ข้าวหน้าโทโร่รมควัน(Toro Ibushi Don)

อาทิตย์นี้คือของอร่อยดิลิเวอรีนานาชาติ เริ่มกันด้วยร้านพิซซ่าสไตล์อิตาเลียนแท้ๆ ที่ติดอันดับขายดีในกรุงเทพฯ Pizzeria Limoncello ใน ซอยสุขุมวิท 11 ขอเรียกชื่อร้านสั้นๆ ว่า ลิมอนเชลโล (หรือเลมอนเชลโล) อันหมายถึงเหล้าหลังอาหารรสมะนาว ซึ่งเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของสาวๆ

ที่ลิมอนเชลโลมีพิซซ่าแป้งบางกรอบสไตล์เมือง Napoli กับ Capri ประกอบด้วยพิซซ่าหน้าซอสมะเขือเทศให้เลือกหลายสิบรายการ มีทั้งเผ็ดและไม่เผ็ด เช่น พิซซ่ารสจัดหน้าไส้กรอกอิตาเลียนกับพริกสด ถัดมาเป็นไวต์พิซซ่า ซึ่งก็คือไม่ใส่ซอสมะเขือเทศอีกเกือบสิบรายการ

และยังมีพิซซ่าเมนูพิเศษที่โดนใจลูกค้าอีกนับสิบอย่าง ที่ไม่ควรพลาดคือเบอร์ 1 พิซซ่าลิมอนเชลโล (Limoncello) (482 บาท) หน้ามะเขือเทศ มอซซาเรลลาชีส แฮม เห็ดแชมปิญองสดจากนิวซีแลนด์ และกอร์กอนโซลา (Gorgonzola) ชีสที่ทำให้พิซซ่ามีกลิ่นและรสชาติเข้มข้น โรยหน้าด้วยใบร็อกเก็ต

ส่วนเบอร์ 2 คือพิซซ่าสุดโปรดของปิ่นโตเถาเล็ก พิซซ่าซานอตติ (Zanotti) (632 บาท) ตำรับเด็ดของคุณย่าของคุณซานอตติที่เพิ่มมาสคาร์โปเนชีสเข้าไปนอกเหนือจากมะเขือเทศและมอซซาเรลลาชีส ชีสตัวนี้ตามปกติเอาไว้ทำขนมทีรามิสุ ช่วยเพิ่มความมัน ความชุ่มฉ่ำให้พิซซ่าเป็นทวีคูณ โรยหน้าด้วยพาร์มาแฮมชั้นเลิศ ทำแบบวิธีดั้งเดิม หมักเกลือและตากลม (Air-Dried) ที่เมืองปาร์มาจริงๆ ซึ่งเป็นของ Cipriani เจ้าของ Harry’s Bar ชื่อดัง โดยนำเข้ามาในไทย อนุญาตให้ใช้เฉพาะเครือซานอตติเพียงหนึ่งเดียว

แต่หากเป็นทรัฟเฟิลเลิฟเวอร์ให้สั่งพิซซ่าเมนูพิเศษ แบล๊กทรัฟเฟิล (Black Truffle)(1,284 บาท) ที่ใส่ทั้งมอซซาเรลลาชีส มาสคาร์โปเนชีสเล็กน้อย ใส่ทรัฟเฟิลดำสไลซ์มาแบบไม่ยั้ง และเพิ่มความกลมกล่อมด้วยน้ำมันทรัฟเฟิล หอมเข้มอร่อยถึงใจ

ส่วนพาสต้านั้นมีให้เลือกอีกสิบกว่าเมนู ขอแนะนำ Spaghetti al Nero Di Seppia (632 บาท) สปาเกตตีหมึกดำ ที่รีดหมึกสดๆ และน้ำมาต้ม เคี่ยวกับสมุนไพรเพื่อดับกลิ่น แล้วนำมาผัดกับเส้นสปาเกตตีโฮมเมดกับน้ำมันมะกอก ใส่กุ้ง หมึก หอยแมลงภู่ หอยลาย และหอยตลับ ปากดำไม่ต้องเกรงใจใครเพราะอยู่ที่บ้านไม่มีใครเห็น และเมนูสลัดแนะนำ สลัดไส้กรอกอิตาเลียนย่าง (632 บาท) มีน้ำสลัดบัลซามิคเปรี้ยวหอมมาให้ด้วย

ยังมีเมนูอื่นๆ อีกมากมายให้สั่งเดลิเวอรีตั้งแต่ 10 โมงครึ่งถึง 4 ทุ่มครึ่ง ทุกวันทาง LINEMAN และ GRABFOOD ซึ่งมีโปรโมชั่นพิเศษด้วย ให้ระบุหรือใส่ รหัส INK ลงในช่องหมายเหตุหรือ remark เพื่อรับของแถม (เช่นขนมหวานหรือสลัด) จากที่ร้าน ถึง 30 เมษายนนี้

โทรสอบถามได้ที่ 0-2651-0707 หรือ 08-8851-0707

ร้านต่อมาเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น แต่ไม่ใช่ร้านญี่ปุ่นเมนูทั่วๆ ไป เพราะเชื่อว่าแฟนๆ สามารถสั่งได้เองอยู่แล้ว แต่นี่คือร้านข้าวหน้าปลาดิบและของทะเลต่างๆ (และมีเนื้อกับหมูสอดแทรกด้วย) ของญี่ปุ่น ชื่อว่า คิมูระด้ง (Kimura Don) อยู่ที่ ชั้น 4 สยามพารากอน ดูแลโดย เชฟโคจิ คิมูระ (Koji Kimura) เชฟซูชิชื่อดังระดับโลก ผู้ที่คว้ามิชลินสตาร์ 2 ดาว 5 ปีซ้อนให้กับร้าน ซูชิ คิมูระ (Sushi Kimura) ของเขาในกรุงโตเกียว

เชฟโคจิ คิมูระ คือเจ้าพ่อวงการอาหารซูชิด้วยการบ่มหมัก (Father of Aged Sushi) ในคอนเซ็ปต์ที่ว่าซูชิอร่อยที่สุดไม่ใช่ซูชิซึ่งเน้นความสดใหม่ของวัตถุดิบ แต่เป็นซูชิที่มีการบ่มหรือหมักเนื้อปลาต่างๆ จนดึงรสชาติความอร่อยของเนื้อปลาออกมาได้เต็มที่

พิซซ่าซานอตติ
แบล็กทรัฟเฟิล
คิมูระด้ง

ขอให้ลืมข้าวหน้าปลาดิบตามที่เห็นกันทั่วไปได้เลย เพราะเชฟคิมูระหมักหรือบ่มปลาจนมีรสมีชาติสุดยอดเป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งที่นี่จะใช้แต่วัตถุดิบของทะเลสดๆ จริงๆ (แน่นอนว่าราคาย่อมสูงกว่าเป็นธรรมดา) อย่างเช่นช่วงนี้ถ้าหาอูนิหรือไข่หอยเม่นสดๆ ไม่ได้ก็จะไม่เอาแบบแช่แข็งมาขายเป็นอันขาด อีกอย่างที่ชอบมากคือการปรุงข้าวญี่ปุ่นให้มีความหอมเปรี้ยวเล็กน้อยของน้ำส้มสายชู ทำให้กินแล้วไม่เลี่ยน บางเมนูก็จะใช้ข้าวญี่ปุ่นที่เป็นข้าวสวยหุงโดยไม่ปรุงเลย

เมนูต่างๆ จะเปลี่ยนไปตามวัตถุดิบที่มีในวันนั้น แนะว่าให้เข้าไปที่ อินสตาแกรม kimuradon ก่อนสั่งว่าวันนี้มีอะไรบ้าง แล้วให้โทรไปที่ 09-7056-9228 ตั้งแต่ 11 โมงเช้าถึง 1 ทุ่มครึ่ง

มาดูตัวอย่างกันว่ามีอะไรน่ากินบ้าง คนญี่ปุ่นชอบกินทูน่าหรือมากุโระกันมาก เริ่มกันด้วยเมนู เทกกะด้ง (Tekka Don) (750 บาท) คือข้าวหน้าทูน่าอกามิหมักโชยุ กินกับวาซาบิ และดอกโฮจิโสะ ถ้าชอบเปรี้ยวหอมนิดๆ เหมือนปิ่นโตเถาเล็กให้สั่ง อูเมะเทกกะด้ง (Ume Tekka Don) (890 บาท) ชอบมากเพราะเนื้อปลาทูน่าอกามิสับมีความเปรี้ยวหอมของบ๊วยญี่ปุ่น และให้ชิ้นท้องปลาทูน่าหรือชูโทโร (Chutoro) มันๆ อีกด้วย ต่อด้วย ข้าวหน้าปลาไหลทะเลอนาโกะ (Anago Don) (600 บาท) นุ่มที่สุดเท่าที่เคยกินมา (เมนูนี้ไม่ดิบนะจ๊ะ)

ข้าวหน้าปลาไหลทะเลอนาโกะ

ต่อด้วย ข้าวหน้าปลาแซลมอนรมควันหมักซอส (Salmon Ibushizuke Don) (285 บาท) กินกับวาซาบิ คนชอบแซลมอนต้องถูกใจมาก ข้าวหน้าโทโร่รมควัน (Toro Ibushi Don) (750 บาท) เป็นท้องปลาทูน่าส่วนชูโทโร่ (chutoro) รมควัน ใส่คาราชิ (karashi) หรือมัสตาร์ดญี่ปุ่นและใบโอบะ ข้าวหน้าปลาฮามาจิหมักซอส กับไข่แดงญี่ปุ่น (Hamachi Ran-O Don) (400 บาท) ข้าวหน้าปลาแซลมอนกับหมึก (Salmon Ika Don) (350 บาท) กินกับต้นหอมจิ๋วญี่ปุ่น

ส่วนเมนูอื่นๆ ที่ไม่ดิบก็มีด้วยเช่น อามาเอบิ ยานากาว่า (Ama Ebi Yanagawa) (325 บาท) ข้าวสวยญี่ปุ่นหน้ากุ้งหวานกับไข่สดญี่ปุ่น และต้นหอมขาวญี่ปุ่น (Shiro Negi) กับใบนิระ (Nira)

ถือว่าสัปดาห์นี้เป็นการเลี้ยงฉลองล่วงหน้าก่อนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติในอนาคตอันใกล้นะจ๊ะ

Pizzeria Limoncello
(ลิมอนเชลโล)

ที่ตั้ง 17 ซอยสุขุมวิท 11 เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110

บริการดิลิเวอรี 10.30-22.30 น.

โทร 0-2651-0707, 08-8851-0707

หรือสั่งทาง LINEMAN และ GRABFOOD ซึ่งมีโปรโมชั่นพิเศษด้วย ให้ระบุหรือใส่รหัส INK ลงในช่องหมายเหตุหรือ remark เพื่อรับของแถม (เช่นขนมหวานหรือสลัด) จากที่ร้าน ถึง 30 เมษายนนี้

แนะนำ พิซซ่าลิมอนเชลโล พิซซ่าซานอตติ พิซซ่า Black Truffle สปาเกตตีหมึกดำ (Spaghetti al Nero Di Seppia) สลัดไส้กรอกอิตาเลียนย่าง

Facebook : Pizzeria Limoncello

Kimura Don

ที่ตั้ง ชั้น 4 สยามพารากอน ถ.พระราม 1 ปทุมวัน กรุงเทพฯ

โทร 09-7056-9228

บริการดิลิเวอรี 11.00-19.30 น. ทุกวัน

แนะนำ ข้าวหน้าปลาดิบและของทะเลต่างๆ หมักหรือบ่มปลาจนมีรสมีชาติสุดยอดเป็นเอกลักษณ์

Instagram : kimuradon

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
Kimuradon
เชฟโคจิ คิมูระ
ข้าวหน้าปลาแซลมอนรมควันหมักซอส
อูเมะเทกกะด้ง
เป็ดย่าง

เดือนแห่งการดิลิเวอรีนี้ มาต่อกันด้วยร้านโปรดของครอบครัวเรา โตเป็ดย่าง เปิดขายมาตั้งแต่ปี 2524 เป็ดย่างหนังกรอบของโตเป็ดย่างอร่อยถึงขนาดเคยนำขึ้นเครื่องไปเสิร์ฟบนสายการบินแห่งชาติ ได้ตราเชลล์ชวนชิมมานานแล้ว

ตอนนี้คุณสน-สมประสงค์ กิ้มนวล ภรรยาของโตเป็นผู้ดูแลร้าน ซึ่งตัวร้านยังอยู่ใกล้ สี่แยกบางโพ ตรงถนนประชาราษฎร์สาย 1 ซอย 20 เข้าซอยไปนิดเดียวร้านอยู่ทางขวามือ

เมนูอร่อยของที่นี่นอกจากเป็ดย่าง หมูแดง หมูกรอบแล้ว กับข้าวตามสั่งประเภทขึ้นเหลาก็มีหลากหลาย คนผัดคือคุณน้อย น้องสะใภ้ของคุณสนซึ่งเป็นชาวจังหวัดตรัง ทำอาหารได้รสจัดเป็นที่สุด สลับมือกับตัวน้องสนเองซึ่งมีพรสวรรค์แต่กำเนิด เคยผัดข้าวห่ออาหารตามสั่งมานาน

ร้านโตเป็ดย่าง เปิดร้านไวมากแค่ 6 โมงเช้าถึง 2 ทุ่ม แต่ถ้าจะสั่งเป็ดย่างควรจะรีบตั้งแต่กลางวัน เพราะมักจะหมดก่อนอย่างอื่น

สูตรและวิธีการย่างเป็ดมาจากก๋งของสน แล้วโตนำมาปรับปรุงเพิ่มเติมจนลูกค้าติดใจไปตามๆ กัน โดยจะหมักเป็ดเชอรี่ยัดไส้ด้วยเครื่องเทศต่างๆ เช่น ผงพะโล้ พริกไทย และเหล้าขาวไว้ตอนบ่าย 3 โมง แล้วผึ่งพัดลมไว้ 1 คืน พอตี 5 ของวันรุ่งขึ้นก็นำไปแขวนย่างกลับด้านในเตาสเตนเลส คือด้านหน้าอกนาน 25 นาที ที่ย่างนานกว่าเพราะเนื้อแน่นกว่า และด้านหลังอีก 20 นาที รวมแล้วเป็ด 1 ตัวใช้เวลาย่าง 45 นาที

ก่อนอื่นราคาอาหารที่แจ้งนี้คือ ไปซื้อหรือสั่งที่หน้าร้าน ไม่ได้ผ่านระบบดิลิเวอรีของเจ้าต่างๆ ซึ่งจะมีราคาแตกต่างกัน

เป็ดสูตรนี้เนื้อนุ่ม หนังหอมหวนชวนกิน อร่อยทั้งเมนู เป็ดย่าง เปล่าๆ (จานละ 125 บาท ครึ่งตัว 250 บาท ตัวละ 500 บาท) และ เป็ดผัดกะเพรา (180 บาท) ยิ่งอร่อย ซึ่งเคล็ดลับอยู่ที่เขาใส่ใบมะกรูดและพริกเหลืองกับพริกขี้หนูสวนลงไปผัดด้วยเพื่อดับกลิ่นคาวและเพิ่มความหอม ซึ่งถ้าเป็ดหมดในแต่ละวัน ก็จะแจ้งไว้ในบริการส่งทั้งหลายเลยว่าหมดแล้ว สั่งไม่ได้

เมนู กับข้าวตามสั่งมีอีกหลายอย่าง ที่ห้ามพลาดก็คือ เนื้อปูผัดผงกะหรี่ (350 บาท) เนื้อปูสดเป็นก้อนๆ มาจากจังหวัดตรังของน้องสะใภ้ ผัดสูตรเด็ดใส่นมสดกับน้ำพริกเผาด้วย รสจัดหอมหวานอร่อยอย่าบอกใคร มาร้านโตเป็ดย่างแล้วไม่ได้ชิมปูผัดผงกะหรี่เหมือนมาไม่ถึงร้าน

ตามด้วย กระเพาะปลาผัดแห้ง (180 บาท) ใส่เห็ดหอม ถั่วงอก ต้นหอม และเนื้อปู กับ กระเพาะปลาน้ำแดง (150 บาท) นี่ก็ขาดไม่ได้เช่นกัน กระเพาะปลาแห้งนั้นซื้อแบบเป็นตัวจากเยาวราช นำไปทอดให้พอง แล้วแช่น้ำบีบเอาน้ำกับน้ำมันออก นำไปแช่ตู้เย็น ใครสั่งทำเมื่อไหร่ค่อยเอาออกมาปรุง ส่วนกระเพาะปลาน้ำแดงร้านนี้รสชาติกลมกล่อม อย่าลืมเติมน้ำส้มพริกตำกับจิ๊กโฉ่วเปรี้ยวๆ หอมๆ ลงไปด้วย

ต้มยำปลากะพงขาว (120-220 บาท) หากหน้าไหนมีตะลิงปลิงหรือมะดันเปรี้ยวๆ หอมๆ ก็จะใส่ด้วย และหมูกรอบที่นี่เลือกชิ้นที่มีมันแทรกเยอะๆ มาทำ ถึงจะกรอบ แล้วนำมาย่างด้วยเตาถ่าน 1 ครั้ง รุ่งขึ้นก็เอามาย่างซ้ำอีกรอบเพื่อให้น้ำมันออกจากหนังให้มากที่สุด หนังจะได้กรอบอร่อย (ขีดละ 70 บาท)

ซึ่งนอกจากจะสั่งที่ร้านตามเบอร์ 0-2912-6395 และ 0-2912-6380 แล้ว ยังสั่งทาง LINEMAN, WONGNAI, GET FOOD และ FOOD PANDA ได้ด้วย

เนื้อปูผัดผงกะหรี่
กระเพาะปลาน้ำแดง
ข้าวต้มปลา

โตเป็ดย่างยังมีอีกสาขาอยู่ที่เมืองทองธานี ถนนบอนด์สตรีท ญาติๆ กันเป็นคนดำเนินงาน โทร 0-2982-9904 และ 08-5065-6456 ด้วย

สำหรับใครที่อยู่บ้านนานๆ ต้องการชิมของอร่อยถูกปากแต่อยากคุมน้ำหนัก ขอแนะนำ ร้านข้าวต้มปลา by อุษณีย์ เจ้านี้ร้ายครบเครื่องทั้งน้ำ เนื้อ ข้าว และน้ำจิ้ม มีดีกรีห้อยท้ายว่า เจ้าเก่าสะพานเหลือง (ซึ่งปิดตัวกลายเป็นตำนานไปแล้ว หลังจากอยู่มานานครึ่งศตวรรษ) ฝีมือคนปรุงไม่ธรรมดา เพราะเป็นลูกมือช่วยพ่อทำตั้งแต่ยังเล็ก

ชื่อร้านก็บอกอยู่แล้วว่าเจ้าของร้านคือคุณอุษณีย์ ลิขิตยั่งยืน ลูกสาวของร้านข้าวต้มปลาสะพานเหลือง ซึ่งได้สืบทอดตำนาน ย้ายมาเปิดร้านข้าวต้มปลาในย่านเก่าแก่ดงร้านอาหารอร่อยเช่นกัน นาน 6 ปีแล้ว อยู่ในตึกแถว 1คูหาริมถนน ก่อนถึง ปากซอยยศเส ฝั่งถนนพลับพลาไชย เลยวัดเทพศิรินทร์มาไม่กี่ร้อยเมตร โดยร้านจะเปิดช่วงเย็น ตั้งแต่ 4 โมงเย็นไปจนถึง 3 ทุ่ม

ลวกจิ้มเครื่องในปลาใส่ราวท้องปลากะพง

เริ่มกันที่น้ำซุป น้ำต้มกระดูกหมูหม้อหนึ่งใส่กระดูกถึง 4-5 กิโล เคี่ยวนานตั้งแต่เช้า ตกตอนบ่ายๆจึงยกมาที่ร้านนี้ น้ำซุปจึงมีรสมีชาติหอมหวาน ไม่จืดชืด ส่วนข้าวก็เป็นองค์ประกอบสำคัญ ต้องเป็นเม็ดสวย ซึ่งต้องใช้ข้าวเก่ามาต้มจึงไม่เละ เคี้ยวได้อร่อย สั่งเป็นข้าวต้มหรือข้าวสวยกินกับเกาเหลาก็ดีทั้งคู่

และเครื่องนั้นมีหลากหลาย ซึ่งเนื้อปลาเน้นแต่ ปลากะพง ที่คัดมาเฉพาะปลากะพงทะเล ไม่ใช่ปลากะพงเลี้ยง ตัวหนึ่งหนักกว่า 12 กิโล เนื้อจึงแน่นหวานและมีหนังหนึบอร่อย ที่สำคัญคือผลพลอยได้ กระเพาะปลาสด ที่ใหญ่โตเคี้ยวได้เต็มคำ นำมาล้าง ขูดเมือก ทำความสะอาด ลวกและหั่นชิ้นโตๆ อร่อยจนไม่อยากกลืน นอกจากกระเพาะปลาแล้ว ยังได้ ตับปลา ที่เนื้อเนียนสดหอมอีกด้วย และหน้านี้ยังมีไข่ปลาอีกด้วย

ยังไม่หมดนะจ๊ะ มี หอยนางรม ปากจีบตัวเล็กๆ หวานสด กุ้งแชบ๊วยเนื้อแน่น เซ่งจี๊ ที่กรอบอร่อยปราศจากกลิ่นฉุน ซึ่งต้องไปเลือกซื้อแต่เช้าๆ เลือกเอาเฉพาะที่สดจริงๆ กระเพาะหมูที่ล้างทำความสะอาดจนหมดจด ปรุงด้วยพริกไทย นำไปเคี่ยวนาน 4 ชั่วโมง นุ่มอร่อยหอมมาก ต้องยกความดีให้น้องท็อป ลูกชายคุณอุษณีย์ ที่นับเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น

ข้าวต้มปลาก็ต้องคู่กับ บะเต็ง ที่แสนจะนุ่มเข้าเนื้อหอมๆ ไม่มีชิ้นแข็งๆ ให้เสียอารมณ์ ที่นี่เขาเรียกว่า หมูอบซอส ทำจากหมูเนื้อสันติดมันนิดๆ เคี่ยวไปเรื่อยๆ จนนุ่มได้ที่

ไม่เอ่ยถึงน้ำจิ้ม คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเขามีน้ำจิ้ม 3 ชนิด ทั้ง น้ำจิ้มเต้าเจี้ยวดั้งเดิม หอมๆเค็มๆ น้ำจิ้มเต้าเจี้ยวพริกกระเทียม มีรสเผ็ดด้วย และ น้ำจิ้มซีฟู้ด ที่ปั่นเองปรุงเอง รสแซ่บอร่อยที่สุด

เมนูเดลิเวอรีที่ขอแนะนำคือ ข้าวต้มรวมมิตร (200 บาท) ใส่ทั้งปลากะพง หอยนางรม เซ่งจี๊ กุ้งแชบ๊วย กระเพาะหมู และหมูบะเต็ง และมี ลวกจิ้มเครื่องในปลา (250 บาท) มีทั้งกระเพาะปลาสดสีขาวๆ กระเพาะกรอบ(เครื่องในของปลากะพงทะเล) ตับปลาชิ้นโตๆ และไข่ปลา (ถ้าไม่ใส่กระเพาะปลาสด คิด 200 บาท) ผมสั่งให้เพิ่ม เนื้อราวท้องปลากะพง มันๆ อีกด้วย

เดี๋ยวนี้มีเมนูใหม่โดนใจวัยรุ่น ข้าวต้มแห้ง 2 หมู (100 บาท)ใส่ทั้งหมูบะเต็งกับหมูสับ หรือจะทำเป็นข้าวต้มใส่น้ำซุป 2 หมูตามปกติก็ได้ ส่วนข้าวต้มปลากะพงเริ่มต้นที่ 150 บาท

โทรสอบถามที่ร้านได้ที่เบอร์ 08-1000-0671 08-1868-5323 ตั้งแต่ บ่าย 4 โมงเย็นถึง 3 ทุ่ม หรือสั่งทาง Lineman กดหาร้านข้าวต้มปลา by อุษณีย์ ก็ได้

อาทิตย์หน้าปิ่นโตเถาเล็กจะแนะนำร้านอาหารนานาชาติบ้าง โปรดอดใจรออีกแค่ 7 วัน

 

ร้านโตเป็ดย่าง

โตเป็ดย่าง

โดย คุณสมประสงค์ (สน) กิ้มนวล

ที่ตั้ง 324/3 ถ.ประชาราษฎร์สาย 1 ซอย 20 เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ 10800

โทร 0-2912-6395, 0-2912-6380

เมนูแนะนำ/ราคา เป็ดย่าง เป็ดผัดกะเพรา เนื้อปูผัดผงกะหรี่ กระเพาะปลาผัดแห้งกระเพาะปลาน้ำแดง ต้มยำปลากะพง หมูแดงและหมูกรอบ

เปิดบริการ ทุกวัน 06.00-20.00 น.

Facebook โตเป็ดย่าง-บางโพ

สั่งได้ทาง ที่ร้านตามเบอร์โทร และ ทาง LINEMAN, WONGNAI, GET FOOD และ FOOD PANDA

ร้านข้าวต้มปลา by อุษณีย์

ข้าวต้มปลา by อุษณีย์

โดย คุณอุษณีย์ ลิขิตยั่งยืน

ที่ตั้ง 19/2 ซอยยศเส ถนนพลับพลาไชย ป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ

โทร 08-1000-0671, 08-1868-5323

เปิดบริการ 16.00-21.00 น. ทุกวัน(เฉพาะช่วงนี้)

สั่งได้ทาง Lineman กดหาร้านข้าวต้มปลา by อุษณีย์

แนะนำ ข้าวต้มปลากะพงรวมมิตร ลวกจิ้มเครื่องในปลา ข้าวต้มแห้ง 2 หมู

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)

ข้าวแกงดิลิเวอรี – การระบาดของ ไวรัสโควิด-19 คือสถานการณ์พิเศษที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลกยุคปัจจุบัน ที่ทุกคนคุ้นเคยกับการเดินทางไปมาหาสู่กันในชีวิตประจำวัน กลับต้องใช้ชีวิตอยู่ในบ้านต้านภัยไวรัสตลอด 24 ชั่วโมง

ร้านอาหารแทบทุกแห่งต่างปรับเปลี่ยนเพื่อความอยู่รอด หันมาเปิดบริการดิลิเวอรีส่งตรงถึงประตูบ้าน ปิ่นโตเถาเล็กจึงขอเอาใจแฟนๆ ด้วยการแนะนำร้านอาหารเหล่านี้เป็นซีรีส์ยาวๆ หลายตอน อยู่บ้านเฉยๆ ก็มีบริการส่งอาหารมาปรนเปรอ เพิ่มความสุขทางใจในยามที่ออกไปไหนไม่ได้

เริ่มกันด้วยร้านแรกที่ไม่มีหน้าร้าน เปิดบริการเฉพาะกิจสดๆ ร้อนๆ ในยามนี้เลย ร้านนี้มีชื่อว่า เจริญแกง ถึงแม้จะเป็นน้องใหม่แต่ก็ไม่ธรรมดา เพราะเจริญแกงอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ น้องปลา อัจฉรา บุรารักษ์ แห่ง Iberry เพื่อการดิลิเวอรีเท่านั้น

คอนเซ็ปต์ของเจริญแกงต่างจากร้านอื่นๆ ในเครือนี้ ตรงที่จะเน้นเมนูข้าวแกง ซึ่งคนไทยคุ้นเคย ทำรสจัดถูกปากมาก ผมลองมาแล้วเกือบทุกเมนู ขอบอกว่ารสชาติพื้นบ้านดั้งเดิมเผ็ดร้อนกว่าเดิม และมีของอร่อยเหมือนในวัยเด็กหลายอย่าง เหมาะสำหรับพวกเราที่สามารถสั่งอาหารมากินไม่ซ้ำกันได้ทุกวัน กินง่ายแต่อร่อยไม่เลี่ยน

ของกินบ้านๆ ที่ว่านี้มีตั้งแต่ หลนปลาร้า ใส่ปลาดุก แนมด้วยผักสดสารพัด (125 บาท) หรือจะเป็นน้ำพริกคุ้นเคย น้ำพริกกะปิ ปลาทูทอด ชุดผัก (140 บาท) น้ำพริกปลาร้า กับผักสดและผักนึ่ง (120 บาท) อย่างที่บอกไปว่าปิ่นโตเถาเล็กลองชิมทุกอย่างแล้ว รสบ้านๆ ถูกใจมาก

จำพวกแกงๆ มีของดีที่หายาก แกงคั่วหอยขมยอดชะอม (150 บาท) สุดยอดมาก (เวลากินอาจจะกัดโดนลูกหอยกรุบๆหน่อย) แกงอื่นๆ ที่น่าสนใจเช่น แกงเทโพหมูสามชั้น (135 บาท) แกงเหลืองปลายอดไหลบัว (165 บาท) แกล้มด้วย ไข่พะโล้หมูสามชั้น (145 บาท) ที่ไข่รัดตัวเคี้ยวดังกึ๊ดเลย และ ไข่ลูกเขย (95 บาท) ไข่แดงเป็นยางมะตูมเยิ้มๆ ที่น่าลิ้มลองมากคือ ปีกไก่ต้มซีอิ๊วใส่ไข่พะโล้ไข่นกกระทา (145 บาท) ที่น้องอีกคนสั่งไปกินที่บ้าน บอกว่าไข่พะโล้ไข่นกกระทาหอมมันจริงๆ อีกอย่างที่ควรลองคือเมนูผัด ไก่ผัดพริกใส่หน่อไม้ดอง (110 บาท) ซึ่งมี หมูสับผัดพริกหน่อไม้ดอง อีกอย่างด้วย (110 บาท)

ของไม่เผ็ดก็มีให้เลือกมากมาย เช่น หมูสามชั้นทอดน้ำปลา (110 บาท) ต้มจืดมะระยัดไส้ (75 บาท ต่อ 1 ชิ้น) กุยช่ายผัดตับ (105 บาท) ใบเหลียงผัดไข่ (105 บาท) ซึ่งเมนูนี้สั่งมาควรรีบกินก่อนที่ผักจะสลด

น้องปลาไฟแรงมาก กำลังจะออกเมนูใหม่มาอีกเพียบ ตอนนี้เมนูอาหารหลักๆ มีมากกว่า 30 อย่างแล้ว ไม่นับพวกไข่เจียว ไข่ดาว ไข่ต้ม ข้าวสวย ข้าวไรซ์เบอร์รี นอกจากนี้ยังมีขนมไทยๆ อีกด้วย ที่ห้ามพลาดคือ ขนมกล้วย ชิ้นหนาๆ โตๆ (60 บาท) ขนมถ้วยกะทิสด (50 บาท) อีกทั้ง สังขยาฟักทอง (ชิ้นละ 65 บาท ลูกละ 250 บาท) ไม่นับเครื่องดื่มน่ากินอีกต่างหาก เช่น น้ำส้มมะปี๊ด (55 บาท) เปรี้ยวหอมหวาน ซึ่งมีเฉพาะฤดูกาล และ ชาไทยนมเย็นเฉาก๊วย (55 บาท)


ร้านเจริญแกงเปิดให้สั่งได้กับที่ร้านทาง Line: @charoengang ในเวลา 09.00-21.00 น. มีค่าจัดส่งตามระยะทาง (จากทองหล่อ) ถ้าสั่งที่ร้านก็โอนเงินเข้าบัญชีได้เลย จัดส่งโดยพนักงานบริษัท โทรสอบถามข้อมูลได้ที่ 06-3464-9929 อีกทั้งดูได้ที่ Facebook : Charoengang และ IG: charoengang

และสามารถสั่งดิลิเวอรีได้ทาง Lineman และ Grabfood อีกด้วยในช่วงเวลา 10.00-20.30 น. กับ Lineman: https://wongn.ai/3jrw0 และ Grabfood: https://bit.ly/3bsoxqK

หลนปลาร้า
หมูสามขั้นทอดน้ำปลา
น้ำพริกปลาทู

อีกร้านหนึ่งชื่อคล้ายกันแต่เป็นคนละเจ้าของ คือร้านก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำเจ้าดัง เจริญพุงโภชนา ของ น้องอาร์ท ภาคภูมิ สุวรรณเตมีย์ มีสาขาหลายแห่ง ที่น่าสนใจมากคือนอกจาก ก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำ ข้าวต้มแห้ง เกี๊ยวทอดหน้าโรงเรียน กุ้งแพทอด สามชั้นเซิ้งแจ่ว ซึ่งเป็นเมนูดังประจำร้านแล้ว ยังมีเมนูพิเศษสุดยอดทั้งหมด 4 อย่าง ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่น้องอาร์ททำกินเองสมัยเรียนที่เมืองนอก (ซานฟรานซิสโก) ทำแจกน้องๆ เพื่อนๆ คนไทยที่โน่น

แกงเขียวหวานเนื้อสามชั้นและซี่โครงเนื้อพริกขี้หนูสวน ที่ใช้เนื้อชิ้นโตประมาณ 10 กิโลมาตุ๋นจนเปื่อย 50% เกือบ 2 ชั่วโมง ทิ้งให้เย็นจนเนื้อรัดตัวก่อน นำมาแล่ชิ้นโตๆ หนาๆ แล้วเคี่ยวกับหางกะทิและเครื่องแกงจนเปื่อยนุ่ม (กล่องละ 200 บาท) ใช้เครื่องแกงซื้อมา เติมลูกผักชียี่หร่าคั่ว กับพริกขี้หนูสวน ซึ่งถ้าไม่กินเนื้อ ก็มี แกงเขียวหวานหมูสามชั้นและซี่โครงหมูพริกขี้หนูสวน

ต่อด้วย สามชั้นทอดน้ำปลา (150 บาท) หมักกับน้ำปลาดี ทอดจนแห้งนิดๆ นุ่มอร่อยกินแล้วจะหยุดไม่ได้ และ ต้มจับฉ่าย (กล่องละ 100 บาท) ใส่ผักหลากหลาย ต้มกับข้อไก่และเนื้อไก่กับเห็ดหอม ใช้น้ำซุปเคี่ยวกระดูกหมูสำหรับทำก๋วยเตี๋ยวหอมหวานมาต้ม เมนูสุดท้ายคือ เนื้อแดดเดียว (ถุงละ 120 บาท) ซึ่งมีจำนวนจำกัด น้องอาร์ทรับมาเจ้าประจำที่หนองจอก รสอมหวานนิดๆ ใส่ลูกผักชีนิดๆ

ทุกเมนูสามารถเก็บไว้ได้นานเป็นอาทิตย์ (แต่ไม่กี่มื้อก็หมดเกลี้ยงแล้ว) สามารถสั่งจองเข้ามา โดยสั่งทิ้งไว้ใน line id art_sf ได้ตลอด ซึ่งอาร์ทจะดูทุกวัน และจะมารับที่ร้านเจริญพุงโภชนาสาขาเจริญรัถ ตรงข้ามซอยเจริญรัถ 3 หรือสุดซอยลาดหญ้าซอย 6 หรือให้จัดส่งก็ได้เช่นกัน สั่งขั้นต่ำ 500 บาท จัดส่งฟรี (เฉพาะในเมือง) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 08-1657-4568 ซึ่งถึงเวลาอาจจะมีเมนูอื่นๆ ขึ้นมาใหม่หมุนเวียนเปลี่ยนไปแน่นอน

แกงเขียวหวานหมูสามชั้น

ยังมีร้านดีๆ ที่ทำอาหารหลากประเภทหลายสัญชาติให้แนะนำอีกเพียบ ซึ่งจะทำให้การเก็บตัวอยู่ที่บ้านของแฟนๆ มีความรื่นรมย์ขึ้นเป็นกองเลยนะจ๊ะ

เจริญแกง

โดย คุณอัจฉรา (ปลา) บุรารักษ์

แนะนำ เมนูข้าวแกงดิลิเวอรีสารพัด รวมทั้งขนมไทยและเครื่องดื่มต่างๆ

โทร 06-3464-9929

วิธีการสั่ง สั่งกับที่ร้าน Line: @charoengang 09.00-21.00 น. มีค่าจัดส่งตามระยะทาง และทาง Lineman และ Grabfood 10.00-20.30 น.

Lineman: https://wongn.ai/3jrw0 และ Grabfood: https://bit.ly/3bsoxqK

น้องอาร์ตเจ้าของร้าน

เจริญพุงโภชนา

โดย คุณภาคภูมิ (อาร์ท) สุวรรณเตมีย์

แนะนำ นอกจากเมนูก๋วยเตี๋ยวและของกินเล่นประจำร้านแล้ว ยังมีเมนูพิเศษ 4 อย่าง แกงเขียวหวานเนื้อ (และหมู) สามชั้น และซี่โครงเนื้อพริก ขี้หนูสวน สามชั้นทอดน้ำปลา ต้มจับฉ่าย เนื้อแดดเดียว และอื่นๆ

โทร 08-1657-4568

วิธีการสั่ง Line: art_sf w โดยไลน์สั่งทิ้งไว้

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
เจริญแกง-น้ำพริกปลาร้า
เจริญแกง-น้ำส้มมะปี๊ด
เจริญแกง-ขนมกล้วย
เจริญแกง-ไก่ผัดพริกหน่อไม้ดอง
เจริญพุงโภชนา-ต้มจับฉ่าย
เจริญพุงโภชนา-เนื้อแดดเดียว
เจริญพุงโภชนา-บริการดิลิเวอรี่
ห่านพะโล้ ไส้และลิ้นห่านพะโล้

ร้านอาหารแต้จิ๋ว – ช่วงนี้เป็นที่ทราบกันดีว่านักท่องเที่ยวจากต่างชาติส่วนใหญ่ยังไม่สามารถเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทยได้ สมควรที่พวกเราชาวไทยควรจะหันมาช่วยเหลือคนไทยด้วยกันเอง ด้วยการตระเวนกินเที่ยวร่วมด้วยช่วยกินนะจ๊ะ

คราวนี้เลยขอพาไปทบทวนชิมสุดยอด ร้านอาหารจีนแท้ๆ ที่ย่านเยาวราช ในบรรยากาศเรียบง่าย แต่ฝีมือการปรุงต่างจากร้านอาหารจีนทั่วไปในเมืองไทย เพราะรายนี้เป็น ร้านจีนแต้จิ๋วแท้ๆ ฝีมือกุ๊กจีนแต้จิ๋วจาก เมืองซัวเถา มาตั้งรกรากเปิดร้านที่เยาวราชได้ประมาณ 16 ปีแล้ว ตั้งชื่อตรงตัวเลยว่า ร้านอาหารแต้จิ๋ว

ร้านนี้เดิมเป็นร้านเล็กๆอยู่ริม ถ.เยาวราช ก่อนถึงสี่แยกเฉลิมบุรี ผมตามไปชิมตั้งแต่เปิดใหม่ๆ อยู่ในตึกแถวแค่ห้องเดียว ต่อมาเพิ่มห้องปรับอากาศอีกคูหาหนึ่ง มาบัดนี้ร้านอาหารแต้จิ๋ว ได้ย้ายร้านมาอยู่ที่ใหม่ ริมถนนพระราม 4 ช่วงต้นถนน อยู่ในย่านเยาวราชเช่นเดิม (เป็นช่วงวันเวย์) อยู่ในตึกแถวติดเครื่องปรับอากาศทั้งหลัง อีกทั้งขยายเพิ่มเป็น 3 ชั้นแล้ว

ทางไปร้านมีให้เลือก 2 ทาง ทางแรกให้ตั้งต้นที่ วงเวียนโอเดียน ตรงซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ วิ่งมาตามทางวันเวย์ของถนนเยาวราชแค่นิดเดียวก็ถึง สี่แยกเฉลิมบุรี มีร้านสะดวกซื้อ7-11 เป็นจุดสังเกตอยู่หัวมุมแยกด้านขวา ให้เลี้ยวขวาที่แยกนี้เข้าถนนทรงสวัสดิ์ แล้วมองหาช่องทางเข้าทางขวามือเลยเพื่อเลี้ยวเข้า ลานจอดรถเฉลิมบุรี จุได้ราว 70 คัน ค่าจอด ชม.ละ 30 บาท

จากนั้นให้เดินออกมาริมถนน เลี้ยวขวามาที่ แยกหมอมี พอถึงแยกยังไม่ต้องเลี้ยวไหน ให้เดินข้ามถนนเล็กๆสองทีติดต่อกัน คือเดินข้ามถนนเจริญกรุงมาที่ป้อมตำรวจเกาะกลาง และเดินข้ามถนนพระราม 4 อีกครั้ง จากนั้นให้เลี้ยวขวาย้อนวันเวย์ของ ถนนพระราม 4 ไป 150 เมตร ก็จะเห็น ร้านอาหารแต้จิ๋ว ป้ายชื่อสีแดงอยู่ในตึกแถวสีเหลือง 4 ชั้นทางซ้ายมือ ตรง ปากซอยประดู่ (จอดรถในซอยนี้ได้เช่นกัน) อยู่ตรง สามแยกที่เลี้ยวเข้าถนนลำพูนไชย ไปเยาวราชพอดี

ส่วนอีกทางมาตาม ถนนพระราม 4 มุ่งหน้ามาที่ แยกหัวลำโพง แล้วตรงต่อไปอย่างเดียวข้าม คลองผดุงกรุงเกษม เข้าถนนพระราม 4 ที่กลายเป็น ถนนวันเวย์ ผ่านแยกไมตรีจิตต์ เพียงไม่เกิน 400 เมตร ก็จะเห็น ร้านอาหารแต้จิ๋วอยู่ทางขวามือ มาทางนี้ให้เลี้ยวขวาเข้าไปจอดในซอยประดู่ข้างร้าน

ร้านแต้จิ๋วนี้เป็นขวัญใจของบรรดาคนไทยเชื้อสายจีน เพราะเป็นร้านกับข้าวตามสั่งง่ายๆ สไตล์ซัวเถา รสชาติถูกใจเหมือนกินตามบ้านจำพวกผัดๆ นึ่งๆ ต้มๆ รสไม่จัดมาก แต่ก็ไม่ธรรมดานะจ๊ะ มีผักสดๆ และปลาดีๆ จากเมืองจีน อีกทั้งเมนูของทะเลชั้นเลิศของดีมีราคาให้เลือกเพียบ พนักงานส่วนใหญ่จะพูดไทยเป็นภาษาที่สอง แต่โชคดีมีเมนูอาหารพร้อมภาพประกอบ จิ้มเลือกเอาได้เลย หรือไปยืนดูของทะเลในอ่างหน้าร้านและมุมของสดในร้าน แล้วสั่งกับพนักงานเลย บางคนสามารถอธิบายคล่องเลยว่าเอาไปทำเมนูอะไรได้บ้าง

หอยแครงยำซีอิ๊ว
หัวปลาเก๋าผัดเต้าซี่
หอยกะพงผัดโหระพา เมนูที่หายไป

มาคราวนี้มีเจ้าโอเพื่อนสนิท ขาประจำร้านแต้จิ๋วมาด้วย เลยได้สั่งของอร่อยสุดสุด กุ้งทะเลลวก (400-800 บาท) เป็นกุ้งแชบ๊วยสดๆ เนื้อหวานๆ ลวกมาสุกกำลังดี กินหมดในพริบตา กับ หอยแครงยำซีอิ๊ว (200 บาท) หอยแครงลวกยำแบบจีนด้วยซีอิ๊วหอมๆ ไม่มีรสเปรี้ยวเหมือนยำไทย โรยเครื่องกระเทียมสด พริก และต้นหอมมาเต็มจาน ทั้ง 2 อย่างนี้ห้ามพลาดเลย และมีของกินเล่นอีกอย่างที่ควรสั่งมาร่วมกันคือ ฮ่อยจ๊อ (400 บาท)

ของอร่อยเมนูดั้งเดิมมีครบถ้วน ห่านพะโล้แบบแต้จิ๋ว (300-500-800 บาท) เนื้อห่านนุ่มรสชาติเข้าเนื้อ น้ำพะโล้รสชาติกลมกล่อมเหมือนกินร้านแต้จิ๋ว (หรือ ชิวเชา)ในฮ่องกง มี ไส้กับลิ้นพะโล้ หอมมันอีกด้วย ลิ้นห่านเปื่อยเข้าเนื้อรสเข้มข้น สั่งรวมกันในจานเดียวได้ จิ้มกับน้ำจิ้มน้ำส้มสายชูกับกระเทียมไม่ใส่พริก หรือจะจิ้มน้ำจิ้มรสจัดจ้านใส่พริกก็อร่อยทั้งนั้น

มาร้านนี้แล้วไม่ได้กินปลาเหมือนมาไม่ถึงร้านนะจ๊ะ ที่ห้ามพลาดคือ หัวปลาเก๋าผัดเต้าซี่ (500-800 บาท) หัวปลาเก๋าเนื้อเด้งดึ๋งหนึบอร่อยผัดกับเต้าซี่เค็มๆ หอมๆ ใส่ขึ้นฉ่ายเยอะๆ ปลาบู่นึ่งซีอิ๊ว (ราคาตามขนาด ตัวละ 800-1,400 บาท) เนื้อสดเป็นก้อนๆ นึ่งมาสุกกำลังดี

ลิ้นห่านพะโล้

เมนูปลามีอีกมากมายทั้งหัวปลาจีน ปลาเก๋า ปลาเก๋าแดง ปลาชิกคั่ก ปลากะพง ปลาจะละเม็ด ปลาเต๋าเต้ย ปลาไหลหูดำของจีน ปลาหิมะ นำไปทำได้ทั้งผัดขึ้นฉ่าย ทอด นึ่งบ๊วย

นอกจากปลาต่างๆ แล้ว ปูทะเล ที่นี่ก็ขึ้นชื่อมาก คัดมาแต่ตัวโตๆ ไซซ์ใหญ่บิ๊กเบิ้ม (กิโลละ 1,800 บาท ตัวละ 800-2,000 บาท) จะสั่งทำ ปูทะเลผัดพริกไทยดำ ผัดต้นหอม หรือ ผัดผงกะหรี่ ได้ทั้งนั้น ขอแนะนำเมนูที่หากินที่อื่นไม่ได้ ข้าวต้มปูทะเล ข้าวต้มเนื้อนิ่มๆ ใส่ปูทะเลตัวโตเนื้อหวานสด น้ำซุปหอมหวานใส่หอยเชลล์แห้งหรือกังป๋วย สั่งปู 2 ตัว ทำได้ 2 ชามเบ้อเริ่ม กินกันอิ่มหนำสำราญ 20 กว่าคน

เมนูผัดๆ ก็อร่อยล้ำเลิศแบบง่ายๆ เช่น ผัดผักน้ำ (200 บาท) (ซาเอียไฉ่) ใส่กระเทียมสดจากเมืองจีน จานนี้สุดยอดกรอบอร่อย อีกทั้ง ผัดผักคะน้าทีโป้ว (200 บาท) คะน้าฮ่องกงสีเขียวสดกรอบๆ ผัดกับทีโป้วหรือปลาตาเดียวแห้งจากเมืองจีน ที่น่าลิ้มลองอีกอย่างคือ กระเพาะปลาสดผัดผักกาดขาว (500 บาท) ใส่พริกและกระเทียม รสนุ่มนวลชวนกินอย่าบอกใคร น่าเสียดายที่ หอยกะพงผัดโหระพา (200 บาท) ตัวเล็กๆ นิ่มๆ มันๆ ไม่มี เพราะหาหอยกะพงไม่ได้มาหลายเดือนแล้ว ถ้าเจอให้รีบสั่งนะจ๊ะ เราเลยสั่ง กระเพาะปลาสดผัดโหระพา ( 500 บาท) แทน

ปิดท้ายด้วย ข้าวผัดผักกาดดอง (200-300-400 บาท) ใส่ผักกาดดองชิ้นเล็กๆ กับเครื่องต่างๆ ผัดได้หอมกลิ่นผัดในกระทะมากๆ

เป็นที่น่ายินดีว่าเดี๋ยวนี้คุณสุทินหรือคุณพ้ง มีลูกชายมาช่วยอยู่หน้าเตาอีกคนแล้ว ร้านนี้ขอเชียร์ 2 มือให้มาชิม อร่อยไม่เหมือนร้านจีนอื่นใดเลย ร้านอาหารแต้จิ๋วเปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 11 โมงครึ่ง-5 ทุ่มครึ่ง โทรสอบถามทางหรือจองโต๊ะได้ที่ 08-9059-4076 และ 0-2623-3755 นะจ๊ะ

ร้านอาหารแต้จิ๋ว

โดย คุณสุทิน (พ้ง) แซ่เล้า

ที่ตั้ง 69-71 ถ.พระราม 4 เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ 10100

โทร 08-9059-4076, 0-2623-3755

เปิดบริการ 11.30-23.30 น. ทุกวัน

หยุด ตรุษจีน 5 วัน

แนะนำ กุ้งทะเลลวก หอยแครงยำซีอิ๊ว ห่านพะโล้ ไส้กับลิ้นพะโล้ หัวปลาเก๋าผัดเต้าซี่ข้าวต้มปูทะเล ปลาบู่นึ่งซีอิ๊ว ปูทะเลผัดพริกไทยดำ/ผัดต้นหอม ผัดผักน้ำ ผัดผักคะน้าทีโป้ว กระเพาะปลาสดผัดผักกาดขาว หอยกะพงผัดโหระพา (ถ้ามี) กระเพาะปลาสดผัดโหระพา ข้าวผัดผักกาดดอง

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
ปูทะเลผัดพริกไทยดำ
ปลาบู่นึ่งซีอิ๊ว
ปลาจะละเม็ดนึ่งซีอิ๊ว
คะน้าผัดปลาแห้งทีโป้ว
ข้าวผัดผักกาดดอง
กุ้งทะเลลวก

เมื่อเดือนก่อนปิ่นโตเถาเล็กพาไปทบทวนร้านสำราญโอชา ใกล้ตลาดสามชุกมาแล้ว คราวนี้ขอพามาทบทวนความอร่อยกันที่ร้านเล็กๆ ในตัวเมืองสุพรรณบุรี ขวัญใจคนสุพรรณฯบ้าง อย่างที่เคยบอกไว้ว่าส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวต่างถิ่นมักจะผ่านเลยไป ไม่ค่อยได้แวะเที่ยวเล่นชิมอาหารในตัวเมืองขุนแผนสักเท่าไหร่ แต่หารู้ไม่นี่คือสุดยอดร้านอร่อยของสุพรรณบุรีทีเดียว ร้านนี้มีชื่อเสียงเรียงนามไม่เหมือนใครว่า ขัวะ

คุณจิรา ศรีภรรยาของคุณขัวะเฉลยที่มาของชื่อนี้ว่า คุณสามีตอนเด็กๆ ร้องไห้ปากกว้างอยู่เป็นนิตย์ เลยได้ฉายาปากกว้างตามภาษาจีนว่า ฉุ่ยขัวะ คุณขัวะนั้นเป็นน้องชายของร้านสุพรรณโอชา ร้านดังในยุคก่อน จึงมีฝีมือในการทำอาหารมาก และได้แยกมาเปิดร้านเองตั้งแต่ 38 ปีก่อน

ร้านขัวะอยู่ในตึกแถว 1 คูหาใจกลางเมืองริมถนนนางพิม ห่างจากโรงแรมศรีอู่ทองแกรนด์ ไม่เกิน 200 เมตร ฝั่งเดียวกัน ถนนเส้นนี้ไม่จอแจจึงจอดรถริมถนนได้เลย

เฮียขัวะทำอาหารแบบวันแมนโชว์ได้อร่อยล้นเหลือ ขนาดที่กำลังนั่งเขียนบทความนี้ ยังกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ รู้สึกอยากไปกินอีก ตอนนี้ลูกชายทั้งสองคนโตเป็นหนุ่มมาช่วยที่ร้านยามว่างได้แล้ว

ได้กลับมาร้านขัวะครั้งนี้มีความสุขที่สุดเพราะมีเมนูอร่อยไม่เหมือนใครมากมาย เริ่มด้วยสลัดหมูน้ำใส (150-180 บาท) สไตล์ร้านจีน หมูสับชิ้นใหญ่ๆ ชุบแป้งทอดอร่อยเด็ด กินกับสลัดผักกาดหอม หัวหอม กะหล่ำม่วง กะหล่ำปลี มะเขือเทศ และแครอต ราดน้ำสลัดใสๆ ปรุงด้วยน้ำมัน เกลือ น้ำตาล น้ำส้มสายชู เปรี้ยวนิดหวานหน่อยเค็มเล็กน้อย หอมสดชื่นถูกใจ

ซี่โครงหมูทอด (150-180 บาท) เมนูง่ายๆ แต่อร่อยขั้นเทพ ชุบแป้งทอดเคลือบผิวนอก ข้างนอกแห้งๆ ข้างในอร่อยนุ่มชุ่มฉ่ำ แทะมันสุดสุด อีกจานห้ามพลาดเลยเป็นอันขาด ยำแซ่บเนื้อสันในหรือยำเนื้อลวก (150-180 บาท) เนื้อสันในหมักจนนุ่ม สุกกำลังดี ปรุงรสแซ่บจี๊ดจ๊าดด้วยมะนาวกับกระเทียม พริกเหลือง พริกขี้หนู ผักชีฝรั่ง แกล้มด้วยผักกาดหอม และมีสุดยอดเมนูเนื้ออีกอย่างที่เพิ่งได้ลองชิมคราวนี้ เนื้อตุ๋นผัดกะเพรา (150-180 บาท) ตุ๋นเอง 4 ชั่วโมงจนเปื่อยเข้าเนื้อ มีทั้งเนื้อและเอ็นตุ๋น คอเนื้อได้ชิมแล้วต้องขึ้นสวรรค์ ซึ่งเนื้อตุ๋นนี้ ลูกค้าขาประจำยังชอบสั่งให้ทำเป็นต้มยำเนื้อตุ๋น (150-180 บาท) อีกด้วย

อีกจานที่ห้ามพลาดเช่นกันคือ เห็ดโคนผัดน้ำมันหอยกับกุ้ง เห็ดโคนของดีหายาก ราคาจึงแพงหน่อย (500 บาท) แต่อร่อยจนยกให้ 2 นิ้วโป้ง เห็ดโคนอวบๆ มีมันกุ้งจากหัวกุ้งออกมาผสมด้วย เลยหอมมันยกกำลังสอง ถ้ามาหน้าฝนให้สั่งต้มยำพุงไข่ปลาช่อน (150-180 บาท หม้อไฟ 250 บาท) รสชาติพื้นบ้านขนานแท้ นี่คือของดีที่ห้ามพลาด

4

จำพวกแกงเผ็ดๆ ต่างๆ น่าลิ้มลองมีอีกหลายอย่าง ทั้งแกงส้มปูทะเลใส่หน่อไม้ดอง (400 บาท) ไม่ต้องติดทะเลก็ได้กินอร่อย และเมนูใหม่คราวนี้ที่สมาชิกลงเสียงเป็นเอกฉันท์ว่าอร่อยไม่เหมือนใครก็คือ แกงป่ากุ้งก้ามกราม (150-180 บาท) สูตรนี้ใส่หน่อไม้ดองด้วย ซึ่งจะดองไม่เปรี้ยวมาก เข้ากันดีอย่างน่าอัศจรรย์ ส่วนเครื่องแกงนั้นหอมผิวมะกรูดและกระชาย ส่วนผัดผักแค่ผัดปวยเล้ง (80-170 บาท) ง่ายๆ ก็หอมอร่อยอีกเช่นกัน

ยังอิ่มไม่ได้ ให้ปิดท้ายด้วยอาหารจานเส้นเหมือนภัตตาคารจีน ผัดมี่สั้ว (80-150 บาท) ซื้อจากเจ้าประจำในตลาด ไม่มียี่ห้อ นุ่มเหนียวหอมไม่มีกลิ่นใดๆ อันไม่พึงประสงค์แม้แต่น้อย ผัดใส่กะหล่ำปลี แครอต และเห็ดหอม แบบหมี่เจ ปรุงด้วยซอสปรุงรสแค่นี้ก็กลายเป็นเมนูอันโอชะ อิ่มแค่ไหนก็ต้องลิ้มลอง
ร้านขัวะเปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม นี่คือหนึ่งในสุดยอดร้านอาหารของจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นร้านกับข้าวไทย-จีน-พื้นบ้านเมนูไม่ซ้ำใคร อร่อยทุกเมนูจริงๆ ผ่านไปสุพรรณบุรีอย่าลืมแวะร้านขัวะด้วยนะจ๊ะ

ขัวะ
โดย คุณวัฒนวงษ์(ขัวะ)-คุณจิรา สมอดิศร
ที่ตั้ง 51/3 ถ.นางพิม ต.ท่าพี่เลี้ยง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี 72000
โทร 0-3552-1045, 08-8224-5578
เปิดบริการ 10.00-22.00 น. ทุกวัน
หยุด ตรุษจีน (วันไหว้) 1 วัน สารทจีน 1 วัน
แนะนำ สลัดหมูน้ำใส ซี่โครงหมูทอด ยำแซ่บเนื้อสันใน แกงป่ากุ้งก้ามกราม เห็ดโคนผัดน้ำมันหอยกับกุ้ง เนื้อตุ๋นผัดกะเพรา กุ้งทอดเกลือ ต้มยำพุงไข่ปลาช่อน แกงส้มปูทะเลใส่หน่อไม้ดอง ผัดปวยเล้ง ผัดมี่สั้ว
ช่วงคนแน่น ไม่แน่นอน
Facebook ร้านอาหารขัวะ

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563, หน้า 15
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
สำรับข้าวแช่

กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้ว พอถึงหน้าร้อนทีไร ร้านอาหาร โรงแรม หรือแม้กระทั่งบ้านของตระกูลเก่าแก่ต่างๆ จะทำข้าวแช่ออกมาประชันกันมากมาย ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีที่กระแสตอบรับการกินข้าวแช่นั้นสูงมาก เป็นที่น่าชื่นใจคนรุ่นใหม่ช่วยกันสืบสานตำนานข้าวแช่ให้คงอยู่คู่เมืองไทยตลอดไป

ปีนี้ขอพามาที่ห้องอาหารมิสสยาม (Miss Siam) โรงแรมหัวช้าง เฮอริเทจ กรุงเทพฯ ปากซอยเกษมสันต์ 1 ถนนพญาไท อยู่ตรง เชิงสะพานหัวช้าง ฝั่งด้านที่จะมุ่งหน้าไปอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งซอยเกษมสันต์ 1 นี้ เป็นซอยวันเวย์รถเดินทางเดียวไปสู่ถนนพระราม 1 ดังนั้นการมาที่โรงแรมนี้ต้องเข้าจากทางถนนพญาไทเท่านั้น

ห้องมิสสยามนี้ยังอยู่ภายใต้การดูแลของเชฟบอมเบย์ ไพโรจน์ ประไพรักษ์ เช่นเดิม และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเคยมาเยือนห้องอาหารแห่งนี้ ซึ่งเป็นเพราะผมติดใจในรสมือของเชฟบอมเบย์ ที่ทำอาหารรสจัดเหลือหลายเหมือนกินที่บ้าน ใส่เครื่องไม่ยั้งเหมือนร้านอาหารไทยในต่างจังหวัด

ในช่วงฤดูร้อนนี้โรงแรมหัวช้าง เฮอริเทจ กรุงเทพฯ ได้จัดเทศกาลบุฟเฟต์ ข้าวแช่ตำรับหัวช้าง มื้อกลางวันกินได้ไม่อั้นอีกครั้งหนึ่ง ในสนนราคาหัวละ 675 บาทสุทธิ (เด็กอายุ 5-11 ปี คิด 338 บาทสุทธิ) ตั้งแต่ วันที่ 15 มีนาคม ไปจนถึง 15 พฤษภาคม 2563 เวลา 11.30-14.30 น. ซึ่งไม่ได้มีเพียงข้าวแช่เท่านั้น ยังมีอาหารไทยอื่นๆ ของว่าง ขนมไทยอลังการอีกมากมาย

เชฟบอมเบย์ (เรียกสั้นๆ ได้ว่าเชฟบอม) นั้นเคยไปร่ำเรียนที่โรงเรียนวิชาการโรงแรมแห่งโรงแรมโอเรียนเต็ล (OHAP) และทำงานต่ออีกทั้งฝึกปรือวิชาทำอาหารไทยกับเชฟวิชิต มุกุระ อีก 4 ปี นอกจากนี้เชฟบอมยังเคยเป็นเชฟสอนทำอาหารไทยที่ เลอ กอร์ดองเบลอ ดุสิต อีกด้วย

ข้าวแช่ตำรับนี้เชฟบอมได้แรงบันดาลใจจากสมัยที่อยู่โรงแรมโอเรียนเต็ล ประกอบกับนำอาหารของอาม่าตัวเองมาร่วมด้วย (บ้านเดิมอยู่แถววัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร) ซึ่งอาม่ามีแผงปลาสดที่ตลาดสมเด็จเจ้าพระยา คลองสานด้วย เชฟบอมจึงคุ้นเคยกับการคัดวัตถุดิบต่างๆ มาตั้งแต่ยังเล็ก อีกทั้งเมื่อผู้ใหญ่พาไปชิมข้าวแช่ตำรับเก่าแก่ต่างๆ ก็จะนำมาปรับใช้ด้วย

ห้องมิสสยามที่จัดบุฟเฟต์นั้นจุคนได้ราว 50 คน และเสริมที่นั่งตรงลานด้านนอกข้างสระว่ายน้ำได้อีก 20 คน เมื่อมานั่งที่โต๊ะแล้ว ยังไม่จำเป็นต้องลุกไปตัก เพราะจะมีข้าวแช่พร้อมกับข้าวแช่ต่างๆ เสิร์ฟมาเป็นสำรับบนตั่งไม้ให้ก่อนคนละ 1 ชุด ซึ่งตัวข้าวแช่จะใส่น้ำลอยดอกมะลิ ชมนาด กุหลาบมอญ และกระดังงาหอมกรุ่น และมีกลิ่นหอมจากการอบควันเทียนด้วย ดอกไม้เหล่านี้ปลูกโดยเจ้าของโรงแรมและจากสวนของเพื่อนจึงมั่นใจได้ว่าไร้ยาฆ่าแมลง

ส่วนเครื่องข้าวแช่หรือกับข้าวแช่นั้นมีถึง 8 อย่างรวมถึงของกินเล่นอีก 1 อย่าง ประกอบด้วย ลูกกะปิทอดผัดกับหัวกะทิ ไม่ใช้น้ำมันเลย หอมกลิ่นปลาดุกย่างกับกะปิมาก เชฟบอมสั่งหมักกะปิ 1 ปีล่วงหน้า ใส่มะพร้าวที่ขูดเอง กระเทียมไทย คัดแต่กระชายไม่มีกระเปาะ ไม่มีรสขื่น และปั้นด้วยมือ ถ้าคลึงเจอก้างก็จะเด็ดออก นอกจากนี้ก็มีไชโป๊วผัดหวานหนึบมากและไม่เป็นเนื้อทรายๆ ทำจากไชโป๊วเค็ม พริกหยวกยัดไส้หมูสับ นุ่มๆไม่กระด้าง ไม่หวานจัด ซึ่งเชฟบอมใช้เคล็ดลับการล้างแบบคนจีน เนื้อหมูต้องล้างด้วยเกลือก่อนจะได้ไม่คาว ส่วนผสมใช้วิธีชั่งตวงวัดเป๊ะๆ ส่วนไข่แหจะนำมาพันทีหลัง ไม่ลงทอดด้วย จะได้ไม่อมน้ำมัน

หอมแดงยัดไส้ปลาแห้ง ทำจากปลาสลิดที่ดมความเค็มก่อนแล้วนำมาต้มน้ำเกลือที่เค็มพอกันเพื่อดึงเอาความเค็มออก ส่วนแป้งสำหรับชุบทอดนั้นหมักไว้ข้ามคืน แป้งกรอบทนอีกทั้งมีความหวานอยู่ที่แป้งด้วย หมูหวานฝอย รับจากตลาดพลูที่ทำกันมา 3 ชั่วอายุคนแล้ว และยังมี พริกแห้งยัดไส้กุ้งผสมแห้ว เป็นเครื่องข้าวแช่ที่หากินยาก เชฟบอมเคยไปชิมข้าวแช่ตระกูลเก่าแก่แห่งหนึ่งแล้วจำมาทำเองบ้าง และที่ไม่เหมือนใครคือมี ไข่แดงเค็มทอด หนึบหอมมันแต่เนื้อไม่ร่วน อีกทั้ง หมูปั้นปลาอินทรี (เค็ม) สูตรของอาม่า ที่เชฟบอมบอกว่าต้องใช้มันหมูสาวเท่านั้นจึงจะหอมและไม่เหม็นคาว ส่วนปลาอินทรีต้องไม่มีกลิ่นตุเพราะจะไม่ทอดไม่ปิ้ง สับผสมกับหมูแล้วทอดเลย อย่างสุดท้ายคือของกินเล่น แตงโมลำไยปลาแห้ง ซึ่งแตงโมนั้นจะคว้านเป็นลูกกลมๆสอดไส้อยู่ในลำไยอีกที ให้กินคู่กัน ในชุดยังมีผักแกะสลักอีกด้วย เช่น กระชายแกะเป็นดอกจำปา ดอกแคนตาลูป ใบมะม่วง ใบแตงกวา

ลูกกะปิทอด

ถ้าติดใจกับข้าวแช่อย่างไหน ก็สามารถไปตักมาเพิ่มเองได้ไม่อั้น อีกทั้งยังมีมุมอาหารไทย ของว่าง กับขนมหวานบริการอีกมากมาย ซึ่งอาหารคาวจะปรุงสดเดี๋ยวนั้น มีตั้งแต่ข้าวผัดปลาทูหอมและเครื่องเคียง แกงจืดสามกษัตริย์ หมี่กรอบ ข้าวเม่าหน้าหมี่ แกงเผ็ดเป็ดย่าง แกงเผ็ดเนื้อพริกขี้หนู แกงเขียวหวานปลากราย ยำผลไม้กุ้งสด ลาบเป็ด พล่ากุ้งตะไคร้สด แสร้งว่าปลาฟู ขนมจีนซาวน้ำ และทีเด็ดอีกอย่างคือ ผัดไทยกุ้งสด ที่ใส่กุ้งแม่น้ำย่างกับหัวกะทิ สุดยอดมากๆ

ส่วนอาหารคาวปรุงสดอีกชุดที่จะสลับวันกันออกมาก็คือ ข้าวคลุกกะปิและแกงจืดเป็ดมะนาวดอง หมี่กรอบ ข้าวเม่าหน้าหมี่ แกงเผ็ดหอยเชลล์ใบชะอม แกงเขียวหวานเนื้อ ไก่ กุ้ง ข้าวมันส้มตำ ไก่ย่าง หมี่กะทิ และยำข้าวทอดขมิ้น

มุมของว่างต่างๆ เช่น กุ้งห่มสไบ ข้าวตังหน้าตั้ง ถุงทองเม็ดบัว พริกขิงกรอบ มะม่วงกะปิหวาน ปากหม้อไส้ปลาและไก่ ถั่วแปบไส้ถั่ว ไส้กุ้ง ที่น่ารักมากคือมีมุมน้ำพริกใส่ในครกทั้ง น้ำพริกปูสด น้ำพริกกะปิ น้ำพริกมะขาม น้ำพริกเผาผัดกุ้งย่างกะทิ และของแนมน้ำพริกต่างๆ รวมถึงมุมขนมหวาน มีขนมไทยหลากหลายและกล้วยไข่เชื่อม (เด็ดมาก ต้องลองเช่นกัน) ส่วนในชุดที่เรียกให้มาเสิร์ฟตอนจบได้เลย ไม่ต้องไปตักเอง คือผลไม้สดตามฤดูกาล และ ส้มฉุน อีก 1 ถ้วย ซึ่งในบุฟเฟต์นั้นจะรวม น้ำสมุนไพร และ ชา กาแฟไว้เรียบร้อย

สำหรับใครที่อยากสั่งข้าวแช่กลับบ้านก็สามารถสั่งได้ในราคา 450 บาทสุทธิ ต่อชุด โดยควรจองล่วงหน้า 1 วัน และควรโทรจองที่นั่งล่วงหน้าก่อนที่เบอร์ 0-2217-0777 หรือที่ไลน์ @HUACHANGHOTEL มิฉะนั้นอาจจะเต็มได้ ถ้าไม่ดีจริงคงไม่ทำข้าวแช่ฤดูร้อนมาตลอด 8 ปีเป็นแน่ อย่าลืมว่าข้าวแช่ตำรับหัวช้างปีนี้จะมีถึงแค่วันที่ 15 พฤษภาคม 2563 เท่านั้นนะจ๊ะ

บุฟเฟต์ข้าวแช่ตำรับหัวช้าง

ห้องอาหารมิสสยาม (Miss Siam)

โรงแรมหัวช้าง เฮอริเทจ กรุงเทพฯ

ที่ตั้ง 400 ซ.เกษมสันต์ 1 เชิงสะพานหัวช้าง ถ.พญาไท ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

โทร 0-2217-0777

เปิดบริการ 11.30 – 14.30 น.ทุกวัน ตั้งแต่ 15 มีนาคม – 15 พฤษภาคม 2563

สนนราคา คนละ 675 บาทสุทธิ (เด็กอายุ 5-11 ปี คิด 338 บาทสุทธิ)

แนะนำ ข้าวแช่ตำรับหัวช้าง

Facebook Hua Chang Heritage Hotel, Bangkok

Line @HUACHANGHOTEL

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
หอมแดงยัดไส้ปลาแห้ง
ไข่แดงเค็มทอด
แตงโมลำไยปลาแห้ง
หมูปั้นปลาอินทรี
ผลไม้และส้มฉุน
บุฟเฟต์ข้าวแช่ตำรับหัวช้าง
แกงพริกกระดูกหมูกลมกล่อมหรอยแรง

คนไทยช่วยคนไทยได้ด้วยการตระเวนกินเที่ยวทั่วประเทศ ช่วงนี้แน่นอนว่าสายการบินต่างๆ ตลอดจนโรงแรมที่พักต่างทำโปรโมชั่นกันสุดใจ ปิ่นโตเถาเล็กเลยขอเชิญชวนแฟนๆ มาเที่ยวกระบี่กันเถอะ

กระบี่แวดล้อมด้วยน้ำตก ภูเขา หาดทราย ท้องทะเลงดงาม อีกทั้งอาหารการกินก็มีให้เลือกหลากหลาย ดังเช่นในตัวเมืองกระบี่นั้นมีร้านอาหารที่รับรองว่าไม่มีใครเหมือน เพราะเจ้าของร้านมีคาแร็กเตอร์ลักษณะนิสัยไปในทางศิลปินเดี่ยวออกแนวติสต์ หน้าตาร้านดูธรรมดาเหมือนร้านข้าวต้มขายกับข้าว แต่ทำอาหารอร่อยอย่าบอกใคร คนกระบี่ติดกันงอมแงม ร้านนี้มีชื่อว่า ครัวน้องเจน

ร้านครัวน้องเจนอยู่ ริมถนนมหาราช ถนนสายหลักของเมืองกระบี่ ข้างๆ มูลนิธิประชาสันติสุข ตัวร้านเป็นห้องแถวชั้นเดียวแนวยาวขนานไปกับถนน แต่งร้านง่ายๆ ธรรมดาๆ มีทั้งห้องปรับอากาศและบริเวณด้านนอก ตั้งโต๊ะริมทางเท้าอีกด้วย เปิดบริการเฉพาะมื้อค่ำตั้งแต่ 6 โมงเย็นไปจนถึง 4 ทุ่ม

พระเอกชูโรงประจำร้านคือ โกวัช หรือ คุณธวัช เรือนแก้ว ลูกชายของ โกวี เคยช่วยพ่อทำร้านข้าวต้มตรงแถวธนาคารออมสินเก่าในจังหวัดนครศรีธรรมราชมาก่อน โกวัชย้ายมาเปิดร้านครัวน้องเจนที่กระบี่ได้ 13 ปีแล้ว

โกวัชมีฉายาที่คนกระบี่ตั้งให้ว่า โกว้าก เพราะว่าเป็นคนพูดเสียงดังฟังชัด เอกลักษณ์ประจำตัวคือต้องโชว์ลีลาว้ากศรีภรรยาและลูกน้องในระหว่างการทำกับข้าว บางครั้งก็พูดเสียงดังกับลูกค้าที่คุ้นเคยอีกต่างหาก วันไหนไม่ได้ว้ากเสียงดังก้องร้าน อาหารคงไม่อร่อยเป็นแน่

โกว้ากเป็นเดี่ยวมือหนึ่ง ปรุงอาหารอยู่คนเดียว และจะทยอยทำทีละโต๊ะ ถ้าคนเต็มร้านอาจจะต้องรออาหารนานนับชั่วโมง และถ้าสั่งไปแล้วอยากสั่งเพิ่ม โกว้ากอาจจะว้ากเราได้ว่าสั่งอาหารเต็มโต๊ะพอแล้ว ให้มาสั่งใหม่วันหลัง หรือถ้าจะสั่งกลับบ้านก็ไม่ทำให้ ต้องกินที่ร้าน มีแกงพริกกระดูกหมูเท่านั้นที่ทำไว้เป็นหม้อ ซึ่งถ้าจะสั่งกลับก็ต้องดูทิศทางลมก่อนว่ายอมขายให้หรือไม่ และมาร้านนี้ห้ามเร่งเป็นอันขาด

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ลูกค้าขาประจำก็ไม่มีใครถือสา บอกว่าสนุกดีชินแล้ว ถ้าไม่ว้ากก็ไม่มีสีสัน อีกทั้งถ้าในโต๊ะมีเด็กเล็กมาด้วยโกว้ากจะใจดีเป็นพิเศษ แม้กระทั่งไข่เจียวซึ่งเป็นเมนูต้องห้าม (เพราะโกว้ากบอกว่ากินที่บ้านก็ได้) ก็ยินดีเจียวให้เด็กๆ กิน ร้านมีเอกลักษณ์ขนาดนี้ จึงขอเชียร์ให้มาลองชิมให้จงได้เพื่อประสบการณ์สักครั้งหนึ่งในชีวิต

ของอร่อยที่ต้องสั่งขาดไม่ได้คือ แกงคั่วพริกกระดูกหมู (100-120 บาท) ที่ทำเป็นหม้อหรือกระทะใหญ่ไว้แล้ว เป็นสูตรของภรรยาโกว้าก เคี่ยวนาน 1 ชั่วโมงกว่าๆ จนรสชาติจัดจ้านหรอยแรง แต่กลมกล่อม ไม่มีรสไหนโดดเกินไป กระดูกหมูอ่อนเคี้ยวได้กร้วมๆ นอกจากนี้ยังมี หมูกรอบ (ไม่เกิน 150 บาท) ทอดมาร้อนๆ จิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ด ก็กินอร่อยเคี้ยวหนังไม่ติดฟัน โดยโกว้ากต้มหมูสามชั้นทั้งแผ่น ใช้ตะปูจิ้มหนังหมูแล้วนำไปเผา และหมูกรอบนี้เอาไปทำ หมูคั่วเกลือ (ไม่เกิน 150 บาท) ได้ด้วย กรอบนอกนุ่มใน รสเค็มกำลังดี หอมมากๆ

แกงอีกอย่างที่ต้องสั่งคือ แกงส้มปลากะพง (260-300 บาท) รสเข้มข้น ใส่ได้ทั้งยอดมะพร้าวสดกรอบ และออดิบ ซึ่งช่วงต้นปีนี้มีมะรุมก็เลยให้ใส่ด้วย แกล้มด้วย หมูสับปลาเค็ม (ชิ้นละ 40 บาท) ปั้นเป็นก้อนๆ ทอด เนื้อหมูสับนุ่มหอม ปลาอินทรีไม่เค็มมากจนเกินไป บีบมะนาวใส่หอมใหญ่และพริกขี้หนูเข้ากันดี เมนูนี้ต้องโทรสั่งล่วงหน้าก่อนจะมาที่ร้านถึงจะได้กิน หรือจะแก้เผ็ดด้วย ไข่ตุ๋น (80 บาท) เนื้อเนียนที่สุด หอมหวานด้วยน้ำซุปกระดูกหมู ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ชอบสั่งกันมาก

หมูสับปลาเค็ม
แกงคั่วพริกกระดูกหมู ทำทีละหม้อใหญ่
แกงเลียงไข่มดแดงใส่ผักหวาน

ของซดๆ น้ำๆ ต้องลอง ต้มจิ๊กโก๋ (ไม่เกิน 320 บาท) เมนูดังประจำร้านไม่ซ้ำใคร คล้ายกับต้มยำแต่ไม่ใส่ข่า ปรุงด้วยพริกสดและพริกแห้งทอด มีรสเปรี้ยวอมหวานนิดๆ จากผักกาดดอง ใส่ทั้งเนื้อปลากะพงและกุ้งทะเลสดๆ และเครื่องในปลา (ซึ่งโกว้ากเรียกว่าสัตว์ประหลาด)

ของดีร้านนี้ยังมีอีกมาก ทั้ง กุ้งผัดสะตอใส่กะปิ (160-250 บาท) กรอบอร่อยทั้งสะตอและกุ้งทะเล ผัดเห็ดปลวก หรือ เห็ดโคนน้ำมันหอย ถ้าช่วงไหนมีให้สั่งด้วย ฮ่อยจ๊อ (ลูกละ 30 บาท) ทอดอัดแน่นไปด้วยทั้งเนื้อปูและเนื้อกุ้ง อีกทั้ง ปูม้าผัดผงกะหรี่ สไตล์ไทยปนจีน และช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ที่กระบี่จะเป็นหน้าไข่มดแดง (ส่วนเดือนเมษายนได้มาจากพัทลุง) ต้องสั่ง ไข่มดแดงคั่วเกลือ (180 บาท) ใส่กระเทียมสดกับกระเทียมเจียว เวลากินให้บีบมะนาวเล็กน้อยอร่อยเหาะจริงๆ หรือจะลองชิม แกงเลียงไข่มดแดงใส่ผักหวาน (180 บาท) รสนุ่มนวลชวนกิน ส่วนผัดผักแน่นอนว่ามาภาคใต้ต้องสั่ง ใบเหลียงผัดไข่ (ไม่เกิน 120 บาท) (หรือเรียกว่าใบเหมียง) ใบมันๆ

โกว้ากบอกว่า ยังมีของดีที่ขาประจำชอบมาก คือ ราดหน้าทะเล (350 บาท แล้วแต่ขนาด) อิ่มแค่ไหนก็ต้องชิม ใส่เครื่องมาเต็มทั้งปลากะพง หมึก กุ้ง ลูกชิ้นปลา ตับหมูและเนื้อหมู น้ำราดหน้ารสชาตินุ่มนวลหอมมาก ปิดท้ายด้วย แตงโม ผลไม้ล้างปากแจกฟรี มากินกี่ครั้งก็หวานฉ่ำตลอด

ขอบอกว่าสนนราคาอาหารของที่นี่จะกะตามจำนวนคนในโต๊ะ จึงไม่สามารถบอกแน่นอนได้ ที่แจ้งไปจึงเป็นราคาคร่าวๆ แต่รับรองว่าสบายกระเป๋าสมเหตุสมผล

มากระบี่แล้วอยากกินให้ได้อารมณ์และอร่อยไม่เหมือนใคร ต้องมาร้านครัวน้องเจนของโกว้ากให้จงได้ อย่าลืมว่าร้านเปิดเฉพาะมื้อค่ำตั้งแต่ 6 โมงเย็นไปจนถึง 4 ทุ่ม หยุดเดือนละ 2 วัน มักจะเป็นช่วงเสาร์-อาทิตย์ปลายเดือน โทร 08-1891-7037 ว้ากเสียงดังอย่างนี้หาที่ไหนไม่ได้แล้ว

ข้อมูลร้าน

ครัวน้องเจน

โดย คุณธวัช เรือนแก้ว

(โกวัช มีฉายาว่า โกว้าก)

ที่ตั้ง 307/16 ถ.มหาราช ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.กระบี่ 81000

โทร 08-1891-7037

 

เปิดบริการ 18.00 – 22. 00 น. ทุกวัน

หยุด เดือนละ 2 วัน โดยมาก คือ เสาร์-อาทิตย์ ปลายเดือน

แนะนำ แกงคั่วพริกกระดูกหมู หมูกรอบ หมูคั่วเกลือ แกงส้มปลากะพง หมูสับปลาเค็ม ต้มจิ๊กโก๋ กุ้งผัดสะตอใส่กะปิ ผัดเห็ดปลวกหรือเห็ดโคนน้ำมันหอย ฮ่อยจ๊อ ไข่มดแดงคั่วเกลือ แกงเลียงไข่มดแดงใส่ผักหวาน ใบเหมียงผัดไข่ ราดหน้าทะเล

Facebook ครัวน้องเจน กระบี่

ช่วงคนแน่น วันเสาร์-อาทิตย์

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
โกธวัชหรือโกว้าก
แกงส้มปลากะพง
ไข่มดแดงคั่วเกลือ
ต้มจิ๊กโก๋
หอยเป๋าฮื้อนึ่งสาเก

มีร้านอาหารญี่ปุ่นเจ้าหนึ่งที่ถือเป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ ของครอบครัวเรามานาน ซึ่งปิ่นโตเถาเล็กขอแนะนำทบทวนอีกครั้งหนึ่ง รายนี้ถือเป็นร้านแรกในเมืองไทย เปิดมานานกว่า 80 ปีแล้ว (เริ่ม พ.ศ.2482) มีชื่อว่าฮานาย่า (Hanaya)

ที่นี่มีจุดเด่นอยู่ที่เมนูญี่ปุ่นหลากหลาย ราคาดีสมเหตุสมผล แม้กระทั่งของสดจากญี่ปุ่น (มาอาทิตย์ละ 2 วัน ทุกวันอังคารและศุกร์) ก็มีราคาไม่แพงเกินไป กลายเป็นขวัญใจชาวไทย นิยมมากันทั้งครอบครัวใหญ่ จึงมักจะแน่นอย่าบอกใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน วันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น จึงควรโทรมาจองก่อนล่วงหน้าดีที่สุด

ฮานาย่าตั้งอยู่ที่เดิมไม่เคยย้ายไปไหนตรงบริเวณ หัวถนนสี่พระยา ควรไปตั้งต้นที่หัวถนนสีลมที่เป็นสามแยก (ตรงโรงพยาบาลเลิดสิน) เลี้ยวขวาเข้าถนนเจริญกรุง มาตามเส้นทางวันเวย์ ผ่านทางเข้าโรงแรมโอเรียนเต็ล ผ่านสามแยกที่ตัดกับถนนสุรวงศ์ ผ่าน CAT (กสท) ด้านซ้ายมือ จากนั้นให้เลี้ยวขวาที่สี่แยกไฟแดงถัดไปเพื่อเข้าถนนสี่พระยา เพียงแค่ 100 เมตร ให้ชิดขวาทันที จะเห็นป้ายทางเข้าฮานาย่าอันเบ้อเริ่ม เลี้ยวเข้าไปในทางแคบๆ นั่นแหละก็จะเห็นร้านอยู่ด้านในทางซ้าย มีที่จอดรถด้านหลังเป็นลานโล่งกับโรงจอดรถสูงๆ ได้ประมาณ 40 กว่าคัน ซึ่งด้านหลังนี้ยังออกไปซอยเจริญกรุง 39 โดยเข้าจากทางนี้ได้ด้วย

ด้านในร้านตกแต่งเนี้ยบเรียบง่ายสไตล์ญี่ปุ่นแท้ จุคนทั้งสองชั้นได้ถึง 230 คน รวมห้องส่วนตัวเล็กใหญ่ถึง 8 ห้อง สำหรับใครที่ต้องการเจาะลึกถึงของกินญี่ปุ่นเป็นพิเศษ ขอเชิญนั่งหน้าเคาน์เตอร์ซูชิ (ได้ประมาณ 10 คน)

ความพิเศษของฮานาย่าอีกอย่างคือนอกจากจะมีเมนูทั่วไปหลากหลาย (เชิญเปิดเมนูเลือกจิ้มได้เลย) แล้ว ยังมีดีที่วัตถุดิบของสดพิเศษนอกเมนูอีกมาก ทั้งปลาปูกุ้งหอย ทั้งของกินเล่นกินจริง นี่คือจุดใหญ่ใจความที่อยากเชียร์ให้มาลิ้มลอง โดยจะขอเน้นบรรยายเมนูเหล่านี้เพื่อประโยชน์แก่การตามไปชิมได้ถูก

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับหนุ่มใหญ่หน้าใสใส่แว่นตาประจำซูชิบาร์ คือเจ้าของร้านรุ่นที่ 3 คุณโยชิโอ้ หรือมีชื่อไทยว่า คุณยศกร วาตานูกิ ครอบครัวเราตั้งสมญานามให้ว่า พี่หล่อ เพราะลูกสาวคนโตของผมตอนเล็กๆอายุ 3 ขวบ เป็นคนตั้งชื่อให้ นอกจากนี้คุณพ่อของโยชิโอ้ คุณทากาชิ เจ้าของร้านรุ่นที่ 2 จะประจำอยู่ในครัวอีกด้วย

พี่หล่อเล่าให้ฟังว่า คุณตาคุณยายของเขามาจากเมืองคาโกะชิม่า เปิดร้านมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่ฝั่งตรงข้ามร้านปัจจุบัน จนกระทั่ง พ.ศ.2509 ได้ย้ายข้ามฝั่งมาเปิดร้านใหม่ในปัจจุบันจนทุกวันนี้ (ดูรปร้านสมัยก่อนที่ด้านหลังเมนูได้ Miss Hanaya ในรูปหมายความถึงพนักงานร้าน) ตอนนี้ที่ซูชิบาร์มีผู้ดูแลอยู่ถึง 6 คน (แต่ก่อนมีเชฟอาวุโสชื่อ มิจัง คุ้นเคยกับคุณชายถนัดศรีมาก มาจากห้างไดมารู ห้างญี่ปุ่นเจ้าแรกในไทย แต่จากเราไป 3 ปีแล้ว)

shirako สเปิร์มปลาคอด
ซูชิหน้าปลากินเมได(Kinmedai)
ซูชิหน้าปลามาได (Madai)

สำหรับผู้ที่อยากเจาะลึกและมีสตุ้งสตางค์พร้อม ขอแนะนำให้สั่งแบบ โอมากาเสะ ซึ่งมีความหมายว่า มีอะไรดีๆ ก็ทำทยอยมาให้ชิมเลย หรืออยากสั่งแค่บางอย่างเองก็ย่อมได้

เริ่มกันด้วยของกินเล่นง่ายๆ อย่างเช่น รากบัวทอด (Renkon Crisp) (100 บาท+ ค่าบริการ 10%) กรอบอร่อย กับ หนังปลาแซลมอนทอดกรอบ (60 บาท+) ลูกชิ้นปลาหรือเนื้อปลาสับห่อใบโอบะย่าง (70 บาท+) และที่พิเศษกว่าใครคือ ผัก Ice Plant (300 บาท+) หรือ Siona ที่คนไทยตั้งชื่อว่า ผักเกล็ดหิมะ เพราะเหมือนมีเกล็ดหิมะเกาะอยู่มีรสชาติเค็มๆ ในตัวกรอบอร่อย ผักนี้มีต้นกำเนิดในแอฟริกาใต้ และมีคนญี่ปุ่นนำไปปลูก นิยมกินแต่ยอด

ใบอ่อน ซึ่งที่ฮานาย่าจะขูดชีสเป็นแผ่นยาวๆ ให้กินคู่กันด้วย

มีของกินเล่นขึ้นชื่อแห่งจังหวัดอาคิตะ หัวไชเท้าดองรมควัน (Iburi Gakko)(100 บาท+) หั่นมาเป็นชิ้นๆ เคียงข้างด้วยหัวไชเท้าดองคลุกครีมชีสหอมมัน ถ้าชอบมะเขือเทศ ให้สั่ง Cindy Sweet หรือมะเขือเทศหวาน (100 บาท+) กรอบอร่อย ซึ่งพันธุ์นี้นำเข้ามาปลูกในไทยแล้ว

คุณโยชิโอ้

ต่อด้วยของทะเลต่างๆ ที่เป็นเมนูเล็กๆ มีสุดยอดไข่ตุ๋นหน้าปูซูไว (300 บาท+) เป็นของพิเศษนอกเมนู ใส่ปลามาไดและปลาหมึกกับส้มยูซุหอมๆ ด้วย อีกทั้ง ของดี 3 อย่าง ในถ้วยเดียวกันมีทั้งอูนิ (Uni) ไข่หอยเม่นจากฮอกไกโด ไข่ปลาแซลมอน และ ชิโระเอบิ (Shiroebi) กุ้งขาวหวาน (700 บาท+) ใช้ช้อนเล็กๆ ตักกินสะใจ อีกทั้ง อังกิโมะ (Ankimo)(100 บาท+) ตับปลา Monkfish ต้มซีอิ๊ว นุ่มแน่นหอม โปะหน้าด้วยชีสมอซซาเรลล่า เป็นของกินเล่นนอกเมนู และของดีๆ อย่าง หอยเป๋าฮื้อนึ่งสาเก (700 บาท+) เสิร์ฟมาทั้งตัว

ใครชอบสิ่งที่ท้าทายให้สั่งชิราโกะ (Shirako)(700 บาท+) หรือสเปิร์มปลาคอดสีขาวครีมๆ คลุกกับพอนสึเปรี้ยวๆ จึงกินเท่าไหร่ก็ไม่เลี่ยน อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา

ส่วนซูชิที่ต้องสั่งคือโฮตารุอิกะ (Hotaru ika) หรือ หมึกหิ่งห้อย เราสั่ง หมึกหิ่งห้อยดองซีอิ๊วห่อสาหร่าย (คำละ 60 บาท+) ที่ญี่ปุ่นพอจับมาได้ก็ดองซีอิ๊วทันที รวมทั้ง หมึกหิ่งห้อยนึ่ง จิ้มมัสตาร์ด (200 บาท+) มาเป็นจานๆ อีกทั้งซูชิหน้าปลามาได (Madai) (คำละ 180 บาท+) หรือปลากะพงแดงญี่ปุ่น ก่อนกินให้บีบมะนาว และซูชิหน้าปลากินเมได (Kinmedai) (250 บาท+) ที่สุดยอดมาก ต่อด้วยเมนูในตำนานร้านนี้ ซูชิหน้าปลาไหลอูนางิ (Unagi) (360 บาท+) ย่างซีอิ๊ว ชิ้นยาวเหยียดเท่าตัวปลาไหล (แล่มาครึ่งตัว) ยาวกว่าข้าวปั้นหลายเท่า ข้าวญี่ปุ่นร้านนี้ใช้ข้าวสายพันธุ์โด่งดังของจังหวัดอาคิตะ ที่นำมาปลูกในไทยได้แล้ว

ถ้ายังไม่อิ่มให้สั่ง ปลาหิมะ (Gindara) ย่างเต้าเจี้ยว(500 บาท+) ซึ่งโยชิโอ้บอกว่าเป็นตัวเลือกที่มาแรงนอกเหนือจากปลาย่างซีอิ๊วหรือย่างเกลือ อีกทั้งให้ลองเห็ดไมตาเกะเทมปุระ (180 บาท+) แทนที่จะเป็นกุ้งเทมปุระ

คุณโยชิโอ้แถม หัวไชเท้าดองเปรี้ยวหวาน มาให้กินแก้เลี่ยน และปิดท้ายด้วย ซุปมิโสะหอยชิจิมิ (Shijmi) (150 บาท+) อีก 1 ถ้วยเป็นธรรมเนียมตอนจบ

ถึงตอนนี้รู้สึกอิ่มแปล้มาก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องสั่งของหวาน พุดดิ้งชาเขียว (110 บาท+) โปะหน้าด้วยถั่วแดงกวน ทำแค่ 30 ถ้วยต่อวันเท่านั้น อีกทั้ง โมจิห่อไส้คัสตาร์ดครีม (80 บาท+)

นี่คือของพิเศษต่างๆ ที่คัดสรรมาเชียร์ให้ลิ้มลอง ส่วนเมนูอื่นๆ ซูชิ ปลาดิบทั้งนำเข้าและปลาไทย กับเมนูทั่วไปเหมือนกับร้านอื่นๆ มีอีกมากมาย ราคาสบายกระเป๋ามาก

ร้านฮานาย่า เปิดเป็นช่วงๆ ตามมื้ออาหาร 11 โมงครึ่งถึงบ่าย 2 โมง และ 5 โมงครึ่งถึง 4 ทุ่มครึ่ง ทุกวัน แต่อย่าลืมว่าร้านหยุดทุกวันอาทิตย์ที่ 2 และ 4 ของเดือน วันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์แน่นอย่าบอกใคร ควรโทรไปจองก่อนที่เบอร์ 0-2234-8095 นะจ๊ะ


ข้อมูลร้าน

ภัตตาคารฮานาย่า (Hanaya)

โดย คุณทากาชิ วาตานูกิ

ที่ตั้ง 683 ถ.สี่พระยา แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500

โทร 0-2234-8095 0-2233-3080

เปิดบริการ 11.30-14.00 น.(ครัวปิด 13.30 น.) 17.30-22.30 น. (ครัวปิด 21.30 น.) ทุกวัน

หยุด อาทิตย์ที่ 2 และอาทิตย์ที่ 4 ของเดือน

ช่วงคนแน่น วันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น

Facebook Hanaya 1976

ซูชิหน้าปลาไหลอูนางิยาวๆ
ปลาหมึกหิ่งห้อยนึ่ง
ปลาหิมะย่างเต้าเจี้ยว
ผักเกล็ดหิมะ Ice Plant
รากบัวทอด
หัวไชเท้าดองรมควัน Iburi Gakko
อังกิโมะ ตับปลานึ่งซีอิ๊ว
Hayana
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
Saruda Exotic Island

ถ้าจะให้แนะนำร้านอร่อยในจังหวัดเชียงใหม่ แน่นอนว่าจะต้องมีร้านประเภทเค้กขนมหวานรวมอยู่ในลายแทงด้วย เพราะเชียงใหม่มีร้านเค้กเพสตรี้ดีๆ สวยหวานมีเสน่ห์เหมือนกับคาแร็กเตอร์เมืองนี้อยู่มากมาย

ซึ่ง ณ วินาทีนี้ ร้านเค้กเพสตรี้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งสุดยอดแห่งร้านเค้กในเชียงใหม่เห็นจะหนีไม่พ้น Saruda (อ่านว่าศรุดา ตามชื่อเจ้าของร้าน) ไปได้ มีชื่อเต็มๆ ว่า Saruda Finest Pastry อยู่ตรง ซอยเชื่อมระหว่างนิมมานเหมินท์ซอย 3 และ 5 ตรงข้ามกับร้านกาแฟ Ristr8to Lab ชื่อดัง (สาขาที่เป็นร้านใหญ่) และ อยู่ติดกับร้านอาหารญี่ปุ่น Tengoku สาขานิมมาน

คุณศรุดาหรือน้องวิวเจ้าของร้านเข้าคอร์สเรียนจากเชฟระดับโลกชาวฝรั่งเศสและสเปนมากกว่า 9 คน อาทิ เชฟ CédricGrolet เชฟ Julien lvarez เชฟ Olivier Bajard หลังจากที่น้องวิวเป็นเพสตรี้เชฟใหญ่ประจำร้าน Mix มานาน จึงขยับขยายมาเปิดร้าน Saruda ใกล้ๆ กันในแนวโมเดิร์นเฟรนช์เพสตรี้

เปิดมาเพียงไม่ถึงปี ร้าน Saruda ก็โดดเด่นเป็นที่กล่าวขานกันทั้งเมือง ที่นี่เลือกใช้แต่วัตถุดิบชั้นเยี่ยมจากเมืองนอก อาทิ ช็อกโกแลต Valrhona จากฝรั่งเศสหลากหลายชนิด ฝักวานิลาจากตาฮิติ พิถีพิถันกับขนมหวานแต่ละตัว ต้องใช้เวลาหลายวันในการทำขั้นตอนซับซ้อน จนได้สุดยอดเค้กหน้าตาดีมากมาย

แต่ละวันจะมีเค้กเพสตรี้ 10 กว่าชนิด ทำชนิดละมากสุดไม่เกิน 30 ชิ้นเท่านั้น หมดแล้วหมดเลย ดังนั้นจึงควรมาตั้งแต่ช่วงกลางวัน

มีอยู่ชิ้นหนึ่งเพียงลิ้มลองคำแรกก็รู้สึกตาโตด้วยความประทับใจ อัลมอนด์ฟรุตทาร์ต (Almond fruit tart) (165 บาท) เป็นทาร์ตผลไม้แห้งอร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา หนึบกรอบหอมได้เคี้ยวผลไม้แห้งและถั่ว ทั้งแอปริคอต ส้มแมนดาริน ลูกพรุน มะเดื่อ(ฟิก) แมคคาเดเมีย พิชตาชิโอ พีแคน ตัวทาร์ตสไตล์ฝรั่งเศสเรียกว่า Tarte au sucre หรือชูการ์พายส์ เนื้อเค้กด้านในทาร์ตคือ ฟรันจิปาน (Almond Frangipane) หรือเค้กอัลมอนด์ครีมของฝรั่งเศส เค้กช็อกโกแลตหน้าตาด้านบนตะปุ่มตะป่ำเหมือนท้าวแสนปม แต่อร่อยล้นเหลือ ชื่อว่า Chocolate Basque P125 (155 บาท) ด้านบนเป็นครัมเบิ้ลช็อกโกแลต ถัดมาคือเนื้อเค้กสไตล์ Basque กึ่งเค้กกึ่งทาร์ต อบแล้วเนื้อฟูกว่าทาร์ตปกติ ด้านในเป็น เพสตรี้ครีมช็อกโกแลต Valrhona P125 เข้มข้นหอมอร่อยเนื้อเนียนมาก

ขนมหวานหน้าตาดีอีกอย่างเป็นก้อนโดมสีม่วง Violetta (175 บาท) ด้านในคือ บลูเบอร์รีคอมโพท (Blueberry compote) หอมหวานกับบลูเบอร์รีชีสพิวเร (Pure) หุ้มด้วยมูสมาสคาร์โปเน่ ซึ่งจะหอมมันสุดยอด และเคลือบ (Glaze) สีม่วงอ่อน อิ่มแค่ไหนก็ต้องสั่ง

ที่ชื่นชอบไม่แพ้กันคือ Anastasia (175 บาท) มีทั้งพิชตาชิโอ้วิปครีมเบาๆ หอมๆ และพิชตาชิโอ้พราลีน หุ้มสตรอเบอร์รีตุ๋น (Confit) ฐานล่างเป็น Sabl tart ร่วนกรอบ ด้านบนมีสตรอว์เบอร์รีนิวซีแลนด์สด เมื่อกินรวมกันในคำเดียวแล้วจะเหมือนขึ้นสวรรค์เลยทีเดียว

ใครก็ตามที่เข้ามายืนหน้าตู้เค้ก จะเกิดอาการตื่นตาตื่นใจไปกับเค้กที่หน้าตาเหมือนผลไม้จริงๆ อย่างเช่น Orange Bliss (195 บาท) เมื่อตักเข้าปากจะรู้สึกถึงรสส้มมากๆ ด้านในเป็นเจลส้มจี๊ดจ๊าดกับเปลือกส้มเชื่อมจนนุ่มหน่อยและมีเนื้อส้ม หุ้มด้วยกานาชมอนเต้ (Ganache Montee) ครีมส้มนุ่มฟู พ่นทับหลายชั้นเหมือนผลส้มจริง มีใบส้มก้านส้มอีกด้วย ฐานล่างเป็นข้าวพองซีเรียลใส่ผิวส้มกับเฮเซลนัทบด

Mango Passion
Orange Bliss
Saruda Blooming Tea
Saruda Blooming Tea

อีกอย่างหน้าตาเป็นลูกแพร์ คือ วิลเลียมส์แพร์ (Williams Pear)(185 บาท) มีทั้งเค้กขนมปังขิงนุ่มๆ ถัดมาคือครีมผสมเหล้า Bailey Irish coffee หอมๆ และมีเนื้อลูกแพร์ตุ๋นกับวานิลลา อีกทั้งมูสคุกกี้ขิงแบบเยอรมัน

มีเค้กหน้าตาเหมือนลูกมะม่วงสุกอีกด้วย ชื่อว่า Mango Passion (175 บาท) ด้านนอกเป็นมูสครีมชีส เนื้อในเป็นเจลเสาวรส ยูซุ และมะม่วง ให้ความเปรี้ยว 3 แบบ ใส่เนื้อมะม่วงสุกด้วย

ต่อด้วยเค้กหน้าตาเหมือนมะพร้าวเฉาะ ชื่อ Exotic Island (175 บาท) เนื้อมะพร้าวเป็นมูสกะทิช็อกโกแลตขาว ไส้ในเป็นมะม่วงกับเสาวรสพิวเร มีเนื้อมะม่วงและเนื้อสับปะรดด้วย ตรงกลางชิ้นคือน้ำเสาวรสผสมไซรับเหล้ามาลิบู

คนชอบช็อกโกแลต ให้ลอง Mr.Autumn (215 บาท) ด้านบนมีมูสช็อกโกแลต 70% ไส้เฮเซลนัทพราลีน ด้านล่างมีช็อกโกแลตกานาชมอนเต้เนียนๆ หุ้มช็อกโกแลตบิสกิตออกแนวบราวนี่ และมีกานาชช็อกโกแลต Valrhona P125 หนืดเข้มข้นมากๆ คำหนึ่งได้หลายรสสัมผัสหลายรสชาติของช็อกโกแลต

สโคน

ต่อด้วยก้อนอุกกาบาตชื่อ ควอซาร์ (Quasar)(185 บาท) ตัวตะปุ่มตะป่ำคือครัมเบิ้ลช็อกโกแลตกับแคนดี้ที่กินแล้วเป๊าะในปาก มีมูสช็อกโกแลตอีกชนิดไม่ซ้ำตัวอื่น ไส้แยมส้มแมนดาริน และมีทั้งพุดดิ้งช็อกโกแลตเข้มข้นกับบิสกิตกรอบๆ

ยังไม่หมดนะจ๊ะ บลูเบอร์รีทาร์ต (175 บาท) ที่ไม่ธรรมดา มีทั้งครีมกลิ่นดอกเอลเดอร์ อัลมอนด์ครีม และแป้งทาร์ต ก่อนจะราดด้วยบลูเบอร์รีคอมโพทต่างหาก และ เค้กบานาน่าคาราเมล (75 บาท) ที่ขายมาแต่แรกเริ่ม มีทั้งคาราเมลกับกล้วยหอมและเนื้อเค้กกล้วยหอม อีกทั้ง สโคน (Scone) ทั้งแบบอังกฤษเนื้อแน่นๆ (50 บาท) และที่ใส่ลูกเกดเนื้อร่วนๆ (55 บาท) มีแยมโฮมเมดแบบฝรั่งเศสสำหรับทา (15 บาท)

นอกจากเค้ก ยังมีเครื่องดื่มเก๋ๆ โดยเฉพาะชาต่างๆ อีกมากมาก แนะนำชาที่ใส่ดอกไม้ต่างๆ ลงไปด้วยเรียกว่า Blooming Tea เป็นชาผสมด้วยชาอู่หลง ชามะลิและชากุหลาบ และเทศกาลต่างๆ เช่น คริสต์มาสและวาเลนไทน์ จะมีเค้กพิเศษน่ารักน่าเอ็นดูเพิ่มสีสันอีกต่างหาก

 

ใครเข้ามาร้านนี้แล้วจะรู้สึกอบอุ่นเพลิดเพลิน เลือกนั่งทั้งโต๊ะยาวสำหรับเพื่อนฝูงหมู่คณะ โต๊ะแยก และบริเวณด้านนอกเป็นเคาน์เตอร์ไม้ยาวๆ ให้นั่งมองผู้คน

ทุกวันนี้น้องวิวก็ยังเรียนรู้ตระเวนชิมเค้กทั่วยุโรป ตระเวนเรียนกับเชฟระดับโลกอีกอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นอีก ขอเชิญไปชิมได้ทุกวันตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม แล้วจะหลงรักร้านนี้หมดหัวใจแน่นอน

Saruda Finest Pastry


โดย คุณศรุดา (วิว) วิรัช

ที่ตั้ง 12 ซอยนิมมานเหมินท์ 3 ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50200

โทร 09-5224-5536

เปิดบริการ 10.00-21.00 น. ทุกวัน

แนะนำ อัลมอนด์ฟรุตทาร์ต (Almond fruit tart), Chocolate Basque P125, Violetta, Anastasia, Orange Bliss, วิลเลียมส์แพร์ (Williams Pear), Mango Passion, Exotic Island, Mr.Autumn, ควอซาร์ (Quasar), บลูเบอร์รีทาร์ต, เค้กบานาน่าคาราเมล

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)
ตำมะม่วงปลาแห้ง

ถ้าอยากชิมของอร่อยสุดยอดที่เมืองเชียงใหม่ เที่ยวกินครบจบภายใน 5-6 ร้าน ควรไปร้านไหนบ้าง คำตอบคือไม่ง่ายเลย เพราะเชียงใหม่อุดมไปด้วยของกิ๋นลำขนาดอยู่ทั่วทุกมุมเมือง มีทั้งร้านอาหารเหนือ ร้านที่ขายอาหารเฉพาะประเภท ร้านนานาชาติ เรื่องขนมเค้กของหวานก็โดดเด่นไม่แพ้กัน แค่นึกในใจ ปิ่นโตเถาเล็กก็มีร้านโปรดอยู่หลายสิบเจ้าทีเดียว

แต่ถ้าจะให้เลือก แน่นอนว่าอันดับหนึ่งย่อมต้องเป็นร้านอาหารเหนือ และร้านโปรดของข้าพเจ้าก็คือเฮือนใจ๋ยองที่เปิดมานานตั้งแต่ พ.ศ.2545 ด้วยความที่ครบเครื่องเรื่องรสชาติอาหารเมืองขนานแท้ (โดยคนยอง) เรื่องความหลากหลายของเมนูพื้นบ้าน และได้บรรยากาศเมืองเหนือในเรือนไม้ล้านนาโบราณ ถ้าไม่ดีจริง คงไม่มีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศมาอุดหนุนกันเนืองแน่นทุกมื้อกลางวันเช่นนี้หรอก

ร้านเฮือนใจ๋ยอง อยู่ริมถนนสายเชียงใหม่-สันกำแพงสายใหม่ มาจากแยกดอนจั่น ตรงถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่-ลำปาง ผ่านศูนย์การค้า Promenada เป็นระยะทางประมาณ 9 กม. ก็จะเห็นร้านเฮือนใจ๋ยองทางขวามือ ก่อนถึงแยกเข้าตัวอำเภอสันกำแพงเล็กน้อย จอดรถได้ในซอยข้างร้านกับที่ด้านหน้าร้านริมถนนได้เลย

เริ่มแรกอาจารย์ลิปิกร มาแก้ว กับคุณนก ศรีภรรยา ตลอดจนพี่แดงพี่สาว ขายลาบไก่ในเพิงเล็กๆ มาบัดนี้ขยับขยายกลายเป็นร้านอาหารผู้คนคึกคัก มีทั้งเรือนไม้ล้านนาสำหรับนั่งกินใต้ถุนบ้าน ส่วนชั้นบนตกแต่งด้วยข้าวของเครื่องใช้สมัยป่ออุ้ยแม่อุ้ย ด้านหนึ่งจัดเป็นมุมขันโตก ด้านหน้ามีเรือนเล็กชั้นเดียวสร้างใหม่ขายของพื้นเมือง ด้านข้างมีเรือนอีกหลังติดเครื่องปรับอากาศ ส่วนด้านหลังมีหอศิลป์และที่กินข้าวเพิ่มเติม ถัดจากห้องปรับอากาศมีร้านกาแฟเพิ่มมาอีก ต่อไปจนถึงริมถนนใหญ่ยังมีตึกสร้างใหม่ที่ชั้นล่างมีห้องกินข้าว เรียกว่า โซน L.A. อีกด้วย

เสน่ห์ของเฮือนใจ๋ยองอยู่ที่อาหารพื้นบ้านทางเหนือรสชาติเข้มข้นเหมือนที่ทำกินในบ้านจริงๆ จัดใส่ในถ้วยชามเซรามิกแบบง่ายๆ ลำแต๊ๆ เด็ดที่สุดเท่าที่ได้เคยกินมาทีเดียว

ตอนนี้เฮือนใจ๋ยองเพิ่มของกิ๋นพื้นเมืองอีกมากมายรวมเป็น 50 กว่าอย่าง มีอาหารล้านนาที่รับรองว่าคนต่างถิ่นไม่รู้จักเพียบ ถ้ารออาหารแล้วหิวก็มีมุม ขนมจีนน้ำเงี้ยว ให้ตักเอง หยอดเงินจ่าย 30 บาทเองได้เลย และมีมุมผักสดพื้นบ้านเลือกหยิบตามใจชอบ (แต่ต้องกินให้หมด)

เมนูใหม่อันดับหนึ่งในดวงใจตอนนี้คือ น้ำพริกน้ำปู๋ (65 บาท) น้ำพริกหนุ่มผสมน้ำปู๋ ซึ่งทำจากปูนาตำทั้งกระดอง กรองเอากากออก เคี่ยวและปรุงรสจนได้น้ำสีดำๆ เข้มข้น ช่างเป็นน้ำพริกที่ข้นหอมเป็นที่สุด และน้ำพริกดั้งเดิมที่สั่งประจำทุกครั้งคือ น้ำพริกปลาจี่ (65 บาท) ได้ความหอมของพริกหนุ่ม หอมแดง กระเทียม ห่อใบตองแล้วปิ้ง ผสมกับกลิ่นปลาช่อนย่าง แกล้มด้วย แคบหมูติดมัน (30 บาท)

เมนูใหม่อีกอย่างที่ชอบมากเช่นกันคือ ปูอ่อง (70 บาท) ทำจากเนื้อปูนากับมันปูนา (ที่เลี้ยงเองในนา) เคี่ยวแล้วกรอง แล้วเคี่ยวต่อกับฟักทอง ไข่และกระเทียม ขอบอกว่าเด็ดไม่แพ้มันปูญี่ปุ่นเลย อีกทั้งเมนูใหม่รสจี๊ดจ๊าดถูกใจสาวๆ ตำมะม่วงปลาแห้ง (80 บาท) ใส่ปลาช่อนแห้ง คลุกกับถั่วลิสง หอมแดงเจียว แกล้มด้วยผักเชียงดา ใบชะพลู และชะอม

แอ๋บปลานิลไร้ก้าง
ลาบปลานิลคั่ว
น้ำพริกน้ำปู๋

ของกินพื้นเมืองที่หมดเร็วต้องรีบสั่งคือ ไก่เมืองนึ่งสมุนไพร (ราคาตามน้ำหนัก) หมักกับรากผักชี หอมแดง กระเทียม ลูกผักชี ดีปลี เม็ดตะไคร้กับตะไคร้ น้ำมันงา น้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว และเกลือนาน 1 คืน จนรสจัดเข้าเนื้อหอมขมิ้น

ที่ห้ามพลาดอีก 2 อย่างคือ ต๋ำขนุน (65 บาท) หรือ ต๋ำบ่าหนุน อร่อยสุดสุด ขนุนอ่อนต้มจนเปื่อยแล้วนำมาโขลก ผัดกับหมูสับ แคบหมู ใส่มะเขือเทศ เครื่องแกง ใบมะกรูด ซึ่งในขั้นตอนจะมีการโขลกส่วนผสมอีกถึง 2 ครั้ง ก่อนเสิร์ฟราดน้ำมันกระเทียมเจียวจนหอม กับ ต๋ำบะเขือ (35 บาท) หรือตำมะเขือยาวใส่พริกชี้ฟ้าเขียว กระเทียม หอมแดงเผา ใส่ไข่ต้ม เป็นของง่ายๆ ที่อร่อยกลมกล่อมหอมกลิ่นมะเขือและไม่เผ็ด

อีกอย่างที่มาแล้วต้องสั่งทุกครั้งคือส้มผักกาดน้อย (60 บาท) เป็นยำผักที่รสชาติกลมกล่อมนุ่มนวล ทำจากผักกาดซอยเป็นชิ้นเล็กๆ กับมะกอก (จึงมีกลิ่นน้ำมะกอกหอมๆ) ใส่เครื่องต่างๆ ปรุงด้วยน้ำยำปลาทับทิม โรยด้วยแคบหมู ส่วนผัดผักให้สั่งผักพื้นเมืองซึ่งมีวิตามินเอสูง เชียงดาผัดไข่ (50 บาท) อร่อยหอมหวาน ผัดกับพริกชี้ฟ้าหอมๆ

ต๋ำบะเขือ

จำพวกแกงมีให้เลือกหลากหลาย มี แกงหน่อไม้ (65 บาท) ใส่หน่อไม้หวานกิมซุงซึ่งอ่อนมากๆ ปรุงด้วยพริกหนุ่ม กะปิ หอม กระเทียม น้ำปลาร้าและน้ำซาวข้าว และ แกงตูน (80 บาท) แกงพื้นบ้านทางเหนือใช้พริกแกงแค ใส่ก้านตูนกรอบๆ (ตูนคือคูนหรือออดิบนั่นเอง) กับเนื้อปลาช่อน มีรสเปรี้ยวด้วยมะนาว (หรือน้ำมะกรูด) นอกจากนี้ยังมีแกงแคกบรสจัดมาก (100 บาท) มาเมืองเหนือต้องกินเนื้อกบ สดอร่อยอย่าบอกใคร และมีแกงแคไก่ แคปลาให้เลือกอีกด้วย

อยากกินรสจัดเผ็ดร้อนทุกคำกลืนต้องลองแกงคั่วไก่ (80 บาท) ทำแห้งๆ น้ำขลุกขลิกเหมือนคั่วแค ใส่มะแขว่นและกะทิเล็กน้อย มีส่วนผสมของใบจัน (ใบยี่หร่า) ผัดกับน้ำพริกแกงแค จึงมีรสร้อนแรงเป็นที่สุด ส่วนลาบเมืองนั้น ให้สั่งลาบปลานิลคั่ว (70 บาท) ใส่มะแขว่นมีกลิ่นเอกลักษณ์เหมือนลาบหมูคั่ว

ยังมีของน่าลิ้มลองอีกเพียบทั้ง จิ้นส้มหมกไข่ (40 บาท) คือแหนมใส่ไข่ห่อใบตองแล้วย่างไฟ กับจิ้นส้มผัดไข่ (50 บาท) หรือแหนมผัดไข่ แอ็บปลานิลไร้ก้าง (50 บาท) คลุกเครื่องแกง ห่อใบตองแล้วย่างไฟอ่อนๆ จนสุกหอม กินได้สบายใจไม่กลัวติดคอเพราะเอาก้างออกแล้ว ห่อนึ่งหมู (60 บาท ห่อนึ่งไก่ก็มี) ใส่หมูสามชั้นกับสันคอหมูและวุ้นเส้น นำมาคลุกเคล้ากับเครื่องแกงแบบเดียวกับพริกแกงแค ห่อด้วยใบตอง และนึ่งจนสุก คั่วโฮะ (65 บาท) หรือแกงโฮะใส่น้ำฮังเล ตะไคร้ โรยผงฮังเล และใส่ผักแกงแค หน่อไม้ดอง กับวุ้นเส้น มีรสออกหวานนิดหน่อย

นอกจากนี้ยังมีเมนูตามฤดูกาล เช่น หน่อยัดไส้ พริกยัดไส้ ตำหน่อไม้สด (คล้ายตำไทย) และเมนูอื่นๆ ให้ลองถามที่ร้านได้เลย

เมนูเหล่านี้กินคู่กับข้าวได้สารพัดแบบ มีทั้งข้าวนึ่ง (ข้าวเหนียวธรรมดา) ข้าวนึ่งข้าวกล้อง ข้าวนึ่งก่ำ (15 บาทรวด) อีกทั้งข้าวสวย (10 บาท) และข้าวกล้องสวย (15 บาท) ด้วย

จะเห็นได้ว่ามีของกิ๋นพื้นเมืองมากมายลำแต๊ๆ จริงๆ เฮือนใจ๋ยองเปิดบริการ 10 โมงเช้าถึงบ่าย 4 โมง หยุดทุกวันจันทร์ โปรดหลีกเลี่ยงช่วงเที่ยง คนแน่นอย่าบอกใคร โทรสอบถามได้ที่ 08-6671-8710 08-6730-2673 ขอย้ำว่าร้านนี้อร่อยขนาดยกนิ้วให้ทั้งสองมือ แอ่วเมืองเหนือเมื่อไหร่ ต้องมาชิมให้ได้นะจ๊ะ


ข้อมูลร้าน เฮือนใจ๋ยอง

โดย คุณรัชนีวรรณ ฉลาดพงศ์พันธ์(พี่แดง)

ที่ตั้ง 65 ม.4 ต.บวกค้าง อ.สันกำแพง เชียงใหม่ 50130

โทร 08-6671-8710 08-6730-2673 (คุณนก)

เปิดบริการ 10.00-16.00 น. อังคาร-อาทิตย์

หยุด จันทร์

แนะนำ น้ำพริกน้ำปู๋ น้ำพริกปลาจี่ ปูอ่อง ตำมะม่วงปลาแห้ง ไก่เมืองนึ่งสมุนไพร ต๋ำขนุน ต๋ำบะเขือ ส้าผักกาดน้อย เชียงดาผัดไข่ แกงหน่อไม้ แกงตูน แกงแคกบ แกงคั่วไก่ ลาบปลานิลคั่ว จิ้นส้มหมกไข่ จิ้นส้มผัดไข่ แอ็บปลานิลไร้ก้าง ห่อนึ่งหมู คั่วโฮะ

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
ต๋ำขนุน
เชียงดาผัดไข่
จิ้นส้มหมกไข่
แกงตูน
แกงคั่วไก่
ขนมจีนน้ำเงี้ยวให้ตักเอง