เพื่อนๆ รู้จักข้าวเม่าไหมคะ ข้าวเม่าที่ตำเสร็จใหม่ๆ จะหอมกรุ่น อ่อนนุ่ม เคี้ยวหนึบหนับ และมักจะนำมาใส่ในขนมกระยาสารท

ข้าวเม่า คือ ข้าววัยแรกรุ่น ที่เลยระยะน้ำนมแล้ว ซึ่งข้างในเปลือกข้าวจะเริ่มแข็งตัวเป็นเม็ด มีสีขาว และห่อหุ้มด้วยเยื่อบางๆ สีเขียว เมื่อข้าวแก่จะกลายเป็นสีน้ำตาล และกลายเป็นรำ ถูกคิดค้นมาตั้งแต่สมัยโบราณที่มีมานานมากๆ ซึ่งคนนิยมทำขึ้นมาเพื่อเป็นขนมหวานไว้รับประทานกันในหมู่บ้าน แต่ข้าวเม่าไม่ได้นิยมกินกันแค่ในประเทศไทยเท่านั้น เพราะประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว กัมพูชา พม่า อินเดีย ภูฏาน รวมทั้งทิเบต ต่างก็มีการทำข้าวเม่าไว้รับประทานเหมือนกัน ซึ่งประเทศเหล่านี้ก็ล้วนเป็นประเทศที่ปลูกข้าวเป็นหลักเหมือนกัน แต่ความแตกต่างน่าจะอยู่ที่ขนบธรรมเนียมในการตำข้าวเม่า

โดยการทำข้าวเม่าแบบไทยนั้น เราจะเลือกใช้เมล็ดข้าวเจ้า ข้าวเหนียว หรือข้าวเหนียวดำ ซึ่งเป็นข้าวที่ได้มาจากรวงข้าวสีเขียวไล่มาจนถึงสีเขียวตกน้ำตาล หรือสังเกตง่ายๆ ว่าต้องเป็นเมล็ดข้าวที่ไม่อ่อนจัดและยังไม่แก่จัด และกว่าจะได้ข้าวที่ใช้ทำข้าวเม่านั้น ข้าวหนึ่งกอจะมีแค่บางรวงที่สามารถนำมาใช้ได้ เพราะในกอข้าวส่วนใหญ่จะมีความอ่อนแก่ไม่เท่ากัน จากนั้นจึงนำรวงข้าวที่ได้มาแยกเมล็ดออกจากรวงข้าว แล้วนำมาคั่วเพื่อให้ข้าวสุก ก่อนที่จะนำข้าวที่ได้มาตำเพื่อนำเปลือกข้าวออกจากเนื้อข้าวนั่นเอง

และด้วยความที่ข้าวเม่า คือ อาหารที่ได้จากเมล็ดข้าวที่ยังไม่แก่จัดซึ่งถูกนำมาคั่วและตำให้แบน ข้าวเม่าจึงเป็นข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการเหมือนข้าวที่เรารับประทานกันปกติ โดยอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร ไขมัน วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอะซิน ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และโปรตีน ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ล้วนส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย และยังช่วยให้สุขภาพจิตดี มีความตื่นตัว มีสมาธิสูง ช่วยปรับระดับกลูโคสและสารอาหารรองในสมอง ช่วยให้ระบบการทำงานของสมองดี และช่วยบำรุงกำลังเจริญธาตุต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

ที่มา : แม่บ้าน

วันนี้มีชื่อของขนมไทยมาให้รู้กันอีกแล้ว คราวนี้เป็นเรื่องที่มาของชื่อ “ข้าวตอก” และ “ข้าวเม่า”  ขนมทั้งสองชนิดนี้เป็นตันตระกูลของขนมก็ว่าได้  ขนมต่างๆ อีกหลายชนิดเป็นตัวแปรมาจากข้าวตอกและข้าวเม่า นอกจากนี้ในสมัยโบราณยังถือเป็นของที่ใช้ในพิธีต่างๆ เช่น ในการรำอวยพร ก็มีโปรยข้าวตอกดอกไม้ เป็นต้น  สมัยโบราณ แม้กระทั่งปัจจุบันก็ยังมีเวลาจะทำพิธีบวงสรวงบูชาอะไร  จะต้องมีข้าวตอกดอกไม้  ซึ่งจริงๆแล้วหากสังเกตให้ดี ข้าวตอกก็มีลักษณะคล้ายดอกไม้ คือดอกมะลิมากกว่าดอกไม้อย่างอื่น

ชาวอัสสัมหรือไทยอาหม เรียกดอกมะลิว่า “ม็อกเข่า-แต๊ก” หรือดอกข้าวตอก โดยทั่วๆ ไปเข้าใจกัน ว่าข้าวตอกเป็นของกินกับน้ำกะทิ  เป็นของหวานแบบไทยๆ หรือบางทีก็ไปร่วมสมาคมกับพวกถั่วผสมรวมกันกลายเป็นกระยาสารท แต่ถ้าพูดถึงศักดิ์ศรีของข้าวตอกแล้ว ก็ใช้เป็นเครื่องบูชาได้ด้วย  การบูชาด้วยข้าวตอกและดอกไม้ของไทย เป็นประเพณีมีมาแต่ดั้งเดิม  แต่ตามธรรมเนียมอินเดียก็มีเช่นกัน สมัยอินเดียโบราณเวลารับเสด็จพระเจ้าแผ่นดินต้องโปรยข้าวตอกดอกไม้

สำหรับประเทศไทย ย้อนไปในสมัยสุโขทัยก็มีการบูชาด้วยข้าวตอกดอกไม้ มีหลักฐานกล่าวไว้ในหนังสือไตรภูพระร่วง ตอนหนึ่งว่า  “…จึงชักชวนกันแต่งแง่แผ่ตน ทากระแจะแลจันทน์น้ำมันหอมแลมีมือถือเข้าตอกตอกไม้ไปบูชากงจักรแก้วนั้นแล”  ดังนี้ แสดงว่าในครั้งโน้นใช้ข้าวตอกบูชาสิ่งที่คารพ

และอีกตอนหนึ่งกล่วว่า “…แล้วจึงยกศพไปสงสักการด้วยแก่นจันทน์กฤษณาทั้งหลาย แล้วบูชาตัวยข้าวตอกดอกไม้ทั้งหลาย…” จากหลักฐานที่กล่าวนี้ส่อให้เห็นว่า ในสมัยสุโขทัยได้ใช้ข้าวตอกเป็นเครื่องบูชามาแล้ว และใช้ทั้งงานมงคล งานศพ  ในสมัยก่อนทางภาคอีสาน เมื่อจะนำศพไปฝังหรือเผา ก็จะมีคนถือพานข้าวตอกเดินนำหน้า แล้วโปรยข้าวตอกตั้งแต่ออกจากบ้านไปถึงที่ฝังหรือเผาการใช้ข้าวตอกโปรยของชาวอีสานมีคำอธิบาย ว่าคนที่ตายไปนั้นเปรียบเสมือนข้าวตอก ไม่มีทางที่จะงอกเงยขึ้นมาได้อีก  คนตายก็เช่นเดียวกัน ไม่มีทางที่จะฟื้นคืนชีวิตกลับมาอีก

ประเพณีการโปรยข้าวตอกเวลาเคลื่อนศพพบว่าในกรุงเทพฯ ก็เคยมี วิธีโปรยไม่เหมือนเทวดานางฟ้าโปรยดอกไม้เวลารำอวยพร  คนโปรยจะหยิบข้าวตอกทีละดอก โปรยไปทางขวาดอกหนึ่ง โปรยไปทางซ้ายดอกหนึ่ง สลับกันไปอย่างนี้ตลอดทาง  ในปัจจุบันนี้เครื่องบูชาของหลวงก็ยังใช้ข้าวตอกอยู่ แต่ถ้ามองดูเผินๆ ก็จะไม่รู้ว่าเป็นข้าวตอก เพราะเขาเอาข้าวตอกมาอัดติดทำเป็นพุ่ม ที่เห็นเป็นพุ่มสีขาวตั้งเรียงอยู่หน้าแท่นบูชานั่นแหละคือ ข้าวตอก

ข้าวตอก (ภาพจาก Nok's Nest)
ข้าวเม่า (ภาพจาก th.openrice.com)

เมื่อกล่าวถึงข้าวตอกแล้วก็ทำให้นึกถึง “ข้าวเม่า” ซึ่งเป็นการพูดแบบคล้องจองกัน ข้าวเม่าเป็นการนำเอาข้าวอ่อนๆ มาคั่ว ตำจนเม็ดข้าวแบน  ข้าวเม่าส่วนมากจะเป็นของหวานมากกว่าของคาว แต่ก็มีการนำไปใช้ในพิธีต่างๆ เหมือนกับข้าวตอก  สมัยก่อนมีเพลงกล่อมเด็กร้องว่า “โอละเห่เอย หัวล้านนอนเปล ลักข้าวเม่าเขากิน เขาจับตัวได้ เอาหัวไถลไถดิน หัวล้านมักกิน ตกสะพานลอยไป…” บทเพลงกล่อมเด็กบทนี้แสดงว่าสมัยก่อนชอบกินข้าวเม่า และตามปรกติจะมีคนทำมาขายตามงานวัดตอนหน้าน้ำ พวกแม่ค้าจะนำขนมใส่เรือมาขาย มีพวกข้าวโพดคั่ว ถั่วลิสงต้ม และที่มีมากที่สุดก็คือ “ข้าวเม่าทอด” ขนมนี้มีกล่าวถึงในนิราศน้ำท่วมใหญ่ปี พ.ศ. 2460 ตอนหนึ่งว่า “พวกแม่ค้ามาขายข้าวเม่าทอด  ตังเมหลอด  น้ำยาแกงปลาไหล เป็นต้น

“ข้าวเม่าทอด” ก็คือข้าวเม่ากวนกับน้ำตาลผสมแป้ง นำไปผอกกล้วยไข่ไว้ทั้งลูกแล้วทอด ไม่ใช่เอาข้าวเม่าไปทอดอย่างเดียว  ในเวลาที่มีข้าวเม่านี้เป็นวลาเดียวกับกล้วยไข่สุกพอดี จึงเป็นของประกอบกัน แบบเดียวกับกล้วยไข่กับกระยาสารท ข้าวเม่าทอดแต่ก่อนนั้นทำเป็นแพใหญ่ติดกันสามถึงสี่ลูก  ภายหลังจำนวนลดลงเรื่อยๆ  ปัจจับันนิยมทำเป็นสองลูก  นอกจากข้าวเม่าทอดแล้ว มีขนมอีกอย่างหนึ่งนิยมทำติดกัณฑ์เทศน์มหาขาติ ในหนังสือ “ขุนข้างขุนแผน” มีกล่าวไว้ตอนนางศรีประจันกับนางพิม เตรียมทำขนมไปติดกัณฑ์เทศน์กัณฑ์มัทรี มีกลอนว่า…

ข้าวเม่ากวนแป้งนวลชุบทอด      เอาไม้แยงแทงตลอดใส่ยอดไข่

มะพร้าวน้ำตาลหวานไส้ใน      สุกแทงขึ้นไว้อ้ายลูกโคน

ขนมอย่างนี้จะเรียกว่าอะไรไม่ทราบ ไส้ในเหมือนจะเป็นหน้ากระฉีกเห็นจะหวานแหลมจนแสบไส้  ข้าวเม่าเป็นของที่ทำกินได้หลายอย่าง เช่น ทำเป็น “ข้าวเม่าคลุก” คือเอาน้ำพรมข้าวเม่าพอหมาดๆ เพื่อให้ข้าวเม่านิ่ม น้ำที่พรมผสมเกลือเล็กน้อย บางคนทำไม่เป็นข้าวเม่าจะจับเป็นก้อน  อย่างนี้ก็ไม่อร่อย  ข้าวเม่าอย่างนี้ต้องคลุกกินกับมะพร้าวขูดใส่น้ำตาลทรายนิดหน่อย  ถ้ากินกับกล้วยไข่  กล้วยหอม จะไม่ใส่น้ำตาลทรายมากนัก หากเป็นข้าวเม่าใหม่เคี้ยวกินเปล่าๆ ก็อร่อย  ข้าวเม่าอีกอย่างหนึ่งเขาเรียกว่า “ข้าวเมาบด”  อย่างนี้ใช้ข้าวเม่าใหม่คั่วให้หอม แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง ใช้หัวกะทิหยดลงบนข้าวเม่าที่กรองไว้  กะทิจะผสมกับข้าวเม่าจับเป็นก้อน นำไปกลิ้งไปมาบนฝ่ามือ กะให้พอเป็นก้อนกลมนิ่มๆ เหมือนไข่จะละเม็ด เป็นใช้ได้ ขนมข้าวเมาบดอย่างนี้ยังพอหากินได้

ข้าวเม่าทอด (ภาพจาก โอเลยฟู้ด)

“ข้าวเม่าราง” เป็นขนมที่ทำจากข้าวเม่าอีกชนิดหนึ่ง ข้าวเม่ารางก็คือข้าวเม่าที่เอามาคั่วจนพองแล้วกินกับน้ำกะทิ คล่องคอดีกว่าข้าวเม่าบด ในชนบทบ้านนอก ถ้าทำขนมเลี้ยงคนมากๆ นิยมทำข้าวเม่ารางน้ำกะทิเป็นดีที่สุด ภายหลังมีผู้ประดิษฐ์คิดทำข้าวเม่ารางอย่างแห้ง คือ ใส่กุ้งแห้ง เต้าหู้ทอด กินแบบเค็มๆ หรือไม่ก็ทำให้หวานใส่น้ำตาลทราย แต่เป็นของประดิษฐ์คิดทำขึ้นภายหลังข้าวเม่ารางน้ำกะทิทั้งนั้น

ความจริง ข้าวเม่า ข้าวตาก หรือ ข้าวคั่ว เป็นเสบียงกรังของคนไทยมาแต่โบราณ กล่าวกันว่าทุกบ้านจะต้องมีข้าวตากติดบ้านไว้ เวลาเกิดฉุกละหุก เช่น ต้องเดินทางอย่างรีบด่วน ก็เอาข้าวตากใส่ไถ้ติดตัวไปกินตามทาง เหมือนอย่างชูชกจะออกเดินทางไปขอสองกุมาร นางอมิตตดาก็จัดเสบียงให้ “…ข้าวเม่าข้าวพองเป็นของเดินทาง ถั่วงาสาคูข้าวตูข้าวตาก” ของเหล่านี้เก็บไว้ได้นานๆ ทั้งนั้น

ข้าวเม่าราง (ภาพจาก เพจ Saneh Jaan)

ข้าวเม่าถ้ากินเปล่าๆ ก็ออกจะฝืดคอไม่น้อย เพราะข้าวเม่าดูดน้ำลายทำให้น้ำลายแห้ง ได้ทราบมาว่าในสมัยก่อนข้าวเม่ามีส่วนในการตัดสินความด้วย คือมีเรื่องว่าฝรั่งคนหนึ่งได้เข้ามาเมืองไทยสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เขียนล่าไว้ว่า…ธรรมเนียมทางภาคเหนือนั้น เมื่อเกิดคดีชู้สาวระหว่างพระกับผู้หญิงขึ้น เขาจะให้พระและผู้หญิงที่ถูกกล่าวหากินข้าวเม่าเปล่าๆ  ใครกินข้าวเม่าได้สะดวกไม่ติดคอ ไม่ร้องขอน้ำกิน ก็แสดงว่าผู้นั้นเป็นคนบริสุทธิ์  ดังนี้ แสดงว่าเอาข้าวเม่ามาเป็นเครื่องตัดสินคดี เป็นวิธีที่แปลกอีกวิธีหนึ่งของคนโบราณ

ส่วนที่เมืองเขมรในสมัยก่อน เขามีธรรมเนียมกินข้าวเม่าในวันลอยกระทง แต่ไม่ใช่เป็นการกินแบบกินเลี้ยงฉลอง แต่เป็นการกินเกี่ยวกับความเชื่อ เป็นประเพณีอย่างหนึ่ง เขาเรียกเป็นภาษาเขมรว่า “ออกอำบก” แปลว่า “กลืนข้าวเม่า” (คำว่า ออก แปลว่า กลืน คำว่า อำบก แปลตามตัวว่าสิ่งที่ต่ำ ก็คือข้าวเม่านั่นเอง) วิธีกินก็ไม่ยาก ใช้มือขวากำข้าวเม่าแล้วแหงนหน้ากรอกข้าวเม่าใส่เข้าไปในปาก เท่านั้นก็เป็นอันเสร็จพิธี แต่ตามปรกติเขามักจะเอาข้าวเม่าใส่ลงไปในมะพร้าวอ่อนกินรวมกับน้ำและเนื้อมะพร้าวอ่อนเลยทีเดียว ซึ่งจะอร่อยและสะดวกกว่ากินข้าวเม่าเปล่าๆ มาก  ที่เขากินข้าวเม่าในคืนวันเพ็ญลอยกระทงนั้น กล่าวกันว่าเป็นการขอสิริมงคลและความเจริญให้แก่ตนนั่นเอง เข้าทำนองกินผลิตผลเมื่อแรกได้

การกินข้าวเม่าในสมัยก่อนจะกินได้หลายวิธี นอกจากกินกับมะพร้าวอ่อนแล้ว คงจะกินกับน้ำตาลสดได้อีกด้วย เช่น มีกลอนตอนขุนช้างเฝ้าเรือนหอ ตอนหนึ่งว่า “โอ้สมรที่นอนเย็นเป็นน้ำรด  ทำอย่างไรที่ไหนเล่า จะได้กินข้าวเม่าน้ำตาลสด”  ซึ่งน้ำตาลสดก็หวานหอมตำราเดียวกับน้ำมะพร้าวอ่อน แต่น้ำตาลสดหวานกว่ามาก

ตามที่กล่าวมาแต่ต้นจะเห็นว่า “ข้าวตอก” และ “ข้าวเม่า” เป็นทั้งของกินและใช้ในงานพิธีต่างๆ ไม่ใช่ของต่ำต้อยที่บางคนคิดว่าเป็นของหวานของคนจน อย่างข้าวตอกน้ำกะทินั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ก็เสวยอยู่เป็นประจำ สรุปว่าในบรรดาเจ้านายก็เสวยข้าวตอก ข้าวเม่า ลูกบัว ถั่วลิสง ของพื้นๆ อย่างนี้กันทั้งนั้น  มีธรรมเนียมอยู่อย่างหนึ่งว่าเวลาโล้ชิงช้าถึงตอนส่งพระเป็นเจ้า มักจะมีพระเจ้าลูกเธอตามเสด็จไปด้วย พระมหาราชครูก็ต้องเตรียมข้าวเม่า ข้าวตอก ลูกบัว ถั่วลิสง ใส่ขวดไว้ถวาย นอกจากนี้ยังถือเป็นประเพณีอีกว่าเมื่อเสร็จพิธีโล้ชิงช้าแล้ว พระมหาราชครูและพราหมณ์จะต้องจัดข้าวตอกใส่พานเข้าไปถวายในท้องพระโรง นอกจากข้าวตอกก็มีข้าวเม่า และของอย่างอื่นอีก ดังนี้จะเห็นว่าข้าวตอก ข้าวเม่า มีส่วนพัวพันกับชีวิตคนไทยมาแต่ใบราณ และจะคงมีอยู่ตลอดไป ถ้าเราไม่นิยมกินขนมต่างชาติจนลืมของไทยๆ ไปหมด

ลูกสาว 2 คน ของคุณเกตธิดา ช่วยทำข้าวเม่าในวันหยุด และหลังจากเลิกเรียนในวันธรรมดา

ชาวนาเมืองอุบลฯ ทำ “ข้าวเม่า” ขาย รายได้เดือนละเกือบแสน

ข้าวเม่า จัดเป็นอาหารว่างอย่างหนึ่งที่มีกลิ่นหอม รสอร่อย เป็นที่นิยมรับประทานในหมู่คนทางภาคอีสานอย่างกว้างขวาง และในปัจจุบันนี้พบว่า ประชาชนในภาคอื่นๆ ก็นิยมรับประทานข้าวเม่าด้วยเช่นกัน บางท้องที่นำข้าวเม่ามาแปรรูปเป็นขนมหวานในรูปแบบต่างๆ กัน ที่สำคัญเมื่อรับประทานแล้ว จะทำให้รู้สึกอิ่มท้องได้นานเหมือนกับการรับประทานข้าว ทั้งนี้ เป็นเพราะว่าข้าวเม่านั้นทำมาจากข้าวดีๆ นี่เอง จะเรียกว่าเป็นอาหารว่างหรือขนมก็ไม่ผิด

การทำข้าวเม่า เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวชนบท ที่มีมานานตั้งแต่สมัยโบราณกาล ในอดีตพบว่า ชาวนาจะทำข้าวเม่าเพื่อใช้รับประทานเป็นอาหารว่างและใช้เป็นของฝากญาติพี่น้อง แต่คนเก่าแก่บอกว่า นอกจากทำเพื่อรับประทานแล้ว ยังทำเพื่อนำไปเซ่นไหว้ผีเจ้าปู่ที่รักษาไร่นา หรือที่เรียกตามภาษาท้องถิ่นอีสานว่า ผีตาแฮกนั่นเอง เหตุที่ต้องเซ่นไหว้ก็เพราะว่าต้องการให้ ผีตาแฮก ดลบันดาลให้นาข้าวได้ผลผลิตสูงในปีนั้นๆ แต่ในปัจจุบันนอกจากจะทำข้าวเม่าตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวแล้ว ชาวบ้านยังทำเพื่อจำหน่ายเป็นรายได้เสริมยามเว้นว่างจากการทำนาในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน ในแต่ละปี และมีบางหมู่บ้านหรือบางครอบครัวที่ทำข้าวเม่าขายสร้างรายได้จุนเจือครอบครัว จนมีฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้นกว่าเดิม

คุณเกตธิดา มั่นวงค์ อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 200 หมู่ที่ 3 บ้านดอนงัว ตำบลไหล่ทุ่ง อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี เป็นอีกผู้หนึ่ง ที่ทำข้าวเม่าขาย สร้างรายได้ในยามว่างเว้นจากการทำนา โดยคุณเกตธิดา เล่าว่า ตนเองทำข้าวเม่าขายมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่ก่อนก็ทำนาอย่างเดียว ต่อมาเห็นเพื่อนบ้านทำข้าวเม่าขายมีรายได้ดี จึงชวนสามีหันมาทำบ้าง โดยใช้เวลาว่างหลังจากดำนาเสร็จ กว่าจะถึงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตก็หลายเดือน ช่วงที่รอเก็บเกี่ยวข้าวในนา จึงถือเป็นช่วงเวลาทองที่ต้องรีบทำข้าวเม่าขาย ตนเองทำกับสามีและมีลูกสาวอีก 2 คน ที่กำลังเรียนอยู่ มาคอยช่วยเหลือในวันหยุดและในเวลาที่พวกเขาเลิกเรียนในวันธรรมดา ส่วนข้าวที่นำมาทำข้าวเม่านั้น ต้องไปซื้อที่อำเภอดอนมดแดง จังหวัดอุบลราชธานี เพราะทางนั้นเขาจะปลูกข้าวก่อน เนื่องจากมีแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ ส่วนที่หมู่บ้านพวกตนเอง ในช่วงที่ทำข้าวเม่านี้ ต้นข้าวยังไม่ออกรวงเลย

ราคาข้าวเม่าที่ขายในเวลานี้ก็คือ ขายส่งกิโลกรัมละ 100 บาท ซึ่งจะทำขายส่งอย่างเดียว เนื่องจากมีแม่ค้าที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันมาซื้อทุกวัน แล้วเขาก็นำออกไปขายที่ท้องตลาดในตัวอำเภอตระการพืชผล ดังนั้น เรื่องตลาดจึงไม่มีปัญหา นอกจากนี้ ยังมีพ่อค้าแม่ค้าคนกลางที่มาจากต่างอำเภอ ต่างจังหวัด มาซื้อข้าวเม่าจากเพื่อนบ้านของตนเองไปจำหน่ายที่อื่นด้วย ทุกคนในหมู่บ้านที่ผลิตข้าวเม่า จึงไม่มีปัญหาด้านการตลาดเลย ในแต่ละวันถ้าผลิตได้มาก ก็จะได้เงินมาก ในแต่ละปีทุกคนจะทำข้าวเม่าขายในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน

ถามถึงกำไร…ในส่วนของตนเอง หลังจากหักลบต้นทุนผลผลิตแล้ว จะมีกำไร ตกวันละ 1,000 บาท เป็นอย่างต่ำ เดือนหนึ่งๆ ก็ตกประมาณ 30,000  บาท ก็พออยู่พอกิน และเหลือเก็บ พอได้ฝากธนาคารอยู่บ้าง ถ้ามีแรงทำมากกว่านี้ ก็จะมีกำไรดีกว่านี้ อย่างเพื่อนบ้านบางคนได้กำไรเป็นแสน เขามีแรงงานหลายคน ก็จะผลิตข้าวเม่าได้เยอะ เขาจึงมีกำไรมาก ตกเดือนละ 100,000 บาทก็มี หากท่านใดต้องการซื้อข้าวเม่าจากตนเอง ก็สามารถโทร.สั่งได้ โทร. (061) 692-7179 ข้าวเม่าที่นี่ อร่อย นุ่ม รสหอมหวาน เก็บไว้ได้นานวันอีกด้วย

คุณเกตธิดา เล่าถึงกรรมวิธี ขั้นตอนการผลิตข้าวเม่า ว่าเมื่อปักดำนาเสร็จ ก็จะไปหาซื้อข้าวที่ออกรวงแล้ว ซึ่งจะมีอยู่ที่อำเภอดอนมดแดง จังหวัดอุบลราชธานี ห่างจากบ้านประมาณ 30 กิโลเมตร ที่นี่เขาทำนาปีละ 2 ครั้ง จึงมีข้าวที่พร้อมทำข้าวเม่าก่อนหมู่บ้านอื่น ส่วนข้าวในนาของพวกตนเองนั้นยังไม่ออกรวง ส่วนข้าวที่นำมาทำข้าวเม่านั้น คือข้าวเหนียว ซึ่งทำได้ทุกพันธุ์

เมื่อไปหาซื้อข้าวได้แล้ว ก็จะแกะเมล็ดข้าวดูว่า พอที่จะทำข้าวเม่าได้หรือยัง เมล็ดข้าวที่จะเอามาทำข้าวเม่าจะต้องไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป จากนั้นเลือกเอาเมล็ดข้าวที่ไม่สมบูรณ์ (เมล็ดข้าวลีบ) ออก ค่อยลงมือทำตามขั้นตอนคือ ขูดข้าวเม่าด้วยไม้ไผ่ที่เหลา บางๆ ยาวประมาณ 5 นิ้ว ใช้กระด้งรองข้าวที่ขูด แต่ในปัจจุบันได้ใช้เครื่องขูด จากนั้นนำไปนึ่ง ประมาณ 30 นาที แล้วเอามาคั่วจนมีกลิ่นหอม จึงนำไปตำด้วยครกมอง (ครกกระเดื่อง) ปัจจุบันใช้เครื่องยนต์รถอีแต๋น หรือรถไถนาเดินตาม ตำแทนแรงงานคน

ขั้นตอนการตำนี้จะยุ่งยากสักหน่อย มี 3 ขั้นตอน เรียกว่า ขั้นตำ คือทำให้เมล็ดข้าวกะเทาะออก แล้วนำมาร่อนรำออก ตามด้วยการฝัดเอาแกลบออก ต่อไปก็เป็นขั้นต่าว หรือเรียกว่าตำครั้งที่ 2 ตำเสร็จก็ร่อนรำร่อนแกลบออกเช่นเดิม และตำขั้นสุดท้าย เรียกว่า ขั้นซ้อม ปิดท้ายด้วยร่อนรำร่อนแกลบออก ซึ่งการตำแต่ละครั้งนั้น จะใช้เวลาประมาณ 20 นาที เมื่อทำเสร็จก็จะเอาใบกล้วยและใบตองชาด มารองหรือห่อ เพื่อรักษาความนิ่มของข้าวเม่า หากเก็บในภาชนะอื่น ข้าวเม่าจะแข็งตัวเร็ว และไม่มีกลิ่นหอม

เนื่องจากขั้นตอนการทำยุ่งยาก ในปัจจุบันนี้ พวกตนเองจึงได้พัฒนาการผลิตเพื่อให้เกิดความรวดเร็ว ทันต่อความต้องการของผู้บริโภค โดยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วย คือการใช้เครื่องจักรกลแทนคน แต่เวลาตำก็ใช้ครกมองเช่นเดิม เพียงแต่ใช้เครื่องยนต์ของรถไถนาเดินตาม มาต่อพ่วงให้ตำแทนคน โดยใช้เครื่องยนต์ติดตั้งที่หางครก ใช้ระบบสายพานคล้ายกับโรงสีข้าว เชื่อมโยงใส่กับครกมอง พอเปิดเครื่องยนต์ขึ้น ครกก็จะกระดกขึ้นลงเหมือนคนตำ แต่ทำให้เมล็ดข้าวแตกได้ในเวลาที่รวดเท่านั้น

จะเห็นได้ว่า คุณเกตธิดา มีความพยายามสูงที่จะฟันฝ่าอุปสรรคในการดำเนินชีวิต โดยรู้จักคิดนำเอาภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีมาแต่ในอดีต คือการทำข้าวเม่า มาพัฒนาประยุกต์เปลี่ยนจากการทำเพื่อบริโภคในครัวเรือน ไปสู่งานอาชีพที่ยั่งยืนได้ในอนาคต อีกทั้งเป็นการสืบทอดและอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้อีกด้วย ที่สำคัญเงินรายได้จากการขายข้าวเม่าในแต่ละปีนั้น มากพอที่จะส่งให้ลูกสาว 2 คน เรียนจบในระดับปริญญาตรี ได้อย่างสบายๆ และยังจะทำให้ครอบครัวของเธอเอง มีความอยู่ดี กินดี ไม่ต้องหนีจากบ้านเกิดไปขายแรงงานยังต่างถิ่นอีกต่อไป

ที่มา : ผลิตภัณฑ์น่าซื้อ เทคโนโลยีชาวบ้าน

ผู้เขียน : กิตติภณ เรืองแสน