ป่าดิบชื้นย่านเขาหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช และเขาบรรทัด จังหวัดพัทลุง มีลูกไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งที่คนจะขึ้นเขาไปเก็บเมล็ดร่วงในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน คือ ‘ลูกประ’ คนเก็บลูกประเล่าว่า ถึงเวลา มันจะแห้งแตกเสียงดังประๆๆๆ เลยเป็นที่มาของชื่อเรียกนั่นเอง

ลูกประเก็บรักษายาก จึงต้องแปรรูปเป็นลูกประฉาบน้ำตาลบ้าง คั่วกินทั้งเปลือกคล้ายๆ เกาลัดบ้าง แต่ที่ผมว่าอร่อยก็คือดองน้ำเกลือสักราวหนึ่งสัปดาห์ จะได้ลูกประดองที่มีเนื้อเมล็ดขาวกรอบ มัน รสเปรี้ยวเจือเค็ม แถมมีกลิ่นหมักดองอ่อนๆ ใครไม่เคยกิน ถ้าเห็นตามตลาดสดแถวปักษ์ใต้ หรือร้านขายของใต้ละก็ ลองซื้อมากินดูครับ

คนใต้จะเอามากินแนมแกงเผ็ด ผัดเผ็ด น้ำชุบ บ้างใส่เป็นผักในแกง หรือบางทีเขาจะเอามายำ โดยแกะเอาเนื้อเมล็ดและน้ำดองหอมๆ นั้นใส่ถ้วย โรยหอมแดงซอย พริกขี้หนูสดหั่น กินเป็นทำนองอาจาดตัดรสเผ็ดๆ มันๆ ของกับข้าวจานหลักได้ดีเชียวแหละ

ผมได้ลูกประดองมาถุงหนึ่ง อยากจะกินยำอย่างที่ว่า แต่น้ำดองของถุงนี้น้อยเกินไป เลยคิดว่าจะลอง ‘ขยับ’ ยำนี้จากสถานะของแนมเคียงสำรับ ให้มีเนื้อมีหนังเป็นจานหลักเลยทีเดียว

ก่อนอื่นก็เตรียมลูกประดองก่อน แค่แกะเปลือก แล้วหั่นหนาบางตามชอบเลยครับ

ซอยหอมแดง เอาให้หนาหน่อย เวลาเคี้ยวมันสะใจดีครับ

ผมคิดจะใช้ผักชีเพิ่มกลิ่นหอม ก็หั่นหยาบๆ ไว้

เตรียมน้ำยำ โดยหั่นพริกขี้หนูสดหนาๆ หน่อย เอาใส่ถ้วย ปรุงด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว และเพื่อจะชดเชยกลิ่นหมักดองที่เราขาดไปจากน้ำดองลูกประ ก็เติมน้ำส้มสายชูหมักอะไรก็ได้ที่เราชอบกลิ่นลงไปนิดหนึ่งครับ (จานนี้ผมใช้น้ำส้มหมักกล้วย) จะทำให้มีกลิ่นหอมๆ อย่างที่ต้องการ เราทำน้ำยำนี้ไว้สักพักหนึ่งก่อนก็ได้ รสเผ็ดของพริกจะได้อ่อนลงบ้าง ไม่จัดจ้านจบกลบกลิ่นรสของลูกประเสียหมด

ยำลูกประดอง ?ทรงเครื่อง? จานนี้ ผมใช้กุ้งสดลวกมาเพิ่มเนื้อหนังให้กลายเป็นกับข้าว-กับแกล้ม ถ้าได้กุ้งตัวเล็กหน่อยเนื้อจะกรอบๆ พอดีคำครับ ปอกเปลือกไว้หาง ชักเส้นดำออก ตัดเอามันกุ้งเก็บไว้ทำอย่างอื่น ลวกในน้ำขลุกขลิกพอให้สุก ขยักน้ำต้มกุ้งไว้หน่อย

พอจะกิน ก็เอาลูกประดอง กุ้งลวก หอมแดง กับก้านผักชีใส่ชาม ราดน้ำยำคลุกเคล้าให้เข้ากันเร็วๆ ถ้าอยากกินยำที่มีน้ำฉ่ำๆ หน่อย ก็เจือน้ำต้มกุ้งลงไปตามชอบ แต่ระวังจะพลอยให้ยำจืดนะครับ ก็คอยเพิ่มน้ำยำเข้าไปจนได้รสที่ต้องการ

ตักใส่จาน โรยใบผักชีเสียหน่อยก็เรียบร้อย

ผมทำยำจานนี้กินแล้วก็คิดว่า จานต่อไป ถ้าได้ลูกประดองมาอีก ก็อาจจะลองใส่หมูสับลวก หรือหมูสามชั้นหั่นชิ้นเรียวบางต้มจนนุ่มเพิ่มอีกหน่อย ปรับสัดส่วนให้น้ำส้มสายชูหมักเด่นขึ้นมาเท่าๆ กับน้ำมะนาว (จะได้มีกลิ่นหมักดองหอมๆ ขึ้นอีก) กับเปลี่ยนเป็นใช้ผักขึ้นฉ่ายหรือก้านเซลเลอรี่แทนผักชี เพราะผมคิดว่าเราน่าจะใช้ผักที่มีความกรอบ ฉ่ำน้ำ และกลิ่นสดชื่นกว่าผักชี สำหรับยำจานนี้นะครับ

แถมผมคิดไปถึงการใช้หัวกะทิคั้นสดเติมความข้นมันในน้ำยำ เหมือนยำมะม่วงเข้ากะทิบางสูตรด้วย มันต้องอร่อยแน่ๆ เลย

เราอาจลองคิดต่อไปอีกว่า หากไม่มีลูกประดอง จะประยุกต์เอาอะไรที่กรอบๆ คล้ายๆ กันมาลองยำกินดูได้อีกบ้าง ผมนึกถึงถั่วงอกหัวโต (ถั่วลิสง) ดอง มันน่าจะกรุบๆ กรอบๆ หอมน้ำดอง และไม่มีกลิ่นรบกวนแรงเกินไปนัก

ใครนึกถึงอะไรออกอีกบ้างมั้ยครับ ?

ที่มามติชนรายวัน เสาร์ที่ 19 ต.ค.62
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย

สิ่งที่ผมเชื่อเสมอมาเกี่ยวกับเรื่องอาหาร ก็คือสูตรกับข้าวอะไรก็ตาม ไม่ใช่จะเป็นอกาลิโกที่เปลี่ยนแปลงปรับปรุงต่อๆ ไปไม่ได้ ทั้งหาใช่ ‘ความลับ’ สลักสำคัญชนิดคอขาดบาดตาย หากถูกเปิดเผยออกไปไม่ ค่าที่ว่าวัตถุดิบอาหารนั้นย่อมเปลี่ยนแปลงคุณภาพไปตามยุคสมัย แล้วไหนยังจะความสนุกซุกซนของคนปรุง ซึ่งคงอดไม่ได้หรอก ที่จะแอบใส่นั่นใส่นี่เพิ่มเติมเข้าไปจากสูตรที่รู้มา ทำให้รสชาติอาหารมีวิวัฒนาการไปอย่างไม่รู้จบสิ้น

ครั้งนี้ก็เลยจะขอมาเปิดเผยสูตรผัดเผ็ดแบบหนึ่งของแม่ผม ที่บ้านในอำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ของเราทำกินกันมาตั้งแต่ผมยังเด็กๆ ครั้นถามแม่ว่าเอามาจากไหน เขาก็จำไม่ได้เสียแล้ว เอาเป็นว่า ขอเอาของที่ผมคิดว่าอร่อยมากๆ มาแบ่งปันชวนลองทำดูนะครับ

“ผัดพระราม” นี้ ได้ชื่อมาจากสีของผัดเผ็ด ที่เมื่อปรุงเสร็จแล้วจะเขียวอื๋อ มีความเผ็ดร้อน หอม ข้นมัน แบบที่สามารถจำแนกแยกความแตกต่างไปจากกับข้าวพื้นฐานที่ปรากฏในตำราอาหารไทยร่วมสมัยได้ชัดเจน

เกริ่นมาดูจะซับซ้อน แต่เครื่องพริกแกงผัดพระรามมีเพียงพริกขี้หนูสวนสีเขียว พริกชี้ฟ้าเขียว หอมแดง กระเทียม กะปิ และรากผักชีมากๆ เท่านี้เองนะครับ ถ้าหากว่าตำแล้วยังไม่เขียวพอ อาจเพิ่มของเขียวอื่นๆ ตามวัฒนธรรมพริกแกงเขียวหวานเป็นตัวช่วยบ้างก็ได้ เช่น ใบผักหวานบ้าน ใบผักชี ใบพริก เป็นอาทิ ตำเข้ากันให้ละเอียดไว้ก่อน

จะผัดกับน้ำมันพืช น้ำมันหมู หรือกะทิสดเคี่ยวเป็นขี้โล้ก็ได้ทั้งนั้น อยากใช้อะไรก็เตรียมอันนั้นครับ

เนื้อสัตว์ที่จะเอามาผัด ก็ใช้ได้ตั้งแต่เนื้อวัว หมู ไก่ ปลา ฯลฯ อยากกินอะไรจัดไว้ให้เรียบร้อย

ของสำคัญที่เป็นอัตลักษณ์ของผัดพระรามบ้านแม่ผม ก็คือใบผักที่ใส่ในตอนท้าย มีผักชีและใบกะเพรา อย่างละเท่าๆ กัน

ทีนี้คงเริ่มเห็นความแตกต่างนะครับ ว่าทำไมผมถึงกล้าบอกว่านี่เป็นสูตรประจำบ้าน เพราะว่าเท่าที่สืบรู้มา ไม่เคยเห็นบ้านไหนใช้ใบผักสองชนิดนี้ควบกันปริมาณมากๆ ในกับข้าวจานใดมาก่อน

ระยะต้นหน้าหนาว ใบกะเพราไม่ว่าจะที่ขึ้นเองตามป่าตามทุ่งข้างทาง หรือแม้ปลูกตามแปลงตามสวน จะควบแน่นน้ำมันหอมระเหยมากที่สุดในช่วงปี จึงย่อมเป็นเวลาดีที่เราจะกินใบกะเพราอร่อยๆ กันน่ะครับ

เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว ตั้งกระทะบนเตาไฟกลาง เคี่ยวกะทิจนแตกมันเป็นขี้โล้ (หากใช้น้ำมัน ก็เทลงไปเตรียมผัดได้เลย) ตักเครื่องพริกแกงลงผัดจนหอม คอยทยอยใส่น้ำ น้ำมัน หรือหัว/หางกะทิ แล้วแต่ว่าเราชอบใช้อะไร จนส่วนผสมมีความข้นมันอย่างที่ต้องการ ปรุงเค็มด้วยน้ำปลาดี จึงใส่เนื้อสัตว์ที่เราจะกินลงไปผัดเคล้ากระทั่งสุกนุ่ม

สุดท้ายก็คือ ใส่ใบกะเพราฉุนๆ และผักชีหอมๆ ลงไป ผัดเพียงครู่เดียว พอผักทั้งสองอย่างสลด กลิ่นหอมและกลิ่นฉุนร้อนของผักชีและใบกะเพราวูบวาบขึ้นมาจนรู้สึกได้ ก็ตักใส่จานเอามากินกันเลย

1

ของที่กินแกล้มแนมกัน เป็นเบาะแสชวนให้บางคนอาจเดาต่อไปได้ว่า สูตรผัดพระรามของแม่ผมนี้จะมาจากทางไหนได้ เพราะบ้านเราเจาะจงกินกับผักบุ้งลวก (ผักบุ้งจีนจะดีที่สุด) จนสุกนุ่ม ผมน่ะกินแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก

ผักบุ้งลวกแบบนี้ มันเหมือนของแนม ‘ข้าวพระรามลงสรง’ (ซาแต๊) ไหมล่ะครับ ก็คงต้องว่าพอจะเหมือนอยู่บ้าง แต่ก็มีความต่างอย่างมากมาย จากสูตรที่ผมจาระไนมาทั้งหมด

เปิดเผยสูตรลับมาขนาดนี้ ลองทำกินดูนะครับ แล้วถ้าพลิกแพลงแต่งโน่นเติมนี่ให้ลงตัวแบบที่ชอบได้ต่างออกไปยังไง อย่าลืมบอกแนะกันบ้าง และขอกระซิบว่า ลำพังกระทะนี้เอง ผมก็พลิกแพลงสูตรเดิมไปหน่อยหนึ่งแล้วละ โดยการเอาพริกแกงเหลืองมาตำใส่รากผักชีเพิ่ม มันเลยกลายเป็น ‘ผัดพระลักษมณ์’ ไป

น่าสนุกน้อยอยู่เมื่อไหร่ล่ะครับ…

ที่มา : มติชนออนไลน์

ผู้เขียน : กฤช เหลือลมัย

เช้าวันหนึ่ง ผมไปได้กุ้งตัวเล็กหน่อยมาจากตลาดสด แม้เป็นกุ้งขาวเลี้ยง ไม่ใช่กุ้งทะเล แต่ความที่เดี๋ยวนี้แม่ค้าไม่ค่อยเอากุ้งตัวเล็กๆ มาขาย พอพบก็เลยอดซื้อไม่ได้ครับ ตั้งใจเลยว่าจะเอามาทำ “กุ้งแช่น้ำปลา” กินให้แซ่บสะใจ

ผมจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน ปรากฏสูตรกุ้งแช่น้ำปลาแบบล้ำสุดสุด แพร่หลายขึ้นในโภชนพิภพ ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในย่านพระนครกรุงเทพฯ คือเขาปรุงผสม “วาซาบิ” ในน้ำราดรสเปรี้ยวเค็มเผ็ดนั้นด้วย เลยทำให้มีรสเผ็ดซ่าซ่านวูบวาบๆ เป็นสีสันเพิ่มขึ้นอีกเท่าทวีคูณ

ตอนแรกว่าจะชวนทำสูตรนี้ แต่ครั้นค้นในอินเตอร์เน็ต พบว่ามีคนบอกสูตรไว้เยอะแยะแล้ว เลยคิดว่าถ้าเรามาพูดอะไรซ้ำๆ คงไม่มีประโยชน์ จึงจะลองพูดไปอีกทางหนึ่งแทน

เท่าที่ไล่อ่านวิธีทำกุ้งแช่น้ำปลามา ผมพบว่าทุกสูตรล้วนใส่น้ำตาลทั้งสิ้นนะครับ ไม่น้ำตาลทรายก็น้ำตาลปี๊บ แถมใส่ในปริมาณสัดส่วนไม่ใช่น้อยๆ เสียด้วยซี ทีนี้ผมเลยพอเข้าใจว่าทำไมเวลาไปสั่งเมนูนี้กินตามร้าน ถึงได้หวานแสบไส้ไปเสียเกือบทั้งหมดเลย

ที่บอกว่าครั้งนี้จะพูดไปอีกทางหนึ่ง ก็คืออยากเสนอให้ลองลิ้มชิมรสชาติความหวานของเนื้อกุ้งสดๆ กับอยากให้ลองฉุกคิดถึงการเลือกใช้วัตถุดิบหลักของเมนูนี้ นั่นก็คือ “น้ำปลา” ครับ น้ำปลานั้นเป็นเครื่องปรุงรสอาหาร ตัวมันเองผ่านการปนปรุงมาก่อนแล้ว หากเราพลิกอ่านฉลากข้างขวด ก็จะทราบว่าน้ำปลาขวดนั้นๆ ผสมน้ำตาลทรายกี่เปอร์เซ็นต์ (ผสมมากก็ออกหวานมาก) หรือมีวัตถุปรุงแต่งรสอะไรเจือปนอีกบ้าง ที่จะทำให้มันมีรสชาติแผกแตกต่างกันไป เช่น มีกลิ่นปลาหอมๆ หรือมีรสหวานแซมเค็ม หรือมีความนัวมากๆ จากเกลือปรุงรส (MSG ฯลฯ) ซึ่งเราควรรู้จักเลือกน้ำปลาให้ต้องตรงตามรสนิยมของเราในกับข้าวแต่ละจาน

ผมต้องการปรุงกุ้งแช่น้ำปลาจานนี้ให้รสวัตถุดิบโดดเด่นออกมาเต็มที่ ซึ่งไม่ยากเลยครับ ที่เราต้องทำ ก็คือเอากุ้งมาล้างให้สะอาด แกะเปลือกไว้หาง ตัดเอามันกุ้งออก ผ่าหลังแบะเนื้อให้แบน ชักไส้ดำทิ้ง

ปอกกระเทียม ล้างเด็ดก้านพริกขี้หนูเขียวแดง บีบน้ำมะนาวสดๆ ไว้พอควร

หั่นมะระจีนบางๆ ขยำเกลือคั้นเอาน้ำขมสีเขียวอ่อนๆ ออกสักครั้งหนึ่ง

ชอบกินน้ำปลาอะไรแบบไหน หวานมากหวานน้อย เตรียมไว้

พอคิดว่า อีกสักสิบนาทีจะเริ่มกินกันแล้ว ก็เรียงตัวกุ้งแบๆ ลงจาน แซมด้วยชิ้นมะระจีน ราดน้ำปลาดีๆ ของเราให้พอแฉะๆ ตัวกุ้ง เอาเข้าตู้เย็นช่องแข็งนาน 5 นาที

ระหว่างรอ หันมาหั่นกระเทียม ซอยพริกขี้หนูบางๆ ใส่ถ้วย ราดน้ำมะนาวจนท่วม อย่าไปกลัวเปรี้ยวครับ เดี๋ยวมันจะต้องไปรบรากับรสเค็มของน้ำปลาอีก

น้ำตาลล่ะ? ดังที่แจ้งแล้วว่า วันนี้จะลอง “พูดไปอีกทางหนึ่ง” จึงจะไม่ใช้น้ำตาลใดๆ เลยครับ ด้วยหวังให้รสหวานธรรมชาติของเนื้อกุ้งสดๆ เปล่งศักยภาพออกมาเต็มที่ โดยไม่ต้องสู้รบกับความหวานโด่ๆ ของน้ำตาลทรายเหมือนทุกครั้ง

ครบ 5 นาที ยกจานกุ้งมาวาง บรรจงตักพริกกระเทียมน้ำมะนาวราดให้ทั่ว ดูให้น้ำมะนาวมากพอจะอุ้มเนื้อกุ้งได้ทั่วถึง จนกรดมะนาวเริ่มทำปฏิกิริยาเปลี่ยนสีเนื้อกุ้งสด จากสีเทาๆ เป็นขาวอมส้มอ่อนๆ ในบางจุด

1

แค่นี้ก็กินได้แล้ว บางคนโรยใบสะระแหน่หน่อยหนึ่ง ว่าหอมดี ก็ตามแต่ใครชอบล่ะครับ

ถ้าหาได้กุ้งทะเลตัวเล็กๆ เนื้อจะยิ่งกรอบเด้ง หวานอร่อยเป็นพิเศษเลยแหละครับ

“สูตรสามัญ” ที่พยายามปรุงน้อยที่สุด เพื่อรับรสหวานของเนื้อกุ้งสดๆ อย่างเต็มที่ อีกทั้งพิถีพิถันในการเลือกน้ำปลาให้ถูกรสถูกลิ้นที่ต่างคนต่างชอบนี้ ย่อมจะมีรสต่างจากสูตรทั่วๆ ไป ที่มักปรุงหนักน้ำตาล หรือใส่ผงชูรส/ผงปรุงรสเสียจนนัวลิ้น

ลองดูซิว่า เราจะค้นพบรสชาติใหม่หมาดที่แซ่บสุดสุด ถูกปากถูกใจเราตลอดไปหรือไม่

สำหรับจานนี้ของผม ใช้น้ำปลาปลาสร้อยแท้ ฝีมือชาวบ้านจากบ้านเกยไชยใต้ อำเภอชุมแสง นครสวรรค์ เขาหมักเพียงเกลือกับปลาเท่านั้นโดยไม่ปรุงใส่อะไรอื่นเลย รสและกลิ่นปลาหอมมากๆ ถ้าชอบแบบนี้ คงต้องเลือกใช้น้ำปลาปลาสร้อยซึ่งยังพอมีผลิตขายที่อำเภอสรรพยา ชัยนาท และอำเภอกงไกรลาศ สุโขทัย ครับ

ใครติดรสกลมกล่อมหวานรัวนัวลิ้นของน้ำปลาที่ผสมผงชูรสหนักๆ คงไม่คุ้นหรอก แต่หากเป็นคนเสพติดกุ้งแช่น้ำปลา อยากชวนให้ลองสูตรแซ่บสุดอันแสนสามัญนี้ดูสักครั้งหนึ่งครับ

ที่มาเสาร์ประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย

ผมจำได้แม่นว่า เมื่อ 30 กว่าปีก่อน วันหนึ่งผมพาเพื่อนหลายคนไปเที่ยวที่บ้านแบบกะทันหัน คือไม่ทันได้ตระเตรียมกับข้าวกับปลาเลี้ยงกัน แม่เลยหุงข้าว แล้วทำแกงให้กินหม้อหนึ่งแบบปัจจุบันทันด่วน คือ แกงส้มมะละกอใส่ปลากระป๋อง เป็นปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศธรรมดาๆ นี่ล่ะครับ แต่อร่อยมาก คงเพราะหิว แล้วอีกอย่างก็คงได้มะละกอเนื้อห่ามมาแกงด้วย

“ถ้าได้ห่ามๆ มันจะหวานอร่อย ไม่ต้องใส่น้ำตาลเลยล่ะ”Ž แม่ผมมักจะบอกแบบนี้เวลาจะแกงส้มมะละกอกินเสมอๆ ดังนั้น เมื่อผมไปตลาดหน้าหมู่บ้านในเช้าวันหนึ่ง แล้วพบมะละกอเนื้อห่ามจนเป็นสีส้มจัด แถมฝานชิ้นมาเสร็จเรียบร้อย ก็ไม่ต้องคิดแล้วละครับว่ามื้อกลางวันและมื้อเย็นวันนั้นจะกินอะไรดี

ผมกะว่าจะแกงส้มมะละกอหม้อนี้แบบ ขนบŽ ภาคกลางเลยทีเดียว คือใช้พริกแกงส้มภาคกลาง โดยผมเลือกพริกแกงบ้านปากไก่ อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี เป็นเจ้าประจำที่ผมมักซื้อจากตลาดนัดอำเภอจอมบึงตอนเช้าวันพุธมาตุนไว้ สีพริกแกงเขาแดงจัด สวยงามดีมาก สัดส่วนของพริกแห้งเม็ดใหญ่ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในพริกแกงส้มภาคกลางก็มากพอจะให้กลิ่นและเนื้อพริกที่โดดเด่นเข้มข้นแบบแกงส้มภาคกลางจริงๆ แต่ว่าเขาตำมายังไม่ละเอียดนัก ผมเลยเอาลงครกหิน ตำต่อจนเนื้อเนียนดี

 

 

แกงภาคกลางแบบขนบจริงๆ มักอาศัยรสเปรี้ยวจากมะขามเปียกครับ เราก็หาที่ใหม่ๆ สียังไม่คล้ำมาก มาขยำน้ำเตรียมไว้

ภาพจำของแกงส้มมะละกอคือส่วนมากแกงกับกุ้งสด ผมเลยซื้อกุ้งทะเลมาล้าง แกะเปลือก ผ่าหลังชักไส้ดำออกให้เรียบร้อย ตัดเอาส่วนมันกุ้งไว้ไปทำอย่างอื่น ส่วนเปลือกและหัวนั้นเอาลงต้มในหม้อน้ำ ใส่เกลือนิดหน่อย เคี่ยวไปสักเกือบๆ ชั่วโมง ค่อยกรองเอาแต่น้ำ ได้ซุปหวานนัวมาเสริมรสแกงส้มเข้าไปอีกหน่อยหนึ่ง

ที่บ้านผม เวลาแกงส้ม มักใส่ใบมะกรูดด้วย เข้าใจว่าน่าจะติดมาจากขนบแกงส้มหน่อไม้เปรี้ยวกับปลาริวกิวแบบสกุล แม่กลองŽ ที่เป็นบ้านเก่าของแม่ผม ซึ่งก็ทำให้แกงมีกลิ่นหอมชื่นใจของใบมะกรูดดีทีเดียว

แล้วถ้าจะเอาแบบภาคกลางจริงๆ ก็เห็นแม่ครัวส่วนใหญ่จะแบ่งกุ้งสักสองสามตัวต้มจนสุก แกะเนื้อโขลกรวมกับพริกแกงด้วย เพื่อให้น้ำแกงข้นน่ากิน ถ้าเป็นแกงปลา ก็ต้มเนื้อส่วนโคนหางปลาใส่โขลกไปทำนองเดียวกัน แต่ผมไม่ค่อยชอบแบบน้ำข้นมาก หม้อนี้เลยไม่ได้ทำอย่างที่ว่านี้ครับ

แกงส้มมะละกออร่อยๆ แบบนี้ทำง่ายมาก แค่ละลายพริกแกงส้มในน้ำต้มกุ้งที่ผสมน้ำเข้าไปให้ได้ส่วนกับเครื่องปรุงอื่นๆ ยกตั้งไฟจนเดือด ใส่เนื้อมะละกอห่ามๆ สีส้มสวยๆ นั้นลงไป พอมะละกอเริ่มสุกนุ่ม ก็ปรุงรสด้วยน้ำคั้นมะขามเปียก น้ำปลา ส่วนน้ำตาลปี๊บอย่าเพิ่งใส่มากนะครับ อย่างที่บอกว่ามะละกอห่ามๆ จะส่งผ่านความหวานออกไปในน้ำแกงอยู่แล้ว

การปรุงรสนี้ ให้ปรุงจัดมากๆ ไว้ก่อนได้เลย เพราะผักเนื้อแน่นๆ อย่างมะละกอจะดูดรสเปรี้ยวเค็มเผ็ดไปได้มาก หลังจากเราปรุงนู่นนี่นั่นไปแค่ชั่วครู่เดียวครับ

พอคิดว่าเริ่มได้ที่แล้ว ก็ใส่ใบมะกรูด เร่งไฟซะหน่อย ค่อยใส่กุ้งลงไป เอาทัพพีกดๆ ให้จมน้ำแกง กุ้งเป็นเนื้อสัตว์ที่สุกเร็วครับ ฉะนั้นเพียงไม่กี่อึดใจก็จะสุก โดยที่เนื้อยังหวาน กรอบเด้ง ยิ่งเป็นกุ้งทะเลยิ่งเนื้อแน่น น่ากินมากๆ ครับ

ทีนี้มันจะลักลั่นอีตรงที่ว่า แกงส้มมะละกอนี้จะอร่อยขึ้นก็ต่อเมื่อต้องแกงค้างคืน หรือค้างข้ามมื้อ พออุ่นอีกสักครั้งสองครั้ง น้ำแกงจะเข้าเนื้อ รสชาติลงตัวดีมากกว่าตอนแกงเสร็จใหม่ๆ แต่ปัญหาอยู่ที่กุ้ง ที่ถ้าอุ่นบ่อยๆ เนื้อกุ้งก็จะแข็ง ไม่อร่อยอีก ทำยังไงดี

1

วิธีของผม (และของหลายๆ คน) คือใส่กุ้งแค่พอกินแต่ละมื้อ พออุ่นมื้อต่อไป เราค่อยใส่กุ้งสดเพิ่มใหม่ ทีนี้น้ำแกงก็อร่อย กุ้งก็เนื้อกรอบเด้งทุกชาม

ใครโชคดีไปเจอมะละกอห่ามๆ อย่าปล่อยให้ลอยนวลเชียวครับ

ที่มาเสาร์ประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย

ผมชอบตระเวนกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวย่านฝั่งธนบุรีรอบนอก แถวๆ บ้าน และเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ไปลองกินร้านพัฒน์เกาเหลาเนื้อ ริมถนนราชพฤกษ์ช่วงที่ตัดกับซอยจรัญสนิทวงศ์ 13 เป็นแบบสกุลน้ำใสที่อร่อยครับ แถมพี่พัฒน์เจ้าของร้านทำแกงเขียวหวานเนื้อราดขนมจีนรสชาติดีมากๆ แต่วันหนึ่งผมเห็นข้างๆ เตาเนื้อย่างของพี่เขามีหม้อใส่ตีนไก่ใบย่อมๆ วางแอบอยู่ รู้สึกว่านี่มันผิดที่ผิดทางอย่างไรชอบกล

“อ๋อ เผื่อคนไม่กินเนื้อไง เราก็ทำแกงเขียวหวานตีนไก่เนี่ยให้เขาเลือกกินน่ะ” พี่พัฒน์บอกยิ้มๆ โอ้โห อยากเล่าว่า พอผมได้ยินนี่รู้สึกจี๊ดมาก ทำไมเราไม่เคยคิดถึงสำรับนี้มาก่อนหนอ

คนไทยเอาตีนไก่มาทำอะไรกินบ้างล่ะ?

เท่าที่เคยเห็น คือถอดกระดูกแล้วยำให้รสจัดๆ หรือต้มเคี่ยวเป็น “ซุปเปอร์ตีนไก่” ออกเปรี้ยวเค็มเผ็ด ไม่ก็ทำเป็นซุปน้ำแดงงวดๆ ข้นๆ แล้วก็ยังจะมีสูตรน้ำยากะทิแบบโคราชอันลือลั่น ที่ใส่ตีนไก่ เลือดไก่ และเครื่องในไก่สารพัด เคี่ยวจนนุ่ม ใครยังไม่เคยกินขอให้รีบลองดูนะครับ

อย่างไรก็ดี หากค้นในอินเตอร์เน็ต ก็จะมีสูตรแกงเขียวหวานตีนไก่อยู่บ้าง แต่วันนี้ที่ผมอยากทำตามจินตนาการซึ่งได้ยินได้ฟังจากพี่พัฒน์เขา คือผมจะเริ่มตั้งแต่ตำเครื่องแกงเลยทีเดียว แกงเขียวหวานนั้นต้องใช้พริกเขียวสด ดังนั้น ยิ่งเราตำใหม่ๆ เท่าไหร่ก็ยิ่งอร่อยกว่าน้ำพริกเก่าเก็บแน่นอน

สูตรที่ผมเคยจัดทำ work shop พูดคุยกับเพื่อนๆ ผู้สนใจ ประกอบด้วย พริกไทยขาว 1/4 ช้อนโต๊ะ ผิวมะกรูด 1/2 ช้อนชา เกลือ 1/2 ช้อนชา ใบพริก (หรือใบผักหวานบ้าน, ใบโหระพา) หั่น 2 ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูสวนสีเขียวหรือพริกขี้หนูเขียวเม็ดใหญ่ 40 เม็ด กระเทียม 2 หัว หอมแดง 3 หัว ข่า 1 ช้อนโต๊ะ ตะไคร้ 11/2 ช้อนโต๊ะ กะปิ 1/2 ช้อนโต๊ะ

ลองดูนะครับ จะลดจะเพิ่มอะไรไปบ้างก็ว่าตามชอบ ตำแล้วย่อมได้พริกแกงที่ “เขียว” จริงๆ มีความสด หอม และควบคุมได้ด้วยว่าจะใส่หรือไม่ใส่เครื่องเทศแห้งบางตัว เช่น ลูกผักชียี่หร่าหรือไม่ คือถ้าเป็นแกงเนื้อวัว แพะ เป็ด เราใส่สักหน่อยย่อมจะสู้กับกลิ่นคาวเนื้อพวกนั้นได้อร่อยดี แต่สำหรับแกงตีนไก่ น่าจะไม่ต้อง

ได้พริกแกงมาครกหนึ่งก็สบายละครับ ทีนี้ก็เตรียมไก่ โดยล้างตีนไก่ให้สะอาด หม้อนี้ผมอยากกินเลือดไก่ด้วย จึงหั่นเลือดเป็นชิ้นย่อมๆ ไว้

ละลายหัวกะทิกับน้ำในหม้อแกง (หรือใช้หางกะทิไปเลย) ตั้งไฟจนเดือด เติมเกลือ กะปินิดเดียว ใส่ตีนไก่เคี่ยวไฟอ่อนๆ แถมหยอดพริกแกงตำใหม่ของเราสักช้อนโต๊ะ ต้มไปราว 1 ชั่วโมง ตีนไก่จะเริ่มเปื่อย กลิ่นกะปิหอมคลุ้งเพียงเบาบาง เจือกลิ่นพริก

แกงอ่อนๆ แล้วดูน้ำแกงตอนนี้สิครับ อย่างกับต้มกะทิตีนไก่ดีๆ ใครใจอ่อนหน่อยคงแทบล้มเลิกแผนการแกงเขียวหวานเอาเลย ไม่ได้นะครับ ขอให้เราใช้เวลาหลังจากเริ่มเคี่ยวตีนไก่ไปจดจ่อกับการหั่นพริกชี้ฟ้า ผ่ามะเขือเปราะแช่น้ำ ฉีกใบมะกรูด เด็ดใบโหระพาสด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับขั้นตอนสุดท้าย

1
3

ครบ 1 ชั่วโมง เราเอากระทะตั้งบนเตา เคี่ยวหัวกะทิจนแตกมันเยิ้ม ตักพริกแกงตำของเราลงผัดจนหอมคลุ้งไปทั้งครัว จึงเทกวาดลงหม้อต้มกะทิขาไก่ ปรุงน้ำปลาดี น้ำตาลปี๊บเล็กน้อย พอให้รสหวานลึกๆ ไปเสริมความหวานของกะทิสด

เมื่อเดือดก็ทยอยใส่เลือดไก่ พริกชี้ฟ้า มะเขือเปราะ ใบมะกรูด เติมหัวหรือหางกะทิเพิ่ม แล้วแต่เราชอบน้ำแกงข้นใสแค่ไหนนะครับ ถ้าเราชอบแกงข้น การค่อยๆ เติมหัวกะทิจะทำให้แกงไม่แตกมันมากเกินไป เนื้อกะทิช่วยเสริมความแน่นหนักของแกงได้ดี ขณะที่ส่วนซึ่งแตกมันเป็นขี้โล้และเราผัดกับพริกแกงครั้งแรกไปนั้น จะให้กลิ่นหอมลึกๆ มีมันสีเขียวลอยหน้าใสๆ น่ากินพออยู่แล้ว

เมื่อมะเขือเปราะสุกนุ่ม จงโรยใบโหระพาลงไปมากๆ เอาทัพพีกดให้จมน้ำแกงสักครู่ ก็เป็นอันตักมากินกับข้าวสวยร้อนๆ หรือขนมจีนได้

สำหรับคนที่พิสมัยตีนไก่ซุปเปอร์ น้ำยาโคราช ฯลฯ ผมคงไม่ต้องโฆษณาชวนเชื่ออะไร แต่หากใครยังรีๆ รอๆ ขอให้นึกถึงตีนไก่ที่ตุ๋นสุกนุ่มในหางกะทิ กะปิ และพริกแกงเพียงเล็กน้อยในขั้นตอนการเตรียมนั้นสิครับ

ต้องบอกว่า แกงหม้อนี้ จินตนาการที่ก่อรูปจากคำพูดเพียงไม่กี่คำ ประสบผลสำเร็จอย่างงามทีเดียว

ที่มาเสาร์ประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย

พี่สาวที่เคยคุ้นกันมานาน คือคุณวันรวี รุ่งแสง เคยบอกสูตรหมูพะโล้ท้องถิ่นของเวียดนาม หลังจากเธอไปเที่ยวมาตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน คือให้เอาหมูสามชั้นหมักซีอิ๊วขาว กระเทียมพริกไทยตำแค่ราว 15 นาที แล้วต้มกับน้ำมะพร้าวอ่อน ใส่เกลือ พอใกล้เปื่อยก็ใส่ไข่ต้ม เต้าหู้แผ่นทอด โดยห้ามใส่ผงพะโล้อย่างเด็ดขาด

“พี่น้อย” บอกว่า สูตรนี้จะหอมน่ากิน รสชาตินุ่มนวล แล้วสีน้ำพะโล้จะค่อยๆ เข้มขึ้นเอง หลังต้มไปสักพัก ผมเองเคยลองทำเมื่อแรกได้รู้สูตร ก็เห็นจริงตามนั้น มันไม่ถึงกับเข้มมากหรอกครับ แค่เป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ เหมือนพวกซุปน้ำแดงแบบจีนนั่นแหละ

พอเมื่อเร็วๆ นี้ มานึกถึงสูตรนี้ อยากทำกินอีกครั้ง แต่ก็เกิดภาพซ้อนสองสามภาพขึ้นในใจ ชวนให้คิดท้าทายตัวเองว่า ขอฉันลองแปลงสูตรไปอีกนิดได้มั้ยล่ะ คือขอประสมวัตถุดิบที่อยากกิน และคิดตรองดีแล้วว่าพอจะเข้ากันได้ลงไปสักหน่อย

ภาพซ้อนที่ว่า คือภาพซุปก๋วยเตี๋ยวเนื้อน้ำใสๆ ซึ่งจะตรงกันข้ามกับซุปแบบน้ำแดงข้นๆ ที่พบทั่วไป กับภาพ “แกงร้อน” คือต้มจืดหมูใส่ดอกไม้จีน เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมจะมีกลิ่นหอมๆ ของผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองแปรรูปอบอวลไปทั้งหม้อ ทั้งสองภาพนี้ ในที่สุดมาซ้อนกันอีกที จนทำให้ผมจินตนาการถึงต้มพะโล้น้ำใสๆ (ต่างจากแบบน้ำแดงทั่วไป) รสโปร่งๆ แถมมีกลิ่นแบบต้มจืดแกงร้อนที่คุ้นเคย แต่กลิ่นนั้นจะลึกๆ และแน่นๆ กว่า เนื่องจากคราวนี้เราจะต้มเคี่ยวนานตามกระบวนการทำพะโล้นั่นเองครับ

เราเริ่มจากไปหาซื้อหมูสามชั้นและเนื้อติดกระดูกอ่อนมาล้าง หั่นเตรียมไว้

หัวกระเทียมลอกเปลือกออกบ้าง ใช้ทั้งหัว โดยเอามีดหรือส้อมจิ้มผิวให้เป็นรูรอบหัว พริกไทยเม็ดขาวบุบๆ พอแตก

ฟองเต้าหู้ผมใช้แบบแห้งที่เป็นแท่งๆ เอาแช่น้ำจนพองดี หั่นยาวพอคำ

ดอกไม้จีนแห้ง แช่น้ำให้นุ่ม

เต้าหู้ทอด จะลงมือทอดเองหรือซื้อสำเร็จจากร้านมาเลยก็ได้

พะโล้นั้นยากจะขาดไข่นะครับ ดังนั้นจงต้มไข่เป็ดจนสุกแข็ง ปอกเปลือก แล้วลอง “ย้อมสี” เสียหน่อย โดยเหยาะซีอิ๊วดำเค็มในชามไข่ คลุกเคล้าไปสักพัก สีซีอิ๊วจะจับผิวไข่ขาวพอให้ออกน้ำตาลอ่อนๆ สวยดีเชียวล่ะ

เครื่องปรุงเค็ม ใช้ซีอิ๊วขาวตามสูตรที่พี่น้อยบอก จะได้สีใสอย่างใจ เหมือนที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อสกุลน้ำใสเขามักใช้กันน่ะครับ

เครื่องปรุงหวาน ถ้าตามสูตรเดิมของเวียดนามคือน้ำมะพร้าวอ่อน ซึ่งเดี๋ยวนี้หาได้ง่ายอยู่ครับ แต่พอดีผมมีน้ำหวานจากงวงมะพร้าว ผลิตภัณฑ์ของบ้านตาลลูกอ่อน อำเภออู่ทอง สุพรรณบุรี เลยขอลองใช้แทนน้ำมะพร้าวอ่อน มันก็คล้ายน้ำตาลสดแหละครับ แต่ของมะพร้าวจะใสกว่า กลิ่นอ่อนกว่าตาลหน่อยหนึ่ง

ถ้าใครเกรงว่า กลิ่นพะโล้หม้อนี้ออกจะเรียบร้อยเกินไป ขอแนะนำให้เพิ่มขิงสดสัก 5-6 แว่น กับโป๊ยกั๊ก 1-2 ดอก ก็เห็นจะพอนะครับ

ตั้งหม้อต้มน้ำจนเดือด ใส่กระเทียม พริกไทย น้ำหวานมะพร้าว ขิง โป๊ยกั๊ก ซีอิ๊วขาว ไข่ต้ม เนื้อติดกระดูกอ่อนและสามชั้นลงไป เคี่ยวไฟอ่อนราว 1 ชั่วโมงกว่าๆ จึงค่อยใส่เต้าหู้ ถ้ายังไม่หวานก็เติมน้ำหวานมะพร้าวได้ตามที่ชอบ

2
ปก

ต้มต่อจนถึง 2 ชั่วโมง ตอนนี้ หมูจะเริ่มนุ่ม เราก็ใส่ฟองเต้าหู้ลงไป พอใกล้ๆ ครบ 2 ชั่วโมงครึ่ง ค่อยใส่ดอกไม้จีน เพราะว่าเป็นของที่เปื่อยง่ายที่สุดครับ

“พะโล้ญวน (แปลง)” หม้อนี้ ผมใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง ทุกอย่างจะเปื่อยนุ่มพอดีๆ และการเคี่ยวนานขนาดนี้ ย่อมทำให้เครื่องปรุงที่เคยอยู่ในต้มจืด อย่างเต้าหู้  ฟองเต้าหู้ ดอกไม้จีน และน้ำซุปรสอ่อนๆ นั้นงวดข้นขึ้น รสชาติก็ขยับเข้มขึ้น จนมีจิตวิญญาณเป็น “พะโล้น้ำใส” อย่างแท้จริง

มันเหมือนถ้าเราต้มจืดหัวไชเท้าและผักอื่นๆ รวมกันนานๆ เข้า ทั้งกลิ่น รส และน้ำเนื้อในหม้อก็จะไม่ใช่ต้มจืดอีกต่อไปแล้ว แต่จะกลายเป็นกลิ่นแน่นๆ ของ “จับฉ่าย” แทนไงล่ะครับ

เวลาที่ใช้ในการปรุงกับข้าว บางทีก็เปลี่ยนแปลงอะไรๆ บนเตาไฟได้อย่างชนิดที่ว่าน่าสนุกดีนะครับ..

ที่มาเสาร์ประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย

มีคนตั้งข้อสังเกตว่า บรรยากาศวันสารทจีนปีนี้ไม่ค่อยคึกคักเท่าไรนัก เขาบอกว่าเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจกำลังย่ำแย่ ก็คงต้องต่อสู้กันต่อไปนะครับ อาจบางทีควันธูปแสงเทียนที่เพิ่งจุดเซ่นไหว้บูชาไปก็อาจเข้าหูเข้าตาให้เรามองเห็นต้นตอปัญหา จนพอจัดลำดับก่อนหลังในการแก้ไขมันได้ดีขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้

หลังวันไหว้ ก็ย่อมจะมีเนื้อหมูเห็ดเป็ดไก่เหลือไว้กินในครอบครัว หรือแจกจ่ายเพื่อนบ้านเหมือนเคย จำได้ว่าผมเคยเสนอให้เอาเนื้อไก่วันไหว้มาทำ น้ำพริกเผา (ผัด) ไก่ มาคราวนี้ก็เช่นกัน พอเห็นเป็ดไก่แขวนห้อยเป็นแถวทิวตามร้านข้างทาง ก็มานั่งคิดว่า เมื่อ “เจ้า” กินเสร็จแล้ว มนุษย์เราแต่ละบ้านจะเอาไปทำอะไรกินอร่อยๆ ต่อดีหนอ

ในที่สุดก็คิดออกครับ

ผมนึกถึง ไก่ผัดขิง คงนึกออกนะครับ ที่รู้จักหน้าค่าตาทั่วๆ ไปก็คือเนื้อไก่สดผัดใส่ขิงซอยนั่นแหละครับ บางคนใส่เห็ดหูหนูด้วย แต่โจทย์ของเทศกาลนี้คือไก่ไม่ได้สด มันเป็นไก่ต้ม ที่อาจเลาะกระดูกก่อนหั่นชิ้นแบบร้านข้าวมันไก่ หรือสับชิ้นใหญ่ทั้งกระดูกก็ได้ ที่จริงเราจะผัดไก่ต้มแบบนี้เลยก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร มันก็คงจะได้เนื้อ texture อีกแบบหนึ่งนั่นแหละ แต่ที่ผมคิดมันซับซ้อนกว่านั้นนิดหน่อย คือผมเอามันไปเชื่อมโยงกับปลาทอดผัดขิงน่ะครับ

เวลาพ่อครัวจีนทำปลาทอดผัดขิง เขาต้องแล่เอาแต่เนื้อปลา ทอดในกระทะน้ำมันร้อนๆ จนผิวกรอบดี แล้วจึงจะผัดกับเครื่องผัดขิง ทีนี้เนื้อไก่ที่เลาะกระดูกหั่นชิ้นแล้วมันก็คล้ายเนื้อปลาใช่ไหมล่ะครับ ทำไมเราจะเอามาทอดแบบเดียวกัน แล้วเบียดแทรกเข้าไปในสูตรเดียวกันนั้นบ้างไม่ได้เล่า

พอปิ๊งไอเดียแบบนี้แล้ว ก็มาสำรวจดูซิว่าเครื่องเคราเราครบหรือยัง แน่นอนครับว่าต้องมี ขิงอ่อน เอามีดเกลาๆ เปลือกออกบ้าง หั่นซอยเป็นเส้นเล็กๆ ไว้มากหน่อยก็ได้

กระเทียมทุบพอแตก สับหยาบๆ พริกชี้ฟ้าเขียวเหลืองแดงหั่นแฉลบ หอมใหญ่ ปอกเปลือกหั่นเสี้ยวหนาๆ

น้ำมันสำหรับทอด ถ้าใช้ น้ำมันหมู ก็หอมดีครับ และควรเตรียม น้ำมันงา ไว้เหยาะผสมด้วย

เครื่องปรุงเค็มใช้ เต้าเจี้ยวดำ ซีอิ๊วดำเค็ม

ขอ เหล้าจีน ไว้ใส่ให้ได้กลิ่นหอมๆ สักนิดหนึ่งนะครับ แต่หากไม่ชอบก็ไม่ต้อง นี่แหละครับทั้งหมดมีแค่นี้เองที่เราต้องเตรียม

3

เริ่มทำแบบสบายๆ โดยทยอยทอดชิ้นเนื้อไก่หั่นในกระทะน้ำมัน เหมือนเราทอดปลา พอให้ผิวแห้งกรอบ แต่ข้างในยังนิ่มอยู่ แล้วตักขึ้นไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน

หลังจากทอดไก่ ถ้าเห็นว่าน้ำมันในกระทะมากไป ก็เทออกบ้างนะครับ ทีนี้จะผัดจริงๆ แล้วนะ

เราก็ใส่กระเทียมลงไปเจียว ตามด้วยขิงซอยสักครึ่งหนึ่งก่อน พอขิงเริ่มสุกหอม ก็เติมเต้าเจี้ยวดำ ซีอิ๊วดำเค็ม เดาะน้ำตาลสักนิด แล้วทยอยใส่หอมใหญ่ พริกชี้ฟ้า ถ้าน้ำชักแห้ง เติมได้นิดหน่อยครับ

ผัดไปพอเห็นว่าหอมใหญ่ใกล้จะสุก จึงใส่ชิ้นไก่ที่เราทอดไว้ลงไป หยอดน้ำมันงา เหล้าจีน และขิงซอยที่เหลือ ผัดคลุกเคล้าให้ทั่ว

คะเนดูว่าทุกอย่างสุกเข้ากันดี ปรุงรสชาติได้เข้าท่าเข้าทีแล้ว ก็ตักใส่จานมากินกับข้าวต้มข้าวสวยร้อนๆ ได้เลยครับ

อย่าลืมโรยพริกไทยป่นใหม่ๆ เสียหน่อย จึงจะดีเลิศ

เท่านี้ก็ได้ “ไก่ทอดผัดขิงอ่อน” ซึ่งแม้เป็นของเหลือจากที่เจ้ากิน แต่เราเอามาปรุงเสียใหม่แบบซับซ้อนหน่อยๆ ใครดูเผินๆ อาจนึกว่าเราทำเนื้อปลาเก๋าปลากะพงผัดขิงแบบหรูหราราคาแพงเอาเลย

สูตรนี้คนไทยคงพอจะคุ้นเคย ถ้าใครชอบกิน อาจลองเพิ่มปริมาณน้ำมันและเหล้าจีน ผัดเคี่ยวนานหน่อยก็ได้ แต่นั่นก็จะทำให้มันเข้าใกล้สำรับผัดแบบจีนที่เรียกว่า “ซานเปยจี” (ไก่สามถ้วย) อันมีชื่อเสียงก้องโลกเข้าไปอีกนิดนึง

อาหารทั้งโลกก็เป็นแบบนี้ บางครั้งเราคิดว่าได้ลองปรับเครื่องปรุง ปรับวิธีปรุง จนกำลังจะเกิดสูตรใหม่ลับสุดยอดของตัวเองอยู่รอมร่อ ที่ไหนได้ สำรับหน้าตาแบบนั้นมีมาแล้วนานนับร้อยนับพันปี

ทำกับข้าวมันสนุกท้าทายก็ตรงนี้แหละครับ

ที่มา : มติชน

โดย : กฤช เหลือลมัย

อยากเดาว่า คงมีคนเคยกิน เห็ดตับเต่า (King bolete mushroom) ไม่มาก แม้ส่วนใหญ่น่าจะเคยเห็นวางขายตามตลาดสดบ้านๆ ในช่วงต้นถึงกลางฤดูฝน ซึ่งก็คือช่วงนี้แหละนะครับ อาจเพราะด้วยชื่อ ด้วยรูปทรง และด้วยสีที่ออกดำๆ ดูไม่ชวนกินเอาเสียเลยก็เป็นได้

เท่าที่รู้ คนเหนือเอามันมาแกงอ่อมเปล่าๆ บ้าง ใส่หมูบ้าง แกงใบมะขามอ่อนน้ำใสๆ บ้าง ส่วนคนบ้านสวนภาคกลางแถบบางกรวย ไทรม้า นนทบุรี มีสูตรยำใส่กะทิ หมูสามชั้น กุ้งแห้ง ตะไคร้ใบมะกรูดซอย กับทำฉู่ฉี่น้ำข้นๆ ใส่เนื้อปลาทูนึ่ง ทั้งสองสูตรนี้อร่อยมากๆ ครับ โดยเฉพาะถ้าได้เห็ดอ่อน ดอกเล็กๆ ซึ่งมีความกรุบกรอบ เคี้ยวมันอย่างหาตัวเปรียบได้ยาก

สมัยก่อน ที่ผมทำบ่อยคือแกงอ่อมแบบอีสาน ใส่พริกสด หอมแดง ตะไคร้ตำ ในหม้อน้ำใบย่านาง ปลาร้า ชะอม ต้นหอม ใบแมงลัก ผมคิดว่าคงไม่ได้รู้สึกไปเองคนเดียว ว่าเห็ดตับเต่าอ่อนๆ กรอบๆ นั้น ได้สังเคราะห์กลิ่นดินหอมๆ เข้าไว้ในน้ำเนื้อของมันมากยิ่งกว่าเห็ดเผาะเสียอีก ทำให้เมื่อเอามาปรุงกับข้าวแล้ว กับข้าวชามนั้นก็จะมีเอกลักษณ์ในตัวเองสูง

ความที่เพิ่งได้เห็ดตับเต่ามาถุงหนึ่ง แต่เป็นเห็ดที่ไม่ใหม่เท่าใดนัก ความกรุบกรอบลดน้อยไปเกือบครึ่ง ดังนั้น จึงไม่สามารถจะเอามายำอร่อยๆ กินได้นะครับ จำต้องยักย้ายไปปรุงเป็นสำรับอื่นที่จะช่วยพยุงรสชาติเอาไว้ให้ได้

มันก็เหมือนเวลาเราได้กุ้ง ปู ปลาที่ไม่สดมากนักมา จะปิ้งจะยำก็ไม่ได้แล้ว ต้องเอาไปต้มไปแกง ให้เครื่องต้มเครื่องแกงช่วยดึงรสชาติขึ้นมา อย่างนี้เป็นต้น

ผมนึกถึงสำรับไทยภาคกลางระดับคลาสสิก คือ ต้มกะทิสายบัวปลาทูนึ่ง แต่ครั้งนี้ผมจะชักเอาสายบัวออก ใส่เห็ดตับเต่าเข้าไปแทนที่เลย ก็ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ?

หลังจากใช้มีดเล่มเล็กๆ เกลาเศษดินตรงโคนเห็ดออก ล้างน้ำเร็วๆ โดยใช้กาบมะพร้าว ใยบวบ หรือฟองน้ำขัดคราบดำๆ ออกบ้างจนดอกเห็ดสะอาดดีแล้ว ก็หั่นเป็นชิ้นหนาๆ ไว้

ตำพริกไทยขาว รากผักชี หอมแดง กะปิเข้าด้วยกันในครกหินจนละเอียด เป็นพริกแกง

แกะปลาทูนึ่งเอาแต่เนื้อไว้เป็นซีกๆ

เตรียมหากะทิสดไว้ให้พร้อม

ละลายพริกแกงในกะทิใสหน่อย ต้มจนเดือดสักครู่ ถ้าจะให้รสชาติกลมนัว ควรจะเติมเปรี้ยวนิดเดียวด้วยน้ำมะขามเปียก หรือชิ้นส้มแขกแห้งนะครับ จากนั้นใส่เห็ดตับเต่าลงไป ต้มราว 5 นาที เติมหัวและหางกะทิให้แกงข้นใสพอดีๆ อาจเพิ่มน้ำตาลปี๊บได้ ถ้าชอบให้มีรสหวานอ่อนๆ ใส่เนื้อปลาทูนึ่งตามลงไป ถ้าต้องการให้เนื้อนิ่มๆ ก็รีบยกลงหลังใส่ไปราวสองสามอึดใจ ไม่อย่างนั้นเนื้อปลาทูนึ่งที่แกะออกจากก้างแล้วจะแข็งกระด้างเร็วมากในหม้อแกงเดือดๆ นะครับ

โรยต้นหอมหั่นยาวๆ ลงในหม้อเพื่อเพิ่มกลิ่นผักๆ ไปตัดความมันเลี่ยนของกะทิ และสร้างดุลยรสกับกลิ่นดินของเห็ดตับเต่า สีน้ำแกงจะออกคล้ำๆ ปนเหลืองนิดๆ จากสีของเนื้อในเห็ดตับเต่าเอง และที่ค่อนข้างแปลก คือเราจะรู้สึกว่ากลิ่น ?ต้มกะทิเห็ดตับเต่า? ใส่เนื้อปลาทูนึ่งของเราหม้อนี้ คล้ายว่ามีกลิ่นถั่วเมล็ดแข็งอย่างถั่วลิสงปนอยู่ด้วยหน่อยๆ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ใส่ลงไปแม้แต่เม็ดเดียว

มันเป็นความลี้ลับพิสดารอีกประการหนึ่งของการปรุงกับข้าวกับปลา ที่การผสมผสานของวัตถุดิบบางสิ่ง กลับทำให้เกิดกลิ่น รส หรือกระทั่งเนื้อสัมผัสเหมือนอีกสิ่งหนึ่งที่เราคุ้นชิน โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ

กินราดข้าวชุ่มๆ หรือซดน้ำร้อนๆ ก็ชื่นใจเหมือนเราเคยกินต้มกะทิสายบัวปลาทูนึ่งทุกประการครับ

1
4

ที่มา : มติชน

ผู้เขียน : กฤช เหลือลมัย

คอพะโล้ จะต้องติดใจ หมูพะโล้ปลาเค็ม

ลืมเรื่อง ไข่พะโล้บูดเอาไว้ชั่วคราว

เพราะคราวนี้ กฤช เหลือลมัย คอลัมนิสต์ คอลัมน์อาหาร ในหนังสือพิมพ์ มติชน ได้นำเสนอ “หมูพะโล้ปลาเค็ม” มายั่วยวน คอพะโล้ และไม่พะโล้ทุกคน ที่รับรองว่า เอาสูตรนี้ไปทำแล้วจะติดอกติดใจในรสชาติไปอีกนาน

พะโล้ปลาเค็ม โดย กฤช เหลือลมัย

การต่อยอดจากสูตรของ ประยูร จรรยาวงษ์

 

ใครก็ตามที่ชอบทำอาหาร คงเคยรู้สึกเหมือนผมบ้างไม่มากก็น้อย คือรู้สึกว่า สูตรอาหารบางสำรับนั้น มันแสนที่จะลงตัว พอเหมาะพอดี ไม่มีขาดมีเกิน กินครั้งใดก็อร่อย ทั้งอยากกินไปเรื่อยๆ ไม่มีหยุด จนพาลสงสัยว่าคนคิดเขาคิดขึ้นมาได้ตอนไหนอย่างไรเอาเลยทีเดียว

สูตรหนึ่งที่ผมยอมใจมานาน ก็คือ “หมูตุ๋นปลาเค็ม” ของ คุณประยูร จรรยาวงษ์ นักเขียนการ์ตูนผู้ยิ่งยง ซึ่งแม้ท่านล่วงลับไปแล้วเมื่อ 27 ปีก่อน ทว่ารสมือของท่านในหมูตุ๋นฯ หม้อนี้ย่อมจะส่งต่อไปยังใครต่อใครอีกมากมายไม่มีวันจบสิ้น คุณประยูรใช้หมูสามชั้นติดหนัง ตุ๋นในหม้อน้ำมัน กับปลาสละเค็ม ตะไคร้ กระเทียม พริกไทย ปรุงด้วยซีอิ๊วขาวและซอสปรุงรส จนน้ำแห้ง หมูเดือดฉ่า ผิวนอกเกรียมน้ำมันนิดๆ

กลิ่นและรสเปรี้ยวซ่าของตะไคร้ ผสานกับกระเทียมพริกไทยสุกหอมในน้ำมันของชิ้นหมูเกรียม ซึ่งพลอยซึมซับรสเค็มลึกๆ ของปลาเค็มไว้อย่างเต็มที่ แถมมีซีอิ๊วขาวแต่งรสให้มีสีสันขึ้นอีก มันทำให้แม้ผมจะเคยพยายามลองเพิ่ม ลด ดัดแปลงวิธีปรุงและวัตถุดิบบางตัวให้ต่างออกไปบ้าง ทว่าก็ไม่อาจสร้างหมูตุ๋นปลาเค็มหม้อใหม่ที่พอเทียบเคียงสูตรคุณประยูรได้เลยจริงๆ

ผมจึงคิดว่า ถ้าอย่างนั้น เรา “ขอยืม” มาใช้กับสำรับที่ใกล้เคียงกันน่าจะดี เช่น หมูพะโล้ โดยนึกเชื่อมโยงไปถึงขาหมูพะโล้สูตรหนึ่งซึ่งพ่อครัวใส่ปลาเค็มต้มรวมไปในหม้อด้วย กับนึกถึงพะโล้ที่บ้านเพื่อนผมคนหนึ่ง ซึ่งแทนที่จะใช้ไข่เป็ดไข่ไก่ เขาก็ใช้ไข่นกกระทาแทน

บางที การที่เราพออธิบายได้ว่า สิ่งที่เรากำลังจะต้มผัดแกงทอด ฯลฯ ต่อไปนี้ มันมี “ราก” ที่อ้างอิงได้ พูดง่ายๆ คือไม่ได้มั่วนิ่ม ก็ช่วยเรียกความมั่นใจได้ไม่น้อยนะครับ

ถ้ามั่นใจกันแล้ว ก็เริ่มทำ “หมูพะโล้ปลาเค็ม” ของเราเลยดีกว่า ค่อยๆ เตรียมไปทีละอย่างครับ เช่นว่า หั่นหมูเป็นชิ้นใหญ่ๆ ต้มไข่นกกระทาในหม้อน้ำจนสุก ปอกเปลือกไว้

ทอดปลาอินทรีเค็ม แล้วทำใจแข็งไว้ อย่าได้ซอยพริกซอยหอมบีบมะนาวลงไปเป็นอันขาด เดี๋ยวเผลอกินหมดซะก่อน

1

ทอดเต้าหู้แข็งพอให้ผิวนอกเกรียมๆ

ตัดตะไคร้ ทุบพอแตก หัวกระเทียมปอกเปลือกแค่เกลาๆ เอาปลายมีดจิ้มให้เป็นรูทั้งหัว

เตรียมรากผักชี เกลือ พริกไทยดำบุบ น้ำตาลอ้อย และซีอิ๊วดำหวานดำเค็ม เพื่อ “แปลงร่าง” สูตรของคุณประยูรให้มีความเป็นพะโล้มากขึ้น

ผมเพิ่มพริกขี้หนูแห้งเม็ดใหญ่ เพื่อให้มีรสเผ็ดแหลมแทรกบ้างนิดหน่อยด้วยครับ

พอเตรียมครบแล้ว ก็เอาชิ้นหมูสามชั้นลงผัดในกระทะน้ำมัน เติมเกลือ ซีอิ๊วดำหวานดำเค็ม เพื่อย้อมสีหมูให้คล้ำสวยสักครู่ จึงวางชิ้นปลาเค็มให้เข้าที่เข้าทาง สลับด้วยหัวกระเทียม พริกไทย รากผักชี พริกแห้ง และท่อนตะไคร้ทุบ แล้วเติมน้ำให้ท่วม ทยอยใส่เต้าหู้ทอด ไข่นกกระทา เติมน้ำตาลปรุงรสหวานได้อีกหน่อยถ้าชอบ

ต้มรุมไฟอ่อนไปราว 2 ชั่วโมง คอยเติมน้ำไว้อย่าให้แห้ง กับชิมให้ได้รสเค็มหวานอย่างที่ต้องการ ทั้งหมู ปลาเค็ม เครื่องปรุง และน้ำพะโล้จะค่อยๆ จัดการตัวเองให้รสชาติกลมกลืนกัน โดยที่เราไม่ต้องห่วงเรื่องการปรุงสักเท่าไหร่หรอกครับ

พอหมูสามชั้นเปื่อยนุ่มดีแล้ว มันจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของตะไคร้ เจือรสเค็มลึกๆ และกลิ่นยั่วยวนของปลาเค็มอบอวลไปทั้งหม้อ แถมไข่นกกระทาก็ให้เนื้อสัมผัสกรุบกรอบที่แปลกออกไป มีรสเผ็ดพริกแซมแทรกเล็กน้อย เรียกว่าจิตวิญญาณของกับข้าวหลายจานดูจะมารวมกันอยู่ที่นี่

พะโล้ของเราหม้อนี้ ถึงจะแปลก แต่ย่อมอร่อยถูกปากแน่นอนครับ

ที่มา : มติชน

ผู้เขียน : กฤช เหลือลมัย