ช่วงที่ปิ่นโตเถาเล็กเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านนั้น มีน้องรัก กัปตันโอแห่งการบินไทยส่งอาหารของร้านนักบินรุ่นน้องชื่อ ต้า มาให้ลิ้มลอง (ยกขบวนนำมาให้ทั้งครอบครัว) พอได้ชิมแล้วรู้สึกอร่อยถูกปากมาก เนื่องจากเป็นเมนูจีนแต้จิ๋วคุ้นเคยแบบดั้งเดิม จึงขอเชียร์สองมือแนะนำ ร้านฮกกี่คิทเช่น ซึ่งกลับมาเปิดบริการให้นั่งกินที่ร้านอีกครั้งแล้วนะจ๊ะ

ฮกกี่คิทเช่น คือ ร้านอาหารจีนตำรับซัวเถาริมถนนบรรทัดทอง เปิดมานาน 50 กว่าปี อยู่ตรงข้ามซอยจุฬาฯ 34 ห่างจากแยกสะพานเหลืองและถนนพระราม 4 เพียง 150 เมตร ตัวร้านอยู่ริมถนนสีชมพูอมแดงเด่นเป็นสง่าขนาด 3 คูหามองเห็นได้ชัดเจน มีที่จอดรถด้านหลังร้าน โดยเข้าจากซอยข้างร้านได้เลย (เป็นโรงจอดรถสำหรับให้คนแถวนั้นเช่าประจำ)

ร้านนี้เปิดกิจการเมื่อ พ.ศ.2509 (อ่อนกว่าปิ่นโตเถาเล็กเพียง 1 ปี) โดยอากง ชื่อว่า นายห่งเอี๊ยง แซ่โล้ว (มงคลชัยวิวัฒน์) จากเดิมหาบกระเพาะปลาขายตอนเริ่มแรก กลายเป็นภัตตาคารฮกกี่คิทเช่น มีลูกหลานรุ่นที่ 2 และ 3 สืบสานตำนานความอร่อยจนทุกวันนี้ คำว่า ฮกกี่ แปลว่า วาสนาที่น่าจดจำ มีความหมายดีมาก
ตัวร้านติดเครื่องปรับอากาศทั้ง 2 ชั้น ชั้นบนแบ่งเป็นห้องๆสำหรับผู้ที่มาเป็นหมู่คณะ คุณสมชาย คุณพ่อซึ่งเป็นรุ่นที่ 2 ยังว่าการในครัวเช่นเดิม โดยมีคุณแม่และลูกๆ รุ่นที่ 3 น้องต้าและน้องเอิงคอยช่วยด้วย คุณสมชายไปซื้อของสดเองที่ตลาดเก่าเยาวราชทุกวัน

ของอร่อยที่นี่มีมากมายหลายสิ่ง เริ่มกันด้วย ห่านพะโล้ แต้จิ๋วสูตรซัวเถา (จานนี้ 600 บาท) ปรุงด้วยเครื่องยาจีนประมาณ 10 ชนิด เช่น โป๊ยกั้ก อบเชย ลูกผักชี ยี่หร่า ข่าแก่ พริกไทย ลูกกระวาน หญ้าหอม พริกหอม จึงหอมกลิ่นเครื่องยาจีน แต่ไม่แรงจนเกินไป และมีรสชาติเข้าเนื้อ ไม่เหม็นสาบ ส่วนที่ผมชอบคือ เนื้อสะโพกห่านนุ่มอร่อย นอกจากนี้ ยังเลือกชิ้นส่วนอื่นได้ด้วย อย่าลืมสั่ง ไส้ห่าน กรอบๆ (จานนี้ 2 ขีด 140 บาท) นะจ๊ะ นอกจากนี้ ก็มีขา ปีก หัว เลือด เครื่องใน และลิ้นพะโล้ นอกจากนี้ ยังมี ขาห่านอบบะหมี่ (คู่ละ 190 บาท) ให้ลิ้มลองด้วย

ของกินเล่นที่ขึ้นชื่อลือชา นิยมสั่งกลับบ้านกันมากก็คือ ขนมผักกาด หรือ ไชเท้าก้วย ลูกโตๆ เท่ากำปั้น (ลูกละ 60 บาท) หั่นได้ 5 ชิ้นโตๆ เวลากินให้นึ่งนาน 10 นาทีจนนุ่มหอม หรือนำมาจี่ในกระทะใส่น้ำมันเล็กน้อยก็อร่อยกรอบนอกนุ่มใน (ผมชอบมาก) บรรจุในห่อสุญญากาศ เก็บในช่องแช่แข็งได้นาน 1 เดือน อยู่ต่างจังหวัดก็สั่งได้นะจ๊ะ

ส่วนของกินเล่นอื่นๆ มี แฮ่กึ๊น (กุ้ง) และ ฮ่อยจ๊อ (ปู) (ลูกละ 25 บาท) สั่งมากินคู่กันได้ อีกทั้งมาร้านแต้จิ๋วต้องสั่ง กระเพาะปลาผัดแห้ง (300 บาท) ใส่กระเพาะปลาชิ้นโตๆ ด้วย

เมนูน้ำๆ ซดๆ ต้องลอง ไก่ดำตุ๋นยาจีน หอมหวานเข้มข้นสุดยอด (450 บาท) ที่ชอบใจก็คือ เนื้อไก่ดำ เจ้านี้อร่อยมีรสชาติไม่แห้งผาก อีกอย่างที่เป็นเมนูดั้งเดิมประจำร้าน หัวปลาต้มเผือก (150-200-300 บาท) ปรุงจากน้ำซุปกระดูกหมูรสชาติเข้มข้น ผู้ใหญ่อย่างเราซดกินเปล่าๆ ได้เลย เพราะรสชาติดีมาก ส่วนหัวปลาเป็นปลาจีนซ่งฮื้อ จะสั่งใส่ปลากะพงก็ได้ ยังมีทีเด็ดที่น้ำจิ้มเต้าเจี้ยวใส่พริก ช่วยให้รสจัดเผ็ดหอมยิ่งขึ้น

ขาห่านอบบะหมี่
ขนมผักกาด

อีกอย่างซึ่งหากินที่อื่นได้ยากคือ เก้งผัดขึ้นฉ่าย (200-300-400 บาท) ซึ่งเดี๋ยวนี้ความจริงคือ ใช้ เนื้อแพะ มาทำ ไม่มีกลิ่นสาบ และนุ่มหอมมาก ถ้าชอบรสจัดให้สั่ง เก้งผัดพริก และ เก้งผัดกะเพรา นอกจากนี้ ก็มี ปลิงทะเลผัดกะเพรา (300-600-900 บาท) เนื้อปลิงนุ่มๆ ผัดมีรสมีชาติ

เมนูอื่นที่ชอบมี ออส่วนหอยนางรม นุ่มเนียน (200-300-400 บาท) กับ หน่อไม้ทะเลเจี๋ยนยอดคะน้า น้ำเจี๋ยนหอมและรสชาติดีมาก ที่ชอบคือไม่มีรสหวานนำ ยอดคะน้าก็อ่อนกำลังดี ไม่มีใบแก่ๆ ให้เสียอารมณ์
อยากกินปลาให้สั่ง ปลากะพงนึ่งซีอิ๊ว (ตัวนี้ 500 บาท) สดหวาน น้ำซีอิ๊วก็หอมมากกรรมวิธีเคล็ดลับคือ จะปรุงน้ำซีอิ๊วก่อน เติมซีอิ๊วญี่ปุ่น น้ำมันงา น้ำมันหอย และน้ำตาลเล็กน้อย แล้วแยกน้ำซีอิ๊วบางส่วนไปนึ่งปลา พอนึ่งสุกแล้วเทน้ำทิ้งไป นำน้ำซีอิ๊วอีกส่วนที่แยกไว้ต่างหากไปปรุงเพิ่ม เติมแป้งมันนิดหน่อย ใส่ขิงและต้นหอมลงกระทะพอสะดุ้งไฟ แล้วเทราดตัวปลาที่นึ่งเสร็จแล้ว สำหรับเมนูปลาอื่นๆ เช่น ปลาเต๋าเต้ย นั้นให้สั่งล่วงหน้า 1 วัน จะสดมากๆ เอามาลวกในหม้อไฟได้

ไก่ดำตุ๋นยาจีน

ตามธรรมเนียมโต๊ะจีนต้องปิดท้ายด้วยข้าว หรือเส้นหมี่ ขอแนะนำ ข้าวผัดหนำเลี้ยบ ใส่กุนเชียงหอมอร่อย หอมกลิ่นคั่วในกระทะ (150-200-300 บาท มีขนาดใส่กล่องกลับบ้าน 100 บาทด้วย) ผัดหมี่ฮ่องกง ใส่แฮมและกุ้ง (150-200-300 บาท มีใส่กล่องกลับบ้าน 100 บาทด้วย) วันก่อนหน้านั้นผมสั่ง ข้าวผัดเผือก ทรงเครื่อง (150-200-300 บาท) ใส่เครื่องหลากหลาย ไปกินที่บ้านอีกด้วย

ถ้ามาเป็นหมู่คณะอยากสั่งเมนูโต๊ะจีนสุดคุ้มก็มีหลายราคาเริ่มที่ 3,200 บาท ไปจนถึง 8,300 บาท
ปิดท้ายด้วยของหวาน รักพี่เสียดายน้องจนต้องสั่งมาทั้ง 2 อย่าง ทั้ง เผือกหิมะ (ชิ้นละ 15 บาท) มีน้ำตาลเคลือบพอเหมาะ และหอมกลิ่นวานิลลา (แทนการคั่วกับต้นหอม) ต้องกินตอนร้อนๆถึงจะอร่อย กับ โอนี่แปะก๊วยใส่ข้าวเหนียว (250 บาท) และเครื่องสารพัดกับเผือกกวนทำเองเนียนหอมหวาน

นี่คือร้านจีนแต้จิ๋วซัวเถาที่ถูกใจข้าพเจ้าอีกหนึ่งร้าน เปิด 10 โมงเช้าถึง 3 ทุ่มทุกวัน ถ้ายังไม่อยากออกจากบ้านฮกกี่คิทเช่น มีบริการดิลิเวอรีด้วย โทรสอบถามที่ 0-2215-1259-60 หรือ Line @hokkee ก็ได้นะจ๊ะ

ข้อมูลร้าน
ฮกกี่คิทเช่น
โดย คุณสมชาย มงคลชัยวิวัฒน์
ที่ตั้ง 1988 ถนนบรรทัดทอง วังใหม่ ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
โทร 0-2215-1259-60, 09-4979-6199
เปิดบริการ 10.00-21.00 น.ทุกวัน
หยุด หลังเทศกาลสงกรานต์
Line @hokkee
แนะนำ ห่านพะโล้ ไส้ห่าน ขนมผักกาด ไก่ดำตุ๋นยาจีน หัวปลาต้มเผือก เก้ง (แพะ) ผัดขึ้นฉ่าย เก้งผัดพริก หน่อไม้ทะเลเจี๋ยนยอดคะน้า ปลากะพงนึ่งซีอิ๊ว ข้าวผัดหนำเลี้ยบ เผือกหิมะ โอนี่แปะก๊วยใส่ข้าวเหนียว กระเพาะปลาผัดแห้ง

เก้งผัดขึ้นฉ่าย
ปลากะพงนึ่งซีอิ๊ว
ผัดหมี่ฮ่องกง
เผือกหิมะ
โอนี่แปะก๊วยใส่ข้าวเหนียว
ที่มามติชนรายวัน 
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก

นอกจากร้านที่มีความสามารถปรับตัวเองตามสถานการณ์การแพร่ระบาด ด้วยการเปิดรับสั่งอาหารออนไลน์และจัดส่งอาหารโดยตรงถึงหน้าบ้านลูกค้าแล้ว ยังมีร้านอีกประเภทหนึ่งที่ฝีมือเยี่ยมยอด ทำกันในครอบครัว แต่ไม่มีกำลังเพียงพอที่จะจัดตั้งระบบดิลิเวอรีได้ ต้องรอให้ลูกค้าขาประจำซื้อกลับไปกินที่บ้านเอง สมควรแก่การร่วมด้วยช่วยกันไปซื้อถึงที่ร้าน ถือว่าเป็น การกินช่วยชาติ ช่วยร้านได้นะจ๊ะ

จึงขอแนะนำร้านเชลล์ชวนชิม ร้านโปรดของคุณชายถนัดศรี ร้านเก่าอร่อยเด็ดที่สมควรแก่การตามไปซื้อถึงที่กันสัก 2 เจ้า

เจ้าแรกคือ ร้านเจ๊ทู่ อันโด่งดังในย่านคลองเตย ตอนนี้เจ๊ทู่ได้ถอยมาตั้งหลักขายอยู่ที่บ้านตัวเองแห่งเดียว(เนื่องจากที่อื่นยังปิดอยู่) อยู่ในตึกแถวตรงตลาดคลองเตย เวลาจะมาซื้อ ให้ตรงมาที่ตลาดคลองเตย แต่ไม่ต้องเข้าตลาด เลยมาอีกนิดที่ ปากซอย 4 ถนนรัชดาภิเษก (อยู่ก่อนถึงห้าแยก ณ ระนองนิดเดียว) จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอย 4 ไปไม่กี่ร้อยเมตร ตึกแถวร้านเจ๊ทู่จะอยู่ทางขวามือก่อนถึงสี่แยกเล็กๆ นิดเดียว มีป้ายเชลล์ชวนชิมเจ๊ทู่เป็นจุดสังเกต ส่วนที่จอดรถนั้น พอจะถึงให้นัดแนะกับที่ร้าน พอไปถึงหน้าร้าน ก็จะมีคนพาไปหาที่จอดแถวนั้นให้

ในยามปกติเจ๊ทู่จะตั้งโต๊ะ 2 ตัวกางร่มริมถนนหน้าบ้านให้นั่งกินกันแต่เช้าตรู่ ขายข้าวแกงและขนมน้ำกะทิสารพัดอย่าง ซึ่งช่วงที่ยังไม่สามารถเปิดร้านได้ ก็จะวางของหน้าบ้านให้ซื้อกลับอย่างเดียวตั้งแต่ 7 โมงเช้าไปจนถึง 10 โมงเช้า ทุกวันจันทร์-ศุกร์

โดยช่วงนี้เจ๊ทู่ทำข้าวราดแกงและขนมต่างๆ เกือบ 10 อย่างหมุนเวียนเปลี่ยนไป จะกินอะไรก็เชิญตามสบาย แต่ห้ามลืม แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย เป็นอันขาด น้ำแกงเข้มข้นอร่อย ลูกชิ้นปลากรายหนึบเหนียวเด็ดสุดสุด แกงใส่ฟักตามสไตล์ข้าวแกงแบบไทย-จีน

ทีเด็ดอีกอย่างคือ บัวลอยเผือก ที่หอมมันเข้มข้น ใส่ทั้งเม็ดบัวและเนื้อมะพร้าวอ่อน ซื้อกลับบ้านแค่สองอย่างนี้ก็คุ้มแล้ว สนนราคาใส่ถุงกลับบ้าน 40-50-60 บาทแล้วแต่เมนูอาหาร (ช่วงปกติที่นั่งกินที่ร้านได้ จะขายข้าวราดแกง 1 อย่าง 40 บาท 2 อย่าง 50 บาท กับข้าวใส่ถ้วย 40-50 บาท)

ผมขอแนะวิธีที่สามารถเก็บบัวลอยไว้รับประทานได้นานๆ คือ เอาบัวลอยทั้งถุงใส่ช่องแช่แข็งเลย เวลาจะกินให้เอาออกจากตู้เย็น แล้วทิ้งไว้ให้ละลายเสียก่อนจึงจะนำไปอุ่น

หรือกินแบบเย็นๆ คล้ายกับไอศกรีมกะทิหวานเย็นก็อร่อยสุดยอดไปอีกแบบ

และช่วงนี้เจ๊ทู่กลับมาทำ บ๊ะจ่าง ด้วย เด็ดมากๆ (ลูกละ 70 บาท ถ้าไม่มีเผือก 65 บาท) อัดแน่นด้วยเครื่องสารพัด นอกจากนี้ยังมีเมนูประจำวัน ประกอบด้วยวันจันทร์และอังคารทำ ข้าวหมูแดง ข้าวหมูกรอบ วันพุธขาย ข้าวผัดอเมริกัน วันพฤหัสบดีมี ข้าวคลุกกะปิ ส่วนวันศุกร์เปลี่ยนเป็น ขนมจีนน้ำยาปลาช่อน (สนนราคา 40-50 บาท ยกเว้นข้าวผัดอเมริกัน 60 บาท)

ส่วนขนมนอกจากบัวลอยแล้ว เจ๊ทู่ยังทำข้าวเหนียวเปียกเผือก ข้าวเหนียวเปียกลำไย เต้าส่วน ข้าวฟ่าง ข้าวเหนียวทุเรียน กล้วยบวชชี ฟักทองแกงบวด ฯลฯ เปลี่ยนไปตามวันอีกต่างหาก

เจ๊ทู่ยังรับไปงานข้างนอกด้วย ตอนนี้ก็มีคนสั่งไปแจกจ่ายช่วยในงานทางการแพทย์อยู่ ส่วนช่วงเช้าถ้าแฟนๆ อยากตามไปซื้อ ให้โทรสอบถามได้ที่เบอร์ 09-0563-5615, 09-9235-4461, 09-4363-6165

 

กล้วยบวชชี
บัวลอยเผือก
บัวลอยเผือก

สถานการณ์กลับมาปกติเมื่อไหร่ เจ๊ทู่บอกว่าคงจะกลับไปขายที่ สวนเพลิน มาร์เก็ต ตรงข้ามอาคารมาลีนนท์ ริมถนนพระราม 4 ตั้งแต่ตอนสายยันเย็นเช่นเดิม

ตอนนี้แฟนๆ อย่างเพิ่งไปที่นั่นนะจ๊ะ เพราะยังไม่ทราบว่าจะเริ่มอีกเมื่อไหร่

มาว่ากันต่อกับอีกหนึ่งร้านโปรดของครอบครัวเราตลอดกาล ร้านเป็ดย่าง จิ๊บกี่ นางเลิ้ง อยู่ริม ถนนนครสวรรค์ ตรงข้ามตลาดนางเลิ้ง ในตึกแถว 3 คูหาแบบฝรั่งที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เปิดขายมานานร่วม 80 ปีตั้งแต่รุ่นก๋ง คุณชายถนัดศรีมาชิมเมื่อปี 2504 ตอนนั้นเป็ดย่างตัวละ 26 บาท ซึ่งนับว่าแพงกว่าที่อื่นซึ่งเขาขายกันตัวละ 22 บาทเท่านั้น เทียบกับปัจจุบันที่เป็ดย่างจิ๊บกี่ ราคาตัวละ 440 บาท ซึ่งนับว่ายังไม่แพงมากในยุคนี้ ผมชอบกินเป็ดย่างจิ๊บกี่มาตั้งแต่ยังพูดไม่ชัด นั่งเก้าอี้เท้ายังไม่ถึงพื้น

ตอนนี้จิ๊บกี่เปิดให้ซื้อกลับบ้านอย่างเดียว ไม่มีระบบการสั่งออนไลน์ และทำขายปริมาณน้อยลงกว่าปกติ ดังนั้นถ้าแฟนๆอยากลิ้มลองควรรีบไปซื้อตั้งแต่ยังเช้าอยู่โดยร้านจะเปิดตั้งแต่ 9 โมงเช้าไปจนถึงบ่าย 3 โมง แต่ไม่แนะนำให้ไปช่วงบ่ายนะจ๊ะเพราะของอาจจะหมดเสียก่อน

เมนูเด็ดย่อมต้องเป็น เป็ดย่างสไตล์กวางตุ้ง ที่นี่ย่างกันกี่ชั่วคนก็มีรสชาติเหมือนเดิม หนังพองพอประมาณ เนื้อค่อนข้างแห้งแต่นุ่มแบบเป็ดเสียโป หน้าตาไม่เหมือนเป็ดย่างทั่วไปในปัจจุบันที่หนังแดงๆ มีน้ำราดข้นๆ หวานๆ แต่เป็ดย่างจิ๊บกี่ หนังสีออกเข้มๆ และไม่กรอบมาก น้ำราดเป็ดค่อนข้างเหลวใส่เต้าเจี้ยวเยอะๆ ไม่หวานมาก ผมชอบขอน้ำราดเป็ดใส่ถ้วยมาอีกต่างหาก คลุกกับข้าวกินได้อร่อยยิ่งนัก น้ำจิ้มเป็ดเป็นน้ำจิ้มซีอิ๊วดำรสออกเปรี้ยวนิดๆ พริกชี้ฟ้าที่หั่นมาในถ้วยน้ำจิ้มมีความประสงค์ที่จะกินเป็นผักมากกว่าให้ความเผ็ด

มีขายหลายขนาด เช่น ขนาด 1 ใน 4 ตัว ราคา 110 บาท ครึ่งตัว 220 บาท ไปจนถึงซื้อทั้งตัว 440 บาท เมนูคู่เป็ดย่างที่สั่งกันแทบทุกโต๊ะคือ เป็ดตุ๋น (20 บาท) ที่ใส่โถมาขนาดพอดี 1 คนรับประทาน ไม่ใช่เป็ดตุ๋นแบบที่ใส่มะนาวดอง รสชาติกลมกล่อมซดคล่องคอ เผ็ดร้อนด้วยพริกไทยที่ใส่มาแบบไม่ยั้ง โรยหน้าด้วยผักชีหอมๆ ซึ่งต้องรีบซื้อเพราะช่วงนี้ทำไม่มาก จึงหมดเร็ว

ของอร่อยที่สุดคือ ไส้เป็ด (50 บาท) สีออกขาวนวล กรอบกรุบๆ (แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำเครื่องในอื่นๆ จำพวกกึ๋น ตับ หัวใจ) ถ้าใครไม่กินเป็ด ก็มี หมูแดงและหมูกรอบ (แต่เขาเรียกว่าหมูย่าง) (100 บาทอย่างต่ำ) ซึ่งหมูแดงเจ้านี้ไม่มีการเติมสีผสมอาหารใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าติดใจอยากซื้อกลับบ้านเยอะๆ เขาคิดกิโลละ 500 บาท

อย่ามัวรอช้าอยู่ไย รีบออกไปซื้อมากินที่บ้านกับครอบครัวได้เลย (แต่อย่าลืมว่าเจ๊ทู่หยุดเสาร์-อาทิตย์) รับรองว่าได้กินของอร่อย แถมช่วยชาติด้วยการช่วยร้านเล็กๆ เหล่านี้ได้อีกด้วยนะจ๊ะ

ร้านจิ๊บกี่

โดย คุณนิตยา แซ่หว่อง

ที่ตั้ง 355-359 ถนนนครสวรรค์ แขวงโสมนัส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ 10100

โทร 0-2281-1283

เปิดบริการ ช่วงนี้ซื้อกลับบ้านอย่างเดียว 09.00-15.00 น.ทุกวัน

หยุด สารทจีน ตรุษจีน

แนะนำ เป็ดย่าง เป็ดตุ๋น หมูแดง หมูย่าง ไส้เป็ด

06Jibkee-เป็ดย่าง

ร้านเจ๊ทู่

โดย คุณชาลิสา แซ่โง้ว(เจ๊ทู่)

ที่ตั้ง 63/20 ตลาดคลองเตย 2 ซอย 4 ถ.สุนทรโกษา เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110

โทร 09-0563-5615, 09-9235-4461, 09-4363-6165

เปิดบริการ ช่วงนี้ซื้อกลับอย่างเดียว 07.00-10.00 น. จันทร์-ศุกร์

หยุด เสาร์-อาทิตย์

แนะนำ แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย บัวลอยเผือก บ๊ะจ่าง และข้าวแกงกับขนมน้ำกะทิต่างๆ

เป็ดตุ๋น ร้านจิ๊บกี่
ไส้เป็ด ร้านจิ๊บกี่
หมูแดง หมูกรอบ(หมูย่าง) ร้านจิ๊บกี่
ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก
Saruda Exotic Island

ถ้าจะให้แนะนำร้านอร่อยในจังหวัดเชียงใหม่ แน่นอนว่าจะต้องมีร้านประเภทเค้กขนมหวานรวมอยู่ในลายแทงด้วย เพราะเชียงใหม่มีร้านเค้กเพสตรี้ดีๆ สวยหวานมีเสน่ห์เหมือนกับคาแร็กเตอร์เมืองนี้อยู่มากมาย

ซึ่ง ณ วินาทีนี้ ร้านเค้กเพสตรี้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งสุดยอดแห่งร้านเค้กในเชียงใหม่เห็นจะหนีไม่พ้น Saruda (อ่านว่าศรุดา ตามชื่อเจ้าของร้าน) ไปได้ มีชื่อเต็มๆ ว่า Saruda Finest Pastry อยู่ตรง ซอยเชื่อมระหว่างนิมมานเหมินท์ซอย 3 และ 5 ตรงข้ามกับร้านกาแฟ Ristr8to Lab ชื่อดัง (สาขาที่เป็นร้านใหญ่) และ อยู่ติดกับร้านอาหารญี่ปุ่น Tengoku สาขานิมมาน

คุณศรุดาหรือน้องวิวเจ้าของร้านเข้าคอร์สเรียนจากเชฟระดับโลกชาวฝรั่งเศสและสเปนมากกว่า 9 คน อาทิ เชฟ CédricGrolet เชฟ Julien lvarez เชฟ Olivier Bajard หลังจากที่น้องวิวเป็นเพสตรี้เชฟใหญ่ประจำร้าน Mix มานาน จึงขยับขยายมาเปิดร้าน Saruda ใกล้ๆ กันในแนวโมเดิร์นเฟรนช์เพสตรี้

เปิดมาเพียงไม่ถึงปี ร้าน Saruda ก็โดดเด่นเป็นที่กล่าวขานกันทั้งเมือง ที่นี่เลือกใช้แต่วัตถุดิบชั้นเยี่ยมจากเมืองนอก อาทิ ช็อกโกแลต Valrhona จากฝรั่งเศสหลากหลายชนิด ฝักวานิลาจากตาฮิติ พิถีพิถันกับขนมหวานแต่ละตัว ต้องใช้เวลาหลายวันในการทำขั้นตอนซับซ้อน จนได้สุดยอดเค้กหน้าตาดีมากมาย

แต่ละวันจะมีเค้กเพสตรี้ 10 กว่าชนิด ทำชนิดละมากสุดไม่เกิน 30 ชิ้นเท่านั้น หมดแล้วหมดเลย ดังนั้นจึงควรมาตั้งแต่ช่วงกลางวัน

มีอยู่ชิ้นหนึ่งเพียงลิ้มลองคำแรกก็รู้สึกตาโตด้วยความประทับใจ อัลมอนด์ฟรุตทาร์ต (Almond fruit tart) (165 บาท) เป็นทาร์ตผลไม้แห้งอร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา หนึบกรอบหอมได้เคี้ยวผลไม้แห้งและถั่ว ทั้งแอปริคอต ส้มแมนดาริน ลูกพรุน มะเดื่อ(ฟิก) แมคคาเดเมีย พิชตาชิโอ พีแคน ตัวทาร์ตสไตล์ฝรั่งเศสเรียกว่า Tarte au sucre หรือชูการ์พายส์ เนื้อเค้กด้านในทาร์ตคือ ฟรันจิปาน (Almond Frangipane) หรือเค้กอัลมอนด์ครีมของฝรั่งเศส เค้กช็อกโกแลตหน้าตาด้านบนตะปุ่มตะป่ำเหมือนท้าวแสนปม แต่อร่อยล้นเหลือ ชื่อว่า Chocolate Basque P125 (155 บาท) ด้านบนเป็นครัมเบิ้ลช็อกโกแลต ถัดมาคือเนื้อเค้กสไตล์ Basque กึ่งเค้กกึ่งทาร์ต อบแล้วเนื้อฟูกว่าทาร์ตปกติ ด้านในเป็น เพสตรี้ครีมช็อกโกแลต Valrhona P125 เข้มข้นหอมอร่อยเนื้อเนียนมาก

ขนมหวานหน้าตาดีอีกอย่างเป็นก้อนโดมสีม่วง Violetta (175 บาท) ด้านในคือ บลูเบอร์รีคอมโพท (Blueberry compote) หอมหวานกับบลูเบอร์รีชีสพิวเร (Pure) หุ้มด้วยมูสมาสคาร์โปเน่ ซึ่งจะหอมมันสุดยอด และเคลือบ (Glaze) สีม่วงอ่อน อิ่มแค่ไหนก็ต้องสั่ง

ที่ชื่นชอบไม่แพ้กันคือ Anastasia (175 บาท) มีทั้งพิชตาชิโอ้วิปครีมเบาๆ หอมๆ และพิชตาชิโอ้พราลีน หุ้มสตรอเบอร์รีตุ๋น (Confit) ฐานล่างเป็น Sabl tart ร่วนกรอบ ด้านบนมีสตรอว์เบอร์รีนิวซีแลนด์สด เมื่อกินรวมกันในคำเดียวแล้วจะเหมือนขึ้นสวรรค์เลยทีเดียว

ใครก็ตามที่เข้ามายืนหน้าตู้เค้ก จะเกิดอาการตื่นตาตื่นใจไปกับเค้กที่หน้าตาเหมือนผลไม้จริงๆ อย่างเช่น Orange Bliss (195 บาท) เมื่อตักเข้าปากจะรู้สึกถึงรสส้มมากๆ ด้านในเป็นเจลส้มจี๊ดจ๊าดกับเปลือกส้มเชื่อมจนนุ่มหน่อยและมีเนื้อส้ม หุ้มด้วยกานาชมอนเต้ (Ganache Montee) ครีมส้มนุ่มฟู พ่นทับหลายชั้นเหมือนผลส้มจริง มีใบส้มก้านส้มอีกด้วย ฐานล่างเป็นข้าวพองซีเรียลใส่ผิวส้มกับเฮเซลนัทบด

Mango Passion
Orange Bliss
Saruda Blooming Tea
Saruda Blooming Tea

อีกอย่างหน้าตาเป็นลูกแพร์ คือ วิลเลียมส์แพร์ (Williams Pear)(185 บาท) มีทั้งเค้กขนมปังขิงนุ่มๆ ถัดมาคือครีมผสมเหล้า Bailey Irish coffee หอมๆ และมีเนื้อลูกแพร์ตุ๋นกับวานิลลา อีกทั้งมูสคุกกี้ขิงแบบเยอรมัน

มีเค้กหน้าตาเหมือนลูกมะม่วงสุกอีกด้วย ชื่อว่า Mango Passion (175 บาท) ด้านนอกเป็นมูสครีมชีส เนื้อในเป็นเจลเสาวรส ยูซุ และมะม่วง ให้ความเปรี้ยว 3 แบบ ใส่เนื้อมะม่วงสุกด้วย

ต่อด้วยเค้กหน้าตาเหมือนมะพร้าวเฉาะ ชื่อ Exotic Island (175 บาท) เนื้อมะพร้าวเป็นมูสกะทิช็อกโกแลตขาว ไส้ในเป็นมะม่วงกับเสาวรสพิวเร มีเนื้อมะม่วงและเนื้อสับปะรดด้วย ตรงกลางชิ้นคือน้ำเสาวรสผสมไซรับเหล้ามาลิบู

คนชอบช็อกโกแลต ให้ลอง Mr.Autumn (215 บาท) ด้านบนมีมูสช็อกโกแลต 70% ไส้เฮเซลนัทพราลีน ด้านล่างมีช็อกโกแลตกานาชมอนเต้เนียนๆ หุ้มช็อกโกแลตบิสกิตออกแนวบราวนี่ และมีกานาชช็อกโกแลต Valrhona P125 หนืดเข้มข้นมากๆ คำหนึ่งได้หลายรสสัมผัสหลายรสชาติของช็อกโกแลต

สโคน

ต่อด้วยก้อนอุกกาบาตชื่อ ควอซาร์ (Quasar)(185 บาท) ตัวตะปุ่มตะป่ำคือครัมเบิ้ลช็อกโกแลตกับแคนดี้ที่กินแล้วเป๊าะในปาก มีมูสช็อกโกแลตอีกชนิดไม่ซ้ำตัวอื่น ไส้แยมส้มแมนดาริน และมีทั้งพุดดิ้งช็อกโกแลตเข้มข้นกับบิสกิตกรอบๆ

ยังไม่หมดนะจ๊ะ บลูเบอร์รีทาร์ต (175 บาท) ที่ไม่ธรรมดา มีทั้งครีมกลิ่นดอกเอลเดอร์ อัลมอนด์ครีม และแป้งทาร์ต ก่อนจะราดด้วยบลูเบอร์รีคอมโพทต่างหาก และ เค้กบานาน่าคาราเมล (75 บาท) ที่ขายมาแต่แรกเริ่ม มีทั้งคาราเมลกับกล้วยหอมและเนื้อเค้กกล้วยหอม อีกทั้ง สโคน (Scone) ทั้งแบบอังกฤษเนื้อแน่นๆ (50 บาท) และที่ใส่ลูกเกดเนื้อร่วนๆ (55 บาท) มีแยมโฮมเมดแบบฝรั่งเศสสำหรับทา (15 บาท)

นอกจากเค้ก ยังมีเครื่องดื่มเก๋ๆ โดยเฉพาะชาต่างๆ อีกมากมาก แนะนำชาที่ใส่ดอกไม้ต่างๆ ลงไปด้วยเรียกว่า Blooming Tea เป็นชาผสมด้วยชาอู่หลง ชามะลิและชากุหลาบ และเทศกาลต่างๆ เช่น คริสต์มาสและวาเลนไทน์ จะมีเค้กพิเศษน่ารักน่าเอ็นดูเพิ่มสีสันอีกต่างหาก

 

ใครเข้ามาร้านนี้แล้วจะรู้สึกอบอุ่นเพลิดเพลิน เลือกนั่งทั้งโต๊ะยาวสำหรับเพื่อนฝูงหมู่คณะ โต๊ะแยก และบริเวณด้านนอกเป็นเคาน์เตอร์ไม้ยาวๆ ให้นั่งมองผู้คน

ทุกวันนี้น้องวิวก็ยังเรียนรู้ตระเวนชิมเค้กทั่วยุโรป ตระเวนเรียนกับเชฟระดับโลกอีกอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นอีก ขอเชิญไปชิมได้ทุกวันตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม แล้วจะหลงรักร้านนี้หมดหัวใจแน่นอน

Saruda Finest Pastry


โดย คุณศรุดา (วิว) วิรัช

ที่ตั้ง 12 ซอยนิมมานเหมินท์ 3 ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50200

โทร 09-5224-5536

เปิดบริการ 10.00-21.00 น. ทุกวัน

แนะนำ อัลมอนด์ฟรุตทาร์ต (Almond fruit tart), Chocolate Basque P125, Violetta, Anastasia, Orange Bliss, วิลเลียมส์แพร์ (Williams Pear), Mango Passion, Exotic Island, Mr.Autumn, ควอซาร์ (Quasar), บลูเบอร์รีทาร์ต, เค้กบานาน่าคาราเมล

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนปิ่นโตเถาเล็ก (ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์)