ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมไปทำธุระกึ่งๆ เที่ยวที่ตลาดโพธิ์พระยา ตลาดริมน้ำท่าจีนแห่งใหญ่ในเขตตำบลโพธิ์พระยา อำเภอเมืองสุพรรณบุรี ตลาดนี้ติดทุกวัน ช่วงตั้งแต่ราวบ่าย 3 โมงไปจนถึง 6 โมงเย็น

หากจะย้อนอดีตของพื้นที่แถบนี้ สองฝั่งน้ำท่าจีนเขตเมืองสุพรรณเมื่อเกือบสองร้อยปีที่แล้วคงมีสวนผัก ถั่ว พริก ขิง มะเขือ ฯลฯ เยอะแยะไปหมด เพราะในโคลงนิราศสุพรรณของสุนทรภู่ได้เขียนพรรณนาไว้มาก ช่วงที่เรือของท่านผ่านบางปลาม้า โคกคราม สวนขิง ทับขี้เหล็ก ท่าโขลง โพคลาน บางมดแดง ตาลเสี้ยน ฯลฯ และตอนผ่านโพธิ์พระยานั้น ท่านแต่งโคลงไว้ว่า

โพธิ์พระยาท่าตลิ่งล้วน ล้อเกวียน

โพไผ่ไม้เต็งตะเคียน ตะขบบ้างฯ”

เรียกว่าสุนทรภู่ฉายภาพความเป็นชุมทางการค้าขายพบปะกันของพ่อค้าเกวียนและพ่อค้าเรือ จากทางบกและทางน้ำในช่วงนั้น ผ่านสัญลักษณ์คำกวีได้อย่างมีชั้นเชิงทีเดียว

ตลาดโพธิ์พระยาในบ่ายวันนั้น แม้แม่ค้าปลาจะพากันออกตัวว่า ปลาสดมีน้อย เพราะว่า “มันแล้งมากค่าปีนี้ ปลาหายากจริงๆ” แต่ก็ยังได้เห็นปลาสังกะวาด ปลาเทโพ ปลาแดง ปลากราย และปลาเบี้ยวตัวยาวเกือบวา ผมนั้นอดไม่ได้ เผลอซื้อเนื้อปลากรายขูดสดๆ มา 3 ขีด ทั้งที่ยังไม่รู้จะเอาไปทำอะไรกินด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ดี เดินไปอีกไม่กี่แผงถัดจากนั้น ผมก็รู้เป้าหมายล่ะครับ เพราะมีแม่ค้าสาวเก็บลูกตำลึงดิบมาขาย ถุงละ 10 บาทเท่านั้นเอง สบายแล้วทีนี้ ไม่ต้องตะลอนปั่นจักรยานไปหาเก็บตามข้างทางเหมือนแต่ก่อน

ผมคิดจะทำ “แกงคั่วปลากรายใส่ลูกตำลึง” ครับ

ลูกตำลึงดิบรสจะขมเฝื่อนหน่อยๆ มันมีสำหรับที่เอาไปแกงคั่วใส่กะทิในหลายพื้นที่ อย่างเช่นที่เพชรบุรีแกงใส่กุ้งทะเลตัวเล็กๆ ทีนี้ผมต้องใช้อะไรอีกบ้างล่ะ ก็มีพริกแกงเผ็ดครับ แล้วต้องเพิ่มรากกระชาย ผมซื้อทั้งสองอย่างนี้จากร้านขายพริกแกงในตลาดเลยแหละ กลิ่นพริกแกงเผ็ดโพธิ์พระยาเขาหอมฉุนดีจริงๆ

แกงคั่วตามขนบครัวภาคกลางนั้น ถ้าไม่ใส่เนื้อปลาต้มโขลกไปกับพริกแกง ก็มักใช้ปลาย่างป่นแทน ผมชอบปลาย่างมากกว่า มันมีกลิ่นเฉพาะตัวดีครับ เลยซื้อปลาสร้อยย่างป่นมาอีกหนึ่งกระปุกเล็ก ราคา 30 บาท

เป็นอันว่า ปฏิบัติการจ่ายของที่เริ่มจากเนื้อปลากราย 3 ขีดนี้ จะจบลงที่แกงคั่วลูกตำลึงแบบบ้านๆ 1 หม้อ แถมยังอัดแน่นไปด้วยจิตวิญญาณแบบโพธิ์พระยาล้วนๆ เลยแหละ

ขั้นตอนการทำอาจซับซ้อนหน่อย ลองดูไปทีละอย่างนะครับ

เริ่มด้วยผ่าลูกตำลึงดิบเป็นสองซีกตามยาว แช่น้ำเกลือ แล้วค่อยๆ บีบๆ บี้ๆ อย่างมีศิลปะ จนเมล็ดหลุดออกไปหมด เหลือแต่เนื้อและไส้ สรงขึ้นมาขยำเคล้าเกลือป่นเบาๆ ทิ้งไว้ก่อน

เนื้อปลากรายเอาลงโขลกในครกไม้ หรือครกดินเผา ตำด้วยสากไม้ สลับกับทยอยหยอดน้ำเกลือลงไปสักถ้วยเล็กๆ หยอดไปตำไป ราว 15-20 นาที จะรู้สึกว่าเนื้อมันหนึบแน่นขึ้น ทีนี้เอาน้ำมันหมูหรือน้ำมันพืชชโลมมือไม่ต้องมาก แล้วปั้นเนื้อปลาที่เราเอาช้อนตักควักขึ้นมาเป็นก้อนๆ ปั้นตะล่อมไปจนเป็นลูกกลมๆ แน่นๆ เอาลงต้มในหม้อหางกะทิจนสุก ช้อนขึ้นใส่ชามไว้

หั่นรากกระชายมากน้อยตามชอบ โขลกกับพริกแกงและปลาป่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน

ติดไฟตั้งหม้อหางกะทิที่ลวกปลากรายนั้นอีกครั้ง ตักพริกแกงใส่ไป พอเดือดจนเริ่มหอม เติมเกลือ น้ำปลา น้ำตาล ใส่ลูกตำลึงที่บีบเอาน้ำขมเฝื่อนออกบ้าง เมื่อลูกตำลึงเริ่มจะสุก ก็เติมหัวและหางกะทิให้ได้ความข้นใสอย่างที่ต้องการ ตามด้วยลูกชิ้นปลากรายแท้ๆ เหนียวหนึบหนับของเรา

อนึ่ง หากจะให้ครบเครื่องแกงคั่วกะทิภาคกลางสูตรบ้านๆ ก็เติมน้ำปลาร้าปนลงไปบ้าง หรือจะใช้น้ำปลาร้าแทนน้ำปลาไปเลยแบบหม้อนี้ของผม ก็ไม่มีใครว่าหรอกครับ

กลิ่นแกงคั่วปลากรายใส่ลูกตำลึงหม้อนี้ เมื่อสุกแล้วหอมกระชายและปลาร้า กลิ่นขมจางๆ จะอ่อนกว่าแกงมะระ เราอาจเคี่ยวให้กะทิแตกมันได้บ้างครับ แต่อย่ามาก โดยรวมๆ แล้วจะคล้ายน้ำยากะทิที่ขมนัวๆ แถมมีลูกชิ้นปลากรายเนื้อหนึบๆ ลอยเต็มหม้อ

ที่มาเสาร์ประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย

ผมคิดว่า การปรุงอาหารมังสวิรัติ (Vegetarian Food) ให้คนที่ปกติสมาทานเนื้อสัตว์ทุกวันกินนั้นเป็นเรื่องท้าทายดี จะว่าไปน่าจะเป็นโจทย์ที่ยากที่สุดที่ทั้งสองฝ่ายจะประนีประนอมเข้าหากัน เพื่อเสนอและรับการท้าทายในสิ่งที่ตนก็ไม่เคยคุ้นนะครับ

เพราะคนที่ติดรสเนื้อสัตว์ หรือรสปรุงแต่งอื่นๆ เช่น ผงปรุงรส ซอสปรุงรส น้ำตาลฟอกขาวนั้น มีลิ้นแบบหนึ่ง ขณะที่คนกินมังสวิรัติ (ที่อาจมีน้ำ/ผงปรุงรสของตนอีกชุดหนึ่ง) ก็ย่อมมีลิ้นอีกแบบหนึ่ง การข้ามฝั่งจึงดูเหมือนเป็นไปได้ยากเอาการ

แต่การใช้เทคนิคพลิกแพลงบางอย่าง ก็อาจทำให้เรื่องนี้กลายเป็นความสนุกท้าทายไปได้นะครับ ตัวอย่างเช่น การพยายาม “เล่น” กับเห็ด อย่างเห็ดฟางหรือเห็ดนางฟ้า โดยเอาไปตากแดดก่อนปรุง หรือหมักเกลือนานหลายชั่วโมง จนกระทั่งได้รสเปรี้ยว ซึ่งถ้าใครเคยลองแล้ว จะรู้ว่า มันทำให้เห็ดที่ปรุงสุกแล้วมีกลิ่นรสใกล้เคียงเนื้อสัตว์ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง

การแลกเปลี่ยนรสลิ้นของสองฝั่งฝ่ายนี้ ที่ผมคิดว่าง่าย และสามารถทำได้หลากหลาย ก็คือใช้ “เต้าหู้” เป็นวัตถุดิบตัวกลางครับ เต้าหู้นั้นอุดมด้วยโปรตีนจากถั่วเหลือง คุณภาพเกือบเทียบเท่าเนื้อสัตว์ ยิ่งถ้าได้แหล่งประจำที่ทำอย่างประณีตพิถีพิถัน เนื้อแน่นนิ่ม รสชาติดี ก็จะสนุกกับโจทย์นี้ได้ไม่ยากเลยแหละ

ไม่เชื่อลองนึกถึงผัดกุยช่ายขาวหรือถั่วงอกกับเต้าหู้หมูสับตามร้านข้าวต้มกุ๊ยสิครับ ถ้าชักเอาหมูสับออกไปเสีย ก็ไม่น่าจะรู้สึกบกพร่องอะไรไปสักเท่าไหร่หรอกน่า

หว่านล้อมมาพักใหญ่ๆ ก็เพราะอยากชวนทำสำรับเต้าหู้ที่ผมลองปรับทำมาสองสามครั้งแล้ว คิดว่าพอจะลงตัวอยู่ครับ สำหรับ “เต้าหู้ผัดพริกดอง” สูตรนี้

การถอดวิญญาณมาลองปรุงแต่งรสกับข้าวมังสวิรัติกระทะนี้ เริ่มจากไปเสาะหาเต้าหู้ดีๆ ก่อน ผมเผอิญได้ “เต้าหู้โพธาราม” จากจังหวัดราชบุรี ซึ่งนับว่ามีชื่อชั้นในระดับสูงของวงการเต้าหู้เมืองไทยมาครับ ก็เอามาทอดน้ำมัน แล้วหั่นชิ้นใหญ่ๆ เตรียมไว้

รสเผ็ดเค็มเปรี้ยวของจานนี้ ประสมขึ้นจากเต้าเจี้ยวดำ หอมแดง และ “พริกดอง” คือพริกดองน้ำส้มบดหยาบแบบที่ใช้ในร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัว – ก๋วยเตี๋ยวเรือนั่นแหละครับ เราช้อนเอาแต่กากพริกติดน้ำส้มมานิดหน่อย ตำรวมในครกให้ละเอียด เติมน้ำมันงาและน้ำมันพริกแบบจีน จะได้ซอสข้นๆ มันๆ สำหรับผัด ที่กลิ่นหอมยั่วยวนมากๆ

ความสดชื่นของสูตรนี้มาจากหอมใหญ่ผ่าครึ่งหัว ซอยตามขวางชนิดบางเฉียบ กระเทียมโทนหั่นหยาบ ขิงแก่ซอยละเอียดคั้นน้ำเกลือหนึ่งครั้งแก้รสเฝื่อนขม และพริกชี้ฟ้าเขียวผ่าแคะเมล็ดและไส้ออก หั่นแฉลบเป็นเสี้ยวใหญ่หน่อย

ควรจะต้องมีกลิ่นหอมจากเหล้าจีนแบบที่ใช้ปรุงอาหารด้วย ขอให้เตรียมไว้สักหน่อยนะครับ

ของครบแล้วก็เริ่มทำได้เลย โดยตั้งกระทะน้ำมันบนไฟกลาง เทหอมใหญ่ลงผัดสักครู่พอให้ใสนุ่ม ใส่ขิงครึ่งหนึ่งก่อน ผัดต่ออีกหน่อย จึงเติมพริก กระเทียม และซอสข้นที่เราผสมไว้อย่างดีแล้วนั้นลงไปผัดให้เข้ากัน ใส่เหล้าจีน พอกลิ่นหอมส่าเหล้าโชยขึ้นมาก็ใส่เต้าหู้และขิงที่เหลือ ผัดคลุกเคล้าให้เข้ากันเร็วๆ หากน้ำแห้งเกินไปก็เติมพอให้ได้ความขลุกขลิก

ลองชิมดูครับ หากว่าอ่อนรสเค็มหรือเปรี้ยว ก็เติมซีอิ๊วขาวหรือพริกดองน้ำส้มอีกจนพอใจ

สุกดีแล้วตักใส่จาน ราดน้ำมันพริกแดงๆ จนชุ่ม จะทำให้มีกลิ่นหอมแบบเผ็ดๆ ผสานกับกลิ่นขิง น้ำมันงา เต้าเจี้ยวดำ ซีอิ๊วขาว และเหล้าจีน เมื่อบดพริกไทยดำหยาบๆ โรยหน้าเสียหน่อยก็แทบจะลืมไปว่านี่เป็นจานมังสวิรัติเอาเลยทีเดียว เพราะบรรดาเครื่องปรุงรสดีๆ ช่วยกันแต่งเติมกลิ่นและรสให้เต้าหู้เสียจนไม่ต้องสนใจเนื้อหมูเนื้อไก่อะไรอีกแล้ว

ยิ่งใครชอบเห็ดฟางหรือเห็ดหอมสด ก็หั่นบางๆ ตามยาวของดอก ใส่ลงผัดพร้อมขิงตั้งแต่แรก จะได้รสหวานลึกๆ ของน้ำเห็ดมาหล่อเลี้ยงให้ผัดพริกดองจานนี้สดชื่นขึ้นไปอีกครับ

เอาเข้าจริงแล้ว ดูเหมือนผมจะเป็นพวก “โลกสวย” ที่คิดว่าน่าจะนำเสนอรสชาติสดๆ จากวัตถุดิบดีๆ เพื่อดูดดึงแฟนคลับผงชูรส ผงปรุงรส ซอสปรุงแต่งรส ฯลฯ จากของทั้งสองฟากฝ่าย มาเป็นพรรคพวกให้ได้ในสำรับเดียว

แต่ความเชื่อแบบนี้จะเป็นจริงได้หรือไม่ มันต้องลองด้วยตัวเองสักครั้งนะครับ

ที่มา : มติชน

ปริศนานามของอาหารไทยสำรับหนึ่งที่คงถกเถียงกันไปอีกนานชนิดไม่รู้จบ เห็นจะคือ “ปริศนาปลาเห็ด” นะครับ

เพราะว่า ขณะที่ผู้คนแถบลุ่มน้ำภาคกลางทั้งตอนล่างและตอนบน เรียกปลาสับปลาขูดผสม พริกแกง เกลือ น้ำปลา ใบมะกรูด (หรือใบอะไรอื่นๆ) ปั้นก้อนแบนทอด ว่า “ปล่าเห็ด” นั้น คนเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ และภาคกลางหลายแห่งในสัดส่วนไม่น้อยกว่ากัน กลับเรียก “ทอดมัน”

ตำราอาหารไทยสูตรมาตรฐานนั้นย่อมเรียกทอดมันอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อย่างที่ว่านะครับ การถกเถียงเรื่องนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกแห่ง เพราะแต่ละคนย่อมมีชื่อเรียกซึ่งตนคิดว่าดั้งเดิม เก่าแก่ จริงแท้ ถูกต้อง ที่ต่างเรียกขานมาตั้งแต่เด็ก เฉพาะของใครของมันเสมอ

บางคนพยายามแยกแยะขนาดว่า ถ้าเป็นปลาเห็ด ต้องเป็นปลาเล็กปลาน้อยสับทั้งก้าง ต่อเมื่อเป็นเนื้อปลาขูดล้วนๆ จึงเรียกทอดมัน แต่ก็มักมีคนแย้งทันที่ว่า ไม่จำเป็นหรอก บางแห่งใช้เนื้อปลากรายปลาฉลาดแล้วเรียกปลาเห็ด ก็มีถมไป

ความเป็นมาเชิงนัยประวัติมีคนเขียนละเอียดๆ ไว้ในที่อื่นแล้วนะครับ วันนี้ผมจึงจะทำเป็นลืมๆ ประเด็นปริศนานามนี้ไปก่อน เพราะเผอิญว่าไปได้ปลาสลิดสดตัวเล็กขนาดเท่าปลากระดี่ ชาวบ้านจับได้จากทุ่งจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี แล้วตัดหัวขอดเกล็ดควักไส้ เอามาขายที่ตลาดเช้า ราคากิโลกรัมละ 70 บาทเท่านั้นเอง

“สับทำแกงสับนกหรือทอดมันก็ได้จ้ะ” แม่ค้าบอกว่า เนื้อปลาสลิดตัวเล็กจะนิ่มกว่าปลากระดี่ ผมเลยคิดจะทำทอดมัน-ปลาเห็ดจากปลาสลิดดูสักครั้ง

เมื่อล้างสะอาด ตัดครีบตัดหาง จับส่วนโคนหางวางบนเขียงใหญ่ สับด้วยมีดอีโต้ถี่ๆ จากหัวไล่ลงมาให้ก้างอ่อนตัวก่อนสัก 7-8 ตัว จากนั้นจึงตะล่อมเป็นกอง โรยเกลือเล็กน้อย ค่อยๆ สับต่อไปจนก้างละเอียดปนกับเนื้อ รู้สึกได้อย่างที่แม่ค้าบอกเลยว่า เนื้อปลาสลิดนี้มันนิ่มดีจริงๆ สับจนคิดว่ามากพอควรแก่การนะครับ

ทีนี้เตรียมพริกแกงเผ็ด โดยซื้อจากร้านที่ชอบ อาจโขลกต่อให้ละเอียดขึ้นก็ได้ และสูตรนี้ ผมอยากให้ปลาเห็ดของผมมีกลิ่นรากกระชายเสริมกลิ่นปลาและพริกแกงด้วย (นึกออกใช่ไหมครับ แม่ครัวภาคกลางมักอดเติมกระชายไม่ได้ เวลาจะแกงปลาหรือทำน้ำยาขนมจีน) เลยหั่นรากกระชายใส่โขลกปนไปจนเข้ากัน เอาเนื้อปลาสลิดลับของเราลงครกน้ำพริกนี้ เติมน้ำปลา โขลกรวมไปให้เข้ากัน ทยอยเติมใบมะกรูดชอย พอเห็นว่าเนื้อเนียนดีแล้ว ก็เอามือชุบน้ำมัน ปั้นเนื้อปลาเห็ดที่เพิ่งตำเสร็จใหม่ๆ นี้ เป็นลูกกลม แล้วกดให้แบนหนา แบบเดียวกับเวลาเราทำทอดมันนั่นแหละครับ

ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟกลางค่อนข้างอ่อน พอน้ำมันร้อน เอาชิ้นปลาเห็ดของเราลงทอดทีละสองสามชิ้น พอด้านหนึ่งเกรียมก็พลิกอีกด้าน สุกพองหอมดีแล้ว กันไว้ให้สะเด็ดน้ำมันข้างกระทะก่อน จึงค่อยตักใส่จาน

“ปลาเห็ด” ของผมจานนี้ รสค่อนข้างเผ็ดเพราะใส่พริกแกงมาก ใครไม่กินเผ็ดก็ลดลงตามส่วนนะครับ ถ้าได้ลองทำครั้งแรกแบบธรรมดาๆ นี้แล้ว ก็คงนึกต่อได้ว่า เราแต่ละคนชอบแบบไหน เช่น หากชอบให้เนื้อนิ่มกว่านี้ ก็เติมแป้งมันและไข่ไก่ในส่วนผสมด้วยก็ได้ ชอบกลิ่นรสเผ็ดร้อนก็ใช้ในกะเพราหรือผักแพวแทนใบมะกรูด ฯลฯ

สูตรที่ผมทำนี้ มีกลิ่นรากกระชายหอมเหมือนเวลาเรากินน้ำยาขนมจีนเลยครับ ข้อแม้สำคัญของปลาเห็ดที่ทำจากปลาเล็กปลาน้อยก็คือ เราต้องสับก้างให้แหลกละเอียดจริงๆ จึงจะไม่ตำปาก ตำคอ กินแล้วมันกรุบๆ ดี แถมได้แคลเซียมเป็นประโยชน์แก่ร่างกายเต็มที่

ถ้าไม่ชอบแบบทอด จะเสียบไม้ย่าง หรือห่อใบตองปิ้งเป็นงบไปเลย ก็อร่อยครับ

ที่มาเสาร์ประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย

เคยมีใครเป็นแบบนี้บ้างไหมครับ คือเกิดจดจำได้แม่นว่า ได้ไปกินอาหารจานอร่อยที่ร้านนั้นๆ มา ถึงแก่นำข่าวคราวความเลิศรสมาแจ้งแก่มิตรสหาย แต่ครั้นยกโขยงชวนกันไปกิน กลับไม่มีรายการนั้นในเมนูเอาเลย ครั้นคุยสืบสาวกับแม่ครัว เธอก็ว่าร้านเราไม่เคยมีแบบนั้นนะคะ ฯลฯ

การเล่นตลกระหว่างความทรงจำและการหลงลืมนี้ บางครั้งก็ทำเอาไม่แน่ใจว่า ตกลงเราเคยกินจริงๆ ไหม หรือว่าที่แท้สับสนระหว่างความจริงกับความฝัน อย่างไรก็ดี หากเราพอทำอาหารเป็นอยู่บ้าง การแกะรอยอะไรแบบนี้ก็เป็นเรื่องน่าสนุกไม่น้อย

ผมเองก็(จำได้แม่นว่า)เคยกินยำกากหมูอร่อยมากๆ ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านเชิงสะพานอรุณอมรินทร์ ฝั่งกรุงเทพธนบุรี แล้วก็เป็นอย่างที่เล่าแหละครับ แต่กรณีนี้ รสอร่อยในความทรงจำมันแจ่มชัดเสียจนการหลงลืมก็ไม่เป็นปัญหาอะไร ผมเลยว่าจะลองชวนประกอบสร้างยำจานนี้กินกันใหม่อีกสักรอบน่ะครับ

ขอเรียกมันว่า “ยำกากหมูตั้งฉ่าย” เพราะว่านอกจากกากหมูกรอบๆ เพิ่งเจียวเสร็จใหม่ๆ แล้ว รสเค็มของยำจานนี้มาจาก “ตั้งฉ่าย” ผักหมักดองเค็มแห้งๆ ที่คนจีนใช้มากในแกงจืด ซุปก๋วยเตี๋ยวหมู และข้าวต้มเครื่อง ถ้าเราใช้อย่างที่มีชิ้นใบมากหน่อยจะได้รสชาติดีครับ แล้วเติมรสเค็มแหลมๆ ด้วยน้ำปลา เลือกยี่ห้อที่ผสมน้ำตาลเยอะๆ เลยก็ได้ครับคราวนี้ เพราะเราต้องการรสหวานมาเสริมน้ำยำของเราด้วย

รสเผ็ดมาจากพริกขี้หนูสวน ซอยไม่ต้องละเอียด

ส่วนกลิ่นหอม มาจากหอมแดงหั่นตามยาว ไม่ต้องบางมากเช่นกัน แล้วก็ต้นหอมผักชีซอยหยาบๆ

ที่ผมจำไม่ได้ก็คือว่ามันมีกระเทียมด้วยไหม แต่คะเนเอาจากส่วนผสมนี้ ถ้าจะมีกระเทียม ก็ควรใช้กระเทียมจีนกลีบใหญ่หั่นบางๆ รสจะได้ไม่เผ็ดซ่าเกินไป ผมเองไม่อยากให้ยำกากหมูจานนี้เผ็ดซ่ามาก ก็เลยไม่ใช้กระเทียมครับ แต่ผมเพิ่มของขบเคี้ยวกรอบๆ มันๆ อย่างเมล็ดแตงโมอบ (เม็ดกวยจี๊) เข้าไป

การใช้เม็ดกวยจี๊เพิ่มความกรอบมันให้อาหารจานยำจานพล่านี้ แม่ครัวสมัยร้อยกว่าปีก่อนใช้กันบ่อยนะครับ อย่าง พล่าเนื้อสด สูตรตำราแม่ครัวหัวป่าก์นี่ขาดไม่ได้เลยแหละ

การประกอบสร้างยำกากหมูตั้งฉ่ายในความทรงจำของผมครั้งนี้ใช้เวลาชั่วประเดี๋ยวเดียว มันก็เหมือนอาหารจานยำเกือบทั้งหมดของครัวไทยนะครับ คือเมื่อเตรียมเครื่องเคราเรียบร้อย ต้องปรุงอย่างรวดเร็ว แล้วตักไปกินกันทันที ไม่อย่างนั้นก็จะ “เซ็ง” เสียหมด

ในชามใบใหญ่ใส่กากหมู เราบรรจงเทหอมแดง พริกขี้หนู ตั้งฉ่าย เม็ดกวยจี๊ โคนต้นหอมหั่น แล้วราดน้ำปลา น้ำมะนาวสด คลุกเร็วๆ ชิมรสให้ได้อย่างที่ชอบ จะได้ยำแห้งๆ ที่ยังมีความกรอบของกากหมูเจียวใหม่ๆ อยู่

โรยหน้าด้วยเม็ดกวยจี๊ หอมแดงซอย พริกขี้หนู และใบผักชีอีกอย่างละนิดละหน่อย หลังตักใส่จานแบน

ความทรงจำพิเศษก็คือกลิ่นหมักเค็มของตั้งฉ่าย มันทำให้รสชาติยำจานนี้แปลกไปกว่าที่เคยกิน จนผมถึงกับไม่ลืมมัน ไม่ว่ามันจะเคยมีอยู่จริงหรือไม่ก็ตาม

1

สำหรับคนที่พิสมัยกากหมูระดับเสพติดย่อมทราบว่า ทุกวันนี้ ฟาร์มหมูหลายแห่งเลี้ยงหมูด้วยระบบอินทรีย์ที่ปลอดภัย ไม่ใช้สารเคมีหรือยาฉีดเร่งใดๆ หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “หมูหลุม” นะครับ และคงสืบค้นรายละเอียดของมันได้ไม่ยาก ที่ผมจะบอกก็คือ ถ้าได้มันหมูของหมูหลุมนี้มาเจียวทำกากหมูละก็ ยำกากหมูตั้งฉ่ายจานนี้จะไม่มีวันถูกลืมเลือนจากความทรงจำของใครที่เคยได้ลิ้มชิมแน่นอน

“..อย่าดูถูกกากหมูเป็นอันขาด” ปรมาจารย์ด้านการกินในอดีตหลายท่านยืนยันไว้เช่นนั้น

ที่มาหน้าประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย

แหนม หรือชิ้นส้ม เป็นเนื้อหมักยอดนิยมที่ทำได้ทั้งจากเนื้อวัว หมู ปลา หรือกระทั่งเห็ด แต่แหนมที่คนชอบกินมีขายแทบทุกหัวระแหงเห็นจะเป็นแหนมหมูสับสดที่ผสมหนังหมูหั่นเคล้าไปกับข้าวสุก เกลือ เม็ดพริก กระเทียมสด ห่อมัดหมักบ่มไว้นานพอ จนออกรสเปรี้ยว มีกลิ่นหอมยั่วยวน แบบที่คนชอบกินแหนมคงยากจะอดน้ำลายไว้ไม่ให้สอปากได้

แค่กินแหนมดิบๆ หั่นชิ้นพอคำ กับขิงอ่อน หอมแดง พริกขี้หนู ชิ้นมะนาวหั่น ก็อร่อยแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเอาไปยำ ผัดพริกใบกะเพรา ทำข้าวผัดเม็ดร่วนๆ ใส่ไข่ไก่และต้นหอมซอย ย่าง หรือทอดน้ำมันให้สุกหอม กินแนมกับข้าวจานหลัก ก็ยิ่งอร่อยครับ

ผมมีสำรับแหนมๆ อยู่อย่างหนึ่ง ทำกินมาหลายครั้ง จนคิดว่าพอจะเอาสูตรมาบอกเล่าชวนกันทำได้บ้างละครับ ก็คือ “แหนมหลน” เป็นของที่ทำง่ายมากๆ เพียงแต่ต้องพิถีพิถันเลือกวัตถุดิบสักหน่อยเท่านั้นเอง ใครชอบกินหลนกะทิกับผักสด มาลองทำกินดูไหมล่ะครับ

พระเอกของหลนชามนี้ย่อมคือแหนม มีข้อแม้อยู่ว่า ควรใช้แหนมที่ “เป็น” แล้ว คือเก็บในอุณหภูมิห้องไว้นานจนเปรี้ยวจัดได้ที่ เพื่อที่เราจะอาศัยรสเค็ม หวาน และเปรี้ยวจากตัวแหนมนี้ปรุงรสไปเลยทีเดียว โดยพึ่งพาน้ำปลา น้ำตาล และมะขามเปียกให้น้อยที่สุด

วิธีเลือกซื้อก็อาศัยสังเกตวันเวลาข้างห่อแหนม ถ้าใกล้ถึง หรือเลยกำหนดไปแล้ว แหนมนั้นจะเปรี้ยวอร่อย เนื้อไม่แห้งผาก แต่ชุ่มน้ำ หอมกลิ่นเปรี้ยวที่ได้จากการหมัก ไม่กระด้างๆ เหมือนแหนมแท่งที่เพิ่งหมักไม่นาน

ได้มาแล้วเอามายีๆ ให้ค่อนข้างละเอียด หนังหมูถ้าเขาทำมาเส้นยาวนัก ก็หั่นทอนให้สั้นหน่อย จะได้กินสะดวกๆ

ที่จริงหลนหม้อนี้ใช้แหนมอย่างเดียวก็ได้ แต่ผมพบว่า บางครั้งแหนมเปรี้ยวๆ จะมีข้อด้อยตรงที่เนื้อกระด้างไวเมื่อถูกความร้อน จึงแก้โดยผสมหมูสับสดเข้าไปในเนื้อหลนด้วย ทำให้รสชาติและเนื้อหลนนุ่มนวลขึ้น

เครื่องหลนปกติเขาก็จะใช้หอมแดงซอยแยะๆ พริกชี้ฟ้าหั่น-พริกขี้หนูทั้งเม็ดตามชอบ แต่สำหรับหม้อนี้ ผมอยากให้คนชอบกินยำแหนมได้พลอยระลึกรสชาติแบบผสมผสานไปด้วย จึงใส่ขิงอ่อนสับซอยไปนิดหนึ่ง พอให้มีกลิ่นขิงจางๆ ลอยปริ่มๆ อยู่ริมจมูก

ถ้าทำได้ ควรใช้กะทิสดคั้นเอง โดยหาซื้อมะพร้าวขูดมา ใส่น้ำอุ่นนิดเดียว คั้นกรองกระชอนให้ได้หัวกะทิข้นๆ หลนหม้อนี้จะได้ไม่น้ำเจิ่งนองกลายเป็นต้มกะทิไปน่ะครับ

แล้วเราอาจคั้นน้ำน้อยๆ อีกครั้ง ให้ได้หางกะทิไว้เคี่ยวกับหมูสับก่อนสักหน่อยหนึ่ง ก็นับเป็นการใช้มะพร้าวขูดอย่างคุ้มค่าครับ เอาหางกะทินี้ใส่ชามหมูสับ ยีๆ ให้หมูแตกตัวซะก่อน มันจะได้ไม่เป็นก้อนเวลาเราเอาไปหลน

เมื่อเตรียมของพร้อมแล้ว หลนแต่ละหม้อใช้เวลาทำแค่ครู่เดียวแหละครับ เราตั้งหม้อที่ผสมหัว-หางกะทิไม่ต้องให้ข้นมาก (เก็บหัวกะทิส่วนใหญ่ไว้ก่อน) บนเตาไฟกลาง พอเดือด เติมเกลือเล็กน้อย ใส่ขิงสับซอย หอมแดง พริกชี้ฟ้า-พริกขี้หนูลงไป สักครู่ก็ตามด้วยหมูสับ คอยคนไว้อย่าให้หมูจับกันเป็นก้อน

พอเห็นว่าหมูสุกแล้ว จึงใส่แหนมเปรี้ยวๆ ที่เราเลือกมาอย่างดีและยีไว้จนละเอียดแล้วลงไป หยอดหัวกะทิตาม เพื่อให้ได้ความหอมมันและข้นเนียนอย่างที่เราต้องการ

เมื่อกลิ่นเปรี้ยวของแหนมเริ่มโชยขึ้นมา ลองชิมรสดูครับ มันควรจะใช้ได้เลยด้วยซ้ำ ถ้าเราไม่ใช่คนที่กินรสจัดมาก ปกติหลนแหนมจะปรุงรสอ่อนๆ แต่ถ้าคิดว่ายังอ่อนรสอะไรอยู่อีก ก็ปรุงเพิ่มอย่างที่ต้องการ

มันเป็นหลนรสเปรี้ยวอ่อนๆ จากกลิ่นหมักตามธรรมชาติของหมูแหนม หอมมันกะทิสด หวานจากหอมแดง ส่วนพริกจะเป็นตัวที่ให้ความสดชื่น ดังนั้นใครชอบพริกที่ยังไม่สุกมาก สามารถเปลี่ยนมาใส่พร้อมแหนมก็ยังได้ครับ

กินกับผักสดกรอบๆ อย่างมะเขือ แตงกวา เม็ดสะตอ ฯลฯ เป็นเครื่องจิ้มรสโปร่งๆ ละมุนละไมของมื้อกลางวันหรือเย็น ที่พอจะมีลมหนาวให้รู้สึกเบาๆ ผิวเนื้อในวันนี้ได้ดีครับ

ที่มาเสาร์ประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย

ในที่สุดผมก็กลายเป็นลูกค้าประจำของร้านแม่ค้าชาวบ้านแพ้ว สมุทรสาคร เขาเอาวัตถุดิบอาหารบ้านๆ มาขายในซอยหมู่บ้านชานเมืองกรุงเทพฯ ที่ผมและคนต่างบ้านจำนวนมากมายต้องใช้ชีวิตอาศัยอยู่เป็นประจำ ที่จริงผมเพิ่งซอกแซกไปเจอจุดที่เขาขายของเมื่อไม่นานมานี้เองครับ และเมื่อคิดว่า เราสามารถพบขุมทรัพย์ทางอาหารได้อย่างไม่คาดฝันแบบนี้ จะให้มัวมายอมจำนนต่อการแสวงหาความหลากหลายของการทำกับข้าวกับปลา แม้ในย่านชานเมืองหลวง เป็นไม่มีเสียละ

เช้าวันหนึ่ง เขามีปลาตะเพียนสดตัวงามๆ ราคากิโลกรัมละ 60 บาท แถมยังทำต้มเค็มหวานแบบที่เราเคยเห็นตามตลาดโบราณๆ มาขายด้วย ผมชิมแล้วอร่อยจริงๆ ไม่หวานมาก หลังจากซื้อมาถุงหนึ่งแล้วก็เกิดไอเดียบรรเจิด คิดจะทำกินแบบของตัวเองดูบ้าง จึงตัดสินใจซื้อปลาสดเขามา 1 กิโลกรัม

ตอนปั่นจักรยานกลับ ผมคิดถึงเตาถ่านที่บ้าน เวลาว่างที่คิดแล้วว่าวันนั้นอยู่บ้าน ไม่มีธุระไปไหน และวิธีปรุงปลาต้มเค็ม ซึ่งไม่ต้องดูแลอะไรมากมายนัก เลยตั้งใจจะต้มกินสักหม้อหนึ่ง แต่คิดจะทำสูตรทดลอง ออกแนวแบบจีนๆ หน่อยครับ

ที่จริง ความเป็น “จีน” หรือเป็น “ไทย” ในปลาตะเพียนต้มเค็มนี้เป็นเรื่องชวนคุยชวนสนทนาไปได้อีกมาก แต่ผมขออนุมานคร่าวๆ ว่า แบบจีนๆ ที่ผมจะทำนี้ เครื่องปรุงจะออกแนวขิงๆ เป็นหลักน่ะครับ

เราเริ่มประกอบสร้างอารมณ์แบบจีนๆ หม้อนี้โดยใช้ขิงแก่หั่นชิ้นโต ทุบพอแตก เตรียมน้ำมันงา เหล้าจีนแบบที่ใช้ปรุงอาหาร กระเทียมสดและกระเทียมดอง พริกชี้ฟ้าสีต่างๆ ซีอิ๊วดำเค็ม-ดำหวาน และเต้าเจี้ยวดำ พริกไทยเม็ด น้ำส้มสายชูหมัก หรือฝักมะขามเปียก น้ำตาลกรวด น้ำตาลโตนด และต้นหอมผักชีสักกำย่อมๆ

สูตรทดลองที่คงหาไม่พบในอินเตอร์เน็ตนี้ เริ่มจากเรียงเครื่องเคราสมุนไพรที่สาธยายมานั้นลงก้นหม้อที่จะต้ม บางคนชอบใส่ตะไคร้ทุบรองชั้นล่างสุดด้วย ก็ได้เลยนะครับ ช่วยให้มีกลิ่นเปรี้ยวนิดๆ เสริมรสเป็นฐานไว้ก่อนด้วยอย่างดีเสียอีก จากนั้นก็ลำดับวางตัวปลาตะเพียนสดที่ล้างสะอาดดีแล้วลงไป

ปลาตะเพียนของเราหม้อนี้ แค่ตัดหาง ครีบแข็งๆ ควักไส้ออกเท่านั้น เราใช้ทั้งตัวทั้งเกล็ดเลยนะครับ

หยอดเครื่องปรุงรสไปได้เลย ก็คือน้ำกระเทียมดอง ซีอิ๊วเค็ม-หวาน เต้าเจี้ยวดำ เหล้าจีน น้ำส้มหรือฝักมะขามเปียก พริกไทย น้ำตาลกรวด มัดต้นหอมผักชี เติมน้ำให้ท่วมตัวปลา ตั้งไฟกลางจนเดือด แล้วหรี่เป็นไฟค่อนข้างอ่อน พอให้เดือดเพียงปุดๆ เบาๆ

ช่วงเวลาต่อจากนี้ คือสิ่งที่ผมบอกตอนตัดสินใจทำล่ะครับ คือเราไม่ต้องดูแลอะไรมากเลย เพียงระวังอย่าให้น้ำแห้ง ไฟอย่าให้แรงเกิน แล้วนานๆ ค่อยมาตักชิมสักที คิดว่าอ่อนรสอะไรก็เติมเพิ่มเข้าไปทีละน้อย เหตุที่ต้องทีละน้อย เพราะอาหารแนวต้มตุ๋นเปื่อยนี้ รสชาติมันเปลี่ยนตลอดเวลา (อันยาวนาน) ครับ อย่าเพิ่งตัดสินใจว่าเราทำสำเร็จหรือล้มเหลวในการชิมช่วงชั่วโมงแรกๆ อย่างเด็ดขาด

ผมถึงคิดถึง เตาถ่าน ไงครับ คือไฟที่เราใช้ช่วงหลังจากเดือดในตอนแรกๆ นั้นไม่ต้องการไฟแรงอะไรเลย ซึ่งเตาถ่านจะตอบสนองจุดนี้ได้ดี อัตราสิ้นเปลืองจะต่ำกว่าใช้แก๊สแน่นอน แถมใครที่คุมไฟดีๆ เก่งๆ จะคำนวณเวลาที่เตามอดดับได้พอดีกับสถานะน้ำและเนื้อปลาในหม้อต้มเค็มได้เหมาะเหม็ง ชนิดที่ว่างานจบก็เปื่อยพอดีๆ เลยแหละ

หม้อทดลองของผมนี้ เป็นแบบต้มข้ามคืนเลยทีเดียว เริ่มจากตอนเที่ยงวัน มอดเตาตอนเที่ยงคืน ได้ “ปลาตะเพียนต้มเค็ม” สูตรทดลองแบบจีนๆ ที่ก้างเปื่อย เนื้อนุ่ม เคี้ยวกินได้ทั้งตัว กลิ่นเหล้าจีนซึมเข้าถึงเนื้อถึงกระดูกปลา หอมกลิ่นขิง น้ำมันงา กระเทียมดอง และซีอิ๊วดำ จะเอาไปร่วมวงข้าวต้ม ข้าวสวย ก็อร่อยทั้งนั้น

ที่จริงผมคิดว่าเราใช้เวลาแค่ราว 9-10 ชั่วโมงก็เปื่อยพอจะกินได้แล้วล่ะครับ ถ้าเทียบกับสูตรโบราณบางสูตร ที่ว่าขนาดต้มเค็มปลาทู ยังต้อง “ตั้งเคี่ยวไปสามวัน” ปลาตะเพียนของเราหม้อนี้ดูจะอร่อยง่ายและเร็วกว่าเยอะเลยครับ

ถ้าหาของมาได้ครบ ก็ทดลองกันเลยไหมล่ะ..

ที่มา : ประชาชื่น มติชนรายวัน

ผู้เขียน : กฤช เหลือลมัย

ผมกับเพื่อนเพิ่งพูดกันถึงปลาหมอนา ว่าเดี๋ยวนี้หากินไม่ค่อยมี แล้วก็นั่งพร่ำพรรณนาถึงปลาหมอนาย่างเกลือ ปลาหมอนามันๆ แกงส้มฝักมะรุมหม้อ ฯลฯ อยู่ๆ ร้านกับข้าวสดเจ้าประจำก็เอามาขายในเช้าวันหนึ่ง

“อย่างนี้น่าแกงส้มลูกเถาคันนะครับ” ผมเปรยๆ ขณะรอแม่ค้าทำปลาหมอ

“อ้าว คุณรู้จักกินด้วยเหรอ ใช่ๆ นี่แหละแกงกับลูกเถาคันอร่อยนักละ” แม่ค้าว่ายิ้มๆ พลางส่งถุงปลาหมอนา 1 กิโลกรัม ราคา 50 บาทให้ ผมเลยต้องเดือดร้อน ปั่นจักรยานออกไปหาเก็บลูกเถาคันตามข้างทางใกล้บ้านย่านชานเมืองหลวง เนื่องจากแถบภาคกลางนี้ไม่มีใครเขาเก็บลูกเถาคันมาขายเหมือนตลาดสดภาคใต้หรอกครับ

เถาคันออกลูกเป็นช่อพวงตามกิ่งก้านเถาไม้เลื้อยล้มลุก ที่ถ้าเราสังเกต ก็จะเห็นตามรั้วบ้านบ้าง กำแพงบ้าง ตามสายไฟ เสาไฟบ้าง บางทีก็เกาะไต่ตามไม้ยืนต้นขนาดกลาง รูปร่างมันคล้ายพวงลูกมะเขือพวง เมื่อดิบสีเขียวจัด รสเปรี้ยว สุกแล้วสีม่วงคล้ำจนเกือบดำ มีรสหวานเจือมาก จนบางแห่ง เช่น บ้านนาสาร สุราษฎร์ธานี เอาไปทำไวน์ผลไม้เลยก็มี

ลูกเถาคันนี้ แถวปักษ์ใต้หลายแห่งเรียก “เขาคัน” กินดิบจะคันลิ้นหน่อยๆ แต่ถ้าใส่ในแกง ความคันจะหมดไป รสเปรี้ยวของมันใสๆ โปร่งๆ และทำให้แกงหม้อนั้น “ส้ม” ได้โดยไม่ต้องปรุงน้ำมะขามหรือมะนาวหรืออะไรอื่นอีก

ฤดูที่เถาคันออกลูกให้เก็บกินได้ก็คือช่วงต้นหน้าหนาวนี้แหละครับ ความที่เราจะเห็นมันแต่เฉพาะตามตลาดสดภาคใต้ และร้านข้าวแกงย่านปักษ์ใต้ จึงอาจนึกว่ามีแต่คนใต้ที่กินเป็น ที่จริงไม่ใช่ เพราะในหนังสือประติทินบัตรแลจดหมายเหตุ เล่ม 1 ฉบับ 4 (มกราคม พ.ศ.2432) มีสูตร “แกงปลาหมอกับผลเถาคัน” ของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ลงตีพิมพ์ไว้ด้วย บ่งว่าคนภาคกลางสมัยเมื่อร้อยกว่าปีก่อนเขาก็รู้จักกินกัน

ผมเองก็เก็บมาทำกับข้าวกินบ่อยๆ เรียกว่าสำรับอะไรที่มีรสเปรี้ยวนำ เป็นดัดแปลงเอาลูกเถาคันใส่ได้เกือบหมดแหละครับ เช่น ต้มโคล้ง แกงส้ม แม้กระทั่งน้ำพริกอ่อง ก็เอาใส่แทนมะเขือเทศไปเลยได้

เมื่อเราเก็บลูกเถาคันดิบมาได้มากพอแล้ว ก็เด็ดล้างให้สะอาด ทยอยเอาลงครก บุบด้วยสากให้พอแตกเม็ด เวลาปรุงกับข้าวจะได้สุกทั่วถึงกันเร็วขึ้น ทั้งเพื่อให้รสเปรี้ยวออกมาได้มากกว่าใส่ไปทั้งลูก

ปลาหมอที่ซื้อมา เราก็ล้างเมือก บั้งข้างตัวสักสองสามรอย ผึ่งเสียให้แห้ง

พริกแกงส้มสูตรนี้ หนังสือประติทินบัตรฯบอกว่า ใช้ “พริกแห้งหนัก 5 สลึง ฃ่าหนัก 2 ไภย หอมหนัก 6 สลึง เยื่อเคยแกงหนัก 5 สลึง กะเทียมหนัก 2 สลึง เกลือหนัก 1 เฟื้อง ปลาต้มโขลกน้ำแกงหนัก 3 บาท ตำให้เลอียด” ดูแล้วก็คือพริกแกงส้มแบบภาคกลางที่ใส่ข่าเพิ่มเข้าไปนั่นเองครับ พริกแกงส้มภาคกลางนั้นมักเจาะจงให้ตำเนื้อปลาต้มปนไปด้วย เพื่อให้น้ำแกงข้นน่ากิน เราจะใช้เนื้อปลาหมอของเรา หรือเอาเนื้อปลาทูนึ่งแทนก็ได้

แต่ถ้าใครไม่ชอบให้น้ำแกงข้นมาก จะไม่ใช้ก็ไม่เป็นไรครับ

ท่านผู้หญิงเปลี่ยนสาธยายวิธีแกงว่า “ถ้าปลามันแล้ว ไม่ต้องใส่น้ำมันหมู ถ้าปลาไม่มัน เอาน้ำมันหมู 1 บาทผัดปลาเสียก่อน” จากนั้นละลายพริกแกงในหม้อน้ำ เอาตั้งไฟ พอเดือดจึงใส่ปลาหมอ เดือดอีกครั้งปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ แล้วใส่ลูกเถาคันลงไป

ถามว่าลูกเถาคันนี้จะใส่เท่าไหร่ดี มันก็ตอบยากนะครับ เพราะรสลิ้นคนเราไม่เหมือนกัน แล้วแต่ใครชอบเปรี้ยวมากเปรี้ยวน้อย แต่หากอนุมานจากสูตรของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ท่านใช้ปลาหมอหนัก 8 บาท ก็คือปลามากกว่าลูกเถาคันราวสามเท่าเศษๆ ลองเทียบดูเอานะครับ

 

สุดท้ายก็คือ “พอเดือดทั่วกันดีแล้ว จืดเคมตามแต่จะชอบรับประทาน” ถ้าใครเคยอ่านตำราแม่ครัวหัวป่าก์ของท่านผู้หญิงเปลี่ยน จะเห็นว่าท่านมักลงท้ายแบบนี้เสมอๆ นับเป็นความใจกว้าง ไม่แข็งตัวยึดติดกรอบรสชาติอย่างชนิดขยับไม่ได้ ซึ่งเราควรเปิดใจเอาอย่างเป็นที่ยิ่ง

ปลาหมอมันๆ ลูกเถาคันเปรี้ยวๆ มันช่างเข้ากันดีเหลือเกินครับ ความอร่อยเมื่อศตวรรษก่อนเป็นอย่างนี้นี่เอง

เช้าๆ ใครออกไปวิ่งจ๊อกกิ้ง ปั่นจักรยาน หรือนั่งรถชมวิวทิวทัศน์เพลินๆ แล้วเผอิญเห็นพวงลูกเถาคันห้อยระย้าในละเมาะข้างทาง ลองลุยไปเด็ดมาทำกับข้าวกินดูซิครับ

ที่มาเสาร์ประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย

“ปลาสลิดบางบ่ออร่อย แต่บางบ่อก็ไม่อร่อย” ไม่รู้ใครเคยได้ยินมุขขำขันนี้บ้าง แต่ก็คงนานมาแล้วนะครับ ที่อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นถิ่นฐานปลาสลิดรสดีมีชื่อเป็นที่รู้จักทั่วเมืองไทย ปลาสลิดแดดเดียวและปลาสลิดเค็มเป็นของแนมแกงเผ็ดแกงส้มที่อร่อย ไม่ว่าจะทอดหรือปิ้งก็ตาม ความมัน เนื้อที่ฟู ตลอดจนกลิ่นซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะ (บางคนว่าคือกลิ่นตึๆ) นั้นติดลิ้นคนไทยครัวไทยมานาน จนชั้นแต่ตามร้านข้าวต้มแบบจีนก็ยังมีรายการปลาสลิดทอด และยำปลาสลิดให้เลือกสั่งกินได้แทบทุกร้าน

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี

ผู้รอบรู้เรื่องอาหารไทยเคยเขียนไว้ในหนังสือ “คึกฤทธิ์พ่อครัวหัวป่าก์” (พ.ศ.2522) ตอนวัฒนธรรมการกินของคนไทย (ต่อ) ว่า “…ปลาสลิดนั้น ใครกินบีบมะนาวเพื่อจะเอารสเปรี้ยว

ก็เชยแหลก ต้องแนมด้วยกระเทียมดอง…”

อ่านแล้วก็นึกถึงอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง ซึ่งก็อาจมีคนนึกได้และลองทำมาแล้วนะครับ ก็คือ “ยำปลาสลิดใส่กระเทียมดอง” โดยฉวยเอารสชาติที่คุณชายคึกฤทธิ์เสนอไว้ว่าเป็นของคู่กันนั้น มาแต่งเป็นรสชาติหลักของยำปลาสลิดจานนี้ซะเลย

ปกติร้านข้าวต้มทั่วๆ ไปก็จะปรุงรสเปรี้ยวในยำปลาสลิดด้วยน้ำมะนาวนะครับ (บางร้านเป็นมะนาวเทียมอีกต่างหาก) ซึ่งที่จริงก็คงไม่ถึงกับ “เชยแหลก” อย่างที่คุณชายท่านว่าหรอก เพียงแต่รสชาติมันก็จะคล้ายๆ กันไปทุกร้าน และที่สำคัญคือ ผมรู้สึกว่ายำตามร้านข้าวต้มเกือบร้อยทั้งร้อยออกหวานนำมากๆ โดยเฉพาะหากเขาปรุงด้วยน้ำตาลทรายปัจจุบันนี้ จะได้รสหวานแหลมเจี๊ยบที่นำโด่งขึ้นมาเลยทีเดียว

พอนึกถึงสูตรนี้ขึ้นมาได้ ก็เลยจะยำให้ได้รส-กลิ่นตามใจตัวเองสักครั้งหนึ่ง เราจะใช้ปลาสลิดทอดหรือปิ้งก็แล้วแต่ชอบนะครับ แกะเนื้อเป็นชิ้นๆ เอาไว้เลย

เครื่องยำนั้น เนื่องจากสูตรนี้เราเลือกใช้กลิ่นและรสกระเทียมดอง มันก็จะมีแนวโน้มค่อนข้างเป็นอารมณ์จีนๆ อยู่ เลยคิดว่าจะใช้หอมใหญ่ซอยบางๆ ตามขวาง พริกขี้หนูสวนหั่นหนา น้ำมันงานิดหน่อย น้ำปลาใช้ขวดที่กลิ่นอ่อนที่สุดเท่าที่มีในครัว และใช้เพียงเล็กน้อยก็พอครับ เพราะเราจะใช้น้ำกระเทียมดอง ซึ่งมีรสเปรี้ยวเค็มหวานในตัวเองมาช่วยปรุงรสยำจานนี้อยู่แล้ว

เนื้อกระเทียมดองซอยละเอียดจากหัวกระเทียมทั้งหัว ซอยบางๆ และด้วยเหตุที่ว่านี่คือยำปลาสลิด ไม่ใช่ยำกระเทียมดอง ดังนั้น จึงไม่ต้องใช้มากหรอกครับ

เพื่อจะให้มีความสดชื่น ไม่ใช่มีแต่กลิ่นของปิ้งของทอดและของดอง เราก็อาศัยใบและก้านผักขึ้นฉ่ายมาเพิ่มความสดกรอบ แถมขึ้นฉ่ายยังมีอารมณ์แบบจีนๆ หน่อยๆ ตามคอนเซ็ปต์เป๊ะอีกต่างหาก

อย่างไรก็ดี ผมก็ไม่อยากให้กลิ่นรสมันหลุดโลกออกไปจาก “ยำ” ที่คุ้นลิ้นพวกเรามากนัก จึงขอตบรสเปรี้ยวหอมจี๊ดๆ ด้วยน้ำมะนาวนิดหน่อย เป็นการดึงเอาอารมณ์กลับมาบ้างน่ะครับ

ยำเป็นสำรับที่มักปรุงเร็วๆ และนิยมกินทันทีที่ปรุงเสร็จ ยำปลาสลิดของเราจานนี้ก็เช่นกัน เมื่อเราจัดวางเนื้อปลาสลิด หอมใหญ่ กระเทียมดอง พริกขี้หนู และก้านขึ้นฉ่ายลงในชามอ่างแล้ว ก็เหยาะน้ำมันงา น้ำปลา น้ำกระเทียมดอง และน้ำมะนาวตามไป คลุกเคล้าเข้าด้วยกันเบาๆ จะได้ยำแห้งๆ รสเปรี้ยวเค็มเผ็ดแปลกลิ้นไปจากความคุ้นชินบ้าง ชิมและเติมให้ได้รสที่ถูกใจ ทีนี้ก็ตักใส่จาน โรยใบขึ้นฉ่าย ยกไปกินได้แล้ว

เงื่อนไขสำคัญของสำรับนี้อยู่ที่กระเทียมดองครับ ซึ่งแม้หาซื้อได้ทั่วไป แต่ที่จะดองได้ดี ไม่ใส่สีจนเหลืองอ๋อย รสน้ำดองไม่หวานจนเลี่ยน แต่มีรสเปรี้ยวเค็มและกลิ่นหอมเจืออยู่พอเหมาะ ก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ นัก

แต่ถ้าเราเพียรหาจนเจอ ก็นับว่าโชคดี และน่าสนุกที่จะพลิกแพลงใช้กระเทียมดองรสดีๆ นั้นมาทำกับข้าวอื่นๆ ได้อีก เช่น กระเทียมดองผัดหมู ผัดไข่ หรือเอาง่ายๆ เลยก็คือกินแนมกับปลาช่อนแดดเดียวย่าง

ส่วนยำปลาสลิดสูตรกระเทียมดองนี้ วันไหนมีแกงเผ็ดกะทิมันๆ ลองยำมาไว้กินแนมแกงดูสักจานนะครับ

ที่มา : มติชน

ผู้เขียน : กฤช เหลือลมัย

พี่สาวชาวอัมพวาไปเที่ยวเมืองพม่า แล้วซื้อปูเค็มจากเมืองมะริดมาฝาก ทั้งผม น้องสาว และหลานสาว ซึ่งไม่ได้กินหลนปูเค็มมานานมากๆ เนื่องจากเวลาไปกินที่ไหนก็ตาม มันจะหวานแสบคอทุกครั้ง จึงจัดแจงทำกินเสียหนึ่งหม้อ เอร็ดอร่อยปรีดิ์เปรมกันไป

มีคนบอกว่าปูในเมืองไทยเริ่มมีน้อยลงมาก โดยเฉพาะปูนา ซึ่งตายหมดเนื่องจากยาเคมีเกษตรตกค้างในแปลงนา จนเดี๋ยวนี้ถึงกับมีทำฟาร์มปูนากันแล้ว ปูแสมก็มีน้อยลงเช่นกัน พี่สาวเล่าว่า ปูเค็มที่เธอซื้อจากมะริดนั้น “เขาก็บอกว่าจะส่งมาขายที่เมืองไทยนี่แหละ” เป็นอย่างนั้นไป

หลังจากหลนหม้อนั้น ผมเผอิญได้ลูกมะดันสดมา แล้วก็หาซื้อปูได้จากรถพุ่มพวงเจ้าประจำ เลยคิดจะทำ “หลนกะทิปูเค็ม” กินอีกสักหม้อ

ไหนๆ จะกินหลนกะทิ ก็ต้องลงทุนลงแรงกับ “กะทิ” สักหน่อย โดยการไปซื้อมะพร้าวขูดมาคั้นเอง จะได้กลิ่นรสหอมหวานมันมากกว่ากะทิกล่องกะทิขวดอย่างเทียบกันไม่ได้เลยครับ เติมน้ำนิดเดียวเพื่อคั้นเอาหัวกะทิก่อน แล้วจึงเติมมากกว่าเดิมหน่อย คั้นให้ได้หางกะทิที่ไม่ใสมากนัก

เครื่องหลนหม้อนี้ มีหอมแดงซอย ใช้แยะๆ เลยครับ แล้วก็มีพริกชี้ฟ้าหั่น พริกขี้หนูสวนทั้งเม็ด ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดซอยละเอียด

รสเปรี้ยวเราใช้มะดันซอยเอาแต่เนื้อ ส่วนรสเค็มนั้นมาจากปูเค็ม แต่ถ้าเรามีปูจืด (คือปูดองที่ไม่เค็ม) ก็เพิ่มเกลือหรือน้ำปลาได้ตามชอบ

หากอยากให้มีรสหวานเพิ่มจากความหวานกะทิ ก็เตรียมน้ำตาลปี๊บไว้

ส่วนเนื้อหลนนั้น เราอาศัยหมูสับครับ ส่วนใครจะผสมกุ้งทะเลสับ เนื้อปูแกะ หรือปลาหมึกหั่นชิ้นเล็กๆ ก็ตามทุนทรัพย์ของแต่ละท่าน

เริ่มทำโดยตั้งหม้อหางกะทิบนไฟกลาง ทยอยใส่ข่าซอย ตะไคร้ซอยลงไปก่อน ตามด้วยปูเค็ม หอมแดง พริกสด และเนื้อมะดันซอย หยอดเติมหัวกะทิเป็นระยะๆ

พอกลิ่นหอมๆ ของปูเค็ม และกลิ่นเปรี้ยวชื่นใจของมะดันสุกลอยขึ้นมา ก็ใส่หมูสับ ยีๆ ให้เนื้อหมูแตกๆ ออกจากกัน แล้วก็ใส่ใบมะกรูดซอย ปรุงรสเปรี้ยวเค็มเพิ่ม กับเติมหัวกะทิให้ได้ความข้นมันอย่างที่ต้องการ

บางคนชอบหลนที่มีน้ำมากหน่อยไว้ราดคลุกข้าว แต่บางคนก็ชอบแบบข้นๆ พอให้จิ้มผักติด ก็แล้วแต่ใครชอบแบบไหน ควรปรุงรสให้จัดๆ ไว้หน่อยนะครับ เพราะเราต้องกินหลนกับข้าวกับผัก ไม่ได้กินเปล่าๆ

ถามว่าผักอะไรที่นิยมกินกับหลน ปกติผมเห็นคนมักกินกับมะเขือเปราะ แตงกวา ถั่วฝักยาว ถั่วพู ใบบัวบก แต่ที่อยากให้ลองหามากินดูก็คือ ขมิ้นขาวกับยอดมะม่วงอ่อน โดยเฉพาะยอดมะม่วงนั้นจะเปรี้ยวอมฝาดหน่อยๆ กินตัดรสมันของหลนกะทิได้ดีมากๆ เลยแหละ

ใครที่เคยกินแต่หลนน้ำปลาคือ หลนหมูสับปรุงเค็มด้วยน้ำปลา แล้วมาได้กินหลนกะทิปูจืดก่อน จะรู้สึกว่ามันมีกลิ่นปูที่หอมแปลกขึ้นมาหน่อย ถ้าชอบก็ลองขยับขึ้นเป็นหลนกะทิปูเค็ม กลิ่นและรสจะหอมแรงขึ้นไปอีก ทีนี้พอกลับไปกินหลนน้ำปลา จะพลอยรู้สึกชืดๆ ไปเลย จนอาจต้องเสาะหาน้ำปลาที่กลิ่นรสแรงๆ กว่าเดิมมาทำในครั้งต่อๆ ไป

กับข้าวกับปลาใหม่ๆ ที่ได้ลองลิ้ม ย่อมจะเปลี่ยนรสลิ้นของเราไปบ้าง ไม่มากก็น้อยทุกครั้งที่ได้กินครับ

 

ที่มาเสาร์ประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียนกฤช เหลือลมัย

แม่ค้าที่ตลาดสดบอกว่าสะตอเริ่มจะหมดหน้าแล้ว ที่เคยเห็นห้อยแขวนเป็นพวงๆ ทั้งสะตอข้าวสะตอดานก็ชักบางตาลง อย่างนี้ก็ต้องทำอะไรกินอร่อยๆ เป็นการสั่งลาสักหน่อย จากที่ทั้งเผา ดองจิ้มน้ำพริก เจียวไข่ ผัดกะปิสามรส ผัดพริกแกง ต้มกะทิหน่อไม้ใส่กุ้งแห้งมาจนครบ ผมลองทำสูตรใหม่สูตรหนึ่งเมื่อไม่กี่วันก่อน เมื่อได้กินกับข้าวสวยร้อนๆ แล้วก็คิดว่า ถ้าไม่ได้เอามาเล่าชวนกันทำ สงสัยจะนอนไม่หลับแน่

“ผัดสะตอปลาเค็มทรงเครื่อง” กระทะนี้มาจากการคิดรวมกันเร็วๆ ถึงกับข้าวสองสามอย่าง คือหลนปลาเค็ม หมูสามชั้นอบปลาเค็ม และสะตอผัดปลาอินทรีเค็มที่ผมมักทำกินบ่อยๆ โดยต้องการให้มีลักษณะเป็นผัดสามรส มีทั้งความข้น ความมัน และมีน้ำขลุกขลิกไว้คลุกข้าวสวยกินได้ด้วย ส่วนรสชาติทั้งสามรสนั้น ผมก็อยากให้แปลกออกไปบ้างครับ จึงไม่ได้ใช้น้ำปลา น้ำตาล และน้ำมะนาวอย่างผัดสะตอสามรสสูตรมาตรฐานทั่วไป

ของที่เราต้องใช้ นอกจากเม็ดสะตอ ก็มีหัวกะทิสด (ครั้งนี้ลงมือคั้นเองเลยทีเดียว) พริกตำ (ใช้พริกเหลือง พริกขี้หนูสวนสีแดง และกระเทียมไทย ตำรวมกันพอหยาบๆ) เนื้อปลาอินทรีเค็มดิบหั่นชิ้นเล็กๆ เนื้อมะดันซอยหยาบ หอมใหญ่หั่นชิ้นหนาๆ หมูสามชั้นนึ่งจนสุกนุ่ม (ใช้เวลานึ่งราว 30-45 นาที) หั่นชิ้นเรียวๆ และเต้าหู้แข็งทอดทั้งชิ้นก่อน แล้วหั่นเป็นแผ่น ไม่ต้องบางมากนัก

ผัดสะตอกะปิแบบสกุลสุราษฎร์ธานีเดิมๆ นั้นมักใส่เต้าหู้ด้วยเสมอ พ่อผมเป็นคนสุราษฎร์ บ้านผมเลยผัดแบบที่ว่านี้กินมาตั้งแต่ผมเด็กๆ ทีนี้ใครมีเต้าหู้ดีก็ได้เปรียบนะครับ ถ้าหาแบบเนื้อละเอียดๆ ไม่แน่นมาก กลิ่นถั่วเหลืองหอมๆ ได้ละก็เยี่ยมเลยแหละ ผมโชคดีที่ร้านขายของพม่าในตลาดสดเขามักเอาเต้าหู้จากมหาชัย (สมุทรสาคร) มาขาย เนื้อดีจริงๆ แถมราคาถูกมากๆ ด้วย

วิธีทำผัดสะตอปลาเค็มฯ กระทะนี้ จะว่าซับซ้อนก็ไม่เชิง เราเริ่มด้วยตั้งกระทะหัวกะทิบนไฟกลาง เคี่ยวไปจนกะทิแตกมันเยิ้มเป็นขี้โล้แยกส่วนออกจากครีมข้นๆ ก็ใส่เนื้อปลาเค็มลงผัดยีๆ ให้แหลก ตอนนี้ต้องอดใจไว้หน่อยครับ เพราะเนื้อปลาอินทรีเค็มที่สุกในน้ำมันขี้โล้นี้มันหอมมากๆ จนอยากแอบตักไปคลุกข้าวกินเลยแหละ

ตักพริกตำลงไปผัดให้น้ำมันกะทิเยิ้มๆ นั้นออกสีแดงเหลืองอมส้ม ตามด้วยหอมใหญ่ ผัดสักครู่ จึงใส่หมูสามชั้น เต้าหู้ และเนื้อมะดันซอย

ระหว่างที่ผัดคลุกเคล้าไปเรื่อยๆ นี้ คอยเติมหัวกะทิเป็นระยะๆ เพื่อเพิ่มความข้นของผัด

เราจะรู้สึกว่ามันข้นคล้ายๆ เวลาทำปูผัดผงกะหรี่เลยทีเดียว นั่นแหละที่ผมต้องการสำหรับกระทะนี้

พอหอมใหญ่สุกใสแวววาว ความข้นมันของกะทิและรสชาติเปรี้ยวเค็มเผ็ดหวานถูกใจได้อย่างที่ต้องการแล้ว ก็ใส่สะตอลงไปผัดสักสองสามอึดใจ อย่าผัดนาน สะตอสุกเกินไปไม่อร่อยนะครับ

สำหรับคนไม่กินหวาน ความหวานมันจากหัวกะทิคั้นสดๆ เพียงพอที่จะไม่ต้องเติมน้ำตาลเลยนะครับ ความเค็มหอมลึกๆ จากเนื้อปลาเค็ม ผสานรสเปรี้ยวจากมะดันสด ก็สรรสร้างรสชาติแปลกใหม่ให้ผัดสะตอจานนี้อย่างชวนตื่นปากตื่นลิ้น มันทำให้เราพลอยนึกไปถึงกับข้าวหลายสำรับ อย่างที่ผมระบุไว้ข้างต้น ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจพื้นฐานในการ “สร้าง” สำรับใหม่นี้ขึ้นมา

สะตอเป็นของที่ถ้าใครชอบก็จะชอบมาก แถมเดี๋ยวนี้เริ่มมีปลูกกันทั่วไปแล้ว บ้านผมที่ราชบุรีก็ยังมีคนปลูกขาย ในป่าภาคอีสานมีสะตอพื้นเมือง เรียก “ลูกดิ่ง” กินกันมานมนาน

ถ้าเราทำเป็นลืมๆ ซะว่าสะตอเป็นพืชผัก “ปักษ์ใต้” แล้วมาช่วยกันสร้างสูตรแตกแขนงออกไป ให้สะตอได้โลดแล่นในสำรับแปลกๆ ใหม่ๆ บ้าง คงน่าสนุกดีนะครับ

 

ที่มา : มติชน

ผู้เขียน : กฤช เหลือลมัย