เป็นเศียรของพระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาทในวิหารพระป่าเลไลยก์วัดพระศรีสรรเพชญ์ จนกระทั่งเดือนกันยายน ปีเดียวกัน พิชญาได้พยายามพิสูจน์ว่าเศียรใหญ่ไม่ได้พบในพระวิหารหลวงวัดพระศรีสรรเพชญ์

แต่ประเด็นที่สำคัญคือ เศียรพระใหญ่นี้คือเศียรของพระพุทธรูปองค์ใด และการกำหนดอายุ ยังคงกำหนดอายุของเศียรองค์นี้หล่อขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองจริงหรือไม่

ข้อเสนอทั้งหมดถือว่าเป็นความก้าวหน้าทางวิชาการ หากแต่ผู้เขียนกลับมีข้อความเห็นแตกต่างในบางประเด็นที่พิชญา สุ่มจินดา ได้นำเสนอใหม่ กล่าวคือ การคำนวณสัดส่วนพระศรีสรรเพชญ์ของพิชญา ได้อาศัย “ตำราสร้างพระพุทธรูป” เป็นหลัก แต่ประเด็นสำคัญคือ ควรมีการประเมินค่าหลักฐานชิ้นนี้ว่าเหมาะสมที่จะใช้เป็นสูตรในการคำนวณเศียรพระใหญ่ที่พระที่นั่งศิวโมกขพิมานหรือไม่ เพราะตำราดังกล่าวเป็นตำราครั้งรัชกาลที่ 4 โดยเป็นสมบัติเดิมของหม่อมเจ้าปิยะภักดีนารถ สุประดิษฐ์ ไม่ปรากฏปีที่ประพันธ์และปีคัดลอก ต่อมาได้ถูกรวมพิมพ์ในหนังสือ “ประชุมหนังสือเก่าภาคที่ 2” เมื่อ พ.ศ.2459

สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงมีพระวินิจฉัยตามที่หม่อมเจ้าปิยะภักดีนาถว่า ตำราเรื่องนี้แต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ด้วยออกชื่อช่างในรัชกาลที่ 3 หลายคน

หากแต่ในความเห็นของผู้เขียนคิดว่า เอกสารชิ้นนี้น่าจะมีอายุลงมาถึงช่วงต้นรัชกาลที่ 4 เพราะครูที่มีชีวิตอยู่ในสมัยรัชกาลที่ 3 จะปรากฏในบทนมัสการได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะได้วายชนม์ไปแล้ว ซึ่งรับกับในตอนท้ายของบทนมัสการของตำราเล่มนี้ที่ว่า “เชิญปวงท่านอันลับไป ยังปรโลไก มารับกระยาสังเวย”

ด้วยเหตุนี้เราจะมั่นใจได้เพียงใดว่า เนื้อหาใน ตำราสร้างพระพุทธรูป จะสามารถนำมาใช้คำนวณสัดส่วนพระพุทธรูปอยุธยาได้ นอกจากนี้ สิ่งที่น่าสังเกตประการหนึ่งคือ พระพุทธรูปประทับยืนสมัยอยุธยาจะประทับยืนบนฐานบัวเตี้ยๆ เช่น พระพุทธรูปประทับยืนในวิหารวัดราชโอรสาราม และพระพุทธรูปประทับยืนท้ายวิหารหลวงวัดพระบรมธาตุชัยนาท เป็นต้น ส่วนพระพุทธรูปประทับยืนที่สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ เช่น พระประธานวัดเครือวัลย์ พระประธานในพระอุโบสถวัดพระแก้ววังหน้า เป็นต้น ต่างประทับยืนอยู่บนฐานชุกชีที่สูง

ดังนั้น การที่พระพุทธรูปประทับยืนบนฐานสูงกับฐานเตี้ยมีผลต่อสัดส่วนของพระพุทธรูป กล่าวคือ ถ้าพระพุทธรูปยืนบนฐานชุกชีสูงเมื่อมาประดิษฐานฐานชุกชีเตี้ยสัดส่วนจะผิดทันที เพราะถูกออกแบบให้ผู้ดูต้องแหงนหน้าขึ้นมาก

ประเด็นถัดมา ในตำราสร้างพระพุทธรูป กล่าวว่า “แล้วให้เอาดวงพระภักตร์ไขสน่อยเปนพระรัศมี” จากข้อความที่ยกมาหมายความสัดส่วนของเปลวรัศมีมีความยาว แต่ถ้าเรากลับพิจารณาพระพุทธรูปสมัยอยุธยาจะพบเปลวรัศมีสั้นไม่ยาวเท่ากับวงพระพักตร์ แต่ถ้าเทียบกับพระพุทธรูปปูนปั้นในระเบียงวัดสุทัศนเทพวราราม เปลวรัศมีจะยาวเทียบเท่ากับวงพระพักตร์พระพุทธรูป

ด้วยเหตุนี้การนำสัดส่วนในตำราสร้างพระพุทธรูป ซึ่งเป็นเอกสารสมัยรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 4 มาศึกษาสัดส่วนพระพุทธรูปยืนในสมัยอยุธยาจึงเป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสม

นอกจากนี้ ยังต้องตั้งคำถามว่า ตำราสร้างพระพุทธรูปคือสัดส่วนของพระหล่อโลหะหรือพระปูนปั้น เพราะหลังสงครามคราว พ.ศ.2112 ลงมา เราไม่พบหลักฐานว่ามีการหล่อพระพุทธรูปประทับยืนสูงเกิน 8 เมตร และที่สำคัญพระพุทธรูปในสมัยรัตนโกสินทร์ส่วนมากก็เป็นพระปูนปั้นทั้งสิ้น จึงชวนให้ผู้เขียนคิดว่าตำราสร้างพระพุทธรูปที่พิชญายกมานั้นเป็นตำราสร้างหุ่นพระหล่อโลหะหรือหุ่นพระปูนปั้น ไม่เพียงเท่านั้น

การหล่อพระพุทธรูปองค์ใหญ่มีรายละเอียดความแตกต่างกับการหล่อพระพุทธรูปองค์เล็ก เพราะสัดส่วนพระพุทธรูปยิ่งสูง เศียรพระพุทธรูปจะต้องใหญ่ขึ้น ซึ่งในประเด็นการกินอากาศ (Perspective) เอกสารชิ้นนี้มีการกล่าวถึงหรือไม่ ด้วยเหตุนี้จึงควรทบทวนว่า เราจะมายึดถือตำราสร้างพระพุทธรูปเป็นมาตรฐานของการหล่อโลหะในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาได้จริงหรือ

อีกหนึ่งคำถามคือ สัดส่วนพระพุทธรูปยืนในตำราสร้างพระพุทธรูป มีมาตรฐานเพียงใด จากการที่พิชญากล่าวว่า “การสร้างพระพุทธรูปยืนที่มีส่วนตั้งแต่ 6-10 ส่วนด้วยเช่นกัน ดังตัวอย่างจากพระร่วงโรจนฤทธิ์ที่มีความสูงตลอดทั้งองค์ถึง 9 ส่วน แต่โดยทั่วไปแล้วนิยมสร้างพระพุทธรูปยืนอยู่ที่ 8 ส่วน” ซึ่งเมื่อพระร่วงโรจนฤทธิ์มีความสูงตลอดองค์ 9 ส่วน แล้วเหตุใดพิชญา จึงไม่คิดว่าเศียรใหญ่ที่พระที่นั่งศิวโมกขพิมานจะมีความสูงตลอดองค์ 9 ส่วนบ้าง

การที่จะบอกว่าสัดส่วนนิยมพระพุทธรูปยืนอยู่ที่ 8 ส่วน ในขณะที่ตำราสร้างพระพุทธรูปกลับปรากฏต้นฉบับเพียงเล่มเดียวและเป็นสมบัติเดิมของช่างกลุ่มใดก็ไม่ทราบ

ดังนั้น การที่จะยืนยันว่าสัดส่วนพระพุทธรูปในตำราสร้างพระพุทธรูปเป็นที่นิยม ก็ควรที่จะต้องมีการวัดสัดส่วนของพระยืนองค์อื่นเพื่อใช้เป็นข้อมูลเปรียบเทียบ นอกจากพระอัฎฐารสวัดสระเกศ

ผู้เขียนยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับวิธีการคำนวณของพิชญา ซึ่งเชื่อว่าพระศรีสรรเพชญ์ สูง 16 เมตร เพราะคำนวณจากมาตราวัด 1 วา เท่ากับ 2 เมตร ซึ่งเป็นมาตรวัดในสมัยปัจจุบัน โดยอ้างว่าความสูงพระโลกนาถอยู่ที่ 20 ศอก ซึ่งวัดด้วยวิธี Photogrammetry ที่ 10 เมตร อย่างไรก็ตาม จากหลักฐานต่างๆ พบว่ามาตราส่วนหนึ่งวาโบราณ ไม่ได้เท่ากับสองเมตร เช่น บันทึกของ ซีมอง เดอ ลา ลูแบร์ (Simon de La Loubere) ราชทูตที่เข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ได้ระบุว่า หน่วย “วา” สั้นกว่า “ตัวร์”
(toise = 1.949 เมตร) ของเราประมาณ 1 ปูช (pouce-นิ้วฟุต) ดังนั้น ถ้าเชื่อตามบันทึกที่ว่า 1 วา สั้นกว่า 1.949 เมตร คำนวณแล้วพระศรีสรรเพชญ์สูงไม่ถึง 15.2 เมตร

ดังนั้น เมื่อพิชญาจะคิดว่าพระศรีสรรเพชญ์ สูง 8 วา คือ 16 เมตร ก็ควรหาหลักฐานมาพิสูจน์ว่าครั้งกรุงศรีอยุธยา 1 วา เท่ากับ 2 เมตร มากกว่านี้

ผู้เขียนได้พบหลักฐานว่า การกำหนด 1 วาเท่ากับ 2 เมตร ให้เป็นมาตรฐานปรากฏครั้งแรกในมาตราที่ 9 ในพระราชบัญญัติมาตรา ชั่ง ตวง วัด พระพุทธศักราช 2466 ดังนั้น เราจะใช้มาตราส่วนสมัยปลายรัชกาลที่ 6 ไปแปลงค่าหน่วย “วา” ในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 จึงไม่เหมาะสม

ด้วยเหตุนี้การที่ พิชญา สุ่มจินดา (2563ข : 83) กล่าวว่า พระศรีสรรเพชญ์สูง 16 เมตร พระเศียรที่คำนวณไว้ว่าต้องสูง 2 เมตร จึงคลาดเคลื่อนตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ข้อเสนอเป็นวิทยาศาสตร์ พิชญาได้ทำภาพสแกนด้วยเทคนิค Photogrammetry พบว่าสัดส่วนของพระโลกนาถ พระพักตร์มีความสูงทั้งองค์เท่ากับ 8 ส่วนตรงตามตำราสร้างพระพุทธรูป ซึ่งผู้เขียนมีข้อสงสัยว่า เมื่อมาตราส่วนโบราณไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า 1 วา เท่ากับ 2 เมตร แต่เหตุใดสัดส่วนที่พิชญาทำขึ้นนั้นมีขนาด 10 เมตร พอดี

กล่าวโดยสรุป คือ การคำนวณสัดส่วนของพิชญา ที่นำมาจากตำราสร้างพระพุทธรูป ซึ่งเป็นเอกสารสมัยรัชกาลที่ 4 มาคำนวณสัดส่วนของเศียรพระพุทธรูปที่มีอายุเก่าไปกว่าสงครามปี พ.ศ.2112 จะมีความแม่นยำได้อย่างไร ทั้งนี้ เพราะสัดส่วนของพระพุทธรูปยืนสมัยอยุธยาและสัดส่วนพระพุทธรูปสมัยรัตนโกสินทร์ก็มีความแตกต่างชัดเจน ประกอบกับ พิชญายึดติดกับมาตราส่วน 1 วา เท่า 2 เมตร หากแต่ในอดีต 1 วา ไม่เท่ากับ 2 เมตร ดังนั้น จึงทำให้พิชญา สุ่มจินดา คำนวณขนาดคลาดเคลื่อน ถ้าพระศรีสรรเพชญ์มีขนาด 16 เมตร รวมฐานชุกชีแล้วจะมีความสูงทั้งหมด 18.5 เมตร จะทำเสาร่วมในจะต้องมีความสูงกว่า 17.5 เมตร จึงจะไม่บังพระเนตรพระ แต่เสาสูงขนาดนี้ถือว่าผิดสัดส่วนทางสถาปัตยกรรมมาก ซึ่งในทางกลับกันผู้เขียนคำนวณความสูงของเสาร่วมในว่าไม่ควรเกิน 15.5 เมตร

อนึ่ง จากการเทียบสัดส่วนพระโลกนาถจากสัดส่วนวงพระพักตร์ (จากไรพระศกถึงพระหนุ) ต่อองค์พระทั้งหมดคือในสัดส่วน 1:10 ถ้าเศียรใหญ่ที่พระที่นั่งศิวโมกขพิมานสูง 0.98 เมตร คิดตามสัดส่วนข้างต้นองค์พระพุทธรูปจะสูง 9.8 เมตร รวมฐานชุกชี 2.5 เมตร จะมีความสูงราว 12.3 เมตรโดยประมาณ ซึ่งสูงใกล้ระดับขื่อเอกที่ผู้เขียนประมาณไว้ว่าไม่เกิน 15.5 เมตร

จากข้อเสนอดังกล่าวทั้งหมด ผู้เขียนจึงขอสรุปว่า เศียรพระใหญ่ที่พระที่นั่งศิวโมกขพิมานเป็นพระพุทธรูปยืนที่สามารถประดิษฐานเป็นพระประธานพระวิหารวัดพระศรีสรรเพชญ์ได้

สำหรับคำถามที่ว่าพระศรีสรรเพชญ์ควรมีขนาดความสูงเท่าใดนั้น ผู้เขียนมองว่า พระพุทธรูปสูงเท่าไหร่ไม่สำคัญ สำคัญที่ความสูงนั้นประดิษฐานที่พระวิหารหลวงได้หรือไม่

 

แม้ว่าเศียรใหญ่นี้เมื่อเป็นพระพุทธรูปที่สมบูรณ์จะเพียง 9.2 เมตร ต่ำกว่าผู้เขียนประมาณการไว้แต่แรกราว 3 เมตร หรือตามที่พิชญาเสนอว่าพระศรีสรรเพชญ์สูง 16 เมตรก็ตาม ประเด็นสำคัญคือ พระพุทธรูปมีความสูงเท่าใดจึงจะสามารถประดิษฐานในพระวิหารหลวงวัดพระศรีสรรเพชญ์ โดยไม่กระทบโครงสร้างสถาปัตยกรรม ซึ่งเมื่อพิชญาเชื่อว่าพระพุทธรูปสูง 8 วา จะเท่ากับ 16 เมตร รวมฐานชุกชี 2.5 เมตร ดังนั้น ตำแหน่งที่ประดิษฐานพระศรีสรรเพชญ์จะสูง 18.5 เมตร ถ้าคิดสัดส่วนตามที่พิชญาเสนอว่าความสูงของขื่อเอกระดับนั้นน่าจะสูงราว 15 เมตร ขององค์พระพุทธรูป บวกกับความสูงของฐานชุกชี ดังนั้น เสาร่วมในจะสูง 17.5 เมตร แต่ผนังพระวิหารในปัจจุบันสูงเพียง 9.56 เมตร ซึ่งสภาพที่สมบูรณ์อาจจะสูงราว 10.2 เมตร แต่สภาพจริงความกว้างจากผนังพระวิหารด้านในถึงจุดศูนย์กลางเสาร่วมในเท่ากับ 4.7 เมตร จึงไม่น่าที่จะซ้อนตับหลังคามากชั้นจนทำให้เสาสูงราวๆ 17.5  เมตรได้ ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าเป็นการผิดสัดส่วนอย่างมาก

จากการที่ เสนอ นิลเดช ศาสตราจารย์ด้านสถาปัตยกรรมไทยคนสำคัญ ได้ทำการสำรวจรังวัดในปี พ.ศ.2531 พบว่าเสาร่วมใน ตำแหน่งเข้าประตูทางเข้าด้านของพระวิหารหลวง ระดับรูเต้าล่าง (รูที่สำรับใส่ขื่อ) สูงจากพื้น 9.07 เมตร  ซึ่งรูเต้าล่างเป็นรูที่สำหรับใส่ขื่อที่จะต้องพาดกับผนังพระวิหาร ดังนั้น ผนังที่ใกล้ประตูทางเข้าจะสูง 9.07 เมตร ส่วนโคนเสาถึงรูเต้าบนสูง 11.55 เมตร แต่ไม่ได้ระบุข้อมูลรูเต้าบนถึงยอดของบัวหัวเสาว่ามีความสูงขึ้นไปอีกเท่าใด

ส่วนข้อเสนอของพิชญาที่ได้กำหนดอายุเศียรพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่พระที่นั่งศิวโมกขพิมานว่าไม่ได้สร้างร่วมสมัยกับเหตุการณ์การหล่อพระศรีสรรเพชญ์ในพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐฯ แต่เป็นพระพุทธรูปสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง คำถามคือ เหตุใดจึงไม่เปรียบเทียบรูปแบบของพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ที่สำคัญพระพุทธรูปที่บรรจุในองค์พระมงคลบพิตรก็แสดงลักษณะที่เก่ากว่า

ในขณะเดียวกันพระพักตร์ของเศียรใหญ่ที่พระนั่งศิวโมกขพิมานมีรูปแบบที่คล้ายกับพระพุทธรูปประทับนั่งเหนือแข้งสิงห์ที่สามารถกำหนดอายุพุทธศตวรรษที่ 21 ด้วยเหตุนี้จึงไม่ควรที่จะกำหนดอายุเศียรพระใหญ่อยู่ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง รวมถึงพระพักตร์ของเศียรใหญ่มี
ความคล้ายกับพระพักตร์พระพุทธรูปที่ฐานมีรูปมารผจญ ลักษณะมารเหมือนกับมารแบกที่วัดราชบูรณะ ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จึงกำหนดอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 21 เป็นช่วงที่มีการหล่อพระศรีสรรเพชญ์ตามความในพระราชพงศาวดาร

กล่าวสรุปทั้งหมดคือ พระพุทธรูปองค์นี้เมื่อคำนวณสัดส่วนจะสูงราว 9.2 เมตร ประดิษฐานอยู่ฐานชุกชีสูง 2.5 เมตร รวมความสูงได้ 11.7 เมตร ซึ่งสามารถประดิษฐานในพระวิหารหลวงที่มีความสูงจากพื้นถึงยอดเสาร่วมใน 14.97 เมตร ต่ำกว่าขื่อเอกเพียง 3.27 เมตร และมีรูปแบบศิลปะร่วมสมัยกับการหล่อพระศรีสรรเพชญ์

จากเหตุผลทั้งหมดผู้เขียนจึงยืนยันตามข้อเสนอเมื่อ พ.ศ.2560 ว่า “เศียรพระใหญ่องค์นี้ คือเศียรพระศรีสรรเพชญ์” สุดท้ายนี้ผู้เขียนขอขอบคุณ พิชญา สุ่มจินดา อีกครั้งที่ได้ออกแสดงข้อโต้แย้งทางวิชาการ จนทำให้ผู้เขียนได้ออกมายืนยันข้อสันนิษฐานเดิม

ภาพถ่ายเก่าพระมงคลบพิตร สำริด สร้างเมื่อ พ.ศ.2081 วิหารพระมงคลบพิตร จ.พระนครศรีอยุธยา

ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในห้องจัดแสดงพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน ปัจจุบันมีการจัดแสดงเศียรพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่ ซึ่งก่อนหน้านั้นในแวดวงวิชาการมีการนำเสนอว่า เศียรพระพุทธรูปดังกล่าวเป็น “เศียรพระศรีสรรเพชญ”

แต่ในนิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนกันยายน 2563 รศ.พิชญา สุ่มจินดา ให้ข้อคิดเห็นใหม่ ด้วยบทความชื่อว่า ‘เศียรใหญ่’ ไม่ใช่ ‘พระศรีสรรเพชญ’ โดยการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์ศิลปะ เพื่อหาความเป็นไปได้ว่า เศียรดังกล่าวควรเป็นเศียรพระศรีสรรเพชญหรือไม่ ในหลากหลายประเด็นในการพิจารณา

หนึ่งในจำนวนนั้นคือประเด็นที่ว่า ‘เศียรใหญ่’ มีพระพักตร์สอดคล้องกับพระพุทธรูปในช่วงที่สร้างพระศรีสรรเพชญหรือไม่

เริ่มจากปีที่หล่อพระศรีสรรเพชญ อ้างอิงตาม พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐ ระบุว่า พ.ศ.2043 เป็นปีที่เริ่มหล่อพระศรีสรรเพชญ

รศ.พิชญา สุ่มจินดา จึงรวบรวมข้อมูลพระพุทธรูปแถบภาคกลางของไทยมาเทียบเคียงกับพระศรีสรรเพชญ ดังนี้

พระพุทธรูปนายจอมเภรี ปรากฏจารึกที่ฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2052 ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พ.ศ.2034-2072) พร้อมกับจารึกในสมัยรัชกาลที่ 1 ระบุว่าเชิญมาจากสุโขทัย ปีที่สร้างพระพุทธรูปองค์นี้จึงห่างจากปีอ้างอิงที่สร้างพระศรีสรรเพชญเพียง 9 ปี

พระพุทธรูปยืนทรงเครื่องน้อย วัดราชธานี จังหวัดสุโขทัย มีจารึกระบุปีที่สร้างตรงกับ พ.ศ.2084 ในรัชกาลสมเด็จพระไชยราชาธิราช (พ.ศ.2077-89) ห่างจากปีที่สร้างพระศรีสรรเพชญ 41 ปี

พระมงคลบพิตร แม้พระพุทธรูปองค์นี้ไม่มีจารึกกำหนดอายุเวลา แต่ข้อมูลจากการบันทึกของฟาน ฟลีต กล่าวถึงวัดพระชีเชียง ที่สมเด็จพระไชยราชาธิราชทรงสร้างขึ้นอย่างใหญ่โตและน่าอัศจรรย์ ภายหลังวัดพระชีเชียงชำรุดทรุดโทรมไม่มีผู้ใดกล้าปฏิสังขรณ์มาเกือบร้อยปี จนราวเดือนธันวาคม พ.ศ.2181 จนถึงมกราคม พ.ศ.2182 สมเด็จพระเจ้าปราสาททองรับสั่งให้รื้อวัดดังกล่าว และย้าย “รูปหล่อทองแดง” ออก เพื่อสร้างวัดใหม่

“รูปหล่อทองแดง” ที่ฟาน ฟลีต กล่าวถึง คือ พระมงคลบพิตรจากวัดพระชีเชียงที่สมเด็จพระไชยราชาธิราชทรงสร้างใน พ.ศ.2081 และสมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงย้ายมาประดิษฐาน ณ ตำแหน่งปัจจุบันนั่นเอง

เมื่อพิจารณาพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ มีพระพักตร์ใกล้เคียงกัน พระเนตรเล็กเรียวเหลือบลงต่ำ, พระขนงโก่ง พระนาสิกเล็กคมเป็นสัน เว้นแต่พระมงคลบพิตรมีพระโอษฐ์ในสัดส่วนที่กว้างกว่า

รศ.พิชญา วิเคราะห์ว่า “ความคล้ายคลึงกันดังกล่าวช่วยสนับสนุนข้อความจากพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐ และบันทึกของฟาน ฟลีต ว่า พระมงคลบพิตรสร้างขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระไชยราชาธิราชด้วย พระพุทธรูปที่มีพระพักตร์ในลักษณะเดียวกันนี้น่าจะเป็นที่นิยมในช่วงครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 21 ดังมีตัวอย่างพระพุทธรูปลีลาสำริด สมบัติส่วนบุคคล และพระพุทธรูปสำริดประทับสมาธิราบ ปางมารวิชัยในระเบียงคดวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามที่อาจเป็นรูปจำลองของพระมงคลบพิตร

น่าสังเกตว่า แม้ว่าปีที่สร้างพระพุทธรูปนายจอมเภรี พระมงคลบพิตร และพระพุทธรูปทรงเครื่องน้อยดังกล่าว จะห่างจากปีที่สร้างพระศรีสรรเพชญในระหว่าง 9-41 ปีก็ตาม แต่ก็จะเห็นว่าพระพักตร์ของพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์กลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากกันมากนัก…

นอกจากพระพุทธรูปที่สามารถกำหนดอายุเวลาได้จากจารึกและเอกสารทั้ง 3 องค์แล้ว ยังพบพระพุทธรูปยืนสำริด ทรงครองจีวรห่มคลุม พระหัตถ์ขวาประทานอภัย องค์หนึ่งไม่ทราบที่มาประดิษฐานในพระระเบียงคดวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และอีกองค์ได้จากวัดบางอ้อยช้าง จังหวัดนนทบุรี ประดิษฐานในพระระเบียงคดวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

พระพุทธรูปทั้ง 2 องค์มีลักษณะพระพักตร์ใกล้เคียงกับพระมงคลบพิตรและพระพุทธรูปทรงเครื่องน้อยที่กล่าวถึงข้างต้น จึงน่าจะสร้างขึ้นในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกันราวครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 21 ซึ่งหากพระศรีสรรเพชญยังคงสภาพสมบูรณ์ก็อาจมีพระพักตร์และพุทธลักษณะใกล้เคียงกับพระพุทธรูปยืนเหล่านี้ที่อาจเป็นรูปจำลองของพระศรีสรรเพชญก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าพระพุทธรูปบางองค์จากช่วงครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 21 ที่มีพระพักตร์คล้ายคลึงดังกล่าวจะพบในหัวเมืองเหนืออย่างสุโขทัย แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าในช่วงระยะเวลานั้นสุโขทัยได้กลายเป็นเมืองขึ้นของอยุธยาอย่างสมบูรณ์แล้ว โอกาสที่จะมีการถ่ายทอดพุทธศิลป์ระหว่างกันย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ”

ส่วน “เศียรใหญ่” นั้น รศ.พิชญาอธิบายไว้ว่า “พระพักตร์เป็นทรงผลมะตูม พระปรางอิ่ม พระศกเป็นหนามขนุน แสดงความคมชัดและชัดลึกขององค์ประกอบพระพักตร์ที่เด่นชัดกว่าพระพุทธรูปสมัยก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นเหลี่ยมพระขนงยกขึ้นเป็นสันคมไม่เป็นเส้นพระขนงแบบเดิมรับกับพระนาสิกใหญ่โด่งเป็นสันมนปลายงุ้ม พระเนตรเป็นรูปช้อย หางพระเนตรเรียวแหลมขึ้นแบบที่เรียกว่า ‘ตานกนอน’ เปลือกพระเนตรกว้าง เส้นขอบบนของพระเนตรล้อกับเหลี่ยมพระขนงที่ค่อนข้างกว้างเช่นกัน พระโอษฐ์กว้าง และแย้มพระสรวลเล็กน้อยที่มุมพระโอษฐ์”

พระพุทธรูปทรงเครื่องน้อย สำริด มีจารึกตรงกับ พ.ศ.2084

ในประเด็นที่ว่า ‘เศียรใหญ่’ มีพระพักตร์สอดคล้องกับพระพุทธรูปในช่วงที่สร้างพระศรีสรรเพชญหรือไม่ จึงน่าจะสรุปได้ว่า “เศียรใหญ่” มีพระพักตร์ไม่สอดคล้องกับพระพักตร์ของพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในช่วงครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาใกล้เคียงการสร้างพระศรีสรรเพชญ พ.ศ.2043

แต่เดี๋ยวก่อน ก่อนที่จะฟันธงว่า “เศียรใหญ่” ไม่ใช่ “พระศรีสรรเพชญ”

เรายังเหลืออีก 2-3 ประเด็น ที่ผู้เขียน (รศ.พิชญา สุ่มจินดา) จัดหนักมาให้ ได้แก่ “เศียรใหญ่” เคยประดิษฐานที่วัดพระศรีสรรเพชญ์หรือไม่, “เศียรใหญ่” เคยเป็นพระพุทธรูปยืนหรือประทับและมีขนาดเท่าใด และ “เศียรใหญ่” มีพระพักตร์สอดคล้องกับพระพุทธรูปในช่วงเวลาใด ซึ่งทั้งหมดนี้มีคำตอบอยู่ใน “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนกันยายนนี้

ที่มา : คอลัมน์ประชาชื่น มติชน

ผู้เขียน : วิภา จิรภาไพศาล