ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพมหานคร(กทม.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 31 พ.ค.2563 ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครครั้งที่13/2563 มีพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม.เป็นประธาน ได้พิจารณามาตรการผ่อนปรนกิจการ-กิจกรรมป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระยะที่3 จะเริ่มเปิดดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.นี้เป็นต้นไป

หลังสถานการณ์ในเดือนพ.ค. ในพื้นที่กทม.พบผู้ป่วยใหม่ 9 ราย ซึ่งสถิติลดลงกว่า55% จากเดือนเม.ย. จึงเป็นที่มาทำไมถึงมีผ่อนปรนเพิ่มเติมเปิดสถานที่ต่างๆ มี 17สถานที่ มีแตกต่างจากมาตรการของรัฐไปบ้าง

1. ร้านอาหาร เปิดผ่อนปรนตั้งแต่เฟสแรก มีการแพร่ระบาดค่อนข้างมาก จึงมีมาตรการเข้มข้น มีเทเบิลชิลหรือเว้นระยะทางบนโต๊ะ 1-1.5 เมตร แต่ตอนนี้จะอนุโลมมากขึ้นให้สามารถนั่งรับประทานร่วมกันได้ แต่ต้องมีการเว้นระยะห่าง 1 เมตร หลักการไม่ให้หนาแน่นมากเกินไป ไม่จำกัดคนแต่ละโต๊ะ แต่จำกัดความหนาแน่นโดยเว้นระยะห่างเก้าอี้ เพื่อให้ประชาชนออกมาทานนอกบ้านได้มากขึ้น

2. ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมิวนิตี้มอลล์ ให้มีการเปิดได้มากขึ้นถึง21.00 น. ทางกทม. รัฐบาลคุยกับผู้ประกอบการแล้ว ให้บริหารจัดการหลังร้านให้พนักงานกลับบ้านได้ทัน ไม่เกินเวลาเคอร์ฟิว

3. ร้านตัดผม เสริมสวย แต่งผม ผ่อนผันให้เปิดบริการได้ทุกอย่าง แต่จำกัดเวลาใช้บริการครั้งละไม่เกิน 2 ชั่วโมง เพื่อถ่ายเทอากาศ ทำความสะอาดทุก 2 ชั่วโมง และผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการต้องใส่หน้ากากอนามัยหรือผ้าตลอดเวลา

4. สถานเสริมความงาม สถานบริการสักผิวหนัง ให้บริการได้ทุกกิจกรรม แต่ต้องจำกัดการบริการไม่เกิน2 ชั่วโมง ผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการต้องสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย

ซึ่งกทม.เพิ่มให้ส่วนของผู้ให้บริการหรือหมอต้องใส่เฟซชิลด์ด้วย และมีลงทะเบียนทุกครั้ง ส่วนบริเวณปากหากจะทำหน้า จะต้องให้ผู้ให้บริการประยุกต์หาวิธีป้องกันเพื่อป้องกันลมหายใจ

5. ฟิตเนสนอกห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้าและคอมมิวนิตี้มอลล์ รวมถึงในห้าง ผ่อนปรนให้เปิดเล่นทุกกิจกรรม จำกัดจำนวนผู้เล่น เว้นระยะห่างเครื่องเล่นประมาณ 2 เมตร จำกัดเวลาเล่นครั้งละไม่เกิน 2 ชั่วโมง เพื่อทำความสะอาด งดการอบตัว อบไอน้ำ

6. ผ่อนผันการใช้อาคารสถานที่ โรงเรียน สถาบันการศึกษา ตอนนี้ยังไม่มีการให้เปิดเทอมเต็มรูปแบบ แต่ให้เตรียมการศึกษา ความพร้อมหลักสูตร การประชุมครูสามารถทำได้ แต่ยังไม่ให้นำนักเรียนเข้าห้องเรียน

ส่วนโรงเรียนเอกชนนอกระบบ สอนวิชาชีพ ศิลปะและกีฬา สามารถเปิดได้แต่ต้องเป็นกีฬาที่ผ่อนผันแล้ว เช่น แบดมินตัน ตะกร้อ ปิงปอง สควอตและอื่นๆ แต่ต้องทำตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เช่น สวมหน้ากากทุกครั้ง

7. การจัดแสดงสินค้า นิทรรศการ ศูนย์ประชุม ศูนย์แสดงสินค้า สถานที่ต้องมีขนาดไม่เกิน 20,000 ตารางเมตร จำกัดสูงสุด 5,000 คน จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมตามขนาดพื้นที่ คือ ไม่น้อยกว่า 4 ตารางเมตรต่อคน เว้นระยะห่างที่นั่ง ยืน ไม่น้อยกว่า 1 เมตร และเปิดบริการได้ถึงเวลา 21.00 น.

8. ศูนย์พระเครื่อง พระบูชา สามารถเปิดได้ แต่ไม่มีจัดสัมมนา ประกวด รวมกลุ่มเพื่อการจองเช่าพระ วัตถุมงคล แต่ถ้าเป็นการส่องพระเช่าพระสามารถทำได้

9. ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เด็กก่อนวัยเรียน จะให้เปิดได้เพื่อดูแลเด็ก เนื่องจากขณะนี้มีเด็กไม่ได้ไปโรงเรียน บางส่วนอยู่บ้าน จะให้เปิดศูนย์ทำการประกอบเลี้ยง ทำอาหาร นม ให้เด็กตามบ้านหรือให้ผู้ปกครองมารับตามศูนย์ แต่ไม่รับเลี้ยงทั้งวัน

10. สถานประกอบการนวดเพื่อสุขภาพ นวดแผนไทย สปา ให้เปิดได้เต็มรูปแบบ แต่ห้ามนวดบริเวณใบหน้า อบตัว อบสมุนไพรแบบรวมหลายๆคน ไม่ให้เปิดสถานที่ประเภทอาบน้ำ อบนวด และจำกัดการใช้บริการไม่เกิน2 ชั่วโมง และผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา ยกเว้นขณะอบตัวหรืออบไอน้ำ ต้องทำตามที่กำหนด

11. สถานที่ฝึกซ้อมมวย โรงยิม ค่ายมวย ให้เปิดเฉพาะฝึกซ้อมนักมวย ชกล่อเป้า ชกลมได้ แต่ยังไม่ให้ชกหรือซ้อมกันเอง เพราะยังมีความใกล้ชิดค่อนข้างมาก อาจจะเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดได้

12. สนามกีฬา ได้อนุโลมประเภทกีฬามากขึ้น เช่น ฟุตบอล ฟุตซอล บาสเกตบอล วอลเลย์บอล แต่ต้องไม่มีการแข่งขัน ผู้เข้าร่วมกิจกรรมกีฬาจะต้องมีไม่เกิน 10 คน

13. สถานที่เล่นโบว์ลิ่ง สเก็ต โลโรเบต หรือการละเล่นอื่นๆ ให้มีการเปิดเฉพาะกิจกรรมให้การออกกำลังกาย หรือฝึกซ้อมเท่านั้น ไม่ให้มีการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นรวมตัวแข่งโบว์ลิ่งการกุศล ให้เว้นระยะห่างยืนและนังไม่น้อยกว่า 1 เมตร

14. สถาบันสอนลีลาศ หรือสถาบันลีลาศ ให้ใช้บริการไม่เกิน 5 ตารางเมตรต่อคน

15. สถานที่ให้บริการลักษณะกีฬาทางน้ำ เช่น เจตสกี ไทเซิร์ฟ บันนานาโบ้ต สามารถ เปิดดำเนินได้

16. โรงภาพยนต์ โรงมหรสพ ให้เปิดบริการได้ แต่จำกัดผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ไม่เกิน 200 คน งดเว้นการจัดดนตรี คอนเสิร์ต หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่สุ่มเสี่ยง ทำให้คนมาใกล้ชิดกัน

17. สวนสัตว์หรือสถานที่จัดแสดงสัตว์ ให้เปิดดำเนินการได้แต่ต้องทำตามมาตรการของรัฐ

ร.ต.อ.พงศกร กล่าวอีกว่า สำหรับแอโรบิกในสวนสาธารณะ ยังไม่อนุญาต ด้านไทเก็กสามารถรำได้แต่ต้องรำเดี่ยว ไม่เป็นการรวมกลุ่ม โดยกทม.จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจตามสถานที่ต่างๆ รวมถึงขอความร่วมมือประชาชนเช็กอินผ่านแอปพลิเคชั่น“ไทยชนะ”ด้วย เพื่อติดตามประวัติผู้ใช้บริการในสถานีที่ต่างๆ

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า “โบอิ้ง” บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกาเปิดเผยในวันที่ 27 พ.ค. ที่ผ่านมาว่า บริษัทได้เลิกจ้างพนักงานโดยไม่สมัครใจเพิ่มอีก 6,770 คน โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับลดพนักงานของบริษัทลงทั้งสิ้น 16,000 ตำแหน่ง เพื่อรับมือกับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลให้ความต้องการใช้งานเครื่องบินทั่วโลกลดลง

นายเดฟ คาลฮูน ซีอีโอของโบอิ้งระบุในหนังสือถึงพนักงานว่า “เรามาถึงช่วงเวลาเลวร้ายที่ต้องเริ่มปลดพนักงานโดยไม่สมัครใจ” โดยพนักงานที่ถูกเลิกจ้างโดยไม่สมัครใจในวันที่ 27 พ.ค. จะยังอยู่ในฐานเงินเดือนจนถึงสิ้นเดือน ก.ค. ซึ่งก่อนหน้านี้โบอิ้งยังได้เลิกจ้างพนักงาน ด้วยวิธีการให้ลาออกโดยสมัครใจโดยมีค่าตอบแทนไปแล้ว 5,520 คน

ส่งผลให้ขณะนี้โบอิ้งได้ปลดพนักงานไปแล้วกว่า 12,000 คน ซึ่งโฆษกของโบอิ้งระบุว่า การปลดพนักงานรอบต่อไปจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยเป็นไปตามเป้าในการปรับลดพนักงานของบริษัท เพื่อลดขนาดและกำลังการผลิตของบริษัทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อย เนื่องจากสถานการณ์ของอุตสาหกรรมการบินในปัจจุบัน ที่ยังคงไม่แน่นอนและไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างชัดเจนว่าจะฟื้นตัวเมื่อใด

ทั้งนี้ ตำแหน่งงาน 16,000 คนที่บริษัทคาดว่าจะปรับลดนั้น คิดเป็น 10% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดทั่วโลกของโบอิ้งซึ่งเกือบทั้งหมดอยู่ในสหรัฐอเมริกา โดยพนักงานส่วนใหญ่ที่ถูกปลดอยู่ในส่วนงานผลิตเครื่องบินพาณิชย์มากกว่าส่วนงานเครื่องบินรบหรือยานอวกาศ

ขณะที่ “แอร์บัส” บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่คู่แข่งของโบอิ้ง ก็ได้ประกาศพักงานพนักงานในยุโรปถึง 6,000 คนในเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา แต่ยังคงไม่มีการประกาศเลิกจ้างถาวร ส่วนสายการบินสหรัฐจำนวนมากก็มีแผนจะเลิกจ้างพนักงานด้วยเช่นกัน เนื่องจากไม่สามารถแบกรับผลกระทบครั้งนี้ได้ แต่รัฐบาลสหรัฐได้ให้เข้าไปให้ความช่วยเหลือด้วยการอุดหนุนค่าจ้างพนักงานบางส่วน พร้อมเงื่อนไขห้ามบริษัทเลิกจ้างโดยที่พนักงานไม่สมัครใจจนถึงสิ้นเดือน ต.ค. 2020

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ในห้วงเวลาที่ลูกหลานไม่สามารถเดินทางกลับมาหาได้ เพราะต้องเว้นระยะห่างและติดข้อจำกัดเรื่องมาตรการป้องกันโควิด-19 ทำให้บรรดาผู้สูงอายุและผู้พิการ ในชุมชนบ้านนาสีเทียน และ บ้านนาห้วยอ้อย อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ต้องหารายได้และหากิจกรรมทำคลายเหงา ด้วยการนำ ‘ใบไม้’ มาทำจาน ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว วางจำหน่ายที่ ภูนาคำ รีสอร์ต

‘นีรชา วงษ์มาศา’ เจ้าของกิจการ ภูนาคํา รีสอร์ต และ นายกสมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (สทอ.) หนึ่งในผู้ที่ผลักดันกิจกรรมนี้ เล่าว่า ในชุมชนทั้ง 2 แห่ง มีผู้สูงอายุและผู้พิการ ที่มีเวลาว่าง เลยอยากหากิจกรรมให้ทำ ประกอบกับมีกลุ่มผู้ทำจานกาบหมากจากอำเภอเชียงคาน เข้ามาให้ความรู้เรื่องการนำใบไม้มาทำจาน จึงเริ่มจัดกิจกรรมทำจานจากใบไม้ สร้างแบรนด์ จ.จานใจดี ขึ้น ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้สูงอายุ-ผู้พิการ มีความสุข และสามารถสร้างรายได้ให้กับตนเอง

“หลังเกิดการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ต้องห่างเหินจากลูกหลาน บางคนขาดรายได้ คิดว่ากิจกรรมดังกล่าวจะช่วยสร้างรายได้ ลดความกังวล พร้อมกับรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย” เจ้าของกิจการรีสอร์ตกล่าว

แบรนด์ “จ.จานใจดี” เป็นจานใส่อาหารที่ผลิตจากใบไม้ชนิดต่างๆ ที่หาได้ในชุมชน เช่น ใบชาด ใบจาน ใบสัก กาบไผ่ หรือเปลือกข้าวโพด ใช้ได้ทั้งใบสด ใบแห้ง

ส่วนขั้นตอนการทำจานใบไม้ เริ่มจากการคัดเลือกใบไม้ที่ต้องการ นำมาทำความสะอาดล้าง ตากแดดให้แห้งสนิท และเย็บตามเเบบที่ต้องการ

จากนั้นนำมาขึ้นรูปด้วยเครื่องขึ้นรูปความร้อนสูง โดยมีแป้งมันสำปะหลังทำหน้าที่เป็นกาวประสาน จานที่ได้จะมีสีสันสวยงาม ลวดลายไม่ซ้ำกัน ไม่มีสารเคมี สามารถย่อยสลายได้ง่าย ไม่เกิดเป็นขยะสร้างมลพิษ เหมาะสำหรับงานอีเว้นต์ งานจัดเลี้ยง ที่ต้องการลดปริมาณขยะจากโฟม

“นีรชา” ให้ข้อมูลด้วยว่า จานใบไม้ทุกใบใส่อาหารได้ทั้งแบบแห้งและแบบน้ำขลุกขลิก เช่น ขนมจีนน้ำยา ยำ ราดหน้า กระเพาะปลา ใช้ซ้ำได้ 2-3 ครั้ง บางใบใช้ซ้ำได้ 5-6 ครั้ง

ราคาจำหน่าย  มี “จานกลม” ขนาด 6 นิ้ว ทำจากกาบ โหลละ 90 บาท ทำจากใบไม้ โหลละ 65 บาท “ถ้วยเหลี่ยม” ขนาด 3 นิ้ว ทำจากใบไม้ โหลละ 40 บาท ทำจากกาบ โหลละ 55 บาท มีบริการจัดส่งทั่วประเทศ ราคาสินค้าไม่รวมค่าขนส่ง

“ลูกค้าที่มาอุดหนุน บอกว่า ใช้งานได้จริง เวลาใส่อาหารเเล้วทำให้น่ากินมากยิ่งขึ้น ในอนาคตจะพัฒนาสินค้าให้เกิดความหลากหลาย เเละจะพัฒนาผลิตจากใบไม้ตามที่ลูกค้าต้องการ”

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ขอบคุณภาพจาก : เฟซบุ๊ก จ.จานใจดี

ปิงปิง-อรนภา ธารณภัค วัย36ปี (ซ้าย) และลูกตาล-พรรณาภา อฆะสิริกูล วัย28ปี (ขวา)
ไม่มีเวลาท้อ! สองสาวนักบิน เปิดร้านขายจานเซรามิก หลังตกงาน-ถูกลดเงินเดือน

เพราะความมุ่งมั่นและตั้งใจ ทำให้สองสาว คุณปิงปิง-อรนภา ธารณภัค วัย 36 ปี และคุณลูกตาล-พรรณาภา อฆะสิริกูล วัย 28 ปี ประสบความสำเร็จในอาชีพนักบิน แต่เพราะวิกฤตโควิด-19 หนึ่งคนโดนให้ออกจากงาน ส่วนอีกคนถูกลดเงินเดือน ไม่ใช่ช่วงเวลาเลวร้ายที่สุด แต่เป็นโอกาสได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ เปิดร้านขายจานชามเซรามิกในชื่อ “Flares”

คุณปิงปิง บอกว่า เธอเรียนจบปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ University of Nottingham จากนั้นสมัครเป็นแอร์โฮสเตสประจำสายการบินไทย ทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์นาน 7 ปี ด้วยความมุ่งมานะ และอยากผลักดันศักยภาพของตัวเองทำให้เธอตัดสินใจสอบเป็นนักบิน

“ปิงสนใจเรื่องการบินมาตั้งแต่เด็กๆ แต่สมัยก่อนยังไม่มีนักบินที่เป็นผู้หญิง พอได้เป็นแอร์โฮสเตส เราเริ่มเข้าใจว่านักบินเขาทำงานกันยังไง ตัดสินใจลาออกจากแอร์โฮสเตสมาสมัครเรียนการบิน ในช่วงแรกเรียนทฤษฎีเป็นหลัก จากนั้นฝึกบินจริงกับเครื่องบินเล็ก นำเครื่องขึ้นลงคนเดียว และต้องบินเก็บชั่วโมง ตื่นเต้นและยากมาก เรียนจบหลักสูตรแล้วต้องหางานทำเองด้วยการสมัครงานตามแอร์ไลน์ต่างๆ สุดท้ายได้ที่นกสกู๊ตทำงานอยู่ 1 ปีกับ 1 เดือน และถ้าบินเก็บชั่วโมงถึง 5,000 ชั่วโมงจะสามารถสอบเลื่อนขั้นเป็นกัปตันได้ ซึ่งต้องใช้เวลาเก็บไปเรื่อยๆ ตอนนี้ต้องพับฝันไว้ก่อน เพราะเกิดโควิด เราต้องออกจากงาน เสียใจเหมือนกัน เพราะกว่าจะมาถึงจุดนี้ไม่ง่าย แต่คิดว่ายังไม่ใช่จุดสุดท้ายของชีวิต แค่ต้องสู้ และพยายามต่อไป”

เหมือนอกหักซ้ำสอง เพราะร้านเสื้อผ้าที่เทอร์มินัล 21 เจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติซึ่งเปิดไว้ตั้งแต่สมัยเป็นแอร์ฯ การบินไทย ถูกปิดนานหลายเดือนเพราะโควิด และเพิ่งกลับมาเปิดได้ไม่กี่วันมานี้ แต่ลูกค้าก็น้อยนิด เธอเลยต้องหาอาชีพเสริมทำในช่วงว่างงาน

“เห็นคนทำธุรกิจดังๆ แตกไลน์มาขายอาหาร เราทำบ้างดีกว่า มีญาติอยู่นครปฐม เขาทำหมูแดดเดียว หมูสวรรค์ หมูฝอยอร่อย ขอรับมาโพสต์ขายในไอจี แต่คนกลับสนใจจานชามที่เอามาใส่หมูมากกว่า หลายคนถามซื้อจานมาจากไหน ถามเยอะขนาดนี้งั้นขายจานดีกว่า ธุรกิจนี้ได้น้องลูกตาล นักบินสายการบินไทยไลอ้อน แอร์ เข้ามาช่วย เขาอยากหารายได้เสริม เพราะตอนนี้ถูกลดเงินเดือน”

ร้านจามชามเซรามิก “Flares” เปิดได้เพียงไม่นาน ช่วงแรกนำจานชามของคุณแม่ที่ซื้อเก็บไว้นานแล้วออกขาย ช่วงหลังนำมาจากร้านขายของมือสอง นำเข้าจากจีน เพราะชอบจานชามอยู่แล้วทำให้เธอเลือกจานชามแบรนด์ต่างๆ ได้สวยตรงใจลูกค้า ส่วนใหญ่ชอบลายดอกไม้

“กระแสตอบรับดีมาก คงเพราะยังไม่ค่อยมีใครขาย บวกกับช่วงนี้คนชอบทำอาหาร ถ่ายรูปอาหาร หนึ่งอาทิตย์จะลงสินค้าใหม่ 3 รอบ สไตล์ต่างกันไป เพราะลูกค้ามีหลายกลุ่ม มีทั้งชอบแบรนด์เนม บางกลุ่มชอบโทนฟ้าขาว หรือบางกลุ่มชอบราคาย่อมเยา” คุณปิงปิง เล่า

สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการขายจานชามเซรามิก คุณปิงปิง บอกว่า คือการแพ็กของส่งลูกค้า ที่ร้านจะห่อบับเบิ้ลสองรอบ ยัดกระดาษหนังสือพิมพ์กันกระแทก และติดแท็บระวังแตก ห้ามโยน ซึ่งโชคดีมากๆ ที่ของถึงมือลูกค้าครบถ้วน

เธอยังบอกอีกว่า ทั้งโดนออกจากงาน และร้านเสื้อผ้าปิดหลายเดือน เป็นเหมือนวิกฤตใหญ่ แต่ไม่เคยมานั่งท้อ จนเพื่อนหลายคนถามว่าทำอย่างไร

“ปิงไม่มีเวลามานั่งท้อ เราคิดอะไรได้ลงมือทำทันที ให้อยู่ได้ในช่วงนี้ บังเอิญว่าสิ่งที่เราชอบมันเวิร์ก แต่ยังไงก็อยากกลับไปบิน เพราะเป็นสิ่งที่รัก ตั้งแต่เรียนจบมาเราไม่เคยห่างจากการบินเลย นี่คือการหยุดอยู่บ้านที่นานที่สุดในชีวิต คิดถึงเครื่องบินมาก ความใฝ่ฝันคือเป็นนักบินสิงคโปร์ แอร์ไลน์ เพราะเป็นลูกครึ่งไทยสิงคโปร์ จริงๆ อยากเข้าการบินไทยที่สุดเพราะโตมากับองค์กรนี้ แต่เขาไม่รับผู้หญิงเท่านั้นเอง” เธอย้ำ

หากวันหนึ่งได้กลับไปบินอีกครั้ง เธอบอกว่า ไม่ทิ้งธุรกิจทั้งร้านเสื้อผ้า และร้านเซรามิกแน่นอน เพราะสามารถทำควบคู่ไปได้ มีแอดมิน มีคุณแม่ช่วยดูแลร้าน ถึงบินไปต่างประเทศ แค่มีอินเตอร์เน็ตก็สามารถทำงานได้ ขายได้ใบสองใบ มีความสุขมากแล้ว

100046705_2753201998331863_364695143506247680_n-200x300

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

กรมเจรจาฯ ชี้ทุเรียนไทยยังสดใสท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ทำยอดส่งออกไปจีน 4 เดือนแรกพุ่ง 78% ไทยยังเป็นที่ 1 ของโลก

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยภายหลังติดตามสถิติการค้าระหว่างประเทศ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2563 (ม.ค.-เม.ย.) ว่า การส่งออกทุเรียนสดของไทยขยายตัวได้อย่างน่าพอใจ โดยเฉพาะในตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทย (สัดส่วนการส่งออก 72%) ที่มีการบริโภคสูงแม้อยู่ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยการส่งออกในช่วงดังกล่าว ขยายตัวถึง 78% คิดเป็นมูลค่าส่งออก 567 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ยอดส่งออกทุเรียนสู่ตลาดโลกในภาพรวมขยายตัว 30% มีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 788 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยยังเป็นแชมป์ผู้ส่งออกทุเรียนอันดับที่ 1 ของโลก นำหน้าฮ่องกงและมาเลเซียหลายเท่าตัว

นางอรมน กล่าวว่า ความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) มีส่วนสำคัญที่ส่งเสริมให้การส่งออกทุเรียนของไทยเติบโต เพราะช่วยขจัดอุปสรรคภาษีนำเข้าในประเทศคู่ค้า ทำให้ทุเรียนไทยมีโอกาสส่งออกและแข่งขันมากขึ้น ปัจจุบันทุเรียนไทยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าใน 16 ประเทศคู่เอฟทีเอ ได้แก่ จีน ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย สปป.ลาว กัมพูชา เมียนมา ฟิลิปปินส์ บรูไน อินเดีย ชิลี และเปรู เหลือเพียง 2 ประเทศ คือ มาเลเซียและเกาหลีใต้ ที่ยังเก็บภาษีนำเข้าทุเรียนจากไทยอยู่ ทำให้ในปี 2562 ไทยมีมูลค่าส่งออกทุเรียนสดสู่ตลาดโลกรวม 1,465 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ จีน อาเซียน และฮ่องกง โดยการส่งออกทุเรียนไปยัง 3 ตลาดหลักนี้ มีสัดส่วนรวมกันสูงถึง 98% ของการส่งออกทุเรียนของไทยทั้งหมด

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกทุเรียนไทยในปี 2562 กับปีที่ความตกลงเอฟทีเอแต่ละฉบับมีผลใช้บังคับ พบว่า มูลค่าการส่งออกไปตลาดหลักที่เป็นคู่เอฟทีเอเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะตลาดจีน เพิ่มขึ้นถึง 2,832,366% เมื่อเทียบกับปี 2545 ซึ่งเป็นปีก่อนที่จีนจะยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าทุเรียนจากไทย ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน สอดคล้องกับสถิติการใช้สิทธิประโยชน์จากเอฟทีเอ ที่พบว่าทุเรียนมีการขอใช้สิทธิประโยชน์ในการส่งออกสูงมากเป็นอันดับต้น

fruit-4362852_960_720

ที่มา : ข่าวสดออนไลน์

จากผลกระทบไวรัสโคโรนาโควิด–19 ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อธุรกิจอีเว้นต์โดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากจะส่งผลกระทบต่อบริษัทออร์แกไนเซอร์แล้ว ธุรกิจอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับการจัดงานอีเว้นต์อีกหลายธุรกิจก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ได้แก่ ธุรกิจด้านซัพพลายอุปกรณ์ระบบภาพ แสง เสียง ธุรกิจการทำโครงสร้างเวที, ทำฉาก ธุรกิจให้เช่าสถานที่จัดงาน เช่น ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมนานาชาติ, โรงแรม, ห้างสรรพสินค้า

นอกจากนี้ยังกระทบไปถึงกลุ่มอาชีพอิสระที่เกี่ยวข้องกับงานอีเว้นต์ เช่น พิธีกร, พริตตี้, ช่างภาพ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ล่าสุด นักศึกษาสาขาการจัดการอีเว้นต์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยที่ทำงานอีเว้นต์ตลอดระยะเวลาที่เรียนหนังสือ ซึ่งได้รับผลกระทบต้องสูญเสียรายได้งานอีเว้นต์ระหว่างหารายได้พิเศษระหว่างการเรียนเช่นกัน ทำให้ต้องสร้างธุรกิจชานมไข่มุก บริการส่งถึงที่ทำงานและบ้านทั่วจังหวัดปราจีนบุรี สร้างกระแสตอบรับดีอย่างมากมาย จนต้องขยายตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศไทย

นายบัณฑิต บุญศิริ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมบริการ สาขาการจัดการอีเว้นต์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เจ้าของ ชานมแบนกั๊ก เล่าว่า “จากพิษโควิด–19 ที่เกิดขึ้น ทำให้งานอีเว้นต์ที่รับไว้ถูกยกเลิกทั้งหมด สูญเสียรายได้ระหว่างเรียนและไม่อยากรบกวนทางบ้าน พอเดินทางกลับบ้านเกิดจังหวัดปราจีนบุรี เริ่มจากอยากรับประทานชานมไข่มุกที่จังหวัดปราจีนบุรี พบว่าทุกร้านปิดให้บริการทั้งหมด ในส่วนของร้านที่มีเปิดอยู่ก็มีรสชาติที่ไม่อร่อย ทำให้เป็นประเด็นหลักในการหาร้านอร่อยกินยากมากในช่วงวิกฤตโควิด–19 แบบนี้ ทำให้คิดว่าน่าจะมีหลายๆ คนที่อยากจะกินชานมไข่มุกเหมือนกัน แต่ก็ไม่อยากออกจากบ้านในช่วงวิกฤตแบบนี้

เราก็เลยคิดว่า เราควรทำขายและจัดส่งแบบดีลิเวอรี่ดีกว่า แบรนด์ “แบนกั๊ก” ไม่เพียงมีรสชาติที่อร่อยจากวัตถุดิบชั้นดี มีเสน่ห์ตรงความเก๋ เวลาผู้บริโภคถือดื่มชานม จะสามารถถ่ายภาพเล่าเรื่องออกมาให้ดูเท่ ให้อารมณ์ความร่วมสมัยวัยรุ่น แพ็กเกจไม่เชยถึงแม้ว่ารูปลักษณ์มันจะดูย้อนยุคกลับไปก็ตาม แต่ยังมีความคลาสสิกในตัวเอง ที่สำคัญเป็นขวดที่ไม่ใช่พลาสติก ซึ่งช่วยในเรื่องของการลดโลกร้อนได้ในระดับหนึ่ง และยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก โดยไม่ก่อให้เกิดขยะเพิ่ม ด้านราคาขาย คือ แบนละ 35 บาท หรือ 3 แบน 100 บาท แบนกั๊ก ขายในราคาทุกคนสามารถจับต้องได้ในภาวะวิกฤตแบบนี้ มีบริการขนส่งชานมไข่มุกให้ถึงมือลูกค้าทั่วจังหวัดปราจีนบุรี โดยที่ลูกค้าไม่ต้องออกมาจากบ้าน ช่วยในเรื่องของการลดความเสี่ยงได้มากขึ้น และการขนส่งของแบนกั๊ก มีการป้องกันตามที่รัฐบาลประกาศอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย”

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ต.บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เปิดเผยว่า สวนสัตว์เปิดเขาเขียวได้ปิดบริการมานานนับเดือน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 พร้อมทั้งหามาตรการในการดูแลสัตว์ในสวนสัตว์เปิดเขาเขียวเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการดูแลเพนกวิน ซึ่งเลี้ยงไว้ประมาณ 40 ตัว จะต้องออกกำลังกายเดินเล่นทุกวัน เพื่อให้คลายเหงาจึงได้จัดพนักงานของสวนสัตว์มายืนชมพร้อมทั้งให้กำลังใจเพนกวิน รวมทั้งได้นำรูปป๊อปอัพคนมาแทน เสมือนมีคนมาเที่ยวสวนสัตว์ ทำให้เพนกวินออกมาเดินเล่นเหมือนมีคนมาดูจำนวนมาก ทำให้คลายเหงาไปได้มาก

นายอรรถพรกล่าวว่า นอกจากนี้ทางสวนสัตว์เปิดเขาเขียวได้มีการเตรียมความพร้อมหากมีการปลดล็อกให้นักท่องเที่ยวสามารถมาเที่ยวสวนสัตว์เปิดเขาเขียวได้ โดยเตรียมตั้งจุดคัดกรอง เน้นให้นักท่องเที่ยวสวมหน้ากากอนามัย รวมทั้งมีเจลแอลกอฮอล์ และน้ำล้างมือไว้บริการตามจุดต่างๆ และเตรียมจัดรถบริการให้นักท่องเที่ยวได้ชมสัตว์ในสวนสัตว์เปิดเขาเขียวอีกด้วย

ที่มา : มติชนออนไลน์

กลับมารีสตาร์ตเปิดขายอีกครั้ง “ตลาดนัดจตุจักร” หลังตลาดถูกสั่งปิดกว่า 1 เดือนหนีการระบาดโควิด-19เป็นการกลับมาภายใต้รูปแบบการขายที่ไม่เหมือนเดิม เป็น “การขาย-ช็อปปิ้ง” วิถีใหม่

จะว่าไปแล้ว “ตลาดนัดจตุจักร” เป็นตลาดนัดขวัญใจนักท่องเที่ยวไทย-ต่างชาติ แต่ช่วงหลัง ๆ ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจทำให้การค้าขายไม่คึกคักเหมือนเก่า

ยิ่งเจอ “โควิด-19” ยิ่งทำให้ซบหนัก เพราะรายได้ที่หล่อเลี้ยง “พ่อค้า-แม่ขาย” คือ นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะคนจีน-ฮ่องกง-สิงคโปร์

เมื่อประเทศไทยยังไม่คลายล็อกมาตรการต่าง ๆ จึงเป็นไปได้ยากที่ “ตลาดนัด” ที่รู้จักไปทั่วโลก จะกลับมาเหมือนเดิมในเร็ววันนี้

ท่ามกลางบรรยากาศตลาดที่ซบเซา ทำให้เจ้าของแผงค้าที่ตีทะเบียนไว้กับ “กทม.-กรุงเทพมหานคร” กว่า 10,000 แผง ที่ปัจจุบันผู้เช่าช่วงหลายรายแบกรับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหว ถอดใจติดป้ายปล่อยเช่าให้รายใหม่

ซึ่งราคาตั้งถึงจะปรับลดลงมาบ้างแล้ว แต่ยังแพงลิ่วสวนทางกับเศรษฐกิจขาลง-ค่าเช่าตามจริงที่จ่ายให้ กทม.เพียง 1,800 บาท/แผง/เดือน

“ประชาชาติธุรกิจ” สำรวจราคาเช่าในปัจจุบัน พบว่าแผงค้าบริเวณโครงการ 24 แผงที่ 5 ติดกับสถานี MRT กำแพงเพชร คิดค่าเช่าเดือนละ 7,000 บาท หากจะเข้าเช่าตอนนี้ต้องจ่ายล่วงหน้า 2 เดือน ซึ่งระบุว่าลดลงมาจากราคาปกติ 8,000-9,000 บาท จากภาวะไวรัสโควิด-19 ระบาด

ขณะที่เจ้าของอีกแผงอยู่ที่โครงการ 25 ตรงข้ามกรมการขนส่งทางบก มีอยู่ 2 แผง ปกติราคาเช่าช่วงก่อนเชื้อโควิด-19 อยู่ที่ 40,000 บาท/เดือน ตกแต่งภายในเรียบร้อย มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เช่น แอร์ ราวแขวนไว้ให้ แต่พอมีภาวะโควิด ค่าเช่าตอนนี้จึงลดลงอยู่ที่ประมาณ 10,000 บาท

“การค้าขายย่านนี้ยังย่ำแย่อยู่ แม้ว่า กทม.จะให้กลับมาค้าขายได้แล้วก็ตาม โดยลูกค้าของโซนนี้เป็นชาวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ แต่การกลับมาเปิดอีกครั้งในขณะนี้มีแต่ลูกค้าคนไทย ทำให้รายได้ที่เข้ามายังจำกัดอยู่” เจ้าของแผงระบุ

ส่วนอีกรายบอกว่า พื้นที่แผงอยู่โครงการ 2 ค่าเช่าปกติอยู่ที่ 25,000 บาท/เดือน แต่พอมีโควิด-19 ค่าเช่าจึงปรับลดลงเหลือ 15,000-20,000 บาทแล้วแต่ตกลง พร้อมยอมรับว่า ช่วงนี้หาลูกค้าซื้อของจับจ่ายยาก เพราะลูกค้าต่างประเทศยังไม่มา ลูกค้าคนไทยซื้อจำกัด ส่วนใหญ่ถูกผลกระทบโควิดกันหมด คงต้องทำใจไปอีกสักพัก

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

คุณบอม-ภัทรภน สุวรรณเลิศ สจ๊วตสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ วัย29ปี

เป็นที่พูดถึงกันมาสักพักแล้ว กับวงการธุรกิจการบิน หลังได้รับผลกระทบโดยตรงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายการบินทั้งรายใหญ่รายย่อยต้องหยุดบิน ทำให้เหล่านักบิน สจ๊วต แอร์โฮสเตส ต้องพักงานกันยาวๆ จนหันไปรับจ๊อบ ทำธุรกิจอื่นระหว่างรอให้สถานการณ์กลับมาเป็นเหมือนเดิม

คุณบอม-ภัทรภน สุวรรณเลิศ สจ๊วตของสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ วัย 29 ปี เล่าว่า เขาทำงานเป็นสจ๊วตมาได้ 1 ปี กับอีก 4 เดือน เมื่อไวรัสโควิด-19 มาเยือน ทำให้บริษัทซึ่งเป็นธุรกิจการบิน ได้รับผลกระทบโดยตรง จึงมีมติเห็นชอบ ในการปรับลดเงินเดือนของพนักงาน รวมถึงเฝ้าดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อรักษาสถานภาพทั้งทางธุรกิจและพนักงานเอาไว้

“ตอนรู้ว่าต้องหยุดงานแบบไม่มีกำหนดก็ตกใจครับ เพราะก่อนจะเกิดโควิด ก็มีไฟลต์บินปกติ ก็ไม่ได้คิดว่าเหตุการณ์แบบนี้มันจะเกิดขึ้น แต่ผมก็รับติวเตอร์มาก่อนที่จะมาเป็นสจ๊วต และก็ทำเป็นจ๊อบเสริมมาเรื่อยๆ พอเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นก็เลยหันมาโฟกัสรับติวเต็มตัวเลย แต่พอมีประกาศงดชุมนุม ก็ปรับเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นแบบออนไลน์แทน” สจ๊วตหนุ่ม กล่าว

 

คุณบอมจะรับติวเป็นกรุ๊ป กรุ๊ปละไม่เกิน 5 คน คิดเรตหัวละ 300 บาทต่อชั่วโมง (รับติวขั้นต่ำ 2 ชั่วโมง) รวมสื่อการเรียนการสอนทุกอย่างที่คุณบอมเตรียมไว้ให้แล้ว โดยผู้ที่จะเข้ามาเรียนด้วย จะต้องทำแบบทดสอบวัดระดับความรู้พื้นฐานก่อนที่จะมาติวด้วยกัน

“ลูกค้ามีตั้งแต่เด็ก ป.4 ถึง นักศึกษาปี 2 เลยครับ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่เตรียมสอบเข้ามากกว่าที่จะเข้ามาใช้บริการ โดยวิชาที่ติวก็จะเป็นพวกสายวิทย์-คณิต โดยใช้สื่อการเรียนการสอนของจริงมาสอน ตอนนี้มาทำเป็นออนไลน์ อย่างวิทยาศาสตร์ ผมจะสอนเกี่ยวกับพวกการทดลอง ก็จะเอากบจริงมาผ่าสอน ส่วนคณิตศาสตร์ก็จะให้ทำโจทย์อะไรแบบนี้ รายได้จากการเป็นติวเตอร์ ถ้าตอนปกติก็ประมาณเกือบ 6 หมื่น แต่พอมีโควิดก็ได้ประมาณ 25,000” คุณบอม เผย

เขายังเผยอีกว่า แม้ชั่วโมงบินในการทำงานเป็นสจ๊วตยังไม่มากนัก แต่ตนรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำงานในสายอาชีพนี้ เพราะถือว่าเป็นอาชีพที่มีความมั่นคง แต่การเป็นติวเตอร์ ถือว่าเป็นอาชีพที่รายได้ดีอาชีพหนึ่ง ถึงจะไม่เทียบเท่าการเป็นสจ๊วตที่มีทั้งความมั่นคงและสวัสดิการ แต่ก็ยังพอมีเงินให้นำไปใช้จ่ายภาระที่มีค่อนข้างเยอะ

นอกจากการเป็นติวเตอร์แล้ว คุณบอมยังมี “ขนมบ้านย่า” แบรนด์ขนมหมี่กรอบที่ทำกับคุณแม่ด้วย โดยหมี่กรอบนี้ เป็นสูตรโบราณมรดกตกทอดของทางบ้าน ที่มาในรูปแบบถุงซิปล็อก การันตีความอร่อย จากสามชุกตลาดร้อยปี จังหวัดสุพรรณบุรี มีทั้งหมด 7 รส ได้แก่ รสกุ้ง, รสเมี่ยงคำ, รสปลากรอบ, รสสมุนไพร, รสน้ำพริกเผา, รสซอสมะขาม และรสหม่าล่าครับ จำหน่ายในราคาซองละ 49 บาทเท่านั้น

“ตอนนี้ก็เริ่มสนุกกับการทำขนมขายกับคุณแม่ครับ ก็ต้องดูก่อนว่าจะทำยังไงต่อ อาจจะสมัครงานที่อื่น หรือไม่ก็มารับสอนพิเศษแบบจริงจัง หรือจะมาจัดสแน็กบ๊อกซ์ ทำขนมส่งพวกร้านกาแฟจริงจัง ก็ต้องดูกันต่อไปครับ” คุณบอม ทิ้งท้ายอย่างนั้น

หากใครสนใจสั่งหมี่กรอบโบราณ สามารถสั่งได้ที่ อินสตาแกรม : baan_yah หรืออยากติวกวดวิชา สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ (084) 540-2399

คุณบอม และ คุณแม่

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า “มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก” เจ้าพ่อเฟซบุ๊กเปิดเผยว่า บริษัทคาดการณ์ว่าพนักงานราว 50% ของเฟซบุ๊กจะสามารถ “ทำงานทางไกล” (Remote Work) โดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศได้อย่างถาวร ภายใน 5-10 ปีข้างหน้า หลังจากที่บริษัทเทคโนโลยีจำนวนมากได้อนุญาตให้พนักงานสามารถทำงานที่บ้านหรือ “เวิร์กฟอร์มโฮม” ได้ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

อย่างไรก็ตาม นายซักเคอร์เบิร์กระบุว่า สิ่งนี้เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น ไม่ใช่เป้าหมายของบริษัท แต่ก็นับเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเฟซบุ๊กที่จะสร้างความพึงพอใจให้กับพนักงาน และขยายความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจที่กว้างขวางยิ่งขึ้นผ่านการจ้างงานผู้คนในพื้นที่ห่างไกล

“เมื่อคุณจำกัดการจ้างงานเฉพาะผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ หรือคนที่พร้อมจะย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ นั่นเป็นการตัดโอกาสผู้คนอีกจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุมชนอันหลากหลาย และมีภูมิหลังและมุมมองที่แตกต่างกัน” นายซักเคอร์เบิร์กกล่าวในไลฟ์สตรีมมิ่งในหน้าเฟซบุ๊กส่วนตัว

โดยเฟซบุ๊กระบุว่า บริษัทจะเพิ่มการจ้างงานสำหรับพนักงานทางไกลมากขึ้น โดยเฉพาะในตำแหน่งงานวิศวกรรมขั้นสูง ขณะที่ตำแหน่งงานพื้นฐานขั้นต้นส่วนใหญ่ของบริษัทจะยังคงไม่ได้รับสิทธิ์ในการทำงานทางไกล ทั้งนี้จะเริ่มดำเนินการในพื้นที่ที่มีสำนักงานของเฟซบุ๊กตั้งอยู่ก่อนอย่าง พอร์ตแลนด์, ซานดิเอโก, ฟิลาเดลเฟีย และ พิตต์สเบิร์ก

นอกจากนี้ นายซักเคอร์เบิร์กยังระบุว่า เฟซบุ๊กมีความพยายามสนับสนุนให้พนักงานปัจจุบันสามารถทำงานทางไกลได้อย่างถาวร โดยในระยะแรกคาดว่าจะมีพนักงานเพียง 25% เท่านั้นที่กลับเข้ามาทำงานในออฟฟิศหลังจากที่สำนักงานของเฟสบุ๊กกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง โดยบริษัทกำหนดระบบให้พนักงานที่ต้องการทำงานทางไกลจะต้องรายงานตำแหน่งที่ตั้งของตนเองให้บริษัทรับทราบ

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของเฟซบุ๊กเกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีคู่แข่งอย่าง”ทวิตเตอร์” ประกาศอนุญาตให้พนักงานสามารถทำงานที่บ้านได้ตลอดไป แม้จะสถานการณ์การแพร่รระบาดของโควิด-19 จะจบสิ้นลง

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์