ข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพรไทยบำรุงกำลัง ช่วยท่านชาย “โล้สำเภา”ให้ได้เหมือน “พี่หมื่น”ของน้อง”การะเกด” เปิดเผยจาก โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนไทย ว่าสมัยโบราณยุคปู่ย่าตาทวด เป็นสังคมเกษตรกรรม ต้องใช้เรี่ยวแรงในการทำไร่ไถนา และที่สำคัญต้องมีเรี่ยวมีแรงในการให้กำเนิดลูกหลานเพื่อมาช่วยกิจการ และกิจกรรมในครัวเรือนด้วย ดังนั้นเมื่อศึกษาตำรายาไทยสมัยก่อน จะพบกลุ่มยาที่ช่วยในด้านบำรุงกำลังวังชา ระบุสรรพคุณในด้านเสริมสมรรถภาพท่านชายไว้มากมาย

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมิติด้านของความสัมพันธ์ทางเพศกำลังถูกคุกคามจากปัญหาด้านสุขภาพของผู้ชาย 2 ประการ คือ การมีบุตรยากเนื่องจากจำนวนอสุจิลดลง และการเกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ คู่สมรสประมาณร้อยละ 10 ถึง 15 ทั่วโลกประสบปัญหามีบุตรยาก และมีหลักฐานหลายประการ บ่งชี้ว่าปัญหาการมีจำนวนอสุจิลดลงกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ในขณะเดียวกันอุบัติการณ์ของโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ(erectile dysfunction) หรือโรคอีดี ก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งเชื่อว่าเป็นผลมาจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปสภาพการดำเนินชีวิตที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด สารมลพิษที่หลากหลาย ยาบางชนิด สารพิษในอาหาร และการขาดสารอาหารบางชนิด

ดังนั้นแนวคิดของหมอพื้นบ้านไทยเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหานี้ จะเน้นการดูแลธาตุในร่างกายให้เป็นปกติอย่างเป็นองค์รวม โดยปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เหมาะสม เน้นการรับประทานอาหารที่เปี่ยมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ประกอบกับการใช้ตำรับยาสมุนไพรเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ สรรพคุณบำรุงเลือดลม ทำให้การไหลเวียนของเลือดและระบบย่อยอาหารดีขึ้น เมื่อสุขภาพโดยรวมดีขึ้น สมรรถภาพทางเพศก็จะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ พืชผักที่ใช้เป็นอาหารบำรุงสมรรถภาพทางเพศของผู้ชายนั้น มีอยู่หลายกลุ่ม ได้แก่

พืชผักที่มีกลิ่นฉุนรสร้อน เช่น หัวหอมแดง กระเทียม พริกไทย ขิง หน่อหรือดอกตระกูลขิง ข่า ใบแมงลัก สะตอ ขนุน ทุเรียน กุยฉ่าย กระถิน กระเฉด พืชตระกูลมะเขือทุกชนิด เช่น มะเขือพวง มะแว้ง มะเขือเปราะพืชที่มีความมันชุ่มชื้น เช่น ผักปลัง งา แห้วหมู กระจับ แห้ว รากสามสิบ เนื้อผลตาล เมล็ดหมามุ่ย เมล็ดมะขาม กล้วยหอม ผักบุ้ง เนื้อในของเมล็ดมะเดื่อ สมอพิเภก พืชที่บำรุงทางเดินปัสสาวะ เช่น หนามกระสุน หญ้าขัด รางแดง โด่ไม่รู้ล้ม

สำหรับตัวอย่างตำรับยาบำรุงกำลัง มีตัวอย่างดังนี้

  • พริกไทย 7 เม็ด กระเทียม 3 กลีบกินดิบๆ พร้อมๆ กันทั้งสองอย่าง ทั้งพริกไทยและกระเทียม ไม่ต้องบดแต่ให้ใช้ปากเคี้ยวแต่ถ้าระคายปากนัก ท่านให้แกล้มด้วยกุ้งแห้งสัก 2-3 ตัว สรรพคุณท่านว่าเหลือจะครนา ท่านให้กินเป็นประจำทุกเช้าและเย็น สัก 7 วัน แล้วจะเห็นผลทันตา
  • เมล็ดหมามุ่ยแก่จัด คั่วไฟอ่อนจนสุกดี ดูจากขั้วของเมล็ดจากสีขาวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม เสมอกันทั้งเมล็ด จากนั้นนำมาบด หรือแช่น้ำก่อนจนเมล็ดนุ่ม แล้วค่อยเคี้ยวกิน ครั้งละ 3 เมล็ด เช้า เย็น

[หมามุ่ย : มีฤทธิ์กระตุ้นความต้องการทางเพศ เรียกว่าเป็นยากามะ ช่วยแก้ปัญหามีบุตรยาก ปรับสมดุลฮอร์โมนเพศชาย คุณภาพของอสุจิและช่วยให้น้ำเชื้อเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ใช้บรรเทาอาการพาร์กินสัน)

  • หมากลิ้นช้าง(เพกา) ใช้เปลือกต้น หรือฝักอ่อนที่พับงอได้ ตากแก้งทำเป็นผงผสมน้ำผึ้งปั้นลูกกลอนขนาดเท่าเม็ดพุทราไทย กินครั้งละ 2 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร [ งานวิจัยของเพกา พบว่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านการแพ้ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านเซลล์มะเร็ง ลดคอเลสเตอรอล พื้นบ้านกินเป็นบำรุงกำลัง เพิ่มน้ำอสุจิ)

หมายเหตุ : กลุ่มยาบำรุงกำลังส่วนใหญ่มีฤทธิ์ในการเพิ่มการไหลเวียนเลือด ต้านการแจ็งตัวของเลือด ดังนั้ผู้ที่ทานยาในกลุ่มนี้ควรระวังในการรับประทาน


ที่มา เส้นทางเศรษฐี

เข้าพิธีซัดน้ำ แต่งงานตามฉบับชาวอยุธยาไปเรียบร้อย ก็ถึงคราวที่ ‘คุณพี่เดช’ และ ‘แม่หญิงการะเกด’ จะเข้าห้องหอกันเสียที กับฉากที่แฟนนิยายบุพเพสันนิวาสรอคอย เมื่อคุณพี่ถามออเจ้าว่า “โล้สำเภาเป็นหรือไม่” การะเกดผู้ไม่รู้ประสีประสาตอบว่าเคยเห็นแต่เรือสำเภา แต่ไม่เคยขึ้น คุณพี่เดชจึงออกปากจะสอนการะเกดโล้สำเภากันสองต่อสอง

สำหรับฉากนี้ แม้ว่า พระนางอย่าง โป๊ป-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ และ เบลล่า-ราณี แคมเปน จะเข้าพระเข้านางกันมาหลายครั้งแล้ว แต่แค่ซ้อมพอต้องใกล้กันทีไรเป็นต้องหลุดขำก๊ากใส่กันทุกที งานนี้จึงต้องมีทำข้อสัญญาตกลงยุติการขำไว้ว่า

‘ถ้าหากถ่ายจริงใครหัวเราะก่อนคนนั้นแพ้’  ทั้งคู่จึงดูตั้งใจซ้อมสุดๆ

ใกล้จะถึงฉากแต่งงานที่ออเจ้าทั้งพระนครรอคอย สำหรับละครสุดฮ็อต “บุพเพสันนิวาส” ซึ่งในค่ำคืนนี้ นอกจากจะมีฉากแต่งงานแล้ว ยังมีฉากเข้าหอที่ “คุณพี่” จะสอน “แม่การะเกด” ให้รู้จักการเล่น “โล้สำเภา” ซึ่งเอาทำเหล่าออเจ้าฟินจิกหมอนกันถ้วนทั่ว และให้เกิดความสงสัยว่า ใยจึงต้อง “โล้สำเภา”

บุญเตือน ศรีวรพจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอักษรศาสตร์ กรมศิลปากร อดีตผู้อำนวยการสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร กล่าวว่า คำว่า “โล้สำเภา” นี้ มีความหมาย 3 ลักษณะ

1.โล้สำเภา เป็นทำนองเทศน์มหาชาติ ในมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร ซึ่งเป็นสำเภาในเชิง โลกุตรนาวา เป็นสำเภาที่เหนือโลก ซึ่งในทางธรรม เรียกว่า ทำนองโล้สำเภา

2.โล้สำเภา เป็นบทร้องเล่นของเด็กไทยสมัยก่อน ที่ว่า “จิงโจ้ มาโล้สำเภา หมาไล่เห่า จิงโจ้โดดน้ำ หมาไล่ซ้ำ จิงโจ้ดำหนี ได้กล้วย 2 หวี ทำขวัญจิงโจ้” ซึ่งเป็นบทร้องที่น่าจะมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ทั้งนี้ “จิงโจ้” ในบทร้องนี้ ไม่ใช่ “จิงโจ้” อย่างที่คนทั่วไปรู้จัก แต่เป็นสัตว์หิมพานต์ประเภทหนึ่ง ชื่อว่า “อรหัน”

3.โล้สำเภา ในลักษณะเป็น “บทอัศจรรย์” หรือ “บทสังวาส” ในวรรณคดี ซึ่งเปรียบเทียบว่า “สำเภาแล่นเรือออกปากอ่าว” เป็นการพูดเชิงสัญลักษณ์ที่ “ผู้หญิงผู้ชายกุ๊กกิ๊กกันหรือร่วมรักกันในทางเพศ”

บุญเตือน กล่าวว่า คำว่า โล้สำเภา ที่เป็นบทอัศจรรย์ มักนิยมใช้ในวรรณดคีในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ไม่ได้กล่าวกันในสมัยอยุธยาตอนกลาง ซึ่งถ้าเป็นวรรณดคีในสมัยนั้นจะกล่าวตรงๆ ไม่มีการเปรียบเทียบแต่อย่างใด เช่น ลิลิตพระลอ ราชาพิลาปคำฉันท์ ทั้งนี้ วรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์ที่เขียนบทอัศจรรย์เปรียบเทียบกับโล้สำเภา เช่น พระอภัยมณี ของสุนทรภู่ รวมถึง ขุนช้างขุนแผน เป็นต้น

“นวนิยายบุพเพสันนิวาส เดินเรื่องในสมัยอยุธยา ซึ่งอาจจะมีความคลาดเคลื่อน แต่ไม่ถือว่าผิด เพราะเป็นเรื่องแต่ง ถ้าให้เปรียบก็คล้ายกับเรื่องขุนช้างขุนแผน ซึ่งบรรยายเรื่องราวเกิดขึ้นในสมัยอธุยา ทั้งที่เรื่องนี้แต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 ฉันใดก็ฉันนั้น บุพเพสันนิวาส ก็มีเรื่องราวในสมัยพระนารายณ์ แต่เรื่องแต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 9 ซึ่งตั้งแต่สมัยพระนารายณ์จนถึงรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สังคมไทยไม่เปลี่ยนมาก ทั้งความเชื่อ การแต่งกาย ค่านิยมต่างๆ ก็สืบทอดกันมา แต่พอมาวันนี้ สังคมเปลี่ยนไปมาก ดังนั้น คนเขียนก็ต้องใช้จินตนาการสูง การเปรียบเทียบต่างๆ ก็อาจคลาดเคลื่อนไปบ้าง”

ตัวอย่าง บทอัศจรรย์ในบทอัศจรรย์ ในเสภาขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนได้นางบัวคลี่ สำนวนครูแจ้ง จากสำเนาที่หนึ่งพิมพ์อยู่ในหนังสือเสภาขุนช้างขุนแผน ฉบับสมบูรณ์สามภาคและฉบับต่างสำนวน เล่ม 2 บริษัท ซี.พี.ออลล์ จำกัด (มหาชน) พิมพ์เผยแพร่ เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา 2 เมษายน พุทธศักราช 2558)

“เกิดพยับพยุห์พัดอัศจรรย์
สลาตันเป็นละลอกกระฉอกฉาน
ทเลลึกดังจะล่มด้วยลมกาฬ
กระทบดานกระแทกดังกำลังแรง
สำเภาจีนเจียนจมด้วยลมซัด
สลุบลัดเลียบบังเข้าฝั่งแฝง
ไหหลำแล่นตัดแหลมแคมตะแคง
ตลบตะแลงเลาะเลียบมาตามเลา
ถึงปากน้ำแล่นส่งเข้าตรงร่อง
ให้ขัดข้องแข็งขืนไม่ใคร่เข้า
ด้วยร่องน้อยน้ำอับคับสำเภา
ขึ้นติดหลังเต่าอย่โตงเตง
พอกำลังลมจัดพัดกระโชก
กระแทกโคกกระท้อนโขดเรือโดดเหยง
เข้าครึ่งลำหายแคลงไม่โคลงเคลง
จุ้นจู๊เกรงเรือหักค่อนยักย้าย
ด้วยคลองน้อยเรือถนัดจึงขัดขึง
เข้าติดตึงครึ่งลำระส่ำระสาย
พอชักใชขึ้นกบรอกลมตอกท้าย
ก็มิดหายเข้าไปทั้งลำพอน้ำมา
พอฝนลงลมถอยเรือลอยลำ
ก็ตามน้ำแล่นล่องออกจากท่า
ทั้งสองเสร็จสมชมชื่นดังจินดา
ก็แนบหน้าผาศุกมาทุกวัน”


ที่มา มติชนออนไลน์