รายงานโดย กชกร สายแสง, บุษบาบรรณ พวงทอง, กมลชนก ครุฑเมือง

กว่าจะเป็น SMEs หรือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องอาศัยทั้งความกล้า ความอดทน และการฝ่าฟันต่ออุปสรรคต่างๆ หลายคนล้มเหลว หลายคนท้อและเลิกกิจการไป แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ประสบความสำเร็จ

“มติชนอคาเดมี” พาเจาะลึกเส้นทางความสำเร็จของ 3 เอสเอ็มอีดาวรุ่งพุ่งแรงของไทย ที่มาเล่าเรื่องสร้างแรงบันดาลใจให้เหล่าผู้ประกอบการทั้งหลาย ในงาน “กล้า D Festival ปรับ เปลี่ยน ลุก เดิน” ที่จัดขึ้นโดยธนาคารรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เมื่อไม่นานมานี้

กล้าออกจากกรอบ-มั่นใจว่าต้องทำได้

“นภาพร คูศิริวานิชการ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคโคแรบบิท จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นแรนด์โคโคแรบบิท เล่าให้ฟังว่า ก่อนมาทำธุรกิจนี้เคยเป็นพนักงานสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง และเติบโตจนได้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงขององค์กร ซึ่งถึงแม้จะมีรายได้มั่นคงอยู่แล้ว แต่ก็อยากจะได้ทำในสิ่งที่คิดนอกกรอบได้ จึงเริ่มมองหาช่องทางอื่นที่ตอบโจทย์กว่า

“การงานและชีวิตที่ดีอยู่แล้ว ทำให้หลายคนคงไม่อยากและไม่กล้าที่จะก้าวออกจากตรงนั้น แต่เราอยากมีอิสระ ไม่ชอบงานประจำ เลยคิดออกมาทำธุรกิจดีกว่า ซึ่งส่วนตัวชอบชอบงานที่เกี่ยวกับการค้าขายกับต่างประเทศ เพราะเราชอบเดินทางไปต่างประเทศ เลยเกิดความคิดว่าถ้ามีสินค้าของคนไทยไปนำเสนอก็คงดี” นภาพรกล่าว

กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคโคแรบบิท จำกัด กล่าวอีกว่า ขณะที่กำลังมองหาสินค้าอยู่ ก็เห็นผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นที่ตนใช้มานานกว่า 10 ปี และรู้สึกว่าเป็นโปรดักต์ที่มีข้อดีมากมาย คือสามารถบำรุงผิวหน้า เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ดี ไม่มีสารเคมี ใช้แทนสกินแคร์ได้ รวมถึงยังเป็นโปรดักต์ของคนไทย ทำให้อยากที่จะแบ่งปันสิ่งดีๆ นี้ให้กับคนทั่วไปได้ลองสัมผัส จึงสนใจผลิตและจำหน่ายน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น

ภาพจากเพจเฟซบุ๊ก COCO Rabbit

“สิ่งที่เราให้ความสำคัญคือการเป็นออร์แกนิค ดังนั้น สินค้าของเราจะผลิตจากมะพร้าวที่เป็นออร์แกนิค โดยเริ่มจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศก่อน แล้วค่อยทำตลาดในประเทศไทย เพราะไทยมีการผลิตน้ำมันมะพร้าวอยู่เยอะมาก การแข่งขันสูงกว่า” นภาพรกล่าว

โดยปัจจุบันโคโคแรบบิทมีสินค้าหลายรายการ ทั้งน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น,สบู่, สครับ, มอยซ์เจอร์ไรเซอร์, ลิปบาล์ม รวมถึงแตกไลน์โปรดักต์ไปสู่สินค้าจากส่วนผสมอื่นด้วย คือ ข้าวหอมมะลิ และครีมหอยทาก

นภาพรกล่าวว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ได้สิ่งที่ต้องอาศัยเป็นอย่างแรกเลยคือความกล้าทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง และออกจากกรอบสังคมมาเพื่อสร้างธุรกิจของตัวเอง โดยจะต้องมั่นใจและคิดบวกไว้ว่าจะต้องทำได้และทำสำเร็จ

“เคล็ดลับสำคัญที่สุดในการทำธุรกิจก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จได้ด้วยความคิดของตัวคุณเอง” นภาพรกล่าวทิ้งท้าย

ใส่ไอเดียให้ภูมิปัญญา พาตัวเองสู่โลกกว้าง

ขณะที่ “พงษ์พันธ์ ไวยนิล” เจ้าของกิจการงานปั้นบ้านดินมอญ เล่าว่า จุดเริ่มต้นของการเข้ามาทำธุรกิจเครื่องปั้นดินเผานั้นเริ่มมาจากที่บ้านทำกันมาหลายรุ่นแล้ว ทำให้มีโอกาสได้คลุกคลี และฝึกหัดทำงานปั้นดินเผา โดยใช้เวลาหลังเลิกเรียนช่วยงานที่บ้าน ทำให้เกิดความชำนาญ ประกอบกับใจรักทำให้ไปเรียนช่างศิลป์ที่ลาดกระบังด้วย

“ความชอบในงานปั้นดินเผาทำให้เราเข้ามาสานต่อกิจการของที่บ้าน ถึงแม้คุณย่าจะเตือนว่าเป็นธุรกิจที่คนรุ่นก่อนๆ ทำแล้วไม่มีใครรวยก็ตาม แต่เราก็มุ่งมั่นและเริ่มมาทำโมเสคเองทั้งหมด ซึ่งทำยากมาก แต่กลับขายได้ราคาถูกลง เราเลยลองมาคิดใหม่ จากสินค้าที่มีอยู่แต่แบบเดิมๆ เราลองใส่ไอเดียเข้าไปแต่ยังคงไว้ในภูมิปัญญาเดิม ทำให้เพิ่มมูลค่าสินค้าจาก 5-10 บาท เป็น 100-200 บาท และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 1,000-2,000 บาท เป็น 5,000-10,000 จนถึง 100,000 บาทได้”

ภาพจากเพจเฟซบุ๊กบ้านดินมอญ

พงษ์พันธ์บอกอีกว่า เมื่อมั่นใจในงานปั้นและสินค้า ก็เริ่มพาตัวเองไปในที่ใหม่ๆ และพัฒนาชิ้นงานให้ร่วมสมัย พร้อมไปออกงานแสดงสินค้าในต่างประเทศเพื่อสร้างโอกาสให้สินค้า

“เราเริ่มจากการไปงานแฟร์ หรือบางงานอาจจะไม่เกี่ยวกับงานของเรา แต่ก็ไปหมดทุกงาน เพราะว่าสามารถนำมาปรับใช้กับงานของตัวเองได้ ถือได้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการเปิดทางให้เจอแนวคิดใหม่ๆ รวมถึงการไปออกงานแฟร์ยังเป็นการวิ่งหาโอกาส อย่าอยู่เฉยๆ อย่าให้โอกาสวิ่งมาหาเรา ต้องไปออกงานไปเปิดตัวให้เขารู้จัก” พงษ์พันธ์

ปัจจุบันสินค้าของงานปั้นดินมอญจำหน่ายอยู่ที่โรงแรมโอเรียนเต็ล ร้านโอเรียนเต็ลบูทีคชอป และร้านโอท็อปเฮอริเทจ ชั้น 4 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเอ็มบาสซี่ โดยกลุ่มเป้าหมายเป็นคนไทย ซึ่งได้รับการตอบรับดี

ภาพจากเพจเฟซบุ๊กบ้านดินมอญ

“ผู้ใหญ่บางคนบอกว่า ถ้าเราอยากจะเป็นเสือเราก็ต้องออกจากถ้ำ ไม่อย่างนั้นเราก็เป็นแค่แมวอยู่ในบ้าน การที่จะเป็นเสือได้คุณก็ต้องออกไปคำรามจริงๆ ไม่ใช่ออกไปแล้วไปคำรามเป็นแมว”

พงษ์พันธ์ทิ้งท้ายว่า วันนี้บ้านดินมอญลบล้างคำสบประมาทว่าทำกี่รุ่นก็เจ๊ง เพราะเกิดจากการที่เขามองภาพบ้านดินมอญเป็นเรื่องของการให้กับชุมชน มีการสร้างสตูดิโอที่บ้าน มีการสอนคนในชุมชนที่ยังทำเครื่องปั้นดินเผาอยู่ให้หาไอเดียใหม่ๆ เหมือนบ้านดินมอญที่พัฒนาและสร้างความแตกต่างจนประสบความสำเร็จได้

วัยไม่ใช่ปัญหา อยู่ที่กล้าทดลองทำ

ด้าน “บิ๊ก ผุยมาตย์” เจ้าของธุรกิจข้าวกรอบสยาม หนุ่มอายุน้อยร้อยล้านที่พลิกฟื้นเศรษฐกิจที่บ้านได้ตั้งแต่ยังเป็นเยาวชน เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ที่บ้านทำธุรกิจเกี่ยวกับเทรดดิ้ง และประสบปัญหาจนธุรกิจที่ทำไปไม่รอด ที่บ้านเลยส่งตนไปเรียนที่จีน จึงมีความคิดอยากแบ่งเบาภาระของครอบครัว แม้ว่าเริ่มต้นครอบครัวอาจจะไม่เชื่อใจมากนัก

“จุดเริ่มต้นคือแม่ชอบส่งกระยาสารทไปให้กินที่จีน เลยตั้งคำถามว่าทำไมถึงเหนียว ซึ่งตอนนั้นจัดฟันด้วย เลยไม่ค่อยเหมาะกับคนจัดฟันเท่าไหร่ ก็เลยเกิดไอเดียขึ้นมาว่ามันสามารถทำให้กรอบได้หรือไม่ ประกอบกับโชคดีที่มีเพื่อนที่บ้านเขาทำโรงงานแปรรูปอาหาร จึงบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าอยากทำกระยาสารทที่ไม่เหนียว แล้วให้คุณพ่อคุณแม่ไปคุย แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่สนใจเพราะเห็นว่าเป็นความคิดของเด็ก”

“บิ๊ก ผุยมาตย์” เล่าต่ออีกว่า จนอายุ 11-12 ปี ก็ขอคุณพ่อคุณแม่ออกจากโรงเรียนเพื่อมาทำธุรกิจตรงนี้ โดยต่อยอดจากกระยาสารท ซึ่งนำสูตรกระยาสารทมาจากคุณยาย และค้นคว้าจากอินเทอร์เน็ตเพิ่มเติมมาลองทำดู ปรับสูตรไปเรื่อยๆ มีคนติบ้างชมบ้างจนพัฒนานำไปแปรรูป โดยนำข้าวมาเป็นวัตถุดิบหลัก เพราะจุดเด่นของประเทศไทยคือข้าว เลยคิดว่าเป็นการสร้างมูลค่าให้ข้าวไทยได้ด้วย จนออกมาเป็นข้าวกรอบสยาม เจ้าแรกและเจ้าเดียวในประเทศไทย

ภาพจากเว็บไซต์เส้นทางเศรษฐี

“สำหรับข้าวกรอบสยามเราวางขายที่ประเทศมาเลเซียเป็นที่แรก เพราะคุณพ่อเป็นคนมาเลเซีย โดยที่ตัวเราเป็นเจ้าของกิจการและเป็นคนขาย ในอายุเพียงแค่ 15 ปี ส่วนปัจจุบันอายุ 19 ปีแล้ว ก็ยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนารสชาติให้มีหลากหลายมากขึ้น เช่น รสถั่วลิสง รสมะม่วงหิมพานต์ งาขาว เป็นต้น ส่วนในประเทศไทยนั้น ปัจจุบันวางจำหน่ายตามงานอีเวนต์ต่างๆ รวมไปถึงที่บิ๊กซี และเลมอนฟาร์ม ซึ่งจัดเป็นแพ็คเกจ มีขายที่หน้าร้านอย่างเดียว” หนุ่มอายุน้อยร้อยล้านกล่าวทิ้งท้าย

ถึงแม้ทั้ง 3 แบรนต์ จะไม่ใช่ผลิตภัณฑ์เดียวกัน แต่สิ่งที่มีเหมือนกันคือ ความกล้าที่จะทำสิ่งใหม่ๆ กล้าคิดนอกกรอบ กล้าที่จะลงมือทำ และไม่หยุดที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ จึงทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้!

ขึ้นชื่อว่า “น้ำมะพร้าว” นอกจากความหวาน หอม ชื่นใจ คุณสมบัติอีกอย่างที่หลายคนรู้อยู่แล้วคือ “ความใส ไม่มีสี” แต่นั่นไม่ใช่น้ำมะพร้าวจากแบรนด์ “28 Days Coconut Water” แบรนด์น้ำมะพร้าวสด ที่มีความพิเศษแบบไม่มีใครเหมือน คือเป็นน้ำมะพร้าวที่มี “สีชมพูใส” นั่นเอง!!!

“มติชน อคาเดมี” ไม่รอช้า พูดคุยกับ “วิษณุ รามวิ” หรือ คุณมด เจ้าของแบรนด์น้ำมะพร้าว 28 Days Coconut Water ซึ่งเล่าให้ฟังว่า แบรนด์น้ำมะพร้าวนี้เปิดมาได้ 6-7 ปีแล้ว โดยน้ำมะพร้าวของแบรนด์จะเน้นไปที่ความเป็นออร์แกนิค ไม่ผ่านสารปรุงแต่งใดๆ

“วิษณุ” กล่าวอีกว่า ขั้นตอนการผลิตน้ำมะพร้าวของ 28 Days Coconut Water เริ่มตั้งแต่การคัดเลือกมะพร้าว ซึ่งจะใช้มะพร้าวที่มาจากสวนออร์แกนิคที่ได้รับรองมาตรฐานออร์แกนิคสากล ลำต้นของมะพร้าวต้องมีสภาพที่สมบูรณ์ และเก็บเกี่ยวในช่วงเวลาที่เหมาะสม แล้วนำมาผลิตภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากเก็บเกี่ยว

“เราให้ความสำคัญเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวมาก โดยน้ำมะพร้าวที่บรรจุอยู่ในขวดของเรา มาจากน้ำมะพร้าวน้ำหอมที่เว้นระยะในการเก็บเกี่ยวระหว่าง 20 วัน แต่ไม่เกิน 28 วัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่น้ำมะพร้าวจะรสชาติดีที่สุด”

ส่วนเทคนิคการทำให้น้ำมะพร้าวมีสีชมพูนั้น “วิษณุ” บอกว่า มาจากกระบวนการผลิตที่ใช้แรงดันในการฆ่าเชื้อแทนความร้อน ทำให้สีของน้ำมะพร้าวกลายเป็นสีชมพู ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นและจุดขายของแบรนด์ที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน

“กระบวนการผลิตน้ำมะพร้าวหอม 100% ออร์แกนิคของเรา ได้ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาจากสหรัฐอเมริกา และมาตรฐานกระบวนการผลิตจาก USDA Organic จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งในแต่ละขั้นตอนจะมีการตรวจเช็กอย่างเข้มงวด เพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และมีรสชาติที่อร่อยและสดชื่น โดยในกระบวนการการผลิตทุกอย่างต้องมีการควบคุมอุณหภูมิทั้งหมด ยกเว้นแค่ตอนตัดหัวของลูกมะพร้าว ที่ไม่จำเป็นต้องควบคุมอุณหภูมิ และสามารถตัดอุณหภูมิปกติได้”

“ส่วนต้นทุนของการผลิตนั้น หลักๆ อยู่ที่ลูกมะพร้าวสีเขียว ลูกละ 15 บาท ส่วนต้นทุนอื่นๆ ได้แก่ ค่าจ้างคนงาน ค่าอุปกรณ์เครื่องมือในกระบวนการฆ่าเชื้อและบรรจุใส่ขวด ค่าขวดและค่าเก็บรักษา ซึ่งก็คือการนำไปแช่แข็งทันที”

สำหรับผลิตภัณฑ์ของ 28 Days Coconut Water คือ น้ำมะพร้าวสด 100% ราคาขวดละ 100 บาท ซึ่งเป้นสินค้าที่ขายดีที่สุด รองลงมาจะเป็นแบบผสมกาแฟ ผสมชาเขียว และผสมน้ำสับปะรด ทั้งนี้ น้ำมะพร้าวสด 100% ที่บรรจุใส่ขวดและแช่แข็งในอุณหภูมิอยู่ -18 องศาเซลเซียส สามารถเก็บไว้ได้ 1 ปี แต่ถ้าละลายแล้วสามารถอยู่ได้ถึง 60 วัน ขณะที่น้ำมะพร้าวที่ผลิตโดยไม่ผ่านแรงดัน หลังละลายแล้วสามารถอยู่ได้เพียง 7 วันเท่านั้น

ทั้งนี้ สินค้าของ 28 Days Coconut Water วางขายที่ ท็อปส์ วิลล่า, ท็อปส์ มาร์เก็ต และฟู้ดแลนด์ ส่วนในต่างจังหวัดจะมีที่ จ.เชียงใหม่

นับว่าเป็นอีกแบรนด์ที่น่าสนใจและมีเอกลักษณ์อยู่ในตัวที่ไม่มีใครเหมือน

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทุกวันนี้ธุรกิจ SME เริ่มเป็นที่รู้จักและกลายมาเป็นรูปแบบธุรกิจที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดในปัจจุบัน ทั้งจากคนรุ่นใหม่ที่มีไอเดียความชอบหรือความหลงใหลส่วนตัวและแปรรูปออกมาเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ หรือธุรกิจเล็กๆ ภายในครอบครัว แต่ก็อย่าลืมว่า การวางแผนบริหารการเงิน บัญชี และภาษีนั้น คือสิ่งสำคัญที่ธุรกิจทุกขนาดควรต้องใส่ใจไม่ว่าคุณจะประกอบธุรกิจในรูปแบบไหนก็แล้วแต่ บทความนี้อาจเป็นอีกหนึ่งอาวุธนำพาเจ้าของธุรกิจ SME ช่วยจัดการภาษีได้อย่างอยู่หมัด

1. พิจารณาให้ดีเลือกรูปแบบธุรกิจให้ถูกต้อง

เพราะรูปแบบของการจดทะเบียนธุรกิจมีผลต่องานบัญชีและอัตราภาษี ดังนั้นเจ้าของกิจการควรทำความเข้าใจให้ดี ซึ่งแต่ละประเภทล้วนมีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันไป ก่อนที่เราจะทำธุรกิจนั้นต้องพิจารณาให้ดีก่อนว่า รายได้จากธุรกิจในแต่ละรูปแบบนั้นเสียภาษีต่างกันอย่างไร และธุรกิจของเราเหมาะสมกับรูปแบบไหนมากที่สุด จะเป็น ธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา อย่างร้านต่างๆ หรือ ธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคล บริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด ซึ่งการจดทะเบียนแบบนิติบุคคลนั้นอาจมีข้อดีตรงที่ในระยะยาวจะมีอัตราภาษีคงที่มากกว่าแบบบุคคลธรรมดา แต่ขณะเดียวกันก็มีความยุ่งยากในเรื่องการจัดการบัญชี และการจัดทำเอกสารต่าง ๆ เพื่อแสดงต่อกรมสรรพากร

2. ศึกษาให้ดีก่อนเสียภาษี

แม้ภาษีจะเป็นเรื่องใกล้ตัวแต่หลายคนก็ยังคิดว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจยากอยู่ดี แต่หากศึกษาดูดีๆ แล้วจะเห็นว่า ถ้าวางแผนดี ก็ช่วยให้จ่ายน้อยลงได้ โดยไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงด้วยซ้ำ เผลอๆ อาจจะจ่ายน้อยกว่าอีกด้วย เพราะยังมีสิทธิประโยชน์อีกมากมายที่ SME หลายคนยังไม่รู้ หรือมองข้ามไป อย่างเช่น SME ที่จดทะเบียนนิติบุคคลจ่ายภาษีน้อยกว่าบุคคลธรรมดา เพราะสรรพากรคำนวณภาษีจากกำไร หากปีไหนขาดทุนก็ไม่ต้องเสีย หรือมีกำไรไม่ถึง 300,000 บาทก็ไม่ต้องจ่ายภาษี แต่หากปีไหนขายดีมีกำไรเกิน 300,000 บาทก็เสียภาษีในอัตราคงที่ 10% เท่านั้น ในขณะที่บุคคลธรรมดาเสียภาษีจากรายได้ในอัตราขั้นบันไดตั้งแต่ 5% – 35% เลยทีเดียว

3. ใช้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี

จากนโยบายของภาครัฐที่เอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจ SME ทั้งธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง โดยให้สิทธิในการหักลดหย่อน ไม่ว่าจะมาจากค่าวิจัยและพัฒนา ค่าฝึกอบรมพนักงาน ค่าประกันภัยและค่าประกันชีวิตพนักงาน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้สามารถนำหลักฐานมาแสดงในการขอลดหย่อนภาษีได้ทั้งสิ้น หากเจ้าของกิจการศึกษาอย่างครบถ้วน จะสามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้อย่างคุ้มค่า ซึ่งในส่วนนี้สามารถศึกษาข้อมูลได้เพิ่มเติมที่เว็บไซด์ของกรมสรรพากร

4. .การบริหารจัดการเงินสด แยกบัญชี และหาตัวช่วย

นิติบุคคลส่วนใหญ่เลือกวิธีการที่สะดวกโดยการจ้างนักบัญชีหรือบริษัทดูแลบัญชีที่มีความละเอียด รอบคอบ เข้าใจกฎหมาย และมีความเชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรงมาช่วยดูแล ในขณะที่เจ้าของกิจการเองควรรู้ว่า รายจ่ายส่วนบุคคลและรายจ่ายของบริษัทควรแยกออกจากกัน และรายรับรายจ่ายต่าง ๆ ของธุรกิจควรเก็บใบเสร็จเอาไว้ให้ครบถ้วน เพื่อใช้เป็นหลักฐานสำคัญในการแสดงรายจ่ายต่าง ๆ ของธุรกิจซึ่งรายจ่ายบางประเภทสามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้

สำหรับเจ้าของธุรกิจ SME ที่กำลังมองหาตัวช่วยในการทำบัญชี การตรวจสอบบัญชีและการจัดการด้านภาษี TMB ได้คัดสรรสิทธิประโยชน์ผ่านรีวอร์ดโปรแกรม TMB BIZ WOW มามอบให้สำหรับลูกค้าบัญชีเพื่อธุรกิจ TMB SME One Bank ที่ใช้ TMB BIZ TOUCH โดยเฉพาะ เพียงใช้คะแนนสะสมจากการทำธุรกรรมทางการเงิน 1,500 WOW แลกรับ ส่วนลด 3,500 บาท เมื่อรับบริการออกแบบและติดตั้งโปรแกรมบัญชีออนไลน์ Xero สำหรับธุรกิจบริการโดยเฉพาะ ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธ.ค. 2561

ติดตามรายละเอียดต่างๆได้ที่ www.tmbbank.com/bizwow/ หรือศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์ TMB SME โทร. 0-2828-2828 วันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา 8.00 – 20.00 น. ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์และวันหยุดธนาคาร