ไม่พูดพร่ำทำเพลง ปฏิบัติการตามรอยพ่อไปชิมได้เริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ปิ่นโตเถาเล็กขอยกมือเชียร์แนะนำร้านต้มเครื่องในวัวเจ้าตำนาน ซึ่งคุณชายถนัดศรีเคยแนะนำในคอลัมน์ยุคแรกเมื่อเกือบ 60 ปีที่แล้ว ความจริงพ่อชิมต้มเครื่องในวัวเจ้านี้มาตั้งแต่ยังไม่มีคอลัมน์เชลล์ชวนชิม (เริ่ม พ.ศ.2504) ปัจจุบันใครๆ รู้จักกันในชื่อว่า หม่อง ราชบพิธ (หรือวัดราชบพิธ) ต้มเครื่องในวัว

ร้านนี้ไม่มีป้ายชื่อหน้าร้านให้เป็นที่สังเกต ทางไปร้านให้ตั้งต้นที่ วัดราชบพิธฯ ซึ่งอยู่ถัดจาก กระทรวงมหาดไทย ร้านหม่อง ต้มเครื่องในวัวจะอยู่ในตึกแถวไม้แบบโบราณ 2 คูหา ประตูไม้บานเฟี้ยมริม ถนนราชบพิธ ซึ่งถนนเส้นนี้จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับวัดราชบพิธฯอีกที ซึ่งมี โรงเรียนราชบพิธกับ ศึกษาภัณฑ์ อยู่เยื้องออกไปไม่ไกลด้วย จะจอดรถริมทางก็ได้ (แต่มักจะหายากมาก) หรือไปจอดที่ ศูนย์การค้าดิ โอลด์สยาม หรือ ที่ศาลเจ้าพ่อเสือ และเดินมาประมาณ 10 นาที ก็สะดวกดี

นายหม่องผู้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับปิ่นโตเถาเล็ก คือเจ้าของร้านรุ่นที่ 3 ต่อจากพ่อและอา เมื่อราว 20 ปีก่อนที่ผมมาชิมนั้นยังมีแม่และอาร่วมด้วย ตอนนี้มีแค่คุณหม่องกับภรรยาและลูกน้องอีก 3 คน ช่วยกันทำมือเป็นระวิง

กิจวัตรประจำวันเริ่มต้นตั้งแต่ตี 4 เพื่อมาล้างทำความสะอาด ซึ่งต้มเครื่องในวัวจะเสร็จพร้อมขายตอนประมาณ 8 โมงเช้า พอได้เวลาบรรดาลูกค้าซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้ชายต่างก็มาจับจองที่นั่งกันสลอนจนเต็มร้านไปหมด มีทุกสาขาอาชีพตั้งแต่ตำรวจ ทหาร เด็กส่งเอกสาร คนขับสามล้อ แท็กซี่ ข้าราชการ พ่อค้า ฯลฯ นับได้ว่าเป็นร้านขวัญใจประชาชนโดยแท้ ลูกค้าบางคนก็มานั่งรอกินตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าทีเดียว ซึ่งตอนนี้ทันสมัยมากเพราะที่ร้านรับสั่งอาหารทางไลน์แมนอีกต่างหากด้วย แฟนๆสามารถสั่งอาหารแล้วนั่งสบายอารมณ์รอกินที่บ้านได้เลย

คุณชายถนัดศรีเคยบอกไว้ว่าเครื่องในวัวจะอร่อยชวนกิน อยู่ที่การล้างน้ำเกลือทำความสะอาดเป็นสำคัญ กว่าจะได้ที่นั้นเป็นเรื่องจุกจิกกินเวลามาก ต้องลงมือทำเองทุกอย่าง ครั้นจะล้างแบบสังเขปต้มออกมาก็เหม็นกินไม่ลง เครื่องในต้องสะอาด เคี่ยวเปื่อยพอดีด้วยความชำนาญว่าอย่างไหนควรเคี่ยวนานแค่ไหนจึงจะได้ที่ ไม่ต้มสำรวมไปหมดทุกอย่าง ดังนั้น ร้านเครื่องในวัวจึงร่อยหรอลงไปทีละเจ้า จนกระทั่งเหลือเพียงไม่กี่เจ้า

ซึ่งต้มเครื่องในวัวเจ้านี้ยังครองใจลูกค้าได้นานแสนนานก็เพราะว่ามีเครื่องให้เลือกสารพัด ต้มเปื่อยได้ที่ ไม่มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์แม้แต่น้อย ต้องชมเชยผู้รับคำสั่งที่สามารถจำได้หมดว่าใครจะเอาอะไรไม่เอาอะไร โดยไม่ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ลองคิดดูก็แล้วกันว่าเครื่องในวัวมีเยอะแยะให้จดจำทั้ง เนื้อเปื่อย เอ็น ขอบกระด้ง ดอกจอก ม้าม ไส้เล็ก ไส้ใหญ่ ปอด หลอดคอกรุบๆ สามสิบกลีบ (ส่วนนี้อร่อยมาก) กระเพาะ ตัวเดียวอันเดียว จะไม่มีก็แค่ตับ เนื้อสด หัวใจและผ้าขี้ริ้วเท่านั้น

เท่านี้ยังไม่พอ วันไหนถ้าโชคดีก็จะมี “น้องนาง” อีกด้วย ถ้าอยากรู้ว่าคืออะไรให้ไปถามที่ร้านกันเอาเอง เพียงแต่ขอบอกไว้ว่าถ้าวันไหนมีน้องนางขาย ก็จะขายหมดไปภายในชั่วพริบตาเดียว

สำหรับผู้ชื่นชอบเครื่องใน แนะนำว่าให้สั่งชามพิเศษ 80 บาท สั่งให้ใส่ทุกอย่างไปเลย ชามธรรมดา 50 บาท ไม่พอยาไส้หรอก และถ้าอยากกินสองชามให้สั่งมาคราวเดียวจะได้ไม่ต้องกลับไปตั้งคิวใหม่ให้เสียเวลา ระหว่างที่นั่งคอยก็ให้ผสมน้ำจิ้ม ใส่น้ำส้มพริกเหลืองตำสูตรเก่าแก่ น้ำปลา น้ำตาล และพริกป่น สำหรับเอาไว้จิ้มเครื่องในกินกับข้าวร้อนๆ แล้วซดน้ำแกงตามเข้าไป

 

คุณหม่อง-เจ้าของร้าน
ต้มเครื่องในวัวพิเศษ
กระเทียมต้มกินคู่กับต้มเครื่องในวัว
กระเทียมต้มกินคู่กับต้มเครื่องในวัว

ความดีงามของต้มเครื่องในวัวร้านหม่องอีกอย่างก็คือน้ำซุปใสๆ หอมกลิ่นตะไคร้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่มีเวลาหั่นฝอยทีละชาม แต่จะต้มลงในหม้อไปเลย และก็มีกระเทียม ข่า ลูกมะกรูดต้มและเผาอีกด้วย ควรขอ กระเทียมต้ม มากินแกล้มกับต้มเครื่องในวัวเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย กินกับข้าวสวยร้อนๆ (5 บาท) ลืมบอกไปว่าที่นี่ยังใช้เตาถ่านต้มเครื่องในวัวจึงร้อนระอุอร่อยเป็นทวีคูณ

ถ้าต้องการกินเครื่องในวัวครบทุกสิ่ง ควรไปแต่เช้า ตอน 8 โมงยิ่งดี แต่ถ้าต้องการให้ต้มเครื่องในวัวน้ำงวดได้ที่ ให้ไปตอน 10 โมงดีที่สุด แต่เวลานั้นของบางอย่างอาจจะหมดแล้วนะจ๊ะ แต่ไม่ควรไปเกิน 11 โมงเช้าก็แล้วกัน มิฉะนั้นอาจจะต้องช่วยเขาปิดร้านแทน ของหมดอดกินเป็นแน่ ข้อควรระวังอีกอย่างก่อนไปร้านนี้ควรเปิดปฏิทินวันพระให้ดี เพราะร้านหม่องเขาหยุดทุกวันอาทิตย์และทุกวันพระใหญ่นะจ๊ะ

หม่อง ราชบพิธ ต้มเครื่องในวัว
(ไม่มีป้ายชื่อร้าน)

โดย คุณพรชัย (หม่อง) ฐิติภาณุเวช

ที่ตั้ง 36-38 ถ.ราชบพิธ แขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทร 08-1835-1170

เปิดบริการ 08.00-11.00 น. หรือขายจนหมดไม่เกิน 12.00 น. จันทร์-เสาร์

หยุด อาทิตย์ วันพระใหญ่ เทศกาลปีใหม่ สงกรานต์

แนะนำ ต้มเครื่องในวัว

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)

วันอาทิตย์สบายๆ อย่างนี้เหมาะสำหรับตื่นสายๆ แล้วออกไปกินข้าวกับครอบครัวญาติสนิทมิตรสหาย ขอแนะนำ ร้านอาหารเช้าสไตล์ออสซี่ กินได้ตลอดทั้งวัน เรียกว่า All-Day Breakfast มีเมนูครบเครื่องเรื่องอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม ร้านนี้มีชื่อว่า โทบี้ส์ (Toby’s) อยู่ท้ายซอยสุขุมวิท 38 ทางด้านซ้ายมือ

โทบี้ส์เปิดมาเพียง 4 ปี (15 สิงหาคม 2558) แต่ได้รับความนิยมมากๆ ทั้งคนไทยรุ่นใหม่และชาวต่างชาติ จนตอนนี้ขยายเวลาเปิดไปจนถึง 4 ทุ่ม และมีเมนูอาหารเย็นน่าสนใจเพิ่มอีกมากมาย ปิ่นโตเถาเล็กจึงขอนำเสนอแฟนๆ อีกครั้งหนึ่ง

เริ่มกันด้วย เมนูไข่ยอดนิยมสไตล์ออสซี่ แต่ละจานมีของดีหลากหลาย ของโปรดปิ่นโตเถาเล็กยังมีอยู่ครบถ้วน สั่งได้จนถึงบ่าย 4 โมงเย็น มี เบรกฟาสต์บอร์ด (Breakfast Board) (350+ ค่าบริการ 10%) ให้ไข่ 2 ฟองสั่งปรุงได้ตามใจชอบ วางบนขนมปังซาวเออร์โดห์ (Sourdough) ขึ้นฟูด้วยยีสต์มีรสชาติในตัว กินกับแฮมรมควัน แซลมอนสดที่หมักเอง อโวคาโด้ เบอรี่ต่างๆ สลัดผัก และซัลซ่ามะเขือเทศลูกเล็กๆ

อีกทั้งไข่กระทะออสซี่ เบ๊คเอ้ก (Baked Egg)(295+) อบมาในกระทะร้อนๆ ใส่ไส้กรอกโชริโซ่ (Chorizo) รสจัดๆ เบคอน มะเขือเทศเชอรี่ และเห็ด หรือจะลอง เอ้กมิกาโดะ (Egg Mikado) (320+) มีทั้งไข่โพ้ชเอ้กนุ่มเนียนเยิ้มๆ ราดซอสฮอลแลนเดสรสส้ม พันด้วยแซลมอนหมักสดๆ กินกับขนมปัง Sourdough และอโวคาโด้ และ เมนูไข่คน (Scrambled Eggs) (290+) คู่กับเห็ดพอร์ทโทเบลโล่ชิ้นหนาๆ และมะเขือเทศเชอรี่

ใครอยู่สายสุขภาพให้สั่ง คอมพลิเคตเท็ดอโวคาโด้ (Complicated Avocado) (295+) มีไข่โพ้ชเอ้ก ขนมปัง Sourdough อโวคาโด้และข้าวโพดซัลซ่า พริกเม็กซิกันฮาลาเพญโญ (Jalapeno) และครีมบีตรูตนุ่มๆ ที่ผสมชีสเฟต้านมแพะ

เมนูใหม่ๆ มี ขนมปังหน้ากุ้ง (Prawn Toast)(320+) ขนมปังชิ้นหนาๆ หน้ากุ้งย่าง และไข่ดาว รากบัว จิ้มน้ำจิ้มบ๊วย โดยเมนูอาหารเช้าทั้งหมดนั้นสามารถสั่งเครื่องเคียงทุกตัวเพิ่มได้อีกตามใจชอบ

ส่วนเมนูกึ่งคาวหวานมี คริสปี้เฟรนช์โทสต์ (Crispy French Toast) (280+) ขนมปังบริยอชชุบไข่ทอด กรอบนอกนุ่มในมีรสอมหวานในตัว กับเบอรี่ต่างๆ และวอลนัท โปะหน้าด้วยไอศกรีมวานิลลาหรือจะเลือกเป็นกรีกโยเกิร์ตเบาๆ ตอนนี้มีเมนูแฟนตาซีเพิ่มขึ้นมาอีกคือ เดอะแฟรี่ฟลอส (The Fairy Floss) (280+) ขนมปังบริยอชกับกล้วย เบอรี่ ราดคาราเมล ช็อกโกแลต โปะด้วยไอศกรีมวานิลลา และท็อปปิ้งอีกชั้นด้วย สายไหมสีชมพู

หลังบ่าย 4 โมงไปจนถึง 4 ทุ่ม เป็นเวลาของมื้อเย็น จะเปลี่ยนเมนูใหม่แบ่งตามประเภท เริ่มจาก สลัด ขอแนะนำ Tomato-Herbs-Cheese (270+) ใส่ของดีๆ มีทั้งมะเขือเทศ ลูกมะเดื่อ (Fig) ถั่ววอลนัท มะกอกดำ เฟต้าชีสกับชีสนมแพะ ราดน้ำสลัดบัลซามิกรีดักชั่นเข้มข้น ใครชอบบีทรูตอมเปรี้ยว ให้สั่ง Baby root & Nuts (270+) มีหัวบีทรูทย่าง เฟต้าชีส วอลนัท และลูกเดือย

ต่อด้วยเมนู ของกินเล่น เรียกว่า Smaller Plate มีหลากหลาย เราเลือกสั่ง กุ้งลายเสือผัดกับพริกกระเทียม (Spicy Tiger Prawn) (300+) ราดซอสเนยกับลูกเคเปอร์ และ หมึกเอ็กซ์โอ (XO Squid) (270+) จิ้มซอสเอ็กซ์โอมาโย

ส่วน ของกินจริง หรือ Bigger Plate มีหมวดพาสต้าจานเส้น ขอแนะนำ ลิงกวินี่เชลล์ฟิช (Linguine Shellfish) (390+) คือลิงกวินี่เส้นแบนผัดกับหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์และกุ้ง อีกทั้ง ลิงกวินี่ผัดกับเบย์ล็อบสเตอร์ใส่ไวน์ขาว (390+) และ สปาเกตตี้แบล๊กทรัฟเฟิล (390+) ผัดกับครีมซอสผสมน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิล

เบ็คเอ้ก
เบ็คเอ้ก
ไข่คน กับเห็ดพอร์ทโทเบลโล่ชิ้นหนาๆ
คอมพลิเคตเท็ดอโวคาโด้
คอมพลิเคตเท็ดอโวคาโด้

ข้อดีคือสลัด พาสต้า และของกินเล่นที่ผมเลือกนี้ สามารถสั่งได้ทั้งวันก่อนบ่าย 4 โมงได้ด้วย เนื่องจากได้รับความนิยมมาก (โปรดดูในเมนู ยังมีอีกมากที่สั่งได้ทั้งวัน)

และก็มีเมนูอีกหลายอย่างที่สั่งได้เฉพาะตอนเย็น เช่นของกินเล่น หอยเชลล์จี่ในกระทะ (Seared Scallop) (450+) 3 ตัว วางมาบนมันบดผสมหอมใหญ่ ส่วน Bigger Plate เมนูฮิตคือ คริสปี้สกินบริกชิกเก้น (Crispy Skin Brick Chicken) ไก่หนังกรอบ ซึ่งมีให้เลือก 2 ซอส คือ น้ำเกรวี่กับซอสเผ็ด สั่งได้ทั้งครึ่งตัวและทั้งตัว (550/950+)

นอกจากนี้ที่โทบี้ส์มีเครื่องดื่มดีๆ หลากหลาย สำหรับคอกาแฟขอแนะนำ แฟลตไวท์ (Flat White)(100+) กาแฟเอสเปรสโซ่หอมๆ ผสมกับนมร้อนนุ่มๆ ดุจกำมะหยี่ ใช้เมล็ดกาแฟคั่วระดับปานกลาง มีให้เลือกทั้งแบบ Toby”s คือกาแฟจากเอธิโอเปีย โคลอมเบีย และลาว กับแบบ Bryce”s คือกาแฟไทยผสมอินโดนีเซีย อินเดีย และเอธิโอเปีย

เดอะแฟรี่ฟลอส

คนชอบเครื่องดื่มแนวสุขภาพ ต้องชิม น้ำผลไม้ที่ได้จากการสกัดเย็น (Cold Pressed Juice) (180 บาท+) มี 6 สูตร ผมชอบ Heart Beets มีส่วนผสมของหัวบีทรูทสีแดงๆ (BeetRoot) แอปเปิลแกรนนี่สมิธ แตงกวา และมะนาวเหลือง ไม่นับเมนูพิเศษ เช่น น้ำชมพู่เมืองเพชร (Rose Apple) อีกต่างหาก และยังมี น้ำผลไม้ปั่นหลายชนิดรวมกันผสมน้ำแข็ง (Fruit Juice) มี 3 สูตร 3 สี (150+) คือ Lean Green สีเขียว Jungle Juice สีม่วง และ ฟีลกู๊ด (Feel Good) สีชมพู

ถ้าชอบความหอมมันสดชื่น ต้องสั่ง มิลค์เชครส Salted Caramel (120+) ใส่ไอศกรีมวานิลลา รสเค็มนิดๆ ผสมความหอมของคาราเมล เสิร์ฟมาในขวดแก้วน่ารัก เมนูนี้ยกนิ้วให้ 2 ข้างเลย

โอ๊ยยังมีของดีอีกเยอะทั้งเมนูธัญพืช เบเกอรี่ขนมต่างๆ หมุนเวียนเปลี่ยนไปเช่น บราวน์นี่ มัฟฟิน แอปเปิลครัมเบิ้ล และคาราเมลช็อกชั้งค์ ขอให้แฟนๆ รีบมาเติมพลังความสดชื่นรับวันใหม่ได้ตลอดทั้งวันจนถึง 4 ทุ่มที่โทบี้ส์ รับรองว่าจะสดใสไปทั้งวันทีเดียว ร้านหยุดทุกวันจันทร์นะจ๊ะ

โทบี้ส์ (Toby’s)

โดย คุณเต้ ชนพ บูรณตระกูล และคุณณัฐ คุณฟอร์ด คุณเคลลี่

ที่ตั้ง 75 สุขุมวิท 38 พระโขนง คลองเตย กรุงเทพฯ 10110

โทร 0-2712-1774

เปิดบริการ 09.00-22.30 น. (ครัวปิด 4 ทุ่ม) อังคาร-อาทิตย์

หยุด ทุกวันจันทร์

แนะนำ เบรกฟาสต์บอร์ด (Breakfast Board) เบ๊คเอ้ก (Baked Egg) เอ้กมิกาโดะ (Egg Mikado) ไข่คน (Scrambled Eggs) คอมพลิเคตเท็ดอโวคาโด้ (Complicated Avocado) ขนมปังหน้ากุ้ง (Prawn Toast) คริสปี้เฟรนช์โทสต์ (Crispy French Toast) เดอะแฟรี่ฟลอส (The Fairy Floss) สลัด Tomato-Herbs-Cheese สลัด Baby root & Nuts กุ้งลายเสือผัดกับพริกกระเทียม (Spicy Tiger Prawn) หมึกเอ็กซ์โอ (XO Squid) ลิงกวินี่เชลล์ฟิชลิงกวินี่ผัดกับเบย์ล็อบสเตอร์ใส่ไวน์ขาว สปาเก็ตตี้แบล๊กทรัฟเฟิล หอยเชลล์จี่ในกระทะ (Seared Scallop) คริสปี้สกินบริกชิกเก้น (Crispy Skin Brick Chicken) กาแฟแฟลตไวท์ น้ำผลไม้สกัดเย็นสูตร Beets น้ำผลไม้ปั่น Lean Green กับ Jungle Juice และ Feel Good มิลค์เชครส Salted Caramel

ลิงกวินี่เชลล์ฟิช
กุ้งลายเสือผัดกับพริกกระเทียม
กุ้งลายเสือผัดกับพริกกระเทียม
คริสปี้สกินบริกชิกเก้น-ไก่หนังกรอบ
หอยเชลล์จี่ในกระทะ
หอยเชลล์จี่ในกระทะ
สลัด Tomato Herbs Cheese
เอ๊กมิกาโดะ
เอ๊กมิกาโดะ
Toby's New Baby root & Nuts
คริสปี้เฟรนช์โทสต์
คริสปี้เฟรนช์โทสต์
น้ำผลไม้ปั่น
บรรยากาศร้าน
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
โคคอต ฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery)

เป็นธรรมเนียมสำหรับวันแม่ที่ครอบครัวจะมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา พาบุพการีลูกหลานออกไปกินข้าวนอกบ้าน ปีนี้ปิ่นโตเถาเล็กขอแนะนำร้านแนวสบายๆ ผ่อนคลายแต่ดูโก้ เป็นร้านสเต๊กเฮาส์ ปิ้งย่างในบรรยากาศฟาร์มชนบทของฝรั่งเศส มีชื่อว่า โคคอต ฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery) เรียกสั้นๆ ได้ว่า โคคอต (Cocotte) เปิดมาได้ 3 ปีกว่า (เมษายน 2559) นี่คืออีกหนึ่งร้านดังของกรุงเทพฯที่ชมรมคนรักเนื้อ (ทุกประเภท) นิยมไปอุดหนุน

ร้านโคคอตอยู่ใจกลางเมืองตรงโครงการ 39 บูเลอวาร์ด (39 Boulevard) ฝั่งขวาของเส้นทางเดินรถทางเดียวของซอยพร้อมจิต ที่มุ่งหน้าจากซอยสุขุมวิท 39 ไปสุขุมวิท 31

เชฟที่ดูแลร้านอาหารในเครือโคคอตทั้งหมด เป็นเชฟหนุ่มหล่อชาวฝรั่งเศสในวัยหนุ่มแน่น ชื่อว่า เชฟเจริโก้ แวนเดอร์วูล์ฟ (Jeriko Van Der Wolf) เห็นอายุแค่นี้แต่เคยผ่านประสบการณ์กับร้านมิชลิน 3 ดาวในฝรั่งเศสมาแล้ว

โคคอตคัดสรรวัตถุดิบชั้นดีทั้งจากในประเทศและจากทั่วโลก อีกทั้งยังสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าของฟาร์มและผู้ผลิตวัตถุดิบในเมืองไทย ที่นี่ใช้วัตถุดิบหลายอย่างจากโครงการหลวงอีกด้วย จุดเด่นอีกอย่างของโคคอตคือจะใช้เตาถ่านบาร์บีคิวปิ้งย่างและรมควันชั้นดีจากออสเตรเลีย ชื่อว่า Komado Joe จึงมั่นใจได้ว่าสเต๊กที่ได้จะนุ่มและชุ่มฉ่ำหอมอร่อยทุกชิ้น

แน่นอนว่ามาร้านโคคอตก็ต้องลิ้มลองเมนูปิ้งย่างต่างๆ ที่สุดของที่สุดต้องยกให้ สเต๊กโทมาฮอว์ค ชิ้นโตๆ หนาๆ มีกระดูกติดเหมือนรูปขวานของอินเดียนแดง ที่นี่ใช้ สเต๊กโทมาฮอว์ค ออสเตรเลียนวากิว (Tomahawk Australian Wagyu) ที่มีลายไขมันหรือมาร์เบิ้ลสกอร์เบอร์ 6 ซึ่งถือว่ามีมันแทรกเยอะเพียงพอ ให้ความนุ่มชุ่มฉ่ำดีนักแล พอย่างในเตาบาร์บีคิวแล้ว ก็จะนำไปอบให้ข้างในชุ่มฉ่ำอีกที เลือกได้หลายขนาดมีตั้งแต่ ขนาด 1.4 กิโลกรัม (3,980 บาท++) ที่เราชิมซึ่งสามารถแบ่งกัน 2-3 คนได้สบาย หรือถ้าต้องการชิ้นยักษ์กว่านี้ก็มี 1.6-1.8-2.0 กิโลกรัมให้เลือกด้วย (4,480-5,120-5,610 บาท++)

ข้อดีอีกอย่างคือเราสามารถเลือกซอสที่มากินคู่กับโทมาฮอว์คได้ถึง 3 ชนิด จากทั้งหมด 8 ชนิด ซอสยอดนิยมคือ ซอสพริกไทยเสฉวน หอมๆ ซอสแบร์เนส (Bearnaise) ข้นๆ น้ำจิ้มแจ่ว ถูกปากคนไทย และ ซอสเนยกระเทียมสมุนไพร นอกจากนี้ ยังมีซอสบลูชีส ซอสไทยวิสกี้บาร์บีคิว ซอสชิมิชูรีสีเขียวๆ ทำจากพาร์สลีย์ของฝรั่ง และมีซอสศรีราชาทำเองอีกด้วย ส่วนเครื่องเคียงก็มีให้เลือกมากมาย ของโปรดผมคือ มันบดทรัฟเฟิล (190++) ทั้งเนียนและหอมมากๆ

สำหรับคนที่ต้องการเนื้อชิ้นกำลังดีและนุ่มสุดสุดแล้วล่ะก็ ขอแนะนำ เนื้อริบอาย ออสเตรเลียน วากิว (Ribeye Wagyu “Infinite”) สายพันธุ์แท้ 100% ลายไขมันเบอร์ 8 มีมันแทรกเยอะจนนุ่มหอมมาก มีทั้งขนาด 300 กรัม (2,890 บาท++) สำหรับกินคนเดียวกำลังดี และ 500 กรัม (4,690 บาท++) แบ่งกันได้ 2 คน

เนื้อรมควันกับชีสบูราต้า
เนื้อรมควันกับชีสบูราต้า
สเต๊กโทมาฮอว์ค-ออสเตรเลียนวากิว
มันบดทรัฟเฟิล
มันบดทรัฟเฟิล

นอกจากนี้ ยังมีเนื้อส่วนที่หากินในร้านอื่นค่อนข้างยาก เป็นเนื้อ Hanger Steak หรือ เนื้อกะบังลม ซึ่งจะมีกลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเข้มข้นเป็นพิเศษ แค่ปรุงด้วยเกลือ พริกไทย ก็นุ่มหอมแล้ว ที่นี่ใช้เนื้อออสเตรเลียนวากิว ลายไขมันเบอร์ 6 (300-500 กรัม 1,380-2,290 บาท++)

สำหรับคนไม่กินเนื้อ ก็มีเมนูยอดนิยมที่ผมชื่นชอบมากด้วย คือ ไก่ย่าง เบบี้ชิคเก้น (Baby Chicken) ย่างบนเตาโรติสซารี่หมุนๆ ของฝรั่งเศส เสิร์ฟมาทั้งตัว ขนาด 900 กรัม (790 บาท++) บนถาดหลุมไม้ รองด้วยหญ้าอัลฟัลฟ่า ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในฟาร์มจริงๆ ไก่ที่ใช้เป็นไก่เลี้ยงปล่อยที่หมักจนนุ่มและหอม ย่างจนหนังกรอบ เนื้อในนุ่มชุ่มฉ่ำ จิ้มน้ำจิ้มแจ่วเข้ากันดี ห้ามพลาดเลยเป็นอันขาด

เนื้อกะบังลม

นอกจากนี้ โคคอตยังมีซี่โครงแกะย่าง (300-800 กรัม 1,380-2,690 บาท++) สันในหมูย่างที่เขาตั้งชื่อว่า Wagyu of Pork 2.0 (650 บาท++) อีกทั้งเมนูอาหารทะเล เช่น หอยเชลล์ ล็อบสเตอร์ และแซลมอน รวมถึงพาสต้า และสลัด รับรองว่าทุกคนที่มาด้วยกันต้องมีเมนูถูกใจแน่นอน

ลืมบอกไปว่ามีเมนูเรียกน้ำย่อยที่ไม่ควรพลาดเช่นกันคือ เนื้อรมควันกับชีสบูราต้า (Smoked Beef & Burrata) (390 บาท++) เนื้อรมควันชิ้นบางๆ นุ่มหอม ม้วนเป็นแท่งสอดไส้ชีสบูราต้าหอมมันถึงใจ โปะหน้าด้วยแยมมะเขือเทศเชอรี่หวานๆ เหยาะบัลซามิคเข้มข้นลงไปด้วย นี่ก็ห้ามพลาดอีกแล้วสำหรับคนชอบกินเนื้อ

อย่าเพิ่งอิ่มนะจ๊ะ โคคอตมีของหวานแบบฝรั่งเศสที่เข้มข้นอีกหลายอย่าง ให้ลอง ปารีส์เบรสท์ (Paris-Brest) (340 บาท++) แป้งชูว์เพสตรี้ไส้พราลีน เฮเซลนัทครีม รูปกลมเหมือนวงล้อ และอีกเมนู Valrhona Chocolate x Caramel (390 บาท++) ใช้ช็อกโกแลตชั้นเลิศของฝรั่งเศส มีองค์ประกอบที่ทำจากช็อกโกแลตหลายอย่างในจานเดียว เข้มข้นถึงใจ

ร้านโคคอต ฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery) เปิดบริการทุกวัน มื้อกลางวัน 11 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมง มื้อค่ำ 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน สำหรับมื้อค่ำควรจองล่วงหน้า ที่เบอร์ 09-2664-6777 เพราะมักจะแน่นอย่าบอกใครเลยนะจ๊ะ

โคคอต ฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery)


ที่ตั้ง
โครงการ 39 Boulevard ซ.พร้อมจิต สุขุมวิท 39 คลองเตย กรุงเทพฯ 10110

โทร 09-2664-6777

เปิดบริการ 11.00-15.00 น. และ 18.00-24.00 น. ทุกวัน (ครัวปิด 22.30 น. และ 23.00 น.เสาร์-อาทิตย์)

แนะนำ สเต๊กโทมาฮอว์ค ออสเตรเลียนวากิว เนื้อริบอายออสเตรเลียนวากิว Hanger Steak หรือเนื้อกะบังลม ไก่ย่าง เบบี้ชิคเก้น เนื้อรมควันกับชีสบูราต้า ปารีส์เบรสท์ (Paris-Brest) ขนม Valrhona Chocolate x Caramel

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
ไก่ย่าง เบบี้ชิคเก้น
ปารีส์เบรสท์
ปารีส์เบรสท์

ปิ่นโตเถาเล็กกลับไปเยือนสกลนคร จังหวัดในภาคอีสานตอนบนอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าเมืองนี้อุดมไปด้วยร้านอาหารอร่อยทั้งที่เปิดขายมานมนานหรือเพิ่งขายมาไม่กี่ปี ทั้งร้านเล็กร้านใหญ่ ทุกๆ ร้านล้วนแล้วแต่ทำเอาปิ่นโตเถาเล็กติดใจในความอร่อย เดี๋ยวจะแนะนำแฟนๆ 2 สัปดาห์ติดกัน รวม 4 ร้านของดีสกลนครเลยทีเดียว

ครั้งนี้คณะเราเลือกเที่ยวบินตอนเช้าเช่นเคย เพื่อที่จะได้ทันไปร้านอาหารเช้าสไตล์เวียดนามชื่อดังประจำเมือง มีชื่อว่า เลิศรสไข่กระทะ ร้านนี้เปิดมา 3 ชั่วอายุคนเกือบ 60 ปีแล้ว อยู่ในตึกแถวเก่าแก่ครึ่งปูนครึ่งไม้ ริม ถนนสุขเกษม ใกล้กับ สี่แยกที่ตัดกับถนนกำจัดภัย

แรกเริ่มเดิมทีเจ้าของร้านรุ่นปู่ย่าทำร้านเลิศรสขายไก่ย่าง และเปลี่ยนมาขายไข่กระทะในปี 2518 นานเกือบ 45 ปีแล้ว ตอนนี้สืบทอดมาถึงรุ่นพ่อชื่อ เฮียอ้วนกับภรรยาชื่อ พี่น้อย โดยมีน้องคมสันต์ ลูกชายช่วยทำร้านด้วยกัน

ที่นี่ผู้คนจะคึกคักตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อมาเติมพลังยามเช้ากันด้วยไข่กระทะ หอมมัน 2 ฟอง ทอดในน้ำมันและเนย ทอดมาชนิดไข่แดงยังเยิ้มๆ หอมมัน ใส่หมูสับผักต้นหอม กุนเชียง หมูยอ แครอตกับแตงกวา (30-40 บาท) แต่ถ้าชอบไข่แดงสุกๆ ก็บอกเขาได้ กุนเชียงหอมๆ นี้รับมาจากเจ้าประจำตั้งแต่เปิดร้าน

ไข่กระทะก็ต้องกินคู่กับ ขนมปังยัดไส้ (10-15 บาท) ที่ร้านทำเอง ปิ้งเตาถ่านแบบโบราณจนกรอบนอกนุ่มใน ไส้หมูยอกับกุนเชียง และสั่งพิเศษให้ใส่หมูสับผักต้นหอมเพิ่มได้ อีกอย่างที่ห้ามพลาดเลยคือ ขนมปังเนยน้ำตาล หอมหวานมันอย่าบอกใคร นอกจากนี้ ก็มีขนมปังเนย-นม ขนมปังพริกเผาหมูหยอง และขนมปังเนยแยม (10 บาทรวด)

ที่ร้านเลิศรสมีของอร่อยแบบเวียดนามอีกอย่างคือ ข้าวเปียกเส้น (40-50 บาท) หรือกวยจั๊บญวน ใส่หมูยอ หมูยอทอด ลูกชิ้นหมู และเนื้อหมูติดกระดูกต้มจนเปื่อยอร่อยมาก โรยผักแพว ผักชีฝรั่ง ต้นหอม น้ำซุปหวานหอมนั้นทำจากน้ำต้มกระดูกหมูและขาหมู เวลากินให้ปรุงด้วยพริกผัดน้ำมันเผ็ดหอม และไม่นานมานี้เขาเพิ่มเมนู ข้าวเปียกเส้นปลากะพง (70-90 บาท) อีกทั้งข้าวเปียกเส้นปลาอินทรี (60-80) สำหรับผู้ที่ชอบอาหารทะเล ซึ่งข้าวเปียกเส้นนี้จะเปลี่ยนเป็นข้าวต้มแทนได้ อาหารเช้าอื่นๆ มีอีกหลายอย่าง มีแม้กระทั่งข้าวไข่เจียว

ส่วนเครื่องดื่มร้อนเย็นนั้นก็มีให้เลือกเยอะทั้ง ชา กาแฟ โกโก้ มีครบถ้วน ถ้าชอบเข้มๆ ให้สั่ง กาแฟเวียดนาม (40-50 บาท) ใส่นมข้นหวาน มีทั้งร้อนและเย็น และอีกเมนูที่คนสั่งเยอะคือ น้ำส้มคั้นผสม (40 บาท)

ขนมปังยัดไส้
ขนมปังยัดไส้
กาแฟเวียดนาม

ร้านเลิศรสไข่กระทะเปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงเที่ยงทุกวัน ถ้ามีคนนั่งต่อก็อาจจะขายถึงบ่ายโมงด้วย นี่คือร้านยอดนิยมของคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว อาจจะต้องเล่นเก้าอี้ดนตรีรอคิวหน่อยนะจ๊ะ แต่ที่นี่บริการรวดเร็วทันใจดีมาก

อีกเจ้าเป็นร้านส้มตำบ้านๆ เล็กๆ ประเภทยายทำคนเดียว อยู่ในตรอกซอกซอยใจกลางเมือง ถ้าไม่มีคนพื้นที่พามาไม่มีทางไปถูก ขายอยู่ใต้ถุนบ้านพักอาศัยใน เจริญเมืองซอย 5 ซึ่งเป็นซอยสั้นๆ แคบๆ ใกล้กับ โรงพยาบาลศูนย์สกลนคร ถ้าเป็นคนต่างถิ่นคงจะผ่านเลยไป โดยไม่ชายตามองแม้แต่น้อย หารู้ไม่ว่า นี่แหละคือ ร้านดังขวัญใจพยาบาลและคุณหมอ อีกทั้งชาวสกลนครเลยทีเดียว ร้านนี้มีชื่อว่า ส้มตำยายเรือง

ยายเรืองหรือนางเรืองจิตร วงศ์กาฬสินธุ์ อายุ 74 ปี ขายส้มตำคนเดียวเป็นหลักมานานกว่า 40 ปี โดยใช้ทุนตั้งต้นตอนเปิดร้านปีแรกแค่ 100 บาท อาศัยที่ว่าเป็นส้มตำที่แซ่บหลายสะใจ อีกทั้งยังทำสะอาด ใช้ปลาร้าต้มสุก จึงมีลูกค้าติดใจในรสมือของยายเรืองกันงอมแงม

ตำลาวใส่เม็ดกระถิน

ยายเรืองทำอาหารขายอยู่ไม่กี่อย่าง มีส้มตำเป็นตัวหลัก ขอแนะนำ ตำลาว ใส่ปลาร้าหอมๆ และเม็ดกระถิน ยิ่งกินยิ่งเผ็ดแซ่บหยุดไม่ได้ อีกทั้ง ตำซั่ว ใส่ขนมจีน ปลาร้า เม็ดกระถิน ผักชีฝรั่ง มะเขือส้มลูกเล็กๆ และใส่ผักกาดดองที่รสดีมาก ไม่เปรี้ยวจนเกินไป ทั้ง 2 อย่างนี้แค่จานละ 40 บาทเท่านั้น ส่วนผู้ที่ไม่กินปลาร้า ก็สั่งส้มตำใส่มะนาวแทน ทำแบบอีสานไม่ใช่ส้มตำไทย กินแล้วสดชื่นแซ่บไม่แพ้กัน

มีข้อควรระวังคือ ยายเรืองตำส้มตำใส่พริกแห้งกับพริกสดไม่ยั้ง ขนาดเราสั่งว่าไม่เผ็ดมากยังเผ็ดร้อนเหงื่อไหลชุ่มโชกตลอดเวลา แต่ยิ่งกินยิ่งหยุดไม่ได้

ให้แกล้มด้วย หมูยอ (12 บาท) กับของดีหากินยากในเมืองกรุง ไข่ข้าว (5 บาท) คือไข่ที่ผสมแล้ว รสชาติหอมมันมาก ซึ่งของที่ร้านยายเรืองยังเป็นชนิดไม่ฟักเป็นตัว

นอกจากนี้ ก็มีแกงพื้นบ้าน เช่น แกงหน่อไม้ น้ำข้นคลั่กด้วย ข้าวเบือ คือ ข้าวสารที่เป็นข้าวเหนียวแช่น้ำทิ้งไว้ แล้วตำในครกจนละเอียด แกงหน่อไม้นี้รสจัดมาก ใส่ทั้งฟักทอง ข้าวโพดอ่อน ใบอีตู่หรือใบแมงลัก เห็ดหูหนู ปรุงด้วยน้ำปลาร้า และน้ำใบย่านาง อร่อยอย่าบอกใคร

แกงอีกอย่างคือ แกงหอยขม ใส่หอยขม ใบชะพลู ปรุงด้วยน้ำปลาร้า และน้ำใบย่านาง เช่นกัน ดูสีดำๆ เข้มๆ อมเขียวไม่น่ากิน แต่รสชาติสุดยอด แล้วก็มี ขนมจีนน้ำยา อีกอย่างหนึ่งด้วย

จะเห็นได้ว่ายายเรืองขายไม่กี่อย่างแค่นี้ก็มัดใจคนกินได้แล้ว ใครอยากตามมาชิม ขอเตือนว่าร้านนี้ขายดีและหมดเร็วมาก เวลาเปิด-ปิดก็ไม่แน่นอน ควรมาตั้งแต่ช่วงเปิดร้านประมาณ 11 โมงเช้า บางวันแค่บ่ายโมงก็หมดแล้ว บางวันก็ขายถึงบ่าย 4 โมง ขายหมดก่อนก็ปิดร้านก่อน โทรสอบถามยายเรืองได้ที่ 0-4271-4092 นะจ๊ะ

เดี๋ยวคราวหน้ายังมีของดีสกลนครมาบอกต่ออีก โปรดอดใจอีกไม่นานเกินรอนะจ๊ะ

แกงหน่อไม้ข้นๆ
แกงหอยขม
แกงหอยขม
ขนมจีนน้ำยา
ข้าวเปียกเส้นปลากะพง
ข้าวเปียกเส้นปลากะพง

ส้มตำยายเรือง

โดยนางเรืองจิตร วงศ์กาฬสินธุ์

ที่ตั้ง 1095 เจริญเมืองซอย 5 ถนนเจริญเมือง ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร 47000

โทร 0-4271-4092

เปิดบริการ เปิด-ปิดไม่แน่นอน โดยมากจะเปิด 11.00 – 13.00 น. ทุกวัน

แนะนำ ตำลาว ตำซั่ว หมูยอ ไข่ข้าว แกงหน่อไม้ แกงหอยขม

_________________________________________________

เลิศรสไข่กระทะ

โดยคุณแก้วมณี (พี่น้อย) ชัยมุงคุณ

ที่ตั้ง 620/2 ถ.สุขเกษม ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร 47000

โทร 0-4271-3949, 08-7149-3171

เปิดบริการ 06.00-12.00 น. ทุกวัน

หยุด หลังเทศกาลตรุษจีน

แนะนำ ไข่กระทะ ขนมปังยัดไส้ ขนมปังเนยน้ำตาล ข้าวเปียกเส้นหมู ข้าวเปียกเส้นปลากะพง

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก

ร้านที่ปิ่นโตเถาเล็กจะแนะนำในครั้งนี้ ผมเคยตามรอยพ่อไปชิมและนำเสนอในพ็อคเก็ตบุ๊ก กินอร่อยตามรอยถนัดศรี เมื่อเกือบ 20 ปีมาแล้ว สมควรแก่เวลาที่จะนำมาทบทวนใหม่อีกครั้ง

ภัตตาคารแต้จิ๋วแห่งนี้ถือเป็นร้านเชลล์ชวนชิมรุ่นแรกในตำนานเก่าแก่ลำดับที่ 5 นับตั้งแต่คุณชายถนัดศรีเริ่มแนะนำในปี 2504 ทีเดียว ร้านนี้มีชื่อว่า ตั้งจั๊วหลี เปิดมานาน 80 ปี 3 ชั่วอายุคนแล้ว

แต่ก่อนร้านนี้อยู่ริมคลองผดุงกรุงเกษม ย่านหัวลำโพง ต่อมาจึงขยับเข้าไปด้านใน ริมถนนข้าวหลามฝั่งขวา (เดินรถทางเดียว) ตรงข้ามซอยสุกร 1 มาบัดนี้ตั้งจั๊วหลีมีตึกเป็นของตัวเอง ไม่ต้องเช่าแล้ว

จุดสังเกตคือด้านหน้ามีป้ายชื่อร้านตั้งจั๊วหลี สีทองบนพื้นแดงขนาดใหญ่ คู่กับรูปหม้อไฟ ซึ่งถ้านำรถมา และไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วน สามารถจอดริมทางฝั่งหน้าร้านได้ หรือจะวิ่งต่อไปอีกหน่อยพอถึงสี่แยกไม่ต้องข้ามสะพาน ให้เลี้ยวขวาวิ่งเลียบคลอง แล้วเลี้ยวขวาอีกทีเข้า ซอยเจริญกรุง 29 แล้วจอดที่ตึกจอดรถในซอยทางซ้ายมือได้ จากนั้นเดินทะลุตรอกคนเดิน ตรงข้ามตึกไปออกถนนข้าวหลามได้เลย

ร้านตั้งจั๊วหลียุคนี้ด้านหน้ากว้าง 2 คูหา ด้านหลังขยายเป็น 3 คูหา มีที่นั่งชั้นสองอีกด้วย รวมแล้วจุได้ถึง 250 คน ติดเครื่องปรับอากาศทั้งชั้น ปัจจุบันนี้คุณนิด อิสิวัฏและน้องชายซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ช่วยคุณแม่กนกพร (ในวัย 80 ปี) ดูแลร้านด้วย

ตั้งจั๊วหลีมีเมนูในตำนานหลายอย่างที่เวลาไปใครๆ ก็ต้องสั่ง ซึ่งพอปิ่นโตเถาเล็กกลับมาทบทวนซ้ำ รู้สึกว่ายิ่งอร่อยเพิ่มขึ้นไปอีก คงจะเป็นเพราะเขาปรับรสชาติให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ตามรสนิยมของคนรุ่นใหม่

โดยชื่อหน้าร้านเขียนไว้ด้วยว่าหัวปลาเจ้าเก่า ดังนั้น ถ้ามาตั้งจั๊วหลีแล้วไม่ได้ชิม หัวปลาหม้อไฟ เหมือนมาไม่ถึงร้านนะจ๊ะ จากเมนูดั้งเดิม หัวปลาหม้อไฟผักกาดขาว ในภายหลังได้เพิ่มมาอีก 3 สูตร คือ หัวปลาเผือก หัวปลาต้มยำ และ หัวปลาบ๊วยขิง (หม้อละ 350-450-550 บาท) ปลาจีนที่ใช้เป็น ปลาซ่งฮื้อ มีทั้งส่วนที่เป็นเนื้อๆ และส่วนหัวแบ่งเป็นชิ้นๆ ยาวๆ เต็มหม้อไฟ นักชิมชื่นชอบยิ่งนักเพราะได้แทะเพลิน ถึงจะเป็นปลาน้ำจืดก็ไม่มีกลิ่นคาวกลิ่นโคลนเลย จิ้มกับน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวและน้ำจิ้มซีฟู้ด อร่อยเหาะสุดยอด

ส่วนน้ำซุปทำจากน้ำต้มกระดูกหมูหอมหวานมีรสมีชาติ ซึ่งสูตรที่ขายดีอันดับหนึ่งคือ หัวปลาเผือก ใส่เผือกทอดลงไปด้วยในปริมาณพอเหมาะ ไม่เยอะจนเกินไปเหมือนร้านสมัยใหม่บางร้าน เพราะเขาต้องการเน้นให้หัวปลาคือพระเอก

ถ้าอยากได้รสชาติเบาๆ ให้สั่งสูตรผักกาดขาวดั้งเดิมเพราะใส่ผักลงไปเยอะ โดยทั้งหัวปลาเผือกและหัวปลาผักกาดขาว สามารถสั่งเครื่องเคียงมาเพิ่มได้ต่างหากเช่น ปวยเล้ง เห็ดหอม ใบตั้งโอ๋ (มีปีละ 4 เดือน) แต่จะไม่เหมาะกับสูตรต้มยำและบ๊วยขิง เพราะต้องการให้ชิมกับน้ำซุปรสจัดๆ มากกว่า

อีกอย่างที่ชอบมากคือร้านนี้ยังใส่ถ่านลุกแดงตรงกลางหม้อไฟสำหรับให้ความร้อน ไม่ได้ใช้แอลกอฮอล์ จึงไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์

ใครที่มากับเด็กเล็กและกลัวก้างปลาจีนที่มีเยอะหน่อย ก็สามารถสั่งหัวปลาเก๋าทะเลหม้อไฟ (700-1,400 บาท) หรือหัวปลากะพงหม้อไฟ (500-1,000 บาท) แทนได้

ผัดโป๊ยเซียน
ผัดโป๊ยเซียน
ผัดหมี่แห้งฮ่องกง
ไส้หมูทอด
ไส้หมูทอด

ของอร่อยดั้งเดิมอีกอย่างเป็นเมนูที่หากินได้ยาก คือ ปลาดิบของจีนหรือฮื่อแซ (200-300-400 บาท) ใช้ปลาเฉาฮื้อ เนื้อสีขาวอมชมพูแล่ชิ้นบางๆ จัดเรียงเต็มจาน เนื้อปลาสดไม่มีกลิ่นเลย โรยด้วยงาคั่ว กินคู่กับผักขึ้นฉ่าย แตงกวา ไชเท้า ผักกาดหอม สับปะรด และหัวไชโป๊หั่นฝอย จิ้มด้วยน้ำจิ้มบ้วยเจี่ยใส่ถั่วตัดผสมกับงา น้ำตาล น้ำบ๊วย มีรสหวานอมเปรี้ยว ใครกินของดิบได้ขอให้ลอง

เมนูเก่าแก่อื่นๆ มี ไส้หมูทอดกรอบๆ (200-400 บาท) ใครชอบเครื่องในคงจะถูกใจเป็นแน่ นอกจากนี้ยังมี ออส่วน (200-300-400 บาท) ใช้หอยนางรมตัวค่อนข้างใหญ่ สดอร่อยมากๆ

ต่อด้วยของกินเล่น แฮ่จ๊อ (150-300-450 บาท) ซึ่งต่างจากฮ่อยจ๊อ เพราะทำจากกุ้งผสมมันหมู แห้วและเห็ดหอมแทนที่จะเป็นปู อีกอย่างที่ผมชอบมากๆ คือ ผัดโป๊ยเซียน (250-350-450 บาท) ใส่เครื่องหลากหลายทั้ง เอ็นหมู กุ้ง หมึก ตีนเป็ด ไส้ตัน แมงกะพรุน ถั่วงอก ขึ้นฉ่าย จานนี้ห้ามพลาดเลย ตบท้ายด้วยของอร่อยสุดสุด หมี่ผัดแห้งฮ่องกง (150-250-350 บาท) หมี่เหลืองผัดแห้งใส่ไก่กับกุยช่ายขาว ปรุงด้วยเหล้าจีนหอมๆ ผัดให้เส้นไหม้นิดๆ หอมๆ เวลากินให้ปรุงด้วยจิ๊กโฉ่เปรี้ยวหอมด้วย

ฮื่อแซ

ส่วนของหวานนั้นต้องลองชิม กะลอจี๊ ร้อนๆ ขนมชนิดนี้หากินที่อื่นได้ยาก กินเพลินหยุดไม่ได้ เป็นกะลอจี๊ชนิดต้ม ซื้อกลับบ้านเก็บได้นาน 3 วัน เวลากินให้เอาออกจากตู้เย็นมาใส่เตาไมโครเวฟอีกครั้ง

เมนูโต๊ะจีนอื่นๆ ยังมีอีกมากทั้งเป๋าฮื้อ ขาห่าน กุ้งอบวุ้นเส้น แพะเย็น โหงวก๊วย ร้านในตำนานอย่างนี้เหมาะสำหรับมากินเลี้ยงกันเป็นหมู่คณะ รับรองติดใจไปตามๆ กัน

ลืมบอกอีกอย่างว่าร้านนี้ยังเหมือนเดิม รับแต่เงินสดนะจ๊ะ ใครเป็นเจ้าภาพอย่าลืมพกสตางค์มาด้วยล่ะ

ข้อมูลร้าน

ภัตตาคารตั้งจั๊วหลี

โดย คุณกนกพร ทีปะนาถ

ที่ตั้ง 2214 ถนนข้าวหลาม ตลาดน้อย สัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ 10100

โทร 0-2236-4873, 0-2233-5963, 0-2639-0355

เปิดบริการ 11.00-14.00 น.

และ 17.00-22.00 น. จันทร์-ศุกร์

11.00-22.00 น. (เสาร์-อาทิตย์)

วันหยุด หลังเทศกาลตรุษจีนและสารทจีนอย่างละวัน และต้นเดือน พ.ค. (ไม่เกิน 1 อาทิตย์)

แนะนำ หัวปลาจีนหม้อไฟ (มีหลายสูตร) ฮื่อแซ ไส้หมูทอด ออส่วน แฮ่จ๊อ ผัดโป๊ยเซียน หมี่ผัดแห้งฮ่องกง กะลอจี๊

หมายเหตุ จอดรถในตึกจอดรถ ซอยเจริญกรุง 29 สะดวกที่สุด

กะลอจี๊
กะลอจี๊
ออส่วน
แฮ่จ๊อ
แฮ่จ๊อ
1
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
เชฟเซฟและเชฟเต้า

ไม่พูดพร่ำทำเพลง ปิ่นโตเถาเล็กสุดแสนประทับใจ ขอแนะนำร้านอาหารเทรนด์ใหม่เข้ากับสมัยนิยม มีชื่อว่า ราก (Rark) ร้านนี้มีเชฟทำกันแค่ 2 คนเท่านั้น ทั้งรับจองโต๊ะ จ่ายตลาด ทำอาหาร คิดเงิน เปิดเฉพาะมื้อเย็นวันละ 2 รอบ คือรอบ 6 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม และรอบ 2 ทุ่มถึง 4 ทุ่ม และรับแค่ รอบละไม่เกิน 10 คนเท่านั้น

ลักษณะการทำเป็นแบบ เชฟเทเบิ้ล คือ คนกินได้นั่งใกล้ชิดหน้าครัว มองเชฟปรุงอาหารไปด้วย คุยกันไปด้วย เหมือนกินที่บ้านเพื่อนเลยทีเดียว เชฟน่ารักอบอุ่นเป็นกันเองดีมาก

ร้านรากเป็นของเชฟหนุ่มอายุ 30 ต้นๆ น้องใหม่ไฟแรง 2 คน คือ เชฟเซฟ ทรงพล บารมีอนันต์ กับ เชฟเต้า กวี จำปานคร ปิ่นโตเถาเล็กไม่ได้ดัดจริตเรียกเชฟหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าทั้ง 2 คนเคยเป็นลูกมือทำอยู่ที่ร้านแนวหน้าระดับ 2 ดาวมิชลินของไทยชื่อ Mezzaluna สมัยที่เชฟฝาแฝดตระกูลซูริ่ง (S†hring) ชื่อก้องโลกเป็นหัวหน้าใหญ่ จากนั้นก็ไปทำที่อื่นอีก 3 ปี จนในที่สุดมาเปิดร้านรากด้วยกัน

แต่ช้าก่อน มาร้านนี้มีสตางค์ก็อาจจะไม่ได้กินทันที เพราะถึงแม้ว่าจะเปิดมาเพียง 3-4 เดือน (เริ่มมีนาคม 2562) แต่ตอนนี้ คิวจองเต็มไปถึงปลายเดือนกันยายน แล้วจ้า

แฟนๆ คงสนใจใคร่รู้ว่าจองอย่างไร วิธีการง่ายๆ คือต้องจองผ่าน Line: @rakthai สถานเดียวเท่านั้น พอเรา add ไลน์ จะมีตอบรับอัตโนมัติ บอกทั้งวิธีการจอง เมนู แผนที่ทางไปครบถ้วน แต่ตอนนี้ยังไม่เปิดให้จอง เราต้องคอยตาม

ดูใน อินสตาแกรม rarkthai และ เฟซบุ๊ก RARK Authentic Thai Cuisine ก็เพราะว่า กลางเดือนกรกฎาคมนี้ ร้านรากจะเปิดจองคิวเดือนตุลาคม แล้ว ถึงเวลาให้รีบวิ่ง 4×100 บอกในไลน์เลยว่าอยากไปรอบไหนวันไหน (จองได้ 2-10 คน) ขอให้โชคดีทุกท่านนะจ๊ะ

ร้านรากอยู่ริม ถนนยานนาวา เลี้ยวจาก ถนนพระราม 3 ตรงสามแยกใกล้ ธ.กรุงศรีอยุธยา เข้ามาเพียง 300 เมตรก็ถึงแล้วอยู่ทางซ้ายมือ จอดรถในโครงการ หูกระจงคาเฟ่ (ถ้ามาก่อนเวลาให้นั่งชิมกาแฟในร้านนี้ก่อน) ตัวร้านเป็นห้องเล็กๆ ชั้นเดียวเหมือนกินในครัวที่บ้านเลย

เขามีลูกเล่นว่าถ้าคนที่จองโต๊ะเป็นผู้หญิงก็จะมีตุ๊กตานางรำประดับที่โต๊ะ ถ้าเป็นผู้ชายจองก็เปลี่ยนตุ๊กตาผู้ชายแทน น่าเอ็นดูซะนี่กระไร

เมนูร้านรากคิดมาจากของกินอร่อยที่บ้านในวัยเด็ก อีกทั้งเมนูพื้นบ้านที่ทำขึ้นมาใหม่อย่างมีหลักการ เซฟกับเต้าบอกเราว่าเขาศึกษาจากตำราฝรั่งด้วย มีทั้งคัมภีร์เรื่องรสชาติหรือเฟลเวอร์ ว่าวัตถุดิบอะไรรสชาติเข้ากันได้ และหนังสือเจาะลึกถึงผักในโลกนี้ว่าอะไรเข้าพวก อะไรไม่เข้าพวก

ถ้าแฟนๆ จองคิวได้แล้ว ก่อนมา 2-3 วัน ต้องสั่งอาหารล่วงหน้า ทางไลน์ ดูในไลน์มีอยู่ 20 กว่าอย่างเท่านั้น ถ้ามา 10 คน ขอแนะนำว่าให้สั่งอย่างละ 2 จานนะจ๊ะ

ตอนกลางคืนหลังเลิกร้าน เชฟเต้าจะไปจ่ายตลาดที่คลองเตย ส่วนเชฟเซฟไปอีกตลาดตอนเช้า จ่ายของเท่าที่ลูกค้าสั่งล่วงหน้า สั่งเพิ่มตอนกินไม่ได้ และห้ามสั่งกลับบ้าน แต่ถ้ากินไม่หมดห่อกลับได้ และไม่อนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใดๆ ทั้งสิ้น

ขอสาธยายเมนูที่ชื่นชอบมากๆ เริ่มจาก หมูสะเต๊ะเยาวภา (190 บาท) หมายถึง เชฟเรียนรู้จากหนังสือตำรับสายเยาวภา ของสายปัญญาสมาคม หมูสะเต๊ะนุ่มๆ หอมผงกะหรี่ ทีเด็ดอยู่ที่ตำรับนี้มีสูตรน้ำจิ้มคล้ายอาจาด ทำจากผลแอปเปิลเขียวใส่น้ำตาล น้ำส้ม เกลือ ได้เคี้ยวแอปเปิลหนึบหอมมาก ซึ่งยังมีอีกเมนูที่จิ้มน้ำจิ้มนี้ด้วยคือ ขนมปังหน้าหมูชุบไข่ทอด (130 บาท) ที่เอาขนมปังไปตากจนแห้งแล้วย่างเพื่อไม่ให้อมน้ำมันเวลาทอด

อาหารจานพล่าร้านนี้อร่อยเหาะที่สุด มีทั้ง พล่าปลาทรายแดงใส่มังคุด (295 บาท) ทอดกินได้ทั้งเกล็ดกรอบนอกนุ่มใน พล่าถึงเครื่องเผ็ดใช้ได้เลย ราดกะทิ โรยมะพร้าวคั่วหอมๆ เข้ากันดีกับมังคุดหวานอมเปรี้ยว น่าเสียดายว่าหน้ามังคุดกำลังจะหมดแล้ว อีกพล่าหนึ่งที่ห้ามพลาดคือ พล่ากะปิหมูหวาน (195 บาท) ทำจากหมูสามชั้น เข้ากันดีกับเครื่องพล่ารสเข้ม ใส่กากหมูและโรยเม็ดกระถินให้อีกด้วย สุดยอดจริงๆ

 

หมูสะเต๊ะเยาวภา
หมูสะเต๊ะเยาวภา
ก้อยกุ้ง
พล่ากะปิหมูหวาน
พล่ากะปิหมูหวาน

ถ้ากินเผ็ดและกินดิบได้ต้องสั่ง ก้อยกุ้ง (250 บาท) ทำจากกุ้งขาวสดๆ แช่น้ำเกลือ ซับให้แห้ง เวลากินเนื้อกุ้งเด้งมาก และหอมข้าวคั่ว แกล้มด้วยใบมะตูมแขกกับผักกระโดนรสฝาดนิดๆ อีกอย่างเผ็ดร้อนแรงคือ แสร้งว่ากะเพรา (210 บาท) หมูสับผัดกับใบยี่หร่าและโหระพาแทนกะเพรา ใส่พริกแห้งเผ็ดวาบๆ ผัดมาแห้งๆ แต่ไม่แห้งเพราะเน้นหมูสับติดมัน ควรสั่ง ไข่เจียว (ใส่หอมแดง) (85 บาท) มาแก้เผ็ดด้วย กินกับข้าวสวยร้อนๆ มีให้เต็มหม้อใหญ่

นอกจากนี้ ยังมีเมนู ข้าวใหม่ปลามัน (120 บาท) เชฟใช้ข้าวหอมมะลิเชียงราย (เชฟเต้าเป็นคนเชียงราย) มียางหอมมากๆ คลุกกับปลาทูย่างเตาถ่าน แกล้มหอมแดง ต้นหอมและพริกขี้หนูซอย มีกากหมูให้ด้วย เวลากินให้บีบมะนาวแล้วคลุก เขาจะเอาไฟพ่นเผาใบตองที่ใช้รองข้าวให้หอมอีกต่างหาก

ส่วนเมนูแกง เราสั่ง แกงเผ็ดเป็ดย่างใส่ลิ้นจี่ (310 บาท) และมะเขือเทศลูกเล็กๆ ร้านนี้ไม่ว่าสั่งแกงอะไร จะตำเครื่องแกงสดๆ วันนั้นเลย

มีอีกอย่างที่เชฟเซฟนำมาจากความทรงจำที่คุณย่า (เชื้อสายลาวโซ่ง) ทำให้กินตอนเด็กก็คือ ยำวุ้นเส้นโบราณ (160 บาท) ใส่หอมแดง ถั่วลิสง กระเทียมเจียว โรยหน้าด้วยกุ้งแห้งทอดกรอบๆ เต็มจาน

ยังมีของกินในคืนนั้นอีกเยอะมาก ทั้ง หมูปั้นรากบัวทอด (195 บาท) ทำเป็นก้อนๆ เนื้อเหนียวหนึบดี หมึกคั่วพริกเกลือ (250 บาท) กุ้งทอดกระเทียม (380 บาท) ใช้กุ้งแม่น้ำตัวเล็กสดๆ มีน้ำราดใส่น้ำตาลกับมะขามเปียกรสออกหวานอมเปรี้ยวด้วย อีกทั้ง ต้มจิ๋วกุ้งสมุนไพรย่าง (260 บาท) ที่เผาเปลือกกุ้งและสมุนไพรต่างๆ ให้หอมก่อนทำน้ำซุป

ปิดท้ายด้วยขนมเมนูดัง ข้าวเม่าน้ำกะทิ (130 บาท) ซึ่งจะมีตามฤดูกาลช่วงข้าวเริ่มออกรวงเท่านั้น ข้าวเม่าเขียวจากอุดรฯหนึบหอมเข้ากันดีกับกล้วยไข่มาก

ยังมีของดีอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ลอง เช่น แกงส้ม 1 คืน ตำรับไม่เหมือนใคร ทำทิ้งไว้ 1 คืนก่อนเสิร์ฟ ยำรากชู หรือ หอมชู เมนูของชาวเขาเชียงรายใช้ส่วนราก ที่เชฟเต้านำมาประยุกต์เข้ากับน้ำพริกขี้กาของคุณย่าเชฟเซฟ และ ยำไก่ย่างถ่านใส่ชมพู่ เมนูใหม่อีกอย่าง

เอาเป็นว่าให้ตั้งหน้าตั้งตารอเปิดจอง แข่งกับปิ่นโตเถาเล็ก และถ้าได้ไปชิม อย่าลืมพกเงินสดไปด้วย เพราะเขาไม่รับบัตรเครดิต ขอให้โชคดีจองได้ทุกคนนะจ๊ะ

แกงเผ็ดเป็ดย่างลิ้นจี่

ราก

โดย เชฟทรงพล (เซฟ) บารมีอนันต์ เชฟกวี (เต้า) จำปานคร

ที่ตั้ง 999/35 ถนนยานนาวา ช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพฯ 10120 โทร 09-8253-4317

เปิดบริการ วันละ 2 รอบๆ ละ 10 คน 18.00-20.00 น. และ 20.00-22.00 น. อังคาร-อาทิตย์ ต้องจองผ่าน Line id : @rarkthai เท่านั้น

หยุด วันจันทร์ แนะนำ เชฟเทเบิ้ล เมนู 20 กว่าอย่าง เมื่อได้คิวแล้วต้องสั่งอาหารล่วงหน้าเท่านั้น

หมายเหตุ จอดรถในโครงการหูกระจงคาเฟ่

ต้มจิ๋วกุ้งสมุนไพรย่าง
ปลาหมึกคั่วเกลือ
ปลาหมึกคั่วเกลือ
ยำวุ้นเส้นโบราณ
02Rark
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
ลิ้นวัวญี่ปุ่น

ปิ่นโตเถาเล็กเพิ่งกลับจาก ประเทศมาเลเซีย บ้านใกล้เรือนเคียง รู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก เพราะเดี๋ยวนี้มาเลเซียมีของอร่อยให้ลิ้มลองมากมายหลากหลายสัญชาติอย่างน่ามหัศจรรย์

เมื่อสิบกว่าปีก่อน บ้านเมืองเขาไม่ค่อยมีศูนย์การค้าใหญ่ๆ ให้เดินเล่นมากนัก แต่เดี๋ยวนี้น่ะหรือ ปีนังและโดยเฉพาะอย่างยิ่งกัวลาลัมเปอร์เต็มไปด้วยศูนย์การค้ามหึมา เข้าห้างนี้ไปต่อห้างโน้นได้ทั้งวันไม่เบื่อ

ยิ่งอาหารการกินมีให้เลือกตั้งแต่ถูกจนแพงเลย ทั้งตลาดโต้รุ่งที่เรียกว่า Hawker Center ทั่วทุกมุมเมือง ไปจนถึงร้านอาหาร Fine Dining เลิศหรู อยากกินโอมากาเสะแบบญี่ปุ่น อาหารจีนขึ้นเหลา อาหารอิตาเลียน สเต๊กเฮาส์ชั้นดี มีให้เลือกทั้งนั้น

อาทิตย์นี้ปิ่นโตเถาเล็กมีร้านอร่อยในมาเลเซียมาปรนเปรอแฟนๆ ถึง 2 ร้านด้วยกัน ร้านแรกไม่นึกว่าจะมีของดีสัญชาตินี้อยู่ที่กัวลาลัมเปอร์ได้เลย เพราะเป็นอาหารสไตล์ฮ่องกง

ขอพาแฟนๆ มาที่ บังซาร์ (Bangsar) เขตที่พักอาศัยเก่าแก่ย่านชานเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ ห่างจากใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์เพียง 4 กิโลเมตร บริเวณนี้กำลังพัฒนากลายเป็นเมืองทันสมัยอย่างรวดเร็ว ทั้งตึกรามบ้านช่องและร้านรวง อีกทั้งยังเป็นแหล่งพักอาศัยของชาวต่างชาติซึ่งมาทำงานในกัวลาลัมเปอร์ด้วย

ย่านการค้าของบังซาร์ที่ฮอตฮิตติดอันดับได้รับความนิยมเรียกว่า Telawi เป็นทั้งแหล่งช้อปปิ้งกินดื่ม มีผับ คาเฟ่ ร้านบิสโตรทันสมัย และร้านอาหารเกิดใหม่มากมายหลากหลายสัญชาติ

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีร้านซึ่งปิ่นโตเถาเล็กชื่นชอบมากคือ ฮ่องกง ฮอตพอต (Hong Kong HotPot) ร้านสุกี้สไตล์ฮ่องกง ก็อยู่ในย่านบังซาร์นี้เอง ในอาคารเล็กๆ ชื่อว่า Telawi Square ตัวร้านแบ่งเป็น 2 ส่วน ตรงชั้นล่างซึ่งตั้งโต๊ะยื่นออกมาในระเบียงด้านนอกตึก และที่ต้องขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นสาม (ที่นี่เรียก Level 2) อีกต่างหาก (ส่วนชั้นสองเป็นร้านอื่นๆ เช่นร้านรับตัดเย็บเสื้อผ้า)

บรรยากาศในร้านเหมือนอยู่ที่ฮ่องกงเพราะมีการตั้งโต๊ะติดกันเป็นพืด ส่วนเราจองห้องส่วนตัวแต่ยังต้องเบียดเสียดกันหน่อยเพราะมากันถึง 9 คน จะสั่งอะไรให้จดในเมนูแผ่นกระดาษ มีช่องให้ใส่จำนวนจานที่ต้องการในแต่ละเมนูเลย (มีภาษาอังกฤษด้วย)

ในเมนูมีน้ำซุปให้เลือก 6 ชนิด ซึ่งเราสั่งน้ำซุป 2 ชนิดแบ่งครึ่งอยู่ในหม้อเดียวกัน มี น้ำซุปกระดูกหมู เรียกว่า Sakura Pork bone น้ำใสแต่รสชาติเข้มข้นมาก ส่วนอีกอย่างเราเลือก น้ำซุปเสฉวนใส่หมาล่า (Szechuan Spicy Soup) เผ็ดร้อนจนเหงื่อไหล

ของอร่อยมีมากมาย ทั้ง เนื้อยูเอสพรีเมียมมันแทรกเป็นริ้วลายหินอ่อน (ราคามี 2 ขนาด 58/98 ริงกิต (RM)) ลิ้นวัวญี่ปุ่น (38/74 RM) หมูเบิร์กเชอร์ (เป็นต้นตำรับหมูดำ) (16/29 RM) หมูซากุระพรีเมียม (15/25 RM) เนื้อแกะมองโกเลีย (35/58 RM) ลูกชิ้นหมึก (12/21 RM) เกี๊ยวกุ้ง (10/18 RM) ตับหมู (8/14 RM) ชิ้นหนาๆ โตๆ สดๆ

2
น้ำซุปกระดูกหมูกับน้ำซุปเสฉวนใส่หมาล่า
ผัดถั่วงอก
ผัดถั่วงอก

เนื้อปลาเก๋า (16/30 RM) ติดหนังชิ้นหนาและสดหนึบมาก กุ้งลายเสือ (19/35 RM) ตัวโตๆ ผักต่างๆ ชื่อแปลกๆ เช่น Yao Mak จะอ่านว่ายาวมากหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆ ซึ่งผักทุกชนิดสดกรอบจริงๆ และเรายังสั่ง เส้นอูด้ง เส้นบะหมี่กรอบ ฟองเต้าหู้ทอดเป็นแผ่นม้วนยาว (16/25 RM) เหมือนที่ฮ่องกง ส่วนน้ำจิ้มนั้นคือความสนุกสนาน ให้ผสมเอาเอง 7-8 อย่าง ปรุงเผ็ดมากเผ็ดน้อยได้ตามใจชอบ

มื้อนี้เราสั่งแล้วสั่งอีก พอกินเสร็จสั่งคิดเงินปรากฏว่าจ่ายแค่คนละประมาณ 700 บาทเท่านั้น นี่ถ้าไปกินที่ฮ่องกง ของดีขนาดนี้ต้องอย่างต่ำคนละกว่า 1,000 บาทแน่นอน นี่คือมหัศจรรย์ในมาเลเซียเลยทีเดียว ร้านฮ่องกง ฮอตพอตเปิดตั้งแต่บ่าย 4 โมง จนถึงดึกๆ ต้องจองล่วงหน้ามิฉะนั้นไม่มีโต๊ะแน่ (เพราะวันนั้นมีป้ายจองเต็มทุกโต๊ะเลย)

ร้านโปรดของปิ่นโตเถาเล็กอีกร้านหนึ่ง เข้าข่ายประเภทของดีประจำท้องถิ่น เหมือนซาลาเปาทับหลีที่ชุมพร นั่นก็คือ ข้าวมันไก่แห่งเมืองอิโปห์ (Ipoh) เมืองเอกของ รัฐเประ หรือเปรัก (Perak) ห่างจากกัวลาลัมเปอร์ประมาณ 200 กิโลเมตร ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง เมืองนี้อยู่ระหว่างทางไปปีนัง สามารถจัดเป็นทริปท่องเที่ยวเดียวกันได้ ที่นี่มีโถงถ้ำอันงดงามให้ดูชมหลายแห่ง

ใจกลางย่านเมืองเก่าอิโปห์ มีอยู่ถนนหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยร้านข้าวมันไก่ คนขับรถชาวมาเลย์ของเราเป็นคนช่างกิน พามาแวะที่ร้านดังระดับตำนาน เปิดมานานกว่า 60 ปี มีชื่อว่า Lou Wong เรียกได้เต็มๆ ว่า Restoran Lou Wong Tauge Ayam อยู่ในตึกแถวห้องหัวมุมขนาดใหญ่ แต่เราไปนั่งในตึกส่วนขยายเป็นห้องปรับอากาศ (อยู่ถัดจากร้าน Onn Kee) มีลูกค้าแน่นขนัดเลย

ฟองเต้าหู้ทอดเป็นม้วนๆจากฮ่องกง

เมนูดังร้าน Lou Wong ก็คือ ไก่ต้มสับติดกระดูก (11-21-33 (ครึ่งตัวกิน 3 คน)-43-53-66 (ทั้งตัว) RM) หนังบางสีเหลืองหอมมัน เนื้อสะโพกนุ่มหนึบ เนื้อหน้าอกนุ่มและชุ่มฉ่ำไม่แห้ง ราดน้ำซอสที่มีส่วนผสมของ น้ำมันงากับซีอิ๊ว รสอมหวาน อารมณ์คล้ายกินข้าวมันไก่สิงคโปร์ แต่มีน้ำราดที่ออกหวานหอมอร่อยมาก กินคู่กับ ข้าวมัน (2 RM) หรือ ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ (2 RM) ก็ได้

ชื่อร้านนี้เต็มๆ มีคำว่า Tauge หรือ เต้าเหย่ ในภาษามาเลย์ แปลว่าถั่วงอก เพราะที่นี่มีทีเด็ดคู่กับข้าวมันไก่คือ ผัดถั่วงอก (3-5-10-12-15 RM) ใหญ่อวบอ้วน ราดด้วยน้ำซีอิ๊วหอมหวานเช่นกัน ช่างเข้ากันดีเสียนี่กระไร วันนั้นผมซัดไก่สับไปคนเดียวเกือบครึ่งตัวเลย ทุกวันนี้ชาวคณะนักกินแหลกยังฝันถึงร้าน Lou Wong อยู่ตลอด

นอกจากนี้ ยังมี ไก่อบ หนังกรอบหอม สับติดกระดูกเช่นกัน เหมือนกินไก่อบ ร้านเลี้ยงฟ้าใหม่ สุราษฎร์ธานี ร้านโปรดของผม และก็มี ซุปลูกชิ้นปลากับลูกชิ้นเนื้อ ผัดผักกาดขาว ขาหมู กับเมนูอื่นๆ อีกหลายอย่างให้เลือก

พวกเราชาวคณะรวมถึงลูกเล็กเด็กแดงต่างตกลงกันว่าคราวหน้าจะต้องกลับมาเยือนอิโปห์กินข้าวมันไก่อีกให้ได้ ต่อให้นั่งรถมาจากกัวลาลัมเปอร์เพื่อมากินก็ยอม

มาเลเซียยังมีของดีให้ลิ้มลองอีกมาก รับรองว่าโอกาสหน้าจะมีร้านอร่อยแนะนำภาคสองต่ออีกแน่นอน

ฮ่องกง ฮอตพอต (Hong Kong HotPot) ที่ตั้ง Lot 9&10, Level 2, Telawi Square, no.39 Jalan Telawi 3, Bangsar Baru Kuala Lumpur, Malaysia 59100 โทร +60 12-320 6071 เปิดบริการ 16.00-24.00 น. ทุกวัน

แนะนำ ฮอตพอตหรือสุกี้สไตล์ฮ่องกง Lou Wong (Restoran Lou Wong Tauge Ayam) ที่ตั้ง 49, Jalan Yau Tet Shin, 30000 Ipoh, Perak, Malaysia โทร +60 5-254 4199 เปิดบริการ 10.30-24.00 น. ทุกวัน แนะนำ ข้าวมันไก่กับผัดถั่วงอก ราดซอสน้ำมันซีอิ๊ว (กินกับเส้นก๋วยเตี๋ยวได้)

ที่มา     อาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน

ผู้เขียน ปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)

ไก่ต้มสับติดกระดูกราดน้ำซีอิ๊วหอมหวาน
ร้านLou Wong
ร้านLou Wong

โดย ปิ่นโตเถาเล็ก / มติชน

ปิ่นโตเถาเล็กไม่ได้มาตรังหลายปี จึงตกหล่นไปอยู่หลังเขา ไม่รู้เลยว่าตอนนี้มีร้านขนมที่กำลังเป็นที่กล่าวขานในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย มาดูกันดีกว่าว่าคือเจ้าไหน

ปกติผมไม่ได้เป็นคนชอบเผือกมากเป็นชีวิตจิตใจ แต่พอได้ชิม “ขนมเปี๊ยะไส้เผือกหอมไข่เค็ม” ของ “ร้านขนมเปี๊ยะซอย 9” ร้านขนมเปี๊ยะที่โด่งดังปังที่สุดแห่งจังหวัดตรัง ก็เกิดอาการปลาบปลื้มยินดีเป็นอันมาก ไส้เผือกเนื้อซุยหอม ไข่เค็มหอมมันไม่เค็มมาก แป้งขนมเปี๊ยะกรอบหอมเป็นชั้นๆ อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา

ช่วงเทศกาล กำสตางค์มาซื้อก็อาจจะไม่ได้ลิ้มลอง เพราะมีขายจำนวนจำกัดวันต่อวัน บางครั้งอาจจะต้องจำกัดให้ซื้อขนมเปี๊ยะไส้เผือกหอมไข่เค็มได้เพียงคนละ 1-2 กล่องเท่านั้น

ร้านขนมเปี๊ยะซอย 9 ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นตึกแถวอยู่ใน “ซอย 9 ของถนนห้วยยอด” ใจกลางเมืองตรัง เริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2538 และเปิดร้านเมื่อปี 2540 เป็นเวลา 20 กว่าปีแล้ว ตอนนี้น้องเฟิร์น ลูกสาวของคุณเอมอร เอี่ยมศรี เป็นผู้ดูแลร้าน

น้องเฟิร์นบอกว่าขนมเปี๊ยะซอย 9 คือสูตรของคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งนำมาปรับให้แป้งขนมเปี๊ยะกรอบนาน เดี๋ยวนี้มีไส้ให้เลือกมากมาย

แน่นอนว่าไส้ที่ขึ้นชื่อมากที่สุดคือ ไส้เผือกหอมไข่เค็ม ใช้เผือกหอมลูกใหญ่ๆ จากราชบุรี เนื้อจึงจะซุยหอม ส่วนไข่เค็มใช้ไข่เป็ดของตรังนี่เอง เลี้ยงเป็ดให้อาหารด้วยหัวกุ้ง จึงมีความหอมมันและไม่เค็มถูกใจมาก

วิธีการทำนั้นจะหั่นเผือกเป็นชิ้นเล็กๆ และนำไปนึ่ง จากนั้นนำไปกวนกับน้ำเชื่อมและน้ำมันพืชในกระทะทองเหลือง ส่วนแป้งนั้นมี 2 ชั้น คือแป้งด้านนอกที่ผสมน้ำ หุ้มแป้งน้ำมัน (นวดแป้งกับน้ำมัน) ด้านใน คลึงและรีดให้เป็นแผ่น ม้วนให้เป็นชั้นๆ ตัดเป็นชิ้นๆ และรีดเป็นแผ่นเล็กๆ นำไปห่อไส้ แล้วจุ่มไข่ ชุบงาขาว ปั้นเป็นก้อนกลมๆ แล้วนำไปทอด

ขนมเปี๊ยะไส้เผือกหอมไข่เค็มนี้ควรรับประทานให้หมดภายใน 2 วัน แป้งจะได้ยังกรอบอยู่ ส่วนไส้อื่นๆ จะอยู่ได้ 3 วัน และถ้าแช่ตู้เย็นจะอยู่ได้นาน 1 อาทิตย์


ขนมเปี๊ยะไส้หมูย่างเมืองตรังกับไข่เค็ม


ขนมเปี๊ยะไส้หมูแดง

นอกจากนี้ยังมีไส้อื่นๆ อีกหลากหลาย มีไส้ใหม่ซึ่งทำมาได้ 2 ปีแล้ว คือ “ขนมเปี๊ยะไส้หมูย่างเมืองตรัง” ซึ่งจะแยกสถานที่ผลิตต่างหาก (เพราะไส้อื่นๆ มีตราฮาลาล) โดยจะรับหมูย่างมาคลุกเคล้ากับน้ำหมูย่างสูตรของทางร้าน นอกจากนี้ก็มี “ขนมเปี๊ยะไส้หมูแดง” ด้วย(ทั้ง 2 ไส้นี้ สนนราคากล่องละ 5 ชิ้น 125 บาท)


ขนมเปี๊ยะไส้มันม่วงไข่เค็ม

ส่วนไส้อื่นๆ มีไส้ถั่วแดงไข่เค็ม ไส้ชาเขียวไข่เค็ม ไส้ลูกบัวไข่เค็ม ไส้พุทราจีนไข่เค็ม อีกทั้ง “ไส้มันม่วงไข่เค็ม” ก็เป็นไส้ที่กำลังฮิต สนนราคา 1 กล่องมี 10 ชิ้น 120 บาท และก็มี ไส้งาดำไข่เค็ม (กล่องละ 170 บาท) และมี “ไส้ตามฤดูกาล” คือไส้ฟักทองไข่เค็ม (120 บาท) กับไส้ทุเรียนไข่เค็ม (กล่องละ 250 บาท) อีกอย่างที่ผมชิมแล้วถูกใจคือ “กะหรี่ปั๊บไส้ไก่” กินคู่กับอาจาดเข้ากันดี

นี่คือสาเหตุที่ว่าทำไมร้านขนมเปี๊ยะซอย 9 ถึงหัวกระไดไม่แห้ง มีคนมาอุดหนุนกันไม่ขาดสาย ร้านเปิดทุกวันตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น เวลามาที่ร้านอย่าลืมถอดรองเท้าก่อนเข้าร้านนะจ๊ะ ขอแนะว่าช่วงวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ควรโทรไปจองก่อนที่เบอร์ 0-7522-2734 หรือ 08-9474-6892 เพราะจะมีคนไปอุดหนุนกันเยอะ อีกทั้งช่วงเทศกาลท่องเที่ยว ควรรีบโทรจองหรือไปแต่เนิ่นๆ ตอนเช้า

ข่าวดีสำหรับชาวกรุงเทพฯ ขนมเปี๊ยะซอย 9 มีสาขาให้สั่งได้ในกรุงเทพฯแถวย่านทองหล่อด้วย (ร้านอยู่ตรงถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ท้ายซอยสุขุมวิท 55) โดยจะขาย “กล่องละ 150 บาท” โทรสอบถามได้ที่เบอร์ 08-1539-2968 ให้จองขนมล่วงหน้า 1 วัน และนัดแนะว่าจะไปรับที่ร้าน หรือให้มาส่งที่บ้านตามสะดวกได้เลย

อยากให้ลองชิมขนมเปี๊ยะซอย 9 สักครั้งหนึ่งในชีวิต รับรองว่าจะติดใจ กลายเป็นคนชอบเผือกเหมือนข้าพเจ้าแน่นอน ฮ่าฮ่าฮ่า

ขนมเปี๊ยะซอย 9

โดย คุณเอมอร เอี่ยมศรี

ที่ตั้ง 231/1 ซ.ห้วยยอด 9 ถ.ห้วยยอด ต.ทับเที่ยง อ.เมือง จ.ตรัง 92000

โทร 0-7522-2734, 08-9474-6892

เปิดบริการ 06.00-17.00 น. ทุกวัน

แนะนำ ขนมเปี๊ยะไส้เผือกหอมไข่เค็ม ไส้มันม่วงไข่เค็ม ไส้หมูย่างเมืองตรัง ไส้หมูแดง กะหรี่ปั๊บไส้ไก่ และไส้อื่นๆ (อร่อยทุกไส้)

หมายเหตุ มีสาขาที่กรุงเทพฯ (คิดกล่องละ 150 บาท) โทร 08-1539-2968

ร้านอยู่ตรงถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ท้ายซอยสุขุมวิท 55